กลับหน้าแรก / Main Menu

 

ยอห์น 13 / John 13

[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21]

ก่อนเทศกาลปัสกา (มธ 26:7-30; มก 14:17-26; ลก 22:14-39)
13:1 บัดนี้ก่อนงานเลี้ยงแห่งเทศกาลปัสกา เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า เวลาของพระองค์มาถึงแล้ว ที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา โดยได้ทรงรักพวกของพระองค์เองซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุดปลาย

Before the Passover (Matt. 26:7-30; Mark 14:17-26; Luke 22:14-39)
13:1 Now before the feast of the passover, when Jesus knew that his hour was come that he should depart out of this world unto the Father, having loved his own which were in the world, he loved them unto the end.

ทรงล้างเท้าของพวกสาวก
13:2 และเมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว พญามารได้ดลใจยูดาสอิสคาริโอท บุตรชายของซีโมน ให้ทรยศพระองค์

Washing the Disciple's Feet
13:2 And supper being ended, the devil having now put into the heart of Judas Iscariot, Simon's son, to betray him;

13:3 พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาได้ประทานสิ่งสารพัดให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้า และไปหาพระเจ้า

13:3 Jesus knowing that the Father had given all things into his hands, and that he was come from God, and went to God;

13:4 พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหารเย็น และทรงถอดเสื้อผ้าของพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัว และทรงคาดเอวพระองค์ไว้

13:4 He riseth from supper, and laid aside his garments; and took a towel, and girded himself.

13:5 หลังจากที่พระองค์ทรงเทน้ำลงในชามอ่าง และทรงตั้งต้นล้างเท้าของพวกสาวก และเช็ดเท้าของพวกเขาด้วยผ้าเช็ดตัวที่พระองค์ทรงคาดเอวไว้นั้น

13:5 After that he poureth water into a bason, and began to wash the disciples' feet, and to wipe them with the towel wherewith he was girded.

13:6 แล้วพระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร และเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ”

13:6 Then cometh he to Simon Peter: and Peter saith unto him, Lord, dost thou wash my feet?

13:7 พระเยซูทรงตอบและตรัสกับเขาว่า “สิ่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่ทราบ แต่ภายหลังท่านจะทราบ”

13:7 Jesus answered and said unto him, What I do thou knowest not now; but thou shalt know hereafter.

13:8 เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์ล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้เด็ดขาด” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านก็ไม่มีส่วนในเรา”

13:8 Peter saith unto him, Thou shalt never wash my feet. Jesus answered him, If I wash thee not, thou hast no part with me.

13:9 ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า มิใช่แต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่มือของข้าพระองค์และศีรษะของข้าพระองค์ด้วย”

13:9 Simon Peter saith unto him, Lord, not my feet only, but also my hands and my head.

13:10 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องถูกชำระยกเว้นที่จะล้างเท้าของเขาเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว และพวกท่านก็สะอาดแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคน”

13:10 Jesus saith to him, He that is washed needeth not save to wash his feet, but is clean every whit: and ye are clean, but not all.

13:11 เพราะพระองค์ทรงทราบว่า ใครจะทรยศพระองค์ เหตุฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายไม่สะอาดทุกคน”

13:11 For he knew who should betray him; therefore said he, Ye are not all clean.

13:12 ดังนั้นหลังจากพระองค์ทรงล้างเท้าของพวกเขาแล้ว และทรงหยิบเสื้อผ้าของพระองค์ และเอนพระกายลงอีก พระองค์ก็ตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายทราบสิ่งที่เราได้กระทำแก่ท่านทั้งหลายหรือ

13:12 So after he had washed their feet, and had taken his garments, and was set down again, he said unto them, Know ye what I have done to you?

13:13 ท่านทั้งหลายเรียกเราว่า พระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกท่านเรียกถูกต้องแล้ว เพราะเราเป็นเช่นนั้น

13:13 Ye call me Master and Lord: and ye say well; for so I am.

13:14 ฉะนั้นถ้าเรา ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ของพวกท่าน ได้ล้างเท้าของพวกท่าน พวกท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย

13:14 If I then, your Lord and Master, have washed your feet; ye also ought to wash one another's feet.

13:15 เพราะว่าเราได้ให้แบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อพวกท่านจะได้ทำเหมือนที่เราได้กระทำแก่พวกท่านแล้ว

13:15 For I have given you an example, that ye should do as I have done to you.

13:16 แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้รับใช้ก็ไม่ใหญ่กว่านายของตน และผู้ที่ถูกส่งไปก็ไม่ใหญ่กว่าผู้ที่ได้ส่งเขาไป

13:16 Verily, verily, I say unto you, The servant is not greater than his lord; neither he that is sent greater than he that sent him.

13:17 ถ้าท่านทั้งหลายทราบสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกท่านก็เป็นสุขถ้าพวกท่านทำสิ่งเหล่านี้

13:17 If ye know these things, happy are ye if ye do them.

13:18 เราไม่ได้กล่าวถึงพวกท่านทุกคน เราทราบว่าเราได้เลือกผู้ใดแล้ว แต่เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จที่ว่า ‘ผู้ที่รับประทานอาหารกับเราได้ยกส้นเท้าของเขาต่อสู้เรา’

13:18 I speak not of you all: I know whom I have chosen: but that the scripture may be fulfilled, He that eateth bread with me hath lifted up his heel against me.

13:19 บัดนี้เราบอกท่านทั้งหลายก่อนที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้น เพื่อที่ว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว พวกท่านก็จะเชื่อว่าเราคือผู้นั้น

13:19 Now I tell you before it come, that, when it is come to pass, ye may believe that I am he.

13:20 แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่รับผู้ใดก็ตามที่เราส่งไป ก็รับเรา และผู้ใดที่รับเรา ก็รับพระองค์ผู้ได้ทรงส่งเรามา”

13:20 Verily, verily, I say unto you, He that receiveth whomsoever I send receiveth me; and he that receiveth me receiveth him that sent me.

พระเยซูพยากรณ์ถึงการทรยศพระองค์ (มธ 26:20-25; มก 14:17-21; ลก 22:21-22)
13:21 เมื่อพระเยซูตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงเป็นทุกข์ในพระวิญญาณ และเป็นพยาน และตรัสว่า “แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา”

Jesus Foretells His Betrayal (Matt. 26:20-25; Mark 14:17-21; Luke 22:21-22)
13:21 When Jesus had thus said, he was troubled in spirit, and testified, and said, Verily, verily, I say unto you, that one of you shall betray me.

13:22 แล้วพวกสาวกจึงมองหน้ากัน โดยสงสัยว่าพระองค์ตรัสถึงผู้ใด

13:22 Then the disciples looked one on another, doubting of whom he spake.

13:23 บัดนี้มีคนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์ได้เอนกายอยู่ที่พระทรวงของพระเยซู ผู้ที่พระเยซูทรงรัก

13:23 Now there was leaning on Jesus' bosom one of his disciples, whom Jesus loved.

13:24 ฉะนั้นซีโมนเปโตรจึงทำไม้ทำมือให้เขา เพื่อที่เขาจะทูลถามว่าคนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือผู้ใด

13:24 Simon Peter therefore beckoned to him, that he should ask who it should be of whom he spake.

13:25 ผู้ที่เอนกายอยู่ที่พระทรวงของพระเยซูในขณะนั้นจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า คนนั้นคือผู้ใด”

13:25 He then lying on Jesus' breast saith unto him, Lord, who is it?

13:26 พระเยซูตรัสตอบว่า “คนนั้นคือผู้ที่เราจะเอาชิ้นอาหารยื่นให้ เมื่อเราจิ้มชิ้นอาหารนั้นแล้ว” และเมื่อพระองค์ได้ทรงเอาชิ้นอาหารนั้นจิ้มแล้ว พระองค์ก็ทรงยื่นชิ้นอาหารนั้นให้แก่ยูดาสอิสคาริโอท บุตรชายของซีโมน

13:26 Jesus answered, He it is, to whom I shall give a sop, when I have dipped it. And when he had dipped the sop, he gave it to Judas Iscariot, the son of Simon.

13:27 และหลังจากทรงยื่นชิ้นอาหารนั้นแล้ว ซาตานก็เข้าสิงในเขา แล้วพระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “สิ่งที่ท่านจะทำ จงทำเร็ว ๆ เถิด”

13:27 And after the sop Satan entered into him. Then said Jesus unto him, That thou doest, do quickly.

13:28 บัดนี้ไม่มีผู้ใดที่โต๊ะทราบว่าพระองค์ตรัสเช่นนี้แก่เขาเพื่อจุดประสงค์อะไร

13:28 Now no man at the table knew for what intent he spake this unto him.

13:29 ด้วยว่าบางคนในพวกเขาคิดว่า เพราะยูดาสมีย่ามนั้น พระเยซูจึงได้ตรัสบอกเขาว่า “จงไปซื้อสิ่งเหล่านั้นที่พวกเราต้องการสำหรับเทศกาลเลี้ยงนั้น” หรือว่า เขาควรจะให้บางสิ่งแก่คนยากจน

13:29 For some of them thought, because Judas had the bag, that Jesus had said unto him, Buy those things that we have need of against the feast; or, that he should give something to the poor.

13:30 แล้วเมื่อเขาได้รับอาหารชิ้นนั้นแล้ว เขาก็ออกไปทันที และเป็นเวลากลางคืน

13:30 He then having received the sop went immediately out: and it was night.

13:31 เพราะฉะนั้นเมื่อเขาออกไปแล้ว พระเยซูจึงตรัสว่า “บัดนี้บุตรมนุษย์ก็ได้รับสง่าราศีแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับสง่าราศีในบุตรมนุษย์

13:31 Therefore, when he was gone out, Jesus said, Now is the Son of man glorified, and God is glorified in him.

13:32 ถ้าพระเจ้าทรงได้รับสง่าราศีในบุตรมนุษย์ พระเจ้าก็จะประทานให้บุตรมนุษย์รับสง่าราศีในพระองค์เองด้วย และจะทรงให้บุตรมนุษย์รับสง่าราศีทันที

13:32 If God be glorified in him, God shall also glorify him in himself, and shall straightway glorify him.

13:33 ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลายเอ๋ย อีกหน่อยหนึ่งเรายังอยู่กับท่านทั้งหลาย พวกท่านจะแสวงหาเรา และตามที่เรากล่าวแก่พวกยิวแล้วว่า ‘ที่ซึ่งเราจะไปนั้น ท่านทั้งหลายจะมาไม่ได้’ บัดนี้เราจึงกล่าวเช่นนั้นแก่ท่านทั้งหลาย

13:33 Little children, yet a little while I am with you. Ye shall seek me: and as I said unto the Jews, Whither I go, ye cannot come; so now I say to you.

13:34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่ท่านทั้งหลายคือ ให้ท่านทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน เรารักท่านทั้งหลายมาแล้วอย่างไร ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกันด้วยอย่างนั้น

13:34 A new commandment I give unto you, That ye love one another; as I have loved you, that ye also love one another.

13:35 โดยสิ่งนี้คนทั้งปวงจะทราบว่าท่านทั้งหลายเป็นสาวกของเรา ถ้าพวกท่านมีความรักต่อกันและกัน”

13:35 By this shall all men know that ye are my disciples, if ye have love one to another.

ทรงพยากรณ์ว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์ (มธ 26:33-35; มก 14:29-31; ลก 22:33-34)
13:36 ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ที่ซึ่งเราจะไปนั้น ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ภายหลังท่านจะตามเราไป”

Peter's Denial Foretold (Matt. 26:33-35; Mark 14:29-31; Luke 22:33-34)
13:36 Simon Peter said unto him, Lord, whither goest thou? Jesus answered him, Whither I go, thou canst not follow me now; but thou shalt follow me afterwards.

13:37 เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ทำไมข้าพระองค์จึงตามพระองค์ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ข้าพระองค์จะสละชีวิตของข้าพระองค์เพื่อเห็นแก่พระองค์”

13:37 Peter said unto him, Lord, why cannot I follow thee now? I will lay down my life for thy sake.

13:38 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านจะสละชีวิตของท่านเพื่อเห็นแก่เราหรือ แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านว่า ไก่จะไม่ขัน จนกว่าท่านได้ปฏิเสธเราถึงสามครั้งแล้ว”

13:38 Jesus answered him, Wilt thou lay down thy life for my sake? Verily, verily, I say unto thee, The cock shall not crow, till thou hast denied me thrice.

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์ / Thai Bible King James Version

© 2006 Philip Pope