กลับหน้าแรกพระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์

 

ลูกา 6

[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21] [22] [23] [24]

พระเยซูเป็นเจ้าเป็นใหญ่แห่งวันสะบาโต (มธ 12:1-8; มก 2:23-28)
6:1 และต่อมา ในวันสะบาโตที่สอง หลังจากวันแรกนั้น พระองค์เสด็จผ่านไปในบรรดาทุ่งธัญพืช และพวกสาวกของพระองค์ก็เด็ดธัญพืชทั้งหลาย และกิน โดยขยี้พวกมันในมือของตน
6:2 และบางคนในพวกฟาริสีกล่าวแก่พวกเขาว่า “ทำไมพวกท่านจึงทำสิ่งซึ่งผิดพระราชบัญญัติที่จะกระทำในวันสะบาโตทั้งหลาย”
6:3 และพระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านแม้แต่เรื่องนี้หรือ ซึ่งดาวิดได้กระทำเมื่อท่านเองหิว และพรรคพวกซึ่งอยู่กับท่าน
6:4 ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้า และได้เอามาและรับประทานขนมปังหน้าพระพักตร์ และส่งให้พรรคพวกที่อยู่กับท่านด้วย ซึ่งผิดพระราชบัญญัติที่จะรับประทาน เว้นแต่พวกปุโรหิตเท่านั้น”
6:5 และพระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่แห่งวันสะบาโตด้วย”

ทรงรักษาชายมือลีบให้หาย (มธ 12:9-14; มก 3:1-6)
6:6 และต่อมาในวันสะบาโตอีกวันหนึ่งเช่นกัน พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาและสั่งสอน และที่นั่น มีชายคนหนึ่งซึ่งมือขวาของเขาลีบ
6:7 และพวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีคอยดูพระองค์ว่า พระองค์จะทรงรักษาในวันสะบาโตหรือไม่ เพื่อพวกเขาจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้
6:8 แต่พระองค์ทรงทราบความคิดทั้งหลายของพวกเขา และตรัสแก่คนซึ่งมีมือลีบนั้นว่า “จงลุกขึ้น และมายืนข้างหน้าในตรงกลางนี้” และเขาก็ลุกขึ้นและออกมายืนข้างหน้า
6:9 แล้วพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราจะถามท่านทั้งหลายสักสิ่งหนึ่ง ในวันสะบาโตทั้งหลายเป็นการถูกต้องตามพระราชบัญญัติหรือไม่ที่จะทำการดี หรือที่จะทำการชั่วร้าย ที่จะช่วยชีวิต หรือที่จะทำลายชีวิตเสีย”
6:10 และเมื่อทอดพระเนตรดูพวกเขาทุกคนโดยรอบ พระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือของท่านออกเถิด” และเขาก็กระทำดังนั้น และมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนกับมืออีกข้างหนึ่ง
6:11 และคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความเดือดดาล และปรึกษาซึ่งกันและกันว่า พวกเขาจะกระทำอะไรแก่พระเยซูได้

ทรงเลือกอัครทูตสิบสองคน (มธ 10:2-4; มก 3:13-19)
6:12 และต่อมาในวันเหล่านั้น พระองค์เสด็จออกไปยังภูเขาลูกหนึ่งเพื่อจะอธิษฐาน และได้อธิษฐานต่อพระเจ้าตลอดคืน
6:13 และเมื่อสว่างแล้ว พระองค์ทรงเรียกพวกสาวกของพระองค์มาหาพระองค์ และจากพวกเขาพระองค์ทรงเลือกสิบสองคน ผู้ซึ่งพระองค์ทรงตั้งชื่อด้วยว่าเหล่าอัครทูต
6:14 คือซีโมน (ผู้ที่พระองค์ทรงให้ชื่อว่าเปโตรด้วย) และอันดรูว์น้องชายของเปโตร ยากอบและยอห์น ฟีลิปและบารโธโลมิว
6:15 มัทธิวและโธมัส ยากอบบุตรชายของอัลเฟอัส และซีโมนที่ถูกเรียกว่า เศโลเท
6:16 และยูดาสน้องชายของยากอบ และยูดาสอิสคาริโอท ผู้ซึ่งเป็นผู้ทรยศด้วย
6:17 และพระองค์เสด็จลงมาพร้อมกับพวกเขา และประทับยืน ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง และพวกสาวกของพระองค์ และประชาชนเป็นอันมากซึ่งออกมาจากทั่วแคว้นยูเดีย และกรุงเยรูซาเล็ม และจากชายทะเลแห่งเมืองไทระและเมืองไซดอน ผู้ซึ่งมาเพื่อจะฟังพระองค์ และเพื่อรับการรักษาโรคต่าง ๆ ของพวกเขาให้หาย
6:18 และบรรดาคนที่ถูกรบกวนด้วยเหล่าผีโสโครก และพวกเขาได้รับการรักษาให้หาย
6:19 และประชาชนทั้งหมดก็พยายามที่จะถูกต้องพระองค์ เพราะว่ามีฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์ และได้รักษาพวกเขาให้หายทุกคน

พรอันเปี่ยมล้น (มธ 5:2-12)
6:20 และพระองค์ทรงเงยพระพักตร์ของพระองค์ขึ้นดูพวกสาวกของพระองค์ และตรัสว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นคนยากจนย่อมได้รับพร ด้วยว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของพวกท่าน
6:21 ท่านทั้งหลายที่หิวเวลานี้ย่อมได้รับพร ด้วยว่าพวกท่านจะได้อิ่มบริบูรณ์ ท่านทั้งหลายที่ร้องไห้เวลานี้ย่อมได้รับพร เพราะว่าพวกท่านจะได้หัวเราะ
6:22 ท่านทั้งหลายย่อมได้รับพรเมื่อคนทั้งหลายจะเกลียดชังพวกท่าน และเมื่อพวกเขาจะแยกท่านทั้งหลายให้ออกจากพวกเขา และจะตำหนิพวกท่าน และว่ากล่าวชื่อของพวกท่านว่าชั่วร้าย เพราะเห็นแก่บุตรมนุษย์
6:23 ในวันนั้นท่านทั้งหลายจงปีติยินดี และเต้นโลดด้วยความชื่นบาน เพราะดูเถิด บำเหน็จของท่านทั้งหลายในสวรรค์ก็ใหญ่ยิ่ง เพราะว่าบรรพบุรุษของพวกเขาได้กระทำอย่างนั้นแก่พวกศาสดาพยากรณ์เหมือนกัน
6:24 แต่วิบัติแก่เจ้าทั้งหลายที่มั่งมี เพราะว่าพวกเจ้าได้รับการประเล้าประโลมของพวกเจ้าแล้ว
6:25 วิบัติแก่เจ้าทั้งหลายที่อิ่มบริบูรณ์แล้ว เพราะว่าพวกเจ้าจะหิว วิบัติแก่เจ้าทั้งหลายที่หัวเราะเวลานี้ เพราะว่าพวกเจ้าจะโศกเศร้าและร้องไห้
6:26 วิบัติแก่เจ้าทั้งหลายเมื่อมนุษย์ทุกคนจะพูดถึงพวกเจ้าในแง่ดี เพราะบรรพบุรุษของพวกเขาได้กระทำอย่างนั้นแก่พวกศาสดาพยากรณ์เท็จ
6:27 แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายซึ่งกำลังฟังอยู่ว่า จงรักบรรดาศัตรูของพวกท่าน จงทำดีแก่คนเหล่านั้นที่เกลียดชังพวกท่าน
6:28 จงอวยพรคนเหล่านั้นที่สาปแช่งพวกท่าน และจงอธิษฐานเพื่อคนเหล่านั้นซึ่งปฏิบัติต่อพวกท่านอย่างเหยียดหยาม
6:29 และสำหรับผู้ที่ตบท่านที่แก้มข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างนั้นให้ด้วย และผู้ที่เอาเสื้อคลุมของท่านไป อย่าห้ามเอาเสื้อของท่านไปด้วย
6:30 จงยกให้แก่ทุกคนที่ขอจากท่าน และสำหรับคนที่ริบเอาบรรดาสิ่งของของท่านไป อย่าทวงเอาสิ่งของเหล่านั้นคืนมาอีก
6:31 และท่านทั้งหลายปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่พวกท่านอย่างไร พวกท่านจงกระทำอย่างนั้นแก่พวกเขาเหมือนกัน
6:32 เพราะว่าถ้าท่านทั้งหลายรักคนเหล่านั้นซึ่งรักพวกท่าน พวกท่านจะได้การขอบคุณอะไรเล่า ด้วยว่าพวกคนบาปก็ยังรักคนเหล่านั้นที่รักพวกเขาด้วย
6:33 และถ้าท่านทั้งหลายทำดีแก่คนเหล่านั้นที่ทำดีแก่พวกท่าน พวกท่านจะได้การขอบคุณอะไรเล่า ด้วยว่าพวกคนบาปก็กระทำแบบเดียวกันด้วย
6:34 และถ้าท่านทั้งหลายให้ยืมเฉพาะแต่คนเหล่านั้นซึ่งพวกท่านหวังจะได้คืนอีก พวกท่านจะได้การขอบคุณอะไรเล่า ด้วยว่าพวกคนบาปก็ยังให้คนบาปทั้งหลายยืม เพื่อจะได้รับคืนอีกเท่ากัน
6:35 แต่ท่านทั้งหลายจงรักบรรดาศัตรูของพวกท่าน และทำการดี และจงให้ยืม โดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก และบำเหน็จของพวกท่านจะใหญ่ยิ่ง และพวกท่านจะเป็นบุตรทั้งหลายของพระองค์ผู้สูงสุด ด้วยว่าพระองค์ทรงกรุณาแก่คนอกตัญญูและแก่คนชั่วร้าย
6:36 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงมีความเมตตา เหมือนอย่างพระบิดาของพวกท่านมีพระทัยเมตตาด้วย
6:37 อย่ากล่าวโทษ และท่านทั้งหลายจะไม่ถูกกล่าวโทษ อย่าปรับโทษ และท่านทั้งหลายจะไม่ถูกปรับโทษ จงยกโทษให้ และท่านทั้งหลายจะได้รับการอภัยโทษ
6:38 จงให้ และพวกท่านจะได้รับเช่นกัน มนุษย์จะให้ไว้ในทรวงอกของพวกท่านแบบเต็มทะนานยัดสั่นแน่นพูนล้น ด้วยว่าพวกท่านตวงให้ด้วยทะนานอันใด พวกท่านก็จะได้ตวงกลับด้วยทะนานอันนั้น”
6:39 และพระองค์ตรัสเป็นคำอุปมาแก่เขาทั้งหลายว่า “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ เขาทั้งสองจะไม่ตกลงไปในคูน้ำหรือ
6:40 สาวกไม่ใหญ่กว่าอาจารย์ของตน แต่ทุกคนที่ดีพร้อมจะเป็นเหมือนอาจารย์ของเขา
6:41 และทำไมท่านมองดูผงที่อยู่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม่รับรู้ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง
6:42 ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องของท่านได้อย่างไรว่า ‘พี่น้องเอ๋ย จงให้ข้าเขี่ยผงออกจากตาของเจ้าเถิด’ เมื่อท่านเองยังไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน และท่านจึงจะเห็นได้ถนัด เพื่อจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
6:43 ด้วยว่าต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ และต้นไม้เสื่อมทรามจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
6:44 เพราะว่าจะรู้จักต้นไม้ทุกต้นได้โดยผลของมันเอง เพราะว่ามนุษย์ไม่เก็บผลมะเดื่อทั้งหลายจากบรรดาต้นไม้หนาม หรือไม่เก็บผลองุ่นทั้งหลายจากพุ่มไม้หนาม
6:45 คนดีจากคลังดีแห่งใจของตนย่อมเอาสิ่งซึ่งดีออกมา และคนชั่วร้ายจากคลังชั่วร้ายแห่งใจของตนย่อมเอาสิ่งซึ่งชั่วร้ายออกมา ด้วยว่าจากความอุดมสมบูรณ์แห่งใจนั้น ปากของเขาก็พูดออกมา
6:46 และทำไมท่านทั้งหลายเรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ และไม่กระทำตามสิ่งทั้งหลายซึ่งเรากล่าว

บ้านที่สร้างบนศิลา (มธ 7:24-27)
6:47 ผู้ใดก็ตามที่มาหาเรา และฟังบรรดาถ้อยคำของเรา และกระทำตามบรรดาถ้อยคำนั้น เราจะแจ้งให้ท่านทั้งหลายทราบว่า เขาเปรียบเหมือนผู้ใด
6:48 เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งซึ่งสร้างบ้าน และขุดลึกลงไป และตั้งรากบนศิลา และเมื่อน้ำท่วมขึ้นมา กระแสน้ำปะทะบ้านหลังนั้นอย่างรุนแรง และไม่สามารถทำให้บ้านนั้นหวั่นไหวได้ เพราะมันได้ถูกก่อตั้งอยู่บนศิลา
6:49 แต่คนที่ได้ยินและมิได้กระทำตาม เปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างบ้านบนดินไม่ก่อราก ซึ่งกระแสน้ำปะทะบ้านหลังนั้นอย่างรุนแรง และในทันใดนั้นบ้านนั้นก็พังทลายลง และความพินาศของบ้านนั้นก็ใหญ่โต”

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์ / Thai Bible King James Version

© 2006 Philip Pope