กลับหน้าแรกพระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์

 

มัทธิว 13

[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21] [22] [23] [24] [25] [26] [27] [28]

คำอุปมาเกี่ยวกับผู้หว่านพืช (มก 4:1-20; ลก 8:4-15)
13:1 ในวันนั้นเองพระเยซูเสด็จออกไปจากบ้าน และประทับนั่งที่ชายทะเล
13:2 และประชาชนเป็นอันมากมาชุมนุมกันมาหาพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จลงไปในเรือลำหนึ่ง และประทับนั่ง และบรรดาคนเหล่านั้นก็ยืนอยู่บนฝั่ง
13:3 และพระองค์ตรัสหลายประการกับพวกเขาเป็นคำอุปมา โดยกล่าวว่า “ดูเถิด ผู้หว่านคนหนึ่งออกไปเพื่อหว่าน
13:4 และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง และพวกนกก็มากินเมล็ดพืชเหล่านั้นเสีย
13:5 บ้างก็ตกบนที่ต่าง ๆ ที่มีหินเยอะ ซึ่งเป็นที่ ๆ เมล็ดพืชเหล่านั้นมีเนื้อดินไม่มาก และพวกมันงอกขึ้นทันที เพราะพวกมันมีดินไม่ลึก
13:6 และเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว เมล็ดพืชเหล่านั้นก็ถูกแผดเผา และเพราะเหตุพวกมันไม่มีราก พวกมันจึงเหี่ยวไป
13:7 และบ้างก็ตกท่ามกลางต้นหนามทั้งหลาย และต้นหนามเหล่านั้นก็งอกขึ้น และปกคลุมเมล็ดพืชเหล่านั้นเสีย
13:8 แต่เมล็ดพืชอื่น ๆ ก็ตกที่ดินดี และเกิดผล หนึ่งร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
13:9 ผู้ที่มีหูที่จะฟัง จงให้ผู้นั้นฟังเถิด”
13:10 และพวกสาวกมาและทูลพระองค์ว่า “ทำไมพระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นคำอุปมา”
13:11 พระองค์ทรงตอบและตรัสกับพวกเขาว่า “เพราะว่าข้อความลึกลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์โปรดให้ท่านทั้งหลายทราบได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้ทราบ
13:12 ด้วยว่าผู้ใดก็ตามที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้น และคนนั้นจะมีเหลือเฟือมากขึ้น แต่ผู้ใดก็ตามที่ไม่มีนั้น แม้แต่ซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา
13:13 เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวแก่พวกเขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงพวกเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น และถึงพวกเขาได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน และพวกเขาไม่เข้าใจ
13:14 และในคนเหล่านี้คำพยากรณ์ของอิสยาห์ก็สำเร็จจริง ซึ่งกล่าวว่า ‘พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง และจะไม่เข้าใจ และพวกเจ้าจะดูก็จริง และจะไม่รับรู้
13:15 เพราะว่าใจของชนชาตินี้หยาบหนา และหูของพวกเขาก็ตึง และตาของพวกเขา พวกเขาก็ปิดเสียแล้ว เกรงว่าในเวลาใดพวกเขาจะเห็นด้วยตาของพวกเขา และได้ยินด้วยหูของพวกเขา และจะเข้าใจด้วยใจของพวกเขา และจะหันกลับมา และเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’
13:16 แต่ตาของท่านทั้งหลายก็ได้รับพร เพราะตาเหล่านั้นมองเห็น และหูของพวกท่านก็ได้รับพร เพราะหูเหล่านั้นได้ยิน
13:17 เพราะเรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พวกศาสดาพยากรณ์และผู้ชอบธรรมเป็นอันมากได้ปรารถนาที่จะเห็นสิ่งเหล่านั้นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้ และไม่เคยได้เห็นสิ่งเหล่านั้น และอยากจะได้ยินสิ่งเหล่านั้นซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิน และไม่เคยได้ยินสิ่งเหล่านั้น
13:18 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช
13:19 เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจักรนั้น และไม่เข้าใจพระวจนะนั้น แล้วมารร้ายก็มา และฉวยเอาเมล็ดพืชซึ่งถูกหว่านในใจของผู้นั้นไปเสีย นี่แหละคือผู้ซึ่งได้รับเมล็ดพืชริมหนทาง
13:20 และผู้ที่ได้รับเมล็ดพืชซึ่งตกบนที่ต่าง ๆ ที่มีหินเยอะ ผู้เดียวกันนั้นเป็นผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และรับพระวจนะนั้นทันทีด้วยความปีติยินดี
13:21 แต่เขาไม่มีรากในตัวเอง แต่ทนอยู่เพียงชั่วคราว เพราะเมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงเพราะเหตุพระวจนะนั้น ต่อมาเขาก็สะดุด
13:22 ผู้ที่ได้รับเมล็ดพืชซึ่งตกท่ามกลางต้นหนามทั้งหลายนั้นด้วย คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และความกังวลแห่งโลกนี้ และการล่อลวงแห่งบรรดาทรัพย์สมบัติก็รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาก็กลายเป็นผู้ที่ไร้ผล
13:23 แต่ผู้ที่ได้รับเมล็ดพืชซึ่งตกเข้าไปในดินดีนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และเข้าใจพระวจนะนั้น ผู้ซึ่งเกิดผลด้วย และออกผลหนึ่งร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

คำอุปมาเกี่ยวกับข้าวสาลีและข้าวละมาน
13:24 พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งแก่เขาทั้งหลาย โดยกล่าวว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งซึ่งได้หว่านเมล็ดพืชดีในนาของตน
13:25 แต่ขณะที่คนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นได้มา และหว่านข้าวละมานท่ามกลางข้าวสาลีนั้น และไปตามทางของเขา
13:26 แต่เมื่อต้นข้าวนั้นงอกขึ้น และออกรวงแล้ว จากนั้นบรรดาข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย
13:27 ดังนั้นพวกผู้รับใช้ของเจ้าของบ้านจึงมาและกล่าวแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านเมล็ดพืชดีในนาของท่านมิใช่หรือ แล้วนานั้นมีข้าวละมานจากที่ไหน’
13:28 นายกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘ศัตรูคนหนึ่งได้กระทำสิ่งนี้’ พวกผู้รับใช้กล่าวแก่นายว่า ‘งั้นท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปและเก็บข้าวละมานเหล่านั้นไหม’
13:29 แต่นายกล่าวว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าขณะที่พวกเจ้ากำลังเก็บข้าวละมานเหล่านั้น พวกเจ้าอาจจะถอนรากข้าวสาลีขึ้นมาพร้อมกับข้าวละมานด้วย
13:30 จงให้ทั้งคู่จำเริญขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาแห่งการเกี่ยวนั้น เราจะกล่าวแก่บรรดาผู้เกี่ยวว่า “พวกเจ้าจงเก็บข้าวละมานเหล่านั้นก่อน และมัดพวกมันเป็นฟ่อนเพื่อเผาพวกมันเสีย แต่จงเก็บข้าวสาลีนั้นไว้ในยุ้งฉางของเรา”’”

คำอุปมาเกี่ยวกับเมล็ดมัสตาร์ด (มก 4:30, 32)
13:31 พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งแก่เขาทั้งหลาย โดยกล่าวว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งชายคนหนึ่งเอาไป และหว่านในนาของตน
13:32 ซึ่งที่จริงก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่อเมล็ดนั้นงอกขึ้นแล้ว มันก็มีขนาดใหญ่โตที่สุดท่ามกลางผักทั้งหลาย และกลายเป็นต้นไม้ จนพวกนกแห่งฟ้าอากาศมา และอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้”

คำอุปมาเกี่ยวกับเชื้อ (ลก 13:20-21)
13:33 พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งแก่เขาทั้งหลายว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามา และซ่อนไว้ในแป้งบดสามถัง จนแป้งบดนั้นฟูขึ้นทั้งหมด”
13:34 สิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น พระเยซูได้ตรัสกับคนเป็นอันมากเป็นคำอุปมาต่าง ๆ และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสกับพวกเขาเลย
13:35 เพื่อสิ่งนี้จะสำเร็จซึ่งถูกกล่าวไว้โดยศาสดาพยากรณ์ผู้นั้น ซึ่งกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะอ้าปากของข้าพเจ้าโดยกล่าวคำอุปมา ข้าพเจ้าจะกล่าวสิ่งทั้งหลายซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่ทรงวางรากฐานของโลก’

ทรงอธิบายคำอุปมาเกี่ยวกับข้าวสาลีและข้าวละมาน
13:36 แล้วพระเยซูจึงทรงส่งคนเป็นอันมากนั้นให้จากไป และเสด็จเข้าไปในบ้าน และพวกสาวกของพระองค์ก็มาเฝ้าพระองค์ โดยทูลว่า “ขอโปรดอธิบายคำอุปมาเรื่องข้าวละมานแห่งนานั้นแก่พวกข้าพระองค์”
13:37 พระองค์ทรงตอบและตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้ที่หว่านเมล็ดพืชดีนั้นคือบุตรมนุษย์
13:38 นานั้นคือโลก เมล็ดพืชดีนั้นคือลูกหลานแห่งอาณาจักรนั้น แต่ข้าวละมานเหล่านั้นคือลูกหลานของมารร้าย
13:39 ศัตรูที่หว่านข้าวละมานเหล่านั้นคือพญามาร ฤดูเกี่ยวคือการสิ้นสุดของโลกนี้ และบรรดาผู้เกี่ยวนั้นคือพวกทูตสวรรค์
13:40 เหตุฉะนั้นบรรดาข้าวละมานถูกเก็บรวบรวมและถูกเผาเสียในไฟอย่างไร ในการสิ้นสุดของโลกนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น
13:41 บุตรมนุษย์จะส่งพวกทูตสวรรค์ของท่านออกไป และพวกทูตนั้นจะรวบรวมออกไปจากอาณาจักรของท่านทุกสิ่งที่ทำให้สะดุด และบรรดาคนซึ่งทำความชั่วช้า
13:42 และจะทิ้งพวกเขาลงในเตาไฟ ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
13:43 แล้วบรรดาผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในอาณาจักรแห่งพระบิดาของพวกเขา ผู้ที่มีหูที่จะฟัง จงให้ผู้นั้นฟังเถิด

คำอุปมาเกี่ยวกับขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้
13:44 อีกครั้ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา ซึ่งเมื่อชายคนหนึ่งได้พบแล้ว เขาก็ซ่อนเสียอีก และเพราะความปีติยินดีจึงไปและขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่ และซื้อทุ่งนานั้น

คำอุปมาเกี่ยวกับไข่มุกราคามาก
13:45 อีกครั้ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าคนหนึ่งที่แสวงหาบรรดาไข่มุกอย่างดี
13:46 ผู้ซึ่งเมื่อเขาได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งที่มีราคามาก ก็ไปและขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ และซื้อไข่มุกนั้น

คำอุปมาเกี่ยวกับอวนจับปลา
13:47 อีกครั้ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนอวนอันหนึ่งที่ถูกโยนลงไปในทะเล และรวบรวมทุกชนิด
13:48 ซึ่งเมื่ออวนนั้นเต็มแล้ว พวกเขาก็ลากขึ้นฝั่ง และนั่งลง และรวบรวมอันที่ดีใส่ในภาชนะทั้งหลาย แต่ทิ้งอันที่เลวนั้นไปเสีย
13:49 ในการสิ้นสุดของโลกนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น พวกทูตสวรรค์จะออกมา และแยกคนชั่วออกจากท่ามกลางคนชอบธรรม
13:50 และจะทิ้งพวกเขาลงในเตาไฟ ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
13:51 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายเข้าใจบรรดาสิ่งเหล่านี้แล้วหรือ” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “เข้าใจแล้ว พระเจ้าข้า”
13:52 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เพราะฉะนั้นธรรมาจารย์ทุกคนซึ่งได้รับการสั่งสอนถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนผู้หนึ่งที่เป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งนำออกมาจากคลังของตนทั้งบรรดาของใหม่และของเก่า”

พระเยซูทรงถูกปฏิเสธที่เมืองนาซาเร็ธ
13:53 และต่อมาเมื่อพระเยซูได้ตรัสคำอุปมาเหล่านี้เสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปจากที่นั่น
13:54 และเมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านเมืองของพระองค์เองแล้ว พระองค์ก็สั่งสอนคนทั้งหลายในธรรมศาลาของพวกเขา จนถึงขนาดที่คนเหล่านั้นประหลาดใจ และกล่าวว่า “คนนี้มีสติปัญญานี้และการอิทธิฤทธิ์เหล่านี้มาจากไหน
13:55 คนนี้เป็นลูกของช่างไม้นั้นมิใช่หรือ มารดาของเขาชื่อมารีย์มิใช่หรือ และพวกน้องชายของเขาคือ ยากอบ และโยเสส และซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ
13:56 และพวกน้องสาวของเขา พวกเธอทุกคนก็อยู่กับพวกเรามิใช่หรือ แล้วคนนี้ได้สิ่งทั้งสิ้นเหล่านี้มาจากไหน”
13:57 และพวกเขาจึงหมางใจในพระองค์ แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ศาสดาพยากรณ์ย่อมไม่ปราศจากเกียรติยศ เว้นแต่ในบ้านเมืองของตนเอง และในครัวเรือนของตนเอง”
13:58 และพระองค์มิได้ทรงกระทำการอิทธิฤทธิ์มากที่นั่น เพราะเหตุความไม่เชื่อของพวกเขา

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์ / Thai Bible King James Version

© 2006 Philip Pope