กลับหน้าแรกพระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์

 

ยอห์น 6

[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21]

ทรงเลี้ยงคนห้าพันคน (มธ 14:13-21; มก 6:32-44; ลก 9:10-17)
6:1 หลังจากสิ่งเหล่านี้พระเยซูก็เสด็จไปข้ามทะเลกาลิลี ซึ่งก็คือทะเลทิเบเรียส
6:2 และคนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป เพราะเขาเหล่านั้นได้เห็นบรรดาการอัศจรรย์ของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำต่อคนทั้งหลายที่เป็นโรคภัย
6:3 และพระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขา และพระองค์ประทับนั่งที่นั่นพร้อมกับพวกสาวกของพระองค์
6:4 และเทศกาลปัสกา เทศกาลเลี้ยงของพวกยิว ใกล้จะถึงแล้ว
6:5 และเมื่อพระเยซูทรงเงยพระพักตร์ของพระองค์ขึ้น และทอดพระเนตรเห็นคนเป็นอันมากมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า “พวกเราจะซื้ออาหารจากที่ไหน เพื่อคนเหล่านี้จะได้รับประทาน”
6:6 และพระองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อจะลองใจฟีลิป เพราะพระองค์เองทรงทราบแล้วว่าพระองค์จะทรงกระทำประการใด
6:7 ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “ขนมปังมูลค่าสองร้อยเหรียญเดนาริอันก็ไม่พอสำหรับพวกเขา เพื่อพวกเขาทุกคนจะได้กินคนละเล็กละน้อย”
6:8 คนหนึ่งของพวกสาวกของพระองค์ คืออันดรูว์ น้องชายของซีโมนเปโตร ทูลพระองค์ว่า
6:9 “มีเด็กชายคนหนึ่งอยู่ที่นี่ ซึ่งมีขนมข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาเล็ก ๆ สองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรในท่ามกลางคนมากอย่างนี้”
6:10 และพระเยซูตรัสว่า “จงให้คนทั้งปวงนั่งลงเถิด” บัดนี้มีหญ้ามากในสถานที่แห่งนั้น ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงนั่งลง จำนวนคนได้ประมาณห้าพันคน
6:11 และพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปังเหล่านั้น และเมื่อพระองค์ทรงขอบพระคุณแล้ว พระองค์ก็ทรงแจกจ่ายแก่พวกสาวก และพวกสาวกแก่คนเหล่านั้นที่นั่งอยู่ และให้ปลาเช่นกันมากเท่าที่พวกเขาปรารถนา
6:12 เมื่อเขาทั้งหลายกินอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ เพื่อไม่ให้มีสิ่งใดเสียไป”
6:13 เหตุฉะนั้น พวกเขาจึงเก็บเศษอาหารเหล่านั้น ใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็มด้วยเศษขนมข้าวบาร์เลย์ห้าก้อน ซึ่งเหลืออยู่และเกินจากที่คนทั้งหลายได้กินแล้วนั้น
6:14 และคนเหล่านั้น เมื่อพวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำ กล่าวว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นศาสดาพยากรณ์ผู้นั้นที่จะทรงเข้ามาในโลก”

พระเยซูดำเนินบนน้ำ (มธ 14:22-36; มก 6:45-56)
6:15 เหตุฉะนั้นเมื่อพระเยซูทรงรับรู้ว่า เขาทั้งหลายตั้งใจจะมาและจับพระองค์โดยใช้กำลัง เพื่อที่จะตั้งพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จไปที่ภูเขาอีกแต่ลำพัง
6:16 และเมื่อถึงเวลาเย็นแล้ว พวกสาวกของพระองค์ก็ได้ลงไปที่ทะเล
6:17 และลงเรือลำหนึ่ง และข้ามทะเลไปทางเมืองคาเปอรนาอุม และบัดนี้มืดแล้ว และพระเยซูยังไม่ได้เสด็จมายังพวกเขา
6:18 และทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะเหตุมีลมแรงที่พัดผ่านมา
6:19 ดังนั้นเมื่อเขาทั้งหลายตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหรือหกกิโลเมตร พวกเขาได้เห็นพระเยซูเสด็จดำเนินมาบนทะเล และกำลังเข้ามาใกล้เรือลำนั้น และพวกเขาก็ตกใจกลัว
6:20 แต่พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “นี่คือเราเอง อย่ากลัวเลย”
6:21 แล้วพวกเขาจึงรับพระองค์ลงเรือด้วยความเต็มใจ และในทันใดนั้นเรือนั้นก็ถึงฝั่งที่พวกเขาจะไปนั้น

การเทศนาของพระเยซูเกี่ยวกับอาหารแห่งชีวิต
6:22 วันต่อมา เมื่อประชาชนซึ่งอยู่ฝั่งข้างโน้นของทะเล เห็นว่าไม่มีเรือลำอื่นที่นั่น เว้นแต่ลำที่พวกสาวกของพระองค์ลงไปเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูมิได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับพวกสาวกของพระองค์ แต่พวกสาวกของพระองค์ไปตามลำพังเท่านั้น
6:23 (แต่มีเรือลำอื่นหลายลำมาจากทิเบเรียส ใกล้สถานที่ที่เขาทั้งหลายได้กินขนมปัง หลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอบพระคุณแล้ว)
6:24 เหตุฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็นว่า พระเยซูไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกสาวกของพระองค์ก็ไม่อยู่เช่นกัน พวกเขาจึงลงเรือไป และมายังเมืองคาเปอรนาอุม โดยตามหาพระเยซู
6:25 และเมื่อพวกเขาได้พบพระองค์ที่ฝั่งข้างโน้นของทะเลแล้ว เขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาที่นี่เมื่อไร”
6:26 พระเยซูทรงตอบพวกเขาและตรัสว่า “แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรา มิใช่เพราะพวกท่านได้เห็นการอัศจรรย์เหล่านั้น แต่เพราะพวกท่านได้กินขนมปัง และอิ่ม
6:27 อย่าทำงานเพื่ออาหารที่เสื่อมสูญไป แต่เพื่ออาหารซึ่งคงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะประทานให้แก่พวกท่าน เพราะว่าพระเจ้าพระบิดาทรงประทับตราพระองค์แล้ว”
6:28 แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่า “พวกข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด เพื่อพวกข้าพเจ้าจะกระทำงานทั้งหลายของพระเจ้าได้”
6:29 พระเยซูทรงตอบและตรัสกับพวกเขาว่า “นี่แหละเป็นงานของพระเจ้า คือที่ท่านทั้งหลายเชื่อในท่านผู้ที่พระองค์ได้ทรงส่งมานั้น”
6:30 เหตุฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “แล้วท่านจะแสดงหมายสำคัญอะไร เพื่อพวกข้าพเจ้าจะเห็นและเชื่อท่าน ท่านจะกระทำการอะไรบ้าง
6:31 บรรพบุรุษของพวกข้าพเจ้าได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารนั้น ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘พระองค์ได้ประทานอาหารจากฟ้าสวรรค์ให้เขาทั้งหลายกิน’”
6:32 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า โมเสสไม่ได้ให้อาหารจากฟ้าสวรรค์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย แต่พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ให้แก่ท่านทั้งหลาย
6:33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก”
6:34 แล้วเขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดให้อาหารนี้แก่พวกข้าพเจ้าเสมอไปเถิด”
6:35 และพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวอีก และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย
6:36 แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านทั้งหลายได้เห็นเราแล้ว และไม่เชื่อ
6:37 สารพัดที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาสู่เรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ขับไล่ออกไปเลย
6:38 เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่พระประสงค์ของพระองค์ผู้ได้ทรงส่งเรามา
6:39 และนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาผู้ซึ่งได้ทรงส่งเรามานั้น คือจากสิ่งสารพัดซึ่งพระองค์ทรงมอบไว้กับเราแล้วนั้น เราจะไม่ให้พินาศสูญไปสักสิ่งเดียว แต่จะตั้งมันขึ้นมาอีกในวันสุดท้าย
6:40 เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของผู้ที่ได้ทรงส่งเรามานั้น ที่จะให้ทุกคนซึ่งเห็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตรนั้น จะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย”
6:41 พวกยิวจึงบ่นพึมพำกันเรื่องพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์”
6:42 และเขาทั้งหลายกล่าวว่า “คนนี้เป็นเยซูลูกชายของโยเซฟมิใช่หรือ ผู้ซึ่งพ่อแม่ของเขาพวกเราก็รู้จัก เหตุใดคนนี้จึงกล่าวว่า ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’”
6:43 ฉะนั้นพระเยซูทรงตอบและตรัสกับเขาเหล่านั้นว่า “อย่าบ่นกันในท่ามกลางพวกท่านเองเลย
6:44 ไม่มีผู้ใดสามารถมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ซึ่งทรงส่งเรามาแล้วนั้นจะทรงชักนำเขามา และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย
6:45 มีเขียนไว้แล้วในพวกศาสดาพยากรณ์ว่า ‘และพวกเขาทุกคนจะเรียนรู้จากพระเจ้า’ เหตุฉะนั้นทุกคนที่ได้ยิน และได้เรียนรู้จากพระบิดาแล้ว ก็มาถึงเรา
6:46 ไม่มีผู้ใดได้เห็นพระบิดา ยกเว้นท่านผู้ซึ่งมาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว
6:47 แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราก็มีชีวิตนิรันดร์
6:48 เราเป็นอาหารแห่งชีวิตนั้น
6:49 บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร และสิ้นชีวิต
6:50 นี่แหละเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์ เพื่อมนุษย์คนใดจะได้กินอาหารนั้น และไม่ตาย
6:51 เราเป็นอาหารที่ดำรงชีวิตซึ่งได้ลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และอาหารที่เราจะให้นั้นคือเนื้อหนังของเรา ซึ่งเราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลก”
6:52 ฉะนั้นพวกยิวจึงทุ่มเถียงกันในท่ามกลางพวกเขาเอง โดยกล่าวว่า “ผู้นี้จะเอาเนื้อหนังของเขาให้พวกเรากินได้อย่างไร”
6:53 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านทั้งหลายไม่กินเนื้อหนังของบุตรมนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของท่าน ท่านทั้งหลายก็ไม่มีชีวิตในตัวพวกท่านเลย
6:54 ผู้ใดก็ตามที่กินเนื้อหนังของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย
6:55 เพราะว่าเนื้อหนังของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้
6:56 ผู้ที่กินเนื้อหนังของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในเขา
6:57 พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ได้ทรงส่งเรามา และเราดำรงชีวิตอยู่โดยทางพระบิดานั้นฉันใด ผู้ที่กินเรา ผู้นั้นก็จะมีชีวิตโดยทางเราฉันนั้น
6:58 นี่แหละเป็นอาหารนั้นซึ่งได้ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนกับที่บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานาและสิ้นชีวิต ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป”
6:59 สิ่งเหล่านี้พระองค์ได้ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ในเมืองคาเปอรนาอุม

พวกสาวกไม่เข้าใจคำสั่งสอนของพระเยซู (มธ 8:19-22; 10:36)
6:60 ฉะนั้นหลายคนในพวกสาวกของพระองค์ เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ จึงกล่าวว่า “นี่เป็นถ้อยคำที่ยากนัก ใครจะฟังถ้อยคำนี้ได้”
6:61 เมื่อพระเยซูทรงทราบภายในพระองค์เองว่า พวกสาวกของพระองค์บ่นถึงถ้อยคำนี้ พระองค์ได้ตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้อยคำนี้ทำให้ท่านทั้งหลายสะดุดหรือ
6:62 และถ้าท่านทั้งหลายจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ซึ่งท่านอยู่แต่ก่อนนั้น จะเป็นอย่างไร
6:63 จิตวิญญาณคือสิ่งที่ทำให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่ก่อเกิดประโยชน์อันใด บรรดาถ้อยคำที่เรากล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต
6:64 แต่มีบางคนในพวกท่านที่ไม่เชื่อ” เพราะพระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกว่ามีผู้ใดบ้างที่ไม่เชื่อ และผู้ใดที่จะทรยศพระองค์
6:65 และพระองค์ตรัสว่า “เหตุฉะนั้นเราจึงได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ‘ไม่มีผู้ใดจะสามารถมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาของเราได้โปรดประทานสิ่งนั้นแก่ผู้นั้น’”
6:66 ตั้งแต่เวลานั้นมา หลายคนในพวกสาวกของพระองค์ก็กลับไป และไม่เดินกับพระองค์อีกต่อไป

คำกล่าวถึงความเชื่อของเปโตร
6:67 แล้วพระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า “พวกท่านก็จะจากไปด้วยหรือ”
6:68 แล้วซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายจะไปหาผู้ใดเล่า พระองค์มีบรรดาถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์
6:69 และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อและแน่ใจแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ผู้นั้น พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”
6:70 พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “เราได้เลือกพวกท่านสิบสองคนแล้วมิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย”
6:71 พระองค์ตรัสถึงยูดาสอิสคาริโอทบุตรชายของซีโมน เพราะเขาเป็นผู้ที่จะทรยศพระองค์ โดยเป็นคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์ / Thai Bible King James Version

© 2006 Philip Pope