ศัพท์สัมพันธ์
พระคริสตธรรมคัมภีร์
ภาษาไทยฉบับคิง เจมส์

Thai KJV Bible Concordance


กลับหน้าแรก / Main Menu

 

จง ( 4435 )
ปฐก 1.3; ปฐก 1.6; ปฐก 1.9; ปฐก 1.11; ปฐก 1.14; ปฐก 1.15; ปฐก 1.20; ปฐก 1.22; ปฐก 1.24; ปฐก 1.26; ปฐก 1.28; ปฐก 4.23; ปฐก 6.14; ปฐก 6.15; ปฐก 6.16; ปฐก 6.18; ปฐก 6.19; ปฐก 6.21; ปฐก 7.1; ปฐก 7.2; ปฐก 8.16; ปฐก 8.17; ปฐก 9.1; ปฐก 9.7; ปฐก 9.25; ปฐก 12.1; ปฐก 12.19; ปฐก 13.9; ปฐก 13.14; ปฐก 13.17; ปฐก 14.20; ปฐก 14.21; ปฐก 15.5; ปฐก 15.9; ปฐก 15.13; ปฐก 16.6; ปฐก 16.9; ปฐก 17.1; ปฐก 18.5; ปฐก 18.6; ปฐก 19.5; ปฐก 19.12; ปฐก 19.14; ปฐก 19.15; ปฐก 19.17; ปฐก 19.22; ปฐก 19.32; ปฐก 19.34; ปฐก 20.7; ปฐก 21.12; ปฐก 21.23; ปฐก 22.2; ปฐก 24.7; ปฐก 24.38; ปฐก 26.2; ปฐก 26.3; ปฐก 27.3; ปฐก 27.7; ปฐก 27.8; ปฐก 27.43; ปฐก 28.2; ปฐก 29.7; ปฐก 29.15; ปฐก 29.19; ปฐก 30.3; ปฐก 30.16; ปฐก 30.27; ปฐก 31.3; ปฐก 31.13; ปฐก 31.24; ปฐก 31.29; ปฐก 31.50; ปฐก 31.51; ปฐก 32.4; ปฐก 32.18; ปฐก 32.19; ปฐก 34.4; ปฐก 34.9; ปฐก 34.10; ปฐก 34.11; ปฐก 34.21; ปฐก 35.1; ปฐก 35.2; ปฐก 35.11; ปฐก 37.22; ปฐก 37.32; ปฐก 41.55; ปฐก 42.19; ปฐก 42.34; ปฐก 42.37; ปฐก 43.13; ปฐก 43.16; ปฐก 43.23; ปฐก 44.17; ปฐก 44.25; ปฐก 45.9; ปฐก 45.13; ปฐก 45.19; ปฐก 45.24; ปฐก 46.34; ปฐก 47.6; ปฐก 47.16; ปฐก 47.23; ปฐก 47.24; ปฐก 47.30; ปฐก 47.31; ปฐก 49.2; ปฐก 49.29; ปฐก 50.5; ปฐก 50.6; ปฐก 50.17; อพย 3.5; อพย 3.10; อพย 3.14; อพย 3.15; อพย 3.16; อพย 3.18; อพย 3.22; อพย 4.9; อพย 4.12; อพย 4.17; อพย 4.21; อพย 4.23; อพย 4.27; อพย 5.1; อพย 5.4; อพย 5.8; อพย 5.9; อพย 5.11; อพย 5.13; อพย 5.18; อพย 6.6; อพย 6.11; อพย 6.26; อพย 6.29; อพย 7.2; อพย 7.9; อพย 7.15; อพย 7.16; อพย 7.19; อพย 8.1; อพย 8.5; อพย 8.8; อพย 8.16; อพย 8.20; อพย 8.25; อพย 8.28; อพย 9.1; อพย 9.8; อพย 9.13; อพย 9.19; อพย 9.22; อพย 10.1; อพย 10.3; อพย 10.11; อพย 10.12; อพย 10.21; อพย 10.24; อพย 11.2; อพย 12.3; อพย 12.5; อพย 12.6; อพย 12.9; อพย 12.10; อพย 12.11; อพย 12.14; อพย 12.15; อพย 12.17; อพย 12.18; อพย 12.20; อพย 12.21; อพย 12.24; อพย 12.25; อพย 12.27; อพย 12.31; อพย 13.2; อพย 13.3; อพย 13.5; อพย 13.6; อพย 13.7; อพย 13.8; อพย 13.10; อพย 13.12; อพย 13.13; อพย 13.14; อพย 13.19; อพย 14.2; อพย 14.14; อพย 14.15; อพย 14.16; อพย 14.26; อพย 15.21; อพย 16.9; อพย 16.12; อพย 16.23; อพย 16.25; อพย 16.26; อพย 16.32; อพย 17.5; อพย 17.6; อพย 17.9; อพย 17.14; อพย 18.19; อพย 18.20; อพย 18.21; อพย 19.12; อพย 19.15; อพย 19.21; อพย 19.23; อพย 20.8; อพย 20.9; อพย 20.12; อพย 20.19; อพย 20.24; อพย 21.3; อพย 21.28; อพย 21.31; อพย 22.8; อพย 22.9; อพย 22.13; อพย 22.26; อพย 22.29; อพย 22.30; อพย 22.31; อพย 23.4; อพย 23.5; อพย 23.7; อพย 23.10; อพย 23.11; อพย 23.12; อพย 23.13; อพย 23.14; อพย 23.15; อพย 23.16; อพย 23.19; อพย 23.21; อพย 23.24; อพย 23.25; อพย 24.1; อพย 24.14; อพย 25.2; อพย 25.9; อพย 25.16; อพย 25.17; อพย 25.18; อพย 25.21; อพย 25.23; อพย 25.24; อพย 25.26; อพย 25.28; อพย 25.29; อพย 25.30; อพย 25.31; อพย 25.37; อพย 25.40; อพย 26.1; อพย 26.4; อพย 26.6; อพย 26.7; อพย 26.9; อพย 26.12; อพย 26.14; อพย 26.18; อพย 26.19; อพย 26.26; อพย 26.29; อพย 26.30; อพย 26.31; อพย 26.35; อพย 26.36; อพย 26.37; อพย 27.1; อพย 27.2; อพย 27.3; อพย 27.8; อพย 27.9; อพย 27.20; อพย 28.1; อพย 28.13; อพย 28.15; อพย 28.17; อพย 28.22; อพย 28.23; อพย 28.26; อพย 28.27; อพย 28.30; อพย 28.31; อพย 28.36; อพย 28.37; อพย 28.39; อพย 28.40; อพย 28.41; อพย 28.42; อพย 29.1; อพย 29.2; อพย 29.3; อพย 29.4; อพย 29.5; อพย 29.6; อพย 29.7; อพย 29.8; อพย 29.9; อพย 29.10; อพย 29.11; อพย 29.12; อพย 29.13; อพย 29.14; อพย 29.15; อพย 29.16; อพย 29.17; อพย 29.18; อพย 29.19; อพย 29.20; อพย 29.21; อพย 29.22; อพย 29.24; อพย 29.25; อพย 29.26; อพย 29.27; อพย 29.30; อพย 29.31; อพย 29.35; อพย 29.36; อพย 29.37; อพย 29.39; อพย 29.40; อพย 29.41; อพย 30.1; อพย 30.3; อพย 30.4; อพย 30.5; อพย 30.6; อพย 30.7; อพย 30.12; อพย 30.16; อพย 30.18; อพย 30.21; อพย 30.23; อพย 30.25; อพย 30.26; อพย 30.29; อพย 30.30; อพย 30.31; อพย 30.32; อพย 30.34; อพย 30.35; อพย 30.36; อพย 31.13; อพย 31.14; อพย 31.15; อพย 31.16; อพย 32.2; อพย 32.10; อพย 32.23; อพย 32.27; อพย 32.29; อพย 32.34; อพย 33.1; อพย 33.3; อพย 33.5; อพย 33.12; อพย 33.21; อพย 34.1; อพย 34.2; อพย 34.11; อพย 34.12; อพย 34.13; อพย 34.18; อพย 34.20; อพย 34.21; อพย 34.22; อพย 34.26; อพย 34.27; อพย 35.2; อพย 35.5; อพย 35.10; อพย 40.2; อพย 40.3; อพย 40.4; อพย 40.5; อพย 40.6; อพย 40.7; อพย 40.8; อพย 40.9; อพย 40.10; อพย 40.11; อพย 40.12; อพย 40.13; อพย 40.14; อพย 40.15; ลนต 1.2; ลนต 1.15; ลนต 2.6; ลนต 2.8; ลนต 2.13; ลนต 2.14; ลนต 2.15; ลนต 3.2; ลนต 4.2; ลนต 6.5; ลนต 6.9; ลนต 6.25; ลนต 6.28; ลนต 7.19; ลนต 7.23; ลนต 7.32; ลนต 8.2; ลนต 8.3; ลนต 8.31; ลนต 8.32; ลนต 8.35; ลนต 9.2; ลนต 9.3; ลนต 9.7; ลนต 10.4; ลนต 10.10; ลนต 10.12; ลนต 10.13; ลนต 10.14; ลนต 11.2; ลนต 11.33; ลนต 11.44; ลนต 12.2; ลนต 13.55; ลนต 13.57; ลนต 15.2; ลนต 16.2; ลนต 17.2; ลนต 17.8; ลนต 18.2; ลนต 18.4; ลนต 18.30; ลนต 19.2; ลนต 19.5; ลนต 19.6; ลนต 19.10; ลนต 19.14; ลนต 19.15; ลนต 19.17; ลนต 19.18; ลนต 19.19; ลนต 19.25; ลนต 19.30; ลนต 19.32; ลนต 19.34; ลนต 19.36; ลนต 19.37; ลนต 20.2; ลนต 20.7; ลนต 20.8; ลนต 20.15; ลนต 20.16; ลนต 20.22; ลนต 20.25; ลนต 20.27; ลนต 21.1; ลนต 21.8; ลนต 21.17; ลนต 22.2; ลนต 22.3; ลนต 22.18; ลนต 22.19; ลนต 22.29; ลนต 22.30; ลนต 22.31; ลนต 23.2; ลนต 23.3; ลนต 23.7; ลนต 23.8; ลนต 23.10; ลนต 23.12; ลนต 23.15; ลนต 23.16; ลนต 23.17; ลนต 23.18; ลนต 23.19; ลนต 23.21; ลนต 23.22; ลนต 23.24; ลนต 23.25; ลนต 23.32; ลนต 23.34; ลนต 23.36; ลนต 23.39; ลนต 23.40; ลนต 23.41; ลนต 23.42; ลนต 24.2; ลนต 24.5; ลนต 24.6; ลนต 24.7; ลนต 24.14; ลนต 24.15; ลนต 24.22; ลนต 25.2; ลนต 25.3; ลนต 25.8; ลนต 25.9; ลนต 25.10; ลนต 25.12; ลนต 25.15; ลนต 25.16; ลนต 25.17; ลนต 25.18; ลนต 25.24; ลนต 25.25; ลนต 25.27; ลนต 25.36; ลนต 25.43; ลนต 25.50; ลนต 26.2; ลนต 27.2; ลนต 27.27; กดว 1.2; กดว 1.3; กดว 1.4; กดว 1.50; กดว 3.6; กดว 3.9; กดว 3.10; กดว 3.15; กดว 3.40; กดว 3.41; กดว 3.45; กดว 3.47; กดว 4.2; กดว 4.19; กดว 4.22; กดว 4.23; กดว 4.29; กดว 4.30; กดว 4.32; กดว 5.2; กดว 5.3; กดว 5.6; กดว 5.12; กดว 6.2; กดว 6.23; กดว 7.5; กดว 8.2; กดว 8.6; กดว 8.7; กดว 8.8; กดว 8.9; กดว 8.12; กดว 8.13; กดว 8.14; กดว 8.26; กดว 9.3; กดว 9.8; กดว 9.10; กดว 9.14; กดว 10.2; กดว 10.7; กดว 10.10; กดว 11.12; กดว 11.16; กดว 11.18; กดว 12.4; กดว 12.6; กดว 12.14; กดว 13.2; กดว 13.17; กดว 13.20; กดว 14.25; กดว 14.28; กดว 15.2; กดว 15.5; กดว 15.6; กดว 15.7; กดว 15.11; กดว 15.12; กดว 15.18; กดว 15.19; กดว 15.20; กดว 15.21; กดว 15.38; กดว 16.6; กดว 16.7; กดว 16.8; กดว 16.16; กดว 16.17; กดว 16.21; กดว 16.24; กดว 16.30; กดว 16.37; กดว 16.38; กดว 16.45; กดว 16.46; กดว 17.2; กดว 17.4; กดว 17.10; กดว 18.2; กดว 18.7; กดว 18.10; กดว 18.17; กดว 18.26; กดว 18.28; กดว 18.29; กดว 18.30; กดว 19.2; กดว 19.3; กดว 19.17; กดว 20.8; กดว 20.10; กดว 20.25; กดว 20.26; กดว 21.8; กดว 21.16; กดว 21.17; กดว 22.8; กดว 22.13; กดว 22.20; กดว 22.35; กดว 23.1; กดว 23.3; กดว 23.5; กดว 23.13; กดว 23.15; กดว 23.16; กดว 23.18; กดว 23.29; กดว 24.11; กดว 25.4; กดว 25.5; กดว 25.12; กดว 25.17; กดว 26.2; กดว 26.4; กดว 27.7; กดว 27.8; กดว 27.9; กดว 27.10; กดว 27.11; กดว 27.12; กดว 27.18; กดว 27.19; กดว 27.20; กดว 28.2; กดว 28.3; กดว 28.4; กดว 28.7; กดว 28.8; กดว 28.11; กดว 28.12; กดว 28.13; กดว 28.14; กดว 28.17; กดว 28.19; กดว 28.20; กดว 28.21; กดว 28.23; กดว 28.24; กดว 28.25; กดว 28.26; กดว 28.27; กดว 28.31; กดว 29.1; กดว 29.2; กดว 29.3; กดว 29.7; กดว 29.8; กดว 29.12; กดว 29.13; กดว 29.17; กดว 29.20; กดว 29.23; กดว 29.26; กดว 29.29; กดว 29.32; กดว 29.35; กดว 29.36; กดว 29.39; กดว 31.2; กดว 31.3; กดว 31.4; กดว 31.17; กดว 31.18; กดว 31.19; กดว 31.23; กดว 31.26; กดว 31.28; กดว 31.29; กดว 31.30; กดว 32.23; กดว 32.24; กดว 32.29; กดว 33.51; กดว 33.52; กดว 33.53; กดว 33.54; กดว 34.2; กดว 34.7; กดว 34.8; กดว 34.10; กดว 34.18; กดว 35.2; กดว 35.5; กดว 35.6; กดว 35.10; กดว 35.11; กดว 35.14; กดว 36.6; พบญ 1.7; พบญ 1.8; พบญ 1.13; พบญ 1.16; พบญ 1.17; พบญ 1.21; พบญ 1.38; พบญ 1.40; พบญ 1.42; พบญ 2.3; พบญ 2.4; พบญ 2.6; พบญ 2.13; พบญ 2.24; พบญ 2.31; พบญ 3.18; พบญ 3.19; พบญ 3.27; พบญ 3.28; พบญ 4.1; พบญ 4.6; พบญ 4.9; พบญ 4.10; พบญ 4.15; พบญ 4.23; พบญ 4.32; พบญ 4.39; พบญ 4.40; พบญ 5.1; พบญ 5.12; พบญ 5.13; พบญ 5.15; พบญ 5.16; พบญ 5.27; พบญ 5.30; พบญ 5.31; พบญ 5.32; พบญ 5.33; พบญ 6.3; พบญ 6.4; พบญ 6.5; พบญ 6.6; พบญ 6.7; พบญ 6.8; พบญ 6.12; พบญ 6.13; พบญ 6.17; พบญ 6.18; พบญ 7.5; พบญ 7.11; พบญ 7.16; พบญ 7.18; พบญ 7.25; พบญ 7.26; พบญ 8.1; พบญ 8.2; พบญ 8.5; พบญ 8.6; พบญ 8.10; พบญ 8.11; พบญ 8.18; พบญ 9.1; พบญ 9.3; พบญ 9.6; พบญ 9.7; พบญ 9.12; พบญ 9.23; พบญ 10.1; พบญ 10.2; พบญ 10.11; พบญ 10.16; พบญ 10.19; พบญ 10.20; พบญ 11.1; พบญ 11.2; พบญ 11.8; พบญ 11.16; พบญ 11.18; พบญ 11.19; พบญ 11.20; พบญ 11.29; พบญ 11.32; พบญ 12.2; พบญ 12.3; พบญ 12.5; พบญ 12.6; พบญ 12.7; พบญ 12.11; พบญ 12.12; พบญ 12.13; พบญ 12.14; พบญ 12.16; พบญ 12.18; พบญ 12.19; พบญ 12.21; พบญ 12.24; พบญ 12.26; พบญ 12.27; พบญ 12.28; พบญ 12.30; พบญ 12.32; พบญ 13.4; พบญ 13.9; พบญ 13.10; พบญ 13.14; พบญ 13.15; พบญ 13.16; พบญ 14.22; พบญ 14.23; พบญ 14.25; พบญ 14.26; พบญ 14.28; พบญ 15.8; พบญ 15.9; พบญ 15.10; พบญ 15.12; พบญ 15.14; พบญ 15.15; พบญ 15.17; พบญ 15.19; พบญ 15.20; พบญ 15.22; พบญ 15.23; พบญ 16.1; พบญ 16.2; พบญ 16.3; พบญ 16.6; พบญ 16.7; พบญ 16.8; พบญ 16.9; พบญ 16.10; พบญ 16.11; พบญ 16.13; พบญ 16.14; พบญ 16.15; พบญ 16.18; พบญ 16.20; พบญ 17.5; พบญ 17.8; พบญ 17.9; พบญ 17.10; พบญ 17.11; พบญ 17.15; พบญ 18.4; พบญ 18.13; พบญ 18.15; พบญ 19.2; พบญ 19.3; พบญ 19.9; พบญ 19.13; พบญ 19.19; พบญ 20.3; พบญ 20.10; พบญ 20.13; พบญ 20.14; พบญ 20.15; พบญ 20.17; พบญ 21.12; พบญ 21.14; พบญ 21.23; พบญ 22.1; พบญ 22.2; พบญ 22.3; พบญ 22.4; พบญ 22.7; พบญ 22.8; พบญ 22.12; พบญ 22.24; พบญ 23.9; พบญ 23.13; พบญ 23.16; พบญ 23.23; พบญ 24.8; พบญ 24.9; พบญ 24.11; พบญ 24.13; พบญ 24.15; พบญ 24.21; พบญ 24.22; พบญ 25.12; พบญ 25.15; พบญ 25.17; พบญ 25.19; พบญ 26.2; พบญ 26.3; พบญ 26.5; พบญ 26.10; พบญ 26.11; พบญ 26.13; พบญ 26.16; พบญ 27.1; พบญ 27.2; พบญ 27.3; พบญ 27.4; พบญ 27.5; พบญ 27.6; พบญ 27.7; พบญ 27.8; พบญ 27.9; พบญ 27.10; พบญ 29.9; พบญ 29.18; พบญ 30.15; พบญ 30.19; พบญ 31.6; พบญ 31.7; พบญ 31.11; พบญ 31.12; พบญ 31.14; พบญ 31.19; พบญ 31.23; พบญ 31.26; พบญ 31.28; พบญ 32.1; พบญ 32.3; พบญ 32.7; พบญ 32.39; พบญ 32.43; พบญ 32.46; พบญ 32.49; พบญ 33.18; พบญ 33.23; ยชว 1.2; ยชว 1.6; ยชว 1.7; ยชว 1.8; ยชว 1.9; ยชว 1.11; ยชว 1.13; ยชว 1.14; ยชว 2.1; ยชว 2.3; ยชว 2.5; ยชว 2.16; ยชว 2.18; ยชว 3.5; ยชว 3.6; ยชว 3.8; ยชว 3.9; ยชว 3.12; ยชว 4.2; ยชว 4.3; ยชว 4.5; ยชว 4.7; ยชว 4.16; ยชว 4.17; ยชว 4.22; ยชว 5.2; ยชว 5.15; ยชว 6.3; ยชว 6.4; ยชว 6.6; ยชว 6.7; ยชว 6.16; ยชว 6.18; ยชว 6.22; ยชว 7.2; ยชว 7.10; ยชว 7.13; ยชว 7.14; ยชว 7.19; ยชว 8.1; ยชว 8.2; ยชว 8.4; ยชว 8.7; ยชว 8.8; ยชว 8.18; ยชว 9.11; ยชว 9.25; ยชว 10.12; ยชว 10.18; ยชว 10.19; ยชว 10.22; ยชว 10.24; ยชว 10.25; ยชว 11.6; ยชว 13.6; ยชว 13.7; ยชว 17.15; ยชว 17.18; ยชว 18.4; ยชว 18.8; ยชว 20.2; ยชว 22.4; ยชว 22.5; ยชว 22.8; ยชว 22.19; ยชว 23.6; ยชว 23.8; ยชว 23.11; ยชว 23.13; ยชว 24.14; ยชว 24.15; ยชว 24.23; วนฉ 1.3; วนฉ 3.28; วนฉ 4.6; วนฉ 4.20; วนฉ 5.2; วนฉ 5.3; วนฉ 5.9; วนฉ 5.10; วนฉ 5.23; วนฉ 6.14; วนฉ 6.20; วนฉ 6.23; วนฉ 6.25; วนฉ 6.30; วนฉ 7.3; วนฉ 7.4; วนฉ 7.5; วนฉ 7.9; วนฉ 7.10; วนฉ 7.15; วนฉ 7.17; วนฉ 7.18; วนฉ 7.24; วนฉ 8.15; วนฉ 8.20; วนฉ 8.22; วนฉ 9.7; วนฉ 9.15; วนฉ 9.19; วนฉ 9.28; วนฉ 9.29; วนฉ 9.32; วนฉ 9.33; วนฉ 9.38; วนฉ 9.48; วนฉ 10.14; วนฉ 11.6; วนฉ 12.6; วนฉ 13.4; วนฉ 13.16; วนฉ 14.15; วนฉ 15.2; วนฉ 16.5; วนฉ 16.18; วนฉ 16.25; วนฉ 17.10; วนฉ 18.2; วนฉ 18.6; วนฉ 18.9; วนฉ 19.5; วนฉ 19.6; วนฉ 19.24; วนฉ 19.30; วนฉ 20.7; วนฉ 20.13; วนฉ 20.28; วนฉ 21.10; วนฉ 21.11; วนฉ 21.20; วนฉ 21.21; นรธ 1.11; นรธ 1.15; นรธ 2.2; นรธ 2.8; นรธ 2.9; นรธ 2.12; นรธ 2.15; นรธ 2.16; นรธ 2.21; นรธ 3.3; นรธ 3.4; นรธ 3.13; นรธ 3.15; นรธ 3.18; นรธ 4.4; นรธ 4.6; นรธ 4.8; นรธ 4.11; 1ซมอ 1.17; 1ซมอ 1.23; 1ซมอ 2.16; 1ซมอ 3.5; 1ซมอ 3.6; 1ซมอ 3.9; 1ซมอ 4.9; 1ซมอ 5.11; 1ซมอ 6.5; 1ซมอ 6.7; 1ซมอ 6.8; 1ซมอ 7.3; 1ซมอ 7.5; 1ซมอ 8.7; 1ซมอ 8.9; 1ซมอ 8.22; 1ซมอ 9.12; 1ซมอ 9.13; 1ซมอ 9.16; 1ซมอ 9.19; 1ซมอ 9.23; 1ซมอ 9.24; 1ซมอ 9.26; 1ซมอ 9.27; 1ซมอ 10.7; 1ซมอ 10.8; 1ซมอ 10.19; 1ซมอ 11.9; 1ซมอ 11.10; 1ซมอ 11.12; 1ซมอ 12.7; 1ซมอ 12.13; 1ซมอ 12.16; 1ซมอ 12.20; 1ซมอ 12.24; 1ซมอ 13.9; 1ซมอ 14.7; 1ซมอ 14.9; 1ซมอ 14.10; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.17; 1ซมอ 14.18; 1ซมอ 14.33; 1ซมอ 14.34; 1ซมอ 14.36; 1ซมอ 14.40; 1ซมอ 14.43; 1ซมอ 15.3; 1ซมอ 15.6; 1ซมอ 15.16; 1ซมอ 15.18; 1ซมอ 15.32; 1ซมอ 16.1; 1ซมอ 16.2; 1ซมอ 16.3; 1ซมอ 16.5; 1ซมอ 16.11; 1ซมอ 16.12; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 16.17; 1ซมอ 16.19; 1ซมอ 17.8; 1ซมอ 17.10; 1ซมอ 17.17; 1ซมอ 17.18; 1ซมอ 17.37; 1ซมอ 18.17; 1ซมอ 18.22; 1ซมอ 18.25; 1ซมอ 19.2; 1ซมอ 19.15; 1ซมอ 20.19; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 20.22; 1ซมอ 20.31; 1ซมอ 20.36; 1ซมอ 20.38; 1ซมอ 20.40; 1ซมอ 20.42; 1ซมอ 21.9; 1ซมอ 22.5; 1ซมอ 22.7; 1ซมอ 22.12; 1ซมอ 22.17; 1ซมอ 22.18; 1ซมอ 22.23; 1ซมอ 23.2; 1ซมอ 23.4; 1ซมอ 23.9; 1ซมอ 23.22; 1ซมอ 23.23; 1ซมอ 24.21; 1ซมอ 25.5; 1ซมอ 25.6; 1ซมอ 25.13; 1ซมอ 25.19; 1ซมอ 25.26; 1ซมอ 25.35; 1ซมอ 26.11; 1ซมอ 26.19; 1ซมอ 26.21; 1ซมอ 28.1; 1ซมอ 28.7; 1ซมอ 28.22; 1ซมอ 29.7; 1ซมอ 29.10; 1ซมอ 30.8; 1ซมอ 31.4; 2ซมอ 1.9; 2ซมอ 1.24; 2ซมอ 2.1; 2ซมอ 2.21; 2ซมอ 2.22; 2ซมอ 3.18; 2ซมอ 3.31; 2ซมอ 5.19; 2ซมอ 5.23; 2ซมอ 5.24; 2ซมอ 7.5; 2ซมอ 7.8; 2ซมอ 9.7; 2ซมอ 9.11; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.11; 2ซมอ 10.12; 2ซมอ 11.6; 2ซมอ 11.8; 2ซมอ 11.15; 2ซมอ 11.21; 2ซมอ 11.25; 2ซมอ 13.7; 2ซมอ 13.10; 2ซมอ 13.15; 2ซมอ 13.17; 2ซมอ 13.20; 2ซมอ 13.28; 2ซมอ 14.2; 2ซมอ 14.3; 2ซมอ 14.7; 2ซมอ 14.10; 2ซมอ 14.18; 2ซมอ 14.21; 2ซมอ 14.30; 2ซมอ 15.9; 2ซมอ 15.10; 2ซมอ 15.14; 2ซมอ 15.19; 2ซมอ 15.20; 2ซมอ 15.22; 2ซมอ 15.25; 2ซมอ 15.27; 2ซมอ 15.35; 2ซมอ 15.36; 2ซมอ 16.7; 2ซมอ 16.10; 2ซมอ 16.20; 2ซมอ 16.21; 2ซมอ 17.5; 2ซมอ 17.6; 2ซมอ 17.16; 2ซมอ 18.12; 2ซมอ 18.20; 2ซมอ 18.21; 2ซมอ 18.30; 2ซมอ 19.13; 2ซมอ 19.29; 2ซมอ 19.38; 2ซมอ 20.4; 2ซมอ 20.6; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 24.1; 2ซมอ 24.2; 2ซมอ 24.12; 2ซมอ 24.22; 2ซมอ 24.23; 1พกษ 1.28; 1พกษ 1.31; 1พกษ 1.32; 1พกษ 1.33; 1พกษ 1.34; 1พกษ 1.35; 1พกษ 1.53; 1พกษ 2.2; 1พกษ 2.3; 1พกษ 2.6; 1พกษ 2.7; 1พกษ 2.9; 1พกษ 2.14; 1พกษ 2.16; 1พกษ 2.26; 1พกษ 2.29; 1พกษ 2.30; 1พกษ 2.31; 1พกษ 2.36; 1พกษ 2.37; 1พกษ 2.42; 1พกษ 3.5; 1พกษ 3.25; 1พกษ 3.27; 1พกษ 8.26; 1พกษ 8.52; 1พกษ 11.31; 1พกษ 12.5; 1พกษ 12.10; 1พกษ 12.12; 1พกษ 12.16; 1พกษ 12.23; 1พกษ 12.24; 1พกษ 12.28; 1พกษ 13.4; 1พกษ 13.6; 1พกษ 13.13; 1พกษ 13.18; 1พกษ 13.27; 1พกษ 13.31; 1พกษ 14.2; 1พกษ 14.3; 1พกษ 14.5; 1พกษ 17.3; 1พกษ 17.13; 1พกษ 18.5; 1พกษ 18.8; 1พกษ 18.11; 1พกษ 18.14; 1พกษ 18.21; 1พกษ 18.24; 1พกษ 18.25; 1พกษ 18.30; 1พกษ 18.33; 1พกษ 18.34; 1พกษ 18.40; 1พกษ 18.43; 1พกษ 18.44; 1พกษ 19.11; 1พกษ 19.15; 1พกษ 19.16; 1พกษ 20.5; 1พกษ 20.9; 1พกษ 20.12; 1พกษ 20.18; 1พกษ 20.39; 1พกษ 21.2; 1พกษ 21.6; 1พกษ 21.9; 1พกษ 21.18; 1พกษ 21.19; 1พกษ 22.22; 1พกษ 22.26; 1พกษ 22.28; 1พกษ 22.30; 1พกษ 22.36; 2พกษ 1.2; 2พกษ 1.3; 2พกษ 1.6; 2พกษ 1.15; 2พกษ 2.2; 2พกษ 2.6; 2พกษ 2.9; 2พกษ 2.16; 2พกษ 2.20; 2พกษ 2.23; 2พกษ 4.3; 2พกษ 4.4; 2พกษ 4.7; 2พกษ 4.13; 2พกษ 4.24; 2พกษ 4.26; 2พกษ 4.29; 2พกษ 4.36; 2พกษ 4.38; 2พกษ 4.41; 2พกษ 4.42; 2พกษ 4.43; 2พกษ 5.5; 2พกษ 5.10; 2พกษ 5.13; 2พกษ 5.19; 2พกษ 6.13; 2พกษ 6.19; 2พกษ 6.32; 2พกษ 7.4; 2พกษ 7.14; 2พกษ 8.1; 2พกษ 8.4; 2พกษ 8.6; 2พกษ 8.8; 2พกษ 8.10; 2พกษ 9.1; 2พกษ 9.2; 2พกษ 9.3; 2พกษ 9.7; 2พกษ 9.17; 2พกษ 9.18; 2พกษ 9.19; 2พกษ 9.21; 2พกษ 9.25; 2พกษ 9.26; 2พกษ 9.27; 2พกษ 10.3; 2พกษ 10.6; 2พกษ 10.8; 2พกษ 10.10; 2พกษ 10.19; 2พกษ 10.20; 2พกษ 10.22; 2พกษ 10.23; 2พกษ 10.25; 2พกษ 11.8; 2พกษ 11.15; 2พกษ 14.9; 2พกษ 14.10; 2พกษ 16.15; 2พกษ 17.13; 2พกษ 17.27; 2พกษ 17.36; 2พกษ 17.37; 2พกษ 17.39; 2พกษ 18.19; 2พกษ 18.22; 2พกษ 18.25; 2พกษ 18.28; 2พกษ 18.31; 2พกษ 19.6; 2พกษ 19.10; 2พกษ 19.29; 2พกษ 20.1; 2พกษ 20.5; 2พกษ 22.4; 2พกษ 22.13; 2พกษ 22.15; 2พกษ 22.18; 2พกษ 23.21; 2พกษ 25.24; 1พศด 10.4; 1พศด 12.18; 1พศด 14.14; 1พศด 14.15; 1พศด 15.12; 1พศด 16.8; 1พศด 16.9; 1พศด 16.10; 1พศด 16.11; 1พศด 16.12; 1พศด 16.15; 1พศด 16.23; 1พศด 16.24; 1พศด 16.28; 1พศด 16.29; 1พศด 16.30; 1พศด 16.31; 1พศด 16.34; 1พศด 16.35; 1พศด 16.36; 1พศด 17.4; 1พศด 17.7; 1พศด 17.23; 1พศด 19.5; 1พศด 19.12; 1พศด 19.13; 1พศด 21.2; 1พศด 21.10; 1พศด 21.11; 1พศด 21.22; 1พศด 22.13; 1พศด 22.19; 1พศด 28.2; 1พศด 28.8; 1พศด 28.9; 1พศด 28.10; 1พศด 28.20; 1พศด 29.20; 2พศด 1.7; 2พศด 6.17; 2พศด 10.5; 2พศด 10.10; 2พศด 10.12; 2พศด 10.16; 2พศด 11.3; 2พศด 11.4; 2พศด 15.2; 2พศด 15.7; 2พศด 18.21; 2พศด 18.25; 2พศด 18.27; 2พศด 18.29; 2พศด 19.6; 2พศด 19.7; 2พศด 19.9; 2พศด 19.10; 2พศด 19.11; 2พศด 20.15; 2พศด 20.16; 2พศด 20.17; 2พศด 20.20; 2พศด 20.21; 2พศด 23.4; 2พศด 23.7; 2พศด 23.14; 2พศด 24.5; 2พศด 25.18; 2พศด 25.19; 2พศด 29.5; 2พศด 29.31; 2พศด 30.6; 2พศด 30.8; 2พศด 32.7; 2พศด 32.12; 2พศด 34.21; 2พศด 34.23; 2พศด 34.26; 2พศด 35.3; 2พศด 35.4; 2พศด 35.23; อสร 4.21; อสร 5.15; อสร 6.5; อสร 6.6; อสร 6.7; อสร 7.17; อสร 7.18; อสร 7.19; อสร 7.20; อสร 7.21; อสร 7.23; อสร 7.25; อสร 8.29; อสร 10.4; อสร 10.11; นหม 4.14; นหม 4.20; นหม 5.11; นหม 7.3; นหม 8.11; นหม 8.15; นหม 9.5; โยบ 2.6; โยบ 2.9; โยบ 5.27; โยบ 11.6; โยบ 18.2; โยบ 19.6; โยบ 19.29; โยบ 21.5; โยบ 22.21; โยบ 22.22; โยบ 33.5; โยบ 34.34; โยบ 35.5; โยบ 35.14; โยบ 36.18; โยบ 36.24; โยบ 37.2; โยบ 37.14; โยบ 37.19; โยบ 38.3; โยบ 38.18; โยบ 40.7; โยบ 40.10; โยบ 40.11; โยบ 40.12; โยบ 42.8; สดด 2.8; สดด 2.10; สดด 2.11; สดด 2.12; สดด 4.3; สดด 4.4; สดด 4.5; สดด 6.8; สดด 7.9; สดด 9.11; สดด 11.1; สดด 22.8; สดด 22.23; สดด 24.7; สดด 24.9; สดด 27.8; สดด 27.14; สดด 29.1; สดด 29.2; สดด 30.4; สดด 31.23; สดด 31.24; สดด 32.11; สดด 33.1; สดด 33.2; สดด 33.3; สดด 33.22; สดด 34.9; สดด 34.13; สดด 34.14; สดด 37.3; สดด 37.4; สดด 37.5; สดด 37.7; สดด 37.8; สดด 37.27; สดด 37.34; สดด 37.37; สดด 42.5; สดด 42.11; สดด 43.5; สดด 45.10; สดด 45.11; สดด 46.10; สดด 47.1; สดด 47.6; สดด 47.7; สดด 48.11; สดด 48.12; สดด 48.13; สดด 49.1; สดด 50.5; สดด 50.7; สดด 50.14; สดด 50.15; สดด 50.22; สดด 52.7; สดด 55.22; สดด 57.8; สดด 62.5; สดด 62.8; สดด 66.1; สดด 66.2; สดด 66.3; สดด 66.5; สดด 66.8; สดด 68.4; สดด 68.26; สดด 68.32; สดด 68.34; สดด 71.11; สดด 74.8; สดด 76.11; สดด 78.1; สดด 80.17; สดด 81.1; สดด 81.2; สดด 81.3; สดด 81.8; สดด 82.3; สดด 82.4; สดด 90.3; สดด 94.8; สดด 96.1; สดด 96.2; สดด 96.3; สดด 96.7; สดด 96.8; สดด 96.9; สดด 96.10; สดด 96.11; สดด 97.1; สดด 97.10; สดด 97.12; สดด 98.1; สดด 98.4; สดด 98.5; สดด 98.6; สดด 99.5; สดด 99.9; สดด 100.1; สดด 100.2; สดด 100.3; สดด 100.4; สดด 102.18; สดด 103.1; สดด 103.2; สดด 103.20; สดด 103.21; สดด 103.22; สดด 104.1; สดด 104.35; สดด 105.1; สดด 105.2; สดด 105.3; สดด 105.4; สดด 105.5; สดด 105.45; สดด 106.1; สดด 106.48; สดด 107.1; สดด 108.2; สดด 109.17; สดด 110.1; สดด 110.2; สดด 111.1; สดด 112.1; สดด 113.1; สดด 113.9; สดด 115.9; สดด 115.10; สดด 115.11; สดด 115.18; สดด 116.19; สดด 117.1; สดด 117.2; สดด 118.1; สดด 118.2; สดด 118.3; สดด 118.4; สดด 118.26; สดด 118.27; สดด 118.29; สดด 122.6; สดด 122.7; สดด 122.8; สดด 130.7; สดด 131.3; สดด 134.2; สดด 135.1; สดด 135.3; สดด 135.19; สดด 135.20; สดด 135.21; สดด 136.1; สดด 136.2; สดด 136.3; สดด 136.26; สดด 137.3; สดด 137.7; สดด 137.8; สดด 137.9; สดด 139.19; สดด 146.1; สดด 146.10; สดด 147.1; สดด 147.7; สดด 147.12; สดด 147.20; สดด 148.1; สดด 148.2; สดด 148.3; สดด 148.4; สดด 148.7; สดด 148.14; สดด 149.1; สดด 149.9; สดด 150.1; สดด 150.2; สดด 150.3; สดด 150.4; สดด 150.5; สดด 150.6; สภษ 1.8; สภษ 1.14; สภษ 1.15; สภษ 1.23; สภษ 3.3; สภษ 3.5; สภษ 3.6; สภษ 3.7; สภษ 3.9; สภษ 3.21; สภษ 4.1; สภษ 4.4; สภษ 4.5; สภษ 4.6; สภษ 4.7; สภษ 4.8; สภษ 4.10; สภษ 4.13; สภษ 4.15; สภษ 4.20; สภษ 4.21; สภษ 4.23; สภษ 4.24; สภษ 4.26; สภษ 4.27; สภษ 5.1; สภษ 5.7; สภษ 5.8; สภษ 5.15; สภษ 5.16; สภษ 5.17; สภษ 5.18; สภษ 5.19; สภษ 6.3; สภษ 6.5; สภษ 6.6; สภษ 6.20; สภษ 7.1; สภษ 7.2; สภษ 7.4; สภษ 7.24; สภษ 8.5; สภษ 8.10; สภษ 8.32; สภษ 8.33; สภษ 9.6; สภษ 9.8; สภษ 9.9; สภษ 14.7; สภษ 16.3; สภษ 17.14; สภษ 19.18; สภษ 19.20; สภษ 19.25; สภษ 19.27; สภษ 20.13; สภษ 20.16; สภษ 20.18; สภษ 20.22; สภษ 22.6; สภษ 22.10; สภษ 23.1; สภษ 23.2; สภษ 23.4; สภษ 23.7; สภษ 23.12; สภษ 23.17; สภษ 23.19; สภษ 23.22; สภษ 23.23; สภษ 24.13; สภษ 24.21; สภษ 24.27; สภษ 25.4; สภษ 25.5; สภษ 25.9; สภษ 25.16; สภษ 25.21; สภษ 26.5; สภษ 27.2; สภษ 27.11; สภษ 27.13; สภษ 27.23; สภษ 29.17; สภษ 30.32; สภษ 31.6; สภษ 31.7; สภษ 31.8; สภษ 31.9; สภษ 31.31; ปญจ 2.1; ปญจ 5.1; ปญจ 5.2; ปญจ 5.4; ปญจ 5.7; ปญจ 7.13; ปญจ 7.14; ปญจ 8.2; ปญจ 9.8; ปญจ 9.9; ปญจ 9.10; ปญจ 11.1; ปญจ 11.2; ปญจ 11.6; ปญจ 11.8; ปญจ 11.9; ปญจ 11.10; ปญจ 12.1; ปญจ 12.12; ปญจ 12.13; พซม 1.8; พซม 2.5; พซม 2.10; พซม 2.13; พซม 2.15; พซม 3.11; พซม 4.8; พซม 4.16; พซม 5.1; พซม 6.13; พซม 8.6; อสย 1.2; อสย 1.10; อสย 1.16; อสย 1.17; อสย 2.10; อสย 2.22; อสย 3.6; อสย 3.10; อสย 4.1; อสย 6.10; อสย 7.3; อสย 7.4; อสย 7.11; อสย 7.13; อสย 8.1; อสย 8.3; อสย 8.9; อสย 8.10; อสย 8.13; อสย 8.16; อสย 8.19; อสย 12.4; อสย 12.5; อสย 12.6; อสย 13.2; อสย 13.6; อสย 14.21; อสย 14.31; อสย 16.1; อสย 16.3; อสย 16.4; อสย 18.2; อสย 18.3; อสย 19.25; อสย 20.2; อสย 21.2; อสย 21.5; อสย 21.6; อสย 21.12; อสย 22.15; อสย 23.1; อสย 23.2; อสย 23.4; อสย 23.6; อสย 23.10; อสย 23.12; อสย 23.13; อสย 23.14; อสย 23.16; อสย 24.15; อสย 24.16; อสย 26.2; อสย 26.4; อสย 26.19; อสย 26.20; อสย 27.2; อสย 28.12; อสย 28.14; อสย 29.1; อสย 29.9; อสย 30.10; อสย 30.21; อสย 31.6; อสย 32.9; อสย 32.11; อสย 33.13; อสย 33.20; อสย 34.1; อสย 34.16; อสย 35.3; อสย 35.4; อสย 36.4; อสย 36.7; อสย 36.10; อสย 36.13; อสย 36.16; อสย 36.18; อสย 37.6; อสย 37.10; อสย 37.30; อสย 38.1; อสย 38.5; อสย 40.1; อสย 40.2; อสย 40.3; อสย 40.9; อสย 40.26; อสย 41.1; อสย 41.6; อสย 41.21; อสย 41.22; อสย 41.23; อสย 42.1; อสย 42.10; อสย 42.11; อสย 42.12; อสย 43.6; อสย 43.8; อสย 43.26; อสย 44.1; อสย 44.21; อสย 44.22; อสย 44.23; อสย 44.27; อสย 45.8; อสย 45.9; อสย 45.19; อสย 45.20; อสย 45.21; อสย 45.22; อสย 46.3; อสย 46.8; อสย 46.9; อสย 46.12; อสย 47.1; อสย 47.5; อสย 47.8; อสย 47.12; อสย 48.6; อสย 48.14; อสย 48.16; อสย 48.20; อสย 49.1; อสย 49.9; อสย 49.13; อสย 49.18; อสย 49.20; อสย 50.10; อสย 50.11; อสย 51.1; อสย 51.2; อสย 51.4; อสย 51.6; อสย 51.7; อสย 51.9; อสย 51.17; อสย 51.21; อสย 52.1; อสย 52.2; อสย 52.9; อสย 52.11; อสย 54.1; อสย 54.2; อสย 55.1; อสย 55.2; อสย 55.3; อสย 55.6; อสย 56.1; อสย 57.3; อสย 57.14; อสย 58.1; อสย 60.1; อสย 60.4; อสย 62.10; อสย 62.11; อสย 65.18; อสย 66.5; อสย 66.10; ยรม 1.17; ยรม 2.2; ยรม 2.4; ยรม 2.10; ยรม 2.12; ยรม 2.19; ยรม 2.23; ยรม 2.31; ยรม 3.1; ยรม 3.2; ยรม 3.7; ยรม 3.12; ยรม 3.22; ยรม 4.1; ยรม 4.3; ยรม 4.4; ยรม 4.5; ยรม 4.6; ยรม 4.8; ยรม 4.14; ยรม 4.16; ยรม 5.1; ยรม 5.20; ยรม 5.21; ยรม 6.1; ยรม 6.4; ยรม 6.6; ยรม 6.8; ยรม 6.16; ยรม 6.17; ยรม 6.18; ยรม 6.19; ยรม 6.26; ยรม 7.2; ยรม 7.3; ยรม 7.12; ยรม 7.21; ยรม 7.23; ยรม 7.27; ยรม 7.28; ยรม 7.29; ยรม 8.4; ยรม 8.14; ยรม 9.17; ยรม 9.20; ยรม 9.22; ยรม 10.1; ยรม 10.11; ยรม 10.17; ยรม 11.2; ยรม 11.3; ยรม 11.4; ยรม 11.6; ยรม 11.7; ยรม 13.1; ยรม 13.4; ยรม 13.6; ยรม 13.12; ยรม 13.13; ยรม 13.15; ยรม 13.16; ยรม 13.18; ยรม 13.20; ยรม 14.17; ยรม 15.2; ยรม 15.19; ยรม 17.19; ยรม 17.20; ยรม 17.21; ยรม 17.22; ยรม 18.2; ยรม 18.11; ยรม 18.13; ยรม 19.1; ยรม 19.3; ยรม 19.10; ยรม 19.11; ยรม 20.13; ยรม 21.2; ยรม 21.3; ยรม 21.8; ยรม 21.11; ยรม 21.12; ยรม 22.1; ยรม 22.2; ยรม 22.3; ยรม 22.10; ยรม 22.20; ยรม 22.29; ยรม 22.30; ยรม 23.1; ยรม 23.28; ยรม 23.33; ยรม 23.35; ยรม 23.37; ยรม 25.5; ยรม 25.15; ยรม 25.27; ยรม 25.28; ยรม 25.30; ยรม 25.34; ยรม 26.2; ยรม 26.4; ยรม 26.13; ยรม 27.2; ยรม 27.4; ยรม 27.12; ยรม 27.17; ยรม 28.13; ยรม 29.5; ยรม 29.6; ยรม 29.7; ยรม 29.16; ยรม 29.20; ยรม 29.24; ยรม 29.28; ยรม 29.31; ยรม 30.2; ยรม 30.6; ยรม 31.6; ยรม 31.7; ยรม 31.10; ยรม 31.21; ยรม 31.34; ยรม 32.7; ยรม 32.8; ยรม 32.14; ยรม 32.25; ยรม 33.3; ยรม 33.11; ยรม 34.2; ยรม 35.2; ยรม 35.7; ยรม 35.13; ยรม 35.15; ยรม 36.2; ยรม 36.6; ยรม 36.14; ยรม 36.15; ยรม 36.17; ยรม 36.19; ยรม 36.28; ยรม 36.29; ยรม 37.7; ยรม 38.10; ยรม 38.12; ยรม 38.25; ยรม 38.26; ยรม 39.12; ยรม 39.16; ยรม 40.4; ยรม 40.5; ยรม 40.9; ยรม 40.10; ยรม 40.15; ยรม 42.5; ยรม 42.19; ยรม 42.22; ยรม 43.9; ยรม 43.10; ยรม 44.24; ยรม 44.26; ยรม 45.4; ยรม 46.3; ยรม 46.4; ยรม 46.9; ยรม 46.11; ยรม 46.14; ยรม 46.19; ยรม 47.6; ยรม 48.6; ยรม 48.9; ยรม 48.17; ยรม 48.18; ยรม 48.19; ยรม 48.20; ยรม 48.26; ยรม 48.28; ยรม 49.3; ยรม 49.8; ยรม 49.11; ยรม 49.14; ยรม 49.20; ยรม 49.28; ยรม 49.30; ยรม 49.31; ยรม 50.2; ยรม 50.8; ยรม 50.14; ยรม 50.15; ยรม 50.16; ยรม 50.21; ยรม 50.26; ยรม 50.27; ยรม 50.29; ยรม 50.45; ยรม 51.3; ยรม 51.6; ยรม 51.8; ยรม 51.11; ยรม 51.12; ยรม 51.27; ยรม 51.28; ยรม 51.35; ยรม 51.45; ยรม 51.50; ยรม 51.61; ยรม 51.62; ยรม 51.63; ยรม 51.64; พคค 1.12; พคค 2.18; พคค 2.19; พคค 4.21; อสค 2.8; อสค 3.1; อสค 3.3; อสค 3.4; อสค 3.10; อสค 3.11; อสค 3.12; อสค 3.17; อสค 3.22; อสค 3.24; อสค 4.1; อสค 4.2; อสค 4.3; อสค 4.4; อสค 4.7; อสค 4.9; อสค 4.10; อสค 4.11; อสค 5.1; อสค 5.2; อสค 5.3; อสค 5.4; อสค 6.2; อสค 6.3; อสค 6.11; อสค 7.23; อสค 8.5; อสค 8.6; อสค 8.8; อสค 8.9; อสค 8.13; อสค 8.15; อสค 9.1; อสค 9.4; อสค 9.5; อสค 9.6; อสค 9.7; อสค 10.2; อสค 10.6; อสค 11.4; อสค 11.5; อสค 11.15; อสค 11.16; อสค 11.17; อสค 12.3; อสค 12.4; อสค 12.5; อสค 12.6; อสค 12.10; อสค 12.11; อสค 12.18; อสค 12.23; อสค 12.28; อสค 13.2; อสค 13.11; อสค 13.17; อสค 14.4; อสค 14.6; อสค 14.17; อสค 16.2; อสค 16.6; อสค 16.35; อสค 16.52; อสค 17.2; อสค 17.9; อสค 17.12; อสค 18.25; อสค 18.30; อสค 18.31; อสค 18.32; อสค 19.1; อสค 20.3; อสค 20.4; อสค 20.5; อสค 20.7; อสค 20.19; อสค 20.27; อสค 20.30; อสค 20.39; อสค 20.46; อสค 20.47; อสค 21.2; อสค 21.4; อสค 21.6; อสค 21.7; อสค 21.9; อสค 21.12; อสค 21.14; อสค 21.19; อสค 21.26; อสค 21.28; อสค 22.2; อสค 22.3; อสค 22.24; อสค 23.35; อสค 23.36; อสค 23.46; อสค 24.2; อสค 24.3; อสค 24.5; อสค 24.6; อสค 24.10; อสค 24.17; อสค 24.21; อสค 25.2; อสค 25.3; อสค 27.2; อสค 27.3; อสค 28.2; อสค 28.12; อสค 28.21; อสค 29.2; อสค 30.2; อสค 31.2; อสค 32.2; อสค 32.18; อสค 32.19; อสค 32.20; อสค 33.2; อสค 33.7; อสค 33.10; อสค 33.11; อสค 33.12; อสค 33.25; อสค 33.27; อสค 34.2; อสค 34.7; อสค 34.9; อสค 35.2; อสค 36.1; อสค 36.3; อสค 36.4; อสค 36.6; อสค 36.22; อสค 36.32; อสค 37.4; อสค 37.9; อสค 37.12; อสค 37.16; อสค 37.19; อสค 37.21; อสค 38.2; อสค 38.3; อสค 38.7; อสค 38.14; อสค 39.1; อสค 39.17; อสค 40.4; อสค 43.10; อสค 43.11; อสค 43.19; อสค 43.20; อสค 43.21; อสค 43.22; อสค 43.23; อสค 43.24; อสค 43.25; อสค 44.5; อสค 44.6; อสค 44.30; อสค 45.1; อสค 45.3; อสค 45.9; อสค 45.10; อสค 45.18; อสค 45.19; อสค 45.20; อสค 45.21; อสค 47.14; อสค 47.18; อสค 47.21; อสค 47.22; อสค 47.23; ดนล 1.12; ดนล 1.13; ดนล 2.6; ดนล 2.9; ดนล 3.15; ดนล 3.26; ดนล 4.1; ดนล 4.9; ดนล 4.14; ดนล 4.15; ดนล 4.18; ดนล 4.23; ดนล 6.25; ดนล 7.5; ดนล 8.16; ดนล 8.17; ดนล 8.26; ดนล 9.23; ดนล 9.25; ดนล 10.11; ดนล 10.19; ดนล 12.4; ดนล 12.13; ฮชย 1.4; ฮชย 1.6; ฮชย 1.9; ฮชย 2.1; ฮชย 2.2; ฮชย 3.1; ฮชย 4.1; ฮชย 4.18; ฮชย 5.1; ฮชย 5.8; ฮชย 7.13; ฮชย 8.1; ฮชย 10.8; ฮชย 10.12; ฮชย 12.6; ฮชย 13.2; ฮชย 14.1; ฮชย 14.2; ยอล 1.2; ยอล 1.3; ยอล 1.5; ยอล 1.8; ยอล 1.11; ยอล 1.13; ยอล 1.14; ยอล 2.1; ยอล 2.12; ยอล 2.13; ยอล 2.15; ยอล 2.16; ยอล 2.21; ยอล 2.23; ยอล 3.9; ยอล 3.10; ยอล 3.11; ยอล 3.13; อมส 3.1; อมส 3.9; อมส 4.1; อมส 4.4; อมส 4.5; อมส 4.12; อมส 5.1; อมส 5.4; อมส 5.6; อมส 5.8; อมส 5.14; อมส 5.15; อมส 5.23; อมส 5.24; อมส 6.2; อมส 7.12; อมส 7.15; อมส 7.16; อมส 8.4; อมส 9.1; อบด 1.1; ยนา 1.2; ยนา 1.6; ยนา 1.8; ยนา 1.12; ยนา 3.2; มคา 1.2; มคา 1.10; มคา 1.11; มคา 1.13; มคา 1.16; มคา 2.10; มคา 3.1; มคา 3.5; มคา 3.9; มคา 4.10; มคา 4.11; มคา 4.13; มคา 5.1; มคา 6.1; มคา 6.2; มคา 6.3; มคา 6.5; มคา 6.9; มคา 7.5; นฮม 1.15; นฮม 2.1; นฮม 3.14; นฮม 3.15; ฮบก 1.5; ฮบก 2.2; ฮบก 2.3; ฮบก 2.19; ฮบก 2.20; ศฟย 1.7; ศฟย 1.11; ศฟย 2.1; ศฟย 2.3; ศฟย 3.8; ศฟย 3.14; ฮกก 1.5; ฮกก 1.7; ฮกก 1.8; ฮกก 2.2; ฮกก 2.4; ฮกก 2.11; ฮกก 2.15; ฮกก 2.18; ฮกก 2.21; ศคย 1.3; ศคย 1.4; ศคย 1.14; ศคย 1.17; ศคย 2.6; ศคย 2.7; ศคย 2.10; ศคย 2.13; ศคย 3.4; ศคย 3.5; ศคย 3.8; ศคย 3.9; ศคย 5.5; ศคย 6.10; ศคย 6.11; ศคย 7.5; ศคย 7.9; ศคย 8.9; ศคย 8.13; ศคย 8.16; ศคย 8.19; ศคย 9.9; ศคย 9.12; ศคย 10.1; ศคย 11.1; ศคย 11.2; ศคย 11.4; ศคย 11.13; ศคย 11.15; ศคย 13.7; มลค 1.8; มลค 1.14; มลค 2.15; มลค 2.16; มลค 3.7; มลค 3.10; มลค 4.4; มธ 2.8; มธ 2.13; มธ 2.20; มธ 3.2; มธ 3.3; มธ 3.8; มธ 3.15; มธ 4.3; มธ 4.6; มธ 4.10; มธ 4.17; มธ 4.19; มธ 5.12; มธ 5.16; มธ 5.24; มธ 5.25; มธ 5.29; มธ 5.30; มธ 5.33; มธ 5.37; มธ 5.39; มธ 5.40; มธ 5.42; มธ 5.43; มธ 5.44; มธ 5.45; มธ 5.48; มธ 6.1; มธ 6.6; มธ 6.9; มธ 6.17; มธ 6.20; มธ 6.26; มธ 6.28; มธ 6.33; มธ 7.5; มธ 7.7; มธ 7.12; มธ 7.13; มธ 7.15; มธ 7.23; มธ 8.3; มธ 8.4; มธ 8.9; มธ 8.22; มธ 9.2; มธ 9.5; มธ 9.6; มธ 9.9; มธ 9.13; มธ 9.22; มธ 9.24; มธ 9.30; มธ 9.38; มธ 10.6; มธ 10.7; มธ 10.8; มธ 10.11; มธ 10.12; มธ 10.14; มธ 10.16; มธ 10.17; มธ 10.23; มธ 10.27; มธ 10.28; มธ 11.4; มธ 11.15; มธ 11.28; มธ 11.29; มธ 12.13; มธ 12.33; มธ 13.9; มธ 13.18; มธ 13.30; มธ 13.43; มธ 14.16; มธ 14.27; มธ 15.4; มธ 15.10; มธ 16.6; มธ 16.23; มธ 17.5; มธ 17.7; มธ 17.17; มธ 17.20; มธ 17.27; มธ 18.8; มธ 18.9; มธ 18.10; มธ 18.15; มธ 18.16; มธ 18.17; มธ 18.28; มธ 19.14; มธ 19.19; มธ 19.21; มธ 20.4; มธ 20.7; มธ 20.8; มธ 21.2; มธ 21.3; มธ 21.5; มธ 21.19; มธ 21.21; มธ 21.28; มธ 21.33; มธ 22.4; มธ 22.9; มธ 22.13; มธ 22.19; มธ 22.21; มธ 22.37; มธ 22.39; มธ 22.44; มธ 23.3; มธ 23.26; มธ 23.32; มธ 24.20; มธ 24.26; มธ 24.32; มธ 24.42; มธ 24.43; มธ 24.44; มธ 25.6; มธ 25.9; มธ 25.13; มธ 25.21; มธ 25.23; มธ 25.28; มธ 25.30; มธ 25.34; มธ 25.41; มธ 26.18; มธ 26.26; มธ 26.27; มธ 26.36; มธ 26.38; มธ 26.41; มธ 26.45; มธ 26.48; มธ 26.52; มธ 26.68; มธ 27.40; มธ 27.65; มธ 28.7; มธ 28.9; มธ 28.10; มธ 28.13; มธ 28.19; มก 1.3; มก 1.15; มก 1.17; มก 1.25; มก 1.41; มก 1.44; มก 2.9; มก 2.11; มก 2.14; มก 3.5; มก 4.3; มก 4.9; มก 4.23; มก 4.24; มก 4.39; มก 5.8; มก 5.19; มก 5.34; มก 5.36; มก 5.41; มก 6.11; มก 6.24; มก 6.31; มก 6.37; มก 6.50; มก 7.10; มก 7.14; มก 7.16; มก 7.29; มก 7.34; มก 8.15; มก 8.33; มก 9.7; มก 9.19; มก 9.43; มก 9.45; มก 9.47; มก 9.50; มก 10.14; มก 10.19; มก 10.21; มก 10.49; มก 10.52; มก 11.2; มก 11.3; มก 11.10; มก 11.22; มก 11.23; มก 11.24; มก 11.25; มก 11.29; มก 11.30; มก 12.15; มก 12.17; มก 12.29; มก 12.30; มก 12.31; มก 12.36; มก 12.38; มก 13.9; มก 13.11; มก 13.18; มก 13.23; มก 13.28; มก 13.33; มก 13.35; มก 13.37; มก 14.13; มก 14.14; มก 14.15; มก 14.22; มก 14.32; มก 14.34; มก 14.38; มก 14.41; มก 14.44; มก 15.30; มก 16.6; มก 16.7; มก 16.15; ลก 1.28; ลก 1.31; ลก 1.68; ลก 2.14; ลก 3.4; ลก 3.8; ลก 3.11; ลก 3.14; ลก 4.3; ลก 4.8; ลก 4.9; ลก 4.23; ลก 4.35; ลก 5.4; ลก 5.13; ลก 5.14; ลก 5.23; ลก 5.24; ลก 5.27; ลก 6.8; ลก 6.10; ลก 6.23; ลก 6.27; ลก 6.28; ลก 6.29; ลก 6.30; ลก 6.31; ลก 6.35; ลก 6.36; ลก 6.37; ลก 6.38; ลก 6.42; ลก 7.8; ลก 7.22; ลก 7.42; ลก 7.50; ลก 8.8; ลก 8.18; ลก 8.39; ลก 8.48; ลก 8.50; ลก 8.54; ลก 9.4; ลก 9.5; ลก 9.13; ลก 9.14; ลก 9.35; ลก 9.41; ลก 9.44; ลก 9.59; ลก 9.60; ลก 10.2; ลก 10.5; ลก 10.7; ลก 10.8; ลก 10.9; ลก 10.10; ลก 10.11; ลก 10.20; ลก 10.27; ลก 10.28; ลก 10.35; ลก 10.37; ลก 11.2; ลก 11.9; ลก 11.35; ลก 11.41; ลก 12.1; ลก 12.5; ลก 12.15; ลก 12.19; ลก 12.24; ลก 12.27; ลก 12.31; ลก 12.33; ลก 12.35; ลก 12.36; ลก 12.40; ลก 12.58; ลก 13.7; ลก 13.9; ลก 13.14; ลก 13.24; ลก 13.27; ลก 13.31; ลก 13.32; ลก 14.9; ลก 14.10; ลก 14.13; ลก 14.21; ลก 14.23; ลก 14.35; ลก 15.6; ลก 15.9; ลก 15.22; ลก 15.23; ลก 16.2; ลก 16.7; ลก 16.9; ลก 16.25; ลก 17.3; ลก 17.4; ลก 17.6; ลก 17.8; ลก 17.10; ลก 17.14; ลก 17.19; ลก 17.32; ลก 18.6; ลก 18.16; ลก 18.20; ลก 18.22; ลก 18.42; ลก 19.5; ลก 19.13; ลก 19.17; ลก 19.19; ลก 19.24; ลก 19.27; ลก 19.30; ลก 19.31; ลก 19.38; ลก 19.39; ลก 20.2; ลก 20.3; ลก 20.24; ลก 20.25; ลก 20.42; ลก 20.46; ลก 21.20; ลก 21.28; ลก 21.29; ลก 21.34; ลก 21.36; ลก 22.8; ลก 22.10; ลก 22.11; ลก 22.12; ลก 22.17; ลก 22.19; ลก 22.32; ลก 22.40; ลก 22.46; ลก 22.64; ลก 22.67; ลก 23.18; ลก 23.28; ลก 23.30; ลก 23.37; ลก 23.39; ลก 24.6; ลก 24.36; ลก 24.39; ลก 24.49; ยน 1.23; ยน 1.29; ยน 1.36; ยน 1.43; ยน 2.5; ยน 2.7; ยน 2.8; ยน 2.16; ยน 5.8; ยน 5.11; ยน 5.12; ยน 5.39; ยน 6.12; ยน 6.27; ยน 7.3; ยน 7.4; ยน 7.8; ยน 7.24; ยน 7.37; ยน 7.52; ยน 8.11; ยน 9.7; ยน 9.11; ยน 9.21; ยน 9.23; ยน 9.24; ยน 10.24; ยน 10.38; ยน 11.39; ยน 11.43; ยน 11.44; ยน 12.35; ยน 12.36; ยน 13.27; ยน 13.29; ยน 13.34; ยน 14.1; ยน 14.11; ยน 14.15; ยน 14.31; ยน 15.4; ยน 15.9; ยน 15.17; ยน 15.20; ยน 16.24; ยน 16.33; ยน 18.8; ยน 18.11; ยน 18.21; ยน 18.23; ยน 18.31; ยน 18.40; ยน 19.26; ยน 19.27; ยน 20.17; ยน 20.19; ยน 20.21; ยน 20.22; ยน 20.26; ยน 20.27; ยน 21.6; ยน 21.15; ยน 21.16; ยน 21.17; ยน 21.19; ยน 21.22; กจ 2.14; กจ 2.34; กจ 2.38; กจ 2.40; กจ 3.4; กจ 3.6; กจ 3.19; กจ 3.22; กจ 5.8; กจ 5.9; กจ 5.20; กจ 5.35; กจ 5.38; กจ 6.3; กจ 7.3; กจ 7.33; กจ 7.34; กจ 7.37; กจ 8.22; กจ 8.26; กจ 8.29; กจ 9.6; กจ 9.11; กจ 9.15; กจ 9.34; กจ 9.40; กจ 10.5; กจ 10.13; กจ 10.20; กจ 10.26; กจ 10.32; กจ 11.7; กจ 11.13; กจ 12.7; กจ 12.8; กจ 12.17; กจ 13.2; กจ 13.16; กจ 13.38; กจ 13.40; กจ 14.10; กจ 15.13; กจ 15.20; กจ 16.18; กจ 16.31; กจ 16.35; กจ 18.9; กจ 18.15; กจ 20.28; กจ 20.31; กจ 21.23; กจ 21.24; กจ 21.28; กจ 21.36; กจ 22.10; กจ 22.13; กจ 22.16; กจ 22.18; กจ 22.21; กจ 22.27; กจ 23.11; กจ 23.15; กจ 23.23; กจ 23.24; กจ 24.25; กจ 26.16; กจ 27.25; กจ 28.26; กจ 28.28; รม 1.7; รม 6.11; รม 6.13; รม 6.17; รม 6.19; รม 9.33; รม 11.20; รม 11.22; รม 11.36; รม 12.2; รม 12.3; รม 12.6; รม 12.7; รม 12.8; รม 12.9; รม 12.10; รม 12.11; รม 12.12; รม 12.13; รม 12.14; รม 12.15; รม 12.16; รม 12.17; รม 12.18; รม 12.19; รม 12.20; รม 12.21; รม 13.1; รม 13.3; รม 13.4; รม 13.7; รม 13.9; รม 13.12; รม 13.13; รม 13.14; รม 14.1; รม 14.13; รม 14.22; รม 15.2; รม 15.7; รม 15.10; รม 15.11; รม 15.33; รม 16.16; รม 16.17; รม 16.20; รม 16.24; รม 16.25; 1คร 1.3; 1คร 1.26; 1คร 3.10; 1คร 3.18; 1คร 5.5; 1คร 5.7; 1คร 5.13; 1คร 6.18; 1คร 6.20; 1คร 7.9; 1คร 7.15; 1คร 7.36; 1คร 8.9; 1คร 9.24; 1คร 10.12; 1คร 10.14; 1คร 10.15; 1คร 10.18; 1คร 10.24; 1คร 10.31; 1คร 11.1; 1คร 11.6; 1คร 11.13; 1คร 11.24; 1คร 11.25; 1คร 11.33; 1คร 12.31; 1คร 14.1; 1คร 14.12; 1คร 14.20; 1คร 14.26; 1คร 14.27; 1คร 14.34; 1คร 14.39; 1คร 14.40; 1คร 15.34; 1คร 15.57; 1คร 15.58; 1คร 16.1; 1คร 16.10; 1คร 16.11; 1คร 16.13; 1คร 16.14; 1คร 16.18; 1คร 16.20; 2คร 1.2; 2คร 1.3; 2คร 6.13; 2คร 6.17; 2คร 7.1; 2คร 7.11; 2คร 8.7; 2คร 8.24; 2คร 9.7; 2คร 9.15; 2คร 10.11; 2คร 10.17; 2คร 13.5; 2คร 13.11; 2คร 13.12; 2คร 13.14; กท 3.7; กท 4.21; กท 4.27; กท 4.30; กท 5.1; กท 5.13; กท 5.14; กท 5.15; กท 5.16; กท 5.25; กท 6.1; กท 6.2; กท 6.6; กท 6.11; กท 6.16; กท 6.18; อฟ 1.3; อฟ 2.11; อฟ 2.12; อฟ 3.20; อฟ 3.21; อฟ 4.2; อฟ 4.3; อฟ 4.22; อฟ 4.23; อฟ 4.25; อฟ 4.28; อฟ 4.29; อฟ 4.31; อฟ 4.32; อฟ 5.1; อฟ 5.2; อฟ 5.8; อฟ 5.10; อฟ 5.11; อฟ 5.14; อฟ 5.15; อฟ 5.16; อฟ 5.17; อฟ 5.18; อฟ 5.19; อฟ 5.20; อฟ 5.21; อฟ 5.22; อฟ 5.25; อฟ 5.33; อฟ 6.1; อฟ 6.2; อฟ 6.4; อฟ 6.5; อฟ 6.6; อฟ 6.7; อฟ 6.9; อฟ 6.10; อฟ 6.11; อฟ 6.13; อฟ 6.14; อฟ 6.16; อฟ 6.17; อฟ 6.18; ฟป 1.2; ฟป 2.3; ฟป 2.4; ฟป 2.5; ฟป 2.12; ฟป 2.14; ฟป 2.29; ฟป 3.1; ฟป 3.2; ฟป 3.17; ฟป 4.1; ฟป 4.4; ฟป 4.5; ฟป 4.6; ฟป 4.8; ฟป 4.9; ฟป 4.20; คส 2.8; คส 3.1; คส 3.2; คส 3.5; คส 3.8; คส 3.12; คส 3.13; คส 3.14; คส 3.15; คส 3.16; คส 3.17; คส 3.18; คส 3.19; คส 3.20; คส 3.22; คส 3.23; คส 4.1; คส 4.2; คส 4.5; คส 4.6; คส 4.10; คส 4.16; คส 4.17; คส 4.18; 1ธส 4.11; 1ธส 4.18; 1ธส 5.8; 1ธส 5.11; 1ธส 5.13; 1ธส 5.15; 1ธส 5.16; 1ธส 5.17; 1ธส 5.18; 1ธส 5.21; 1ธส 5.22; 1ธส 5.25; 1ธส 5.26; 2ธส 2.15; 2ธส 3.1; 2ธส 3.6; 2ธส 3.14; 2ธส 3.15; 1ทธ 1.2; 1ทธ 1.4; 1ทธ 1.17; 1ทธ 1.19; 1ทธ 3.10; 1ทธ 3.12; 1ทธ 4.7; 1ทธ 4.11; 1ทธ 4.12; 1ทธ 4.13; 1ทธ 4.15; 1ทธ 4.16; 1ทธ 5.1; 1ทธ 5.3; 1ทธ 5.5; 1ทธ 5.7; 1ทธ 5.17; 1ทธ 5.20; 1ทธ 5.22; 1ทธ 5.23; 1ทธ 6.1; 1ทธ 6.2; 1ทธ 6.5; 1ทธ 6.11; 1ทธ 6.12; 1ทธ 6.16; 1ทธ 6.17; 1ทธ 6.18; 1ทธ 6.20; 1ทธ 6.21; 2ทธ 1.2; 2ทธ 1.8; 2ทธ 1.13; 2ทธ 1.14; 2ทธ 2.1; 2ทธ 2.2; 2ทธ 2.3; 2ทธ 2.7; 2ทธ 2.8; 2ทธ 2.14; 2ทธ 2.15; 2ทธ 2.16; 2ทธ 2.22; 2ทธ 2.23; 2ทธ 2.25; 2ทธ 3.1; 2ทธ 3.5; 2ทธ 3.14; 2ทธ 4.2; 2ทธ 4.5; 2ทธ 4.9; 2ทธ 4.11; 2ทธ 4.13; 2ทธ 4.15; 2ทธ 4.18; 2ทธ 4.21; 2ทธ 4.22; ทต 1.4; ทต 1.13; ทต 2.1; ทต 2.6; ทต 2.7; ทต 2.9; ทต 2.15; ทต 3.1; ทต 3.9; ทต 3.10; ทต 3.12; ทต 3.13; ฟม 1.3; ฟม 1.12; ฟม 1.17; ฟม 1.18; ฟม 1.20; ฟม 1.25; ฮบ 1.13; ฮบ 3.1; ฮบ 3.12; ฮบ 3.13; ฮบ 4.16; ฮบ 7.4; ฮบ 8.5; ฮบ 8.11; ฮบ 10.25; ฮบ 10.32; ฮบ 12.3; ฮบ 12.12; ฮบ 12.13; ฮบ 12.14; ฮบ 12.15; ฮบ 12.25; ฮบ 13.1; ฮบ 13.3; ฮบ 13.5; ฮบ 13.7; ฮบ 13.17; ฮบ 13.18; ฮบ 13.21; ฮบ 13.23; ฮบ 13.25; ยก 1.2; ยก 1.4; ยก 1.6; ยก 1.7; ยก 1.10; ยก 1.19; ยก 1.21; ยก 1.22; ยก 2.3; ยก 2.5; ยก 2.8; ยก 2.12; ยก 2.18; ยก 3.4; ยก 3.5; ยก 4.7; ยก 4.8; ยก 4.9; ยก 4.10; ยก 5.1; ยก 5.7; ยก 5.8; ยก 5.9; ยก 5.10; ยก 5.12; ยก 5.13; ยก 5.14; ยก 5.16; ยก 5.20; 1ปต 1.3; 1ปต 1.13; 1ปต 1.15; 1ปต 1.16; 1ปต 1.17; 1ปต 1.22; 1ปต 2.1; 1ปต 2.2; 1ปต 2.4; 1ปต 2.12; 1ปต 2.13; 1ปต 2.16; 1ปต 2.17; 1ปต 2.18; 1ปต 3.1; 1ปต 3.4; 1ปต 3.7; 1ปต 3.8; 1ปต 3.9; 1ปต 3.15; 1ปต 4.1; 1ปต 4.7; 1ปต 4.8; 1ปต 4.9; 1ปต 4.11; 1ปต 4.13; 1ปต 5.2; 1ปต 5.5; 1ปต 5.6; 1ปต 5.7; 1ปต 5.8; 1ปต 5.9; 1ปต 5.11; 1ปต 5.14; 2ปต 1.2; 2ปต 1.5; 2ปต 1.10; 2ปต 1.20; 2ปต 3.3; 2ปต 3.14; 2ปต 3.15; 2ปต 3.17; 2ปต 3.18; 1ยน 2.24; 1ยน 2.27; 1ยน 2.28; 1ยน 3.1; 1ยน 3.18; 1ยน 4.1; 1ยน 5.16; 1ยน 5.21; 2ยน 1.8; 3ยน 1.11; 3ยน 1.14; ยด 1.2; ยด 1.11; ยด 1.17; ยด 1.20; ยด 1.21; ยด 1.22; ยด 1.23; ยด 1.25; วว 1.3; วว 1.4; วว 1.6; วว 1.7; วว 1.11; วว 1.19; วว 2.1; วว 2.5; วว 2.8; วว 2.10; วว 2.12; วว 2.16; วว 2.18; วว 2.25; วว 3.1; วว 3.2; วว 3.3; วว 3.7; วว 3.11; วว 3.14; วว 3.19; วว 4.1; วว 5.13; วว 6.16; วว 7.3; วว 7.12; วว 9.14; วว 10.4; วว 10.8; วว 11.1; วว 11.12; วว 12.12; วว 13.18; วว 14.7; วว 14.13; วว 14.15; วว 14.18; วว 16.1; วว 16.15; วว 18.4; วว 18.6; วว 18.7; วว 18.20; วว 19.1; วว 19.5; วว 19.9; วว 19.10; วว 19.17; วว 21.5; วว 22.9; วว 22.21

จงใจ ( 3 )
ยชว 20.3 เพื่อว่าผู้ฆ่าคนที่ได้ฆ่าคนใดด้วยมิได้เจตนาหรือไม่จงใจจะได้หนีไปอยู่ที่นั่น เมืองเหล่านี้จะได้เป็นที่ลี้ภัยของเจ้าเพื่อให้พ้นจากผู้อาฆาตโลหิต
สภษ 18.1 คนที่ปลีกตัวไปจากผู้อื่น จงใจกระทำตามใจตนเอง และค้านคติแห่งสติปัญญาทั้งหลาย
ฟป 1.16 ฝ่ายหนึ่งประกาศพระคริสต์ด้วยการชิงดีชิงเด่นกัน ไม่ใช่ด้วยความจริงใจ จงใจจะเพิ่มความทุกข์ยากให้แก่เครื่องพันธนาการของข้าพเจ้า

จงรักภักดี ( 1 )
1พศด 12.29 จากคนเบนยามินญาติของซาอูลสามพันคน ซึ่งแต่ก่อนนี้จำนวนมากจงรักภักดีต่อราชวงศ์ซาอูล

จด ( 35 )
อพย 23.31 เราจะกำหนดเขตแดนของพวกเจ้าไว้ตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารจนจดแม่น้ำ เพราะเราจะมอบชาวเมืองนั้นไว้ในมือของพวกเจ้าให้พวกเจ้าไล่เขาไปเสียให้พ้นหน้า
อพย 30.12 “เมื่อเจ้าจะจดสำมะโนครัวชนชาติอิสราเอลจงให้เขาต่างนำทรัพย์สินมาถวายพระเยโฮวาห์ เป็นค่าไถ่ชีวิต เมื่อเจ้านับจำนวนเขา เพื่อจะมิได้เกิดภัยพิบัติขึ้นในหมู่พวกเขาเมื่อเจ้านับเขา
อพย 32.32 แต่บัดนี้ขอพระองค์โปรดยกโทษบาปของเขา ถ้าหาไม่ ขอพระองค์ทรงลบชื่อของข้าพระองค์เสียจากทะเบียนที่พระองค์ทรงจดไว้”
อพย 36.33 เขาทำกลอนตัวกลางให้ร้อยตอนกลางของไม้กรอบสำหรับขัดฝาตั้งแต่มุมหนึ่งไปจดอีกมุมหนึ่ง
กดว 3.40 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงนับบุตรชายหัวปีทั้งหลายของคนอิสราเอล ที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป จงจดจำนวนรายชื่อไว้
กดว 33.2 โมเสสได้จดสถานที่ที่เขาออกเดินทีละระยะๆตามพระบัญชาของพระเยโฮวาห์ ต่อไปนี้เป็นระยะตามสถานที่ที่เขาออกเดิน
ยชว 13.27 ในหว่างเขา มีเมืองเบธฮารัม เบธนิมราห์ สุคคทและซาโฟน ราชอาณาจักรส่วนที่เหลือของสิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบนนั้น มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน จดทะเลคินเนเรทตอนปลายข้างล่าง ด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 16.7 แล้วลงไปจากยาโนอาห์ ถึงเมืองอาทาโรทและเมืองนาอาราห์ ไปจดเมืองเยรีโคสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน
ยชว 17.10 แผ่นดินทางด้านใต้เป็นของเอฟราอิม และแผ่นดินทางด้านเหนือเป็นของมนัสเสห์ มีทะเลเป็นพรมแดน ทางเหนือจดดินแดนอาเชอร์ และทางทิศตะวันออกจดอิสสาคาร์
ยชว 19.11 แล้วพรมแดนของเขายื่นออกไปทางด้านทะเล เรื่อยไปจนถึงมาราลาห์ และมาจดเมืองดับเบเชท แล้วมาถึงแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าโยกเนอัม
ยชว 19.22 และพรมแดนยังจดเมืองทาโบร์ ชาหะซุมาห์ เบธเชเมช และพรมแดนนี้ไปสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน รวมเป็นสิบหกหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
ยชว 19.26 อาลัมเมเลค อามาด มิชอาล ทางทิศตะวันออกจดคารเมล และเมืองชิโหลิบนาท
ยชว 19.27 แล้วเลี้ยวไปทางดวงอาทิตย์ขึ้นไปยังเบธดาโกนจดเขตเศบูลุนและหุบเขายิฟทาห์เอล ไปทางด้านเหนือถึงเมืองเบธเอเมคและเนอีเอลเรื่อยไปทางด้านซ้ายถึงเมืองคาบูล
ยชว 19.34 แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปทางด้านตะวันตกถึงเมืองอัสโนททาโบร์ จากที่นั่นไปถึงหุกกอกจดเขตเศบูลุนทางทิศใต้ และเขตอาเชอร์ทางทิศตะวันตก และเขตยูดาห์ทางดวงอาทิตย์ขึ้นที่แม่น้ำจอร์แดน
1พกษ 6.27 พระองค์ทรงวางเครูบไว้ในส่วนชั้นในที่สุดของพระนิเวศ ปีกของเครูบนั้นกางออกเพื่อให้ปีกหนึ่งจดผนังข้างหนึ่ง และปีกของเครูบอีกรูปหนึ่งจดผนังอีกข้างหนึ่ง ส่วนปีกข้างอื่นก็มาจดกันตรงกลางพระนิเวศ
2พศด 3.11 ปีกของเครูบทั้งสองนั้นกางออกยี่สิบศอก ปีกข้างหนึ่งของเครูบรูปหนึ่งยาวห้าศอกจดผนังพระนิเวศ และอีกปีกหนึ่งยาวห้าศอกจดปีกของเครูบอีกรูปหนึ่ง
2พศด 3.12 และของเครูบอีกรูปหนึ่งปีกข้างหนึ่งห้าศอกจดผนังพระนิเวศ และอีกปีกหนึ่งห้าศอกด้วยติดต่อกับปีกของเครูบอีกรูปหนึ่ง
สดด 87.6 ขณะที่พระเยโฮวาห์ทรงจดชนชาติทั้งหลาย พระองค์จะทรงบันทึกว่า “ผู้นี้เกิดที่นั่น” เซลาห์
อสย 30.8 บัดนี้ ไปเถอะ เขียนลงไว้บนแผ่นจารึกต่อหน้าเขา และจดไว้ในหนังสือเพื่อในเวลาที่จะมาถึง จะเป็นสักขีพยานเป็นนิตย์
พคค 3.29 ให้เขาเอาปากจดไว้ในผงคลีดิน ถ้าทำดังนั้นชะรอยจะมีหวัง
อสค 1.9 คือปีกของมันต่างก็จดปีกของกันและกัน มันบินตรงไปข้างหน้า ขณะที่ไปก็ไม่หันเลย
อสค 1.11 หน้าของมันเป็นดังนี้แหละ ปีกของมันกางแผ่ขึ้นข้างบน ปีกสองปีกของแต่ละตัวจดปีกของกันและกัน ส่วนอีกสองปีกคลุมกายของมัน
ศคย 14.5 และท่านทั้งหลายจะหนีไปยังหุบเขาแห่งบรรดาภูเขา เพราะว่าหุบเขาแห่งบรรดาภูเขาจะมาจดอาซาลและท่านทั้งหลายจะต้องหนีไป อย่างที่หนีจากแผ่นดินไหวสมัยอุสซียาห์กษัตริย์ประเทศยูดาห์ แล้วพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าจะเสด็จมา และพวกวิสุทธิชนทั้งสิ้นจะมากับพระองค์
ลก 10.20 แต่ว่าอย่าเปรมปรีดิ์ในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของท่าน แต่จงเปรมปรีดิ์เพราะชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์”
ยน 20.30 พระเยซูได้ทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆอีกหลายประการต่อหน้าเหล่าสาวกของพระองค์ ซึ่งไม่ได้จดไว้ในหนังสือม้วนนี้
ยน 20.31 แต่การที่ได้จดเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์
กจ 5.37 ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามตัวไปเป็นอันมาก ผู้นั้นก็พินาศด้วย และคนทั้งหลายที่ได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายไป
วว 13.8 และบรรดาคนที่อยู่ในแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น คือคนทั้งปวงที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดก ผู้ทรงถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก
วว 17.8 สัตว์ร้ายที่ท่านได้เห็นนั้นเป็นอยู่ในกาลก่อน แต่บัดนี้มิได้เป็น และมันจะขึ้นมาจากเหวที่ไม่มีก้นเหวเพื่อไปสู่ความพินาศแล้ว และคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่แรกทรงสร้างโลกนั้น ก็จะอัศจรรย์ใจ เมื่อเขาเห็นสัตว์ร้าย ซึ่งได้เป็นอยู่ในกาลก่อน แต่บัดนี้มิได้เป็น และกำลังจะเป็น
วว 20.15 และผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ
วว 21.27 สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดก็ตามที่กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสาจะเข้าไปในเมืองไม่ได้เลย เว้นแต่เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้

จดจ่อ ( 2 )
มก 4.24 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่ท่านฟังให้ดี ท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด จะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น ทั้งจะเพิ่มเติมให้อีกแก่ผู้ที่ฟังแล้ว
ลก 8.18 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจะฟังอย่างไรก็จงเอาใจจดจ่อ เพราะว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะทรงเพิ่มเติมให้แก่ผู้นั้นอีก แต่ผู้ใดไม่มี แม้ซึ่งเขาคิดว่ามีอยู่นั้นจะทรงเอาไปจากเขา”

จดจำ ( 40 )
อพย 12.42 คืนวันนั้นเป็นคืนที่ควรจดจำไว้เป็นที่ระลึกอย่างยิ่งถึงพระเยโฮวาห์ ด้วยทรงนำเขาออกจากประเทศอียิปต์ คืนวันนั้นจึงเป็นคืนของพระเยโฮวาห์ที่ชนชาติอิสราเอลทั้งปวงถือเป็นที่ระลึกตลอดชั่วอายุของเขา
กดว 15.39 เพื่อเจ้าจะมองดูพู่นั้น และจดจำพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์ และปฏิบัติตาม เพื่อเจ้าจะไม่กระทำอะไรตามความพอใจพอตาของเจ้าซึ่งเจ้ามักหลงตามนั้น
กดว 15.40 เพื่อว่าเจ้าจะจดจำและกระทำตามบัญญัติทั้งสิ้นของเรา และเป็นคนบริสุทธิ์แด่พระเจ้าของเจ้า
พบญ 11.18 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงจดจำถ้อยคำเหล่านี้ของข้าพเจ้าไว้ในจิตในใจของท่านทั้งหลาย จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ จงเป็นดังเครื่องหมายระหว่างนัยน์ตาของท่าน
2ซมอ 19.19 กราบทูลกษัตริย์ว่า “ขอเจ้านายของข้าพระองค์อย่าทรงถือโทษความชั่วช้าข้าพระองค์ และทรงจดจำความผิดที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้กระทำในวันที่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์สละกรุงเยรูซาเล็ม ขอกษัตริย์อย่าทรงจดจำไว้ในพระทัย
1พศด 16.15 จงจดจำพันธสัญญาของพระองค์อยู่เป็นนิตย์ คือพระวจนะที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ตลอดชั่วหนึ่งพันชั่วอายุ
อสธ 9.28 และว่าจะจดจำวันเหล่านี้ และถือตลอดทุกชั่วอายุ ทุกครอบครัว มณฑลและเมือง วันเทศกาลเปอร์ริมนี้จะไม่เลิกถือในท่ามกลางพวกยิว หรือการระลึกถึงวันเหล่านี้จะไม่สิ้นลงในเชื้อสายของเขาเลย
โยบ 11.16 เพราะท่านจะลืมความทุกข์ยากของท่าน ท่านจะจดจำได้เหมือนน้ำที่ได้ไหลผ่านพ้นไป
สดด 22.27 ที่สุดปลายทั้งสิ้นของแผ่นดินโลกจะจดจำและหันกลับมายังพระเยโฮวาห์ และครอบครัวทั้งสิ้นของบรรดาประชาชาติจะนมัสการต่อพระพักตร์พระองค์
สดด 77.11 ข้าพเจ้าจะระลึกถึงพระราชกิจทั้งปวงของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะจดจำบรรดาการมหัศจรรย์ของพระองค์ในสมัยก่อนๆ
สดด 105.8 พระองค์ทรงจดจำพันธสัญญาของพระองค์อยู่เป็นนิตย์ คือพระวจนะที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ตลอดหนึ่งพันชั่วอายุ
สดด 109.16 เพราะเขาไม่จดจำที่จะแสดงความเอ็นดู แต่ข่มเหงคนจนและคนขัดสน เพื่อจะฆ่าคนที่เศร้าใจเสีย
สดด 111.4 พระองค์ได้ทรงให้พระราชกิจมหัศจรรย์ของพระองค์เป็นที่จดจำ พระเยโฮวาห์ทรงมีพระคุณและเต็มไปด้วยพระกรุณา
สดด 111.5 พระองค์ประทานอาหารให้ผู้ที่เกรงกลัวพระองค์ พระองค์จะทรงจดจำพันธสัญญาของพระองค์เสมอ
สภษ 31.7 จงให้เขาดื่มและลืมความยากจนของเขา เพื่อจะจดจำความระทมทุกข์ของเขาไม่ได้อีกต่อไป
ปญจ 9.15 แต่ในเมืองนั้นมีชายฉลาดแต่ยากจนอยู่คนหนึ่ง และชายคนนี้ช่วยเมืองนั้นไว้ให้พ้นด้วยปัญญาของตน แต่หามีใครจดจำรำลึกถึงชายยากจนคนนี้ไม่
อสย 17.10 เพราะเจ้าได้หลงลืมพระเจ้าแห่งความรอดของเจ้าเสีย และมิได้จดจำศิลาเข้มแข็งของเจ้า ฉะนั้นเจ้าจะปลูกต้นอภิรมย์ และจะปลูกกิ่งไม้ต่างชาติลง
อสย 43.18 “อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่าก่อน
อสย 43.25 เรา เราคือพระองค์นั้นผู้ลบล้างความละเมิดของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้
อสย 47.7 เจ้าว่า “ข้าจะเป็นนางพญาเป็นนิตย์” เจ้าจึงมิได้เอาเรื่องเหล่านี้เป็นที่สอนใจ หรือจดจำบั้นปลายของเรื่องเหล่านี้ไว้
อสย 64.9 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขออย่าทรงกริ้วนัก และขออย่าทรงจดจำความชั่วช้าไว้เป็นนิตย์ ดูเถิด ขอทรงพิเคราะห์ ข้าพระองค์ทั้งสิ้นเป็นชนชาติของพระองค์
ยรม 31.34 และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตนและพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า ‘จงรู้จักพระเยโฮวาห์’ เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมด ตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ “เพราะเราจะให้อภัยความชั่วช้าของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาทั้งหลายอีกต่อไป”
ยรม 44.21 “สำหรับเครื่องหอมที่ท่านได้เผาถวายในหัวเมืองยูดาห์ และในถนนหนทางกรุงเยรูซาเล็ม ทั้งตัวท่าน บรรพบุรุษของท่าน บรรดากษัตริย์และเจ้านายของท่าน และประชาชนแห่งแผ่นดิน พระเยโฮวาห์มิได้ทรงจดจำไว้ดอกหรือ พระองค์ไม่ได้ทรงนึกถึงหรือ
อสค 3.20 อีกประการหนึ่ง ถ้าคนชอบธรรมหันกลับจากความชอบธรรมของเขา และได้กระทำความชั่วช้า และเราวางสิ่งที่สะดุดไว้ตรงหน้าเขา เขาจะต้องตาย เพราะว่าเจ้ามิได้ตักเตือนเขา เขาจะตายเพราะบาปของเขา และจะไม่มีใครจดจำการกระทำอันชอบธรรมของเขาไว้เลย แต่เราจะเรียกร้องโลหิตของเขาจากมือของเจ้า
อสค 18.22 บรรดาการละเมิดใดๆซึ่งเขาได้กระทำแล้วนั้นจะมิได้จดจำไว้เพื่อเอาโทษเขา เขาจะมีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรมที่เขาได้กระทำไป
อสค 18.24 แต่เมื่อคนชอบธรรมหันกลับจากความชอบธรรมของตัว และกระทำความชั่วช้า และกระทำบรรดาสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นเดียวกับที่คนชั่วได้กระทำ ผู้นั้นสมควรจะมีชีวิตอยู่หรือ การชอบธรรมทั้งสิ้นซึ่งเขาได้กระทำมาแล้วนั้นจะมิได้จดจำไว้อีกเลย เขาจะต้องตายด้วยการละเมิดซึ่งเขาได้กระทำไว้และบาปซึ่งเขาได้กระทำลงไป
อสค 21.32 เจ้าจะเป็นฟืนไว้ใส่ไฟ โลหิตของเจ้าจะอยู่กลางแผ่นดิน จะไม่มีใครจดจำเจ้าไว้อีก เพราะเราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว”
อสค 33.16 บาปซึ่งเขาได้กระทำมาแล้ว จะไม่จดจำนำมากล่าวโทษเขา เขาได้กระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะดำรงชีวิตแน่
อสค 44.5 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงตั้งใจให้ดี ทุกสิ่งที่เราจะบอกเจ้าเกี่ยวกับกฎทั้งสิ้นของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และราชบัญญัติทั้งสิ้นของพระนิเวศนั้น จงดูด้วยตาของเจ้า และฟังด้วยหูของเจ้า และจดจำเรื่องทางเข้าพระนิเวศและทางออกจากสถานบริสุทธิ์ให้ดี
ฮชย 7.2 แต่เขามิได้พิจารณาในใจว่า เราจดจำการกระทำที่ชั่วทั้งหมดของเขาได้ บัดนี้การกระทำของเขาห้อมล้อมเขาไว้แล้ว การเหล่านั้นอยู่ต่อหน้าเรา
มลค 4.4 จงจดจำราชบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของเรา ทั้งกฎเกณฑ์และคำตัดสินซึ่งเราได้บัญชาเขาไว้ที่ภูเขาโฮเรบสำหรับอิสราเอลทั้งสิ้น
ลก 1.54 พระองค์ทรงช่วยอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ คือทรงจดจำพระกรุณาของพระองค์
ลก 1.66 บรรดาคนที่ได้ยินก็จดจำไว้ในใจและว่า “ทารกนั้นจะเป็นอย่างไรหนอ” และพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา
ลก 8.15 และซึ่งตกที่ดินดีนั้น ได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะด้วยใจซื่อสัตย์และใจที่ดีแล้วก็จดจำไว้ จึงเกิดผลด้วยความเพียร
1คร 13.5 ไม่ทำสิ่งที่ไม่บังควร ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด
2ธส 3.14 ถ้าผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเราในจดหมายฉบับนี้ จงจดจำคนนั้นไว้ อย่าสมาคมกับเขาเลย เพื่อเขาจะได้อาย
ฮบ 8.12 เพราะเราจะกรุณาต่อการอธรรมของเขา และจะไม่จดจำบาปและความชั่วช้าของเขาอีกต่อไป”’
ฮบ 10.17 และจะไม่จดจำบาปและความชั่วช้าของเขาอีกต่อไป”’
3ยน 1.10 เหตุฉะนั้นถ้าข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะจดจำการกระทำทั้งหลายของเขา คือที่เขาพร่ำกล่าวใส่ความเราด้วยถ้อยคำประสงค์ร้าย และเท่านั้นก็ยังไม่สาแก่ใจ เขาเองไม่ยอมรับรองพี่น้องเหล่านั้น และหนำซ้ำยังกีดกันคนที่ใคร่จะรับรองเขา และไล่เขาออกจากคริสตจักรไปเสีย

จดทะเบียน ( 3 )
อพย 38.26 คนละเบคา คือครึ่งเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ อันเก็บมาจากทุกคนที่ไปจดทะเบียนสำมะโนครัว คือนับตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไปรวมหกแสนสามพันห้าร้อยห้าสิบคน
ลก 2.1 อยู่มาคราวนั้น มีรับสั่งจากซีซาร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน
ลก 2.2 (นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จดทะเบียนสำมะโนครัว เมื่อคีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย)

จดหมาย ( 68 )
2พกษ 10.2 “เพราะบรรดาโอรสของนายของท่านอยู่กับท่าน และท่านมีรถรบและม้า และเมืองที่มีป้อมด้วยและอาวุธ พอจดหมายนี้มาถึงท่าน
2พกษ 19.14 เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือของผู้สื่อสาร และทรงอ่าน และเฮเซคียาห์ได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และทรงคลี่จดหมายนั้นออกต่อเบื้องพระพักตร์พระเยโฮวาห์
2พศด 21.12 และจดหมายฉบับหนึ่งมาถึงพระองค์จากเอลียาห์ผู้พยากรณ์ว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้ามิได้ดำเนินในบรรดามรรคาของเยโฮชาฟัทบิดาของเจ้า หรือในบรรดามรรคาของอาสากษัตริย์ของยูดาห์
อสร 4.11 และนี่เป็นสำเนาจดหมายที่เขาส่งไปถึงพระองค์ คือถึงกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสว่า “ขอกราบทูล ข้าราชการของพระองค์ คือคนของมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ เป็นต้น
อสร 5.6 สำเนาจดหมายซึ่งทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และเชธาร์โบเซนัย และคณะของท่านคือคนอาฟอาร์เซคาซึ่งอยู่ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ ส่งไปทูลกษัตริย์ดาริอัส
อสร 7.11 ต่อไปนี้เป็นสำเนาจดหมายซึ่งกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสพระราชทานแก่เอสราปุโรหิตผู้เป็นธรรมาจารย์ ผู้เป็นธรรมาจารย์แห่งเรื่องราวของพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์และกฎเกณฑ์ของพระองค์เพื่ออิสราเอลว่า
นหม 6.5 สันบาลลัทได้ส่งคนใช้ของท่านมาหาข้าพเจ้าในทำนองเดียวกันเป็นครั้งที่ห้า ถือจดหมายเปิดมา
นหม 6.17 ยิ่งกว่านั้นอีก ในครั้งนั้นขุนนางทั้งหลายของยูดาห์ก็ได้ส่งจดหมายหลายฉบับไปถึงโทบีอาห์ และจดหมายของโทบีอาห์ก็มาถึงเขา
นหม 6.19 เขาทั้งหลายพูดถึงความดีของโทบีอาห์ต่อหน้าข้าพเจ้าด้วย และรายงานคำของข้าพเจ้าไปให้เขา และโทบีอาห์ก็ได้ส่งจดหมายมาให้ข้าพเจ้า เพื่อให้กลัว
อสธ 3.13 ให้คนเดินข่าวจดหมายเหล่านี้ไปถึงมณฑลของกษัตริย์ทั้งสิ้นสั่งให้ทำลาย สังหารและทำให้ยิวทั้งปวงพินาศไป ทั้งหนุ่มและแก่ เด็กและผู้หญิงในวันเดียวกัน คือวันที่สิบสามเดือนที่สิบสองซึ่งเป็นเดือนอาดาร์ และให้ริบเอาข้าวของของเขาไปหมด
อสธ 8.5 พระนางทูลว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ และถ้าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องต่อพระพักตร์กษัตริย์ และหม่อมฉันเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ขอทรงให้มีพระอักษรรับสั่งให้กลับความในจดหมายซึ่งฮามาน คนอากัก บุตรชายฮัมเมดาธาได้คิดขึ้น และเขียนเพื่อทำลายพวกยิวที่อยู่ในมณฑลทั้งสิ้นของกษัตริย์
อสธ 8.10 และท่านเขียนในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัสและประทับตราพระธำมรงค์ของกษัตริย์ และส่งจดหมายนั้นไปทางผู้เดินข่าวขึ้นม้าเร็ว และผู้ขี่ล่อ อูฐและม้าอาชาไนยหนุ่ม
อสธ 8.11 ตามจดหมายเหล่านี้กษัตริย์ทรงอนุญาตให้พวกยิวผู้อยู่ในทุกเมืองชุมนุมกันและป้องกันชีวิตของตน ให้ทำลาย ให้สังหารและให้ล้างผลาญกำลังพลใดๆของประชาชนหรือมณฑลใดๆซึ่งจะมาทำร้าย ทั้งเด็กและผู้หญิง และปล้นเอาข้าวของของเขา
อสธ 9.20 และโมรเดคัยบันทึกเรื่องนี้และส่งจดหมายไปยังพวกยิวทั้งปวงผู้อยู่ในมณฑลทั้งปวงของกษัตริย์อาหสุเอรัส ทั้งใกล้และไกล
อสธ 9.26 เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกวันเหล่านี้ว่า เปอร์ริม ตามคำเปอร์ ดังนั้น เพราะทุกอย่างที่เขียนไว้ในจดหมายนี้ และเพราะสิ่งที่พวกยิวต้องเผชิญในเรื่องนี้ และสิ่งที่อุบัติแก่เขา
อสธ 9.29 แล้วพระราชินีเอสเธอร์ ธิดาของอาบีฮาอิล กับโมรเดคัยคนยิว ก็เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรรับรองจดหมายฉบับที่สองนี้เรื่องเทศกาลเปอร์ริม
อสธ 9.30 ให้ส่งจดหมายไปถึงยิวทั้งปวงในหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑลในราชอาณาจักรของอาหสุเอรัส เป็นคำที่แท้จริงให้อยู่เย็นเป็นสุข
อสย 37.14 เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือผู้สื่อสาร และทรงอ่าน และเฮเซคียาห์ได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และทรงคลี่จดหมายนั้นออกต่อเบื้องพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ยรม 29.1 ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำในจดหมายซึ่งเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ฝากไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงพวกผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่ของพวกที่เป็นเชลย และถึงบรรดาปุโรหิต บรรดาผู้พยากรณ์ และประชาชนทั้งสิ้น ผู้ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ได้ให้กวาดไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงบาบิโลน
ยรม 29.3 จดหมายนั้นได้ส่งไปด้วยมือของเอลาสาห์บุตรชายของชาฟานและเกมาริยาห์บุตรชายฮิลคียาห์ (ผู้ซึ่งเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ส่งไปที่บาบิโลนยังเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน) จดหมายนั้นว่า
ยรม 29.25 “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เจ้าได้ส่งจดหมายในนามของเจ้าไปยังประชาชนทั้งปวงผู้อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม และยังเศฟันยาห์บุตรชายมาอาเสอาห์ปุโรหิต และยังปุโรหิตทั้งปวงว่า
ยรม 29.28 เพราะเขาได้ส่งจดหมายมายังเราในบาบิโลนว่า ‘การที่เจ้าเป็นเชลยนั้นจะเนิ่นนาน จงสร้างเรือนของเจ้าและอาศัยอยู่ในเรือนนั้น และปลูกสวนและรับประทานผลที่ได้นั้น’”
ยรม 29.29 เศฟันยาห์ปุโรหิตอ่านจดหมายนี้ให้เยเรมีย์ผู้พยากรณ์ฟัง
กจ 15.23 เขาได้เขียนจดหมายมอบให้ท่านถือไปว่า “อัครสาวกและผู้ปกครองและพวกพี่น้องของท่าน คำนับมายังท่าน ผู้เป็นพวกพี่น้องซึ่งเป็นคนต่างชาติ ซึ่งอยู่ในเมืองอันทิโอก แคว้นซีเรีย และแคว้นซิลีเซียทราบ
กจ 15.30 เมื่อลาจากกันแล้ว ท่านเหล่านั้นก็ไปยังเมืองอันทิโอก และเมื่อได้เรียกคนทั้งปวงประชุมกันแล้ว จึงมอบจดหมายฉบับนั้นให้
กจ 18.27 ครั้นอปอลโลใคร่จะไปยังแคว้นอาคายา พวกพี่น้องก็เขียนจดหมายฝากไปถึงสาวกที่นั่นให้เขารับรองท่านไว้ ครั้นท่านไปถึงแล้ว ท่านได้ช่วยเหลือคนทั้งหลายที่ได้เชื่อโดยพระคุณนั้นอย่างมากมาย
กจ 21.25 แต่ฝ่ายคนต่างชาติที่เชื่อนั้น เราได้เขียนจดหมายตัดสินมิให้เขาถือเช่นนั้น แต่ให้เขาทั้งหลายงดไม่รับประทานของซึ่งบูชาแก่รูปเคารพ ไม่รับประทานเลือด ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และไม่ล่วงประเวณี”
กจ 23.25 แล้วนายพันจึงเขียนจดหมายมีใจความดังต่อไปนี้
กจ 23.33 ครั้นทหารม้าไปถึงเมืองซีซารียาแล้ว จึงส่งจดหมายให้แก่ผู้ว่าราชการเมืองและได้มอบเปาโลไว้ให้ท่านด้วย
กจ 23.34 เมื่อผู้ว่าราชการเมืองได้อ่านจดหมายแล้ว จึงถามว่าเปาโลมาจากแคว้นไหน เมื่อท่านทราบว่ามาจากซีลีเซีย
กจ 28.21 เขาทั้งหลายจึงตอบท่านว่า “พวกเราหาได้รับจดหมายจากแคว้นยูเดียกล่าวถึงท่าน หรือหามีพวกพี่น้องผู้หนึ่งผู้ใดมารายงานหรือกล่าวร้ายถึงท่านไม่
รม 16.22 ข้าพเจ้าเทอร์ทีอัส ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ ขอฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลายในองค์พระผู้เป็นเจ้า
1คร 5.9 ข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายถึงท่านว่า อย่าคบกับคนที่ล่วงประเวณี
1คร 16.3 เมื่อข้าพเจ้ามาถึงแล้ว พวกท่านเห็นชอบจะรับรองผู้ใดโดยจดหมายของท่าน ข้าพเจ้าจะใช้ผู้นั้นถือของถวายของท่านไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
1คร 16.24 ความรักของข้าพเจ้ามีอยู่ต่อท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์เสมอ เอเมน [จดหมายฉบับแรกถึงชาวโครินธ์ ได้เขียนจากเมืองฟีลิปปี และส่งโดยสเทฟานัส ฟอร์ทูนาทัส อาคายคัสและทิโมธี]
2คร 7.8 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าได้ทำให้ท่านเสียใจเพราะจดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนนั้นข้าพเจ้าจะเสียใจบ้าง เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า จดหมายฉบับนั้นทำให้ท่านมีความเสียใจเพียงชั่วขณะเท่านั้น
2คร 10.9 เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่คิดเห็นว่า ข้าพเจ้าอยากให้ท่านกลัวเพราะจดหมายของข้าพเจ้า
2คร 10.10 เพราะมีบางคนพูดว่า “จดหมายของเปาโลนั้นมีน้ำหนักและมีอำนาจมากก็จริง แต่ว่าตัวเขาดูอ่อนกำลัง และคำพูดของเขาก็ใช้ไม่ได้”
2คร 10.11 จงให้คนเหล่านั้นเข้าใจอย่างนี้ว่า เมื่อเราไม่อยู่เราพูดไว้ในจดหมายของเราว่าอย่างไร เมื่อเรามาแล้วเราก็จะกระทำอย่างนั้นด้วย
2คร 13.14 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า ความรักแห่งพระเจ้า และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [จดหมายฉบับที่สองถึงชาวโครินธ์ ได้เขียนจากเมืองฟีลิปปี แคว้นมาซิโดเนีย และส่งโดยทิตัสและลูกา]
คส 4.16 และเมื่อพวกท่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว จงส่งไปให้อ่านในคริสตจักรที่อยู่เมืองเลาดีเซียด้วย และจดหมายที่มาจากเมืองเลาดีเซียฉบับนั้น ท่านก็จงอ่านด้วย
1ธส 5.27 ข้าพเจ้าบัญชาท่านทั้งหลายโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้ท่านอ่านจดหมายฉบับนี้ให้บรรดาพี่น้องอันบริสุทธิ์ฟัง
1ธส 5.28 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [จดหมายฉบับแรกถึงชาวเธสะโลนิกา ได้เขียนจากกรุงเอเธนส์]
2ธส 2.2 อย่าให้ใจของท่านหวั่นไหวง่าย หรือเป็นทุกข์ร้อนไป ไม่ว่าจะเป็นโดยทางวิญญาณ หรือโดยทางคำพูด หรือโดยทางจดหมายเป็นเชิงว่ามาจากเรา อ้างว่าวันของพระคริสต์มาถึงแล้ว
2ธส 2.15 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงมั่นคงไว้ และยึดถือโอวาทที่ท่านได้เรียนแล้ว ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือด้วยจดหมายของเรา
2ธส 3.14 ถ้าผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเราในจดหมายฉบับนี้ จงจดจำคนนั้นไว้ อย่าสมาคมกับเขาเลย เพื่อเขาจะได้อาย
2ธส 3.17 นี่แหละเป็นคำคำนับของข้าพเจ้าคือ เปาโล ที่เขียนด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ซึ่งเป็นเครื่องหมายในจดหมายทุกฉบับ ข้าพเจ้าจึงเขียนเช่นนี้
2ธส 3.18 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [จดหมายฉบับที่สองถึงชาวเธสะโลนิกา ได้เขียนจากกรุงเอเธนส์]
1ทธ 6.21 ซึ่งบางคนสำคัญผิดอย่างนั้น จึงได้พลาดไปจากความเชื่อ ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านเถิด เอเมน [จดหมายฉบับแรกถึงทิโมธี ได้เขียนจากเมืองเลาดีเซีย ซึ่งเป็นนครหลวงในแคว้นฟรีเจีย ปาคาทีอานา]
2ทธ 4.22 ขอพระเยซูคริสต์เจ้าทรงสถิตอยู่กับจิตวิญญาณของท่าน ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านเถิด เอเมน [จดหมายฉบับที่สองถึงทิโมธี ผู้ได้รับการเจิมให้เป็นศิษยาภิบาลคนแรกแห่งคริสตจักรชาวเอเฟซัส ได้เขียนจากกรุงโรม เมื่อเปาโลถูกพิพากษาต่อหน้าจักรพรรดินีโรเป็นครั้งที่สอง]
ฮบ 13.22 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เพียรฟังคำเตือนสตินี้ เพราะข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายมาถึงท่านทั้งหลายเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
2ปต 3.1 บัดนี้ พวกที่รัก นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลาย และในจดหมายทั้งสองฉบับนั้น ข้าพเจ้าได้สะกิดใจอันบริสุทธิ์ของท่านให้ระลึก
2ปต 3.15 และจงถือว่า การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้นานนั้นเป็นการช่วยให้รอด ดังที่เปาโลน้องที่รักของเราได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลายด้วย ตามสติปัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่ท่านนั้น
2ปต 3.16 เหมือนในจดหมายของท่านทุกฉบับ ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านั้น และในจดหมายนั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้เรียนรู้และไม่แน่นอนมั่นคงนั้นได้เปลี่ยนแปลงเสีย เหมือนเขาได้เปลี่ยนแปลงข้ออื่นๆในพระคัมภีร์ จึงเป็นเหตุกระทำให้ตัวพินาศ
1ยน 2.12 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าบาปของท่านได้รับการอภัยแล้วเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
1ยน 2.13 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชัยชนะแก่มารร้าย ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูกเล็กๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระบิดา
1ยน 2.14 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย และท่านได้ชัยชนะแก่มารร้ายแล้ว

จน ( 559 )
ปฐก 1.28; ปฐก 9.1; ปฐก 9.21; ปฐก 16.10; ปฐก 19.11; ปฐก 21.26; ปฐก 24.19; ปฐก 26.13; ปฐก 26.33; ปฐก 27.1; ปฐก 28.3; ปฐก 28.21; ปฐก 29.28; ปฐก 32.4; ปฐก 32.12; ปฐก 32.24; ปฐก 32.32; ปฐก 33.3; ปฐก 34.5; ปฐก 35.20; ปฐก 39.16; ปฐก 41.30; ปฐก 41.49; ปฐก 42.28; ปฐก 43.30; ปฐก 43.34; ปฐก 44.28; ปฐก 46.34; ปฐก 47.13; ปฐก 48.15; อพย 1.7; อพย 7.16; อพย 9.18; อพย 10.5; อพย 10.6; อพย 10.15; อพย 10.19; อพย 10.21; อพย 14.25; อพย 15.16; อพย 16.8; อพย 16.12; อพย 16.19; อพย 16.20; อพย 16.35; อพย 17.12; อพย 18.13; อพย 18.14; อพย 19.16; อพย 21.6; อพย 21.19; อพย 21.20; อพย 23.30; อพย 23.31; อพย 29.34; อพย 32.25; อพย 33.8; ลนต 6.9; ลนต 7.15; ลนต 13.12; ลนต 19.6; ลนต 22.30; ลนต 24.3; ลนต 25.22; ลนต 26.36; กดว 9.12; กดว 9.15; กดว 9.21; กดว 11.20; กดว 14.19; กดว 14.45; กดว 15.36; กดว 21.22; กดว 22.30; กดว 24.4; กดว 24.16; กดว 32.13; กดว 35.16; กดว 35.20; กดว 35.21; กดว 35.28; พบญ 1.31; พบญ 2.14; พบญ 2.15; พบญ 2.22; พบญ 2.29; พบญ 3.3; พบญ 3.4; พบญ 3.20; พบญ 6.22; พบญ 7.23; พบญ 11.4; พบญ 11.5; พบญ 16.4; พบญ 22.2; พบญ 24.12; พบญ 28.20; พบญ 28.21; พบญ 28.22; พบญ 28.51; พบญ 28.52; พบญ 28.55; พบญ 31.19; พบญ 31.24; พบญ 31.30; พบญ 33.17; ยชว 2.22; ยชว 3.17; ยชว 4.9; ยชว 4.23; ยชว 5.6; ยชว 5.9; ยชว 6.25; ยชว 7.26; ยชว 8.6; ยชว 8.22; ยชว 8.24; ยชว 8.29; ยชว 9.27; ยชว 10.13; ยชว 10.20; ยชว 10.26; ยชว 10.33; ยชว 10.35; ยชว 11.8; ยชว 11.14; ยชว 13.13; ยชว 14.14; ยชว 16.3; ยชว 17.14; ยชว 17.18; ยชว 22.3; ยชว 23.8; วนฉ 1.26; วนฉ 3.25; วนฉ 4.24; วนฉ 5.7; วนฉ 6.21; วนฉ 6.27; วนฉ 6.38; วนฉ 9.52; วนฉ 10.4; วนฉ 13.7; วนฉ 14.9; วนฉ 15.8; วนฉ 16.2; วนฉ 16.17; วนฉ 16.18; วนฉ 18.1; วนฉ 19.7; วนฉ 19.8; วนฉ 19.25; วนฉ 19.26; วนฉ 20.5; วนฉ 20.26; วนฉ 20.43; วนฉ 21.2; นรธ 1.13; นรธ 2.7; นรธ 2.14; นรธ 2.23; นรธ 3.7; นรธ 3.10; นรธ 3.14; 1ซมอ 1.23; 1ซมอ 3.15; 1ซมอ 4.5; 1ซมอ 6.18; 1ซมอ 7.11; 1ซมอ 7.12; 1ซมอ 10.8; 1ซมอ 11.11; 1ซมอ 12.2; 1ซมอ 14.36; 1ซมอ 15.12; 1ซมอ 15.35; 1ซมอ 17.35; 1ซมอ 19.2; 1ซมอ 19.23; 1ซมอ 20.41; 1ซมอ 25.36; 1ซมอ 29.8; 1ซมอ 30.4; 1ซมอ 30.25; 1ซมอ 31.6; 2ซมอ 1.12; 2ซมอ 4.3; 2ซมอ 11.21; 2ซมอ 12.29; 2ซมอ 13.27; 2ซมอ 15.24; 2ซมอ 15.28; 2ซมอ 18.18; 2ซมอ 19.7; 2ซมอ 19.24; 2ซมอ 20.3; 2ซมอ 21.10; 2ซมอ 23.10; 2ซมอ 24.15; 1พกษ 3.1; 1พกษ 6.22; 1พกษ 8.8; 1พกษ 9.13; 1พกษ 9.21; 1พกษ 9.25; 1พกษ 10.7; 1พกษ 10.12; 1พกษ 12.19; 1พกษ 14.10; 1พกษ 16.9; 1พกษ 17.17; 1พกษ 18.26; 1พกษ 18.28; 1พกษ 22.11; 1พกษ 22.35; 2พกษ 2.17; 2พกษ 3.20; 2พกษ 3.24; 2พกษ 3.25; 2พกษ 4.20; 2พกษ 4.39; 2พกษ 6.25; 2พกษ 7.3; 2พกษ 7.9; 2พกษ 8.11; 2พกษ 8.15; 2พกษ 8.22; 2พกษ 10.17; 2พกษ 10.27; 2พกษ 13.23; 2พกษ 16.6; 2พกษ 17.23; 2พกษ 17.41; 2พกษ 18.32; 2พกษ 21.16; 2พกษ 24.14; 1พศด 4.43; 1พศด 5.16; 1พศด 5.22; 1พศด 6.32; 1พศด 9.18; 1พศด 12.22; 1พศด 29.29; 2พศด 5.9; 2พศด 5.14; 2พศด 8.8; 2พศด 9.6; 2พศด 9.29; 2พศด 12.15; 2พศด 14.13; 2พศด 15.19; 2พศด 16.11; 2พศด 18.10; 2พศด 20.25; 2พศด 21.10; 2พศด 24.10; 2พศด 25.26; 2พศด 26.15; 2พศด 26.21; 2พศด 26.22; 2พศด 28.26; 2พศด 29.28; 2พศด 29.34; 2พศด 31.1; 2พศด 35.14; 2พศด 35.25; 2พศด 35.27; 2พศด 36.16; อสร 5.3; อสร 5.9; อสร 5.16; อสร 9.14; นหม 2.7; นหม 4.21; นหม 5.14; นหม 6.1; นหม 8.3; นหม 8.18; นหม 9.5; นหม 9.25; นหม 12.23; โยบ 6.13; โยบ 7.4; โยบ 7.19; โยบ 14.12; โยบ 14.13; โยบ 22.11; โยบ 27.5; โยบ 32.4; โยบ 33.21; โยบ 40.23; สดด 10.15; สดด 18.15; สดด 36.2; สดด 40.12; สดด 59.13; สดด 64.6; สดด 66.3; สดด 68.30; สดด 72.7; สดด 73.17; สดด 77.4; สดด 79.3; สดด 104.23; สดด 107.7; สดด 119.33; สดด 119.112; สดด 119.131; สดด 120.6; สดด 140.11; สภษ 4.18; สภษ 5.10; สภษ 7.18; สภษ 7.23; สภษ 13.25; สภษ 14.14; สภษ 28.17; สภษ 28.19; สภษ 29.11; ปญจ 2.3; ปญจ 3.11; ปญจ 5.13; ปญจ 6.2; ปญจ 6.3; พซม 2.17; พซม 3.4; พซม 4.6; อสย 5.8; อสย 5.11; อสย 6.11; อสย 9.7; อสย 10.19; อสย 30.17; อสย 34.5; อสย 36.17; อสย 38.13; อสย 40.20; อสย 46.4; อสย 59.21; อสย 63.17; ยรม 2.21; ยรม 3.7; ยรม 3.25; ยรม 5.28; ยรม 7.25; ยรม 7.32; ยรม 8.16; ยรม 9.5; ยรม 9.16; ยรม 12.17; ยรม 14.19; ยรม 19.11; ยรม 24.2; ยรม 24.3; ยรม 24.8; ยรม 24.10; ยรม 29.17; ยรม 33.20; ยรม 33.21; ยรม 34.22; ยรม 36.23; ยรม 37.21; ยรม 41.2; ยรม 41.9; ยรม 44.14; ยรม 44.22; ยรม 46.10; ยรม 49.24; ยรม 50.26; ยรม 51.39; ยรม 51.57; ยรม 52.3; ยรม 52.5; ยรม 52.6; ยรม 52.11; ยรม 52.34; พคค 2.19; พคค 3.15; พคค 3.17; พคค 4.4; พคค 4.14; พคค 4.18; อสค 4.14; อสค 5.13; อสค 14.15; อสค 16.7; อสค 20.8; อสค 20.29; อสค 20.31; อสค 20.47; อสค 21.17; อสค 21.24; อสค 23.34; อสค 24.13; อสค 25.9; อสค 26.10; อสค 28.15; อสค 29.15; อสค 29.18; อสค 33.28; อสค 39.19; อสค 43.25; ดนล 1.21; ดนล 2.9; ดนล 2.35; ดนล 4.16; ดนล 4.20; ดนล 4.23; ดนล 4.25; ดนล 4.32; ดนล 4.33; ดนล 7.22; ดนล 9.15; ดนล 9.26; ดนล 9.27; ดนล 11.36; ดนล 12.13; ฮชย 2.3; ฮชย 7.4; ฮชย 9.12; อบด 1.9; ยนา 1.4; ยนา 4.7; ยนา 4.8; มคา 4.7; ฮบก 2.13; ฮบก 3.9; ศฟย 2.5; ศคย 1.6; ศคย 1.21; ศคย 10.10; มลค 4.1; มธ 1.25; มธ 2.9; มธ 2.15; มธ 5.26; มธ 8.24; มธ 8.27; มธ 8.28; มธ 8.32; มธ 11.23; มธ 13.32; มธ 13.33; มธ 13.54; มธ 16.21; มธ 19.21; มธ 21.44; มธ 22.10; มธ 25.29; มธ 26.29; มธ 28.4; มธ 28.15; มก 1.45; มก 2.2; มก 3.10; มก 3.20; มก 4.37; มก 4.41; มก 5.26; มก 5.33; มก 6.31; มก 8.8; มก 9.26; มก 12.43; มก 12.44; มก 14.25; มก 14.54; มก 16.8; ลก 5.6; ลก 5.7; ลก 13.21; ลก 17.8; ลก 18.4; ลก 19.13; ลก 20.18; ลก 21.3; ลก 21.4; ยน 3.16; ยน 8.9; ยน 16.24; ยน 21.6; ยน 21.22; ยน 21.23; กจ 4.3; กจ 5.15; กจ 7.20; กจ 7.32; กจ 8.40; กจ 10.37; กจ 11.18; กจ 13.29; กจ 14.1; กจ 15.39; กจ 16.15; กจ 16.26; กจ 19.10; กจ 19.12; กจ 19.16; กจ 19.35; กจ 20.7; กจ 20.11; กจ 24.25; กจ 28.23; รม 1.13; รม 8.22; รม 11.8; รม 11.11; รม 15.19; 2คร 1.8; 2คร 2.5; 2คร 3.7; 2คร 4.8; 2คร 7.15; 2คร 12.7; กท 3.23; อฟ 6.5; ฟป 1.13; ฟป 2.27; คส 1.24; 1ธส 1.8; 2ทธ 1.17; ทต 3.12; ฮบ 5.14; ฮบ 10.39; ฮบ 12.17; ฮบ 12.21; ยก 1.4; ยก 2.19; 1ปต 1.22; 2ปต 1.5; วว 6.13; วว 7.14; วว 8.5; วว 13.13; วว 18.15; วว 19.21; วว 20.3

จนกระทั่ง ( 17 )
ปฐก 8.7 ท่านปล่อยกาตัวหนึ่ง ซึ่งมันบินไปมาจนกระทั่งน้ำลดแห้งจากแผ่นดินโลก
พบญ 29.4 แต่จนกระทั่งวันนี้พระเยโฮวาห์มิได้ประทานจิตใจที่เข้าใจ ตาที่มองเห็นได้ และหูที่ยินได้ให้แก่ท่าน
ยชว 10.27 ต่อมาเมื่อถึงเวลาดวงอาทิตย์ตก โยชูวาได้บัญชาและเขาก็ปลดศพลงจากต้นไม้และทิ้งไว้ในถ้ำซึ่งกษัตริย์เหล่านั้นได้ซ่อนตัวอยู่ และเอาหินใหญ่ๆปิดปากถ้ำนั้นไว้ ซึ่งยังอยู่จนกระทั่งวันนี้
ยชว 22.17 ความชั่วช้าซึ่งเราทำที่เมืองเปโอร์นั้นยังไม่พอเพียงหรือ ซึ่งจนกระทั่งวันนี้เรายังชำระตัวของเราให้สะอาดไม่หมดเลย และซึ่งเป็นเหตุให้ภัยพิบัติเกิดแก่ชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์
2ซมอ 7.6 เราไม่เคยอยู่ในนิเวศนับแต่วันที่เราพาคนอิสราเอลออกจากอียิปต์จนกระทั่งวันนี้ แต่เราก็ดำเนินท่ามกลางเต็นท์และพลับพลา
2ซมอ 17.13 ยิ่งกว่านั้น ถ้าท่านจะถอยร่นเข้าไปในเมือง คนอิสราเอลทั้งสิ้นก็จะเอาเชือกมาลากเมืองนั้นลงไปที่ลุ่มแม่น้ำ จนกระทั่งก้อนกรวดสักก้อนหนึ่งก็ไม่มีให้เห็นที่นั่น”
1พกษ 17.20 และท่านร้องทูลพระเยโฮวาห์ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ทรงนำเหตุร้ายมาจนกระทั่งหญิงม่ายนี้ที่ข้าพระองค์อาศัยอยู่ด้วยทีเดียวหรือ โดยที่ทรงประหารบุตรชายของนางเสีย”
1พศด 17.5 เพราะเราไม่เคยอยู่ในนิเวศนับแต่วันที่เราพาอิสราเอลขึ้นมาจนกระทั่งวันนี้ แต่เราได้ไปจากเต็นท์นี้ถึงเต็นท์โน้น และจากพลับพลาแห่งนี้ถึงแห่งโน้น
อสย 46.4 จนกระทั่งเจ้าแก่ เราก็คือพระองค์นั้น เราจะอุ้มเจ้าจนเจ้าถึงผมหงอก เราได้สร้าง เราจะชูไว้ เราจะอุ้มและเราจะช่วยให้พ้น
อสค 2.3 และพระองค์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราส่งเจ้าไปยังคนอิสราเอล ถึงประชาชาติที่มักกบฏ ผู้ซึ่งได้กบฏต่อเรา ทั้งตัวเขาและบรรพบุรุษของเขาได้ละเมิดต่อเราจนกระทั่งวันนี้
ฮชย 10.12 จงหว่านความชอบธรรมไว้สำหรับตัว จงเกี่ยวผลของความเมตตา เจ้าจงไถดินที่ร้างอยู่ เพราะเป็นเวลาที่จะแสวงหาพระเยโฮวาห์ จนกระทั่งพระองค์จะเสด็จมาโปรยความชอบธรรมลงให้แก่เจ้า
ศฟย 3.3 เจ้านายของเธอก็เหมือนสิงโตที่คำราม ผู้พิพากษาของเธอก็เหมือนหมาป่ายามเย็น ซึ่งไม่แทะกระดูกจนกระทั่งถึงรุ่งเช้า
ศคย 11.16 เพราะดูเถิด เราจะตั้งเมษบาลผู้หนึ่งในแผ่นดินนี้ ผู้ไม่แวะไปหาตัวที่ถูกตัดออกไป หรือแสวงหาตัวที่ยังหนุ่ม หรือรักษาตัวที่หักเสียแล้ว หรือเลี้ยงดูตัวที่เป็นปกติ แต่กินเนื้อของแกะอ้วนทุกตัว ฉีกกินจนกระทั่งถึงกีบของมัน
ยน 9.18 แต่พวกยิวไม่เชื่อเรื่องเกี่ยวกับชายคนนั้นว่า เขาตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งเขาได้เรียกบิดามารดาของคนที่ตากลับมองเห็นได้นั้นมา
กจ 7.18 จนกระทั่งกษัตริย์องค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักโยเซฟได้ขึ้นเสวยราชย์
ฟป 1.5 เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลายมีส่วนในข่าวประเสริฐด้วยกัน ตั้งแต่วันแรกมาจนกระทั่งบัดนี้
ยก 5.7 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา ดูเถิด ชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน และเพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู

จนกว่า ( 185 )
ปฐก 3.19 เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่อไหลโซมหน้าจนกว่าเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับไปเป็นผงคลีดิน”
ปฐก 19.22 เจ้าจงรีบหนีไปที่นั่น เพราะเราไม่สามารถกระทำอะไรได้จนกว่าเจ้าไปถึงที่นั่น” เหตุฉะนั้นจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่าโศอาร์
ปฐก 24.33 แล้วจัดอาหารมาเลี้ยงเขา แต่เขาว่า “ข้าพเจ้าจะไม่รับประทาน จนกว่าข้าพเจ้าจะพูดถึงธุระที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายมานั้นให้ท่านฟังเสียก่อน” ลาบันก็ว่า “เชิญพูดเถิด”
ปฐก 27.44 และอยู่กับเขาชั่วคราวจนกว่าความเกรี้ยวกราดของพี่ชายเจ้าจะคลายลง
ปฐก 27.45 จนกว่าความโกรธของพี่ชายเจ้าจะคลายลง และเขาลืมสิ่งที่เจ้าได้ทำแก่เขา แล้วแม่จะส่งให้คนไปพาเจ้ากลับมาจากที่นั่น แม่ต้องสูญเสียลูกทั้งสองคนในวันเดียวกันทำไมเล่า”
ปฐก 28.15 ดูเถิด เราอยู่กับเจ้า และจะพิทักษ์รักษาเจ้าทุกแห่งหนที่เจ้าไป และจะนำเจ้ากลับมายังแผ่นดินนี้ เพราะเราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าจนกว่าเราจะได้ทำสิ่งซึ่งเราพูดกับเจ้าไว้นั้นแล้ว”
ปฐก 29.8 แต่เขาทั้งหลายตอบว่า “เราทำไม่ได้ จนกว่าแกะทุกๆฝูงจะมาพร้อมกัน และเขากลิ้งหินออกจากปากบ่อน้ำก่อน แล้วเราจึงจะเอาน้ำให้ฝูงแกะกิน”
ปฐก 33.14 ขอนายท่านล่วงหน้าผู้รับใช้ของท่านไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะตามไปช้าๆตามกำลังของสัตว์ซึ่งอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าและตามที่เด็กๆทนได้ จนกว่าข้าพเจ้าจะไปพบนายท่านที่เสอีร์”
ปฐก 37.35 ฝ่ายบุตรชายหญิงทั้งหมดก็พากันมาปลอบโยนบิดา แต่ท่านไม่ยอมรับการปลอบโยนกล่าวว่า “เราจะโศกเศร้าถึงลูกเราจนกว่าเราจะตามลงไปยังหลุมฝังศพ” บิดาของเขาร้องไห้คิดถึงเขาดังนี้
ปฐก 38.11 ยูดาห์จึงบอกทามาร์บุตรสะใภ้ว่า “กลับไปเป็นหญิงม่ายที่บ้านบิดาจนกว่าเช-ลาห์บุตรชายของเราจะโต” ยูดาห์กลัวว่าเขาจะตายเสียเหมือนพี่ชาย นางทามาร์จึงไปอาศัยอยู่ในบ้านบิดา
ปฐก 38.17 ยูดาห์ตอบว่า “เราจะส่งลูกแพะจากฝูงมาให้เจ้าตัวหนึ่ง” นางก็ถามว่า “ท่านจะให้ของมัดจำไว้ก่อนจนกว่าจะส่งลูกแพะนั้นมาได้ไหม”
ปฐก 49.10 ธารพระกรจะไม่ขาดไปจากยูดาห์ หรือผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติจะไม่ขาดไปจากหว่างเท้าของเขา จนกว่าชีโลห์จะมา และชนชาติทั้งหลายจะรวบรวมเข้ากับผู้นั้น
อพย 10.26 ข้าพระองค์ต้องนำฝูงสัตว์ไปด้วย ขาดไม่ได้สักกีบเดียว เพราะว่าจะต้องเอาสัตว์จากฝูงเหล่านั้นไปถวายพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ยังไม่ทราบว่าจะต้องการสัตว์ตัวใดถวายพระเยโฮวาห์ จนกว่าเราจะถึงที่นั่น”
อพย 24.14 และกล่าวแก่พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นว่า “คอยเราอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะกลับมาหาพวกท่านอีก ดูเถิด อาโรนและเฮอร์อยู่กับพวกท่าน ใครมีเรื่องราวอะไรก็จงมาหาท่านทั้งสองนี้เถิด”
อพย 33.22 แล้วขณะเมื่อสง่าราศีของเรากำลังผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในช่องศิลาและจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเราจนกว่าเราจะผ่านไป
อพย 34.34 แต่เมื่อไรที่โมเสสเข้าเฝ้าทูลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ท่านก็ปลดผ้านั้นออกเสีย จนกว่าจะกลับออกมา แล้วท่านออกมาเล่าให้คนอิสราเอลฟังตามที่ท่านรับพระบัญชามาแล้วนั้น
อพย 34.35 และคนอิสราเอลดูหน้าของโมเสสคือเห็นผิวหน้าของโมเสสทอแสง ฝ่ายโมเสสใช้ผ้าคลุมหน้าไว้อีกทุกครั้ง จนกว่าจะเข้าไปทูลพระองค์
อพย 40.37 แต่หากว่าเมฆนั้นมิได้ถูกยกขึ้นไป เขาก็ไม่ออกเดินทางเลย จนกว่าจะถึงวันที่เมฆนั้นจะถูกยกขึ้นไป
ลนต 8.33 และท่านทั้งหลายอย่าออกไปนอกประตูพลับพลาแห่งชุมนุมตลอดเจ็ดวัน จนกว่าวันกำหนดสถาปนาของท่านจะครบ เพราะที่จะสถาปนาท่านนั้นก็กินเวลาเจ็ดวัน
ลนต 12.4 ให้นางคอยอยู่อีกสามสิบสามวันด้วยเรื่องโลหิตชำระของนาง อย่าให้นางแตะต้องของบริสุทธิ์อันใด หรือเข้าไปในสถานบริสุทธิ์ จนกว่าจะครบวันชำระของนาง
ลนต 16.17 อย่าให้มีผู้ใดอยู่ในพลับพลาแห่งชุมนุมเมื่ออาโรนเข้าไปทำการลบมลทินในสถานที่บริสุทธิ์นั้น จนกว่าเขาจะออกมาและทำการลบมลทินสำหรับตัวเขาและสำหรับครอบครัวของเขาและสำหรับบรรดาชุมนุมชนอิสราเอล
ลนต 22.4 อย่าให้เชื้อสายอาโรนคนใดที่เป็นโรคเรื้อนหรือมีสิ่งไหลออกมารับประทานของบริสุทธิ์ ให้รอจนกว่าเขาสะอาดแล้วก่อน ผู้ใดแตะต้องสิ่งที่มลทินโดยแตะต้องศพหรือผู้ที่มีน้ำกามไหลออก
ลนต 23.14 เจ้าอย่ารับประทานขนมปังหรือข้าวคั่วข้าวสดจนกว่าจะถึงวันเดียวกันนี้ คือกว่าเจ้าจะนำเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้าของเจ้า ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้าในที่อยู่ของเจ้าทั่วไป
ลนต 24.12 เขาจึงจองจำชายคนนั้นไว้จนกว่าน้ำพระทัยของพระเยโฮวาห์จะเป็นที่กระจ่างต่อเขาทั้งหลาย
กดว 6.5 ตลอดเวลาที่เขาปฏิญาณปลีกตัวออกมานั้น อย่าให้มีดโกนถูกศีรษะของเขา เขาต้องบริสุทธิ์จนกว่าจะสิ้นกำหนดเวลาที่เขาปลีกตัวออกมาถวายแด่พระเยโฮวาห์ เขาจะต้องไว้ผมยาว
กดว 12.15 ดังนั้นมิเรียมจึงถูกกักอยู่นอกค่ายเจ็ดวัน และประชาชนก็มิได้ยกเดินไปจนกว่ามิเรียมกลับเข้ามาอีก
กดว 14.33 ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายจะพเนจรอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เขาจะทนโทษการเล่นชู้ของเจ้า จนกว่าจำนวนซากศพของเจ้าจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ครบ
กดว 20.17 ขอให้เรายกผ่านเขตแดนของท่าน เราจะไม่ผ่านไร่นาหรือสวนองุ่นของท่าน เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อ เราจะเดินไปตามทางหลวง เราจะไม่หันไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ จนกว่าเราจะผ่านพ้นเขตแดนของท่าน”
กดว 23.24 ดูเถิด ชนชาติหนึ่งซึ่งลุกขึ้นอย่างสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ และยืนขึ้นอย่างสิงโตหนุ่ม ไม่ยอมนอนจนกว่าจะกินเหยื่อเสีย และดื่มเลือดของสิ่งที่ฆ่าตาย”
กดว 32.17 แต่เราทั้งหลายจะถืออาวุธพร้อมที่จะไปข้างหน้าคนอิสราเอล จนกว่าเราทั้งหลายจะนำเขาไปถึงที่ของเขา เด็กเล็กของเราจะได้อยู่ในเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบเพราะกลัวชาวแผ่นดินนี้
กดว 32.18 เราทั้งหลายจะไม่ยอมกลับบ้านจนกว่าคนอิสราเอลจะได้รับมรดกของเขาทุกคน
กดว 32.21 และคนของท่านที่ถืออาวุธทุกคนจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จนกว่าพระองค์จะทรงขับไล่ศัตรูให้พ้นพระองค์
กดว 35.25 ให้ชุมนุมชนช่วยผู้ฆ่าให้พ้นจากมือผู้อาฆาตโลหิต ให้ชุมนุมชนพาตัวเขากลับไปถึงเมืองลี้ภัยซึ่งเขาได้หนีไปอยู่นั้น ให้เขาอยู่ที่นั่นจนกว่ามหาปุโรหิตผู้ได้ถูกเจิมไว้ด้วยน้ำมันบริสุทธิ์ถึงแก่ความตาย
พบญ 7.20 ยิ่งกว่านั้นอีกพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงใช้ฝูงต่อมาท่ามกลางเขา จนกว่าผู้ที่เหลืออยู่และซ่อนตัวหลบจากท่านจะถูกทำลายสิ้น
พบญ 7.24 และพระองค์จะทรงมอบกษัตริย์ของเขาไว้ในมือของท่าน และท่านทั้งหลายจะกระทำให้ชื่อของเขาพินาศไปจากใต้ฟ้า จะไม่มีผู้ใดต่อต้านท่านทั้งหลายได้ จนกว่าท่านจะทำลายเขาเสีย
พบญ 20.20 เฉพาะต้นไม้ที่ท่านทราบว่าไม่ใช้เป็นอาหาร ท่านจะทำลายและโค่นลงก็ได้ เพื่อจะใช้สร้างเครื่องล้อมเมืองซึ่งสู้รบกับท่าน จนกว่าเมืองนั้นจะแตก”
พบญ 28.24 พระเยโฮวาห์จะทรงบันดาลให้ฝนในแผ่นดินของท่านเป็นฝุ่นและละออง ลงมาจากอากาศอยู่เหนือท่านทั้งหลายจนกว่าท่านจะถูกทำลาย
พบญ 28.45 ยิ่งกว่านั้นคำสาปแช่งทั้งหมดนี้จะตามหาท่าน และตามทันท่านจนกว่าท่านจะถูกทำลาย เพราะว่าท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ที่จะรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ซึ่งพระองค์บัญชาท่านไว้
พบญ 28.48 เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องปรนนิบัติศัตรูของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงใช้มาต่อสู้ท่าน ด้วยความหิวและกระหาย เปลือยกายและขัดสนทุกอย่าง และพระองค์จะทรงวางแอกเหล็กบนคอของท่าน จนกว่าพระองค์จะทำลายท่านเสียสิ้น
พบญ 28.51 และจะรับประทานผลของฝูงสัตว์ของท่าน และพืชผลจากพื้นดินของท่าน จนท่านจะถูกทำลาย ทั้งเขาจะไม่เหลือข้าว น้ำองุ่นหรือน้ำมัน ลูกวัว หรือลูกแกะอ่อนไว้ให้ท่าน จนกว่าเขาจะกระทำให้ท่านพินาศ
พบญ 28.61 เช่นเดียวกันโรคทุกอย่างและภัยพิบัติทุกอย่าง ซึ่งมิได้ระบุไว้ในหนังสือพระราชบัญญัตินี้ พระเยโฮวาห์จะทรงนำมายังท่าน จนกว่าท่านทั้งหลายจะถูกทำลาย
ยชว 1.15 จนกว่าพระเยโฮวาห์จะประทานที่พักให้แก่พี่น้องของท่าน ดังที่ประทานแก่ท่าน ทั้งให้เขาได้ยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่เขา แล้วท่านจึงจะกลับไปยังแผ่นดินที่ท่านยึดครองและถือไว้เป็นกรรมสิทธิ์ คือแผ่นดินซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้ให้แก่พวกท่านฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ทางดวงอาทิตย์ขึ้น”
ยชว 2.16 นางจึงบอกเขาว่า “จงขึ้นไปบนภูเขา ด้วยเกรงว่าผู้ที่ไล่ตามจะพบเข้า จงซ่อนตัวอยู่สามวันจนกว่าผู้ที่ไล่ตามจะกลับ แล้วจึงค่อยออกเดินต่อไป”
ยชว 5.8 ต่อมาเมื่อได้ให้ประชาชนเข้าสุหนัตเสร็จหมดแล้ว เขาก็พักอยู่ในที่อาศัยในค่ายจนกว่าจะหายเป็นปกติ
ยชว 6.10 แต่โยชูวาบัญชาประชาชนว่า “ท่านอย่าโห่ร้อง อย่าให้ใครได้ยินเสียงของท่าน อย่าให้ถ้อยคำหลุดจากปากของท่านทั้งหลายเลย จนกว่าจะถึงวันที่ข้าพเจ้าบอกให้ท่านโห่ร้อง ท่านจึงโห่ร้องกัน”
ยชว 7.13 จงลุกขึ้นชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และกล่าวว่า ‘จงชำระตัวเสียเพื่อวันพรุ่งนี้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนอิสราเอลกล่าวเช่นนี้ว่า “โอ อิสราเอลเอ๋ย มีสิ่งของที่ถูกสาปแช่งอยู่ในหมู่พวกเจ้า เจ้าจะยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของเจ้าไม่ได้จนกว่าเจ้าจะนำสิ่งของที่ถูกสาปแช่งนั้นออกเสียจากหมู่พวกเจ้า”’
ยชว 8.26 เพราะโยชูวามิได้หดมือที่ถือหอกยื่นอยู่นั้น จนกว่าจะได้ผลาญชาวเมืองอัยพินาศสิ้น
ยชว 20.6 และผู้นั้นจะอาศัยอยู่ในเมืองนั้นจนกว่าเขาจะยืนต่อหน้าชุมนุมชนเพื่อรอรับการพิพากษา จนกว่ามหาปุโรหิตในเวลานั้นสิ้นชีวิต ผู้ฆ่าคนนั้นจึงจะกลับไปยังเมืองของตน ไปบ้านของตน ไปยังเมืองที่เขาจากมานั้นได้’”
ยชว 20.9 หัวเมืองเหล่านี้เป็นเมืองที่กำหนดไว้ให้คนอิสราเอลทั้งหมด และให้คนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา เพื่อว่าถ้าผู้ใดได้ฆ่าคนด้วยมิได้เจตนาจะได้หนีไปที่นั่นได้ เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องตายด้วยมือของผู้อาฆาตโลหิต จนกว่าเขาจะได้ยืนต่อหน้าชุมนุมชน
ยชว 23.13 ท่านจงทราบเป็นแน่เถิดว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะไม่ทรงขับไล่ประชาชาติเหล่านี้ออกไปให้พ้นหน้าท่าน แต่เขาจะเป็นบ่วงและเป็นกับดักท่าน เป็นหอกข้างแคร่เป็นหนามยอกตา จนกว่าท่านจะพินาศไปจากแผ่นดินที่ดีนี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
ยชว 23.15 สิ่งสารพัดที่ดีซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านสัญญาเกี่ยวกับท่านได้สำเร็จเพื่อท่านฉันใด พระเยโฮวาห์ก็จะทรงนำสิ่งสารพัดที่ร้ายมาถึงท่าน จนกว่าพระองค์จะทำลายท่านเสียจากแผ่นดินอันดีนี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเช่นเดียวกัน
วนฉ 6.18 ขอพระองค์อย่าเสด็จไปเสียจากที่นี่จนกว่าข้าพระองค์จะกลับมาหาพระองค์ และนำของมาตั้งถวายต่อพระพักตร์” และพระองค์ตรัสว่า “เราจะคอยอยู่จนกว่าเจ้าจะกลับมาอีก”
นรธ 2.21 รูธชาวโมอับกล่าวว่า “นอกจากนั้นเขายังพูดกับฉันว่า ‘เจ้าจงอยู่ใกล้ๆคนใช้หนุ่มของฉันจนกว่าเขาจะเกี่ยวข้าวของฉันเสร็จ’”
นรธ 3.3 จงอาบน้ำ ทาน้ำมันสวมเครื่องแต่งกายแล้วลงไปที่ลานนวดข้าว แต่อย่าให้ท่านเห็นตัวจนกว่าท่านจะรับประทานและดื่มเสร็จแล้ว
นรธ 3.13 คืนนี้เจ้าจงค้างที่นี่ก่อน พรุ่งนี้เช้า ถ้าเขาจะทำหน้าที่ญาติสนิทเพื่อเจ้าก็ดีแล้ว ให้เขาทำหน้าที่ญาติสนิทเถอะ แต่ถ้าเขาไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ญาติสนิทที่ถัดมาเพื่อเจ้า พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ฉันจะทำหน้าที่ญาติสนิทที่ถัดมาเพื่อเจ้าแน่ฉันนั้น จงนอนลงเถิดจนกว่าจะรุ่งเช้า”
นรธ 3.18 แม่สามีจึงว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงคอยอยู่ก่อน จนกว่าจะทราบว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร เพราะว่าท่านจะไม่หยุดเลยจนกว่าท่านจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จในวันนี้”
1ซมอ 1.22 แต่ฮันนาห์มิได้ขึ้นไปด้วยเพราะนางบอกสามีว่า “ฉันจะไม่ไปจนกว่าเด็กคนนี้หย่านมแล้ว ฉันจะพาเขาขึ้นไป เพื่อเขาจะได้ปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และอยู่ที่นั่นตลอดไป”
1ซมอ 9.13 พอท่านทั้งสองเข้าไปถึงในเมือง ท่านทั้งสองจะพบก่อนที่ผู้ทำนายขึ้นไปรับประทานอาหาร ณ ปูชนียสถานสูง เพราะว่าประชาชนจะไม่รับประทานจนกว่าท่านจะมาถึง เพราะท่านจะต้องมาอวยพรแก่เครื่องสัตวบูชา ภายหลังผู้ที่ได้รับเชิญจึงรับประทาน ฉะนั้นบัดนี้จงขึ้นไปเถิด ท่านทั้งสองจะพบทันที”
1ซมอ 14.9 ถ้าเขาจะกล่าวแก่เราว่า ‘จงคอยอยู่จนกว่าเราจะมาหาเจ้า’ แล้วเราจะยืนนิ่งอยู่ในที่ของเรา และเราจะไม่ไปหาเขา
1ซมอ 15.18 และพระเยโฮวาห์ทรงใช้ให้ท่านออกไปประกอบกิจ ตรัสว่า ‘จงไปทำลายคนอามาเลขคนบาปหนาเสียให้สิ้นเชิง และต่อสู้กับเขาจนกว่าเขาจะถูกผลาญเสียหมด’
1ซมอ 16.11 แล้วซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “บุตรชายของท่านอยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง ดูเถิด เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่” และซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “จงใช้คนไปตามเขามา เพราะเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะมาที่นี่”
1ซมอ 22.3 ดาวิดก็ออกจากที่นั่นไปยังเมืองมิสปาห์ในแผ่นดินโมอับ และท่านทูลกษัตริย์เมืองโมอับว่า “ขอโปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้ามาอยู่กับพระองค์เถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำประการใดเพื่อข้าพเจ้า”
2ซมอ 10.5 เมื่อมีคนไปกราบทูลดาวิดให้ทรงทราบ พระองค์ก็รับสั่งให้คนไปรับข้าราชการเหล่านั้น เพราะว่าเขาทั้งหลายได้รับความอับอายมาก และกษัตริย์ตรัสว่า “จงพักอยู่ที่เมืองเยรีโคจนกว่าเคราของท่านทั้งหลายจะขึ้นแล้วจึงค่อยกลับมา”
2ซมอ 22.38 ข้าพระองค์ไล่ตามศัตรูของข้าพระองค์และได้ทำลายเขาเสีย และไม่หันกลับจนกว่าเขาถูกผลาญเสียสิ้น
1พกษ 5.3 “ท่านคงทราบอยู่แล้วว่าดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ไม่ได้ เพราะการสงครามซึ่งอยู่ล้อมรอบพระองค์ทุกด้าน จนกว่าพระเยโฮวาห์จะทรงปราบเขาเสียให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
1พกษ 11.16 (เพราะโยอาบและคนอิสราเอลทั้งสิ้นยังอยู่ที่นั่นหกเดือน จนกว่าเขาได้ฆ่าผู้ชายทุกคนในเอโดม)
1พกษ 17.14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมดและน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเยโฮวาห์ทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน’”
1พกษ 22.27 และว่า ‘กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า “เอาคนนี้จำคุกเสีย ให้อาหารแห่งความทุกข์กับน้ำแห่งความทุกข์ จนกว่าเราจะกลับมาโดยสันติภาพ”’”
2พกษ 13.17 และท่านทูลว่า “ขอทรงเปิดหน้าต่างด้านตะวันออก” และพระองค์ทรงเปิด แล้วเอลีชาทูลว่า “ขอทรงยิง” และพระองค์ก็ทรงยิง และท่านทูลว่า “ลูกธนูแห่งการช่วยให้รอดพ้นของพระเยโฮวาห์ ลูกธนูแห่งการช่วยให้รอดพ้นจากซีเรีย เพราะพระองค์จะทรงต่อสู้กับคนซีเรียที่อาเฟก จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้เขาสิ้นไป”
2พกษ 13.19 แล้วคนแห่งพระเจ้าก็โกรธพระองค์ และทูลว่า “พระองค์ควรจะได้ตีสักห้าหรือหกครั้ง แล้วพระองค์จะได้ตีซีเรียจนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้เขาสิ้นไป แต่บัดนี้พระองค์จะตีซีเรียได้เพียงสามครั้งเท่านั้น”
2พกษ 17.20 และพระเยโฮวาห์ทรงปฏิเสธไม่รับเชื้อสายทั้งสิ้นของอิสราเอล และได้ให้เขาทั้งหลายทุกข์ใจ และทรงมอบเขาไว้ในมือของผู้ปล้น จนกว่าพระองค์ได้ทรงเหวี่ยงเขาเสียจากสายพระเนตรของพระองค์
1พศด 19.5 เมื่อมีบางคนไปทูลดาวิดถึงเรื่องคนเหล่านั้น พระองค์ก็ทรงใช้ให้ไปรับเขา เพราะคนเหล่านั้นอายมาก และกษัตริย์ตรัสว่า “จงพักอยู่ที่เมืองเยรีโคจนกว่าเคราของท่านทั้งหลายจะขึ้น แล้วจึงค่อยกลับมา”
1พศด 28.20 แล้วดาวิดตรัสกับซาโลมอนโอรสของพระองค์ว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญ และทำให้สำเร็จเถิด อย่ากลัวเลย อย่าขยาด เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้า คือพระเจ้าของข้าจะทรงสถิตกับเจ้า พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าล้มเหลวหรือทอดทิ้งเจ้า จนกว่างานทั้งสิ้นสำหรับงานปรนนิบัติแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะสำเร็จ
2พศด 18.26 และว่า ‘กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า เอาคนนี้จำคุกเสีย ให้อาหารแห่งความทุกข์กับน้ำแห่งความทุกข์ จนกว่าเราจะกลับมาโดยสันติภาพ’”
2พศด 21.15 และตัวเจ้าเองจะมีความเจ็บป่วยสาหัสด้วยโรคลำไส้ของเจ้า จนกว่าลำไส้ของเจ้าจะออกมาเพราะเหตุโรคนั้นวันแล้ววันเล่า’”
2พศด 29.34 แต่มีปุโรหิตน้อยเกินไป จนถลกหนังเครื่องเผาบูชาทั้งหมดไม่ได้ คนเลวีพี่น้องของเขาก็ได้ช่วยจนเสร็จงาน และจนกว่าปุโรหิตคนอื่นจะเสร็จการชำระตนให้บริสุทธิ์ เพราะในการชำระตนนั้นคนเลวีจริงจังยิ่งกว่าพวกปุโรหิต
2พศด 36.21 เพื่อให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ผ่านปากของเยเรมีย์ จนกว่าแผ่นดินจะได้ชื่นชมกับปีสะบาโตของมัน เพราะตราบเท่าที่มันยังว่างเปล่าอยู่ มันก็รักษาสะบาโต เพื่อจะให้ครบตามกำหนดเจ็ดสิบปี
อสร 2.63 ผู้ว่าราชการเมืองสั่งเขามิให้รับประทานอาหารบริสุทธิ์ที่สุด จนกว่าจะมีปุโรหิตที่จะปรึกษากับอูรีมและทูมมีมเสียก่อน
อสร 4.21 เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกคำสั่งว่า ให้คนเหล่านี้หยุดและไม่ต้องสร้างเมืองนี้ใหม่ จนกว่าเราจะออกกฤษฎีกา
อสร 5.5 แต่พระเนตรของพระเจ้าของเขาทั้งหลายอยู่เหนือพวกผู้ใหญ่ของพวกยิว และเขาก็ยับยั้งเขาทั้งหลายไม่ได้จนกว่าเรื่องนี้จะทราบถึงดาริอัส และมีคำตอบเป็นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มา
อสร 8.29 จงเฝ้าดูแลไว้จนกว่าท่านชั่งสิ่งเหล่านั้นต่อหน้าพวกปุโรหิตใหญ่และคนเลวี และประมุขของบรรพบุรุษอิสราเอลในเยรูซาเล็ม ภายในห้องพระนิเวศของพระเยโฮวาห์”
อสร 10.14 ขอให้เจ้าหน้าที่ของเราทำการแทนชุมนุมชนทั้งสิ้น และให้บรรดาคนในหัวเมืองของเราที่ได้รับภรรยาต่างชาติมาตามเวลากำหนด พร้อมกับพวกผู้ใหญ่และผู้วินิจฉัยของทุกเมืองจนกว่าพระพิโรธอันแรงกล้าของพระเจ้าของเรา ที่ทรงมีในเรื่องนี้หันเหไปจากเราทั้งหลาย”
นหม 4.11 และศัตรูของเรากล่าวว่า “เขาจะไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าเราจะเข้ามาท่ามกลางเขาและฆ่าเขา กับยับยั้งงานของเขา”
นหม 7.3 ข้าพเจ้าพูดกับพวกเขาว่า “อย่าให้ประตูเมืองเยรูซาเล็มเปิดจนกว่าแดดจะร้อน และเมื่อเขายืนเฝ้ายามอยู่ ก็ให้ปิดและเอาดาลกั้นไว้ จงแต่งตั้งยามจากชาวเยรูซาเล็ม ต่างก็ประจำที่ของเขา และต่างก็อยู่ยามตรงข้ามเรือนของเขา”
นหม 7.65 ผู้ว่าราชการเมืองสั่งเขามิให้รับอาหารบริสุทธิ์ที่สุด จนกว่าจะมีปุโรหิตที่จะปรึกษากับอูรีมและทูมมีมเสียก่อน
นหม 13.19 และอยู่มาพอเริ่มมืดที่ประตูเมืองเยรูซาเล็มก่อนวันสะบาโต ข้าพเจ้าได้บัญชาให้ปิดประตูเมือง และสั่งว่า ไม่ให้เปิดจนกว่าจะพ้นวันสะบาโตแล้ว และข้าพเจ้าก็ตั้งข้าราชการบางคนของข้าพเจ้าให้ดูแลประตูเมือง ว่าไม่ให้นำภาระสิ่งใดเข้ามาในวันสะบาโต
โยบ 14.14 ถ้ามนุษย์ตายแล้ว เขาจะมีชีวิตอีกหรือ ข้าพระองค์จะคอยอยู่ตลอดวันประจำการของข้าพระองค์ จนกว่าการปลดปล่อยของข้าพระองค์จะมาถึง
สดด 18.37 ข้าพระองค์ไล่ตามศัตรูของข้าพระองค์ทัน และไม่หันกลับจนกว่าเขาจะถูกผลาญเสียสิ้น
สดด 57.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ เพราะจิตวิญญาณของข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์จนกว่าภัยอันตรายเหล่านี้จะผ่านพ้นไป
สดด 71.18 แม้จะถึงวัยชราและผมหงอกก็ตาม โอ ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย จนกว่าข้าพระองค์จะประกาศถึงอานุภาพของพระองค์แก่ชั่วอายุถัดไป และฤทธิ์เดชของพระองค์แก่บรรดาผู้ที่จะเกิดมา
สดด 94.13 เพื่อจะให้เขาพักจากวันลำบากจนกว่าจะขุดบ่อไว้ให้คนชั่ว
สดด 105.19 จนกว่าสิ่งที่เขาบอกได้บังเกิดขึ้น พระวจนะของพระเยโฮวาห์ทดสอบเขา
สดด 110.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า”
สดด 112.8 จิตใจของเขาแน่วแน่ เขาจะไม่กลัวจนกว่าจะเห็นความประสงค์ต่อศัตรูของเขาสำเร็จ
สดด 123.2 ดูเถิด ตาของผู้รับใช้มองดูมือนายของตนฉันใด และตาของสาวใช้มองดูมือนายหญิงของตนฉันใด ตาของข้าพเจ้าทั้งหลายมองดูพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายจนกว่าพระองค์จะมีพระกรุณาต่อข้าพเจ้าทั้งหลายฉันนั้น
สดด 132.5 จนกว่าข้าพระองค์จะหาสถานที่สำหรับพระเยโฮวาห์ได้ คือที่ประทับของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของยาโคบ”
สภษ 18.17 บุคคลผู้แถลงคดีของตนก่อนก็ดูเหมือนเป็นฝ่ายถูก จนกว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาสอบสวนเขา
พซม 2.7 โอ เหล่าบุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันขอให้เธอทั้งหลายปฏิญาณต่อละมั่งหรือกวางตัวเมียในทุ่งว่า เธอทั้งหลายจะไม่เร้าหรือจะไม่ปลุกที่รักของดิฉันให้ตื่นกระตือขึ้นจนกว่าเขาจะจุใจแล้ว
พซม 3.5 โอ เหล่าบุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันขอให้เธอทั้งหลายปฏิญาณต่อละมั่งหรือกวางตัวเมียในทุ่งว่า เธอทั้งหลายจะไม่เร้าหรือจะไม่ปลุกที่รักของดิฉันให้ตื่นกระตือขึ้นจนกว่าเขาจะจุใจแล้ว
พซม 8.4 โอ บุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันขอให้เธอทั้งหลายปฏิญาณว่า เธอทั้งหลายจะไม่เร้าหรือจะไม่ปลุกที่รักของดิฉันให้ตื่นกระตือขึ้น จนกว่าเขาจะจุใจแล้ว
อสย 22.14 พระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงสำแดงในหูของข้าพเจ้าว่า “แน่ทีเดียวที่จะไม่ลบความชั่วช้าอันนี้ให้เจ้า จนกว่าเจ้าจะตาย” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้
อสย 23.13 จงดูแผ่นดินแห่งคนเคลเดียเถิด ชนชาตินี้ยังไม่มีขึ้นมา จนกว่าคนอัสซีเรียสถาปนาแผ่นดินนั้นไว้สำหรับคนที่อาศัยอยู่ตามถิ่นทุรกันดาร พวกเขาได้ก่อเชิงเทินของเขาขึ้น พวกเขาก่อวังทั้งหลายของเขาขึ้น แต่ท่านกระทำให้มันเป็นที่ปรักหักพัง
อสย 26.20 มาเถิด ชนชาติของข้าพเจ้าเอ๋ย จงเข้าในห้องของเจ้าและปิดประตูเสีย จงซ่อนตัวเจ้าอยู่สักพักหนึ่ง จนกว่าพระพิโรธจะผ่านไป
อสย 32.15 จนกว่าพระวิญญาณจะเทลงมาบนเราจากเบื้องบน และถิ่นทุรกันดารกลายเป็นสวนผลไม้ และสวนผลไม้นั้นจะถือว่าเป็นป่า
อสย 42.4 ท่านจะไม่ล้มเหลวหรือท้อแท้จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก และเกาะทั้งหลายจะรอคอยพระราชบัญญัติของท่าน
อสย 62.1 เพื่อเห็นแก่ศิโยน ข้าพเจ้าจะไม่ระงับเสียง และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจะไม่นิ่งเฉยอยู่ จนกว่าความชอบธรรมของกรุงนี้จะออกไปอย่างความสุกใส และความรอดของกรุงนี้อย่างคบเพลิงที่ลุกอยู่
อสย 62.7 และอย่าให้พระองค์หยุดพักจนกว่าพระองค์จะสถาปนาและกระทำกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นที่สรรเสริญในแผ่นดินโลก
ยรม 23.20 ความกริ้วของพระเยโฮวาห์จะไม่หันกลับ จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ และจนกว่าพระองค์ทรงกระทำตามพระเจตนาแห่งพระหฤทัยของพระองค์ ในวันหลังๆเจ้าทั้งหลายจะเข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้ง
ยรม 27.7 บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นจะต้องปรนนิบัติตัวเขา ลูกและหลานของเขา จนกว่าเวลากำหนดแห่งแผ่นดินของท่านเองจะมาถึง แล้วหลายประชาชาติและบรรดามหากษัตริย์จะกระทำให้ท่านเป็นทาสของเขาทั้งหลาย
ยรม 27.8 แต่ต่อมาถ้าประชาชาติใด หรือราชอาณาจักรใด จะไม่ปรนนิบัติเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนคนนี้ และไม่ยอมวางคอไว้ใต้แอกของกษัตริย์บาบิโลน เราจะลงโทษประชาชาตินั้นด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ จนกว่าเราจะล้างผลาญเสียด้วยมือของเขา
ยรม 30.24 ความกริ้วอันแรงกล้าของพระเยโฮวาห์จะไม่หยุดยั้ง จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำ และให้สำเร็จตามพระทัยพระองค์ประสงค์ ในวาระสุดท้าย เจ้าทั้งหลายจะพิจารณาถึงข้อความนี้
ยรม 32.5 และเขาจะนำเศเดคียาห์ไปยังบาบิโลน และท่านจะอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะไปเยี่ยมท่าน พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ ถึงแม้เจ้าจะต่อสู้กับชาวเคลเดีย เจ้าก็จะไม่เจริญ’”
ยรม 44.27 ดูเถิด เราคอยดูอยู่เพื่อให้เกิดความร้าย มิใช่ความดี ชนยูดาห์ทั้งสิ้นผู้อยู่ในแผ่นดินอียิปต์จะถูกผลาญเสียด้วยดาบ และด้วยการกันดารอาหาร จนกว่าจะถึงที่สุดของเขา
ยรม 49.37 ด้วยว่าเราจะกระทำให้เอลามสยดสยองต่อหน้าศัตรูของเขาทั้งหลาย และต่อหน้าผู้ที่แสวงหาชีวิตของเขา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะนำเหตุร้ายมาถึงเขาทั้งหลาย คือความพิโรธอันแรงกล้า เราจะใช้ให้ดาบไล่ตามเขาทั้งหลาย จนกว่าเราจะได้เผาผลาญเขาเสีย
อสค 4.8 และ ดูเถิด เราจะเอาเชือกมัดเจ้าไว้ เจ้าจะพลิกจากข้างนี้ไปข้างโน้นไม่ได้จนกว่าเจ้าจะครบการล้อมนครตามกำหนดวันของเจ้า
อสค 6.12 ผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปจะตายด้วยโรคระบาด ผู้ที่อยู่ใกล้ก็จะล้มตายด้วยดาบ และผู้ที่เหลืออยู่และถูกล้อมไว้จะตายด้วยการกันดารอาหาร เราจะให้ความเกรี้ยวกราดของเรามีเหนือเขาจนกว่าจะมอดลง เช่นนี้แหละ
อสค 21.27 เราจะกระทำให้เป็นที่พังทลาย พังทลาย พังทลาย และจะไม่มีเลยจนกว่าผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมจะมาถึง และเราจะประทานให้แก่ท่านผู้นั้น
อสค 24.13 ราคะของเจ้าโสโครก เพราะว่าเราได้ชำระเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ชำระตัว เจ้าจะไม่ถูกชำระจากความโสโครกของเจ้าอีกต่อไป จนกว่าเราจะระบายความเกรี้ยวกราดของเราออกเหนือเจ้าจนหมด
อสค 39.15 เมื่อคนเหล่านั้นผ่านไปมาในแผ่นดิน ถ้าใครเห็นกระดูกคนเข้า เขาจะเอาเครื่องหมายปักไว้ข้างกระดูกนั้น จนกว่าคนฝังจะมาฝังเขาไว้ในหุบเขาฮาโมนโกก
อสค 46.2 ฝ่ายเจ้านายนั้นจะเข้ามาจากข้างนอกทางมุขของหอประตู และจะมายืนอยู่ที่เสาประตู และพวกปุโรหิตจะเตรียมเครื่องเผาบูชา และเครื่องสันติบูชาของท่าน และท่านจะนมัสการอยู่ที่ธรณีประตู แล้วท่านจะออกไป แต่อย่าปิดประตูนั้นจนกว่าจะถึงเวลาเย็น
ดนล 4.25 ว่าพระองค์จะทรงถูกขับไล่ไปเสียจากท่ามกลางมนุษย์ และพระองค์จะอยู่กับสัตว์ในทุ่งนา พระองค์จะต้องเสวยหญ้าอย่างกับวัว และจะให้พระองค์เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จะเป็นอยู่อย่างนั้นจนครบเจ็ดวาระ จนกว่าพระองค์จะทราบว่า ผู้สูงสุดนั้นทรงปกครองราชอาณาจักรของมนุษย์ และพระองค์จะประทานราชอาณาจักรนั้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนา
ดนล 4.32 และเจ้าจะถูกขับไล่ไปจากท่ามกลางมนุษย์ และเจ้าจะอยู่กับสัตว์ในทุ่งนา และเจ้าจะต้องกินหญ้าอย่างกับวัว จะเป็นอยู่อย่างนั้นจนครบเจ็ดวาระ จนกว่าเจ้าจะเรียนรู้ได้ว่า ผู้สูงสุดปกครองอยู่เหนือราชอาณาจักรของมนุษย์ และประทานราชอาณาจักรนั้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนา”
ดนล 5.21 พระเจ้าทรงขับไล่เนบูคัดเนสซาร์ไปจากบุตรทั้งหลายของมนุษย์ และทรงกระทำให้พระทัยของพระองค์ท่านเป็นเหมือนใจสัตว์ป่า และทรงให้อยู่กับลาป่า ทรงให้หญ้าเสวยเหมือนวัว และพระกายของพระองค์ท่านก็เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกว่าพระองค์รู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงปกครองราชอาณาจักรของมนุษย์ และทรงแต่งตั้งผู้ที่พระองค์จะทรงปรารถนาให้ปกครอง
ดนล 11.35 คนที่ฉลาดบางคนจะล้มลงเพื่อถลุงและชำระเขาทั้งหลายให้ขาวสะอาด จนกว่าจะถึงเวลาสุดท้าย เพราะวาระก็จะมาตามเวลากำหนด
ฮชย 5.15 เราจะกลับมายังสถานที่ของเราอีกจนกว่าเขาจะยอมรับความผิดของเขาและแสวงหาหน้าของเรา เมื่อเขารับความทุกข์ร้อน เขาจะแสวงหาเราอย่างขยันขันแข็ง
มคา 7.9 ข้าพเจ้าจะทนต่อพระพิโรธของพระเยโฮวาห์ เพราะว่าข้าพเจ้ากระทำบาปต่อพระองค์ ข้าพเจ้าจะทนจนกว่าพระองค์จะทรงแก้คดีของข้าพเจ้า และกระทำการตัดสินเพื่อข้าพเจ้า พระองค์จะทรงนำข้าพเจ้าไปยังความสว่าง และข้าพเจ้าจะเห็นความชอบธรรมของพระองค์
มธ 2.13 ครั้นเขาไปแล้ว ดูเถิด ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมารเพื่อจะประหารชีวิตเสีย”
มธ 5.18 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น
มธ 10.11 เมื่อท่านมาถึงนครใดหรือเมืองใด จงสืบดูว่าใครเป็นคนเหมาะสมในที่นั้น แล้วจงไปอาศัยกับผู้นั้นจนกว่าจะจากไป
มธ 16.28 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนที่ยังจะไม่รู้รสความตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในราชอาณาจักรของท่าน”
มธ 17.9 ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระเยซูตรัสกำชับเหล่าสาวกว่า “นิมิตซึ่งพวกท่านได้เห็นนั้น อย่าบอกเล่าแก่ผู้ใดจนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย”
มธ 18.30 แต่เขาไม่ยอม จึงนำผู้รับใช้ลูกหนี้นั้นไปขังคุกไว้ จนกว่าจะใช้เงินนั้น
มธ 18.34 แล้วเจ้านายของเขาก็กริ้วจึงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้หมด
มธ 22.44 ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
มธ 23.39 ด้วยเราว่าแก่เจ้าทั้งหลายว่า เจ้าจะไม่เห็นเราอีกจนกว่าเจ้าจะกล่าวว่า ‘ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ’”
มธ 24.34 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้จะสำเร็จ
มธ 28.20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลกเอเมน”
มก 6.10 แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “ถ้าไปแห่งใด เมื่อเข้าอาศัยในเรือนไหน ก็อาศัยในเรือนนั้นจนกว่าจะไปจากที่นั่น
มก 9.1 พระองค์ยังตรัสแก่เขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนที่จะไม่รู้รสความตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุภาพ”
มก 9.9 เมื่อกำลังลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสกำชับเหล่าสาวกไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย
มก 12.36 ด้วยว่าดาวิดเองทรงกล่าวโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
มก 13.30 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้บังเกิดขึ้น
ลก 2.26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสำแดงแก่ท่านว่า ท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระคริสต์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ลก 9.4 และถ้าเข้าไปในเรือนไหน จงอาศัยอยู่ในเรือนนั้นจนกว่าจะไป
ลก 9.27 แต่เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ ซึ่งยังจะไม่รู้รสความตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้า”
ลก 12.50 เราจะต้องรับบัพติศมาอย่างหนึ่ง เราเป็นทุกข์มากจนกว่าจะสำเร็จ
ลก 12.59 เราบอกเจ้าว่า เจ้าจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะได้ใช้หนี้ครบทุกสตางค์”
ลก 13.35 ดูเถิด ‘บ้านเมืองของเจ้าจะถูกละทิ้งให้รกร้างแก่เจ้า’ และเราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า เจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าจะกล่าวว่า ‘ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ’”
ลก 15.4 “ในพวกท่านมีคนใดที่มีแกะร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป จะไม่ละเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้า และไปเที่ยวหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะได้พบหรือ
ลก 15.8 หญิงคนใดที่มีเหรียญเงินสิบเหรียญ และเหรียญหนึ่งหายไป จะไม่จุดเทียนกวาดเรือนค้นหาให้ละเอียดจนกว่าจะพบหรือ
ลก 20.43 จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
ลก 21.24 เขาจะล้มลงด้วยคมดาบ และต้องถูกกวาดเอาไปเป็นเชลยทั่วทุกประชาชาติ และคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน
ลก 21.32 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้จะสำเร็จ
ลก 22.16 ด้วยเราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่กินปัสกานี้อีกจนกว่าจะสำเร็จในอาณาจักรของพระเจ้า”
ลก 22.18 เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำองุ่นจากเถาองุ่นต่อไปอีกจนกว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมา”
กจ 2.35 จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
กจ 14.22 กระทำให้ใจของสาวกทั้งหลายถือมั่นขึ้น เตือนเขาให้ดำรงอยู่ในความเชื่อ และสอนว่า เราทั้งหลายจำต้องทนความยากลำบากมากจนกว่าจะได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้า
กจ 23.14 คนเหล่านั้นจึงไปหาพวกปุโรหิตใหญ่กับพวกผู้ใหญ่กล่าวว่า “พวกข้าพเจ้าได้ปฏิญาณตัวอย่างแข็งแรงว่าจะไม่รับประทานอาหารจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโลเสีย
กจ 23.21 แต่ท่านอย่าฟังเขา เพราะว่าในพวกเขานั้นมีกว่าสี่สิบคนคอยปองร้ายต่อเปาโล และได้ปฏิญาณตัวว่าจะไม่กินหรือดื่มอะไรจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโลเสีย และเดี๋ยวนี้เขาพร้อมแล้ว กำลังคอยรับคำสัญญาจากท่าน”
กจ 25.21 แต่เมื่อเปาโลได้อุทธรณ์ขอให้ขังไว้เพื่อให้ออกัสตัสตัดสิน ข้าพเจ้าจึงสั่งให้คุมขังเขาไว้จนกว่าจะส่งตัวไปถึงซีซาร์ได้”
1คร 4.5 เหตุฉะนั้นท่านอย่าตัดสินสิ่งใดก่อนที่จะถึงเวลาจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มกระจ่าง และจะทรงเผยความในใจของคนทั้งปวงด้วย เมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า
1คร 11.26 เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
1คร 15.25 เพราะว่าพระองค์จะต้องทรงปกครองอยู่ก่อน จนกว่าพระองค์จะได้ทรงปราบศัตรูทั้งสิ้นให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
กท 3.19 ถ้าเช่นนั้นมีพระราชบัญญัติไว้ทำไม ที่เพิ่มพระราชบัญญัติไว้ก็เพราะเหตุจากการละเมิด จนกว่าเชื้อสายที่ได้รับพระสัญญานั้นจะมาถึง และพวกทูตสวรรค์ได้ตั้งพระราชบัญญัตินั้นไว้โดยมือของคนกลาง
กท 4.19 ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดเพราะท่านอีกจนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในตัวท่าน
อฟ 1.14 ผู้ทรงเป็นมัดจำแห่งมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับการที่พระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วนั้น มาเป็นกรรมสิทธิ์เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่สง่าราศีของพระองค์
อฟ 4.13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
2ธส 2.7 เพราะว่าอำนาจลึกลับนอกกฎหมายนั้นก็เริ่มทำงานอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวเดี๋ยวนี้นั้นจะยังหน่วงเหนี่ยวอยู่ จนกว่าผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวนั้นจะถูกพาออกไปเสีย
1ทธ 4.13 จงใฝ่ใจในการอ่าน ในการเทศนา และในการสั่งสอน จนกว่าเราจะมา
ฮบ 1.13 แต่แก่ทูตสวรรค์องค์ใดเล่าที่พระองค์ได้ตรัสในเวลาใดว่า ‘จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
ฮบ 9.10 ซึ่งเป็นแต่เพียงของกินของดื่ม และพิธีชำระล้างต่างๆ และเป็นพิธีสำหรับเนื้อหนังที่ได้บัญญัติไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่
ยก 5.7 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา ดูเถิด ชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน และเพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู
2ปต 1.19 และเรามีคำพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก จะเป็นการดีถ้าท่านทั้งหลายจะถือตามคำนั้น เสมือนแสงประทีปที่ส่องสว่างในที่มืด จนกว่าแสงอรุณจะขึ้น และดาวประจำรุ่งจะผุดขึ้นในใจของท่านทั้งหลาย
2ปต 2.4 เพราะว่า ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงยกเว้นพวกทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาปนั้น แต่ได้ทรงผลักเขาลงไปสู่นรก และได้มัดเขาไว้ด้วยเครื่องจองจำแห่งความมืด คุมไว้จนกว่าจะถึงเวลาทรงพิพากษา
ยด 1.6 และเหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่ได้รักษาเทวสภาพของตน แต่ได้ละทิ้งถิ่นฐานของตนนั้น พระองค์ก็ได้ทรงจองจำไว้ด้วยโซ่ตรวนอันเป็นนิรันดร์ ขังไว้ในที่มืดจนกว่าจะถึงการพิพากษาในวันสำคัญยิ่งนั้น
วว 2.25 แต่สิ่งที่เจ้ามีอยู่แล้วนั้น จงยึดไว้ให้มั่นจนกว่าเราจะมา
วว 6.11 แล้วพระองค์ทรงประทานเสื้อสีขาวแก่คนเหล่านั้นทุกคน และทรงกำชับเขาให้หยุดพักต่อไปอีกหน่อย จนกว่าเพื่อนผู้รับใช้ของเขา และพวกพี่น้องของเขาจะถูกฆ่าเหมือนกับเขานั้นจะครบจำนวน
วว 7.3 ว่า “จงอย่าทำอันตรายแผ่นดิน ทะเลหรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ประทับตราไว้ที่หน้าผากผู้รับใช้ทั้งหลายของพระเจ้าของเราเสียก่อน”
วว 15.8 และพระวิหารก็เต็มไปด้วยควันซึ่งมาจากสง่าราศีของพระเจ้า และจากฤทธานุภาพของพระองค์ และไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในพระวิหารนั้นได้ จนกว่าภัยพิบัติทั้งเจ็ดของทูตสวรรค์เจ็ดองค์นั้นจะได้สิ้นสุดลง
วว 20.5 แต่คนอื่นๆที่ตายแล้วไม่ได้กลับมีชีวิตอีกจนกว่าจะครบกำหนดพันปี นี่แหละคือการฟื้นจากความตายครั้งแรก

จนใจ ( 2 )
อสย 19.3 และในสมัยนั้นคนอียิปต์ก็จะจนใจ และเราจะกระทำให้แผนงานของเขายุ่งเหยิง และเขาจะปรึกษารูปเคารพและพวกหมอดู และคนทรง และพ่อมดแม่มด
อสย 21.3 เพราะฉะนั้นบั้นเอวของข้าพเจ้าจึงเต็มด้วยความแสนระทม ความเจ็บปวดฉวยข้าพเจ้าไว้อย่างความเจ็บปวดที่หญิงกำลังคลอดบุตร ข้าพเจ้าจนใจเพราะสิ่งที่ได้ยิน ข้าพเจ้าท้อถอยเพราะสิ่งที่ได้เห็น

จนตรอก ( 1 )
สดด 4.1 โอ ข้าแต่พระเจ้าแห่งความชอบธรรมของข้าพระองค์ ขอทรงโปรดสดับเมื่อข้าพระองค์ร้องทูล เมื่อข้าพระองค์จนตรอก พระองค์ทรงประทานช่องทางให้ ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์และทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์

จนถึง ( 352 )
ปฐก 8.5 น้ำก็ค่อยๆลดลงจนถึงเดือนที่สิบ ในเดือนที่สิบ ณ วันที่หนึ่งของเดือนนั้น ยอดภูเขาต่างๆโผล่ขึ้นมา
ปฐก 10.19 เขตแดนของคนคานาอันจากเมืองไซดอน ไปทางเมืองเก-ราร์ จนถึงเมืองกาซา ไปทางเมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ เมืองอัดมาห์ และเมืองเศโบยิมจนถึงเมืองลาชา
ปฐก 12.6 อับรามเดินผ่านแผ่นดินนั้นจนถึงสถานที่เมืองเชเคม คือที่ราบโมเรห์ คราวนั้นชาวคานาอันยังอยู่ในแผ่นดินนั้น
ปฐก 13.3 ท่านเดินทางต่อไปจากทิศใต้จนถึงเมืองเบธเอล ถึงสถานที่ที่เต็นท์ของท่านเคยตั้งอยู่คราวก่อน ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย
ปฐก 13.4 จนถึงสถานที่ตั้งแท่นบูชาซึ่งเมื่อก่อนท่านเคยสร้างไว้ที่นั่น และอับรามร้องออกพระนามของพระเยโฮวาห์ที่นั่น
ปฐก 14.6 ชาวโฮรีที่ภูเขาเสอีร์ซึ่งเป็นของพวกเขา จนถึงเมืองเอลปารานซึ่งอยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร
ปฐก 14.15 ท่านจึงแยกคนของท่าน ทั้งท่านและคนใช้ของท่านออกเป็นกองๆในกลางคืน ก็เข้าตีและไล่ตามจนถึงเมืองโฮบาห์ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายเมืองดามัสกัส
ปฐก 15.18 ในวันเดียวกันนั้นพระเยโฮวาห์ทรงกระทำพันธสัญญากับอับรามว่า “เราได้ยกแผ่นดินนี้แก่เชื้อสายของเจ้าแล้ว ตั้งแต่แม่น้ำอียิปต์ไปจนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส
ปฐก 19.37 บุตรสาวหัวปีคลอดบุตรชายคนหนึ่งและเรียกชื่อของเขาว่า โมอับ เขาเป็นบรรพบุรุษของคนโมอับมาจนถึงทุกวันนี้
ปฐก 19.38 ส่วนน้องสาว เธอคลอดบุตรชายคนหนึ่งด้วยและเรียกชื่อของเขาว่า เบน-อัมมี เขาเป็นบรรพบุรุษของคนอัมโมนมาจนถึงทุกวันนี้
ปฐก 24.27 และอธิษฐานว่า “สรรเสริญแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพระองค์ ผู้มิได้ทรงทอดทิ้งความกรุณา และความจริงของพระองค์ต่อนาย ส่วนข้าพระองค์นั้นพระเยโฮวาห์ทรงนำมาตามทางจนถึงบ้านหมู่ญาติของนายข้าพระองค์”
ปฐก 25.18 พวกเขาอาศัยอยู่ตั้งแต่เมืองฮาวิลาห์จนถึงเมืองชูร์ ซึ่งอยู่หน้าอียิปต์ไปทางทิศแผ่นดินอัสซีเรีย และเขาสิ้นชีวิตอยู่ตรงหน้าบรรดาพี่น้องของเขา
ปฐก 43.33 พวกพี่น้องก็นั่งตรงหน้าโยเซฟ เรียงตั้งแต่พี่ใหญ่ผู้มีสิทธิบุตรหัวปี ลงมาจนถึงน้องสุดท้องตามวัย พี่น้องทั้งหลายมองดูตากันด้วยความประหลาดใจ
ปฐก 44.12 คนต้นเรือนก็ค้นดูตั้งแต่คนหัวปีจนถึงคนสุดท้อง ก็พบถ้วยนั้นในกระสอบของเบนยามิน
ปฐก 49.26 ส่วนพรที่มาจากบิดาของเจ้า มีมากกว่าพรที่มาจากบรรพบุรุษของเรา จนถึงที่สุดแห่งเนินเขาเนืองนิตย์ ขอพรเหล่านั้นอยู่บนศีรษะของโยเซฟ และอยู่เบื้องบนกระหม่อมศีรษะแห่งผู้ที่ต้องพรากจากพี่น้อง
อพย 11.5 และพวกลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของทาสหญิง ซึ่งอยู่หลังหินโม่แป้ง ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เดียรัจฉานด้วยจะต้องตาย
อพย 12.10 จงกินให้หมดอย่าให้มีเศษเหลือจนถึงเวลาเช้า เศษเหลือถึงเวลาเช้าก็ให้เผาเสีย
อพย 12.15 เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบเจ็ดวัน วันแรกจงชำระบ้านเจ้าให้ปราศจากเชื้อ ถ้าผู้ใดขืนกินขนมปังที่มีเชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากอิสราเอล
อพย 12.18 ในตอนเย็นวันที่สิบสี่เดือนแรก เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อจนถึงเวลาเย็นวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนนั้น
อพย 12.22 เอาต้นหุสบกำหนึ่งจุ่มลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง แล้วป้ายเลือดนั้นไว้ที่ไม้ข้างบน และไม้วงกบประตูทั้งสองข้างด้วยเลือดที่อยู่ในอ่าง อย่าให้ผู้ใดออกไปพ้นประตูบ้านของตนจนถึงรุ่งเช้า
อพย 12.29 ต่อมาในเวลาเที่ยงคืน พระเยโฮวาห์ทรงประหารบุตรหัวปีทุกคนในประเทศอียิปต์ ตั้งแต่พระราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของเชลยที่อยู่ในคุกใต้ดิน ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เลี้ยงทุกตัว
อพย 16.23 โมเสสบอกเขาว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระบัญชาว่า ‘พรุ่งนี้เป็นวันหยุดงาน เป็นสะบาโต วันบริสุทธิ์ของพระเยโฮวาห์ วันนี้จะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง จะต้มอะไรก็ต้มเสีย และส่วนที่เหลือทั้งหมดจงเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น’”
อพย 16.24 เมื่อเขาเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้นตามโมเสสสั่ง อาหารนั้นก็มิได้บูดเหม็นเป็นหนอนเลย
อพย 20.5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษเพราะความชั่วช้าของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน
อพย 20.6 แต่แสดงความเมตตาต่อคนที่รักเรา และรักษาบัญญัติของเรา จนถึงพันชั่วอายุคน
อพย 23.18 อย่าถวายเลือดจากเครื่องบูชาของเรา พร้อมกับขนมปังมีเชื้อ หรือปล่อยให้มีไขมันในเครื่องบูชาของเราเหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้า
อพย 23.31 เราจะกำหนดเขตแดนของพวกเจ้าไว้ตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารจนจดแม่น้ำ เพราะเราจะมอบชาวเมืองนั้นไว้ในมือของพวกเจ้าให้พวกเจ้าไล่เขาไปเสียให้พ้นหน้า
อพย 27.21 ในพลับพลาแห่งชุมนุมข้างนอกม่านซึ่งอยู่หน้าหีบพระโอวาท ให้อาโรนและบุตรชายของอาโรน ดูแลประทีปนั้นอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ตั้งแต่เวลาพลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ที่ชนชาติอิสราเอลต้องปฏิบัติตามชั่วอายุของเขา”
อพย 28.42 จงเย็บกางเกงให้เขาเหล่านั้นด้วยผ้าป่านเพื่อจะปกปิดกายที่เปลือยของเขา ให้ยาวตั้งแต่เอวจนถึงต้นขา
อพย 34.25 อย่าถวายเลือดบูชาพร้อมกับขนมปังมีเชื้อ และเครื่องบูชาอันเกี่ยวกับเทศกาลเลี้ยงปัสกานั้น อย่าให้เหลือไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น
ลนต 11.25 ผู้ใดถือซากสัตว์ส่วนใดๆไปต้องซักเสื้อผ้าของตน และมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 11.28 ผู้ใดนำซากมันไปจะต้องซักเสื้อผ้าของตน และมลทินไปจนถึงเวลาเย็น เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า
ลนต 11.32 และเมื่อมันตายตกทับสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นมลทิน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไม้ หรือเสื้อผ้า หรือหนังสัตว์ หรือกระสอบ หรือภาชนะใดๆที่ใช้เพื่อประโยชน์อย่างใด จะต้องแช่น้ำ และจะมลทินไปจนถึงเวลาเย็น ต่อไปก็นับว่าสะอาดได้
ลนต 11.39 ถ้าสัตว์ซึ่งเจ้าจะรับประทานได้นั้นตายเอง ผู้ที่แตะต้องซากสัตว์นั้นจะมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 11.40 และผู้ใดที่รับประทานซากนั้นจะต้องซักเสื้อผ้าของเขาเสียและเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น ผู้ใดที่จับถือซากนั้นไปก็ต้องซักเสื้อผ้าของตน และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 14.46 ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรือนปิดอยู่ มีผู้ใดเข้าไป ผู้นั้นจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.5 ผู้ใดที่แตะต้องเตียงของเขาต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.6 ผู้ใดไปนั่งบนสิ่งที่ผู้มีสิ่งไหลออกได้นั่งก่อน ผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.7 ผู้ใดไปแตะต้องร่างกายของผู้ที่มีสิ่งไหลออก ผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.8 และถ้าผู้ใดที่มีสิ่งไหลออกนั้นถ่มน้ำลายรดผู้ที่สะอาดเข้า ผู้ที่ถูกน้ำลายรดต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.10 ผู้หนึ่งผู้ใดแตะต้องสิ่งที่รองเขาอยู่นั้น ผู้นั้นจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น และผู้ใดที่หยิบถือสิ่งนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตัวและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.11 ผู้ที่มีสิ่งไหลออกแตะต้องผู้ใดด้วยมือที่มิได้ล้าง ผู้ถูกแตะต้องนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตัวและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.16 ชายคนใดมีน้ำกามไหลออก ให้เขาอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.17 เครื่องแต่งกายทุกชิ้นและผิวหนังทุกส่วนที่น้ำกามไหลรดต้องชำระเสียในน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.18 ชายคนใดสมสู่กับหญิงคนใด และมีน้ำกามไหลออกทั้งสองจะต้องอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.19 เมื่อสตรีมีสิ่งไหลออกเป็นโลหิตประจำเดือน เธอจะต้องอยู่ต่างหากเจ็ดวัน และผู้ใดแตะต้องเธอ จะต้องเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.21 ผู้ใดไปแตะต้องที่นอนของเธอ ผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.22 และผู้หนึ่งผู้ใดแตะต้องสิ่งใดๆที่เธอนั่ง ผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.23 สิ่งที่เธอนั่งทับจะเป็นที่นอนหรือสิ่งใดก็ดี เมื่อผู้ใดไปแตะต้องเข้า ผู้นั้นจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.27 ผู้ใดแตะต้องสิ่งเหล่านั้น ผู้นั้นก็เป็นมลทินด้วย เขาต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 17.15 และทุกคนไม่ว่าชาวเมืองหรือคนต่างด้าว ผู้รับประทานสัตว์ที่ตายเองหรือสัตว์ที่ถูกสัตว์อื่นกัดตาย ต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น แล้วจึงจะสะอาดได้
ลนต 19.13 เจ้าอย่าฉ้อโกงเพื่อนบ้านหรือปล้นเขา อย่าให้ค่าจ้างของลูกจ้างค้างอยู่กับเจ้าจนถึงรุ่งเช้า
ลนต 22.6 บุคคลผู้แตะต้องสิ่งเหล่านี้ ต้องมลทินไปจนถึงเวลาเย็น และจะรับประทานสิ่งบริสุทธิ์ไม่ได้ นอกจากเขาจะอาบน้ำชำระตัวเสียก่อน
ลนต 23.16 นับไปให้ได้ห้าสิบวัน จนถึงวันถัดวันสะบาโตที่เจ็ดแล้ว เจ้าจงถวายธัญญบูชาใหม่แด่พระเยโฮวาห์
ลนต 25.28 แต่ถ้าเขาไม่สามารถที่จะไถ่คืนมา ที่ดินที่เขาได้ขายไปจะคงอยู่ในมือของผู้ซื้อจนถึงปีเสียงแตร และในปีเสียงแตรนี้ ที่ดินจะออกไปและเขาจะได้ที่ดินของเขากลับคืน
ลนต 25.50 จงให้ผู้ที่ขายตัวนับปีทั้งหลายที่ขายตัวกับผู้ที่ซื้อตัวเขาไป ว่าเขาได้ขายตัวกี่ปีจนถึงปีเสียงแตร ค่าตัวของเขาเป็นค่าตามจำนวนปีเหล่านั้น เวลาที่เขาอยู่กับเจ้าของตัวเขานั้นคิดตามเวลาของลูกจ้าง
ลนต 27.23 ปุโรหิตจะคำนวณค่านานับจนถึงปีเสียงแตร ในวันนั้นเจ้าของนาต้องถวายเงินเท่ากำหนดค่านาที่ตีไว้ เป็นสิ่งบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์
กดว 13.21 คนเหล่านั้นจึงขึ้นไปสอดแนมแผ่นดิน ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศิน จนถึงเรโหบ ที่ทางเข้าเมืองฮามัท
กดว 16.38 คือกระถางไฟของคนเหล่านี้ที่ได้กระทำบาปจนถึงเสียชีวิตนั้น จงตีแผ่ทำเป็นแผ่นคลุมแท่นบูชา เพราะได้ถวายกระถางเหล่านั้นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จะเป็นหมายสำคัญแก่คนอิสราเอล”
กดว 19.7 แล้วปุโรหิตจะซักเสื้อผ้าของตน และชำระร่างกายเสียในน้ำ ภายหลังจึงเข้าไปในค่ายและปุโรหิตนั้นจึงเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น
กดว 19.8 ผู้ใดที่ทำการเผาวัวตัวเมียต้องซักเสื้อผ้าและชำระร่างกายของตนเสียในน้ำ และเขาจะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น
กดว 19.10 และคนที่เก็บขี้เถ้าของวัวตัวเมียต้องซักเสื้อผ้าของตน และเขาจะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น จะเป็นอย่างนี้แก่คนอิสราเอล และแก่คนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางเขา เป็นกฎเกณฑ์ถาวร
กดว 19.21 และให้เป็นกฎเกณฑ์แก่พวกเขาอยู่เนืองนิตย์ ผู้ที่ประพรมน้ำแห่งการแยกตั้งไว้จะต้องซักเสื้อผ้าของตน และผู้ที่แตะต้องน้ำแห่งการแยกตั้งไว้จะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น
กดว 19.22 และสิ่งใดที่ผู้เป็นมลทินแตะต้อง สิ่งนั้นจะเป็นมลทิน และผู้ที่แตะต้องสิ่งนั้นจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น”
กดว 21.15 และที่เชิงลาดของที่ลุ่มเหล่านั้นซึ่งยืดไปจนถึงที่ตั้งเมืองอาร์ และพาดพิงไปถึงพรมแดนโมอับ”
กดว 21.24 และอิสราเอลได้ประหารท่านเสียด้วยคมดาบ ยึดเอาแผ่นดินของท่านจากแม่น้ำอารโนนจนถึงแถวยับบอก ไกลไปจนถึงแดนคนอัมโมนเพราะว่าพรมแดนของคนอัมโมนเข้มแข็ง
กดว 21.30 เราทั้งหลายได้ยิงเขาทั้งปวง เฮชโบนพินาศจนถึงดีโบน เราได้กวาดล้างถึงโนฟาห์เสียคือถึงเมเดบา”
กดว 33.49 เขาตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนตั้งแต่เบธเยชิโมท ไกลไปจนถึงอาเบลชิทธิม ณ ที่ราบโมอับ
กดว 34.8 จากภูเขาโฮร์เจ้าจงทำเครื่องหมายเรื่อยไปจนถึงทางเข้าเมืองฮามัท และปลายสุดของอาณาเขตด้านนี้คือเศดัด
พบญ 1.2 (หนทางจากโฮเรบตามทางภูเขาเสอีร์จนถึงคาเดชบารเนียนั้นเป็นทางเดินสิบเอ็ดวัน)
พบญ 1.7 เจ้าทั้งหลายจงหันไปเดินตามทางที่ไปยังแดนเทือกเขาของคนอาโมไรต์ และที่ใกล้เคียงกันในที่ราบ และในแดนเทือกเขา และในหุบเขา ในทางใต้ และที่ฝั่งทะเล แผ่นดินของคนคานาอัน และที่เลบานอน จนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส
พบญ 1.44 และคนอาโมไรต์ที่อยู่ในแดนเทือกเขานั้น ได้ออกมาต่อสู้และไล่ตีท่านทั้งหลายดุจฝูงผึ้งไล่ และได้ฆ่าท่านทั้งหลายในตำบลเสอีร์จนถึงโฮรมาห์
พบญ 2.14 และนับตั้งแต่เรามาจากคาเดชบารเนีย จนถึงได้ข้ามลำธารเศเรดนั้นได้สามสิบแปดปีจนสิ้นยุคนั้น คือคนทั้งหลายที่จะออกทัพได้นั้นตายหมดจากท่ามกลางค่าย ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณกับเขาไว้
พบญ 2.23 ส่วนชาวอิฟวาห์ที่อยู่ในเฮเซริมจนถึงกาซา คนคัฟโทร์ซึ่งมาจากตำบลคัฟโทร์ ก็ได้ทำลายเขาและตั้งอยู่แทน)
พบญ 2.36 ตั้งแต่อาโรเออร์ที่อยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนนและตั้งแต่เมืองที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำนั้นจนถึงเมืองกิเลอาด ไม่มีเมืองใดที่ต่อต้านเราได้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราได้ทรงมอบทั้งหมดไว้แก่เรา
พบญ 3.10 คือเมืองทั้งหลายในที่ราบสูง และกิเลอาดทั้งหมด และบาชานทั้งหมด จนถึงสาเลคาห์และเอเดรอี ซึ่งเป็นหัวเมืองแห่งราชอาณาจักรโอกในเมืองบาชาน
พบญ 3.14 ยาอีร์คนมนัสเสห์ก็ตีได้ดินแดนอารโกบทั้งหมด จนถึงเขตแดนเมืองชาวเกชูร์ และเมืองมาอาคาห์ และได้เรียกชื่อเมืองเหล่านั้นตามชื่อของตนว่า บาชานฮาโวทยาอีร์ จนถึงทุกวันนี้
พบญ 3.17 ทั้งแถบที่ราบด้วย มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน ตั้งแต่ทะเลคินเนเรทจนถึงทะเลแห่งที่ราบ คือทะเลเค็ม ที่อัชโดดปิสกาห์ ซึ่งอยู่ทิศตะวันออก
พบญ 4.48 ตั้งแต่อาโรเออร์ที่อยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน ไปจนถึงภูเขาสีออน คือเฮอร์โมน
พบญ 4.49 รวมกับที่ราบทั้งหมด ซึ่งอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ จนถึงทะเลแห่งที่ราบ ที่น้ำพุแห่งปิสกาห์
พบญ 5.9 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษเพราะความชั่วช้าของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน
พบญ 5.10 แต่แสดงความเมตตาต่อคนที่รักเรา และรักษาบัญญัติของเรา จนถึงพันชั่วอายุคน
พบญ 10.8 ครั้งนั้นพระเยโฮวาห์ได้แยกตระกูลเลวี ให้หามหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ ให้เฝ้าพระเยโฮวาห์เพื่อปรนนิบัติพระองค์ และให้อำนวยพรในพระนามของพระองค์ จนถึงทุกวันนี้
พบญ 11.12 เป็นแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงดูแล พระเนตรของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอยู่เหนือแผ่นดินนั้นเสมอ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี
พบญ 11.24 ฝ่าเท้าของท่านทั้งหลายจะเหยียบลงที่ใด ที่นั่นจะเป็นของท่าน อาณาเขตของท่านจะเริ่มจากถิ่นทุรกันดารไปจนถึงเลบานอน และจากแม่น้ำคือแม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงทะเลตะวันตก
พบญ 23.2 ห้ามลูกนอกกฎหมายเข้าในชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์ อย่าให้ลูกหลานของเขาเข้าในชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์จนถึงสิบชั่วอายุคน
พบญ 23.3 อย่าให้คนอัมโมนหรือคนโมอับเข้าในชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์ บุคคลที่เป็นลูกหลานของคนทั้งสองตระกูลนี้ห้ามเข้าในชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์เลยจนถึงสิบชั่วอายุคน
พบญ 28.35 พระเยโฮวาห์จะทรงเฆี่ยนตีท่านด้วยฝีร้ายที่หัวเข่า และที่ขา ซึ่งท่านจะรักษาให้หายไม่ได้ เป็นตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อมของท่าน
พบญ 32.22 เพราะมีไฟก่อขึ้นด้วยเหตุความกริ้วของเรานั้น ไฟก็ไหม้ลุกลามไปจนถึงก้นลึกของนรก เผาแผ่นดินโลกและพืชผลในนั้น และก่อเพลิงติดรากภูเขา
พบญ 34.1 และโมเสสก็ขึ้นไปจากราบโมอับถึงภูเขาเนโบ ถึงยอดเขาปิสกาห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามเมืองเยรีโค และพระเยโฮวาห์ทรงสำแดงให้ท่านเห็นแผ่นดินนั้นทั้งหมด คือกิเลอาดจนถึงดาน
พบญ 34.3 ทั้งทางใต้และที่ลุ่มในหุบเขาแห่งเมืองเยรีโค เมืองต้นอินทผลัม ไกลไปจนถึงโศอาร์
พบญ 34.6 และพระองค์ทรงฝังท่านไว้ในหุบเขาในแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามเบธเปโอร์ จนถึงทุกวันนี้หามีผู้ใดรู้จักที่ฝังศพของท่านไม่
ยชว 1.4 ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารและภูเขาเลบานอนนี้ไกลไปจนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส แผ่นดินทั้งหมดของคนฮิตไทต์ ถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก จะเป็นอาณาเขตของเจ้า
ยชว 2.7 เขาทั้งหลายก็ไล่ตามคนทั้งสองไปทางแม่น้ำจอร์แดนจนถึงท่าข้าม พอคนที่ไล่ตามนั้นออกไปแล้วเขาก็ปิดประตูเมือง
ยชว 7.6 ฝ่ายโยชูวาก็ฉีกเสื้อผ้าของตนซบหน้าลงถึงดินหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์จนถึงเวลาเย็น ทั้งท่านกับพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอล ต่างก็เอาผงคลีดินใส่ศีรษะของตน
ยชว 7.26 แล้วเอาหินถมกองทับเขาไว้เป็นกองใหญ่ยังอยู่จนทุกวันนี้ และพระเยโฮวาห์ก็ทรงหันกลับจากพระพิโรธอันแรงกล้าของพระองค์ เพราะฉะนั้นจนถึงทุกวันนี้เขายังเรียกที่นั้นว่าหุบเขาอาโคร์
ยชว 8.28 ดังนี้แหละโยชูวาจึงเผาเมืองอัยเสีย กระทำให้เป็นกองซากปรักหักพังอยู่เป็นนิตย์ คือเป็นที่รกร้างอยู่จนถึงทุกวันนี้
ยชว 8.29 และท่านแขวนกษัตริย์เมืองอัยไว้ที่ต้นไม้จนถึงเวลาเย็น เมื่อดวงอาทิตย์ตกโยชูวาจึงบัญชาและเขาก็ปลดศพลงจากต้นไม้นำไปทิ้งไว้ที่ทางเข้าประตูเมือง แล้วเอาหินถมทับไว้เป็นกองใหญ่ซึ่งยังอยู่จนทุกวันนี้
ยชว 9.1 ต่อมาเมื่อกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือที่อยู่ในแดนเทือกเขา และในหุบเขา และตามฝั่งทะเลใหญ่ไปทั่วจนถึงภูเขาเลบานอน เป็นคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุสได้ยินข่าวนี้
ยชว 10.10 พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้เขาสะดุ้งแตกตื่นต่อหน้าพวกอิสราเอล พระองค์ได้ทรงฆ่าเขาเสียมากมายที่กิเบโอน และไล่ติดตามเขาไปในทางที่ขึ้นไปถึงเบธโฮโรน และตามฆ่าเขาจนถึงเมืองอาเซคาห์ และเมืองมักเคดาห์
ยชว 10.41 โยชูวาได้กระทำให้เขาพ่ายแพ้ตั้งแต่เมืองคาเดชบารเนียจนถึงเมืองกาซา และทั่วประเทศโกเชนจนถึงเมืองกิเบโอน
ยชว 11.8 และพระเยโฮวาห์ทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอล ผู้ประหารเขาและไล่ตามเขาไปจนถึงมหาซีโดนและถึงมิสเรโฟทมาอิม และถึงหุบเขามิสปาห์ด้านตะวันออก ได้ประหารเขาเสียจนไม่ให้เหลือสักคนเดียว
ยชว 11.17 ตั้งแต่ภูเขาฮาลักที่สูงเรื่อยขึ้นไปถึงเสอีร์ ไกลไปจนถึงบาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนเชิงภูเขาเฮอร์โมน ท่านได้จับบรรดากษัตริย์แห่งเมืองเหล่านั้นมาประหารชีวิตเสีย
ยชว 12.2 คือสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ผู้อยู่ที่เฮชโบน และปกครองจากอาโรเออร์ ซึ่งอยู่ ณ ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน และจากกลางที่ลุ่มไกลไปจนถึงแม่น้ำยับบอก เขตแดนคนอัมโมน คือครึ่งหนึ่งของกิเลอาด
ยชว 12.3 และแถบที่ราบถึงทะเลคินเนเรทข้างตะวันออก และตรงทางไปยังเบธเยชิโมทไปถึงทะเลแห่งที่ราบ คือทะเลเค็มข้างตะวันออก จากด้านใต้มาจนถึงที่อัชโดดปิสกาห์
ยชว 13.6 ชาวแดนเทือกเขาทั้งหมดจากเลบานอนจนถึงมิสเรโฟทมาอิม และคนไซดอนทั้งหมด เราจะขับไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอลเอง เพียงแต่เจ้าจงจับสลากแบ่งดินแดนเหล่านั้นให้เป็นมรดกแก่อิสราเอล ดังที่เราบัญชาเจ้าไว้
ยชว 13.9 ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน และเมืองที่อยู่กลางลุ่มแม่น้ำนี้ และที่ราบเมเดบาตลอดจนถึงดีโบน
ยชว 13.10 และหัวเมืองทั้งสิ้นของสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ ผู้ซึ่งครอบครองอยู่ในเฮชโบน ไกลออกไปจนถึงเขตแดนคนอัมโมน
ยชว 13.11 กับเขตกิเลอาดและท้องถิ่นของคนเกชูร์และคนมาอาคาห์ และภูเขาเฮอร์โมนทั้งหมด และเมืองบาชานทั้งสิ้นจนถึงเมืองสาเลคาห์
ยชว 13.26 ตั้งแต่เมืองเฮชโบน จนถึงเมืองรามัทมิสเปห์และเบโทนิม และตั้งแต่มาหะนาอิมจนถึงเขตแดนเดบีร์
ยชว 15.47 อัชโดด กับหัวเมืองและชนบทของเมืองนั้น กาซา กับหัวเมืองและชนบทของเมืองนั้นจนถึงแม่น้ำอียิปต์ และทะเลใหญ่พร้อมกับฝั่งชายทะเล
ยชว 15.63 แต่คนเยบุสซึ่งเป็นชาวเมืองเยรูซาเล็มนั้น ประชาชนยูดาห์หาได้ขับไล่ไปไม่ ดังนั้นแหละคนเยบุสจึงอาศัยอยู่กับประชาชนยูดาห์ที่เมืองเยรูซาเล็มจนถึงทุกวันนี้
ยชว 16.5 เขตของคนเอฟราอิมตามครอบครัวของเขาเป็นดังนี้ พรมแดนมรดกของเขาด้านตะวันออก เริ่มแต่เมืองอาทาโรทอัดดาร์ ไกลไปจนถึงเบธโฮโรนบน
ยชว 17.7 เขตแดนของมนัสเสห์ตั้งต้นจากอาเชอร์จนถึงมิคเมธัท ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเชเคมแล้ว พรมแดนก็ยื่นไปทางมือขวาถึงที่ของชาวเมืองเอนทัปปูวาห์
ยชว 19.8 รวมทั้งบรรดาชนบทที่อยู่รอบหัวเมืองเหล่านี้ไกลออกไปจนถึงเมืองบาอาลัทเบเออร์ เมืองรามาห์ที่ภาคใต้ เหล่านี้เป็นมรดกของตระกูลคนสิเมโอนตามครอบครัวของเขา
ยชว 19.11 แล้วพรมแดนของเขายื่นออกไปทางด้านทะเล เรื่อยไปจนถึงมาราลาห์ และมาจดเมืองดับเบเชท แล้วมาถึงแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าโยกเนอัม
ยชว 19.13 จากที่นั่นพรมแดนผ่านไปทางตะวันออกถึงเมืองกัธเฮเฟอร์ และถึงเมืองเอทคาซิน เรื่อยไปจนถึงริมโมน พรมแดนก็โค้งเข้าหาเมืองเนอาห์
ยชว 19.33 อาณาเขตของเขาเริ่มจากเฮเลฟ จากอาโลนไปถึงศานันนิม และอาดามี เนเขบ และยับเนเอลไกลไปจนถึงเมืองลัคคูม และสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน
ยชว 23.4 ดูเถิด ประชาชาติที่เหลืออยู่นั้น ข้าพเจ้าได้จับสลากแบ่งให้เป็นมรดกแก่ตระกูลของท่าน รวมกับประชาชาติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้ขจัดออกเสีย ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก
ยชว 23.9 เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ประชาชาติที่ใหญ่โตและแข็งแรงออกไปให้พ้นหน้าท่าน ส่วนท่านเองก็ยังไม่มีผู้ใดต่อต้านท่านได้จนถึงวันนี้
วนฉ 1.21 แต่คนเบนยามินมิได้ขับไล่คนเยบุสผู้อยู่ในเยรูซาเล็มให้ออกไป ดังนั้นคนเยบุสจึงอาศัยอยู่กับคนเบนยามินในเยรูซาเล็มจนถึงทุกวันนี้
วนฉ 3.3 คือเจ้านายทั้งห้าของคนฟีลิสเตีย คนคานาอันทั้งหมด ชาวไซดอน และคนฮีไวต์ผู้อาศัยอยู่บนภูเขาเลบานอน ตั้งแต่ภูเขาบาอัลเฮอร์โมนจนถึงทางเข้าเมืองฮามัท
วนฉ 4.16 และบาราคได้ไล่ติดตามรถรบทั้งหลายและกองทัพไปจนถึงฮาโรเชทของคนต่างชาติ และกองทัพทั้งหมดของสิเสราก็ล้มตายด้วยคมดาบ ไม่เหลือสักคนเดียว
วนฉ 7.22 เมื่อเขาเป่าแตรทั้งสามร้อยอันนั้น พระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้เขาฆ่าฟันกันทั่วทุกกอง กองทัพก็แตกตื่นหนีไปถึงตำบลเบธชิทธาห์ทางไปเมืองเศเรราห์ไกลไปจนถึงเขตเมืองอาเบลเมโฮลาห์ที่ตำบลทับบาท
วนฉ 9.40 อาบีเมเลคก็ขับไล่กาอัลหนีไป มีคนถูกบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก จนถึงทางเข้าประตูเมือง
วนฉ 11.33 และท่านได้ประหารเขาจากอาโรเออร์จนถึงที่ใกล้ๆเมืองมินนิทรวมยี่สิบหัวเมือง และไกลไปจนถึงที่ราบแห่งสวนองุ่น ผู้คนล้มตายมาก คนอัมโมนจึงพ่ายแพ้ต่อหน้าคนอิสราเอล
วนฉ 15.19 พระเจ้าจึงทรงเปิดช่องที่กระดูกขากรรไกรลาให้น้ำไหลออกมาจากที่นั้น ท่านก็ได้ดื่มและจิตวิญญาณก็สดชื่นฟื้นขึ้นอีก เพราะฉะนั้นที่แห่งนั้นท่านจึงเรียกชื่อว่า เอนหักโคร์ อยู่ที่เลฮีจนถึงทุกวันนี้
วนฉ 16.3 แต่แซมสันนอนอยู่จนถึงเที่ยงคืน พอถึงเที่ยงคืนท่านก็ลุกขึ้น ยกประตูเมืองรวมทั้งเสาสองต้น พร้อมทั้งดาลประตูใส่บ่าแบกไปถึงยอดภูเขาซึ่งอยู่ตรงหน้าเมืองเฮโบรน
วนฉ 16.13 เดลิลาห์พูดกับแซมสันว่า “เธอหลอกฉันเรื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ เธอมุสาต่อฉัน บอกฉันเถอะว่า จะมัดเธออย่างไรจึงจะอยู่” ท่านจึงบอกนางว่า “ถ้าเธอเอาผมทั้งเจ็ดแหยมของฉันทอเข้ากับด้ายเส้นยืน กระทกด้วยฟืมให้แน่น”
วนฉ 18.12 เขาทั้งหลายยกขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่คีริยาทเยอาริมในยูดาห์ เพราะเหตุนี้เขาจึงเรียกที่นั่นว่า มาหะเนห์ดาน จนถึงทุกวันนี้ ดูเถิด เมืองนี้อยู่ด้านหลังคีริยาทเยอาริม
วนฉ 18.30 คนดานก็ตั้งรูปแกะสลักไว้ ส่วนโยนาธานบุตรชายเกอร์โชน บุตรชายของมนัสเสห์ ทั้งท่านและบรรดาบุตรชายของเขาก็เป็นปุโรหิตให้แก่คนตระกูลดานจนถึงสมัยที่แผ่นดินตกไปเป็นเชลย
วนฉ 19.10 แต่ชายคนนั้นไม่ยอมค้างอีกคืนหนึ่ง เขาจึงลุกขึ้นออกเดินทางไปจนถึงตรงข้ามกับเมืองเยบุส คือเยรูซาเล็ม เขามีลาสองตัวที่มีอาน และภรรยาน้อยก็ไปด้วย
วนฉ 19.30 ทุกคนที่เห็นก็พูดว่า “เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครเคยเห็นตั้งแต่สมัยคนอิสราเอลยกออกจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงวันนี้ จงตรึกตรองปรึกษากันดู แล้วก็ว่ากันไปเถิด”
วนฉ 20.23 (และคนอิสราเอลก็ขึ้นไปร้องไห้คร่ำครวญต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์จนถึงเวลาเย็น เขาทั้งหลายทูลถามพระเยโฮวาห์ว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะเข้าประชิดรบกับคนเบนยามินพี่น้องของข้าพระองค์อีกหรือไม่” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ไปสู้เขาเถิด”)
นรธ 1.19 ดังนั้นทั้งสองนางก็พากันไปจนถึงเมืองเบธเลเฮม ต่อมาเมื่อนางทั้งสองมาถึงเบธเลเฮมแล้ว ชาวเมืองทั้งสิ้นก็พากันแตกตื่นเพราะเหตุนางทั้งสอง จึงพูดขึ้นว่า “นี่แน่ะหรือ นางนาโอมี”
นรธ 2.17 นางก็เที่ยวเก็บข้าวที่ตกในนาจนถึงเวลาเย็น แล้วก็ฟาดข้าวที่เก็บมาได้นั้น ได้ข้าวบาร์เลย์ประมาณเอฟาห์หนึ่ง
1ซมอ 3.12 ในวันนั้นเราจะกระทำให้สิ่งสารพัดที่เรากล่าวไว้เกี่ยวด้วยเรื่องวงศ์วานของเอลีให้สำเร็จเสียต่อเอลี ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด
1ซมอ 5.5 เพราะเหตุนี้เองปุโรหิตของพระดาโกนและผู้ที่เข้าไปในนิเวศของพระดาโกน จึงไม่เหยียบธรณีประตูนิเวศพระดาโกนที่เมืองอัชโดดจนถึงทุกวันนี้
1ซมอ 6.12 แม่วัวก็เดินตรงไปตามทางที่ไปเมืองเบธเชเมช ไปตามทางหลวง เดินพลางร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย และบรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ตามมันไปจนถึงพรมแดนเมืองเบธเชเมช
1ซมอ 6.18 รูปหนูทองคำก็เช่นเดียวกัน ตามจำนวนเมืองของฟีลิสเตียที่เป็นเมืองของเจ้านายทั้งห้า ทั้งเมืองที่มีป้อมปราการและชนบทที่ไม่มีกำแพงเมือง จนถึงหินก้อนใหญ่แห่งอาเบล ซึ่งเขาวางหีบของพระเยโฮวาห์ลงไว้นั้น หินนั้นก็ยังอยู่จนทุกวันนี้ ที่ในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช
1ซมอ 8.8 ตามการกระทำทั้งสิ้นซึ่งเขาได้กระทำตั้งแต่วันที่เรานำเขาออกมาจากอียิปต์จนถึงวันนี้ คือเขาได้ละทิ้งเราและปรนนิบัติพระอื่น เขาจึงกระทำเช่นเดียวกันต่อเจ้าด้วย
1ซมอ 9.24 คนครัวจึงนำเอาส่วนขาและส่วนบนนั้นมาวางไว้ที่ข้างหน้าซาอูล และซามูเอลกล่าวว่า “ดูเถิด สิ่งที่ได้เก็บไว้ก็วางอยู่ต่อหน้าท่าน จงรับประทานเถิด เพราะว่าเก็บไว้ให้แก่ท่านจนถึงชั่วโมงที่กำหนดไว้ ตั้งแต่ฉันกล่าวว่า ‘ฉันได้เชิญประชาชนมาแล้ว’” ซาอูลจึงรับประทานกับซามูเอลในวันนั้น
1ซมอ 15.7 และซาอูลก็ทรงกระทำให้คนอามาเลขพ่ายแพ้ ตั้งแต่เมืองฮาวีลาห์ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ ซึ่งอยู่ด้านหน้าอียิปต์
1ซมอ 17.52 คนอิสราเอลกับคนยูดาห์ก็ลุกขึ้นโห่ร้องไล่ติดตามคนฟีลิสเตียไกลไปจนถึงหุบเขาและถึงประตูเมืองเอโครน ทหารฟีลิสเตียที่บาดเจ็บจึงล้มลงตามทางจากชาอาราอิม ไกลไปจนถึงเมืองกัทและเมืองเอโครน
1ซมอ 20.5 ดาวิดจึงกล่าวกับโยนาธานว่า “ดูเถิด พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ ข้าพเจ้าไม่ควรขาดที่จะนั่งร่วมโต๊ะเสวยกับกษัตริย์ แต่ขอโปรดให้ข้าพเจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ในทุ่งนาจนถึงเย็นวันที่สาม
1ซมอ 27.6 ในวันนั้นอาคีชทรงมอบเมืองศิกลากให้ ศิกลากจึงเป็นหัวเมืองขึ้นแก่กษัตริย์ยูดาห์จนถึงทุกวันนี้
1ซมอ 27.8 ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านก็ขึ้นไปปล้นชาวเกชูร์ คนเกซไรต์และคนอามาเลข เพราะประชาชาติเหล่านี้เป็นชาวแผ่นดินนั้นตั้งแต่สมัยโบราณ ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ถึงแผ่นดินอียิปต์
1ซมอ 29.6 อาคีชจึงเรียกดาวิดเข้ามารับสั่งแก่ท่านว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ท่านได้ปฏิบัติตนเป็นคนซื่อตรง และในการที่ท่านออกทัพและยกทัพกลับร่วมกับเราก็เป็นที่ประเสริฐในสายตาของเรา เพราะเราไม่เห็นความชั่วร้ายในตัวท่านตั้งแต่วันที่ท่านมาอยู่กับเราจนถึงวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามเจ้านายทั้งหลายไม่เห็นชอบในเรื่องท่าน
1ซมอ 30.17 และดาวิดก็ฆ่าฟันเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอดไปได้สักคนเดียว เว้นแต่ชายสี่ร้อยคนซึ่งขี่อูฐหนีไป
2ซมอ 3.16 แต่สามีของเธอก็เดินพลางร้องไห้พลางไปกับเธอจนถึงตำบลบาฮูริม แล้วอับเนอร์จึงบอกเขาว่า “กลับไปเสียเถิด” และเขาก็กลับไป
2ซมอ 6.8 และดาวิดก็ไม่ทรงพอพระทัย เพราะพระเยโฮวาห์ทรงทลายออกมาเหนืออุสซาห์ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า เปเรศอุสซาห์ จนถึงทุกวันนี้
2ซมอ 6.23 เพราะฉะนั้นมีคาลราชธิดาของซาอูลก็ไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพ
2ซมอ 13.2 ด้วยเหตุทามาร์น้องหญิงนี้ จิตใจของอัมโนนก็ถูกทรมานจนถึงกับล้มป่วย ด้วยเหตุว่าเธอเป็นสาวพรหมจารี อัมโนนจึงรู้สึกว่าจะทำอะไรกับเธอก็ยากนัก
2ซมอ 14.25 ในบรรดาอิสราเอลหามีผู้ใดรูปงามน่าชมอย่างอับซาโลมไม่ ในตัวท่านตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อมไม่มีตำหนิเลย
2ซมอ 17.18 แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเห็นเขาทั้งสอง จึงไปทูลอับซาโลม เขาทั้งสองก็รีบไปโดยเร็วจนถึงบ้านชายคนหนึ่งที่บาฮูริม เขามีบ่อน้ำอยู่ที่ลานบ้าน เขาทั้งสองจึงลงไปอยู่ในบ่อนั้น
2ซมอ 20.14 เชบาก็ผ่านคนอิสราเอลทุกตระกูลไปจนถึงตำบลอาเบล และเมืองเบธมาอาคาห์ และบรรดาคนบีไรต์ คนเหล่านั้นก็มารวมกันและติดตามเขาไปด้วย
1พกษ 4.12 บาอานาบุตรชายอาหิลูด ประจำในทาอานาค เมกิดโดและเบธชานทั้งหมดซึ่งอยู่ข้างศาเรธานเชิงเมืองยิสเรเอล และตั้งแต่เบธชานถึงอาเบล-เมโฮลาห์ไปจนถึงฝากข้างโน้นของโยกเนอัม
1พกษ 4.21 และซาโลมอนทรงปกครองเหนือราชอาณาจักรทั้งสิ้น ตั้งแต่แม่น้ำไปจนถึงแผ่นดินฟีลิสเตียและถึงพรมแดนอียิปต์ เขาทั้งหลายถวายส่วยอากร และปรนนิบัติซาโลมอนตลอดวันเวลาแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์
1พกษ 4.33 พระองค์ตรัสถึงต้นไม้ตั้งแต่ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน จนถึงต้นหุสบซึ่งงอกออกมาจากกำแพง พระองค์ตรัสถึงสัตว์ป่าด้วย ทั้งบรรดานก สัตว์เลื้อยคลานและปลา
1พกษ 6.15 พระองค์ทรงกรุผนังข้างในพระนิเวศด้วยกระดานไม้สนสีดาร์ ตั้งแต่พื้นพระนิเวศจนถึงไม้เพดาน พระองค์ทรงกรุข้างในด้วยไม้ และพระองค์ทรงปูปิดพื้นพระนิเวศด้วยไม้สนสามใบ
1พกษ 8.65 ซาโลมอนจึงทรงฉลองเทศกาลในเวลานั้น พร้อมกับอิสราเอลทั้งปวง เป็นชุมนุมมโหฬาร มีคนมาตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทจนถึงแม่น้ำแห่งอียิปต์ ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา เป็นเจ็ดวันและเจ็ดวันคือสิบสี่วัน
1พกษ 11.40 ฉะนั้นซาโลมอนจึงทรงหาช่องจะประหารเยโรโบอัมเสีย แต่เยโรโบอัมได้ลุกขึ้นหนีเข้าไปในอียิปต์ ไปยังชิชักกษัตริย์อียิปต์ และอยู่ในอียิปต์จนถึงซาโลมอนสิ้นพระชนม์
1พกษ 18.29 และต่อมาเมื่อผ่านเที่ยงวันไปแล้ว เขาก็ทำนายจนถึงเวลาถวายบูชาตอนเย็น แต่ไม่มีเสียง ไม่มีใครตอบ ไม่มีใครฟัง
2พกษ 2.22 ฉะนั้นน้ำจึงดีมาจนถึงทุกวันนี้ จริงตามถ้อยคำซึ่งเอลีชาได้กล่าวนั้น
2พกษ 7.15 เขาทั้งหลายจึงติดตามไปจนถึงแม่น้ำจอร์แดน และดูเถิด ตลอดทางมีเสื้อผ้าและเครื่องใช้ ซึ่งคนซีเรียทิ้งเมื่อเขารีบหนีไป ผู้สื่อสารก็กลับมาทูลกษัตริย์
2พกษ 8.6 และเมื่อกษัตริย์ตรัสถามหญิงคนนั้น นางก็ทูลเรื่องถวายพระองค์ กษัตริย์จึงทรงตั้งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งให้แก่นางรับสั่งว่า “จงจัดการคืนทุกสิ่งที่เป็นของของนาง พร้อมทั้งพืชผลของนานั้น ตั้งแต่วันที่นางออกจากแผ่นดินมาจนถึงบัดนี้”
2พกษ 10.8 เมื่อผู้สื่อสารมาทูลพระองค์ว่า “เขานำศีรษะโอรสของกษัตริย์มาแล้วพระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสว่า “จงกองไว้เป็นสองกองตรงทางเข้าประตูเมืองจนถึงรุ่งเช้า”
2พกษ 14.13 และเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็จับอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์โอรสของเยโฮอาชโอรสของอาหัสยาห์ได้ที่เมืองเบธเชเมช และได้เสด็จมายังเยรูซาเล็ม และทลายกำแพงเยรูซาเล็มลงเสียสี่ร้อยศอก ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมจนถึงประตูมุม
2พกษ 14.25 พระองค์ทรงตีเอาดินแดนอิสราเอลคืนมาตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทไกลไปจนถึงทะเลแห่งที่ราบ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งพระองค์ตรัสโดยผู้รับใช้ของพระองค์คือโยนาห์ ผู้เป็นบุตรชายอามิททัย ผู้พยากรณ์ผู้มาจากกัธเฮเฟอร์
2พกษ 15.5 และพระเยโฮวาห์ทรงลงทัณฑ์กษัตริย์ กษัตริย์จึงทรงเป็นโรคเรื้อนจนถึงวันสิ้นพระชนม์ และทรงประทับในวังต่างหาก และโยธามโอรสของกษัตริย์ควบคุมสำนักพระราชวัง และทรงวินิจฉัยประชาชนแห่งแผ่นดิน
2พกษ 18.4 พระองค์ทรงรื้อปูชนียสถานสูงทิ้งไป และทรงพังเสาศักดิ์สิทธิ์เสีย และตัดเสารูปเคารพลงเสีย และพระองค์ทรงทุบงูทองสัมฤทธิ์ซึ่งโมเสสสร้างขึ้นนั้นเป็นชิ้นๆ เพราะว่าประชาชนอิสราเอลได้เผาเครื่องหอมให้แก่งูนั้นจนถึงวันเหล่านั้น เขาเรียกงูนั้นว่าเนหุชทาน
2พกษ 18.8 พระองค์ทรงโจมตีคนฟีลิสเตียไกลไปจนถึงเมืองกาซาและดินแดนเมืองนั้น ตั้งแต่ที่ที่มีหอคอยเหตุกระทั่งถึงเมืองที่มีป้อม
2พกษ 20.17 ดูเถิด วันเวลากำลังย่างเข้ามาเมื่อสรรพสิ่งทั้งสิ้นในวังของเจ้า และสิ่งซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมจนถึงทุกวันนี้ จะต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
1พศด 4.31 เบธมารคาโบท ฮาซารสูสิม เบธบิรี และที่ชาอาราอิม เหล่านี้เป็นหัวเมืองของเขาจนถึงดาวิดขึ้นครอบครอง
1พศด 4.33 รวมอยู่กับบรรดาชนบทของเขาซึ่งอยู่รอบหัวเมืองเหล่านี้ไกลไปจนถึงเมืองบาอัล เหล่านี้เป็นภูมิลำเนาของเขา และสำมะโนครัวเชื้อสายของเขา
1พศด 4.41 แล้วคนเหล่านี้ซึ่งมีชื่อในสำมะโนครัวได้เข้ามาในสมัยของเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และโจมตีเต็นท์ของเขา และที่อยู่อาศัยทั้งหลายที่พบอยู่ที่นั่น และกวาดล้างเขาเสียจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในที่ของเขา เพราะที่นั่นมีทุ่งหญ้าให้ฝูงแพะแกะของเขา
1พศด 5.11 ลูกหลานของกาดอาศัยอยู่ตรงหน้าเขาในแผ่นดินบาชานไปจนถึงเมืองสาเลคาห์
1พศด 5.26 พระเจ้าแห่งอิสราเอลจึงทรงเร้าจิตใจของปูลกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และจิตใจของทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และพระองค์ทรงกวาดเขาไปเสียคือ คนรูเบน คนกาด และคนตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่ง และพาเขาทั้งหลายไปยังฮาลาห์ ฮาโบร์ ฮารา และแม่น้ำเมืองโกซาน จนถึงทุกวันนี้
1พศด 13.11 และดาวิดก็ไม่ทรงพอพระทัย เพราะพระเยโฮวาห์ทรงทลายออกมาเหนืออุสซาห์ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า เปเรศอุสซาห์ จนถึงทุกวันนี้
1พศด 16.36 จงถวายสาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล” แล้วประชาชนทั้งปวงได้กล่าวว่า “เอเมน” และได้สรรเสริญพระเยโฮวาห์
1พศด 17.16 แล้วกษัตริย์ดาวิดก็เสด็จเข้าไปประทับนั่งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และกราบทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า และราชวงศ์ของข้าพระองค์เป็นอะไรเล่าที่พระองค์ทรงนำข้าพระองค์มาไกลจนถึงแค่นี้
2พศด 7.8 ในครั้งนั้นซาโลมอนทรงถือเทศกาลอยู่เจ็ดวัน และอิสราเอลทั้งปวงอยู่กับพระองค์ด้วย เป็นชุมนุมชนใหญ่ยิ่งนัก ตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทจนถึงแม่น้ำอียิปต์
2พศด 8.16 บรรดาพระราชกิจของซาโลมอนก็ลุล่วงไปตั้งแต่วันที่วางรากพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จนถึงวันสำเร็จงาน ดังนั้นพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็สำเร็จครบถ้วน
2พศด 18.34 วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น และกษัตริย์อิสราเอลก็พยุงพระองค์เองขึ้นไปในรถรบของพระองค์หันพระพักตร์เข้าสู้ชนซีเรียจนถึงเวลาเย็น แล้วประมาณเวลาดวงอาทิตย์ตกพระองค์ก็สิ้นพระชนม์
2พศด 20.26 ในวันที่สี่เขาทั้งหลายได้ชุมนุมกันที่หุบเขาเบราคาห์ ด้วยที่นั่นเขาสรรเสริญพระเยโฮวาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกที่นั้นว่า หุบเขาเบราคาห์ จนถึงทุกวันนี้
2พศด 20.34 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเยโฮชาฟัท ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด ดูเถิด ได้มีบันทึกไว้ในหนังสือของเยฮูบุตรชายฮานานี ซึ่งรวมเข้าในหนังสือของกษัตริย์แห่งอิสราเอล
2พศด 30.10 คนเดินหนังสือจึงไปตามหัวเมืองต่างๆทั่วแผ่นดินเอฟราอิมและมนัสเสห์ไกลไปจนถึงเศบูลุน แต่คนทั้งหลายก็หัวเราะเยาะเขา และเย้ยหยันเขา
2พศด 33.14 ภายหลังพระองค์ทรงสร้างกำแพงชั้นนอกให้นครดาวิดทางตะวันตกของกีโฮนในหุบเขาไปจนถึงทางเข้าประตูปลา แล้ววงรอบตำบลโอเฟล และก่อขึ้นให้สูงมาก และพระองค์ทรงตั้งผู้บังคับบัญชากองทัพให้อยู่ในหัวเมืองมีป้อมในยูดาห์ทั้งสิ้น
2พศด 36.20 และบรรดาผู้ที่รอดจากดาบนั้นพระองค์ทรงให้กวาดไปเป็นเชลยยังบาบิโลน และเขาทั้งหลายเป็นผู้รับใช้ของพระองค์และแก่ราชวงศ์ของพระองค์ จนถึงการสถาปนาราชอาณาจักรเปอร์เซีย
อสร 4.24 งานพระนิเวศแห่งพระเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็มจึงหยุด งานนั้นได้หยุดจนถึงปีที่สองแห่งรัชกาลดาริอัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
อสร 9.4 แล้วบรรดาคนที่สั่นสะท้านไปด้วยพระวจนะของพระเจ้าแห่งอิสราเอล เหตุด้วยการละเมิดของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยนั้น ได้มาประชุมต่อหน้าข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้านั่งตะลึงอยู่จนถึงเวลาถวายเครื่องสักการบูชาตอนเย็น
อสร 9.7 ข้าพระองค์ทั้งหลายมีการละเมิดยิ่งใหญ่ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายจนถึงทุกวันนี้ และเพราะความชั่วช้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลาย ทั้งบรรดากษัตริย์ของข้าพระองค์ และบรรดาปุโรหิตของข้าพระองค์ได้ถูกมอบไว้ในมือของบรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินเหล่านั้น ให้แก่ดาบ แก่การเป็นเชลย แก่การปล้น และแก่การขายหน้าอย่างที่สุด อย่างทุกวันนี้
นหม 3.1 แล้วเอลียาชีบมหาปุโรหิตได้ลุกขึ้นพร้อมกับพี่น้องของท่าน บรรดาปุโรหิต และเขาทั้งหลายได้สร้างประตูแกะ เขาได้ทำพิธีชำระให้บริสุทธิ์และได้ตั้งบานประตู เขาทั้งหลายได้ทำพิธีชำระให้บริสุทธิ์จนถึงหอคอยเมอาห์ไกลไปจนถึงหอคอยฮานันเอล
นหม 3.8 ถัดเขาไปคืออุสซีเอลบุตรชายฮารฮายาห์ช่างทองได้ซ่อมแซม ถัดเขาไปคือฮานันยาห์ผู้เป็นบุตรชายของช่างน้ำหอมคนหนึ่งได้ซ่อมแซม เขาบูรณะเยรูซาเล็มไกลไปจนถึงตอนกำแพงกว้าง
นหม 3.13 ฮานูนและชาวเมืองศาโนอาห์ได้ซ่อมแซมประตูหุบเขา เขาสร้างประตูขึ้นใหม่และตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู และซ่อมแซมกำแพงระยะพันศอกไกลไปจนถึงประตูกองขยะ
นหม 3.15 ชัลลูนบุตรชายคลโฮเซห์ ผู้ปกครองส่วนหนึ่งของแขวงมิสปาห์ ได้ซ่อมแซมประตูน้ำพุ ได้สร้างประตู สร้างมุงและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู ท่านได้สร้างกำแพงสระชิโลอาห์ตรงไปทางราชอุทยานไกลไปจนถึงบันไดซึ่งลงไปจากนครดาวิด
นหม 3.16 ถัดเขาไปเนหะมีย์บุตรชายอัสบูก ผู้ปกครองแขวงเบธซูร์ครึ่งหนึ่งได้ซ่อมแซม ไปจนถึงที่ตรงข้ามกับอุโมงค์ฝังศพของดาวิด ถึงสระขุดและถึงโรงทแกล้วทหาร
นหม 3.20 ถัดเขาไปคือ บารุคบุตรชายศับบัย ได้ซ่อมแซมอย่างร้อนใจอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่มุมหักของกำแพงจนถึงประตูเรือนของเอลียาชีบมหาปุโรหิต
นหม 3.26 และคนใช้ประจำพระวิหารอยู่ที่โอเฟล ได้ซ่อมแซมไปจนถึงที่ตรงข้ามกับประตูน้ำทางด้านตะวันออกและที่หอคอยยื่นออกไป
นหม 3.27 ถัดเขาไปชาวเทโคอาได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งตรงข้ามกับหอคอยใหญ่ที่ยื่นออกไปไกลไปจนถึงประตูเมืองโอเฟล
นหม 3.31 ถัดเขาไป มิลคิยาห์บุตรชายของช่างทองคนหนึ่งได้ซ่อมแซมไกลไปจนถึงเรือนของคนใช้ประจำพระวิหาร และของพ่อค้า ตรงข้ามกับประตูมิฟคาด จนถึงห้องชั้นบนที่มุม
นหม 9.32 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง ทรงฤทธิ์และน่าเกรงกลัว ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความเมตตา ฉะนั้นบัดนี้ขอพระองค์อย่าทรงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้นนั้นเป็นแต่สิ่งเล็กน้อยซึ่งบังเกิดขึ้นกับข้าพระองค์ทั้งหลาย กับบรรดากษัตริย์ของข้าพระองค์ กับบรรดาเจ้านาย บรรดาปุโรหิต บรรดาผู้พยากรณ์ บรรพบุรุษ และชนชาติของพระองค์ทั้งสิ้น ตั้งแต่สมัยกษัตริย์อัสซีเรีย จนถึงวันนี้
นหม 12.22 ส่วนคนเลวีในสมัยของเอลียาชีบ โยยาดา โยฮานัน และยาดดูวา ชื่อประมุขของบรรพบุรุษมีบันทึกไว้ทั้งบรรดาปุโรหิตจนถึงรัชสมัยของดาริอัสคนเปอร์เซีย
นหม 12.31 แล้วข้าพเจ้าได้นำเจ้านายแห่งยูดาห์ขึ้นบนกำแพง และแต่งตั้งให้คณะใหญ่สองคณะ เป็นผู้กล่าวโมทนาและเดินเป็นกระบวนแห่ คณะหนึ่งไปทางขวาขึ้นไปบนกำแพงจนถึงประตูกองขยะ
โยบ 2.7 ซาตานจึงออกไปจากเบื้องพระพักตร์ของพระเยโฮวาห์ และได้ให้โยบเป็นฝีร้าย ตั้งแต่ฝ่าเท้าของท่านจนถึงกระหม่อมที่ศีรษะ
โยบ 21.7 ทำไมคนชั่วจึงมีชีวิตอยู่ เออ จนถึงแก่ และเจริญมีกำลังมากขึ้น
โยบ 21.30 ว่าคนชั่วได้สงวนไว้จนถึงวันแห่งภัยพิบัติ และเขาจะถูกนำไปยังวันแห่งพระพิโรธ
สดด 48.14 ว่านี่คือพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าของเราเป็นนิจกาล พระองค์จะทรงเป็นผู้นำของเราจนถึงเวลาสิ้นชีวิต
สดด 50.1 พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเยโฮวาห์ตรัสและทรงเรียกแผ่นดินโลก ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก
สดด 106.48 จงถวายสาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล และขอประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า “เอเมน” จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์เถิด
สดด 113.3 ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตกพระนามของพระเยโฮวาห์เป็นที่สรรเสริญ
สดด 137.7 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ในวันแห่งเยรูซาเล็มขอทรงระลึกถึงคนเอโดม ผู้ที่พูดว่า “จงทลายเสีย จงทลายเสีย ลงไปจนถึงรากฐานของมัน”
อสย 1.6 ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงศีรษะไม่มีความปกติในนั้นเลย มีแต่บาดแผลและฟกช้ำและเป็นแผลเลือดไหล ไม่เห็นบีบออกหรือพันไว้ หรือทำให้อ่อนลงด้วยน้ำมัน
อสย 8.8 และจะกวาดต่อไปเข้าในยูดาห์ และจะไหลท่วมและผ่านไปแม้จนถึงคอ และปีกอันแผ่กว้างของมันจะเต็มแผ่นดินของท่านนะ โอ ท่านอิมมานูเอล”
อสย 22.24 และเขาทั้งหลายจะแขวนไว้บนตัวเขาซึ่งสง่าราศีทั้งสิ้นของวงศ์วานบิดาของเขา ลูกหลานผู้สืบสาย ภาชนะเล็กๆทุกชิ้น ตั้งแต่ถ้วยจนถึงเหยือกทั้งสิ้น
อสย 27.12 ต่อมาในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงนวดเอาข้าวตั้งแต่แม่น้ำไปจนถึงลำธารอียิปต์ โอ ประชาชนอิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะถูกเก็บรวมเข้ามาทีละคนๆ
อสย 39.6 ดูเถิด วันเวลากำลังย่างเข้ามา เมื่อสรรพสิ่งทั้งสิ้นในวังของเจ้า และสิ่งซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมจนถึงทุกวันนี้จะต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน จะไม่มีสิ่งใดเหลือเลย พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อสย 57.9 เจ้าเดินทางไปหากษัตริย์พร้อมกับน้ำมัน และทวีน้ำหอมของเจ้า เจ้าได้ส่งทูตของเจ้าไปไกล แม้ให้ลงไปจนถึงนรก
ยรม 1.3 และมีมาในรัชกาลของเยโฮยาคิม โอรสของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ จนถึงปลายปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลเศเดคียาห์ โอรสของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ จนถึงการกวาดเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยในเดือนที่ห้า
ยรม 3.5 พระองค์จะทรงพระพิโรธอยู่เป็นนิตย์หรือ พระองค์จะทรงกริ้วอยู่จนถึงที่สุดปลายหรือ’ ดูเถิด เจ้าลั่นวาจาแล้ว แต่เจ้าก็ยังกระทำความชั่วช้าทุกอย่างซึ่งเจ้ากระทำได้”
ยรม 6.13 “เพราะว่า ตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด ทุกคนโลภอยากได้กำไร และทุกคนก็กระทำการด้วยความเท็จ ตั้งแต่ผู้พยากรณ์ตลอดถึงปุโรหิต
ยรม 11.7 เพราะเราได้กล่าวตักเตือนอย่างแข็งแรงต่อบรรพบุรุษของเจ้า ในวันที่เรานำเขาขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ แม้จนถึงทุกวันนี้อย่างไม่หยุดยั้งกล่าวตักเตือนว่า จงเชื่อฟังเสียงของเรา
ยรม 25.3 “ตั้งแต่ปีที่สิบสามของโยสิยาห์ ราชบุตรของอาโมนกษัตริย์แห่งยูดาห์ จนถึงวันนี้เป็นเวลายี่สิบสามปี พระวจนะของพระเยโฮวาห์มายังข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้บอกแก่ท่านทั้งหลายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ท่านหาได้ฟังไม่
ยรม 27.22 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เครื่องใช้เหล่านี้จะถูกขนไปยังบาบิโลน และจะค้างอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่เราเอาใจใส่มัน แล้วเราจึงจะนำมันกลับขึ้นมา และให้กลับสู่สถานที่นี้”
ยรม 31.40 หุบเขาแห่งซากศพและขี้เถ้าทั้งสิ้นนั้น และทุ่งนาทั้งหมดไกลไปจนถึงลำธารขิดโรนจนถึงมุมประตูม้าไปทางตะวันออก จะเป็นที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ จะไม่เป็นที่ถอนรากหรือคว่ำต่อไปอีกเป็นนิตย์”
ยรม 32.20 ทรงเป็นผู้สำแดงหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ในแผ่นดินอียิปต์ และจนถึงสมัยนี้ก็ทรงสำแดงในอิสราเอลและท่ามกลางมนุษยชาติ และทรงทำให้พระนามเลื่องลือไปอย่างทุกวันนี้
ยรม 32.31 เมืองนี้ได้เร้าความกริ้วและความพิโรธของเรา ตั้งแต่วันที่ได้สร้างมันขึ้นจนถึงวันนี้ เพราะฉะนั้นเราจะถอนออกไปเสียจากหน้าของเรา
ยรม 35.14 คำบัญชาซึ่งโยนาดับบุตรชายเรคาบให้ไว้แก่บุตรชายทั้งหลายของตน ไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นนั้น เขาก็ได้รักษากันไว้แล้ว และเขาทั้งหลายมิได้ดื่มเลยจนถึงวันนี้ เพราะเขาทั้งหลายได้เชื่อฟังคำบัญชาแห่งบิดาของเขา แต่เราได้พูดกับพวกเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เจ้าทั้งหลายหาได้ฟังเราไม่
ยรม 36.2 “เจ้าจงเอาหนังสือม้วนม้วนหนึ่ง และเขียนถ้อยคำนี้ทั้งสิ้นลงไว้ เป็นคำที่เราได้พูดกับเจ้าปรักปรำอิสราเอลและยูดาห์ และบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น ตั้งแต่วันที่เราได้พูดกับเจ้า ตั้งแต่รัชกาลโยสิยาห์จนถึงวันนี้
ยรม 38.28 และเยเรมีย์ก็ค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์จนถึงวันที่เยรูซาเล็มถูกยึด ท่านอยู่ในที่นั่นเมื่อเยรูซาเล็มถูกยึด
ยรม 44.12 เราจะเอาชนยูดาห์ที่เหลืออยู่ ผู้ซึ่งมุ่งหน้ามาที่แผ่นดินอียิปต์เพื่อจะอาศัยอยู่นั้น และเขาทั้งหลายจะถูกผลาญเสียหมด เขาจะล้มลงในแผ่นดินอียิปต์ เขาจะถูกผลาญด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร ตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด เขาทั้งหลายจะตายด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร และเขาจะกลายเป็นคำสาป เป็นที่น่าตกตะลึง เป็นคำแช่งและเป็นที่นินทา
ยรม 48.32 โอ เถาองุ่นแห่งสิบมาห์เอ๋ย เราจะร้องไห้เพื่อเจ้ามากกว่าเพื่อยาเซอร์ กิ่งทั้งหลายของเจ้ายื่นข้ามทะเลจนถึงทะเลของยาเซอร์ ผู้ทำลายได้โจมตีผลไม้ฤดูร้อนและการเก็บองุ่นของเจ้า
อสค 29.10 เหตุฉะนั้น ดูเถิด เราจะต่อสู้กับเจ้า และกับแม่น้ำทั้งหลายของเจ้า เราจะกระทำให้แผ่นดินอียิปต์ถูกทิ้งไว้เสียเปล่าและรกร้างอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หอคอยแห่งสิเอเนไกลไปจนถึงพรมแดนเอธิโอเปีย
อสค 41.17 จนถึงที่อยู่เหนือประตู ถึงแม้เป็นห้องชั้นในและข้างนอก และบนผนังโดยรอบที่ห้องชั้นในและห้องโถง ก็กระทำโดยการวัด
อสค 46.17 แต่ถ้าท่านนำเอาส่วนหนึ่งของมรดกของท่านมามอบให้คนใช้ของท่านคนหนึ่งเป็นของขวัญ ของนั้นจะเป็นของคนใช้นั้นจนถึงปีอิสรภาพ แล้วของนั้นจะกลับมาเป็นของเจ้านาย เฉพาะบุตรชายของท่านเท่านั้นที่จะเก็บส่วนมรดกของท่านมาเป็นของขวัญได้
อสค 47.16 เมืองฮามัท เมืองเบโรธาห์ เมืองสิบราอิม ซึ่งอยู่ระหว่างพรมแดนเมืองดามัสกัสกับพรมแดนเมืองฮามัท จนถึงเมืองฮาเซอร์ฮัททิโคน ซึ่งอยู่ที่พรมแดนเมืองเฮาราน
อสค 47.19 ทางด้านใต้เขตแดนจะยื่นจากทามาร์จนถึงน้ำแห่งการโต้เถียงในคาเดช แล้วเรื่อยไปตามแม่น้ำถึงทะเลใหญ่ นี่เป็นเขตด้านใต้
อสค 47.20 ทางด้านตะวันตก ทะเลใหญ่เป็นเขตแดนเรื่อยไปจนถึงตำบลที่อยู่ตรงข้ามทางเข้าเมืองฮามัท นี่เป็นเขตแดนด้านตะวันตก
อสค 48.1 “ต่อไปนี้เป็นชื่อของตระกูลต่างๆตั้งต้นที่พรมแดนด้านเหนือจากทะเลไปตามทางเฮทโลน ถึงทางเข้าเมืองฮามัทจนถึงฮาเซอเรโนน ซึ่งอยู่ทางพรมแดนด้านเหนือของดามัสกัส ติดเมืองฮามัท และยื่นจากด้านตะวันตกออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนดาน
ดนล 6.14 เมื่อกษัตริย์ทรงสดับถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ก็ทรงโทมนัสยิ่งนัก และทรงตั้งพระทัยหาทางช่วยดาเนียลให้พ้น ทรงหาหนทางช่วยดาเนียลให้รอดพ้นจนถึงเวลาดวงอาทิตย์ตก
ดนล 6.26 เราออกกฤษฎีกาว่า ให้คนทั้งหลายสั่นสะท้านและยำเกรงต่อพระพักตร์พระเจ้าของดาเนียลในราชอาณาจักรของเราทั้งหมด เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ อาณาจักรของพระองค์จะไม่ถูกทำลาย และราชอาณาจักรของพระองค์จะดำรงจนถึงที่สุด
ดนล 7.22 จนถึงผู้เจริญด้วยวัยวุฒิเสด็จมาถึงและทรงให้มีการพิพากษาให้แก่วิสุทธิชนขององค์ผู้สูงสุดนั้น และจนสมัยเมื่อวิสุทธิชนรับราชอาณาจักรมาถึง
ดนล 9.25 เพราะฉะนั้นจงทราบและเข้าใจว่า นับตั้งแต่การที่พระบัญชานั้นออกไปให้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จนถึงสมัยพระเมสสิยาห์ ผู้เป็นประมุขก็เป็นเวลาเจ็ดสัปดาห์และเป็นเวลาหกสิบสองสัปดาห์ และถนนจะถูกสร้างขึ้นพร้อมด้วยกำแพงเมือง แต่ในยุคลำบาก
ดนล 11.10 แต่บุตรชายทั้งหลายของท่านจะก่อสงครามและชุมนุมกำลังรบเป็นอันมากไว้ และคนหนึ่งจะมาอย่างแน่นอนและไหลท่วมและผ่านไป และจะกลับไปทำสงครามจนถึงป้อมปราการของท่าน
ดนล 12.1 “ในครั้งนั้น มีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น และจะมีเวลายากลำบากอย่างไม่เคยมีมาตั้งแต่ครั้งมีประชาชาติจนถึงสมัยนั้น แต่ในครั้งนั้นชนชาติของท่านจะรับการช่วยให้พ้น คือทุกคนที่มีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือ
ดนล 12.4 แต่ตัวเจ้า โอ ดาเนียลเอ๋ย จงปิดถ้อยคำเหล่านั้นไว้ และประทับตราหนังสือนั้นเสีย จนถึงวาระสุดท้าย คนเป็นอันมากจะวิ่งไปวิ่งมา และความรู้จะทวีขึ้น”
ดนล 12.9 พระองค์ตรัสว่า “ดาเนียลเอ๋ย ไปเถอะ เพราะว่าถ้อยคำเหล่านั้นก็ถูกปิดไว้แล้วและถูกประทับตราไว้จนถึงวาระสุดท้าย
อมส 4.2 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงปฏิญาณไว้ด้วยความบริสุทธิ์ของพระองค์ว่า ดูเถิด วันทั้งหลายจะมาถึงเจ้า เขาจะเอาขอเกี่ยวเจ้าไป จนถึงคนที่สุดท้ายของเจ้า เขาก็จะเกี่ยวไปด้วยเบ็ด
อบด 1.20 พลโยธาของอิสราเอลที่เป็นเชลยจะได้ที่ซึ่งเป็นของคนคานาอันไกลไปจนถึงศาเรฟัทเป็นกรรมสิทธิ์ ส่วนพวกเชลยชาวเยรูซาเล็มที่อยู่ในเสฟาราดจะได้หัวเมืองในภาคใต้เป็นกรรมสิทธิ์
มคา 5.3 ดังนั้น พระองค์จะทรงมอบเขาไว้จนถึงเวลาที่หญิงผู้เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร แล้วบรรดาพี่น้องที่เหลืออยู่จะกลับมายังคนอิสราเอล
มคา 5.4 และพระองค์จะทรงยืนมั่น ทรงเลี้ยงดูด้วยพระกำลังแห่งพระเยโฮวาห์ ด้วยสง่าราศีแห่งพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ และเขาทั้งหลายอยู่ได้ เพราะบัดนี้พระองค์จะทรงเป็นใหญ่ตลอดจนถึงที่สุดท้ายปลายพิภพ
มธ 1.17 ดังนั้น ตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดจึงเป็นสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ดาวิดลงมาจนถึงต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลนเป็นเวลาสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลนจนถึงพระคริสต์เป็นสิบสี่ชั่วคน
มธ 11.13 เพราะคำของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายและพระราชบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึงยอห์นนี้
มธ 13.30 ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวสาลีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา”’”
มธ 20.8 ครั้นถึงเวลาพลบค่ำเจ้าของสวนองุ่นจึงสั่งเจ้าพนักงานว่า ‘จงเรียกคนทำงานมาและให้ค่าจ้างแก่เขา ตั้งแต่คนมาทำงานสุดท้าย จนถึงคนที่มาแรก’
มธ 22.26 ฝ่ายคนที่สองที่สามก็เช่นเดียวกัน จนถึงคนที่เจ็ด
มธ 23.35 ดังนั้นบรรดาโลหิตอันชอบธรรมซึ่งตกที่แผ่นดินโลก ตั้งแต่โลหิตของอาแบลผู้ชอบธรรมจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์บุตรชายบารัคยา ที่พวกเจ้าได้ฆ่าเสียในระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชานั้น ย่อมตกบนพวกเจ้าทั้งหลาย
มธ 24.13 แต่ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด
มธ 24.21 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงเวลานี้ และจะไม่มีต่อไปอีกเลย
มธ 24.27 ด้วยว่าฟ้าแลบมาจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกฉันใด การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นฉันนั้น
มธ 24.31 พระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์มาด้วยเสียงแตรอันดังยิ่งนัก ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น
มธ 24.38 เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวา
มธ 26.58 แต่เปโตรได้ติดตามพระองค์ไปห่างๆจนถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต แล้วเข้าไปนั่งข้างในกับคนใช้ เพื่อจะดูว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร
มธ 27.8 เหตุฉะนั้น ทุ่งนั้นจึงเรียกว่า ทุ่งโลหิต จนถึงทุกวันนี้
มธ 27.45 แล้วก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน จนถึงบ่ายสามโมง
มธ 27.64 เหตุฉะนั้น ขอได้มีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรงจนถึงวันที่สาม เกลือกว่าสาวกของเขาจะมาในตอนกลางคืน และลักเอาศพไป แล้วจะประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก”
มก 6.23 และกษัตริย์จึงทรงปฏิญาณตัวไว้กับหญิงสาวนั้นว่า “เธอจะขอสิ่งใดๆจากเรา เราจะให้สิ่งนั้นแก่เธอจนถึงครึ่งราชสมบัติของเรา”
มก 11.20 ครั้นเวลาเช้า เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกได้ผ่านที่นั้นไป ก็ได้เห็นมะเดื่อต้นนั้นเหี่ยวแห้งไปจนถึงราก
มก 13.13 ท่านจะถูกคนทั้งปวงเกลียดชังเพราะเห็นแก่นามของเรา แต่ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด
มก 13.19 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากอย่างที่ไม่เคยมี ตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลกมาจนถึงเวลานี้ และจะไม่มีต่อไปอีกเลย
มก 13.27 เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงที่สุดขอบฟ้า
มก 15.33 ครั้นเวลาเที่ยงก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง
ลก 1.20 ดูเถิด เพราะท่านมิได้เชื่อถ้อยคำของเรา ถึงเรื่องที่จะสำเร็จตามกำหนด ท่านก็จะเป็นใบ้ แล้วไม่สามารถพูดได้ จนถึงวันที่การณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้น”
ลก 1.80 ฝ่ายทารกนั้นก็ได้เจริญวัยขึ้น และจิตวิญญาณก็มีกำลังทวีขึ้น และไปอาศัยในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่ท่านจะได้มาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล
ลก 2.37 แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงอายุแปดสิบสี่ปี นางมิได้ไปจากพระวิหารเลย อยู่รับใช้พระเจ้าด้วยการถืออดอาหารและอธิษฐาน ทั้งกลางวันกลางคืน
ลก 11.51 คือตั้งแต่โลหิตของอาแบล จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ที่ถูกฆ่าตายระหว่างแท่นบูชากับพระวิหาร เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบในโลหิตนั้น
ลก 16.16 มีพระราชบัญญัติและศาสดาพยากรณ์มาจนถึงยอห์น ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และคนทั้งปวงก็ชิงกันเข้าไปในอาณาจักรนั้น
ลก 17.27 เขาได้กินและดื่ม ได้สมรสกันและได้ยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันนั้นที่โนอาห์ได้เข้าในนาวา และน้ำได้มาท่วมล้างผลาญเขาเสียทั้งสิ้น
ลก 23.5 เขาทั้งหลายยิ่งกล่าวแข็งแรงว่า “คนนี้ยุยงพลเมืองให้วุ่นวาย และสั่งสอนทั่วตลอดยูเดีย ตั้งแต่กาลิลีจนถึงที่นี่”
ลก 23.44 เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง
ลก 24.24 บางคนที่อยู่กับเราก็ไปจนถึงอุโมงค์ และได้พบเหมือนพวกผู้หญิงเหล่านั้นได้บอก แต่เขาหาได้เห็นพระองค์ไม่”
ยน 2.10 และพูดกับเขาว่า “ใครๆเขาก็เอาน้ำองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน และเมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา แต่ท่านเก็บน้ำองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้”
ยน 5.17 แต่พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “พระบิดาของเราก็ยังทรงกระทำการอยู่จนถึงบัดนี้ และเราก็ทำด้วย”
ยน 13.1 ก่อนถึงเทศกาลเลี้ยงปัสกา เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด
กจ 1.2 จนถึงวันที่พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไป ในเมื่อได้ตรัสสั่งโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่อัครสาวก ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้แล้วนั้น
กจ 1.8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราทั้งในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
กจ 1.22 คือตั้งแต่บัพติศมาของยอห์น จนถึงวันที่พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปจากเรา คนหนึ่งในพวกนี้จะต้องตั้งไว้ให้เป็นพยานกับเราถึงการคืนพระชนม์ของพระองค์”
กจ 2.29 ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีใจกล้าที่จะกล่าวแก่ท่านทั้งหลายถึงดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า ท่านสิ้นพระชนม์แล้วถูกฝังไว้ และอุโมงค์ฝังศพของท่านยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้
กจ 3.21 พระองค์นั้น สวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระเมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้โดยปากบรรดาศาสดาพยากรณ์บริสุทธิ์ของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก
กจ 7.45 ฝ่ายบรรพบุรุษของเราที่มาภายหลัง เมื่อได้รับพลับพลานั้นจึงขนตามเยซูไป เมื่อได้เข้ายึดแผ่นดินของบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเรา พลับพลานั้นก็มีสืบมาจนถึงสมัยดาวิด
กจ 9.37 ต่อมาระหว่างนั้นหญิงคนนี้ก็ป่วยลงจนถึงแก่ความตาย เขาจึงอาบน้ำศพวางไว้ในห้องชั้นบน
กจ 10.30 โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันมาแล้ว ข้าพเจ้ากำลังถืออดอาหารอยู่จนถึงเวลานี้ และประมาณเวลาบ่ายสามโมงข้าพเจ้าได้อธิษฐานอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า ดูเถิด มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าสวมเสื้อมันระยับ
กจ 12.23 ในทันใดนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ท่านเกิดโรคร้าย เพราะท่านมิได้ถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า แล้วก็มีตัวหนอนกัดกินร่างกายของท่านจนถึงแก่พิราลัย
กจ 13.11 ดูเถิด บัดนี้พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่บนเจ้า เจ้าจะเป็นคนตาบอดไม่เห็นดวงอาทิตย์จนถึงเวลากำหนด” ทันใดนั้นความมืดมัวก็บังเกิดแก่เอลีมาส เอลีมาสจึงคลำหาคนให้จูงมือไป
กจ 13.20 ภายหลังพระองค์ทรงประทานพวกผู้วินิจฉัยแก่เขา เป็นเวลาประมาณสี่ร้อยห้าสิบปี จนถึงซามูเอลศาสดาพยากรณ์
กจ 21.26 เปาโลจึงพาสี่คนนั้นไป และวันรุ่งขึ้นได้ชำระตัวด้วยกันกับเขา แล้วจึงเข้าไปในพระวิหารประกาศวันที่การชำระนั้นจะสำเร็จ จนถึงวันที่จะนำเครื่องบูชามาถวายเพื่อคนเหล่านั้นทุกคน
กจ 22.4 ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคนทั้งหลายที่ถือในทางนี้จนถึงตาย และได้ผูกมัดเขาจำไว้ในคุกทั้งชายและหญิง
กจ 23.1 ฝ่ายเปาโลจึงเพ่งดูพวกสมาชิกสภาแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อพระพักตร์พระเจ้าล้วนแต่ตามใจวินิจฉัยผิดชอบอันดีจนถึงทุกวันนี้”
กจ 26.22 เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้และเป็นพยานได้ต่อหน้าผู้ใหญ่ผู้น้อย ข้าพระองค์ไม่พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องซึ่งบรรดาศาสดาพยากรณ์กับโมเสสได้กล่าวไว้ว่าจะมีขึ้น
กจ 27.27 จนถึงคืนที่สิบสี่แล้ว เราก็ยังถูกซัดไปซัดมาอยู่ในทะเลอาเดรีย ประมาณเที่ยงคืนพวกกะลาสีก็สำคัญว่ามาใกล้แผ่นดินแล้ว
รม 5.14 อย่างไรก็ตามความตายก็ได้ครอบงำตลอดมาตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้คนที่มิได้ทำบาปอย่างเดียวกับการละเมิดของอาดัม ผู้ซึ่งเป็นแบบของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง
รม 11.25 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านทั้งหลายเขลาในข้อความลึกลับนี้ เกลือกว่าท่านจะอวดรู้ คือเรื่องที่บางคนในพวกอิสราเอลได้มีใจแข็งกระด้างไป จนถึงพวกต่างชาติได้เข้ามาครบจำนวน
1คร 1.8 พระองค์จะทรงให้ท่านมั่นคงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อให้ท่านปราศจากที่ติในวันของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
1คร 4.11 จนถึงเวลานี้เราก็ทั้งหิวและกระหาย เปลือยเปล่าและถูกโบยตี และไม่มีที่อาศัยเป็นหลักแหล่ง
1คร 4.13 เมื่อถูกใส่ร้ายเราก็อ้อนวอน เรากลายเป็นเหมือนกากเดนของโลกและเหมือนราคีของสิ่งสารพัดจนถึงบัดนี้
1คร 15.6 ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนมากยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บางคนก็ล่วงหลับไปแล้ว
1คร 16.6 และข้าพเจ้าอาจจะพักอยู่กับท่าน บางทีอาจจะอยู่จนถึงสิ้นฤดูหนาวก็เป็นได้ แล้วข้าพเจ้าจะไปทางไหน พวกท่านจะได้ส่งข้าพเจ้าไปทางนั้น
1คร 16.8 แต่ข้าพเจ้าจะอยู่ที่เมืองเอเฟซัสจนถึงเทศกาลเพ็นเทคศเต
2คร 3.14 แต่จิตใจของเขาก็มืดบอดไป เพราะตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาอ่านพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่มิได้เปิดออก แต่ผ้าคลุมนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระคริสต์
2คร 8.6 จนถึงกับเราได้เตือนทิตัสว่า เมื่อเขาได้เริ่มแล้วฉันใด ก็ให้เขาทำให้สำเร็จกับท่านทั้งหลายในพระคุณนี้ด้วยเช่นกัน
2คร 10.5 คือทำลายความคิด และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงเชื่อฟังพระคริสต์
2คร 10.14 การที่มาถึงท่านนั้น มิใช่โดยการล่วงขอบเขตอันควร เรามาจนถึงท่านทั้งหลายเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์
กท 4.2 แต่เขาก็อยู่ใต้บังคับของผู้ปกครองและผู้ดูแล จนถึงเวลาที่บิดาได้กำหนดไว้
อฟ 4.30 และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้จนถึงวันที่ทรงไถ่ให้รอด
ฟป 1.6 ข้าพเจ้าแน่ใจในสิ่งนี้ว่า พระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์
ฟป 1.10 เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็นคนซื่อสัตย์ และไม่เป็นที่ติได้ จนถึงวันของพระคริสต์
ฟป 2.8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลง ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน
1ธส 4.15 ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้
1ธส 5.23 และขอให้องค์พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงตั้งท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าให้ทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเสด็จมา
1ทธ 6.14 ให้ท่านรักษาคำบัญชานี้ไว้อย่าให้ด่างพร้อย และอย่าให้มีที่ติได้ จนถึงเวลาที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา
2ทธ 1.12 เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงฤทธิ์สามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้น
2ทธ 4.7 ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว
2ทธ 4.18 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการร้ายทุกอย่าง และจะทรงคุ้มครองข้าพเจ้าไว้จนถึงอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ สง่าราศีจงมีแด่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ เอเมน
ฮบ 3.6 แต่พระคริสต์นั้นในฐานะพระบุตรที่ทรงอำนาจเหนือครอบครัวของพระองค์ และเราทั้งหลายเป็นครอบครัวนั้นแหละ หากเราจะยึดความมั่นใจและความชื่นชมยินดีในความหวังนั้นไว้ให้มั่นคงจนถึงที่สุด
ฮบ 3.14 เพราะว่าถ้าเรายึดความไว้วางใจที่เรามีอยู่ตอนต้นไว้ให้มั่นคงจนถึงที่สุด เราก็กลายมาเป็นผู้มีส่วนกับพระคริสต์
ฮบ 6.11 และเราปรารถนาให้ท่านทั้งหลายทุกคนแสดงความตั้งใจจริงให้ถึงความมั่นใจอย่างเต็มที่แห่งความหวังนั้นจนถึงที่สุดปลาย
ฮบ 10.13 ตั้งแต่นี้ไปพระองค์คอยอยู่จนถึงบรรดาศัตรูของพระองค์จะถูกปราบลงเป็นที่รองพระบาทของพระองค์
ฮบ 12.4 ท่านทั้งหลายยังไม่ได้รบสู้กับความบาปจนถึงโลหิตตก
2ปต 2.9 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบวิธีที่จะช่วยคนที่ตามทางของพระเจ้าให้รอดพ้นจากการทดลองต่างๆ และทรงทราบวิธีที่จะรักษาคนอธรรมไว้จนถึงวันพิพากษาเพื่อจะได้ลงโทษเขา
2ปต 3.7 แต่ว่าท้องฟ้าอากาศและแผ่นดินโลกที่อยู่เดี๋ยวนี้ พระองค์ทรงเก็บงำไว้โดยคำตรัสนั้นสำหรับให้ไฟเผา คือเก็บไว้จนถึงวันทรงพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาคนอธรรม
1ยน 2.9 ผู้ใดที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง และยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืดจนถึงบัดนี้
ยด 1.21 จงรักษาตัวไว้ในความรักของพระเจ้า คอยพระกรุณาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจนถึงชีวิตนิรันดร์
วว 2.10 อย่ากลัวความทุกข์ทรมานต่างๆซึ่งเจ้าจะได้รับนั้น ดูเถิด พญามารจะขังพวกเจ้าบางคนไว้ในคุกเพื่อจะลองใจเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะได้รับความทุกข์ทรมานถึงสิบวัน แต่เจ้าจงสัตย์ซื่อจนถึงความตาย และเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า
วว 2.26 ผู้ใดมีชัยชนะและถือรักษากิจการของเราไว้จนถึงที่สุด ‘เราจะให้ผู้นั้นมีอำนาจครอบครองบรรดาประชาชาติ
วว 12.14 แต่ทรงประทานปีกนกอินทรีใหญ่สองปีกแก่หญิงนั้น เพื่อให้นางบินหนีหน้างูเข้าไปในถิ่นทุรกันดารในสถานที่ของนาง จนถึงที่ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดู ตลอดวาระหนึ่งและสองวาระและครึ่งวาระ
วว 17.17 เพราะว่าพระเจ้าทรงดลใจเขาให้กระทำตามพระทัยของพระองค์ โดยการทรงทำให้พวกเขามีความคิดอย่างเดียวกัน และมอบอาณาจักรของเขาให้แก่สัตว์ร้ายนั้น จนถึงจะสำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้า

จบ ( 32 )
ปฐก 18.33 เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับอับราฮัมจบลงแล้ว พระเยโฮวาห์ได้เสด็จไปและอับราฮัมก็กลับไปที่อยู่ของตน
อพย 34.33 เมื่อท่านพูดจบแล้วก็ใช้ผ้าคลุมหน้าไว้
กดว 16.31 ต่อมาเมื่อท่านกล่าวบรรดาคำเหล่านี้จบ แผ่นดินใต้ที่เขาเหล่านั้นยืนอยู่ก็แยกออก
พบญ 20.9 เมื่อนายทหารพูดกับประชาชนจบลงแล้ว ก็ให้เลือกตั้งผู้บังคับบัญชากองต่างๆให้เป็นหัวหน้าประชาชน
พบญ 31.24 ต่อมาเมื่อโมเสสเขียนถ้อยคำของพระราชบัญญัตินี้ลงในหนังสือจนจบแล้ว
พบญ 31.30 โมเสสก็ได้กล่าวถ้อยคำในบทเพลงต่อไปนี้ให้เข้าหูประชุมชนอิสราเอลทั้งหมดจนจบ
พบญ 32.45 และเมื่อโมเสสเล่าคำเหล่านี้ทั้งหมดแก่บรรดาคนอิสราเอลจบแล้ว
วนฉ 14.12 แซมสันกล่าวแก่เขาว่า “ให้ข้าพเจ้าทายปริศนาท่านสักข้อหนึ่งเถิด ถ้าทายได้ก่อนจบการเลี้ยงเจ็ดวันนี้ เราจะให้เสื้อป่านสามสิบชุด และเสื้อสามสิบชุดด้วย
2ซมอ 13.36 อยู่มาเมื่อเขาพูดจบลง ดูเถิด ราชโอรสของกษัตริย์ก็มาถึง และได้ร้องไห้เสียงดัง ฝ่ายกษัตริย์ก็กันแสง และบรรดาข้าราชการก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วย
1พกษ 8.54 ครั้นซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐาน และคำวิงวอนทั้งสิ้นนี้ต่อพระเยโฮวาห์แล้ว ก็ทรงลุกขึ้นจากหน้าแท่นบูชาของพระเยโฮวาห์ ที่ซึ่งทรงคุกเข่าพร้อมกับกางพระหัตถ์สู่ฟ้าสวรรค์
2พศด 7.1 เมื่อซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐานของพระองค์แล้ว ไฟได้ลงมาจากฟ้าสวรรค์ไหม้เครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาเสีย และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็เต็มพระนิเวศ
อสร 10.17 พอถึงวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่ง เขาก็จบเรื่องที่ชายทั้งปวงได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ
โยบ 16.3 คำลมๆแล้งๆจะจบสิ้นเมื่อไรหนอ ท่านเป็นอะไรไป ท่านจึงตอบอย่างนี้
โยบ 17.1 “ลมหายใจของข้าได้แตกดับ วันเวลาของข้าก็จบลง หลุมฝังศพพร้อมสำหรับข้าแล้ว
โยบ 31.40 ก็ขอให้มีต้นผักหนามงอกแทนข้าวสาลี และหญ้าสาบแร้งแทนข้าวบาร์เลย์” จบถ้อยคำของโยบ
โยบ 32.4 ฝ่ายเอลีฮูคอยจนโยบพูดจบ เพราะพวกเขาแก่กว่าตน
สดด 72.20 คำอธิษฐานของดาวิด บุตรชายของเจสซี จบเท่านี้
สภษ 10.28 ความหวังของคนชอบธรรมจะจบลงในความยินดี แต่ความมุ่งหวังของความชั่วร้ายก็จะสูญเปล่า
ปญจ 10.13 ถ้อยคำจากปากของเขาเป็นความเขลาตั้งแต่เริ่มปริปาก ตอนจบถ้อยคำนั้นก็เป็นความบ้าบออย่างร้าย
อสย 46.10 ผู้แจ้งตอนจบให้ทราบตั้งแต่เริ่มต้น และแจ้งถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำเลยให้ทราบตั้งแต่กาลโบราณ กล่าวว่า ‘แผนงานของเราจะยั่งยืน และเราจะกระทำให้ความประสงค์ของเราสำเร็จทั้งสิ้น’
ยรม 26.8 และต่อมาเมื่อเยเรมีย์ได้จบคำพูดทั้งสิ้นซึ่งพระเยโฮวาห์ได้บัญชาท่านให้พูดแก่บรรดาประชาชนนั้น พวกปุโรหิตและผู้พยากรณ์และประชาชนทั้งสิ้นได้จับเยเรมีย์กล่าวว่า “เจ้าจะต้องตายแน่
ยรม 43.1 ต่อมาเมื่อเยเรมีย์จบการพูดต่อประชาชนทั้งปวงถึงพระวจนะเหล่านี้ทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลาย ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาได้ทรงใช้ท่านให้ไปพูดพระวจนะทั้งสิ้นนี้กับเขาทั้งหลายนั้นแล้ว
ยรม 51.63 ต่อมาเมื่อท่านอ่านหนังสือนี้จบแล้ว จงเอาหินก้อนหนึ่งมัดติดมันไว้ และโยนมันทิ้งไปกลางแม่น้ำยูเฟรติส
พคค 4.18 มีคนสะกดรอยตามเรา จนพวกเราเดินตามถนนของพวกเราไม่ได้ เบื้องปลายของพวกเราก็ใกล้เข้ามาแล้ว วันเดือนทั้งหลายของพวกเราก็จะจบอยู่ เพราะบั้นปลายของพวกเรามาถึง
อสค 20.17 ถึงกระนั้นก็ดี นัยน์ตาของเราก็ยังปรานีเขา และเรามิได้ทำลายเขา หรือกระทำให้เขาจบสิ้นลงในถิ่นทุรกันดารนั้น
ดนล 9.24 มีเจ็ดสิบสัปดาห์กำหนดไว้สำหรับชนชาติของท่าน และนครบริสุทธิ์ของท่าน เพื่อให้เสร็จสิ้นการละเมิด ให้บาปจบสิ้น และให้ลบความชั่วช้าเพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามา เพื่อประทับตราทั้งนิมิตและคำพยากรณ์ไว้ และเพื่อจะเจิมสถานบริสุทธิ์ที่สุด
มคา 4.13 โอ บุตรสาวศิโยนเอ๋ย จงลุกขึ้นและนวดเถิด เพราะว่าเราจะทำเขาของเจ้าให้เป็นเหล็ก และกีบเท้าของเจ้าให้เป็นทองสัมฤทธิ์ และเจ้าจะตีชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากให้เป็นชิ้นๆ และเราจะมอบสิ่งที่ได้มาถวายแด่พระเยโฮวาห์ มอบสมบัติของเขาทั้งหลายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพิภพจบสิ้น
นฮม 3.3 พลม้าเข้าประจัญบานดาบแวววาวและหอกวาววับ คนถูกฆ่าเป็นก่ายกอง ซากศพกองพะเนิน ร่างคนตายไม่รู้จักจบสิ้น เขาจะสะดุดร่างนั้น
มธ 26.58 แต่เปโตรได้ติดตามพระองค์ไปห่างๆจนถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต แล้วเข้าไปนั่งข้างในกับคนใช้ เพื่อจะดูว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร
ลก 11.1 ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง พอจบแล้วสาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอสอนพวกข้าพระองค์ให้อธิษฐาน เหมือนยอห์นได้สอนพวกศิษย์ของตน”
กจ 15.13 ครั้นจบแล้วและนิ่งอยู่ ยากอบจึงกล่าวว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า
1ทธ 1.4 ทั้งไม่ให้เขาใส่ใจในเรื่องนิยายต่างๆและเรื่องลำดับวงศ์ตระกูลอันไม่รู้จบ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปัญหามากกว่าให้เกิดความจำเริญในทางของพระเจ้า อันดำเนินไปด้วยความเชื่อ ก็จงกระทำดังนั้น

จม ( 28 )
อพย 15.4 พระองค์ทรงเหวี่ยงรถรบ และโยนพลโยธาของฟาโรห์ลงในทะเล นายทหารรถรบชั้นยอดของฟาโรห์ก็จมในทะเลแดง
อพย 15.5 น้ำท่วมเขา เขาจมลงในทะเลที่ลึกประดุจก้อนหิน
อพย 15.10 พระองค์ทรงบันดาลให้ลมพัดมา น้ำทะเลก็ท่วมเขามิด เขาจมลงในกระแสน้ำอันไหลแรงนั้นเหมือนตะกั่ว
วนฉ 3.22 ดาบจมเข้าไปหมดทั้งด้าม ไขมันหุ้มดาบไว้ ท่านก็ชักดาบออกจากท้องของท่านไม่ได้ แล้วของโสโครกออกมา
วนฉ 5.27 เขาจมลง เขาล้ม เขานอนที่เท้าของนาง ที่เท้าของนางเขาจมลง เขาล้ม เขาจมลงที่ไหน ที่นั่นเขาล้มลงตาย
1ซมอ 17.49 และดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหินก้อนหนึ่งออกมา แล้วเหวี่ยงหินก้อนนั้นด้วยสายสลิง ถูกคนฟีลิสเตียคนนั้นที่หน้าผาก ก้อนหินจมเข้าไปในหน้าผาก เขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน
2ซมอ 22.40 เพราะพระองค์ทรงคาดเอวข้าพระองค์ไว้ด้วยกำลังเพื่อทำสงคราม พระองค์ทรงกระทำให้พวกที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์จมลงใต้ข้าพระองค์
โยบ 38.6 รากฐานของโลกจมไปอยู่บนอะไร หรือผู้ใดวางศิลามุมเอกของมัน
สดด 9.15 บรรดาประชาชาติได้จมลงในหลุมซึ่งเขาทำไว้ และเท้าของเขาติดตาข่ายซึ่งเขาเองซ่อนดักไว้
สดด 10.10 เขาหมอบลงและย่อตัวลง เพื่อคนยากจนจะจมลงด้วยพวกที่แข็งแรงของเขา
สดด 38.2 เพราะลูกธนูของพระองค์จมเข้าไปในข้าพระองค์ และพระหัตถ์ของพระองค์ลงมาเหนือข้าพระองค์
สดด 69.2 ข้าพระองค์จมอยู่ในเลนลึกไม่มีที่ยืน ข้าพระองค์มาอยู่ในน้ำลึกและน้ำท่วมข้าพระองค์
สดด 69.14 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากจมลงในเลน ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคนที่เกลียดชังข้าพระองค์และจากน้ำลึก
สภษ 2.18 เพราะเรือนของนางจมลงไปสู่ความมรณา และวิถีของนางไปสู่ชาวเมืองผี
ยรม 3.25 ให้เรานอนลงจมในความอายของเรา และให้ความอัปยศคลุมเราไว้ เพราะเราได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ทั้งตัวเราและบรรพบุรุษของเรา ตั้งแต่เราเป็นอนุชนอยู่จนทุกวันนี้ และเราหาได้เชื่อฟังพระสุรเสียงแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราไม่”
ยรม 38.6 เขาจึงจับเยเรมีย์หย่อนลงไปในคุกใต้ดินของมัลคิยาห์บุตรชายฮามเมเลคซึ่งอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์ เขาเอาเชือกหย่อนเยเรมีย์ลงไป ในคุกใต้ดินนั้นไม่มีน้ำ มีแต่โคลน และเยเรมีย์ก็จมลงไปในโคลน
ยรม 38.22 ดูเถิด บรรดาผู้หญิงที่เหลืออยู่ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์จะได้ถูกนำออกไปให้พวกเจ้านายของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และผู้หญิงเหล่านั้นจะว่า ‘เพื่อนทั้งหลายของพระองค์ได้หลอกลวงพระองค์ และได้ชนะพระองค์แล้ว พระบาทของพระองค์จมลงในโคลนแล้ว และเขาทั้งหลายก็หันไปจากพระองค์’
ยรม 51.64 และจงกล่าวว่า ‘บาบิโลนจะจมลงอย่างนี้แหละ จะไม่ลอยขึ้นอีกเลยเนื่องด้วยความร้ายซึ่งเราจะนำมาเหนือเธอ และพวกเขาจะเหน็ดเหนื่อย’” ถ้อยคำของเยเรมีย์มีเพียงนี้
อสค 27.27 ทรัพย์สินของเจ้า ของขายของเจ้า สินค้าของเจ้า ลูกเรือของเจ้า และต้นหนของเจ้า ช่างไม้ประจำของเจ้า ผู้ค้าสินค้าของเจ้า นักรบทั้งสิ้นของเจ้าผู้อยู่ในเจ้าพร้อมกับพรรคพวกทั้งสิ้นของเจ้าที่อยู่ท่ามกลางเจ้า จะจมลงในท้องทะเลในวันล่มจมของเจ้า
อสค 27.34 ในเมื่อเจ้าอับปางเสียด้วยทะเลในห้วงน้ำลึก สินค้าของเจ้าและพรรคพวกทั้งหลายของเจ้าจะได้จมลงพร้อมกับเจ้า
มธ 8.32 พระองค์จึงตรัสแก่ผีเหล่านั้นว่า “ไปเถอะ” ผีเหล่านั้นก็ออกไปเข้าสิงอยู่ในฝูงสุกร ดูเถิด สุกรทั้งฝูงนั้นก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเล และจมน้ำตายจนสิ้น
มธ 14.30 แต่เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็กลัว และเมื่อกำลังจะจมก็ร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย”
ลก 5.7 เขาจึงทำสำคัญแก่ผู้ร่วมงานที่อยู่ในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย เขาก็มาช่วย แล้วได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลำ จนเรือเริ่มจมลง
2คร 2.7 ฉะนั้นท่านทั้งหลายควรจะยกโทษให้ผู้นั้น และปลอบประโลมใจเขาต่างหาก กลัวว่าคนเช่นนั้นจะจมลงในความทุกข์เหลือล้น
1ทธ 6.9 ส่วนคนเหล่านั้นที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในการทดลองและติดบ่วงแร้ว และในตัณหาหลายอย่างอันโฉดเขลาและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องจมลงถึงความพินาศเสื่อมสูญไป
ฮบ 11.29 โดยความเชื่อ พวกอิสราเอลได้ข้ามทะเลแดงเหมือนกับว่าเดินบนดินแห้ง แต่เมื่อพวกอียิปต์ได้ลองเดินข้ามดูบ้าง ก็จมน้ำตายหมด

จมูก ( 21 )
ปฐก 2.7 พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่
ปฐก 7.22 มนุษย์ทั้งปวงผู้ซึ่งมีลมปราณแห่งชีวิตเข้าออกทางจมูก สิ่งสารพัดที่อยู่บนบกตายสิ้น
ปฐก 24.47 แล้วข้าพเจ้าถามนางว่า ‘นางเป็นบุตรสาวของใคร’ นางตอบว่า ‘เป็นบุตรสาวของเบธูเอลบุตรชายของนาโฮร์ ซึ่งนางมิลคาห์กำเนิดให้แก่เขา’ ข้าพเจ้าจึงใส่แหวนที่จมูกของนางแล้วสวมกำไลที่ข้อมือนาง
กดว 11.20 แต่หนึ่งเดือนเต็ม จนเนื้อจะล้นออกมาทางรูจมูกของท่าน จนท่านเอือม เพราะท่านได้ทอดทิ้งพระเยโฮวาห์ผู้อยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย และได้ร้องไห้ต่อพระองค์กล่าวว่า “ไฉนเราจึงได้ออกมาจากอียิปต์”’”
2พกษ 19.28 เพราะเจ้าได้เกรี้ยวกราดต่อเรา และความจองหองของเจ้าได้มาเข้าหูของเรา ฉะนั้นเราจะเอาขอของเราเกี่ยวจมูกเจ้า และบังเหียนของเราใส่ริมฝีปากเจ้า และเราจะหันเจ้ากลับไปตามทางซึ่งเจ้ามานั้น
โยบ 27.3 เพราะลมหายใจยังอยู่ในตัวข้าตราบใด และลมปราณจากพระเจ้ายังอยู่ในรูจมูกของข้าตราบใด
โยบ 40.24 มันจ้องตาดูแม่น้ำ จมูกมันทะลุผ่านบ่วงทั้งหลายได้”
โยบ 41.20 ควันออกมาทางรูจมูกของมันอย่างกับมาจากหม้อหรือหม้อขนาดใหญ่ที่เดือดพล่าน
สดด 115.6 มีหู แต่ฟังไม่ได้ยิน มีจมูก แต่ดมไม่ได้
สภษ 11.22 สตรีงามที่ปราศจากความเฉลียวฉลาด ก็เหมือนห่วงทองคำที่จมูกหมู
สภษ 30.33 เพราะเมื่อกวนน้ำนมก็ได้เนยเหลว เมื่อบีบจมูกก็ได้โลหิต และเมื่อกวนโทโสก็ได้การวิวาท
พซม 7.4 ลำคอของเธอประหนึ่งหอคอยสร้างด้วยงาช้าง เนตรทั้งสองของเธอดุจสระในเมืองเฮชโบนที่ริมประตูเมืองบัทรับบิม จมูกของเธอเหมือนหอแห่งเลบานอนซึ่งมองลงเห็นเมืองดามัสกัส
อสย 2.22 จงตัดขาดจากมนุษย์เสียเถิด ซึ่งในจมูกของเขามีลมหายใจ เพราะเขามีคุณค่าอะไรเล่า
อสย 3.21 แหวนตรา และแหวนจมูก
อสย 37.29 เพราะเจ้าได้เกรี้ยวกราดต่อเรา และความจองหองของเจ้าได้มาเข้าหูของเรา ฉะนั้น เราจะเอาขอของเราเกี่ยวจมูกเจ้า และบังเหียนของเราใส่ริมฝีปากเจ้า และเราจะหันเจ้ากลับไปตามทางซึ่งเจ้ามานั้น
อสย 65.5 ผู้กล่าวว่า ‘ออกไปห่างๆ อย่าเข้ามาใกล้ เพราะข้าบริสุทธิ์กว่าเจ้า’ เหล่านี้เป็นควันอยู่ในจมูกของเรา เป็นไฟซึ่งไหม้อยู่วันยังค่ำ
พคค 4.20 ลมปราณทางจมูกของพวกข้าพเจ้า คือผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้นั้น ก็ตกหลุมพรางของเขาทั้งหลายแล้ว คือพวกเรากล่าวถึงพระองค์ท่านว่า “เราจะดำรงชีวิตของเราท่ามกลางประชาชาติได้ ก็ด้วยอาศัยร่มเงาของพระองค์ท่าน”
อสค 8.17 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “โอ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าได้เห็นแล้วใช่ไหม ที่วงศ์วานยูดาห์กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งเขากระทำอยู่ที่นี่ เป็นสิ่งเล็กน้อยหรือ ด้วยว่าเขากระทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความรุนแรง และกลับมายั่วยุให้เราโกรธแล้ว ดูเถิด เขาทั้งหลายเอากิ่งไม้มาแตะจมูกของเขา
อสค 23.25 และเราจะมุ่งความร้อนรนของเราต่อสู้เจ้า และเขาจะกระทำกับเจ้าด้วยความเกรี้ยวกราด เขาจะตัดจมูกและตัดหูของเจ้าออกเสีย และผู้ที่รอดตายจะล้มลงด้วยดาบ เขาจะจับบุตรชายและบุตรสาวของเจ้า และคนที่รอดตายของเจ้าจะถูกเผาด้วยไฟ
อสค 39.11 ต่อมาในวันนั้น เราจะให้โกกมีสุสานอยู่ในอิสราเอล คือหุบเขาของคนเดินผ่านไปมา ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเล มันจะปิดจมูกของคนเดินผ่านไปมา เพราะว่าโกกและหมู่นิกรทั้งสิ้นของท่านจะถูกฝังไว้ที่นั่น เขาจะเรียกกันว่า หุบเขาฮาโมนโกก
อมส 4.10 “เราให้โรคระบาดอย่างที่เกิดในอียิปต์มาเกิดท่ามกลางเจ้า เราประหารคนหนุ่มของเจ้าเสียด้วยดาบ ทั้งเอาม้าทั้งหลายของเจ้าไปเสีย และกระทำให้ความเน่าเหม็นที่ค่ายของเจ้าคลุ้งเข้าจมูกเจ้า เจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ

จรด ( 1 )
ฮชย 8.1 จงจรดแตรไว้ที่ปากของเจ้า เพราะว่าเขาจะมาดังนกอินทรีเหนือพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา และละเมิดราชบัญญัติของเรา

จรรโลง ( 2 )
นรธ 4.5 แล้วโบอาสบอกว่า “ในวันที่ท่านซื้อที่นาจากมือนาโอมีนั้น ท่านก็จะได้รูธชาวโมอับแม่ม่ายของผู้ตายด้วย เพื่อจะจรรโลงนามของผู้ตายไว้กับมรดกของเขา”
นรธ 4.10 ยิ่งกว่านั้นรูธชาวโมอับแม่ม่ายของมาห์โลนข้าพเจ้าก็ได้มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้า เพื่อจะจรรโลงนามของผู้ตายไว้กับมรดกของเขา เพื่อนามของผู้ตายจะไม่ต้องถูกตัดออกจากพวกพี่น้องของเขา และจากประตูบ้านเกิดเมืองนอนของเขา ท่านทั้งหลายเป็นพยานแล้วในวันนี้”

จรัส ( 1 )
พซม 6.10 “แม่สาวคนนี้เป็นผู้ใดหนอ เมื่อมองลงก็ดังอรุโณทัย แจ่มจรัสดังดวงจันทร์ กระจ่างจ้าดังดวงสุริยัน สง่าน่าเกรงขามดังกองทัพมีธงประจำ”

จริง ( 189 )
ปฐก 3.1 งูนั้นเป็นสัตว์ที่ฉลาดกว่าบรรดาสัตว์ในท้องทุ่งซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ มันกล่าวแก่หญิงนั้นว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าอย่ากินผลจากต้นไม้ทุกชนิดในสวนนี้’”
ปฐก 18.13 พระเยโฮวาห์ตรัสกับอับราฮัมว่า “ทำไมนางซาราห์หัวเราะพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะคลอดบุตรคนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าแก่แล้วจริงๆหรือ’
ปฐก 20.12 ยิ่งกว่านั้นนางเป็นน้องสาวของข้าพระองค์จริงๆ นางเป็นบุตรสาวของบิดาข้าพระองค์ แต่ไม่ใช่บุตรสาวของมารดาข้าพระองค์ และนางได้มาเป็นภรรยาของข้าพระองค์
ปฐก 27.24 ท่านถามว่า “เจ้าเป็นเอซาวบุตรชายของพ่อจริงหรือ” เขาตอบว่า “ใช่ครับ”
ปฐก 37.20 ฉะนั้น มาเถิด บัดนี้ให้พวกเราฆ่ามันเสีย แล้วทิ้งลงไว้ในบ่อบ่อหนึ่ง เราจะว่า ‘สัตว์ร้ายกัดกินมันเสีย’ แล้วเราจะดูว่าความฝันนั้นจะเป็นจริงได้อย่างไร”
ปฐก 42.14 โยเซฟตอบเขาว่า “ที่เราว่า ‘พวกเจ้าเป็นคนสอดแนม’ นั้นจริงแน่ๆ
ปฐก 42.16 พวกเจ้าต้องอยู่ในคุกก่อน ให้คนหนึ่งในพวกเจ้าไปพาน้องชายมา เพื่อพิสูจน์ถ้อยคำของเจ้าว่าเจ้าพูดจริงหรือไม่ มิฉะนั้นโดยพระชนม์ฟาโรห์ พวกเจ้าเป็นคนสอดแนมแน่”
ปฐก 42.20 แล้วพาน้องชายสุดท้องมาหาเรา ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าพวกเจ้าพูดจริง แล้วพวกเจ้าจะไม่ตาย” พวกพี่ชายก็ทำดังนั้น
ปฐก 50.20 สำหรับพวกท่าน พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริง แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดีอย่างที่บังเกิดขึ้นแล้วในวันนี้ คือช่วยชีวิตคนเป็นอันมาก
อพย 4.25 ครั้งนั้นนางศิปโปราห์จึงเอาหินคมตัดหนังที่ปลายองคชาตบุตรชายของตนออกแล้วทิ้งไว้ที่เท้าของโมเสสกล่าวว่า “จริงนะ ท่านเป็นสามีผู้ทำให้โลหิตตก”
อพย 9.35 พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างและไม่ยอมปล่อยชนชาติอิสราเอลไปจริง เหมือนที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้กับโมเสส
อพย 17.7 โมเสสเรียกชื่อตำบลนั้นว่า มัสสาห์ และเมรบาห์ ด้วยเหตุว่า คนอิสราเอลกล่าวหาตน ณ ที่นั้น และลองดีกับพระเยโฮวาห์ว่า “พระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางพวกข้าพเจ้าจริงหรือ”
อพย 22.11 ต้องให้ผู้รับฝากนั้นปฏิญาณตัวต่อเพื่อนบ้านต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์เพื่อดูว่า มือของเขาลักของของเพื่อนบ้านนั้นจริงหรือไม่ แล้วเจ้าของนั้นจะต้องยินยอม ผู้รับฝากนั้นไม่ต้องให้ค่าชดใช้
อพย 23.22 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายเชื่อฟังเสียงของเขาจริงๆ และทำทุกสิ่งตามที่เราสั่งไว้ เราจะเป็นศัตรูต่อศัตรูของพวกเจ้า และจะเป็นปฏิปักษ์ต่อปฏิปักษ์ของพวกเจ้า
กดว 11.23 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์สั้นไปหรือ บัดนี้เจ้าจะเห็นว่าคำของเราจะสำเร็จเพื่อเจ้าจริงหรือไม่”
กดว 12.2 เขาทั้งสองกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสทางโมเสสคนเดียวเท่านั้นจริงหรือ พระองค์ไม่ตรัสทางเราบ้างหรือ” พระเยโฮวาห์ทรงได้ยิน
กดว 13.27 เขาทั้งหลายเล่าให้โมเสสฟังว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ไปถึงแผ่นดินซึ่งท่านใช้ไป มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ที่นั่นจริง และนี่เป็นผลไม้ของเมืองนั้น
พบญ 8.19 และถ้าท่านลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ไปดำเนินตามพระอื่นและปฏิบัตินมัสการพระเหล่านั้น ข้าพเจ้าขอเตือนท่านจริงๆในวันนี้ว่าท่านจะต้องพินาศเป็นแน่
พบญ 9.5 ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังเข้าไปยึดครองแผ่นดินนี้นั้น มิใช่เพราะความชอบธรรมของท่านหรือความสัตย์ธรรมในใจของท่าน แต่เป็นเพราะความชั่วของประชาชาตินี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านต้องขับไล่เขาออกเสียต่อหน้าท่านทั้งหลาย และเพื่อว่าพระองค์จะทรงให้เป็นจริงตามพระวจนะซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน คือต่ออับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ
พบญ 13.2 และหมายสำคัญหรือการมหัศจรรย์ซึ่งเขาบอกท่านนั้นสำเร็จจริง ถ้าเขากล่าวว่า ‘ให้เราติดตามพระอื่นกันเถิด’ ซึ่งเป็นพระที่ท่านไม่รู้จัก ‘และให้เรามาปรนนิบัติพระนั้น’
พบญ 18.22 เมื่อผู้พยากรณ์กล่าวคำในพระนามของพระเยโฮวาห์ ถ้ามิได้เป็นไปจริงตามถ้อยคำของผู้กล่าว ถ้อยคำนั้นมิได้เป็นพระวจนะที่พระเยโฮวาห์ตรัส ผู้พยากรณ์นั้นบังอาจกล่าวเอง ท่านทั้งหลายอย่าเกรงกลัวเขาเลย”
ยชว 2.4 แต่หญิงนั้นได้ซ่อนชายทั้งสองเสียแล้วจึงกล่าวว่า “มีผู้ชายมาหาข้าพเจ้าจริง แต่เขามาจากไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ
วนฉ 6.22 กิเดโอนก็ทราบว่าเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์จริง และกิเดโอนพูดว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าเจ้าข้า บัดนี้ข้าพระองค์ได้เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์ต่อหน้าต่อตา อนิจจาเอ๋ย”
วนฉ 9.15 ต้นหนามจึงตอบต้นไม้เหล่านั้นว่า ‘ถ้าแม้ท่านทั้งหลายจะเจิมตั้งเราให้เป็นกษัตริย์ของเจ้าทั้งหลายจริงๆ จงมาอาศัยใต้ร่มของเราเถิด มิฉะนั้นก็ให้ไฟเกิดจากต้นหนามเผาผลาญต้นสนสีดาร์เลบานอนเสีย’
วนฉ 13.17 มาโนอาห์ถามทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ว่า “ท่านชื่ออะไร เพื่อเมื่อเป็นจริงตามถ้อยคำของท่าน เราจะได้ให้เกียรติแก่ท่าน”
วนฉ 15.2 พ่อตาจึงว่า “ข้าเข้าใจจริงๆว่าเจ้าเกลียดชังนางเหลือเกิน ข้าจึงยกนางให้แก่เพื่อนของเจ้าไป น้องสาวของนางก็สวยกว่านางมิใช่หรือ ขอจงรับน้องแทนพี่เถิด”
วนฉ 16.15 นางจึงพูดกับแซมสันว่า “เธอพูดได้อย่างไรว่า ‘ฉันรักเธอ’ เมื่อจิตใจของเธอไม่ได้อยู่กับฉันเลย เธอหลอกฉันสามครั้งแล้ว และเธอมิได้บอกฉันจริงๆว่ากำลังมหาศาลของเธออยู่ที่ไหน”
วนฉ 18.9 เขาตอบว่า “จงลุกขึ้น ให้เราไปรบกับเขาเถิด เพราะเราได้เห็นแผ่นดินนั้นแล้ว และดูเถิด เป็นแผ่นดินดีจริงๆ ท่านทั้งหลายจะไม่ทำอะไรเลยหรือ อย่าชักช้าที่จะไปกันและเข้ายึดครองแผ่นดินนั้น
นรธ 1.18 เมื่อนาโอมีเห็นว่ารูธตั้งใจจะไปด้วยจริงๆแล้ว นางก็ไม่พูดอะไรอีก
1ซมอ 1.11 นางก็ปฏิญาณไว้ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของหญิงผู้รับใช้ของพระองค์จริงๆ และยังระลึกถึงข้าพระองค์ และยังไม่ลืมหญิงผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะทรงประทานบุตรชายแก่หญิงผู้รับใช้ของพระองค์สักคนหนึ่งแล้ว ข้าพระองค์จะถวายเขาไว้แด่พระเยโฮวาห์ตลอดชีวิตของเขา และมีดโกนจะไม่แตะต้องศีรษะของเขาเลย”
1ซมอ 12.20 และซามูเอลกล่าวแก่ประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายได้กระทำความชั่วนี้ทั้งสิ้นจริงๆแล้ว แต่ท่านทั้งหลายอย่าหันไปเสียจากการติดตามพระเยโฮวาห์ แต่จงปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ด้วยสิ้นสุดใจของท่าน
1ซมอ 22.15 แล้วข้าพระองค์ได้ทูลขอพระเจ้าเพื่อเขาจริงหรือ เปล่าเลย ขอกษัตริย์อย่าทรงกล่าวโทษสิ่งใดต่อผู้รับใช้ของพระองค์ หรือวงศ์วานของบิดาของข้าพระองค์ทั้งสิ้น เพราะผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ทราบเรื่องนี้เลย ไม่ว่ามากหรือน้อย”
2ซมอ 3.18 บัดนี้จงให้เป็นจริงเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ทรงตรัสเรื่องดาวิดว่า ‘เราจะช่วยอิสราเอลประชาชนของเราด้วยมือของดาวิดผู้รับใช้ของเรา ให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย และให้พ้นจากมือศัตรูทั้งสิ้นของเขา’”
2ซมอ 13.35 โยนาดับจึงกราบทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด ราชโอรสของกษัตริย์กำลังดำเนินมาแล้ว ตามที่ผู้รับใช้ของพระองค์กราบทูลก็เป็นจริงดังนั้น”
2ซมอ 15.8 เพราะว่าผู้รับใช้ของพระองค์ได้ปฏิญาณไว้เมื่อครั้งอยู่ในเมืองเกชูร์ประเทศซีเรียว่า ‘ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงโปรดนำข้าพระองค์มายังกรุงเยรูซาเล็มจริงแล้ว ข้าพระองค์จะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์’”
1พกษ 18.7 เมื่อโอบาดีห์กำลังไปตามทาง ดูเถิด เอลียาห์ได้พบเขา และโอบาดีห์ก็จำท่านได้จึงซบหน้าลงพูดว่า “เอลียาห์ เจ้านายของข้าพเจ้า เป็นตัวท่านเองจริงหรือ”
2พกษ 2.22 ฉะนั้นน้ำจึงดีมาจนถึงทุกวันนี้ จริงตามถ้อยคำซึ่งเอลีชาได้กล่าวนั้น
2พกษ 4.17 แต่หญิงคนนั้นก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งในฤดูนั้นเมื่อครบกำหนดอุ้มท้องจริงตามที่เอลีชาบอกแก่นางไว้
2พกษ 4.44 เขาจึงตั้งอาหารไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เขาทั้งหลายก็รับประทาน และยังเหลืออยู่จริงตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์
1พศด 5.1 บุตรชายของรูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอล (เขาเป็นบุตรหัวปีก็จริง แต่เพราะเขาได้กระทำให้ที่นอนของบิดาของเขามีมลทิน สิทธิบุตรหัวปีของเขาจึงตกอยู่กับบุตรชายของโยเซฟผู้เป็นบุตรชายอิสราเอล แต่โยเซฟมิได้ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสายตามสิทธิบุตรหัวปี
1พศด 16.19 เมื่อเจ้าทั้งหลายยังมีคนจำนวนน้อย จำนวนน้อยจริง ยังเป็นแต่คนอาศัยอยู่ในนั้น
1พศด 29.19 ขอพระองค์ทรงโปรดซาโลมอนบุตรชายของข้าพระองค์ให้มีจิตใจจริงที่จะรักษาบรรดาพระบัญญัติของพระองค์ พระโอวาทของพระองค์ และกฎเกณฑ์ของพระองค์ และให้กระทำทุกอย่างเหล่านี้ และสร้างนิเวศตามซึ่งข้าพระองค์ได้ตระเตรียมไว้แล้วนั้น”
2พศด 1.9 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า ขอให้พระสัญญาของพระองค์ที่มีต่อดาวิดเสด็จพ่อของข้าพระองค์เป็นจริง ณ บัดนี้ เพราะพระองค์ได้ทรงตั้งให้ข้าพระองค์เป็นกษัตริย์เหนือชนชาติที่มากอย่างผงคลีแห่งแผ่นดินโลก
โยบ 6.25 คำซื่อตรงมีอำนาจมากจริงๆ แต่คำติเตียนของท่านติเตียนอะไร
โยบ 9.2 “จริงทีเดียว ข้าทราบว่าเป็นอย่างนั้น แต่คนเราจะชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร
โยบ 19.4 ถ้าแม้ว่าข้าหลงทำผิดจริง ความผิดของข้าก็อยู่กับข้า
โยบ 19.5 ถ้าท่านทั้งหลายจะผยองเพราะข้าจริง และใช้ความต่ำต้อยของข้าปรักปรำข้า
โยบ 22.12 พระเจ้ามิได้ทรงสถิตอยู่ ณ ที่สูงในฟ้าสวรรค์หรือ ดูดาวที่สูงที่สุดเถิด มันสูงจริง
โยบ 26.2 “ท่านได้ช่วยผู้ไม่มีกำลังมากจริงหนอ ท่านได้ช่วยแขนที่ไม่มีแรงแล้วหนอ
โยบ 26.3 ท่านให้คำปรึกษาแก่คนที่ไม่มีสติปัญญา และได้ให้ความรู้มากที่สัมฤทธิ์ผล จริงหนอ
สดด 65.4 สุขจริงหนอ ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกและนำมาใกล้ให้พำนักอยู่ในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะอิ่มเอิบด้วยความดีแห่งพระนิเวศของพระองค์ คือพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์
สดด 73.18 จริงละ พระองค์ทรงวางเขาไว้ในที่ลื่น พระองค์ทรงกระทำให้เขาล้มถึงความพินาศ
สดด 73.19 เขาถูกนำไปสู่การรกร้างในครู่เดียวเสียจริงๆ เขาถูกครอบงำด้วยความสยดสยองอย่างสิ้นเชิง
สดด 73.27 เพราะดูเถิด บุคคลผู้ห่างเหินจากพระองค์จะพินาศ พระองค์ทรงให้บุคคลที่ไม่จริงต่อพระองค์ดับไป
สดด 84.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ที่ประทับของพระองค์เป็นที่รักจริง
สดด 89.33 แต่จะไม่ถอนความเมตตาของเราไปจากเขา หรือไม่จริงต่อความสัตย์สุจริตของเรา
สดด 89.43 จริงทีเดียว พระองค์ทรงหันคมดาบของท่าน และพระองค์มิได้ทรงกระทำให้ท่านตั้งมั่นอยู่ในสงคราม
สดด 104.24 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระราชกิจของพระองค์มากมายจริงๆ พระองค์ทรงสร้างการงานนั้นทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติของพระองค์
สดด 105.12 เมื่อเขายังมีคนจำนวนน้อย จำนวนน้อยจริง ยังเป็นแต่คนอาศัยอยู่ในนั้น
สดด 111.9 พระองค์ทรงใช้การไถ่ให้มายังประชาชนของพระองค์ พระองค์ทรงบัญชาพันธสัญญาของพระองค์เป็นนิตย์ พระนามของพระองค์บริสุทธิ์และน่าคร้ามกลัวจริง
สดด 119.97 โอ ข้าพระองค์รักพระราชบัญญัติของพระองค์จริงๆ เป็นคำรำพึงของข้าพระองค์วันยังค่ำ
สดด 119.103 พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริงๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์
สดด 119.151 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แต่พระองค์ทรงสถิตใกล้ และพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ก็จริง
สดด 139.17 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระดำริของพระองค์ประเสริฐแก่ข้าพระองค์จริงๆ รวมกันเข้าก็ไพศาลนักหนา
สภษ 3.13 มนุษย์ผู้ประสบปัญญาและผู้ได้ความเข้าใจ เป็นสุขจริงหนอ
สภษ 5.12 และเจ้าว่า “ข้าเคยเกลียดคำสั่งสอนเสียจริงๆ และจิตใจของข้าดูหมิ่นการตักเตือน
สภษ 12.19 ริมฝีปากที่พูดจริงจะทนอยู่ได้เป็นนิตย์ แต่ลิ้นที่พูดมุสาอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว
สภษ 15.23 คำตอบจากปากที่เหมาะสมก็เป็นความชื่นบานแก่คน คำเดียวที่ถูกกาลเทศะก็ดีจริง
สภษ 22.21 เพื่อให้เจ้าทราบถึงความแน่นอนของถ้อยคำแห่งความจริง เพื่อเจ้าจะได้ให้คำตอบที่จริงแก่ผู้ที่ใช้เจ้าไป
สภษ 30.13 มีคนชั่วอายุหนึ่ง โอ ตาของเขาสูงจริงหนอ และหนังตาของเขาสูงยิ่ง
ปญจ 7.28 ซึ่งจิตใจของข้าพเจ้ายังกำลังหาแล้วหาอีก แต่ข้าพเจ้าหาได้พบปะไม่ ในชายพันคนจะพบชายจริงสักคนหนึ่ง แต่จะหาหญิงแท้สักคนหนึ่งในจำนวนพันคนก็หาไม่พบ
พซม 1.16 ดูเถิด ที่รักของฉัน เธอเป็นคนสวยงามจริงเจ้าค่ะ เธอเป็นคนน่าชมจริงๆ ที่นอนของเราเขียวสด
พซม 7.6 โอ แม่ช่างน่ารัก แม่ช่างชื่นชม เธอนี่ช่างสวยงามต้องตาจริง
พซม 7.9 และขอให้เพดานปากของเธอดุจน้ำองุ่นอย่างดียิ่งสำหรับที่รักของฉัน ดื่มคล่องคอจริงๆ ทำให้ริมฝีปากของคนที่หลับอยู่พูดได้
อสย 10.30 โอ ธิดาของกัลลิมเอ๋ย ส่งเสียงร้องซี ให้เขายินได้ในไลชาห์เถิด โอ อานาโธทเอ๋ย น่าสงสารจริง
อสย 16.6 เราได้ยินถึงความเย่อหยิ่งของโมอับ ว่าเขาหยิ่งเสียจริงๆ ถึงความจองหองของเขา ความเย่อหยิ่งของเขา และความโกรธของเขา แต่คำโกหกของเขาจะไม่สำเร็จ
อสย 43.9 ให้บรรดาประชาชาติประชุมพร้อมกัน และให้ชนชาติทั้งหลายชุมนุมกัน ในท่ามกลางเขามีผู้ที่แจ้งอย่างนี้ได้ และเล่าสิ่งล่วงแล้วให้เราฟังได้ ให้เขาทั้งหลายนำพยานของเขามาพิสูจน์ตัวเขา และให้เขาได้ยินและกล่าวว่า “จริงแล้ว”
ยรม 4.2 และถ้าเจ้าปฏิญาณอย่างสัจจริง อย่างยุติธรรม และอย่างชอบธรรมว่า ‘ตราบใดที่พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่’ แล้วบรรดาประชาชาติจะให้พรกันในพระนามพระองค์ และเขาทั้งหลายจะอวดพระองค์”
ยรม 7.5 เพราะว่า ถ้าเจ้าซ่อมพฤติการณ์และการกระทำของเจ้าจริงๆ ถ้าเจ้าให้ความยุติธรรมระหว่างคนหนึ่งกับเพื่อนบ้านของเขาจริง
ยรม 22.4 เพราะถ้าท่านกระทำสิ่งนี้จริงๆแล้วจะมีกษัตริย์ผู้ประทับบนพระที่นั่งของดาวิดเข้ามาทางประตูของพระราชวังนี้ เสด็จมาโดยรถรบและม้า ทั้งตัวกษัตริย์ บรรดาข้าราชการและประชาชนของท่านนั้น
ยรม 28.6 และเยเรมีย์ผู้พยากรณ์กล่าวว่า “เอเมน ขอพระเยโฮวาห์ทรงกระทำเช่นนั้นเถิด ขอพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ถ้อยคำซึ่งท่านพยากรณ์นั้นเป็นจริง และนำเครื่องใช้แห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์และบรรดาผู้ถูกกวาดไปทั้งสิ้นกลับมาจากบาบิโลนยังที่นี้
ยรม 28.9 ส่วนผู้พยากรณ์ผู้พยากรณ์ว่าจะมีสันติภาพ เมื่อเป็นจริงตามถ้อยคำของผู้พยากรณ์นั้น จึงรู้กันว่าพระเยโฮวาห์ทรงใช้ผู้พยากรณ์นั้นจริง”
ยรม 37.14 และเยเรมีย์ตอบว่า “ไม่จริงเลย ข้าพเจ้ามิได้กำลังหนีไปหาคนเคลเดีย” แต่อิรียาห์ไม่ฟังท่าน และจับเยเรมีย์นำมาหาพวกเจ้านาย
พคค 4.15 คนทั้งหลายร้องบอกเขาว่า “ไปซิ มลทินจริง ไปเถอะ ไป๊ อย่ามาถูกต้องนะ” เมื่อเขาเหล่านั้นหนีไป เป็นคนพเนจร พลเมืองของประชาชาติพูดกันว่า “เขาต้องไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป”
อสค 12.28 เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไปเลย แต่วาจาที่เราลั่นออกมานั้นจะต้องเป็นไปจริง องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อสค 16.30 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า แหมใจของเจ้าเป็นโรครักเสียจริงๆในเมื่อเจ้ากระทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นการกระทำของหญิงแพศยาไพร่ๆ
อสค 28.3 ดูเถิด เจ้าฉลาดกว่าดาเนียลจริง ไม่มีความลับอันใดที่ซ่อนให้พ้นเจ้าได้
อสค 30.9 และในวันนั้นทูตจะลงเรือไปจากเรา เพื่อจะกระทำให้คนเอธิโอเปียที่เลินเล่ออยู่นั้นครั่นคร้าม ความแสนระทมจะมาถึงเขาเหล่านั้น เหมือนในวันกำหนดของอียิปต์ เพราะ ดูเถิด วันนั้นมาถึงจริง
อสค 37.10 ข้าพเจ้าก็พยากรณ์ดังที่ทรงบัญชาแก่ข้าพเจ้า และลมหายใจก็เข้ามาในกระดูกและกระดูกก็มีชีวิต แล้วก็ยืนขึ้น เป็นกองทัพใหญ่โตจริง
ดนล 3.24 ขณะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประหลาดพระทัยทรงลุกขึ้นโดยฉับพลัน พระองค์ตรัสกับองคมนตรีของพระองค์ว่า “เรามัดสามคนโยนเข้าไปกลางไฟมิใช่หรือ” เขาทูลตอบกษัตริย์ว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ จริงพระเจ้าข้า”
ดนล 10.1 ในปีที่สามแห่งรัชกาลไซรัสกษัตริย์แห่งประเทศเปอร์เซีย มีอยู่สิ่งหนึ่งทรงสำแดงแก่ดาเนียล ผู้ได้ชื่อว่าเบลเทชัสซาร์ และสิ่งนั้นก็จริง แต่เวลาที่กำหนดไว้ก็อีกนาน ท่านเข้าใจสิ่งนั้นและมีความเข้าใจในนิมิตนั้น
ศฟย 2.15 นี่เป็นเมืองที่สนุกสนานที่อยู่ได้อย่างไร้กังวล เป็นเมืองที่คิดในใจของตนว่า “ข้านี่แหละ และไม่มีเมืองอื่นใดนอกเหนือจากข้าอีก” มันกลายเป็นเมืองรกร้างเสียจริงๆ เป็นที่อาศัยนอนของสัตว์ป่า ทุกคนที่ผ่านเมืองนี้ไปจะเย้ยหยันและส่ายมือของเขา
ศคย 4.7 โอ ภูเขาใหญ่ เจ้าเป็นอะไรเล่า ต่อหน้าเศรุบบาเบลเจ้าจะเป็นที่ราบ และท่านจะนำศิลาก้อนที่อยู่ยอดออกมาท่ามกลางการโห่ร้องว่า ‘งามจริงพระวิหาร งามจริง’”
มลค 1.13 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้ากล่าวว่า ‘ดูเถิด อย่างนี้น่าอ่อนระอาใจจริง’ แล้วเจ้าก็ทำฮึดฮัดกับเรา เจ้านำเอาสิ่งที่ได้แย่งมา หรือสิ่งที่พิการหรือป่วย ของเหล่านี้แหละเจ้านำมาเป็นของบูชา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะรับของนั้นจากมือของเจ้าได้หรือ
มธ 3.11 เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถือฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ
มธ 5.37 จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไปมาจากความชั่ว
มธ 13.14 คำพยากรณ์ของอิสยาห์ก็สำเร็จในคนเหล่านั้นที่ว่า ‘พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่รับรู้
มธ 14.33 เขาทั้งหลายที่อยู่ในเรือจึงมานมัสการพระองค์ทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงแล้ว”
มธ 15.27 ผู้หญิงนั้นทูลว่า “จริงพระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขนั้นย่อมกินเดนที่ตกจากโต๊ะนายของมัน”
มธ 17.11 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม
มธ 20.23 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มจากถ้วยของเรา และรับบัพติศมาด้วยบัพติศมาที่เราจะรับก็จริง แต่ซึ่งจะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะมอบให้ แต่พระบิดาของเราได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใด ก็จะให้แก่ผู้นั้น”
มธ 21.16 และจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านไม่ได้ยินคำที่เขาร้องหรือ” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ได้ยินแล้ว พวกท่านยังไม่เคยอ่านหรือว่า ‘จากปากของเด็กอ่อนและเด็กที่ยังดูดนม ท่านก็ได้รับคำสรรเสริญอันจริงแท้’”
มธ 23.27 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงามจริงๆ แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและการโสโครกสารพัด
มธ 26.41 จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่เข้าในการทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่เนื้อหนังยังอ่อนกำลัง”
มก 1.8 จริงๆแล้วเราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระองค์นั้นจะให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
มก 5.33 ฝ่ายผู้หญิงนั้นก็กลัวจนตัวสั่น เพราะรู้เรื่องที่เป็นแก่ตัวนั้น จึงมากราบลงทูลแก่พระองค์ตามจริงทั้งสิ้น
มก 7.9 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เหมาะจริงนะ ที่เจ้าทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ถือตามประเพณีของพวกท่าน
มก 7.28 แต่นางทูลตอบพระองค์ว่า “จริงด้วย พระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นย่อมกินเดนอาหารของลูก”
มก 9.12 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย
มก 10.39 เขาทั้งสองทูลตอบพระองค์ว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า “ถ้วยซึ่งเราดื่มท่านจะดื่มก็จริง และรับบัพติศมาด้วยบัพติศมาที่เราจะรับก็จริง
มก 11.23 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดๆจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงลอยไปลงทะเล’ และมิได้สงสัยในใจ แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นไปตามคำสั่งนั้นจริง
มก 11.32 แต่ถ้าเราจะว่า ‘มาจากมนุษย์’” เขากลัวประชาชน เพราะประชาชนถือว่ายอห์นเป็นศาสดาพยากรณ์จริง
มก 12.14 ครั้นมาถึงแล้วก็ทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่า ท่านเป็นคนซื่อสัตย์และมิได้เอาใจผู้ใด เพราะท่านมิได้เห็นแก่หน้าผู้ใด แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆ การที่จะส่งส่วยให้แก่ซีซาร์นั้นถูกต้องตามพระราชบัญญัติหรือไม่
มก 12.32 ฝ่ายธรรมาจารย์คนนั้นทูลพระองค์ว่า “ดีแล้วอาจารย์เจ้าข้า ท่านกล่าวถูกจริงว่าพระเจ้ามีแต่พระองค์เดียว และนอกจากพระองค์แล้วพระเจ้าอื่นไม่มีเลย
มก 13.1 เมื่อพระองค์เสด็จออกจากพระวิหาร มีสาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ดูเถิด ศิลาและตึกเหล่านี้ใหญ่จริง”
มก 14.21 เพราะบุตรมนุษย์จะเสด็จไปตามที่ได้มีคำเขียนไว้ถึงพระองค์นั้นจริง แต่วิบัติแก่ผู้ที่ทรยศบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้นมิได้บังเกิดมาก็จะเป็นการดีต่อคนนั้นเอง”
มก 14.38 ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อท่านจะไม่ต้องถูกการทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่เนื้อหนังยังอ่อนกำลัง”
ลก 3.16 ยอห์นจึงตอบเขาทั้งหลายว่า “เราให้เจ้ารับบัพติศมาด้วยน้ำก็จริง แต่จะมีพระองค์หนึ่งเสด็จมาทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะแก้สายฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์นั้นจะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ
ลก 12.54 และพระองค์ตรัสกับประชาชนอีกว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเมฆเกิดขึ้นในทิศตะวันตก ท่านก็กล่าวทันทีว่า ‘ฝนจะตก’ และก็เป็นอย่างนั้นจริง
ลก 12.55 เมื่อท่านเห็นลมพัดมาแต่ทิศใต้ ท่านก็ว่า ‘จะร้อนจัด’ และก็เป็นจริง
ลก 18.24 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นเขาเป็นทุกข์นัก พระองค์จึงตรัสว่า “คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากจริงหนา
ลก 20.21 คนเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่า ท่านกล่าวและสั่งสอนล้วนแต่ความจริงและมิได้เลือกหน้าผู้ใด แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริง
ลก 23.41 และเราก็สมกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับสมกับการที่เราได้กระทำ แต่ท่านผู้นี้หาได้กระทำผิดประการใดไม่”
ลก 24.34 กำลังพูดกันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริงๆ และได้ปรากฏแก่ซีโมน”
ยน 4.18 เพราะเจ้าได้มีสามีห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง”
ยน 4.19 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นศาสดาพยากรณ์
ยน 5.31 ถ้าเราเป็นพยานถึงตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง
ยน 8.36 เหตุฉะนั้นถ้าพระบุตรจะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไทย ท่านก็จะเป็นไทยจริง
ยน 8.48 พวกยิวจึงทูลตอบพระองค์ว่า “ที่เราพูดว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้น ไม่จริงหรือ”
ยน 9.30 ชายคนนั้นตอบเขาว่า “เออ ช่างประหลาดจริงๆที่พวกท่านไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นมาจากไหน แต่ท่านผู้นั้นยังได้ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอด
กจ 1.5 เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำก็จริง แต่ไม่ช้าไม่นานท่านทั้งหลายจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
กจ 7.1 มหาปุโรหิตจึงถามว่า “เรื่องนี้จริงหรือ”
กจ 10.34 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด
กจ 11.16 แล้วข้าพเจ้าได้ระลึกถึงคำตรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสไว้ว่า ‘ยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำก็จริง แต่ท่านทั้งหลายจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’
กจ 12.15 คนทั้งหลายจึงพูดกับหญิงนั้นว่า “เจ้าเป็นบ้า” แต่หญิงคนนั้นยืนยันว่าเป็นอย่างนั้นจริง เขาทั้งหลายจึงว่า “เป็นทูตสวรรค์ประจำตัวเปโตร”
กจ 17.11 ชาวเมืองนั้นสุภาพกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา ด้วยเขาได้รับพระวจนะด้วยความเต็มใจ และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่า ข้อความเหล่านั้นจะจริงดังกล่าวหรือไม่
กจ 19.4 เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ก็จริง แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซูคริสต์”
กจ 24.8 และสั่งให้โจทก์มาฟ้องเขาต่อหน้าท่าน ถ้าท่านเองจะไต่ถามเขา ท่านจะทราบได้ว่า ข้อกล่าวหาของพวกข้าพเจ้าจริงหรือไม่”
กจ 24.9 ฝ่ายพวกยิวจึงสนับสนุนคำกล่าวหาด้วยยืนยันว่าเป็นจริงอย่างนั้น
กจ 25.11 เพราะถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำผิด หรือได้กระทำอะไรที่ควรจะมีโทษถึงตาย ข้าพเจ้าก็ยอมตายไม่ขัดขืน แต่ถ้าเรื่องที่เขาฟ้องข้าพเจ้านั้นไม่จริงแล้ว ไม่มีผู้ใดมีอำนาจจะมอบข้าพเจ้าให้เขาได้ ข้าพเจ้าขออุทธรณ์ถึงซีซาร์”
กจ 28.26 ว่า ‘จงไปหาชนชาตินี้และกล่าวว่า พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่สังเกต
รม 2.25 ถ้าท่านรักษาพระราชบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัตก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดพระราชบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย
รม 7.13 ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่ดีกลับทำให้ข้าพเจ้าต้องตายหรือ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย บาปต่างหาก คือบาปซึ่งอาศัยสิ่งที่ดีนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องตาย เพื่อจะให้ปรากฏว่าบาปนั้นเป็นบาปจริงและโดยอาศัยพระบัญญัตินั้น บาปก็ปรากฏว่าชั่วร้ายยิ่งนัก
รม 7.24 โอ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจจริง ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ได้
รม 8.9 ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆแล้ว ท่านก็มิได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง แต่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ แต่ถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์
รม 10.18 ข้าพเจ้าถามว่า “เขาทั้งหลายไม่ได้ยินหรือ” เขาได้ยินแล้วจริงๆ ‘เสียงของพวกเขากระจายออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำของพวกเขาประกาศออกไปถึงที่สุดปลายพิภพ’
รม 14.20 อย่าทำลายงานของพระเจ้าเพราะเรื่องอาหารเลย ทุกสิ่งทุกอย่างปราศจากมลทินก็จริง แต่ผู้ใดที่กินอาหารซึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นหลงผิด ก็มีความผิดด้วย
รม 15.27 พวกศิษย์เหล่านั้นพอใจที่จะทำเช่นนั้นจริงๆและพวกเขาก็เป็นหนี้วิสุทธิชนเหล่านั้นด้วย เพราะว่าถ้าเขาได้รับคนต่างชาติเข้าส่วนในการฝ่ายจิตวิญญาณ ก็เป็นการสมควรที่พวกต่างชาตินั้นจะได้ปรนนิบัติศิษย์เหล่านั้นด้วยสิ่งของฝ่ายเนื้อหนัง
1คร 1.28 พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อย และสิ่งที่ถูกดูหมิ่น ทั้งทรงเลือกสิ่งเหล่านั้นซึ่งยังมิได้เกิดเป็นตัวจริงด้วย เพื่อจะได้ทำลายสิ่งซึ่งเป็นตัวจริงอยู่แล้ว
1คร 2.6 เรากล่าวถึงเรื่องปัญญาในหมู่คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็จริง แต่มิใช่เรื่องปัญญาของโลกนี้ หรือเรื่องปัญญาของอำนาจครอบครองในโลกนี้ซึ่งจะเสื่อมสูญไป
1คร 4.8 ท่านทั้งหลายอิ่มหนำแล้วหนอ ท่านมั่งมีแล้วหนอ ท่านได้ครองเหมือนกษัตริย์โดยไม่มีเราร่วมด้วยแล้วหนอ ข้าพเจ้ามีความปรารถนาให้ท่านทั้งหลายได้ขึ้นครองจริงๆเพื่อเราจะได้ขึ้นครองกับท่าน
1คร 8.7 มิใช่ว่าทุกคนมีความรู้อย่างนี้ เพราะมีบางคนมีจิตสำนึกผิดชอบเรื่องรูปเคารพว่า เมื่อได้กินอาหารนั้นก็ถือว่าเป็นของบูชาแก่รูปเคารพจริงๆ และจิตสำนึกผิดชอบของเขายังอ่อนอยู่จึงเป็นมลทิน
1คร 14.14 เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานเป็นภาษาต่างๆ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอธิษฐานก็จริง แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่เข้าใจ
2คร 1.19 เพราะว่าพระบุตรของพระเจ้าคือพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพวกเรา คือข้าพเจ้ากับสิลวานัสและทิโมธี ได้ประกาศแก่พวกท่านนั้น ไม่ใช่ จริง ไม่จริง ส่งๆไป แต่โดยพระองค์นั้นล้วนแต่จริงทั้งสิ้น
2คร 1.20 บรรดาพระสัญญาของพระเจ้าก็เป็นจริงโดยพระเยซู เพราะเหตุนี้เราจึงพูดว่าเอเมนโดยพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า
2คร 5.16 เหตุฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามเนื้อหนัง แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามเนื้อหนังก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก
2คร 7.14 เพราะถ้าข้าพเจ้าได้อวดเรื่องพวกท่านแก่ทิตัส ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องละอายใจเลย ทุกสิ่งที่เราได้กล่าวแก่ท่านเป็นความจริงฉันใด สิ่งที่เราได้อวดเรื่องพวกท่านแก่ทิตัสเมื่อก่อนนั้น ก็ปรากฏเป็นจริงเหมือนกันฉันนั้น
2คร 10.3 เพราะว่า ถึงแม้เรายังดำเนินอยู่ในเนื้อหนังก็จริง แต่เราก็ไม่ได้สู้รบตามฝ่ายเนื้อหนัง
2คร 10.10 เพราะมีบางคนพูดว่า “จดหมายของเปาโลนั้นมีน้ำหนักและมีอำนาจมากก็จริง แต่ว่าตัวเขาดูอ่อนกำลัง และคำพูดของเขาก็ใช้ไม่ได้”
2คร 11.1 ข้าพเจ้าอยากจะขอให้ท่านทนฟังความเขลาของข้าพเจ้าสักหน่อยหนึ่ง และให้ทนกับข้าพเจ้าจริง
2คร 11.4 เพราะว่าถ้าคนใดจะมาเทศนาสั่งสอนถึงพระเยซูอีกองค์หนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับที่เราได้เทศนาสั่งสอนนั้น หรือถ้าท่านจะรับวิญญาณอื่นซึ่งแตกต่างกับที่ท่านได้รับแต่ก่อน หรือรับข่าวประเสริฐอื่นซึ่งแตกต่างกับที่ท่านได้รับไว้แล้ว แหมท่านทั้งหลายช่างอดทนสนใจฟังเขาเสียจริง
2คร 12.11 ในการอวดนั้นข้าพเจ้าก็เป็นคนเขลาไปแล้วซี ท่านบังคับข้าพเจ้าให้เป็น เพราะว่าสมควรแล้วที่ท่านจะยกย่องข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ด้อยกว่าอัครสาวกชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นแต่ประการใดเลย ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่วิเศษอะไรเลยก็จริง
กท 3.4 ท่านได้ทนทุกข์มากมายโดยไร้ประโยชน์หรือ ถ้าเป็นการไร้ประโยชน์จริงๆแล้ว
กท 3.21 ถ้าเช่นนั้นพระราชบัญญัติขัดแย้งกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ พระเจ้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะว่าถ้าทรงตั้งพระราชบัญญัติอันสามารถทำให้คนมีชีวิตอยู่ได้ ความชอบธรรมก็จะมีได้โดยพระราชบัญญัตินั้นจริง
ฟป 2.27 เขาป่วยจริงๆ ป่วยจนเกือบจะตาย แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาโปรดเขา และไม่ใช่ทรงโปรดเขาคนเดียว แต่ทรงโปรดข้าพเจ้าด้วย เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ามีความทุกข์ซ้อนทุกข์
ฟป 4.10 แต่ข้าพเจ้ามีใจชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างยิ่ง เพราะว่าในที่สุดท่านก็ได้ฟื้นการระลึกถึงข้าพเจ้าอีก ท่านคิดถึงข้าพเจ้าจริงๆ แต่ยังหาโอกาสไม่ได้
1ธส 3.4 ด้วยว่าเมื่อเราได้อยู่กับท่านทั้งหลาย เราได้บอกท่านไว้ก่อนแล้วว่า เราจะต้องทนการยากลำบาก แล้วก็เป็นจริงอย่างนั้น ตามที่ท่านก็รู้อยู่แล้ว
1ทธ 3.1 คำนี้เป็นคำจริง คือว่าถ้าชายคนใดปรารถนาหน้าที่ศิษยาภิบาล คนนั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ
1ทธ 5.16 ถ้าชายหรือหญิงผู้มีความเชื่อคนใดมีแม่ม่าย ก็ให้เขาช่วยเลี้ยงดู อย่าให้เป็นภาระของคริสตจักรเลย เพื่อคริสตจักรจะได้สงเคราะห์คนที่เป็นแม่ม่ายไร้ที่พึ่งจริง
ฮบ 6.11 และเราปรารถนาให้ท่านทั้งหลายทุกคนแสดงความตั้งใจจริงให้ถึงความมั่นใจอย่างเต็มที่แห่งความหวังนั้นจนถึงที่สุดปลาย
ฮบ 7.18 ด้วยว่าจริงๆแล้วพระบัญญัติที่มีอยู่เดิมนั้น ก็ได้ยกเลิกไป เพราะขาดฤทธิ์และไร้ประโยชน์
ฮบ 9.23 เหตุฉะนั้นจึงจำเป็นต้องชำระแบบจำลองของสวรรค์ โดยใช้เครื่องบูชาอย่างนี้ แต่ว่าของจริงในสวรรค์นั้น ต้องชำระด้วยเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าเครื่องบูชาเหล่านั้น
ฮบ 9.24 เพราะว่าพระคริสต์ไม่ได้เสด็จเข้าในสถานที่บริสุทธิ์ซึ่งสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ อันเป็นแบบจำลองจากของจริง แต่พระองค์ได้เสด็จเข้าไปในสวรรค์นั้นเอง และบัดนี้ทรงปรากฏจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อเราทั้งหลาย
ฮบ 10.1 โดยเหตุที่พระราชบัญญัตินั้นได้เป็นแต่เงาของสิ่งดีที่จะมาภายหน้า มิใช่ตัวจริงของสิ่งนั้นทีเดียว พระราชบัญญัตินั้นจะใช้เครื่องบูชาที่เขาถวายทุกปีๆเสมอมากระทำให้ผู้ถวายสักการบูชานั้นถึงที่สำเร็จไม่ได้
ฮบ 11.1 บัดนี้ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นหลักฐานมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
ฮบ 12.21 สิ่งที่เห็นนั้นน่ากลัวจริงๆจนโมเสสเองก็กล่าวว่า “ข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่น”)
วว 14.13 และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์สั่งข้าพเจ้าว่า “จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้สืบไปคนทั้งหลายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข” และพระวิญญาณตรัสว่า “จริงอย่างนั้น เพื่อเขาจะได้หยุดพักจากความเหนื่อยยากของเขา และการงานที่เขาได้กระทำนั้นจะติดตามเขาไป”
วว 16.7 และข้าพเจ้าได้ยินทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งซึ่งอยู่ที่แท่นบูชาร้องว่า “จริงอย่างนั้น พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด การพิพากษาของพระองค์เที่ยงตรงและชอบธรรมแล้ว”

จริงจัง ( 6 )
2พศด 29.34 แต่มีปุโรหิตน้อยเกินไป จนถลกหนังเครื่องเผาบูชาทั้งหมดไม่ได้ คนเลวีพี่น้องของเขาก็ได้ช่วยจนเสร็จงาน และจนกว่าปุโรหิตคนอื่นจะเสร็จการชำระตนให้บริสุทธิ์ เพราะในการชำระตนนั้นคนเลวีจริงจังยิ่งกว่าพวกปุโรหิต
สดด 78.37 เพราะจิตใจของเขาไม่แน่วแน่ต่อพระองค์ เขาไม่จริงจังต่อพันธสัญญาของพระองค์
1คร 12.31 แต่ท่านทั้งหลายจงกระตือรือร้นอย่างจริงจังบรรดาของประทานอันดีที่สุดนั้น และข้าพเจ้ายังคงแสดงทางที่ยอดเยี่ยมกว่าแก่ท่านทั้งหลาย
ฮบ 6.18 เพื่อด้วยสองประการนั้นที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในที่ซึ่งพระองค์จะตรัสมุสาไม่ได้นั้น เราซึ่งได้หนีมาหาที่ลี้ภัยนั้นจึงจะได้รับการหนุนน้ำใจอย่างจริงจัง ที่จะฉวยเอาความหวังซึ่งมีอยู่ตรงหน้าเรา
ยก 5.17 ท่านเอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีสภาพอารมณ์เช่นเดียวกับเราทั้งหลาย และท่านได้อธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ฝนตก และฝนก็ไม่ตกต้องแผ่นดินเป็นเวลาถึงสามปีกับหกเดือน
ยด 1.3 ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าพากเพียรเขียนถึงท่านทั้งหลายในเรื่องเกี่ยวกับความรอดสำหรับคนทั่วไปนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่า ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเขียนเตือนสติท่านให้ต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งได้ทรงโปรดมอบไว้แก่วิสุทธิชนแล้ว

จริงใจ ( 9 )
ปฐก 24.49 บัดนี้ถ้าท่านยอมแสดงความเมตตาและจริงใจต่อนายข้าพเจ้าแล้ว ขอกรุณาบอกข้าพเจ้า ถ้ามิฉะนั้นก็ขอบอกข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะหันไปทางขวาหรือซ้าย”
ปฐก 47.29 เวลาที่อิสราเอลจะสิ้นชีพก็ใกล้เข้ามาแล้ว ท่านจึงเรียกโยเซฟบุตรชายท่านมาสั่งว่า “ถ้าเดี๋ยวนี้เราได้รับความกรุณาในสายตาของเจ้า เราขอร้องให้เจ้าเอามือของเจ้าวางไว้ใต้ขาอ่อนของเรา และปฏิบัติต่อเราด้วยความเมตตากรุณาและจริงใจ ขอเจ้าโปรดอย่าฝังศพเราไว้ในอียิปต์เลย
ยชว 2.14 ชายนั้นจึงตอบนางว่า “ชีวิตของเราเพื่อชีวิตของเจ้าน่ะหรือ ถ้าเจ้าไม่แพร่งพรายธุรกิจนี้แก่ผู้ใด เราจะมีความเมตตาและจริงใจต่อเจ้า เมื่อพระเยโฮวาห์ประทานแผ่นดินนี้แก่เรา”
โยบ 33.3 ถ้อยคำของข้าพเจ้าสำแดงความเที่ยงธรรมแห่งจิตใจ และริมฝีปากของข้าพเจ้าจะกล่าวความรู้อย่างจริงใจ
สภษ 12.22 ริมฝีปากที่พูดมุสาเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเยโฮวาห์ แต่คนทั้งหลายที่ประพฤติอย่างจริงใจเป็นความปีติยินดีของพระองค์
กจ 2.46 เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขาร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและด้วยจริงใจ ทุกวันเรื่อยไป
1ทธ 1.5 แต่จุดประสงค์แห่งพระบัญญัตินั้นก็คือ ความรักซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกอันดี และจากความเชื่ออันจริงใจ
ทต 2.7 ท่านจงสำแดงตนให้เป็นแบบอย่างในการดีทุกสิ่ง ในคำสอนจงแสดงความสุจริต ให้เอาจริงเอาจัง ให้จริงใจ
1ปต 1.22 ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยการเชื่อฟังความจริงโดยพระวิญญาณ จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง

จริงอยู่ ( 2 )
2พกษ 14.10 จริงอยู่ ท่านได้โจมตีเอโดม และพระทัยของท่านก็ทำให้ท่านผยองขึ้น จงพอใจในสง่าราศีของท่านเถิด และอยู่กับบ้าน เพราะไฉนท่านจึงเร้าใจตนเองให้ต่อสู้และรับอันตราย อันจะให้ท่านล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์ด้วย”
คส 2.23 จริงอยู่สิ่งเหล่านี้ดูท่าทีมีปัญญา คือการเต็มใจนมัสการ การถ่อมตัวลง และการทรมานกาย แต่ไม่มีประโยชน์อะไรในการต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง

จลาจล ( 2 )
อสย 22.5 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาทรงมีวันหนึ่ง เป็นวาระจลาจล วาระเหยียบย่ำ และวาระยุ่งเหยิงในที่ลุ่มแห่งนิมิต คือการพังกำแพงลงและโห่ร้องให้แก่ภูเขา
อสย 24.10 เมืองที่จลาจลแตกหักเสียแล้ว บ้านทุกหลังก็ปิดหมด ไม่ให้ใครเข้าไป

จวน ( 18 )
ปฐก 50.5 บิดาให้เราปฏิญาณไว้ โดยกล่าวว่า ‘ดูเถิด พ่อจวนจะตายแล้ว จงเอาศพพ่อไปฝังไว้ในอุโมงค์ที่พ่อได้ขุดไว้สำหรับพ่อ ณ แผ่นดินคานาอัน’ เหตุฉะนั้นบัดนี้ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าขึ้นไปฝังศพบิดาแล้วข้าพเจ้าจะกลับมาอีก”
ปฐก 50.24 โยเซฟจึงบอกพวกพี่น้องว่า “เราจวนจะตายแล้ว และพระเจ้าจะทรงเยี่ยมเยียนพวกท่านเป็นแน่ และจะพาพวกท่านออกไปจากประเทศนี้ให้ถึงแผ่นดินที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ”
พบญ 2.4 และจงบัญชาคนทั้งปวงว่า เจ้าทั้งหลายจวนจะเดินผ่านเขตแดนเมืองพี่น้องของเจ้า คือลูกหลานของเอซาวที่อยู่ตำบลเสอีร์แล้ว และเขาทั้งหลายจะกลัวพวกเจ้า ฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงระวังตัว
พบญ 31.16 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด ตัวเจ้าจวนจะต้องหลับอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว และชนชาตินี้จะลุกขึ้นและเล่นชู้กับพระของคนต่างด้าวแห่งแผ่นดินนี้ ในที่ที่เขาไปอยู่ท่ามกลางนั้น เขาทั้งหลายจะทอดทิ้งเราเสียและหักพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำไว้กับเขา
โยบ 29.13 พรของคนที่จวนพินาศก็มาถึงข้า และข้าเป็นเหตุให้จิตใจของหญิงม่ายร้องเพลงด้วยความชื่นบาน
สภษ 5.14 ข้าจวนจะล้มละลายสู่ความพินาศอยู่รอมร่อ ในหมู่ชุมนุมชนและคนที่ประชุมกันอยู่นั้น”
อสย 7.4 และจงกล่าวแก่เขาว่า ‘จงระวังและสงบใจ อย่ากลัว อย่าให้พระทัยของพระองค์ขลาดด้วยเหตุเศษดุ้นฟืนที่จวนมอดทั้งสองนี้ เพราะความกริ้วอันร้ายแรงของเรซีน และซีเรีย และโอรสของเรมาลิยาห์
มก 11.11 พระเยซูก็เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มและเข้าไปในพระวิหาร เมื่อทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงแล้วเวลาก็จวนค่ำ จึงเสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น
มก 13.4 “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรจะเป็นหมายสำคัญว่าการณ์ทั้งปวงนี้จวนจะสำเร็จ”
ลก 9.51 ต่อมาครั้นจวนเวลาที่พระองค์จะทรงถูกรับขึ้นไป พระองค์ทรงมุ่งพระพักตร์แน่วไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ลก 21.7 เขาทั้งหลายทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าการณ์ทั้งปวงนี้จวนจะบังเกิดขึ้น”
ลก 21.30 เมื่อผลิใบออกแล้ว ท่านทั้งหลายก็เห็นและรู้อยู่เองว่าฤดูร้อนจวนจะถึงแล้ว
ลก 24.29 เขาจึงพูดหน่วงเหนี่ยวพระองค์ว่า “เชิญหยุดพักกับเรา เพราะว่าจวนเย็นแล้ว และวันก็ล่วงไปมาก” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปเพื่อพักอยู่กับเขา
ยน 4.47 เมื่อท่านได้ยินข่าวว่า พระเยซูได้เสด็จมาจากแคว้นยูเดียไปยังแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจึงไปทูลอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จลงไปรักษาบุตรของตน เพราะบุตรจวนจะตายแล้ว
กจ 20.3 พักอยู่ที่นั่นสามเดือน และเมื่อท่านจวนจะลงเรือไปยังแคว้นซีเรีย พวกยิวก็คิดร้ายต่อท่าน ท่านจึงตั้งใจกลับไปทางแคว้นมาซิโดเนีย
กจ 27.33 เมื่อจวนรุ่งเช้าเปาโลจึงวิงวอนคนทั้งปวงให้รับประทานอาหารและกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันที่สิบสี่ที่ท่านทั้งหลายต้องค้างอยู่ในเรือและอดอาหารมิได้รับประทานอะไรเลย
ยก 5.8 ท่านทั้งหลายก็จงอดทนเช่นนั้นเหมือนกัน จงตั้งอกตั้งใจให้ดี ด้วยว่าการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จวนจะถึงอยู่แล้ว
วว 3.2 เจ้าจงระแวดระวังให้ดี และกระตุ้นส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายอยู่แล้วนั้นให้แข็งแรงขึ้น เพราะว่าเราไม่พบการประพฤติของเจ้าดีพร้อมต่อพระพักตร์พระเจ้า

จ่อ ( 2 )
สภษ 23.2 ถ้าเจ้าเป็นคนตะกละ เจ้าจงจ่อมีดไว้ที่คอของเจ้า
อสค 21.15 เพื่อว่าใจของเขาจะละลาย และเพื่อซากปรักหักพังของเขาจะทวีคูณขึ้นอีก เราได้จ่อดาบนั้นไปที่ประตูเมืองทั้งหลายของเขาแล้ว เออ ทำเสียเหมือนอย่างกับฟ้าแลบ เขาขัดมันเพื่อจะเข่นฆ่า

จ๊อกแจ๊ก ( 2 )
อสย 8.19 และเมื่อเขาทั้งหลายจะกล่าวแก่พวกท่านว่า “จงปรึกษากับคนทรงและพ่อมดแม่มดผู้ร้องเสียงจ๊อกแจ๊กและเสียงพึมพำ” ไม่ควรที่ประชาชนจะปรึกษากับพระเจ้าของเขาหรือ ควรเขาจะไปปรึกษาคนตายเพื่อคนเป็นหรือ
อสย 10.14 มือของข้าได้ฉวยทรัพย์สมบัติของชนชาติทั้งหลายเหมือนฉวยรังนก และอย่างคนเก็บไข่ซึ่งละทิ้งไว้ ข้าก็รวบรวมแผ่นดินโลกทั้งสิ้นดังนั้นแหละ และไม่มีผู้ใดขยับปีกมาปก หรืออ้าปากหรือร้องเสียงจ๊อกแจ๊ก”

จ้อง ( 9 )
โยบ 14.16 แต่พระองค์ทรงนับก้าวของข้าพระองค์ พระองค์มิได้ทรงจ้องจับผิดข้าพระองค์หรือ
โยบ 17.2 แน่ละ คนมักเยาะเย้ยก็อยู่รอบข้านี่เอง และตาของข้าก็จ้องอยู่ที่การยั่วเย้าของเขา
โยบ 40.24 มันจ้องตาดูแม่น้ำ จมูกมันทะลุผ่านบ่วงทั้งหลายได้”
สดด 25.15 ตาของข้าพเจ้าจ้องตรงพระเยโฮวาห์เสมอ เพราะพระองค์จะทรงถอนเท้าของข้าพเจ้าออกจากข่าย
สดด 71.10 เพราะบรรดาศัตรูของข้าพระองค์กล่าวร้ายข้าพระองค์ บรรดาผู้ที่จ้องเอาชีวิตของข้าพระองค์ปรึกษากัน
ดนล 7.11 ข้าพเจ้าก็จ้องดู เพราะเสียงพูดใหญ่โตของเขาเล็กนั้น และเมื่อข้าพเจ้าจ้องดูสัตว์ตัวนั้นก็ถูกฆ่า และศพก็ถูกทำลาย มอบให้เผาเสียด้วยไฟ
อมส 9.4 แม้ว่าเขาจะตกไปเป็นเชลยต่อหน้าศัตรูของเขาทั้งหลาย เราจะบัญชาดาบที่นั่น และดาบจะฆ่าเขาเสีย เราจะจ้องมองดูเขาอยู่เป็นการมองร้าย ไม่ใช่มองดี”
มคา 7.3 มือทั้งสองของเขาคอยจ้องแต่สิ่งที่ชั่ว เพื่อจะกระทำด้วยความขยัน เจ้านายและผู้พิพากษาขอสินบน และคนใหญ่คนโตก็เอ่ยถึงความปรารถนาชั่วแห่งจิตใจของเขา ต่างก็สานสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน

จองจำ ( 17 )
ลนต 24.12 เขาจึงจองจำชายคนนั้นไว้จนกว่าน้ำพระทัยของพระเยโฮวาห์จะเป็นที่กระจ่างต่อเขาทั้งหลาย
2พศด 33.11 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงให้ผู้บังคับกองทหารของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาต่อสู้เขาทั้งหลาย ได้จับมนัสเสห์ท่ามกลางพงหนามและจองจำด้วยตรวนและนำพระองค์มายังบาบิโลน
2พศด 36.6 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนเสด็จขึ้นมาต่อสู้กับพระองค์ และจองจำพระองค์ด้วยตรวนเพื่อพาพระองค์ไปยังบาบิโลน
สดด 69.33 เพราะพระเยโฮวาห์ทรงสดับคนขัดสน และมิได้ทรงดูหมิ่นคนของพระองค์ที่ถูกจองจำ
สดด 149.8 เพื่อเอาตรวนล่ามบรรดากษัตริย์ของเขา และเอาเครื่องเหล็กจองจำล่ามบรรดาขุนนางของเขา
กจ 26.31 ครั้นออกไปแล้วจึงพากันพูดว่า “คนนี้มิได้ทำสิ่งใดที่สมควรจะถูกลงโทษถึงตายหรือจองจำไว้”
รม 16.7 ขอฝากความคิดถึงมายังอันโดรนิคัสกับยูนีอัสผู้เป็นญาติของข้าพเจ้า และได้ถูกจองจำร่วมกับข้าพเจ้า เขาเป็นคนมีชื่อเสียงดีในหมู่อัครสาวก ทั้งได้อยู่ในพระคริสต์ก่อนข้าพเจ้าด้วย
อฟ 3.1 เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าเปาโล ผู้ที่ถูกจองจำเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์เพื่อท่านซึ่งเป็นคนต่างชาติ
ฟป 1.7 การที่ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้นเนื่องด้วยท่านทั้งหลายก็สมควรแล้ว เพราะว่าข้าพเจ้ามีท่านในใจของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายได้รับส่วนในพระคุณด้วยกันกับข้าพเจ้า ในการที่ข้าพเจ้าถูกจองจำ และในการกล่าวแก้ และหนุนให้ข่าวประเสริฐนั้นตั้งมั่นคงอยู่
คส 4.3 และอธิษฐานเผื่อเราด้วย เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงโปรดเปิดประตูไว้ให้เราสำหรับพระวาทะนั้น ให้เรากล่าวความลึกลับของพระคริสต์ ที่ข้าพเจ้าถูกจองจำอยู่ก็เพราะเหตุนี้
2ทธ 1.8 เหตุฉะนั้นอย่าละอายคำพยานแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือของตัวข้าพเจ้าที่ถูกจองจำอยู่เพราะเห็นแก่พระองค์ แต่จงมีส่วนในการยากลำบาก เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้า
ฟม 1.10 ข้าพเจ้าขออ้อนวอนท่านด้วยเรื่องโอเนสิมัส ลูกของข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดเมื่อข้าพเจ้าถูกจองจำอยู่
ฟม 1.13 ข้าพเจ้าใคร่จะให้เขาอยู่กับข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้ปรนนิบัติข้าพเจ้าแทนท่าน ในระหว่างที่ข้าพเจ้าถูกจองจำเพราะข่าวประเสริฐนั้น
ฟม 1.23 เอปาฟรัส ผู้ซึ่งถูกจองจำอยู่ด้วยกันกับข้าพเจ้าเพื่อพระเยซูคริสต์ ได้ฝากความคิดถึงมายังท่าน
ฮบ 13.3 จงระลึกถึงคนเหล่านั้นที่ถูกจองจำอยู่ เหมือนหนึ่งว่าท่านทั้งหลายก็ถูกจองจำอยู่กับเขา จงระลึกถึงคนทั้งหลายที่ถูกเคี่ยวเข็ญ เหมือนหนึ่งว่าเป็นตัวของท่านเองซึ่งมีร่างกายเหมือนอย่างเขาด้วย
ยด 1.6 และเหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่ได้รักษาเทวสภาพของตน แต่ได้ละทิ้งถิ่นฐานของตนนั้น พระองค์ก็ได้ทรงจองจำไว้ด้วยโซ่ตรวนอันเป็นนิรันดร์ ขังไว้ในที่มืดจนกว่าจะถึงการพิพากษาในวันสำคัญยิ่งนั้น

จ้องมอง ( 4 )
2พกษ 8.11 และท่านก็เพ่งหน้าจ้องมองเขาแน่นิ่งจนเขาอาย และคนแห่งพระเจ้าก็ร้องไห้
สดด 22.17 ข้าพระองค์นับกระดูกทั้งหลายของข้าพระองค์ได้เป็นชิ้นๆ เขาจ้องมองและยิ้มเยาะข้าพระองค์
พคค 2.16 บรรดาศัตรูของเจ้าได้อ้าปากตะโกนโพนทะนาเจ้า เขาทั้งหลายเย้ยหยันและขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาพากันร้องว่า “พวกเราได้กลืนเมืองนี้แล้ว วันนี้แหละคือวันที่พวกเราได้จ้องมองหา พวกเราได้พบแล้ว พวกเราเห็นแล้ว”
2คร 3.7 แต่ถ้าการปฏิบัติที่นำไปถึงความตายตามตัวอักษรซึ่งได้เขียนและจารึกไว้ที่แผ่นศิลานั้น ยังมีรัศมี จนชนชาติอิสราเอลไม่สามารถจ้องมองหน้าของโมเสสได้เพราะรัศมีจากใบหน้าของท่านซึ่งเป็นรัศมีที่กำลังเสื่อมสูญไป

จองหอง ( 12 )
สดด 94.4 เขาจะพล่ามและพูดอย่างจองหองนานเท่าใด คนกระทำความชั่วช้าทั้งปวงจะโอ้อวดนานเท่าใด
สดด 101.5 บุคคลใดก็ตามใส่ร้ายเพื่อนบ้านของเขาอย่างลับๆ ข้าพระองค์จะขจัดเขาออกเสีย คนที่มีตายโสและใจที่จองหองข้าพระองค์จะไม่ยอมทนด้วย
สภษ 18.12 ใจของคนก็จองหองก่อนถึงการถูกทำลาย แต่ความถ่อมใจเดินอยู่หน้าเกียรติ
อสย 9.9 และประชาชนทั้งสิ้นจะรู้เรื่อง คือเอฟราอิมและชาวสะมาเรีย ผู้กล่าวด้วยความเย่อหยิ่งและด้วยจิตใจจองหอง
อสย 10.12 ต่อมาเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำเร็จพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ที่ภูเขาศิโยนและที่เยรูซาเล็มแล้ว เราจะทรงลงทัณฑ์แก่ผลแห่งจิตใจจองหองของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และสง่าราศีแห่งตายโสของเขา
ยรม 50.29 จงเรียกนักธนูมาต่อสู้กับบาบิโลน คือบรรดาคนที่โก่งธนู จงตั้งค่ายไว้รอบมัน อย่าให้ผู้ใดหนีรอดพ้นไปได้ จงกระทำกับเธอตามการกระทำของเธอ จงกระทำแก่เธออย่างที่เธอได้กระทำแล้ว เพราะเธอจองหองลองดีกับพระเยโฮวาห์ พระองค์ผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
ศฟย 3.11 ในวันนั้น เจ้าจะไม่ถูกกระทำให้อับอายด้วยการกระทำทั้งสิ้นซึ่งเจ้าได้ละเมิดต่อเรา เพราะในเวลานั้นเราจะคัดผู้โอ้อวดเห่อเหิมนั้นออกเสียจากท่ามกลางเจ้า เจ้าจึงจะไม่เย่อหยิ่งจองหองเพราะเหตุภูเขาบริสุทธิ์ของเราอีกต่อไป
รม 1.30 ส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย จองหอง อวดตัว ริทำชั่วอย่างใหม่ ไม่เชื่อฟังบิดามารดา
2คร 12.20 เพราะว่าข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้ามาถึง ข้าพเจ้าอาจจะไม่เห็นพวกท่านเป็นเหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าอยากเห็น และท่านจะไม่เห็นข้าพเจ้าเหมือนอย่างที่ท่านอยากเห็น คือเกรงว่าไม่เหตุใดก็เหตุหนึ่ง จะมีการวิวาทกัน ริษยากัน โกรธกัน มักใหญ่ใฝ่สูง นินทากัน ซุบซิบส่อเสียดกัน จองหองพองตัว และเกะกะวุ่นวายกัน
ยก 4.6 แต่พระองค์ได้ทรงประทานพระคุณเพิ่มขึ้นอีก เหตุฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า ‘พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม’
1ปต 5.5 ในทำนองเดียวกัน ท่านที่อ่อนอาวุโส ก็จงยอมตามผู้อาวุโส อันที่จริงให้ท่านทุกคนคาดเอวไว้ด้วยความถ่อมใจในการปฏิบัติต่อกันและกัน ด้วยว่าพระเจ้าทรงต่อสู้คนเหล่านั้นที่ถือตัวจองหอง แต่พระองค์ทรงประทานพระคุณแก่คนทั้งหลายที่ถ่อมใจลง
วว 18.7 นครนั้นได้เย่อหยิ่งจองหองและมีชีวิตอย่างหรูหรามากเท่าใด ก็จงให้นครนั้นได้รับการทรมานและความระทมทุกข์มากเท่านั้น เพราะว่านครนั้นทะนงใจว่า ‘เราดำรงอยู่ในตำแหน่งราชินี ไม่ใช่หญิงม่าย เราจะไม่ประสบความระทมทุกข์เลย’

จอด ( 9 )
ปฐก 49.13 เศบูลุนจะอาศัยอยู่ที่ท่าเรือริมทะเล เขาจะเป็นท่าจอดเรือ เขตแดนของเขาจะต่อกันไปถึงเมืองไซดอน
วนฉ 5.17 กิเลอาดอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ส่วนดานอาศัยอยู่กับเรือกำปั่นทำไมเล่า อาเชอร์นั่งเฉยอยู่ที่ฝั่งทะเลตั้งบ้านเรือนอยู่ตามท่าจอดเรือของเขา
อสย 23.1 ภาระเกี่ยวกับเมืองไทระ บรรดากำปั่นแห่งทารชิชเอ๋ย จงคร่ำครวญ เพราะว่าเมืองนั้นถูกทำลายร้างเสียแล้ว ไม่มีเรือนหรือท่าจอดเรือ เผยให้เขาทั้งหลายประจักษ์ ณ แผ่นดินคิทธิม
มก 6.53 ครั้นข้ามฟากไปแล้ว เขาจอดเรือที่แคว้นเยนเนซาเรท
ลก 5.2 และพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนั้น แต่ชาวประมงขึ้นจากเรือแล้วกำลังซักอวนอยู่
กจ 21.3 ครั้นแลเห็นเกาะไซปรัสแล้ว เราก็ผ่านเกาะนั้นไปข้างขวา แล่นไปยังแคว้นซีเรีย จอดเรือที่ท่าเมืองไทระ เพราะจะเอาของบรรทุกขึ้นท่าที่นั่น
กจ 27.12 และเพราะว่าท่างามนั้นไม่เหมาะพอที่จะจอดในฤดูหนาว คนส่วนมากจึงตกลงให้ออกทะเลไปจากที่นั่น เพื่อถ้าเป็นได้จะได้ไปให้ถึงเมืองฟีนิกส์ แล้วจะจอดอยู่ที่นั่นตลอดฤดูหนาว เมืองฟีนิกส์นั้นเป็นท่าเรือแห่งเกาะครีต หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือกับเฉียงใต้
กจ 28.12 พวกเราแวะที่เมืองไซราคิ้วส์จอดอยู่ที่นั่นสามวัน

จอนหู ( 1 )
ลนต 19.27 เจ้าอย่ากันผมที่จอนหูหรือกันริมเคราของเจ้า

จอบ ( 3 )
1ซมอ 13.20 แต่คนอิสราเอลทุกคนลงไปยังฟีลิสเตียเพื่อลับเหล็กไถ ผาล ขวานและจอบของเขา
1ซมอ 13.21 แต่พวกเขาคิดค่าลับสำหรับลับจอบ ผาล สามง่าม ขวาน และติดประตัก
อสย 7.25 ส่วนเนินเขาทั้งสิ้นที่เขาเคยขุดด้วยจอบ การกลัวหนามย่อยและหนามใหญ่จะไม่มาที่นั่น แต่เนินเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นที่ซึ่งเขาปล่อยฝูงวัวและที่ซึ่งฝูงแกะจะเหยียบย่ำ”

จอม ( 3 )
พบญ 10.17 เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของพระทั้งหลาย และเป็นจอมของเจ้าทั้งปวง เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์และน่ากลัว ทรงปราศจากอคติ และมิได้ทรงเห็นแก่อามิษสินบน
1พศด 29.11 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ความยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ สง่าราศี ชัยชนะ และความโอ่อ่าตระการเป็นของพระองค์ และบรรดาสิ่งที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์และในแผ่นดินโลกเป็นของพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ราชอาณาจักรเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องเป็นจอมของสิ่งสารพัด
ดนล 8.11 มันพองตัวขึ้นอีก แม้กระทั่งถึงจอมของบริวาร และเครื่องเผาบูชาประจำวันก็ถูกชิงไปเสีย และสถานบริสุทธิ์ของพระองค์ก็ถูกเหวี่ยงลง

จอมกษัตริย์ ( 2 )
อสค 26.7 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลน ผู้เป็นจอมกษัตริย์มายังเมืองไทระจากทิศเหนือ พร้อมทั้งม้าและรถรบกับพลม้าและกองทหารกับคนมากมาย
ดนล 2.37 โอ ข้าแต่กษัตริย์ กษัตริย์จอมกษัตริย์ทั้งหลาย ซึ่งพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ทรงประทานราชอาณาจักร อานุภาพ ฤทธิ์เดชและสง่าราศี

จอมเจ้านาย ( 2 )
ดนล 8.25 ด้วยความฉลาดของท่าน ท่านจะกระทำให้การล่อลวงแพร่หลายขึ้นด้วยน้ำมือของท่าน ท่านจะพองตัวของท่านในใจของท่านเอง ท่านจะทำลายคนมากหลายโดยความสงบ แล้วจะลุกขึ้นต่อสู้กับจอมเจ้านาย แต่ท่านจะต้องถูกหักทำลาย ไม่ใช่ด้วยมือเลย
ฮชย 8.10 เออ แม้ว่าเขาจ้างประชาชาติอื่นมา ไม่ช้าเราจะต้อนเขาให้รวมกัน เขาจะเป็นทุกข์เล็กน้อยเรื่องภาระของกษัตริย์จอมเจ้านาย

จอมทัพ ( 1 )
ยรม 51.27 จงตั้งธงไว้บนแผ่นดิน จงเป่าแตรท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย จงเตรียมประชาชาติทั้งหลายไว้ทำสงครามกับเธอ จงเรียกราชอาณาจักรต่อไปนี้มาสู้กับเธอ อารารัต มินนี และอัชเคนัส จงตั้งจอมทัพไว้ต่อสู้เธอ จงทำม้าขึ้นเหมือนบุ้งคันระเกะระกะ

จอมปลอม ( 1 )
กท 2.4 เพราะเหตุของพี่น้องจอมปลอมที่ได้ลอบเข้ามา เพื่อจะสอดแนมดูเสรีภาพซึ่งเรามีในพระเยซูคริสต์ เพราะพวกเขาหวังจะเอาเราไปเป็นทาส

จอมผู้พิพากษา ( 1 )
วนฉ 11.27 ฉะนี้ข้าพเจ้าจึงมิได้กระทำความผิดต่อท่าน แต่ท่านได้กระทำความผิดต่อข้าพเจ้าในการที่ทำสงครามกับข้าพเจ้า ขอพระเยโฮวาห์จอมผู้พิพากษาเป็นผู้ทรงพิพากษาระหว่างคนอิสราเอลและคนอัมโมนในวันนี้”

จอมพล ( 1 )
วนฉ 5.14 ผู้ที่มีรากอยู่ในอามาเลขได้ลงมาจากเอฟราอิม เขาเดินตามท่านนะ เบนยามินท่ามกลางประชาชนของท่าน ผู้บังคับบัญชาเดินลงมาจากมาคีร์และผู้บันทึกรายงานของจอมพลออกมาจากเศบูลุน

จอมพลโยธา ( 2 )
ยชว 5.14 ผู้นั้นจึงตอบว่า “มิใช่ ที่เรามานี้ก็มาเป็นจอมพลโยธาของพระเยโฮวาห์” ฝ่ายโยชูวาก็กราบลงถึงดินนมัสการแล้วถามว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าท่านจะให้ผู้รับใช้ของท่านกระทำอะไร”
ยชว 5.15 และจอมพลโยธาของพระเยโฮวาห์จึงสั่งโยชูวาว่า “จงถอดรองเท้าออกจากเท้าของเจ้าเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่บริสุทธิ์” โยชูวาก็กระทำตาม

จอมโยธา ( 286 )
1ซมอ 1.3 ฝ่ายชายผู้นี้เคยขึ้นไปจากเมืองของตนทุกปี ไปนมัสการและถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์จอมโยธาที่เมืองชีโลห์ ที่นั่นมีบุตรชายสองคนของเอลีชื่อโฮฟนีและฟีเนหัส ผู้เป็นปุโรหิตแห่งพระเยโฮวาห์
1ซมอ 1.11 นางก็ปฏิญาณไว้ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของหญิงผู้รับใช้ของพระองค์จริงๆ และยังระลึกถึงข้าพระองค์ และยังไม่ลืมหญิงผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะทรงประทานบุตรชายแก่หญิงผู้รับใช้ของพระองค์สักคนหนึ่งแล้ว ข้าพระองค์จะถวายเขาไว้แด่พระเยโฮวาห์ตลอดชีวิตของเขา และมีดโกนจะไม่แตะต้องศีรษะของเขาเลย”
1ซมอ 4.4 เขาจึงใช้คนไปที่เมืองชีโลห์ เพื่อนำหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ประทับระหว่างพวกเครูบ มาจากชีโลห์ บุตรชายทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัส ก็อยู่กับหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้าที่นั่น
1ซมอ 15.2 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ‘เราจะลงโทษอามาเลขในการที่สกัดทางอิสราเอลเมื่อเขาออกจากอียิปต์
1ซมอ 17.45 แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า “ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น
2ซมอ 5.10 และดาวิดทรงเจริญยิ่งๆขึ้นไปเพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาทรงสถิตกับพระองค์
2ซมอ 6.2 และดาวิดก็ทรงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์จากบาอาเลยูดาห์ เพื่อทรงนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่น ซึ่งเรียกตามพระนามคือพระนามของพระเยโฮวาห์จอมโยธาผู้ประทับระหว่างพวกเครูบ
2ซมอ 6.18 และเมื่อดาวิดทรงกระทำการถวายเครื่องเผาบูชาและสันติบูชาสำเร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงถวายอวยพรประชาชนในพระนามของพระเยโฮวาห์จอมโยธา
2ซมอ 7.8 เพราะฉะนั้นบัดนี้เจ้าจงกล่าวแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เราเอาเจ้ามาจากทุ่งหญ้า จากการตามฝูงแพะแกะ เพื่อให้เจ้าเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา
2ซมอ 7.26 ขอพระนามของพระองค์เป็นที่สรรเสริญอยู่เป็นนิตย์ว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงเป็นพระเจ้าเหนืออิสราเอล’ และราชวงศ์ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์จะดำรงอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
2ซมอ 7.27 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธาพระเจ้าของอิสราเอล เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘เราจะสร้างราชวงศ์ให้เจ้า’ เพราะฉะนั้นผู้รับใช้ของพระองค์จึงกล้าหาญที่จะวิงวอนด้วยคำอธิษฐานนี้ต่อพระองค์
1พกษ 18.15 และเอลียาห์กล่าวว่า “พระเยโฮวาห์จอมโยธาผู้ซึ่งข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะแสดงตัวของข้าพเจ้าแก่อาหับในวันนี้แน่”
1พกษ 19.10 ท่านทูลว่า “ข้าพระองค์ร้อนรนเพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธายิ่งนัก เพราะประชาชนอิสราเอลได้ทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ พังแท่นบูชาของพระองค์ลงเสีย และประหารผู้พยากรณ์ของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่ และเขาทั้งหลายแสวงหาชีวิตของข้าพระองค์เพื่อจะเอาไปเสีย”
1พกษ 19.14 ท่านทูลว่า “ข้าพระองค์ร้อนรนเพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธายิ่งนัก เพราะว่าประชาชนอิสราเอลได้ทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ พังแท่นบูชาของพระองค์ลงเสีย และประหารผู้พยากรณ์ของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่ และเขาทั้งหลายแสวงหาชีวิตของข้าพระองค์เพื่อจะเอาไปเสีย”
2พกษ 3.14 และเอลีชาทูลว่า “พระเยโฮวาห์จอมโยธาซึ่งข้าพระองค์ปรนนิบัติทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระองค์มิได้เคารพคารวะต่อพระพักตร์เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระองค์จะไม่มองพระพักตร์พระองค์หรือดูแลพระองค์เลย
2พกษ 19.31 เพราะว่าส่วนคนที่เหลือจะออกไปจากเยรูซาเล็ม และส่วนที่รอดมาจะออกมาจากภูเขาศิโยน ความกระตือรือร้นของพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะกระทำการนี้’
1พศด 11.9 และดาวิดทรงจำเริญยิ่งๆขึ้น เพราะว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงสถิตกับพระองค์
1พศด 17.7 เพราะฉะนั้นบัดนี้เจ้าจงกล่าวแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เราได้เอาเจ้ามาจากทุ่งหญ้า จากการตามฝูงแพะแกะ เพื่อให้เจ้าเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา
1พศด 17.24 และขอพระนามของพระองค์สถาปนาไว้และเกรียงไกรอยู่เป็นนิตย์ ว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงเป็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล คือพระเจ้าแก่อิสราเอล’ และวงศ์ของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์จะถูกสถาปนาไว้ต่อพระพักตร์ของพระองค์
สดด 24.10 กษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศีนั้นคือผู้ใด คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศี เซลาห์
สดด 46.7 พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่ลี้ภัยของพวกเรา เซลาห์
สดด 46.11 พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่ลี้ภัยของพวกเรา เซลาห์
สดด 48.8 เราได้ยินอย่างไร เราก็ได้เห็นอย่างนั้น ในนครแห่งพระเยโฮวาห์จอมโยธา ในนครแห่งพระเจ้าของเรา ซึ่งพระเจ้าจะทรงสถาปนาไว้เป็นนิตย์ เซลาห์
สดด 59.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอล ขอทรงตื่นขึ้นลงโทษบรรดาประชาชาติ ขออย่าทรงเมตตาผู้ละเมิดที่คิดร้ายแม้สักคนเดียว เซลาห์
สดด 69.6 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา ขออย่าให้บรรดาผู้ที่คอยท่าพระองค์ได้รับความอายเพราะข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเจ้าของอิสราเอล ขออย่าให้บรรดาผู้ที่เสาะหาพระองค์ได้ความอัปยศเพราะข้าพระองค์
สดด 80.4 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา พระองค์จะทรงกริ้วต่อคำอธิษฐานของประชาชนของพระองค์นานสักเท่าใด
สดด 80.7 โอ ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้กลับสู่สภาพดี ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสง เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอด
สดด 80.14 โอ ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ขอทรงหันกลับเถิด พระเจ้าข้า ขอทรงมองจากฟ้าสวรรค์และทรงเห็น ขอทรงสนพระทัยในเถาองุ่นนี้
สดด 80.19 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้กลับสู่สภาพดี ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสง เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอดได้
สดด 84.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ที่ประทับของพระองค์เป็นที่รักจริงๆ
สดด 84.3 แม้นกกระจอกก็หาบ้านได้ แล้วและนกนางแอ่นหารังสำหรับตัวมันได้ ที่ที่มันจะตกฟองออกลูก คือที่แท่นบูชาของพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา กษัตริย์และพระเจ้าของข้าพระองค์
สดด 84.8 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา ขอทรงสดับคำอธิษฐานของข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเจ้าของยาโคบ ขอทรงเงี่ยพระกรรณ เซลาห์
สดด 84.12 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา บุคคลที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข
สดด 89.8 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ผู้ใดจะทรงฤทธานุภาพเท่าเทียมพระองค์ ด้วยความสัตย์สุจริตของพระองค์รอบพระองค์
อสย 1.9 ถ้าพระเยโฮวาห์จอมโยธามิได้เหลือคนไว้ให้เราบ้างเล็กน้อยแล้ว เราก็จะได้เป็นเหมือนเมืองโสโดม และจะเป็นเหมือนเมืองโกโมราห์
อสย 1.24 ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของอิสราเอลตรัสว่า “ดูเถิด เราจะระบายความโกรธของเราเหนือศัตรูของเรา และแก้แค้นข้าศึกของเราเสียเอง
อสย 2.12 เพราะว่าวันแห่งพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะสู้สารพัดที่เย่อหยิ่งและสูงส่ง สู้สารพัดที่ถูกยกขึ้นและพวกเขาจะถูกปราบลง
อสย 3.1 เพราะดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงนำออกไปเสียจากเยรูซาเล็มและจากยูดาห์ ซึ่งเครื่องค้ำและเครื่องจุน เครื่องค้ำอันเป็นอาหารทั้งหมด และเครื่องค้ำอันเป็นน้ำทั้งหมด
อสย 3.15 ซึ่งเจ้าได้ทุบชนชาติของเราเป็นชิ้นๆ และได้บดบี้หน้าของคนจนนั้นเจ้าหมายความว่ากระไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
อสย 5.7 เพราะว่าสวนองุ่นของพระเยโฮวาห์จอมโยธาคือวงศ์วานอิสราเอล และคนยูดาห์เป็นหมู่ไม้ที่พระองค์ทรงชื่นพระทัย และพระองค์ทรงมุ่งหวังความยุติธรรม แต่ดูเถิด มีแต่การนองเลือด หวังความชอบธรรม แต่ ดูเถิด เสียงร้องให้ช่วย
อสย 5.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงกล่าวที่หูของข้าพเจ้าว่า “เป็นความจริงทีเดียว บ้านหลายหลังจะต้องรกร้าง บ้านใหญ่บ้านงามจะไม่มีคนอาศัย
อสย 5.16 แต่พระเยโฮวาห์จอมโยธาจะได้รับการเทิดทูนไว้โดยความยุติธรรม และพระเจ้าองค์บริสุทธิ์จะได้ทรงสำแดงความบริสุทธิ์โดยความชอบธรรม
อสย 5.24 ดังนั้นเปลวเพลิงกลืนตอข้าวฉันใด และเพลิงเผาผลาญหญ้าแห้งฉันใด รากของเขาก็จะเป็นเหมือนความเปื่อยเน่า และดอกบานของเขาจะฟุ้งไปเหมือนผงคลีฉันนั้น เพราะเขาทั้งหลายทอดทิ้งพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์จอมโยธา และได้ดูหมิ่นพระวจนะขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
อสย 6.3 ต่างก็ร้องต่อกันและกันว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเยโฮวาห์จอมโยธา แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยสง่าราศีของพระองค์”
อสย 6.5 และข้าพเจ้าว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด และข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในหมู่ชนชาติที่ริมฝีปากไม่สะอาด เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์ คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา”
อสย 8.13 แต่พระเยโฮวาห์จอมโยธานั้นแหละ เจ้าต้องว่าพระองค์บริสุทธิ์ จงให้พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เจ้ายำเกรง จงให้พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เจ้าครั่นคร้าม
อสย 8.18 ดูเถิด ข้าพเจ้าและบุตรผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงประทานแก่ข้าพเจ้า เป็นหมายสำคัญและเป็นการมหัศจรรย์ต่างๆในอิสราเอล จากพระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ทรงประทับบนภูเขาศิโยน
อสย 9.7 เพื่อการปกครองของท่านจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น และสันติภาพจะไม่มีที่สิ้นสุดเหนือพระที่นั่งของดาวิด และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์ ที่จะสถาปนาไว้ และเชิดชูไว้ด้วยความยุติธรรมและด้วยความเที่ยงธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาล ความกระตือรือร้นของพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะกระทำการนี้
อสย 9.13 เพราะประชาชนมิได้หันมาหาพระองค์ผู้ทรงตีเขา มิได้แสวงหาพระเยโฮวาห์จอมโยธา
อสย 9.19 แผ่นดินนั้นก็มืดไปโดยเหตุพระพิโรธของพระเยโฮวาห์จอมโยธา ประชาชนก็จะเหมือนเชื้อเพลิง ไม่มีคนใดจะไว้ชีวิตพี่น้องของตน
อสย 10.16 ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาจะทรงให้โรคผอมแห้งมาในหมู่พวกคนอ้วนพีของเขา ภายใต้เกียรติของเขาจะมีการไหม้ใหญ่โตเหมือนอย่างไฟไหม้
อสย 10.23 เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาจะทรงกระทำให้การเผาผลาญนั้นสิ้นสุดลงตามที่กำหนดไว้แล้วในท่ามกลางแผ่นดินทั้งสิ้น
อสย 10.24 ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “โอ ชนชาติของเราเอ๋ย ผู้อยู่ในศิโยน อย่ากลัวคนอัสซีเรีย เขาจะตีเจ้าด้วยตะบองและจะยกไม้พลองของเขาขึ้นสู้เจ้าอย่างที่ในอียิปต์
อสย 10.26 และพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงเหวี่ยงแส้มาสู้เขา ดังที่พระองค์ทรงโจมตีคนมีเดียน ณ ศิลาโอเรบ และไม้พลองของพระองค์ที่เคยอยู่เหนือทะเล พระองค์จะทรงยกขึ้นอย่างที่ในอียิปต์
อสย 10.33 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยโฮวาห์จอมโยธา จะทรงตัดกิ่งไม้ด้วยกำลังอันน่าคร้ามกลัว ต้นที่สูงยิ่งจะถูกโค่นลงมา และต้นที่สูงจะต้องต่ำลง
อสย 13.4 เสียงอึงอลบนภูเขาดั่งเสียงมวลชนมหึมา เสียงอึงคะนึงของราชอาณาจักรทั้งหลายของบรรดาประชาชาติที่รวมเข้าด้วยกัน พระเยโฮวาห์จอมโยธากำลังระดมพลเพื่อสงคราม
อสย 13.13 เพราะฉะนั้น เราจะกระทำให้ฟ้าสวรรค์สั่นสะเทือน และแผ่นดินโลกจะสะท้านพลัดจากที่ของมัน โดยพระพิโรธของพระเยโฮวาห์จอมโยธา ในวันแห่งความโกรธอันเกรี้ยวกราดของพระองค์
อสย 14.22 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “เพราะเราจะลุกขึ้นสู้กับเขา และจะตัดชื่อกับคนที่เหลืออยู่และลูกหลานออกจากบาบิโลน” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อสย 14.23 “และเราจะกระทำให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอีกาบ้าน และเป็นสระน้ำ และจะกวาดด้วยไม้กวาดแห่งการทำลาย” พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
อสย 14.24 พระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงปฏิญาณว่า “เรากะแผนงานไว้อย่างไร ก็จะเป็นไปอย่างนั้น และเราได้มุ่งหมายไว้อย่างไร ก็จะเกิดขึ้นอย่างนั้น
อสย 14.27 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงมุ่งไว้แล้ว ผู้ใดเล่าจะลบล้างเสียได้ พระหัตถ์ของพระองค์ทรงเหยียดออก และผู้ใดจะหันให้กลับได้
อสย 17.3 ป้อมปราการจะสูญหายไปจากเอฟราอิม และราชอาณาจักรจะสูญหายไปจากดามัสกัสและคนที่เหลืออยู่ของซีเรีย พวกเขาจะเป็นเหมือนสง่าราศีของคนอิสราเอล พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
อสย 18.7 ในครั้งนั้น เขาจะนำของกำนัลมาถวายแด่พระเยโฮวาห์จอมโยธาจากชนชาติที่ถูกกระจัดกระจายและถูกปอกเปลือก จากชนชาติที่เขากลัวตั้งแต่แรก จากประชาชาติที่เข้มแข็งและมักชนะ ซึ่งแผ่นดินของเขามีแม่น้ำแบ่ง ยังสถานที่แห่งพระนามของพระเยโฮวาห์จอมโยธา คือภูเขาศิโยน
อสย 19.4 และเราจะมอบคนอียิปต์ไว้ในมือของนายที่แข็งกระด้าง และกษัตริย์ดุร้ายคนหนึ่งจะปกครองเหนือเขา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
อสย 19.12 พวกท่านอยู่ที่ไหน นักปราชญ์ของท่านอยู่ที่ไหน ให้เขาบอกท่านและให้เขาทำให้แจ้งซิว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธามีพระประสงค์อะไรกับอียิปต์
อสย 19.16 ในวันนั้นอียิปต์จะเป็นเหมือนผู้หญิง จะเกรงกลัวและหวาดกลัวต่อพระหัตถ์ซึ่งพระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงกวัดแกว่งเหนือเขา
อสย 19.17 และแผ่นดินยูดาห์จะเป็นที่หวาดกลัวแก่คนอียิปต์ เมื่อกล่าวชื่อให้คนหนึ่งคนใดเขาก็จะกลัว เพราะพระประสงค์ของพระเยโฮวาห์จอมโยธา ซึ่งทรงประสงค์ต่อเขาทั้งหลาย
อสย 19.18 ในวันนั้นจะมีห้าหัวเมืองในแผ่นดินอียิปต์ซึ่งพูดภาษาของคานาอัน และปฏิญาณต่อพระเยโฮวาห์จอมโยธา เมืองหนึ่งเขาจะเรียกว่า เมืองแห่งการรื้อทำลาย
อสย 19.20 จะเป็นหมายสำคัญและเป็นพยานในแผ่นดินอียิปต์ถึงพระเยโฮวาห์จอมโยธา เพราะเมื่อเขาทั้งหลายร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์เหตุด้วยผู้บีบบังคับเขา พระองค์จะทรงส่งผู้ช่วยผู้ยิ่งใหญ่มาให้เขา และผู้นั้นจะทรงช่วยเขาให้พ้น
อสย 19.25 เป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงอำนวยพระพรว่า “อียิปต์ชนชาติของเราจงได้รับพร และอัสซีเรียผลงานแห่งมือของเรา และอิสราเอลมรดกของเรา”
อสย 21.10 โอ ท่านผู้ถูกนวดและผู้ถูกฝัดของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าได้ยินอะไรจากพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ข้าพเจ้าก็ร้องประกาศแก่ท่านอย่างนั้น
อสย 22.5 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาทรงมีวันหนึ่ง เป็นวาระจลาจล วาระเหยียบย่ำ และวาระยุ่งเหยิงในที่ลุ่มแห่งนิมิต คือการพังกำแพงลงและโห่ร้องให้แก่ภูเขา
อสย 22.12 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาทรงเรียกให้ร่ำไห้และคร่ำครวญ ให้มีศีรษะโล้นและให้คาดตัวด้วยผ้ากระสอบ
อสย 22.14 พระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงสำแดงในหูของข้าพเจ้าว่า “แน่ทีเดียวที่จะไม่ลบความชั่วช้าอันนี้ให้เจ้า จนกว่าเจ้าจะตาย” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้
อสย 22.15 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “ไปเถิด ไปหาผู้รักษาทรัพย์สมบัติคนนี้ คือไปยังเชบนาห์ ผู้ดูแลราชสำนัก และจงพูดกับเขาว่า
อสย 22.25 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ในวันนั้นหมุดที่ปักแน่นอยู่ในที่มั่นจะหลุด มันจะถูกโค่นลงและตกลงมา และภาระที่อยู่บนนั้นจะถูกขจัดออก เพราะพระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้แล้ว”
อสย 23.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงมุ่งหมายไว้เพื่อจะหลู่ความเย่อหยิ่งของสง่าราศีทั้งสิ้น เพื่อหลู่เกียรติของผู้มีเกียรติทั้งสิ้นในแผ่นดินโลก
อสย 24.23 แล้วดวงจันทร์จะอดสู และดวงอาทิตย์จะอับอาย เพราะว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงราชย์บนภูเขาศิโยนและในเยรูซาเล็ม และสง่าราศีจะปรากฏต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของพระองค์
อสย 25.6 บนภูเขานี้พระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงจัดการเลี้ยงสำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลาย เป็นการเลี้ยงด้วยของอ้วนพี เป็นการเลี้ยงด้วยน้ำองุ่นที่ตกตะกอนแล้ว ด้วยของอ้วนพีมีไขมันในกระดูกเต็ม ด้วยน้ำองุ่นตกตะกอนที่กรองแล้ว
อสย 28.5 ในวันนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธา จะเป็นมงกุฎแห่งสง่าราศี และเป็นมงกุฎแห่งความงาม แก่คนที่เหลืออยู่แห่งชนชาติของพระองค์
อสย 28.22 เพราะฉะนั้นบัดนี้อย่าเป็นคนเยาะเย้ย เกลือกว่าพันธะของเจ้าจะเข้มงวดขึ้น เพราะข้าพเจ้าได้ยินกฤษฎีกากำหนดการทำลายเหนือแผ่นดินทั้งสิ้นแล้ว จากองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา
อสย 28.29 เรื่องนี้มาจากพระเยโฮวาห์จอมโยธาด้วย พระองค์มหัศจรรย์นักในการปรึกษา และวิเศษในเรื่องการกระทำ
อสย 29.6 พระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงเยี่ยมเยียนเจ้าด้วยฟ้าร้องและด้วยแผ่นดินไหว และด้วยเสียงกัมปนาท ด้วยพายุและพายุแรงกล้า ด้วยเปลวแห่งเพลิงเผาผลาญ
อสย 31.4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “ดังสิงโตหรือสิงโตหนุ่มคำรามอยู่เหนือเหยื่อของมัน และเมื่อเขาเรียกผู้เลี้ยงแกะหมู่หนึ่งมาสู้มัน มันจะไม่คร้ามกลัวต่อเสียงของเขาทั้งหลาย หรือย่อย่นต่อเสียงอึงคะนึงของเขา ดั่งนั้นแหละพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะเสด็จลงมาเพื่อสู้รบเพื่อภูเขาศิโยนและเพื่อเนินเขาของมัน
อสย 31.5 เหมือนนกบินร่อนอยู่ ดั่งนั้นแหละพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงป้องกันเยรูซาเล็ม พระองค์จะทรงป้องกันและช่วยให้พ้น พระองค์จะทรงเว้นเสีย และสงวนชีวิตไว้
อสย 37.16 “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงประทับระหว่างพวกเครูบ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งบรรดาราชอาณาจักรของแผ่นดินโลก พระองค์แต่องค์เดียว พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
อสย 37.32 เพราะว่าส่วนคนที่เหลือจะออกไปจากเยรูซาเล็ม และส่วนที่รอดมาจะออกมาจากภูเขาศิโยน ความกระตือรือร้นของพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะกระทำการนี้’
อสย 39.5 แล้วอิสยาห์ทูลเฮเซคียาห์ว่า “ขอทรงฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์จอมโยธา
อสย 44.6 พระเยโฮวาห์ พระบรมมหากษัตริย์แห่งอิสราเอล และผู้ไถ่ของเขา พระเยโฮวาห์จอมโยธา ตรัสดังนี้ว่า “เราเป็นผู้ต้นและเราเป็นผู้ปลาย นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้า
อสย 45.13 ด้วยความชอบธรรมเราได้เร้าท่าน และเราจะกระทำทางทั้งสิ้นของท่านให้ตรง ท่านจะสร้างนครของเรา และให้พวกเชลยของเราเป็นอิสระ ไม่ใช่เพื่อสินจ้างหรือเพื่อสินบน” พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
อสย 47.4 พระผู้ไถ่ของเรา พระนามของพระองค์คือ พระเยโฮวาห์จอมโยธา ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล
อสย 48.2 เพราะเขาขนานนามของเขาเองตามนครบริสุทธิ์ และพึ่งอาศัยพระเจ้าของอิสราเอล พระนามของพระองค์ว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธา
อสย 51.15 เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้แบ่งแยกทะเลและคลื่นก็คะนอง พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา
อสย 54.5 เพราะผู้สร้างเจ้าเป็นสามีของเจ้า พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา และองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลเป็นผู้ไถ่ของเจ้า เขาจะเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าของสากลโลก
ยรม 2.19 ความโหดร้ายของเจ้าจะตีสอนเจ้าเอง และการที่เจ้ากลับสัตย์นั้นเองจะตำหนิเจ้า ฉะนั้นเจ้าจงรู้และเห็นเถิดว่า มันเป็นความชั่วและความขมขื่น ซึ่งเจ้าทอดทิ้งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ซึ่งความยำเกรงเรามิได้อยู่ในตัวเจ้าเลย” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ยรม 5.14 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาจึงตรัสดังนี้ว่า “เพราะเจ้าทั้งหลายกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ดูเถิด เราจะทำถ้อยคำของเราที่อยู่ในปากของเจ้าให้เป็นไฟ และชนชาตินี้เป็นฟืน และไฟนั้นจะเผาผลาญเขาเสีย
ยรม 6.6 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “จงโค่นต้นไม้ของเธอลง จงก่อเชิงเทินไว้สู้กรุงเยรูซาเล็ม นี่แหละนครที่ต้องถูกทำโทษ ภายในเธอไม่มีอะไรนอกจากการบีบบังคับ
ยรม 6.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “เขาทั้งหลายจะกวาดชนอิสราเอลที่เหลืออยู่นั้นเสียให้เกลี้ยงอย่างเล็มเถาองุ่น เหมือนคนเก็บผลองุ่นเอามือเก็บผลใส่ในตะกร้าอีกคำรบหนึ่ง”
ยรม 7.3 พระเยโฮวาห์จอมโยธาพระเจ้าของอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า จงซ่อมพฤติการณ์และการกระทำของเจ้าเสีย และเราจะให้เจ้าอาศัยอยู่ในสถานที่นี้
ยรม 7.21 พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า “จงเพิ่มเครื่องเผาบูชาเข้ากับเครื่องสักการบูชาของเจ้า และจงรับประทานเนื้อ
ยรม 8.3 บรรดาคนที่เหลืออยู่จากครอบครัวร้ายนี้ ซึ่งตกค้างอยู่ในสถานที่ทั้งสิ้นซึ่งเราได้ขับไล่เขาไป จะเลือกความตายยิ่งกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้
ยรม 9.7 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะถลุงเขาและทดลองเขา เหตุบุตรสาวประชาชนของเรา เราจะทำอย่างอื่นได้อย่างไร
ยรม 9.15 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล จึงตรัสว่า “ดูเถิด เราจะเลี้ยงชนชาตินี้ด้วยบอระเพ็ด และให้น้ำดีหมีเขาดื่ม
ยรม 9.17 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “จงพิจารณาดู และเรียกนางร้องไห้ให้มา จงให้คนไปตามหญิงที่ชำนาญมา
ยรม 10.16 พระองค์ผู้ทรงเป็นส่วนของยาโคบไม่เหมือนสิ่งเหล่านี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ก่อร่างทุกสิ่งขึ้น และอิสราเอลเป็นตระกูลที่เป็นมรดกของพระองค์ พระเยโฮวาห์จอมโยธาเป็นพระนามของพระองค์
ยรม 11.17 ด้วยว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ได้ปลูกเจ้า ได้ทรงประกาศความร้ายให้ตกแก่เจ้า เพราะความชั่วช้าของวงศ์วานอิสราเอลและวงศ์วานยูดาห์ ซึ่งเขาได้กระทำต่อสู้ตนเอง เพื่อได้ยั่วยุให้เราโกรธ ด้วยการเผาเครื่องหอมถวายแก่พระบาอัล”
ยรม 11.20 แต่ว่า โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม ผู้ทรงทดลองดูทั้งใจและจิต ขอให้ข้าพระองค์แลเห็นการแก้แค้นของพระองค์ตกแก่เขา เพราะข้าพระองค์ได้มอบเรื่องของข้าพระองค์ไว้กับพระองค์แล้ว
ยรม 11.22 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “ดูเถิด เราจะลงโทษเขาทั้งปวง พวกคนหนุ่มจะตายด้วยดาบ บรรดาบุตรชายและบุตรสาวของเขาจะตายด้วยการกันดารอาหาร
ยรม 15.16 เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็กินเสีย พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์ และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าจอมโยธา เพราะว่าเขาเรียกข้าพระองค์ตามพระนามของพระองค์
ยรม 16.9 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้เสียงบันเทิงและเสียงรื่นเริง เสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว ขาดจากสถานที่นี้ต่อสายตาของเจ้าทั้งหลายและในวันของเจ้า
ยรม 19.3 เจ้าจงว่า ‘โอ ข้าแต่บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ และชาวกรุงเยรูซาเล็ม ขอทรงฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาถึงสถานที่นี้ อย่างที่หูของผู้ใดที่ได้ยินจะซ่าไป
ยรม 19.11 และจงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เราจะให้ชนชาตินี้และเมืองนี้แตก เช่นเดียวกับที่คนทำให้ภาชนะของช่างหม้อแตก จนซ่อมแซมไม่ได้อีก เขาจะฝังคนไว้ในโทเฟท จนไม่มีที่อื่นให้ฝังอีก
ยรม 19.15 “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสว่า ดูเถิด เราจะนำสิ่งร้ายทั้งสิ้นซึ่งเราได้บอกกล่าวไว้ให้ตกอยู่บนเมืองนี้ และบรรดาหัวเมืองขึ้นทั้งสิ้น เพราะเขาทั้งหลายได้แข็งคอของเขา ปฏิเสธไม่ฟังถ้อยคำของเรา”
ยรม 20.12 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ทรงทดลองคนชอบธรรม ผู้ทอดพระเนตรทั้งใจและจิต ขอให้ข้าพระองค์ได้เห็นการแก้แค้นของพระองค์เหนือเขาทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ได้ทูลเสนอคดีของข้าพระองค์แล้ว
ยรม 23.15 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธาจึงตรัสเกี่ยวกับเรื่องผู้พยากรณ์เหล่านั้นว่า “ดูเถิด เราจะเลี้ยงเขาด้วยบอระเพ็ด และให้น้ำดีหมีเขาดื่ม เพราะว่าความอธรรมได้ออกไปทั่วแผ่นดินนี้จากผู้พยากรณ์แห่งเยรูซาเล็ม”
ยรม 23.16 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “อย่าฟังถ้อยคำของผู้พยากรณ์ที่พยากรณ์ให้ท่านฟัง เขากระทำให้ท่านไร้สาระ เขากล่าวถึงนิมิตแห่งใจของเขาเอง มิใช่จากพระโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์
ยรม 23.36 แต่เจ้าทั้งหลายอย่าเอ่ยว่า ‘ภาระของพระเยโฮวาห์’ อีกเลย เพราะว่าภาระนั้นเป็นคำของแต่ละคน ด้วยว่าเจ้าได้ผันแปรพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเยโฮวาห์จอมโยธาพระเจ้าของเรา
ยรม 25.8 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธาจึงตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าไม่ฟังถ้อยคำของเรา’
ยรม 25.27 “แล้วเจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงดื่มให้เมาแล้วก็อาเจียน จงล้มลงและอย่าลุกขึ้นอีกเลย เนื่องด้วยดาบซึ่งเราจะส่งมาท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย’
ยรม 25.28 และถ้าเขาปฏิเสธไม่รับถ้วยจากมือของเจ้าดื่ม เจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะต้องดื่ม
ยรม 25.29 เพราะ ดูเถิด เราได้เริ่มทำโทษเมืองซึ่งเรียกตามนามของเราแล้ว และเจ้าจะลอยนวลไปได้โดยไม่ถูกโทษหรือ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าจะลอยนวลไปไม่ได้ เพราะเราจะเรียกดาบเล่มหนึ่งมาเหนือชาวแผ่นดินโลกทั้งสิ้น’
ยรม 25.32 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ‘ดูเถิด ความร้ายจะไปจากประชาชาตินี้ถึงประชาชาตินั้น และลมหมุนใหญ่จะปั่นป่วนขึ้นมาจากส่วนพิภพโลกที่ไกลที่สุด
ยรม 26.18 “มีคาห์ชาวเมืองโมเรเชทได้พยากรณ์ในสมัยเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และกล่าวแก่ประชาชนทั้งสิ้นของยูดาห์ว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เมืองศิโยนจะถูกไถเหมือนกับไถนา กรุงเยรูซาเล็มจะกลายเป็นกองสิ่งปรักหักพัง และภูเขาที่ตั้งของพระนิเวศนั้นจะเป็นเหมือนที่สูงในป่าไม้’
ยรม 27.4 จงฝากคำกำชับเหล่านี้แก่บรรดานายของเขาว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เจ้าจงกล่าวเรื่องต่อไปนี้ให้นายของเจ้าฟังว่า
ยรม 27.18 แต่ถ้าเขาเหล่านั้นเป็นผู้พยากรณ์ และถ้าพระวจนะของพระเยโฮวาห์อยู่กับเขา ก็ขอให้เขาทูลวิงวอนต่อพระเยโฮวาห์จอมโยธาว่า ให้เครื่องใช้ซึ่งยังเหลืออยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และในพระราชวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ และในกรุงเยรูซาเล็ม อย่าให้ไปยังบาบิโลน
ยรม 27.19 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้เกี่ยวกับบรรดาเสา ขันสาคร และขาตั้ง และเครื่องใช้อื่นๆที่เหลืออยู่ในเมืองนี้
ยรม 27.21 พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้เกี่ยวด้วยเรื่องเครื่องใช้ซึ่งยังเหลืออยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ในพระราชวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์และในกรุงเยรูซาเล็ม
ยรม 28.2 “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราได้หักแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลนแล้ว
ยรม 28.14 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เราได้วางแอกเหล็กไว้บนคอบรรดาประชาชาติเหล่านี้ทั้งสิ้น ให้เขาปรนนิบัติเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและเขาทั้งหลายจะปรนนิบัติเขา เพราะเราได้ยกให้เขาแล้วถึงแม้ว่าสัตว์ป่าทุ่งด้วย”
ยรม 29.4 “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้แก่บรรดาผู้เป็นเชลย ผู้ซึ่งเราได้เนรเทศเขาไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงบาบิโลนนั้นว่า
ยรม 29.8 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า อย่ายอมให้ผู้พยากรณ์ของเจ้าทั้งหลาย หรือพวกโหรของเจ้า ผู้อยู่ท่ามกลางหลอกลวงเจ้า และอย่าเชื่อความฝันซึ่งเขาทั้งหลายได้ฝันเห็น
ยรม 29.17 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะส่งดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาดมาเหนือเขาทั้งหลาย และเราจะกระทำให้เขาทั้งหลายเหมือนกับมะเดื่อที่เสียซึ่งเลวมากจนเขารับประทานไม่ได้
ยรม 29.21 “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอล ตรัสดังนี้เกี่ยวกับอาหับบุตรชายของโคลายาห์ และเศเดคียาห์บุตรชายมาอาเสอาห์ ผู้ซึ่งได้พยากรณ์เท็จแก่เจ้าในนามของเรา ดูเถิด เราจะมอบเขาทั้งสองไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และท่านจะฆ่าเขาทั้งสองเสียต่อหน้าต่อตาเจ้า
ยรม 29.25 “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เจ้าได้ส่งจดหมายในนามของเจ้าไปยังประชาชนทั้งปวงผู้อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม และยังเศฟันยาห์บุตรชายมาอาเสอาห์ปุโรหิต และยังปุโรหิตทั้งปวงว่า
ยรม 30.8 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ในวันนั้นเหตุการณ์จะเกิดขึ้น คือเราจะหักแอกจากคอของเจ้าทั้งหลายเสีย และเราจะระเบิดพันธนะของเจ้าเสีย และคนต่างชาติจะไม่ทำให้เขาเป็นทาสอีก
ยรม 31.23 พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า “เมื่อเราจะให้การเป็นเชลยของเขากลับสู่สภาพเดิม เขาจะใช้ถ้อยคำต่อไปนี้ในแผ่นดินของยูดาห์ และในหัวเมืองทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง คือ โอ ที่อยู่แห่งความเที่ยงธรรมเอ๋ย ภูเขาบริสุทธิ์เอ๋ย ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรเจ้า
ยรม 31.35 พระเยโฮวาห์ผู้ทรงให้ดวงอาทิตย์เป็นสว่างกลางวัน และทรงให้ระเบียบตายตัวของดวงจันทร์ และทรงให้บรรดาดวงดาวเป็นสว่างกลางคืน ผู้ทรงกวนทะเลให้คลื่นกำเริบ พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา ตรัสดังนี้ว่า
ยรม 32.14 ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงเอาโฉนดเหล่านี้ไปเสีย ทั้งโฉนดของการซื้อที่ประทับตรากับฉบับที่เปิดนี้ และบรรจุไว้ในภาชนะดินเพื่อจะทนอยู่ได้หลายวัน
ยรม 32.15 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า บ้านเรือนและไร่นาและสวนองุ่นจะมีการถือกรรมสิทธิ์กันอีกในแผ่นดินนี้’
ยรม 32.18 ผู้ทรงสำแดงความเมตตาต่อคนเป็นพันๆ แต่ทรงตอบสนองความชั่วช้าของบิดาให้ตกถึงอกของลูกหลานสืบต่อมา ข้าแต่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและทรงฤทธิ์ พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา
ยรม 33.11 ที่นั่นจะได้ยินเสียงบันเทิงและเสียงรื่นเริง และเสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว และเสียงบรรดาคนเหล่านั้นที่ร้องเพลงอีก ขณะที่เขานำเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญมายังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ว่า ‘จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์จอมโยธา เพราะพระเยโฮวาห์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์’ เพราะเราจะให้พวกเชลยแห่งแผ่นดินนั้นกลับสู่สภาพเดิม พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 33.12 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ในสถานที่นี้ซึ่งเป็นที่รกร้าง ปราศจากมนุษย์และปราศจากสัตว์ และในหัวเมืองทั้งสิ้นของที่นี้ จะเป็นที่อาศัยของผู้เลี้ยงแกะทั้งหลายให้แกะของเขาได้นอนลงอีก
ยรม 35.13 “พระเยโฮวาห์จอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงไปบอกบรรดาผู้ชายของยูดาห์ และบอกชาวกรุงเยรูซาเล็มว่า พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เจ้าจะไม่รับคำสั่งสอนเพื่อจะเชื่อฟังถ้อยคำของเราหรือ
ยรม 35.17 เหตุฉะนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำความร้ายทั้งสิ้นซึ่งเราประกาศไว้มาเหนือยูดาห์ และบรรดาชาวกรุงเยรูซาเล็ม เพราะว่าเราพูดกับเขาทั้งหลายและเขาก็ไม่ฟัง เราได้เรียกเขาและเขาไม่ขานตอบ”
ยรม 35.18 แต่เยเรมีย์ได้พูดกับวงศ์วานเรคาบว่า “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าเจ้าได้เชื่อฟังคำบัญชาของโยนาดับบิดาของเจ้า และถือรักษาข้อบังคับของท่านทั้งสิ้น และกระทำทุกอย่างที่ท่านบัญชาเจ้า
ยรม 35.19 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า โยนาดับบุตรชายเรคาบจะไม่ขัดสนผู้ชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าเราเลยเป็นนิตย์”
ยรม 38.17 แล้วเยเรมีย์ทูลเศเดคียาห์ว่า “พระเยโฮวาห์ พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ถ้าพระองค์จะยอมมอบตัวแก่พวกเจ้านายแห่งกษัตริย์บาบิโลนแล้ว เขาจะไว้ชีวิตของพระองค์ และกรุงนี้จะไม่ต้องถูกไฟเผา พระองค์และวงศ์วานของพระองค์จะมีชีวิตอยู่ได้
ยรม 39.16 “จงไปบอกเอเบดเมเลคคนเอธิโอเปียว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะให้ถ้อยคำของเราที่มีอยู่ต่อกรุงนี้สำเร็จในทางร้ายไม่ใช่ทางดี และจะสำเร็จต่อหน้าเจ้าในวันนั้น
ยรม 42.15 เพราะฉะนั้น บัดนี้ คนยูดาห์ที่เหลืออยู่เอ๋ย ขอฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ถ้าเจ้ามุ่งหน้าจะเข้าอียิปต์และไปอาศัยที่นั่น
ยรม 42.18 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เราเทความกริ้วของเราและความพิโรธของเราลงเหนือชาวเยรูซาเล็มอย่างไร เราจะเทความกริ้วของเราเหนือเจ้าทั้งหลายเมื่อเจ้าจะเข้าไปยังอียิปต์อย่างนั้น เจ้าจะเป็นคำสาป เป็นที่น่าตกตะลึง เป็นคำแช่งและเป็นที่นินทา เจ้าจะไม่เห็นที่นี่อีก
ยรม 43.10 และจงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะใช้และนำเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา และท่านจะตั้งพระที่นั่งของท่านเหนือหินเหล่านี้ ซึ่งเราได้ซ่อนไว้ และท่านจะกางพลับพลาหลวงของท่านเหนือหินเหล่านี้
ยรม 44.2 “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เจ้าทั้งหลายได้เห็นบรรดาเหตุร้ายที่เรานำมาเหนือกรุงเยรูซาเล็ม และเหนือหัวเมืองยูดาห์ทั้งสิ้น ดูเถิด ทุกวันนี้เมืองเหล่านั้นก็เป็นที่รกร้าง ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ในนั้น
ยรม 44.7 เพราะฉะนั้นบัดนี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล จึงตรัสดังนี้ว่า ทำไมเจ้าทั้งหลายจึงทำความชั่วร้ายยิ่งใหญ่นี้แก่จิตใจเจ้าเอง และตัดเอาผู้ชายผู้หญิงทั้งเด็กและเด็กที่ยังดูดนมเสียจากเจ้า เสียจากท่ามกลางยูดาห์ ไม่มีชนที่เหลืออยู่ไว้แก่เจ้าเลย
ยรม 44.11 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล จึงตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะมุ่งหน้าของเราต่อสู้เจ้าให้เกิดการร้าย และจะตัดยูดาห์ออกเสียให้สิ้น
ยรม 44.25 พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ตัวเจ้าและภรรยาของเจ้าได้ยืนยันด้วยปากของเจ้าทั้งหลายเอง และได้กระทำด้วยมือของเจ้าทั้งหลายให้สำเร็จกล่าวว่า ‘เราจะทำตามการปฏิญาณของเราซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้แน่นอน คือเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า’ แล้วก็ดำรงการปฏิญาณของเจ้าและทำตามการปฏิญาณของเจ้าแน่นอน
ยรม 46.10 วันนี้เป็นวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา เป็นวันแห่งการแก้แค้นที่จะแก้แค้นศัตรูของพระองค์ ดาบจะกินจนอิ่ม และดื่มโลหิตของเขาจนเต็มคราบ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาทำการบูชาในแดนเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส
ยรม 46.18 เพราะบรมมหากษัตริย์ ผู้ซึ่งพระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา ตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่ตราบใด เขาทาโบร์อยู่ท่ามกลางภูเขาทั้งหลาย และภูเขาคารเมลอยู่ข้างทะเลฉันใด จะมีผู้หนึ่งมาฉันนั้น
ยรม 46.25 พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสว่า “ดูเถิด เราจะนำการลงโทษมาเหนือเหล่าฝูงชนของโนและฟาโรห์ และอียิปต์และบรรดาพระและกษัตริย์ทั้งปวงของเมืองนั้น ลงเหนือฟาโรห์และคนทั้งหลายที่วางใจในท่าน
ยรม 48.1 เกี่ยวด้วยเรื่องโมอับ พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า “วิบัติแก่เนโบ เพราะเป็นที่ถูกทิ้งร้าง คีริยาธาอิมได้อาย มันถูกยึดแล้ว มิสกาบก็ได้อายและคร้ามกลัว
ยรม 48.15 เมืองโมอับถูกทำลายและขึ้นไปจากหัวเมืองของมันแล้ว และคนหนุ่มๆที่คัดเลือกแล้วของเมืองก็ลงไปสู่การถูกฆ่า พระบรมมหากษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธา ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 49.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า ดูเถิด เราจะนำความสยดสยองมาเหนือเจ้า จากทุกคนที่อยู่รอบตัวเจ้า และเจ้าจะถูกขับไล่ออกไป ชายทุกคนตรงหน้าเขาออกไป และจะไม่มีใครรวบรวมคนลี้ภัยได้
ยรม 49.7 เกี่ยวกับเรื่องเมืองเอโดม พระเยโฮวาห์จอมโยธา ตรัสดังนี้ว่า “สติปัญญาไม่มีในเทมานอีกแล้วหรือ คำปรึกษาพินาศไปจากผู้เฉลียวฉลาดแล้วหรือ สติปัญญาของเขาหายสูญไปเสียแล้วหรือ
ยรม 49.26 เพราะฉะนั้นคนหนุ่มๆของเมืองนั้นจะล้มลงตามถนนทั้งหลายในเมืองนั้น และบรรดาทหารของเมืองนั้นจะถูกตัดออกในวันนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ยรม 49.35 “พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะหักคันธนูของเอลาม ซึ่งเป็นหัวใจแห่งกำลังของเขาทั้งหลาย
ยรม 50.18 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะลงโทษกษัตริย์แห่งบาบิโลนและแผ่นดินของท่าน ดังที่เราได้ลงโทษกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย
ยรม 50.25 พระเยโฮวาห์ได้ทรงเปิดคลังอาวุธของพระองค์ และทรงให้อาวุธแห่งพระพิโรธของพระองค์ออกมา เพราะนี่แหละเป็นพระราชกิจแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาในแผ่นดินแห่งชาวเคลเดีย
ยรม 50.31 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า โอ ผู้จองหองเอ๋ย ดูเถิด เราต่อสู้กับเจ้า เพราะว่าวันเวลาของเจ้ามาถึงแล้ว คือเวลาที่เราจะลงโทษเจ้า
ยรม 50.33 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ประชาชนอิสราเอลและประชาชนยูดาห์ถูกบีบบังคับด้วยกัน บรรดาผู้ที่จับเขาทั้งหลายไปเป็นเชลยได้ยึดเขาไว้มั่น เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไป
ยรม 50.34 พระผู้ไถ่ของเขาทั้งหลายนั้นเข้มแข็ง พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระองค์จะทรงแก้คดีของเขาโดยตลอด เพื่อพระองค์จะประทานความสงบแก่แผ่นดิน แต่ประทานความไม่สงบแก่ชาวเมืองบาบิโลน
ยรม 51.5 เพราะว่าอิสราเอลและยูดาห์มิได้ถูกทอดทิ้งโดยพระเจ้าของเขาทั้งหลายพระเยโฮวาห์จอมโยธา ถึงแม้แผ่นดินของเขาเต็มด้วยความผิดบาปต่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
ยรม 51.14 พระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงปฏิญาณต่อพระองค์เองว่า แน่ละ เราจะให้เจ้ามีคนเต็มเมืองให้มากอย่างตั๊กแตน และเขาทั้งหลายจะเปล่งเสียงโห่ร้องมีชัยเหนือเจ้า
ยรม 51.19 พระองค์ผู้ทรงเป็นส่วนของยาโคบไม่เหมือนสิ่งเหล่านี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ก่อร่างทุกสิ่งขึ้น และอิสราเอลเป็นตระกูลที่เป็นมรดกของพระองค์ พระเยโฮวาห์จอมโยธาเป็นพระนามของพระองค์
ยรม 51.33 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า บุตรสาวแห่งบาบิโลนก็เหมือนลานนวดข้าว ณ เวลาที่เธอถูกเหยียบย่ำ อีกสักประเดี๋ยว เวลาเกี่ยวก็จะมาถึงแล้ว”
ยรม 51.57 เราจะกระทำให้เจ้านายของเธอและนักปราชญ์ของเธอ เจ้าเมืองของเธอ ผู้บังคับบัญชาของเธอ และนักรบของเธอมึนเมา จนเขาทั้งหลายจะนอนหลับอยู่ชั่วกาลนาน ไม่ตื่นเลย พระบรมมหากษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้
ยรม 51.58 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า กำแพงอันกว้างขวางของบาบิโลนจะถูกปราบลงให้เรียบเสมอพื้นดิน และประตูเมืองสูงของเธอจะถูกเผาด้วยไฟ บรรดาประชาชนจะทำงานอย่างไร้ผล และชนชาติทั้งหลายจะเหน็ดเหนื่อยก็เพื่อเผาไฟเสียเท่านั้น”
อมส 3.13 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า “ฟังซิ และเป็นพยานกล่าวโทษวงศ์วานของยาโคบเถิด
อมส 4.13 เพราะดูเถิด พระองค์ผู้ปั้นภูเขาและสร้างลม และทรงประกาศพระดำริของพระองค์แก่มนุษย์ ผู้ทรงกระทำให้รุ่งสว่างกลายเป็นความมืด และทรงดำเนินบนที่สูงของพิภพ พระนามของพระองค์ คือพระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา
อมส 5.14 จงแสวงหาความดี อย่าแสวงหาความชั่ว เพื่อเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ได้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาจึงจะทรงสถิตกับเจ้าดังที่เจ้ากล่าวแล้วนั้น
อมส 5.15 จงเกลียดชังความชั่ว และรักความดี และตั้งความยุติธรรมไว้ที่ประตูเมือง ชะรอยพระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาจะทรงพระกรุณาต่อวงศ์วานโยเซฟที่เหลืออยู่นั้น
อมส 5.16 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ตามถนนทุกสายจะมีการร่ำไห้ และตามบรรดาถนนหลวงจะมีคนพูดว่า ‘อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย’ เขาจะร้องเรียกชาวนาให้ไว้ทุกข์ และให้ผู้ชำนาญเพลงโศกร้องโอดครวญ
อมส 5.27 เพราะฉะนั้น เราจะนำเจ้าให้ไปเป็นเชลย ณ ที่เลยเมืองดามัสกัสไป” พระเยโฮวาห์ ซึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้แหละ
อมส 6.8 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าได้ทรงปฏิญาณต่อพระองค์เองว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า “เราสะอิดสะเอียนความล้ำเลิศของยาโคบ และเกลียดปราสาททั้งหลายของเขา เราจะมอบเมืองนั้นและบรรดาสิ่งสารพัดที่อยู่ในเมืองนั้นเสีย”
อมส 6.14 พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “เพราะ ดูเถิด โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เราจะยกประชาชาติหนึ่งให้ขึ้นต่อสู้เจ้า และเขาจะบีบบังคับเจ้าตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทถึงแม่น้ำแห่งถิ่นทุรกันดาร”
อมส 9.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา พระองค์ผู้ทรงแตะต้องแผ่นดิน และแผ่นดินก็ละลายไป และบรรดาที่อาศัยอยู่ในนั้นก็ไว้ทุกข์ และแผ่นดินนั้นทั้งหมดก็เอ่อขึ้นมาอย่างแม่น้ำ และยุบลงอีกเหมือนแม่น้ำแห่งอียิปต์
มคา 4.4 แต่ต่างก็จะนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นและใต้ต้นมะเดื่อของตน และจะไม่มีใครมากระทำให้เขาสะดุ้งกลัว เพราะพระโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ตรัสอย่างนี้แล้ว
นฮม 2.13 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ดูเถิด เราต่อสู้เจ้า เราจะเผารถรบของเจ้าให้เป็นควัน และดาบจะสังหารสิงโตหนุ่มของเจ้า เราจะตัดเหยื่อของเจ้าเสียจากโลก และจะไม่มีใครได้ยินเสียงผู้สื่อสารของเจ้าอีก
นฮม 3.5 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ดูเถิด เราต่อสู้เจ้า และจะยกกระโปรงของเจ้าคลุมหน้าเจ้า เราจะให้บรรดาประชาชาติมองดูความเปลือยเปล่าของเจ้า และให้ราชอาณาจักรทั้งหลายมองดูความอับอายของเจ้า
ฮบก 2.13 ดูเถิด ที่บรรดาชนชาติทำงานก็เพื่อแก่ไฟ และที่ชนชาติทั้งหลายทำจนเหน็ดเหนื่อยก็เพื่อแก่การไร้สาระ มิได้เป็นเช่นนี้เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาดอกหรือ
ศฟย 2.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า “เหตุฉะนี้ เรามีชีวิตอยู่ฉันใด แน่ทีเดียว โมอับจะกลายเป็นเหมือนเมืองโสโดม และคนอัมโมนจะเหมือนเมืองโกโมราห์ คือเป็นที่ขยายพันธุ์ต้นตำแยและบ่อเกลือ และเป็นที่รกร้างอยู่เนืองนิตย์ ชนชาติของเราส่วนที่เหลือจะปล้นเขา และชนชาติของเราที่เหลืออยู่จะยึดเขาเป็นกรรมสิทธิ์”
ศฟย 2.10 นี่จะเป็นผลตอบแทนความจองหองของเขา เพราะเขาด่าและโอ้อวดต่อประชาชนของพระเยโฮวาห์จอมโยธา
ฮกก 1.2 “พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ประชาชนเหล่านี้กล่าวว่า เวลานั้นยังไม่มาถึง คือเวลาที่จะสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์”
ฮกก 1.5 เพราะฉะนั้น บัดนี้พระเยโฮวาห์จอมโยธาจึงตรัสว่า จงพิจารณาดูว่า เจ้ามีความเป็นอยู่อย่างไร
ฮกก 1.7 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า จงพิจารณาดูว่า เจ้ามีความเป็นอยู่อย่างไร
ฮกก 1.9 เจ้าทั้งหลายหวังได้มาก แต่ดูเถิด ก็ได้น้อย และเมื่อเจ้านำผลมาบ้านของเจ้า เราก็เป่ามันไปเสีย พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ทำไมเป็นอย่างนั้นเล่า ก็เพราะนิเวศของเราพังทลายอยู่ ฝ่ายเจ้าต่างก็สาละวนอยู่กับเรื่องบ้านของตน
ฮกก 1.14 และพระเยโฮวาห์ทรงเร้าใจเศรุบบาเบลบุตรชายเชอัลทิเอล ผู้ว่าราชการเมืองยูดาห์ และทรงเร้าใจของโยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิต และเร้าใจประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่นั้น เขาทั้งหลายก็มาทำงานในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าของเขาทั้งหลาย
ฮกก 2.4 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า โอ เศรุบบาเบลเอ๋ย แม้กระนั้นก็ดี จงกล้าหาญเถิด โอ โยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิตเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด ประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงทำงานเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้า
ฮกก 2.6 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า อีกสักหน่อย เราจะเขย่าท้องฟ้าและโลก ทะเลและแผ่นดินแห้ง อีกครั้งหนึ่ง
ฮกก 2.7 เราจะเขย่าประชาชาติทั้งสิ้น เพื่อความปรารถนาของประชาชาติทั้งสิ้นจะได้เข้ามา เราจะบรรจุนิเวศนี้ให้เต็มด้วยสง่าราศี พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ฮกก 2.8 เงินเป็นของเรา และทองคำเป็นของเรา พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ฮกก 2.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า สง่าราศีของพระนิเวศครั้งหลังนี้จะยิ่งกว่าครั้งเดิมนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า และเราจะให้เกิดความสมบูรณ์พูนสุขในสถานที่นี้”
ฮกก 2.11 “พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า จงถามบรรดาปุโรหิตเกี่ยวกับราชบัญญัติเถิดว่า
ฮกก 2.23 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ในวันนั้นเราจะรับเจ้า โอ เศรุบบาเบล บุตรชายเชอัลทิเอล ผู้รับใช้ของเราเอ๋ย พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะกระทำเจ้าให้เป็นดังแหวนตรา เพราะเราได้เลือกสรรเจ้าแล้ว พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ”
ศคย 1.3 เพราะฉะนั้น จงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า จงกลับมาหาเรา พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ และเราจะกลับมาหาเจ้า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ศคย 1.4 อย่าเป็นเหมือนบรรพบุรุษของเจ้า ซึ่งบรรดาผู้พยากรณ์คนก่อนๆร้องบอกเขาว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า จงหันกลับเสียจากทางชั่วของเจ้า และจากการกระทำที่ชั่วของเจ้าเถิด’ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า แต่เขาไม่ได้ยินและมิได้ฟังเรา
ศคย 1.6 แต่ถ้อยคำของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้บัญชาแก่ผู้พยากรณ์ผู้รับใช้ของเราก็ได้ติดตามบรรพบุรุษของเจ้าทันมิใช่หรือ จนเขากลับใจแล้วกล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงดำริว่าจะทรงกระทำแก่เราประการใด ในเรื่องทางและการกระทำของเรา พระองค์ทรงกระทำแก่เราอย่างนั้น’”
ศคย 1.12 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์กล่าวว่า ‘โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา อีกนานเท่าใดพระองค์จะไม่ทรงเมตตากรุงเยรูซาเล็ม และหัวเมืองแห่งยูดาห์ ซึ่งพระองค์ก็ทรงกริ้วมาเจ็ดสิบปีแล้ว พระเจ้าข้า’
ศคย 1.14 ทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนาอยู่กับข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ‘จงร้องว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เรามีความหวงแหนกรุงเยรูซาเล็ม คือกรุงศิโยนเป็นที่ยิ่ง
ศคย 1.16 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จึงตรัสว่า เรากลับมายังกรุงเยรูซาเล็มด้วยความกรุณา พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จะต้องสร้างนิเวศของเราขึ้นไว้ในนั้น และขึงเชือกวัดไว้เหนือกรุงเยรูซาเล็ม
ศคย 1.17 จงร้องอีกว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เมืองทั้งหลายของเราจะไพบูลย์ท่วมท้นไปด้วยความมั่งคั่งอีก และพระเยโฮวาห์จะปลอบศิโยน และเลือกสรรกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง’”
ศคย 2.8 เมื่อสง่าราศีมาแล้ว พระองค์ทรงใช้เราให้ไปยังประชาชาติที่ปล้นเจ้า เพราะว่าผู้ใดได้แตะต้องเจ้า ก็ได้แตะต้องแก้วพระเนตรของพระองค์ พระเยโฮวาห์จอมโยธาจึงตรัสดังนี้ว่า
ศคย 2.9 เพราะ ดูเถิด เราจะสั่นมือของเราเหนือเขา และเขาจะเป็นของถูกปล้นให้แก่คนรับใช้ของเขาเอง’ แล้วเจ้าจะได้ทราบว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาใช้ข้าพเจ้ามา
ศคย 2.11 และประชาชาติเป็นอันมากจะสมทบกันเข้าเป็นฝ่ายพระเยโฮวาห์ในวันนั้น และจะเป็นประชาชนของเรา และเราจะอยู่ท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย และเจ้าจะทราบว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ใช้ข้าพเจ้ามายังเจ้า
ศคย 3.7 “พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ถ้าเจ้าดำเนินในหนทางของเรา และรักษาคำกำชับของเรา เจ้าจะได้ปกครองนิเวศของเรา และดูแลบริเวณของเรา และเราจะให้เจ้ามีสิทธิที่จะเข้าไปท่ามกลางผู้เหล่านั้นที่ยืนอยู่ที่นี่
ศคย 3.9 เพราะว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงดูศิลาซึ่งเราตั้งไว้หน้าโยชูวา เป็นศิลาก้อนเดียวที่มีเจ็ดตา ดูเถิด เราจะสลักบนศิลานั้น และเราจะเปลื้องความชั่วช้าของแผ่นดินนี้ออกไปเสียในวันเดียว
ศคย 3.10 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ในวันนั้นเจ้าทุกคนจะเชิญเพื่อนบ้านของเจ้าให้มาใต้เถาองุ่นและใต้ต้นมะเดื่อ”
ศคย 4.6 แล้วท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นพระวจนะของพระเยโฮวาห์ที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ศคย 4.9 “มือของเศรุบบาเบลได้วางรากฐานของพระนิเวศนี้ และมือของเขาจะสร้างให้สำเร็จ แล้วเจ้าจะทราบว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาเจ้าทั้งหลาย
ศคย 5.4 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เราส่งคำสาปนั้นออกไป และคำนั้นจะเข้าไปในเรือนของโจร และในเรือนของคนที่ปฏิญาณเท็จโดยออกนามของเรา และคำนี้จะค้างคืนอยู่ในเรือน ผลาญเรือนนั้นเสียทั้งตัวไม้และศิลา”
ศคย 6.12 และกล่าวแก่เขาว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด ชายผู้ที่มีชื่อว่าพระอังกูร เพราะท่านจะไพบูลย์ในสถานที่ของท่าน และจะสร้างพระวิหารของพระเยโฮวาห์
ศคย 6.15 บรรดาผู้ที่อยู่ห่างไกลจะมาช่วยสร้างพระวิหารของพระเยโฮวาห์ และท่านทั้งหลายจะทราบว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงใช้ข้าพเจ้ามายังท่าน ถ้าท่านทั้งหลายจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอย่างเคร่งครัด สิ่งนี้จะเป็นไปดังกล่าวนั้น”
ศคย 7.3 และร้องขอต่อบรรดาปุโรหิตที่พระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์จอมโยธา และต่อผู้พยากรณ์ว่า “ควรที่ข้าพเจ้าจะไว้ทุกข์และปลีกตัวออกในเดือนที่ห้า อย่างที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้วเป็นหลายปีนั้นหรือไม่”
ศคย 7.4 แล้วพระวจนะของพระเยโฮวาห์จอมโยธามายังข้าพเจ้าว่า
ศคย 7.9 “พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า จงพิพากษาตามความจริง ทุกคนจงแสดงความเมตตากรุณาและความสงสารต่อพี่น้องของตน
ศคย 7.12 เออ เขาได้กระทำใจของเขาเหมือนก้อนหินแข็ง เกรงว่าเขาจะได้ยินพระราชบัญญัติและพระวจนะ ซึ่งพระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงส่งไปทางผู้พยากรณ์รุ่นก่อนโดยพระวิญญาณของพระองค์ เหตุฉะนั้นพระพิโรธอันยิ่งใหญ่จึงได้มาจากพระเยโฮวาห์จอมโยธา
ศคย 7.13 ดังนั้นต่อมาพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “เมื่อเราร้องเรียก เขาไม่ฟังฉันใด เมื่อเขาร้องทูล เราก็ไม่ฟังฉันนั้น
ศคย 8.1 และพระวจนะของพระเยโฮวาห์จอมโยธามายังข้าพเจ้าอีกว่า
ศคย 8.2 “พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เราหวงแหนศิโยนด้วยความหวงแหนอันยิ่งใหญ่ และเราหวงแหนเธอด้วยความกริ้วมาก
ศคย 8.3 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เรากลับไปยังศิโยน และจะอยู่ท่ามกลางเยรูซาเล็ม และเขาจะเรียกเยรูซาเล็มว่าเมืองแห่งความจริง และเรียกภูเขาของพระเยโฮวาห์จอมโยธาว่าภูเขาบริสุทธิ์
ศคย 8.4 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ชายชราและหญิงชราจะอาศัยอยู่ตามถนนในกรุงเยรูซาเล็มอีก ต่างก็มีไม้เท้าอยู่ในมือเพราะอายุมากทีเดียว
ศคย 8.6 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องประหลาดในสายตาของประชาชนที่เหลืออยู่ในสมัยนี้แล้ว พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ก็น่าจะประหลาดในสายตาของเราด้วยมิใช่หรือ
ศคย 8.7 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะช่วยประชาชนของเราให้รอดพ้นจากประเทศตะวันออกและจากประเทศตะวันตก
ศคย 8.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงให้มือของเจ้าทั้งหลายแข็งแรง คือเจ้าทั้งหลายผู้ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ในกาลนี้ซึ่งมาจากปากผู้พยากรณ์ทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในวันที่ได้วางรากฐานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จอมโยธา เพื่อว่าจะได้ก่อสร้างพระวิหารนั้นขึ้น
ศคย 8.11 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า แต่บัดนี้เราจะไม่กระทำต่อประชาชนที่เหลืออยู่นี้อย่างกับสมัยก่อน
ศคย 8.14 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เมื่อบรรพบุรุษของเจ้ายั่วเย้าให้เราโกรธนั้น เราก็ตั้งใจว่าจะลงโทษเจ้า เรามิได้หย่อนความตั้งใจลง พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ศคย 8.18 และพระวจนะของพระเยโฮวาห์จอมโยธามายังข้าพเจ้าว่า
ศคย 8.19 “พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า การอดอาหารในเดือนที่สี่ การอดอาหารในเดือนที่ห้าและการอดอาหารในเดือนที่เจ็ด และการอดอาหารในเดือนที่สิบ จะเป็นที่ให้ความบันเทิงและความร่าเริง และเป็นการเลี้ยงที่ให้ชื่นชมแก่วงศ์วานยูดาห์ เหตุฉะนั้นเจ้าจงรักความจริงและสันติภาพ
ศคย 8.20 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ชนชาติทั้งหลายยังจะมา คือประชาชนที่ยังอาศัยอยู่ในหัวเมืองอันมากมาย
ศคย 8.21 ชาวเมืองหนึ่งจะไปหาชาวเมืองอีกเมืองหนึ่ง กล่าวว่า ‘ให้เราไปกันทันที ไปทูลขอจำเพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และแสวงหาพระเยโฮวาห์จอมโยธา ข้าพเจ้าก็จะไปด้วย’
ศคย 8.22 เออ ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และบรรดาประชาชาติที่เข้มแข็งจะมาแสวงหาพระเยโฮวาห์จอมโยธาในเยรูซาเล็ม และทูลขอจำเพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ศคย 8.23 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ต่อมาในสมัยนั้นสิบคนจากประชาชาติทุกๆภาษาจะยึดชายเสื้อคลุมของยิวคนหนึ่งไว้แล้วกล่าวว่า ‘ขอให้เราไปกับท่านเถิด เพราะเราได้ยินว่าพระเจ้าทรงสถิตกับท่าน’”
ศคย 9.15 พระเยโฮวาห์จอมโยธาจะพิทักษ์รักษาเขาทั้งหลายไว้ และเขาทั้งหลายจะล้างผลาญและเหยียบลงด้วยนักยิงสลิงลง และจะดื่มและทำเสียงอึกทึกเพราะเหตุเหล้าองุ่น และจะอิ่มเหมือนชาม เปียกเหมือนมุมแท่นบูชา
ศคย 10.3 “เราโกรธเมษบาลอย่างรุนแรง และเราลงโทษบรรดาแพะผู้ เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาเอาพระทัยใส่ฝูงสัตว์ของพระองค์คือวงศ์วานยูดาห์ และทรงกระทำเขาให้เป็นเหมือนม้าศึกฮึกเหิมในสงคราม
ศคย 12.5 แล้วหัวหน้าคนยูดาห์จะรำพึงในใจว่า ‘ชาวเยรูซาเล็มจะเป็นกำลังของเรา เนื่องจากพระเยโฮวาห์จอมโยธาพระเจ้าของเขา’
ศคย 13.2 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ต่อมาในวันนั้น เราจะขจัดชื่อของรูปเคารพเสียจากแผ่นดิน เพื่อว่าเขาจะระลึกถึงอีกไม่ได้เลย และเราจะไล่ผู้พยากรณ์และวิญญาณที่ไม่สะอาดไปเสียจากแผ่นดินด้วย
ศคย 13.7 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “โอ ดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้นต่อสู้เมษบาลของเรา จงต่อสู้ผู้ที่สนิทกับเรา จงตีเมษบาล และฝูงแกะนั้นจะกระจัดกระจายไป เราจะกลับมือของเราต่อสู้กับตัวเล็กตัวน้อย
ศคย 14.16 และอยู่มาบรรดาคนที่เหลืออยู่ในประชาชาติทั้งปวงซึ่งยกขึ้นมาสู้รบกับเยรูซาเล็ม จะขึ้นไปนมัสการกษัตริย์ปีแล้วปีเล่า คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา และจะถือเทศกาลอยู่เพิง
ศคย 14.17 ถ้าครอบครัวใดในพื้นพิภพไม่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการกษัตริย์ คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา ฝนก็จะไม่ตกเหนือเขาเหล่านั้น
ศคย 14.21 เออ และหม้อทุกลูกในเยรูซาเล็มและยูดาห์จะเป็นของบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์จอมโยธา เพื่อว่าทุกคนที่มาถวายสัตวบูชาจะเอาหม้อไปบ้าง และจะต้มเนื้อในหม้อเหล่านั้น ในวันนั้นจะไม่มีคนคานาอันในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จอมโยธาอีกต่อไป
มลค 1.4 เมื่อเอโดมกล่าวว่า “เราถูกบั่นทอนเสียแล้ว แต่เราจะกลับมาสร้างที่ปรักหักพังขึ้นใหม่” พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “เขาทั้งหลายจะสร้างขึ้น แต่เราจะรื้อลงเสีย และผู้คนจะเรียกเขาเหล่านี้ว่า ‘เป็นเขตแดนแห่งความชั่วร้าย’ และ ‘เป็นชนชาติที่พระเยโฮวาห์ทรงกริ้วอยู่เป็นนิตย์’”
มลค 1.6 “บุตรชายก็ย่อมให้เกียรติแก่บิดาของเขา คนใช้ก็ย่อมให้เกียรตินายของเขา แล้วถ้าเราเป็นพระบิดา เกียรติของเราอยู่ที่ไหน และถ้าเราเป็นนาย ความยำเกรงเรามีอยู่ที่ไหน นี่แหละพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสแก่ท่านนะ โอ บรรดาปุโรหิต ผู้ดูหมิ่นนามของเรา ท่านก็ว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายดูหมิ่นพระนามของพระองค์สถานใด’
มลค 1.8 เมื่อเจ้านำสัตว์ตาบอดมาเป็นสัตวบูชา กระทำเช่นนั้นไม่ชั่วหรือ และเมื่อเจ้าถวายสัตว์ที่พิการหรือป่วย กระทำเช่นนั้นไม่ชั่วหรือ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงนำของอย่างนั้นไปกำนัลเจ้าเมืองของเจ้าดู เขาจะพอใจเจ้าหรือ จะแสดงความชอบพอต่อเจ้าไหม
มลค 1.9 ลองอ้อนวอนขอความชอบต่อพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงพระกรุณาต่อพวกเราดูซี ด้วยของถวายดังกล่าวมานี้จากมือของเจ้า พระองค์จะทรงชอบพอเจ้าสักคนหนึ่งหรือ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
มลค 1.10 อยากให้มีสักคนหนึ่งในพวกเจ้าซึ่งจะปิดประตูเสีย เพื่อว่าเจ้าจะไม่ก่อไฟบนแท่นบูชาของเราเสียเปล่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เราไม่พอใจเจ้า และเราจะไม่รับเครื่องบูชาจากมือของเจ้า
มลค 1.11 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงที่ดวงอาทิตย์ตกนามของเราจะใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และเขาถวายเครื่องหอมและของถวายที่บริสุทธิ์แด่นามของเราทุกที่ทุกแห่ง เพราะว่านามของเรานั้นจะใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติ
มลค 1.13 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้ากล่าวว่า ‘ดูเถิด อย่างนี้น่าอ่อนระอาใจจริง’ แล้วเจ้าก็ทำฮึดฮัดกับเรา เจ้านำเอาสิ่งที่ได้แย่งมา หรือสิ่งที่พิการหรือป่วย ของเหล่านี้แหละเจ้านำมาเป็นของบูชา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะรับของนั้นจากมือของเจ้าได้หรือ
มลค 1.14 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า คนใดที่มีสัตว์ตัวผู้อยู่ในฝูง และได้ปฏิญาณไว้ และยังเอาสัตว์พิการไปถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า คำสาปแช่งจงตกอยู่กับคนโกงนั้นเถิด เพราะเราเป็นพระมหากษัตริย์ และนามของเราเป็นที่กลัวเกรงท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย”
มลค 2.2 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ถ้าเจ้าไม่ฟัง และถ้าเจ้าไม่จำใส่ไว้ในใจที่จะถวายสง่าราศีแด่นามของเรา เราจะส่งคำแช่งมาเหนือเจ้า และเราจะสาปแช่งผลพระพรซึ่งมาถึงเจ้า เราได้สาปแช่งคำอวยพรของเจ้าแล้วนะ เพราะเจ้ามิได้จำใส่ใจไว้
มลค 2.4 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าจึงจะทราบว่า เราส่งคำบัญชานี้มาให้เจ้า เพื่อว่าพันธสัญญาของเราซึ่งทำไว้กับเลวีจะคงอยู่
มลค 2.7 เพราะว่าริมฝีปากของปุโรหิตควรเป็นยามความรู้ และมนุษย์ควรแสวงหาราชบัญญัติจากปากของเขา เพราะว่าเขาเป็นทูตของพระเยโฮวาห์จอมโยธา
มลค 2.8 แต่เจ้าเองได้หันไปเสียจากทางนั้น เจ้าเป็นเหตุให้หลายคนสะดุดเพราะเหตุราชบัญญัติ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าได้กระทำให้พันธสัญญาของเลวีเสื่อมไป
มลค 2.12 พระเยโฮวาห์จะทรงขจัดชายคนใดๆที่กระทำเช่นนี้ ทั้งผู้สอนและนักศึกษา เสียจากเต็นท์ของยาโคบ ถึงแม้ว่าเขาจะนำเครื่องบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์จอมโยธาก็ตามเถิด
มลค 2.16 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า “เราเกลียดชังการหย่าร้าง เพราะคนหนึ่งปกปิดความทารุณด้วยเสื้อผ้าของตน พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ เพราะฉะนั้นจงเอาใจใส่ต่อจิตวิญญาณของเจ้าให้ดี อย่าเป็นคนทรยศ”
มลค 3.1 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “ดูเถิด เราจะส่งทูตของเราไป และผู้นั้นจะตระเตรียมหนทางไว้ข้างหน้าเรา และองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งเจ้าแสวงหานั้น จะเสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกระทันหัน ทูตแห่งพันธสัญญา ผู้ซึ่งเจ้าพอใจนั้น ดูเถิด ท่านจะเสด็จมา
มลค 3.5 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า แล้วเราจะมาใกล้เจ้าเพื่อการพิพากษา เราจะเป็นพยานที่รวดเร็วที่กล่าวโทษนักวิทยาคม พวกผิดประเวณี ผู้ที่ปฏิญาณเท็จ ผู้ที่บีบบังคับลูกจ้างในเรื่องค่าจ้าง และแม่ม่ายและลูกกำพร้าพ่อ ผู้ที่ผลักไสหันเหคนต่างด้าวจากสิทธิของเขา และผู้ที่ไม่ยำเกรงเรา
มลค 3.7 เจ้าได้หันเหไปเสียจากกฎของเราและมิได้รักษาไว้ตั้งแต่ครั้งสมัยบรรพบุรุษของเจ้า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าจงกลับมาหาเรา และเราจะกลับมาหาเจ้าทั้งหลาย แต่เจ้ากล่าวว่า ‘เราทั้งหลายจะกลับมาสถานใด’
มลค 3.10 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงนำสิบชักหนึ่งเต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
มลค 3.11 เราจะขนาบตัวที่ทำลายให้แก่เจ้า เพื่อว่ามันจะไม่ทำลายผลแห่งพื้นดินของเจ้า และผลองุ่นในไร่นาของเจ้าจะไม่ร่วง พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
มลค 3.12 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า แล้วประชาชาติทั้งสิ้นจะเรียกเจ้าว่า ผู้ที่ได้รับพระพร ด้วยว่าเจ้าจะเป็นแผ่นดินที่น่าพึงใจ
มลค 3.14 เจ้าได้กล่าวว่า ‘ที่จะปรนนิบัติพระเจ้าก็เปล่าประโยชน์ ที่เราจะรักษากฎของพระองค์ หรือดำเนินอย่างคนไว้ทุกข์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์จอมโยธานั้นจะได้ผลประโยชน์อันใด
มลค 3.17 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “เขาทั้งหลายจะเป็นคนของเรา เป็นเพชรพลอยของเราในวันที่เราจะประกอบกิจ และเราจะไว้ชีวิตคนเหล่านี้ ดังชายที่ไว้ชีวิตบุตรชายของเขาผู้ปรนนิบัติเขา
มลค 4.1 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง คือวันที่จะเผาไหม้เหมือนเตาอบ เมื่อคนที่อวดดีทั้งสิ้น เออ และคนที่ประกอบความชั่วทั้งหมดจะเป็นเหมือนตอข้าว วันที่จะมานั้นจะไหม้เขาหมด จนไม่มีรากหรือกิ่งเหลืออยู่เลย
มลค 4.3 และเจ้าจะเหยียบย่ำคนชั่ว เพราะว่าเขาจะเป็นเหมือนขี้เถ้าที่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้าในวันนั้นเมื่อเราประกอบกิจ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
รม 9.29 และตามที่ท่านอิสยาห์ได้กล่าวไว้ก่อนว่า ‘ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งจอมโยธามิได้ทรงเหลือเชื้อสายไว้ให้เราบ้าง เราก็จะได้เป็นเหมือนเมืองโสโดม และจะเป็นเหมือนเมืองโกโมราห์’
ยก 5.4 ดูเถิด ค่าจ้างของคนงานที่ได้เกี่ยวข้าวในนาของท่าน ซึ่งท่านได้ฉ้อโกงไว้นั้น ก็ร่ำร้องขึ้น และเสียงร้องของคนที่เกี่ยวข้าวนั้น ได้ทราบถึงพระกรรณขององค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งจอมโยธาแล้ว

จอมวิทยาคม ( 1 )
นฮม 3.4 ทั้งนี้เพราะการแพศยาอย่างมากนับไม่ถ้วนของหญิงแพศยานั้นผู้มีเสน่ห์ และเป็นจอมวิทยาคม นางได้ขายประชาชาติเสียด้วยการแพศยาของนาง และขายบรรดาครอบครัวมนุษย์ด้วยวิทยาคมของนาง

จอร์แดน ( 197 )
ปฐก 13.10 โลทเงยหน้าขึ้นแลดูและเห็นว่าบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดนมีน้ำบริบูรณ์อยู่ทุกแห่ง เหมือนพระอุทยานของพระเยโฮวาห์ เหมือนกับแผ่นดินอียิปต์ไปทางเมืองโศอาร์ ก่อนที่พระเยโฮวาห์ทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์
ปฐก 13.11 ดังนั้นโลทจึงเลือกบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน โลทเดินทางไปทิศตะวันออกและเขาทั้งสองจึงแยกจากกันไป
ปฐก 32.10 ข้าพระองค์ไม่สมควรจะรับบรรดาพระกรุณาและความจริงแม้เล็กน้อยที่สุด ที่พระองค์ได้ทรงโปรดสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้เมื่อมีแต่ไม้เท้า และบัดนี้ข้าพระองค์มีผู้คนเป็นสองพวก
ปฐก 50.10 เขาก็พากันมาถึงลานนวดข้าวแห่งอาทาด ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ที่นั้นเขาร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก โยเซฟก็ไว้ทุกข์ให้บิดาเจ็ดวัน
ปฐก 50.11 เมื่อชาวแผ่นดินนั้นคือคนคานาอันได้เห็นการไว้ทุกข์ที่ลานอาทาด เขาจึงพูดกันว่า “นี่เป็นการไว้ทุกข์ใหญ่ของชาวอียิปต์” เหตุฉะนั้นเขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า อาเบลมิสราอิม ตำบลนั้นอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
กดว 13.29 คนอามาเลขอยู่ในแผ่นดินทางใต้ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์อยู่บนภูเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ที่ริมทะเล และตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
กดว 22.1 แล้วคนอิสราเอลก็ยกออกไปตั้งค่ายอยู่ ณ ที่ราบโมอับซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ใกล้เมืองเยรีโค
กดว 26.3 โมเสสกับเอเลอาซาร์ปุโรหิต ปราศรัยกับเขาทั้งหลาย ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโคว่า
กดว 26.63 จำนวนคนเหล่านี้โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้นับไว้ ครั้งเมื่อนับคนอิสราเอล ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
กดว 31.12 แล้วเขานำเชลยและทรัพย์สินที่ปล้นได้กับของที่ริบได้ทั้งหมดมายังโมเสส และเอเลอาซาร์ปุโรหิต และชุมนุมชนอิสราเอลที่ค่าย ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
กดว 32.5 และเขาทั้งหลายกล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับความกรุณาในสายตาของท่าน ขอมอบแผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์แก่คนใช้ของท่าน ขออย่าพาข้าพเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเลย”
กดว 32.19 เพราะเราจะมิได้รับมรดกกับเขาซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นและนอกออกไป เพราะว่ามรดกที่ตกทอดมาถึงเราอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออกนี้”
กดว 32.21 และคนของท่านที่ถืออาวุธทุกคนจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จนกว่าพระองค์จะทรงขับไล่ศัตรูให้พ้นพระองค์
กดว 32.29 และโมเสสกล่าวแก่เขาว่า “ถ้าคนกาดและคนรูเบน ทุกคนผู้มีอาวุธที่จะทำสงครามต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับท่านทั้งหลาย และแผ่นดินนั้นจะพ่ายแพ้ต่อหน้าท่านแล้ว ท่านจงมอบแผ่นดินกิเลอาดให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่เขา
กดว 32.32 เราจะถืออาวุธข้ามไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์สู่แผ่นดินคานาอัน และที่ดินมรดกของเรานั้นจะคงอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้”
กดว 33.48 และเขายกเดินจากภูเขาอาบาริม และตั้งค่าย ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
กดว 33.49 เขาตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนตั้งแต่เบธเยชิโมท ไกลไปจนถึงอาเบลชิทธิม ณ ที่ราบโมอับ
กดว 33.50 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสส ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโคว่า
กดว 33.51 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน
กดว 34.12 และอาณาเขตจะลงมาถึงแม่น้ำจอร์แดนสุดลงที่ทะเลเกลือ นี่เป็นแผ่นดินของเจ้าตามอาณาเขตโดยรอบ”
กดว 34.15 ทั้งสองตระกูลและครึ่งตระกูลนั้นได้รับมรดกของเขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ใกล้เมืองเยรีโคด้านตะวันออก ทางดวงอาทิตย์ขึ้น”
กดว 35.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสส ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโคว่า
กดว 35.10 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าในแผ่นดินคานาอัน
กดว 35.14 เจ้าจงให้ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้สามเมือง และอีกสามเมืองในแผ่นดินคานาอัน ให้เป็นเมืองลี้ภัย
กดว 36.13 ข้อความเหล่านี้เป็นบทบัญญัติและคำตัดสินซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงบัญชาทางโมเสสแก่คนอิสราเอล ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
พบญ 1.1 ข้อความต่อไปนี้เป็นคำที่โมเสสกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงที่ในถิ่นทุรกันดารฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือในที่ราบข้างหน้าทะเลแดงระหว่างปารานและโทเฟล ลาบัน ฮาเซโรท และดีซาหับ
พบญ 1.5 โมเสสได้เริ่มอธิบายพระราชบัญญัตินี้ที่ในแผ่นดินโมอับฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ว่า
พบญ 2.29 (ดุจพวกลูกหลานเอซาวที่อยู่ตำบลเสอีร์ และพวกโมอับที่อยู่ตำบลอาร์ ได้กระทำแก่ข้าพเจ้านั้น) จนข้าพเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้า’
พบญ 3.8 ครั้งนั้นเราได้ยึดแผ่นดินเสียจากมือของกษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ผู้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำอารโนนถึงภูเขาเฮอร์โมน
พบญ 3.17 ทั้งแถบที่ราบด้วย มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน ตั้งแต่ทะเลคินเนเรทจนถึงทะเลแห่งที่ราบ คือทะเลเค็ม ที่อัชโดดปิสกาห์ ซึ่งอยู่ทิศตะวันออก
พบญ 3.20 กว่าพระเยโฮวาห์จะโปรดให้พี่น้องของท่านได้หยุดพักเหมือนได้ประทานแก่ท่านแล้ว จนเขาทั้งหลายจะยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่เขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นแล้ว ท่านทั้งหลายต่างจึงจะกลับมายังที่อยู่ของตน ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้แก่ท่านทั้งหลาย’
พบญ 3.25 ขอพระองค์ทรงโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์ข้ามไปดูแผ่นดินอันดีที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ดูแดนเทือกเขางดงามและเลบานอนด้วย’
พบญ 3.27 เจ้าจงขึ้นไปถึงยอดเขาปิสกาห์ และเพ่งตาของเจ้าดูทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก และดูแผ่นดินนั้นด้วยนัยน์ตาของเจ้า เพราะเจ้าจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ไปไม่ได้เลย
พบญ 4.21 ยิ่งกว่านั้น เพราะท่านทั้งหลายเป็นเหตุ พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธต่อข้าพเจ้า และทรงปฏิญาณว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และข้าพเจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินดีซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายประทานแก่ท่านให้เป็นมรดก
พบญ 4.22 แต่ข้าพเจ้าจะตายเสียในแผ่นดินนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน แต่ท่านทั้งหลายจะได้ข้ามไป และถือแผ่นดินดีนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
พบญ 4.26 ข้าพเจ้าขออัญเชิญฟ้าและดินมาเป็นพยานกล่าวโทษท่านในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น ท่านจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินนั้นนาน แต่ท่านจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
พบญ 4.41 แล้วโมเสสกำหนดหัวเมืองทางดวงอาทิตย์ขึ้นฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้สามหัวเมือง
พบญ 4.46 ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ที่หุบเขาตรงข้ามเบธเปโอร์ ในแผ่นดินของสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ ผู้อยู่ที่เฮชโบนซึ่งโมเสสและคนอิสราเอลได้ตีพ่ายไปครั้งเมื่อออกมาจากอียิปต์แล้ว
พบญ 4.47 คนอิสราเอลได้เข้ายึดแผ่นดินของท่านและแผ่นดินของโอกกษัตริย์เมืองบาชาน เป็นกษัตริย์สององค์ของคนอาโมไรต์ ผู้อยู่ทางดวงอาทิตย์ขึ้นฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
พบญ 4.49 รวมกับที่ราบทั้งหมด ซึ่งอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ จนถึงทะเลแห่งที่ราบ ที่น้ำพุแห่งปิสกาห์
พบญ 9.1 “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปในวันนี้ เพื่อจะเข้าไปยึดครองประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน ทั้งเมืองที่ใหญ่มีกำแพงสูงเทียมฟ้า
พบญ 11.30 ภูเขาเหล่านี้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ไปตามทางที่ดวงอาทิตย์ตกในแผ่นดินคนคานาอัน ผู้อาศัยอยู่ในที่ราบตรงหน้ากิลกาลข้างที่ราบโมเรห์มิใช่หรือ
พบญ 11.31 เพราะท่านทั้งหลายจะต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน และท่านจะยึดครองและอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
พบญ 12.10 แต่เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว และอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายประทานเป็นมรดกแก่ท่าน และเมื่อพระองค์โปรดให้ท่านพักพ้นศัตรูรอบข้างของท่านทั้งสิ้น ท่านจึงอยู่อย่างปลอดภัย
พบญ 27.2 ในวันที่ท่านทั้งหลายจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่แผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านจงตั้งศิลาก้อนใหญ่ๆขึ้น เอาปูนโบกเสีย
พบญ 27.4 ฉะนั้นเมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว บนภูเขาเอบาลท่านจงตั้งศิลาเหล่านี้ตามเรื่องที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ แล้วจงโบกเสียด้วยปูน
พบญ 27.12 “เมื่อท่านทั้งหลายยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนั้นแล้ว ให้คนต่อไปนี้ยืนบนภูเขาเกริซิมกล่าวคำอวยพรแก่ประชาชน คือสิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ โยเซฟและเบนยามิน
พบญ 30.18 ข้าพเจ้าขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศเป็นแน่ ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่นานในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยึดครองนั้น
พบญ 31.2 และท่านกล่าวแก่เขาว่า “วันนี้ข้าพเจ้ามีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว ข้าพเจ้าจะออกไปและเข้ามาอีกไม่ไหวแล้ว พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้’
พบญ 31.13 และเพื่อลูกหลานทั้งหลายของเขา ผู้ยังไม่ทราบจะได้ยินและเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ตราบเท่าเวลาซึ่งท่านอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”
พบญ 32.47 เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับท่านทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องชีวิตของท่านทั้งหลาย และเรื่องนี้จะกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตยืนนานในแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”
ยชว 1.2 “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว ฉะนั้นบัดนี้จงลุกขึ้น ยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ ทั้งเจ้าและชนชาตินี้ทั้งหมดไปยังแผ่นดินซึ่งเรายกให้แก่เขาทั้งหลาย คือแก่คนอิสราเอล
ยชว 1.11 “จงไปในค่ายสั่งประชาชนว่า จงเตรียมเสบียงอาหารไว้ เพราะว่าภายในสามวันท่านทั้งหลายจะต้องยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ เพื่อเข้าไปยึดครองแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านให้ยึดครอง”
ยชว 1.14 จงให้ภรรยาของท่านทั้งหลาย ลูกเล็กของท่าน และฝูงสัตว์ของท่านอยู่ในแผ่นดินซึ่งโมเสสยกให้ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ แต่ผู้ชายที่ชำนาญศึกทั้งหลายในพวกท่านต้องถืออาวุธข้ามไปเป็นทัพหน้า เพื่อช่วยพี่น้องของตน
ยชว 1.15 จนกว่าพระเยโฮวาห์จะประทานที่พักให้แก่พี่น้องของท่าน ดังที่ประทานแก่ท่าน ทั้งให้เขาได้ยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่เขา แล้วท่านจึงจะกลับไปยังแผ่นดินที่ท่านยึดครองและถือไว้เป็นกรรมสิทธิ์ คือแผ่นดินซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้ให้แก่พวกท่านฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ทางดวงอาทิตย์ขึ้น”
ยชว 2.7 เขาทั้งหลายก็ไล่ตามคนทั้งสองไปทางแม่น้ำจอร์แดนจนถึงท่าข้าม พอคนที่ไล่ตามนั้นออกไปแล้วเขาก็ปิดประตูเมือง
ยชว 2.10 เพราะเราทั้งหลายได้ยินเรื่องที่พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ทะเลแดงแห้งไปต่อหน้าท่านเมื่อท่านออกจากอียิปต์ และเรื่องการที่ท่านได้กระทำแก่กษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือกษัตริย์สิโหนและโอก ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ทำลายเสียสิ้น
ยชว 3.1 ฝ่ายโยชูวาก็ตื่นแต่เช้า เขาทั้งหลายยกออกจากชิทธิมมาถึงแม่น้ำจอร์แดน ทั้งตัวท่านและคนอิสราเอลทั้งหมด เขาพักอยู่ที่นั่นก่อนจะข้ามไป
ยชว 3.8 และเจ้าจงสั่งปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาว่า ‘เมื่อท่านทั้งหลายมาริมแม่น้ำจอร์แดนจงหยุดยืนอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน’”
ยชว 3.11 ดูเถิด หีบพันธสัญญาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าปิ่นสากลพิภพจะข้ามไปข้างหน้าท่านลงไปในแม่น้ำจอร์แดน
ยชว 3.13 และต่อมาทันทีที่เมื่อฝ่าเท้าของปุโรหิตผู้หามหีบแห่งพระเยโฮวาห์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลกทั้งสิ้น จะลงไปยืนอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนจะถูกตัดขาดจากน้ำที่ไหลมาจากข้างบน น้ำนั้นจะหยุดตั้งขึ้นเป็นกองเดียว”
ยชว 3.14 ดังนั้นเมื่อประชาชนยกจากเต็นท์ของเขาทั้งหลาย เพื่อจะข้ามแม่น้ำจอร์แดน พร้อมกับปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาไปข้างหน้าประชาชน
ยชว 3.15 เมื่อคนหามหีบมาถึงแม่น้ำจอร์แดนและเท้าของปุโรหิตผู้หามหีบก้าวลงในริมแม่น้ำแล้ว (แม่น้ำจอร์แดนขึ้นท่วมฝั่งตลอดฤดูเกี่ยวข้าวเสมอ)
ยชว 3.17 และปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ยืนมั่นอยู่บนดินแดนแห้งกลางแม่น้ำจอร์แดน คนอิสราเอลทั้งหมดก็เดินข้ามไปบนดินแห้ง จนประชาชนข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหมด
ยชว 4.1 ต่อมาเมื่อประชาชนนั้นได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเสร็จหมดแล้ว พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโยชูวาว่า
ยชว 4.3 และบัญชาเขาว่า ‘จงไปเอาศิลาสิบสองก้อนจากที่นี่ที่กลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงที่ซึ่งเท้าของปุโรหิตยืนมั่นอยู่นั้น ขนมาวางไว้ในที่ซึ่งท่านทั้งหลายจะนอนในคืนวันนี้’”
ยชว 4.5 โยชูวาจึงสั่งเขาว่า “จงผ่านไปข้างหน้าหีบของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านลงไปกลางแม่น้ำจอร์แดน แล้วแบกศิลามาคนละก้อนตามจำนวนตระกูลคนอิสราเอล
ยชว 4.7 แล้วท่านจงตอบพวกเขาว่า ‘น้ำที่จอร์แดนขาดจากกันต่อหน้าหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ เมื่อหีบนั้นข้ามแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็ขาดจากกัน ศิลาเหล่านี้จะเป็นที่รำลึกแก่ลูกหลานอิสราเอลเป็นนิตย์’”
ยชว 4.8 คนอิสราเอลเหล่านั้นก็กระทำตามที่โยชูวาบัญชา และขนหินสิบสองก้อนมาจากกลางจอร์แดน ตามจำนวนตระกูลคนอิสราเอล ดังที่พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโยชูวา และเขาก็แบกมายังที่ซึ่งเขาพักอยู่ วางไว้ที่นั่น
ยชว 4.9 และโยชูวาได้ตั้งศิลาสิบสองก้อนไว้กลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงที่ที่เท้าของปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญายืนอยู่ และศิลาเหล่านั้นก็ยังอยู่จนทุกวันนี้
ยชว 4.10 เพราะว่าปุโรหิตผู้หามหีบนั้นได้ยืนอยู่ที่กลางจอร์แดนกว่าสิ่งสารพัดจะสำเร็จ ตามซึ่งพระเยโฮวาห์บัญชาโยชูวาให้บอกประชาชน ตามซึ่งโมเสสได้บัญชาไว้กับโยชูวาทุกประการ แล้วประชาชนก็รีบข้ามไป
ยชว 4.16 “จงบัญชาปุโรหิตผู้หามหีบพระโอวาทให้ขึ้นมาจากจอร์แดน”
ยชว 4.17 โยชูวาจึงบัญชาแก่ปุโรหิตว่า “จงขึ้นมาจากจอร์แดนเถิด”
ยชว 4.18 ต่อมาเมื่อปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ขึ้นมาจากกลางจอร์แดน เมื่อฝ่าเท้าของปุโรหิตยกขึ้นเหยียบแผ่นดินแห้ง น้ำในจอร์แดนก็กลับมายังที่เก่าไหลท่วมฝั่งอย่างเดิม
ยชว 4.19 ประชาชนได้ขึ้นจากจอร์แดนในวันที่สิบเดือนที่หนึ่ง ไปตั้งค่ายอยู่ที่กิลกาล ริมเขตเมืองเยรีโคข้างทิศตะวันออก
ยชว 4.20 และศิลาสิบสองก้อนซึ่งเขานำออกมาจากจอร์แดนนั้น โยชูวาก็ได้ตั้งไว้ที่กิลกาล
ยชว 4.22 แล้วท่านจงตอบแก่ลูกหลานให้ทราบว่า ‘อิสราเอลได้ข้ามจอร์แดนนี้บนดินแห้ง’
ยชว 4.23 เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายกระทำให้แม่น้ำจอร์แดนแห้งไปเพื่อท่าน จนท่านข้ามไปได้หมด ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านกระทำแก่ทะเลแดง ทรงกระทำให้แห้งเพื่อเราทั้งหลาย จนเราข้ามไปหมด
ยชว 5.1 ต่อมาเมื่อบรรดากษัตริย์ของคนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ฟากจอร์แดนข้างตะวันตก และบรรดากษัตริย์ของคนคานาอัน ซึ่งอยู่ใกล้ทะเล ได้ยินว่าพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้น้ำในจอร์แดนแห้งไปต่อหน้าคนอิสราเอล ให้เราข้ามฟากไปได้หมดแล้ว จิตใจของเขาก็ละลายไป ไม่มีกำลังใจในตัวอีกต่อไปเหตุเพราะคนอิสราเอล
ยชว 7.7 โยชูวากราบทูลว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า อนิจจาเอ๋ย เป็นไฉนพระองค์จึงทรงนำชนชาตินี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา เพื่อจะมอบเราทั้งหลายไว้ในมือของคนอาโมไรต์ให้ทำลายเสีย พวกข้าพระองค์มีความเสียดายที่ไม่พอใจอยู่เพียงฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 9.1 ต่อมาเมื่อกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือที่อยู่ในแดนเทือกเขา และในหุบเขา และตามฝั่งทะเลใหญ่ไปทั่วจนถึงภูเขาเลบานอน เป็นคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุสได้ยินข่าวนี้
ยชว 9.10 และได้ทราบถึงบรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำต่อกษัตริย์คนอาโมไรต์ทั้งสองพระองค์ผู้อยู่ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือสิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบน และโอกกษัตริย์เมืองบาชานผู้อยู่ที่อัชทาโรท
ยชว 12.1 ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินนั้นซึ่งประชาชนอิสราเอลได้กระทำให้แพ้ไป และได้ยึดครองแผ่นดินฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นทางดวงอาทิตย์ขึ้น จากที่ลุ่มแม่น้ำอารโนนถึงภูเขาเฮอร์โมน และที่ราบซึ่งอยู่ด้านตะวันออกทั้งหมด
ยชว 12.7 ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินซึ่งโยชูวากับคนอิสราเอลได้ทำให้พ่ายแพ้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ทางทิศตะวันตก ตั้งแต่บาอัลกาดในหุบเขาเลบานอน ถึงภูเขาฮาลัก ที่สูงเรื่อยขึ้นไปถึงเสอีร์ ซึ่งโยชูวามอบให้แก่ตระกูลคนอิสราเอลให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ตามส่วนแบ่งของเขา
ยชว 13.8 ส่วนมนัสเสห์อีกครึ่งตระกูล คนรูเบน และคนกาดได้รับส่วนมรดกของเขา ซึ่งโมเสสได้มอบให้ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นด้านตะวันออก ส่วนที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์มอบให้เขาคือ
ยชว 13.23 อาณาเขตของคนรูเบนคือแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน นี่เป็นมรดกของคนรูเบนตามครอบครัว รวมทั้งหัวเมืองและชนบทด้วย
ยชว 13.27 ในหว่างเขา มีเมืองเบธฮารัม เบธนิมราห์ สุคคทและซาโฟน ราชอาณาจักรส่วนที่เหลือของสิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบนนั้น มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน จดทะเลคินเนเรทตอนปลายข้างล่าง ด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 13.32 เหล่านี้เป็นดินแดนต่างๆซึ่งโมเสสได้แบ่งปันให้เป็นมรดก ณ ที่ราบโมอับ ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นทิศตะวันออกของเมืองเยรีโค
ยชว 14.3 เพราะโมเสสได้ให้มรดกแก่คนสองตระกูลครึ่งทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นแล้ว แต่ท่านหาได้แบ่งส่วนมรดกให้แก่พวกเลวีไม่
ยชว 15.5 พรมแดนด้านตะวันออกคือทะเลเค็มขึ้นไปถึงปากแม่น้ำจอร์แดน และพรมแดนด้านเหนือตั้งแต่อ่าวที่ทะเลตรงปากแม่น้ำจอร์แดน
ยชว 16.1 ที่ดินตามสลากของลูกหลานโยเซฟนั้นเริ่มจากแม่น้ำจอร์แดนใกล้ๆเมืองเยรีโค ทิศตะวันออกของน้ำแห่งเยรีโคเข้าไปในถิ่นทุรกันดารขึ้นไปจากเยรีโคเข้าไปในแดนเทือกเขาเบธเอล
ยชว 16.7 แล้วลงไปจากยาโนอาห์ ถึงเมืองอาทาโรทและเมืองนาอาราห์ ไปจดเมืองเยรีโคสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน
ยชว 17.5 ดังนี้แหละส่วนที่ตกแก่คนมนัสเสห์จึงมีสิบส่วน นอกเหนือดินแดนกิเลอาดและบาชานซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 18.7 แต่คนเลวีไม่มีส่วนแบ่งในหมู่พวกท่านทั้งหลาย ด้วยตำแหน่งปุโรหิตของพระเยโฮวาห์เป็นมรดกของเขาแล้ว คนกาด และคนรูเบน กับตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่งก็ได้รับมรดกของเขาทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นด้านตะวันออก ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้มอบให้แก่เขาทั้งหลายแล้ว”
ยชว 18.12 ทางด้านเหนือพรมแดนของเขาเริ่มต้นที่แม่น้ำจอร์แดน และพรมแดนก็ยื่นขึ้นไปถึงไหล่เขาตอนเหนือของเมืองเยรีโค แล้วขึ้นไปทางแดนเทือกเขาทางทิศตะวันตก และไปสิ้นสุดที่ถิ่นทุรกันดารเบธาเวน
ยชว 18.19 แล้วพรมแดนก็ผ่านไปทางทิศเหนือถึงไหล่เขาที่เบธฮกลาห์ และพรมแดนไปสิ้นสุดลงที่อ่าวด้านเหนือของทะเลเค็มที่ปลายใต้ของแม่น้ำจอร์แดน นี่เป็นพรมแดนด้านใต้
ยชว 18.20 แม่น้ำจอร์แดนกั้นเป็นพรมแดนทางตะวันออก นี่เป็นมรดกของคนเบนยามินตามครอบครัวของเขา มีพรมแดนดังนี้ล้อมรอบ
ยชว 19.22 และพรมแดนยังจดเมืองทาโบร์ ชาหะซุมาห์ เบธเชเมช และพรมแดนนี้ไปสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน รวมเป็นสิบหกหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
ยชว 19.33 อาณาเขตของเขาเริ่มจากเฮเลฟ จากอาโลนไปถึงศานันนิม และอาดามี เนเขบ และยับเนเอลไกลไปจนถึงเมืองลัคคูม และสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน
ยชว 19.34 แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปทางด้านตะวันตกถึงเมืองอัสโนททาโบร์ จากที่นั่นไปถึงหุกกอกจดเขตเศบูลุนทางทิศใต้ และเขตอาเชอร์ทางทิศตะวันตก และเขตยูดาห์ทางดวงอาทิตย์ขึ้นที่แม่น้ำจอร์แดน
ยชว 20.8 และทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นตรงเมืองเยรีโคนั้น เขาได้กำหนดเมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารบนที่ราบจากที่ดินคนตระกูลรูเบน และเมืองราโมทในกิเลอาดจากที่ดินคนตระกูลกาด และเมืองโกลานในบาชานจากที่ดินคนตระกูลมนัสเสห์
ยชว 22.4 บัดนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้โปรดให้พี่น้องของท่านหยุดพักแล้ว ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับเขา ฉะนั้นบัดนี้ท่านจงกลับไปสู่เต็นท์ของท่านเถิด ไปสู่แผ่นดินซึ่งท่านถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ยกให้ท่านที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นนั้น
ยชว 22.7 ส่วนคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูลนั้นโมเสสได้มอบให้เขาถือกรรมสิทธิ์ในเมืองบาชาน แต่อีกครึ่งตระกูลนั้นโยชูวามอบให้เขามีกรรมสิทธิ์ข้างเคียงกับพี่น้องของเขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างด้านตะวันตกนี้ และเมื่อโยชูวาส่งเขากลับไปยังเต็นท์ของตน ท่านได้อวยพรเขา
ยชว 22.10 และเมื่อเขาทั้งหลายมาถึงท้องถิ่นที่ใกล้แม่น้ำจอร์แดนที่อยู่ในแผ่นดินคานาอัน คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูล ได้สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่ใกล้แม่น้ำจอร์แดน เป็นแท่นขนาดมหึมา
ยชว 22.11 และคนอิสราเอลได้ยินคนพูดกัน “ดูเถิด คนรูเบน คนกาดและคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูล ได้สร้างแท่นบูชาที่พรมแดนแผ่นดินคานาอันในท้องถิ่นใกล้แม่น้ำจอร์แดนในด้านที่เป็นของคนอิสราเอล”
ยชว 22.25 เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงกำหนดแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดนระหว่างเรากับเจ้าทั้งหลายนะ คนรูเบนและคนกาดเอ๋ย พวกเจ้าไม่มีส่วนในพระเยโฮวาห์’ ดังนั้นแหละลูกหลานของท่านอาจกระทำให้ลูกหลานของเราทั้งหลายหยุดเกรงกลัวพระเยโฮวาห์
ยชว 23.4 ดูเถิด ประชาชาติที่เหลืออยู่นั้น ข้าพเจ้าได้จับสลากแบ่งให้เป็นมรดกแก่ตระกูลของท่าน รวมกับประชาชาติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้ขจัดออกเสีย ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก
ยชว 24.8 และเราก็นำเจ้าทั้งหลายมาที่แผ่นดินของคนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น เขาสู้รบกับเจ้าทั้งหลาย และเราได้มอบเขาไว้ในมือของเจ้า และเจ้าทั้งหลายยึดครองแผ่นดินของเขาและเราก็ทำลายเขาให้พ้นหน้าเจ้า
ยชว 24.11 และเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดน มาที่เมืองเยรีโค และชาวเมืองเยรีโคต่อสู้กับเจ้า และคนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนฮีไวต์ และคนเยบุส และเราได้มอบเขาไว้ในมือของเจ้าทั้งหลาย
วนฉ 3.28 ท่านจึงสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ทรงมอบศัตรูของท่าน คือชนโมอับไว้ในมือของท่านแล้ว” เขาทั้งหลายจึงลงตามท่านไป และยึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนสกัดคนโมอับไว้ไม่ยอมให้ใครข้ามไปได้สักคนเดียว
วนฉ 5.17 กิเลอาดอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ส่วนดานอาศัยอยู่กับเรือกำปั่นทำไมเล่า อาเชอร์นั่งเฉยอยู่ที่ฝั่งทะเลตั้งบ้านเรือนอยู่ตามท่าจอดเรือของเขา
วนฉ 7.24 และกิเดโอนก็ใช้ผู้สื่อสารออกไปทั่วแดนเทือกเขาเอฟราอิม ประกาศว่า “จงลงมารบพวกมีเดียน และยึดแควทั้งหลาย ไกลไปถึงตำบลเบธบาราห์ และแม่น้ำจอร์แดนด้วย” เขาก็เรียกบรรดาทหารเอฟราอิมออกมา เขาทั้งหลายยึดแควถึงเบธบาราห์ และแม่น้ำจอร์แดนไว้
วนฉ 7.25 จับโอเรบและเศเอบเจ้านายสองคนของพวกมีเดียนได้ เขาฆ่าโอเรบเสียที่ศิลาโอเรบ และฆ่าเศเอบเสียที่บ่อย่ำองุ่นชื่อเศเอบ แล้วก็ไล่ติดตามพวกมีเดียนไป และเขานำเอาศีรษะโอเรบและเศเอบมาให้กิเดโอนที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
วนฉ 8.4 กิเดโอนก็มาที่แม่น้ำจอร์แดนและข้ามไป ทั้งท่านและทหารสามร้อยคนที่อยู่ด้วย ถึงจะอ่อนเปลี้ยแต่ก็ยังติดตามไป
วนฉ 10.8 เขาได้ข่มเหงและบีบบังคับคนอิสราเอลในปีนั้น คือคนอิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นในแผ่นดินของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดสิบแปดปี
วนฉ 10.9 ทั้งคนอัมโมนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อสู้กับยูดาห์และต่อสู้กับเบนยามิน และต่อสู้กับวงศ์วานเอฟราอิม ดังนั้นอิสราเอลจึงเดือดร้อนอย่างยิ่ง
วนฉ 11.13 กษัตริย์คนอัมโมนตอบผู้สื่อสารของเยฟธาห์ว่า “เพราะว่าเมื่ออิสราเอลยกออกมาจากอียิปต์ได้ยึดแผ่นดินของเราไป ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนถึงแม่น้ำยับบอกและถึงแม่น้ำจอร์แดน ฉะนั้นบัดนี้ขอคืนแผ่นดินเหล่านั้นเสียโดยดี”
วนฉ 11.22 และเขายึดเขตแดนทั้งหมดของคนอาโมไรต์ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนถึงแม่น้ำยับบอก และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารถึงแม่น้ำจอร์แดน
วนฉ 12.5 ชาวกิเลอาดก็เข้ายึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนไว้ไม่ให้คนเอฟราอิมข้าม เมื่อคนเอฟราอิมที่หลบหนีคนใดมาบอกว่า “ขอให้ข้ามไปทีเถิด” คนกิเลอาดจะถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนเอฟราอิมหรือ” เมื่อเขาตอบว่า “เปล่า”
วนฉ 12.6 เขาจะบอกว่า “จงว่าคำว่าชิบโบเลท” คนนั้นจะว่า “สิบโบเลท” เพราะคนเอฟราอิมออกเสียงคำนี้ไม่ชัด เขาจึงจับคนนั้นและฆ่าเสียที่ท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน คราวนั้นมีคนเอฟราอิมตายสี่หมื่นสองพันคน
1ซมอ 13.7 พวกฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและกิเลอาด แต่ฝ่ายซาอูลพระองค์ยังประทับอยู่ที่กิลกาล และประชาชนทั้งหมดติดตามพระองค์ไปด้วยตัวสั่น
1ซมอ 31.7 เมื่อคนอิสราเอลซึ่งอยู่ฟากหุบเขาข้างโน้น และผู้ที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นเห็นคนอิสราเอลหนีไป และเห็นว่าซาอูลกับราชโอรสของพระองค์สิ้นชีพแล้ว เขาก็ทิ้งบ้านเมืองของเขาเสียหลบหนีไป คนฟีลิสเตียก็เข้ามาอาศัยอยู่ในนั้น
2ซมอ 2.29 อับเนอร์กับคนของท่านก็เดินทางตลอดคืนนั้นในที่ราบ เขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนและเดินไปตามหุบเขาบิทโรน เขาก็มาถึงมาหะนาอิม
2ซมอ 10.17 เมื่อมีผู้กราบทูลดาวิดพระองค์ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาถึงตำบลเฮลาน และคนซีเรียก็จัดทัพเข้าต่อสู้ดาวิดและได้รบกับพระองค์
2ซมอ 17.22 ดาวิดก็ทรงลุกขึ้นพร้อมกับพวกพลทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์และข้ามแม่น้ำจอร์แดน พอรุ่งเช้าก็ไม่มีเหลือสักคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน
2ซมอ 17.24 ฝ่ายดาวิดก็เสด็จมายังเมืองมาหะนาอิม และอับซาโลมก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนพร้อมกับคนอิสราเอลทั้งปวง
2ซมอ 19.15 กษัตริย์ก็เสด็จกลับและมายังแม่น้ำจอร์แดน และยูดาห์ก็พากันมาที่กิลกาลเพื่อรับเสด็จกษัตริย์และนำกษัตริย์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
2ซมอ 19.17 มีคนจากตระกูลเบนยามินพร้อมกับท่านหนึ่งพันคน และศิบามหาดเล็กในราชวงศ์ของซาอูล พร้อมกับบุตรชายสิบห้าคนกับคนใช้อีกยี่สิบคน ก็รีบมายังแม่น้ำจอร์แดนต่อพระพักตร์กษัตริย์
2ซมอ 19.18 เขาทั้งหลายได้ข้ามท่าข้ามไปรับราชวงศ์ของกษัตริย์ และคอยปฏิบัติให้ชอบพระทัย ชิเมอี บุตรชายเก-รา ได้กราบลงต่อพระพักตร์กษัตริย์ขณะที่พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
2ซมอ 19.31 ฝ่ายบารซิลลัย ชาวกิเลอาด ได้ลงมาจากโรเกลิม และไปกับกษัตริย์ข้ามแม่น้ำจอร์แดน เพื่อส่งพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป
2ซมอ 19.36 ผู้รับใช้ของพระองค์จะตามเสด็จกษัตริย์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหน่อยเท่านั้น ไฉนกษัตริย์จะพระราชทานรางวัลเช่นนี้เล่า
2ซมอ 19.39 แล้วประชาชนทั้งสิ้นก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน เมื่อกษัตริย์เสด็จข้ามไปแล้วกษัตริย์ทรงจุบบารซิลลัย และทรงอวยพระพรแก่ท่าน ท่านก็กลับไปยังบ้านช่องของตน
2ซมอ 19.41 แล้วดูเถิด คนอิสราเอลทั้งหมดมาเฝ้ากษัตริย์ กราบทูลกษัตริย์ว่า “ไฉนคนยูดาห์พี่น้องของเราจึงได้ลักพาพระองค์ไปเสีย พากษัตริย์และราชวงศ์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับบรรดาคนของดาวิดด้วย”
2ซมอ 20.2 ดังนั้นพวกคนอิสราเอลทั้งหมดจึงถอนตัวจากดาวิด และไปตามเชบาบุตรชายบิครี แต่พวกคนยูดาห์ได้ติดตามกษัตริย์ของเขาอย่างมั่นคงจากแม่น้ำจอร์แดนไปถึงกรุงเยรูซาเล็ม
2ซมอ 24.5 เขาทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและตั้งค่ายในเมืองอาโรเออร์ ด้านขวาของเมืองที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำกาดไปทางยาเซอร์
1พกษ 2.8 และดูเถิด มีชิเมอีบุตรเก-ราคนเบนยามินจากบ้านบาฮูริมอยู่กับเจ้าด้วย เขาเป็นผู้ด่าเราอย่างน่าสลดใจในวันที่เราเดินไปยังมาหะนาอิม แต่เขามาต้อนรับเราที่แม่น้ำจอร์แดน และเราจึงได้ปฏิญาณต่อเขาในพระนามพระเยโฮวาห์ว่า ‘เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้าด้วยดาบ’
1พกษ 7.46 กษัตริย์ทรงหล่อสิ่งเหล่านี้ในที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน และในที่ดินโคลนระหว่างเมืองสุคคทและศาเรธาน
1พกษ 17.3 “จงออกไปจากที่นี่และหันไปทางตะวันออก และซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
1พกษ 17.5 ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
2พกษ 2.6 แล้วเอลียาห์จึงพูดกับท่านว่า “ขอท่านจงคอยอยู่ที่นี่ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงใช้ข้าพเจ้าไปถึงแม่น้ำจอร์แดน” แต่ท่านว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่และท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่จากท่านไปฉันนั้น” แล้วท่านทั้งสองก็เดินต่อไป
2พกษ 2.7 คนห้าสิบคนของเหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์ก็ไปเหมือนกันและยืนอยู่ตรงหน้าห่างจากท่านทั้งสอง ฝ่ายท่านทั้งสองยืนอยู่ที่แม่น้ำจอร์แดน
2พกษ 2.13 แล้วท่านก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมาจากเอลียาห์นั้น และกลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน
2พกษ 5.10 เอลีชาก็ส่งผู้สื่อสารมาเรียนท่านว่า “ขอจงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง และเนื้อของท่านจะกลับคืนเป็นอย่างเดิม และท่านจะสะอาด”
2พกษ 5.14 ท่านจึงลงไปจุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดนตามถ้อยคำของคนแห่งพระเจ้า และเนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อเด็กเล็กๆ และท่านก็สะอาด
2พกษ 6.2 ขอให้เราไปที่แม่น้ำจอร์แดน ต่างคนต่างเอาไม้ท่อนหนึ่งมาสร้างที่อาศัยของเราที่นั่น” และท่านตอบว่า “ไปเถอะ”
2พกษ 6.4 ท่านก็ไปกับเขาทั้งหลาย และเมื่อเขามาถึงแม่น้ำจอร์แดนเขาก็โค่นต้นไม้
2พกษ 7.15 เขาทั้งหลายจึงติดตามไปจนถึงแม่น้ำจอร์แดน และดูเถิด ตลอดทางมีเสื้อผ้าและเครื่องใช้ ซึ่งคนซีเรียทิ้งเมื่อเขารีบหนีไป ผู้สื่อสารก็กลับมาทูลกษัตริย์
2พกษ 10.33 ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก ทั่วแผ่นดินกิเลอาด คนกาด คนรูเบนและคนมนัสเสห์ ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ข้างที่ลุ่มแม่น้ำอารโนน คือกิเลอาดและบาชาน
1พศด 6.78 และฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นที่เยรีโค คือฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนนั้น จากตระกูลรูเบน คือเมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารพร้อมกับทุ่งหญ้า เมืองยาฮาสพร้อมกับทุ่งหญ้า
1พศด 12.15 เหล่านี้เป็นคนที่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนในเดือนแรก เมื่อน้ำท่วมฝั่งทั้งสิ้น และให้คนที่อยู่ ณ ลุ่มแม่น้ำแตกหนีไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
1พศด 12.37 และจากฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น จากคนรูเบน และคนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูล มีหนึ่งแสนสองหมื่นคน ติดอาวุธทุกอย่างเพื่อทำสงคราม
1พศด 19.17 และเมื่อมีคนกราบทูลดาวิด พระองค์ก็ทรงรวมอิสราเอลทั้งสิ้นเข้าด้วยกัน และข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาหาเขา และจัดทัพต่อสู้กับเขา และเมื่อดาวิดทรงจัดทัพเข้าต่อสู้กับคนซีเรีย เขาทั้งหลายต่อสู้กับพระองค์
1พศด 26.30 จากคนเฮโบรน ฮาชาบิยาห์และพี่น้องของเขาเป็นคนมีความกล้าหาญ หนึ่งพันเจ็ดร้อยคน ได้เป็นผู้ดูแลอิสราเอลทางฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ในเรื่องกิจการทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์ และราชการของกษัตริย์
2พศด 4.17 กษัตริย์ทรงหล่อสิ่งเหล่านี้ในที่ราบแม่น้ำจอร์แดน ในที่ดินเหนียวระหว่างสุคคทกับเศเรดาห์
โยบ 40.23 ดูเถิด มันดื่มแม่น้ำจนหมดและไม่รีบหนีไป มันวางใจว่าจะดูดแม่น้ำจอร์แดนเข้าใส่ปากมัน
สดด 42.6 โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ จิตใจของข้าพระองค์ฝ่ออยู่ภายในข้าพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงจะระลึกถึงพระองค์ ตั้งแต่แผ่นดินแห่งแม่น้ำจอร์แดนและแห่งภูเขาเฮอร์โมนตั้งแต่เนินมิซาร์
สดด 114.3 ทะเลมองแล้วหนี จอร์แดนหันกลับ
สดด 114.5 เป็นอะไรนะ โอ ทะเลเอ๋ย เจ้าจึงหนี แม่น้ำจอร์แดนเอ๋ย เจ้าจึงหันกลับ
อสย 9.1 แต่กระนั้นแผ่นดินนั้นซึ่งอยู่ในความแสนระทมจะไม่กลัดกลุ้ม ในกาลก่อนพระองค์ทรงนำแคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลีมาสู่ความดูหมิ่น แต่ในกาลภายหลังพระองค์จะทรงกระทำให้หนทางข้างทะเล แคว้นฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือ กาลิลีแห่งบรรดาประชาชาติ ให้เจ็บปวดทรมานอย่างมาก
ยรม 12.5 “ถ้าเจ้าวิ่งแข่งกับทหารราบ และเขาทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อย เจ้าจะแข่งกับม้าได้อย่างไร และถ้าเจ้ายังเหน็ดเหนื่อยในแผ่นดินแห่งสันติภาพซึ่งเจ้าวางใจนั้น เจ้าจะทำอย่างไรในคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดน
ยรม 49.19 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ยรม 50.44 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
อสค 47.18 ทางด้านตะวันออก เขตแดนจะยื่นจากเมืองเฮารานและดามัสกัส ระหว่างกิเลอาดกับแผ่นดินอิสราเอล เรื่อยไปตามแม่น้ำจอร์แดน ไปถึงทะเลด้านตะวันออก ท่านทั้งหลายจงวัด นี่เป็นเขตด้านตะวันออก
ศคย 11.3 ฟังซิ เสียงร่ำไห้ของเมษบาล เพราะสง่าราศีของเขาทั้งหลายก็ถูกทำลายไปแล้ว ฟังซิ เสียงสิงโตหนุ่มคำราม เพราะว่าความภูมิใจแห่งแม่น้ำจอร์แดนก็ร้างเปล่า
มธ 3.5 ขณะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็ม และคนทั่วแคว้นยูเดีย และคนทั่วบริเวณรอบแม่น้ำจอร์แดน ก็ออกไปหายอห์น
มธ 3.6 สารภาพความผิดบาปของตน และได้รับบัพติศมาจากท่านในแม่น้ำจอร์แดน
มธ 3.13 แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน เพื่อจะรับบัพติศมาจากท่าน
มธ 4.15 ‘แคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลีทางข้างทะเลฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือกาลิลีแห่งบรรดาประชาชาติ
มธ 4.25 และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุรี และกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น ติดตามพระองค์ไป
มธ 19.1 ต่อมาเมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว พระองค์ได้เสด็จจากแคว้นกาลิลี เข้าไปในเขตแดนแคว้นยูเดียฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
มก 1.5 คนทั่วแคว้นยูเดียกับชาวกรุงเยรูซาเล็มได้พากันออกไปหายอห์น สารภาพความผิดบาปของตน และได้รับบัพติศมาจากท่านในแม่น้ำจอร์แดน
มก 1.9 ต่อมาในคราวนั้นพระเยซูเสด็จมาจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี และได้ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน
มก 3.8 จากกรุงเยรูซาเล็ม และจากเมืองเอโดม และจากฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น และจากแคว้นเมืองไทระและไซดอน ฝูงชนเป็นอันมาก เมื่อเขาได้ยินถึงสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำนั้นก็มาหาพระองค์
มก 10.1 ฝ่ายพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จจากที่นั่น เข้าในเขตแดนแคว้นยูเดีย ไปตามทางแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น และประชาชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์จึงตรัสสั่งสอนเขาอีกตามที่พระองค์ทรงเคยสอนนั้น
ลก 3.3 แล้วยอห์นจึงไปทั่วบริเวณรอบแม่น้ำจอร์แดน ประกาศเรื่องบัพติศมาอันสำแดงการกลับใจใหม่ เพื่อจะทรงยกความผิดบาปเสียได้
ลก 4.1 พระเยซูประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จกลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้ทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร
ยน 1.28 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เบธาบาราฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น อันเป็นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่
ยน 3.26 สาวกของยอห์นจึงไปหายอห์นและพูดว่า “รับบี ท่านที่อยู่กับอาจารย์ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ผู้ที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น ดูเถิด ท่านผู้นั้นให้บัพติศมาและคนทั้งปวงก็พากันไปหาท่าน”
ยน 10.40 พระองค์เสด็จไปฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นอีก และไปถึงสถานที่ที่ยอห์นให้บัพติศมาเป็นครั้งแรก และพระองค์ทรงพักอยู่ที่นั่น

จะ ( 17796 )
ปฐก 2.5; ปฐก 2.17; ปฐก 2.18; ปฐก 2.19; ปฐก 2.23; ปฐก 2.24; ปฐก 3.3; ปฐก 3.4; ปฐก 3.5; ปฐก 3.14; ปฐก 3.15; ปฐก 3.16; ปฐก 3.17; ปฐก 3.18; ปฐก 3.19; ปฐก 3.22; ปฐก 4.7; ปฐก 4.12; ปฐก 4.13; ปฐก 4.14; ปฐก 4.15; ปฐก 4.24; ปฐก 4.26; ปฐก 5.29; ปฐก 6.3; ปฐก 6.7; ปฐก 6.13; ปฐก 6.17; ปฐก 6.18; ปฐก 6.20; ปฐก 6.21; ปฐก 7.4; ปฐก 8.8; ปฐก 8.9; ปฐก 8.17; ปฐก 8.21; ปฐก 8.22; ปฐก 9.2; ปฐก 9.3; ปฐก 9.5; ปฐก 9.6; ปฐก 9.11; ปฐก 9.13; ปฐก 9.14; ปฐก 9.15; ปฐก 9.16; ปฐก 9.25; ปฐก 9.26; ปฐก 9.27; ปฐก 11.4; ปฐก 11.6; ปฐก 11.31; ปฐก 12.1; ปฐก 12.2; ปฐก 12.3; ปฐก 12.7; ปฐก 12.11; ปฐก 12.12; ปฐก 12.13; ปฐก 12.19; ปฐก 13.6; ปฐก 13.9; ปฐก 13.15; ปฐก 13.16; ปฐก 13.17; ปฐก 14.23; ปฐก 15.2; ปฐก 15.4; ปฐก 15.5; ปฐก 15.8; ปฐก 15.12; ปฐก 15.13; ปฐก 15.14; ปฐก 15.15; ปฐก 15.16; ปฐก 16.2; ปฐก 16.7; ปฐก 16.8; ปฐก 16.10; ปฐก 16.11; ปฐก 16.12; ปฐก 17.2; ปฐก 17.4; ปฐก 17.5; ปฐก 17.6; ปฐก 17.7; ปฐก 17.8; ปฐก 17.9; ปฐก 17.10; ปฐก 17.11; ปฐก 17.12; ปฐก 17.13; ปฐก 17.14; ปฐก 17.15; ปฐก 17.16; ปฐก 17.17; ปฐก 17.19; ปฐก 17.20; ปฐก 17.21; ปฐก 18.5; ปฐก 18.10; ปฐก 18.12; ปฐก 18.13; ปฐก 18.14; ปฐก 18.17; ปฐก 18.18; ปฐก 18.19; ปฐก 18.21; ปฐก 18.23; ปฐก 18.24; ปฐก 18.25; ปฐก 18.26; ปฐก 18.28; ปฐก 18.29; ปฐก 18.30; ปฐก 18.31; ปฐก 18.32; ปฐก 19.2; ปฐก 19.5; ปฐก 19.9; ปฐก 19.13; ปฐก 19.14; ปฐก 19.15; ปฐก 19.17; ปฐก 19.19; ปฐก 19.20; ปฐก 19.21; ปฐก 19.32; ปฐก 19.34; ปฐก 20.4; ปฐก 20.7; ปฐก 20.11; ปฐก 20.13; ปฐก 20.15; ปฐก 20.16; ปฐก 21.6; ปฐก 21.7; ปฐก 21.10; ปฐก 21.12; ปฐก 21.13; ปฐก 21.18; ปฐก 21.23; ปฐก 21.30; ปฐก 22.2; ปฐก 22.5; ปฐก 22.8; ปฐก 22.10; ปฐก 22.17; ปฐก 22.18; ปฐก 23.4; ปฐก 23.6; ปฐก 23.13; ปฐก 24.3; ปฐก 24.4; ปฐก 24.5; ปฐก 24.7; ปฐก 24.8; ปฐก 24.14; ปฐก 24.19; ปฐก 24.33; ปฐก 24.39; ปฐก 24.40; ปฐก 24.41; ปฐก 24.44; ปฐก 24.46; ปฐก 24.49; ปฐก 24.50; ปฐก 24.55; ปฐก 24.56; ปฐก 24.57; ปฐก 24.58; ปฐก 25.22; ปฐก 25.23; ปฐก 25.32; ปฐก 26.2; ปฐก 26.3; ปฐก 26.4; ปฐก 26.7; ปฐก 26.9; ปฐก 26.10; ปฐก 26.11; ปฐก 26.22; ปฐก 26.24; ปฐก 26.29; ปฐก 27.2; ปฐก 27.4; ปฐก 27.7; ปฐก 27.9; ปฐก 27.10; ปฐก 27.12; ปฐก 27.19; ปฐก 27.21; ปฐก 27.25; ปฐก 27.31; ปฐก 27.33; ปฐก 27.37; ปฐก 27.39; ปฐก 27.40; ปฐก 27.41; ปฐก 27.42; ปฐก 27.44; ปฐก 27.45; ปฐก 27.46; ปฐก 28.4; ปฐก 28.13; ปฐก 28.14; ปฐก 28.15; ปฐก 28.20; ปฐก 28.21; ปฐก 28.22; ปฐก 29.7; ปฐก 29.8; ปฐก 29.15; ปฐก 29.18; ปฐก 29.19; ปฐก 29.21; ปฐก 29.26; ปฐก 29.27; ปฐก 29.32; ปฐก 29.34; ปฐก 29.35; ปฐก 30.1; ปฐก 30.3; ปฐก 30.13; ปฐก 30.15; ปฐก 30.20; ปฐก 30.24; ปฐก 30.28; ปฐก 30.30; ปฐก 30.31; ปฐก 30.32; ปฐก 30.33; ปฐก 30.38; ปฐก 30.41; ปฐก 31.3; ปฐก 31.8; ปฐก 31.20; ปฐก 31.27; ปฐก 31.29; ปฐก 31.30; ปฐก 31.31; ปฐก 31.42; ปฐก 31.43; ปฐก 31.48; ปฐก 31.52; ปฐก 32.5; ปฐก 32.6; ปฐก 32.8; ปฐก 32.9; ปฐก 32.10; ปฐก 32.11; ปฐก 32.12; ปฐก 32.20; ปฐก 32.25; ปฐก 32.26; ปฐก 32.28; ปฐก 33.8; ปฐก 33.12; ปฐก 33.13; ปฐก 33.14; ปฐก 34.10; ปฐก 34.11; ปฐก 34.12; ปฐก 34.14; ปฐก 34.15; ปฐก 34.16; ปฐก 34.17; ปฐก 34.19; ปฐก 34.22; ปฐก 34.23; ปฐก 34.30; ปฐก 34.31; ปฐก 35.3; ปฐก 35.10; ปฐก 35.11; ปฐก 35.12; ปฐก 35.16; ปฐก 35.17; ปฐก 35.19; ปฐก 36.7; ปฐก 37.8; ปฐก 37.10; ปฐก 37.13; ปฐก 37.18; ปฐก 37.20; ปฐก 37.22; ปฐก 37.26; ปฐก 37.30; ปฐก 37.35; ปฐก 38.8; ปฐก 38.9; ปฐก 38.11; ปฐก 38.13; ปฐก 38.14; ปฐก 38.16; ปฐก 38.17; ปฐก 38.18; ปฐก 38.23; ปฐก 38.28; ปฐก 39.9; ปฐก 39.10; ปฐก 39.14; ปฐก 39.17; ปฐก 40.8; ปฐก 40.13; ปฐก 40.19; ปฐก 41.16; ปฐก 41.25; ปฐก 41.28; ปฐก 41.29; ปฐก 41.30; ปฐก 41.31; ปฐก 41.32; ปฐก 41.35; ปฐก 41.36; ปฐก 41.38; ปฐก 41.39; ปฐก 41.40; ปฐก 41.44; ปฐก 42.2; ปฐก 42.4; ปฐก 42.15; ปฐก 42.18; ปฐก 42.20; ปฐก 42.27; ปฐก 42.28; ปฐก 42.33; ปฐก 42.34; ปฐก 42.36; ปฐก 42.37; ปฐก 42.38; ปฐก 43.3; ปฐก 43.4; ปฐก 43.5; ปฐก 43.7; ปฐก 43.8; ปฐก 43.9; ปฐก 43.10; ปฐก 43.14; ปฐก 43.16; ปฐก 43.18; ปฐก 43.22; ปฐก 43.25; ปฐก 43.30; ปฐก 43.32; ปฐก 44.1; ปฐก 44.8; ปฐก 44.9; ปฐก 44.10; ปฐก 44.16; ปฐก 44.17; ปฐก 44.22; ปฐก 44.23; ปฐก 44.26; ปฐก 44.29; ปฐก 44.31; ปฐก 44.32; ปฐก 44.34; ปฐก 45.3; ปฐก 45.5; ปฐก 45.6; ปฐก 45.10; ปฐก 45.11; ปฐก 45.18; ปฐก 45.28; ปฐก 46.3; ปฐก 46.4; ปฐก 46.28; ปฐก 46.30; ปฐก 46.31; ปฐก 46.33; ปฐก 46.34; ปฐก 47.4; ปฐก 47.15; ปฐก 47.16; ปฐก 47.18; ปฐก 47.19; ปฐก 47.23; ปฐก 47.29; ปฐก 47.30; ปฐก 48.4; ปฐก 48.5; ปฐก 48.6; ปฐก 48.9; ปฐก 48.11; ปฐก 48.17; ปฐก 48.19; ปฐก 48.20; ปฐก 48.21; ปฐก 48.22; ปฐก 49.1; ปฐก 49.7; ปฐก 49.8; ปฐก 49.9; ปฐก 49.10; ปฐก 49.12; ปฐก 49.13; ปฐก 49.16; ปฐก 49.17; ปฐก 49.19; ปฐก 49.20; ปฐก 49.25; ปฐก 49.27; ปฐก 49.29; ปฐก 50.5; ปฐก 50.15; ปฐก 50.16; ปฐก 50.21; ปฐก 50.24; ปฐก 50.25; อพย 1.10; อพย 2.3; อพย 2.4; อพย 2.7; อพย 2.9; อพย 2.14; อพย 2.15; อพย 2.20; อพย 3.3; อพย 3.8; อพย 3.10; อพย 3.11; อพย 3.12; อพย 3.13; อพย 3.17; อพย 3.18; อพย 3.19; อพย 3.20; อพย 3.21; อพย 3.22; อพย 4.1; อพย 4.5; อพย 4.8; อพย 4.9; อพย 4.12; อพย 4.14; อพย 4.15; อพย 4.16; อพย 4.18; อพย 4.21; อพย 4.22; อพย 4.23; อพย 4.24; อพย 5.1; อพย 5.2; อพย 5.3; อพย 5.4; อพย 5.9; อพย 5.10; อพย 5.11; อพย 5.18; อพย 6.1; อพย 6.4; อพย 6.6; อพย 6.7; อพย 6.8; อพย 6.12; อพย 6.30; อพย 7.1; อพย 7.2; อพย 7.3; อพย 7.4; อพย 7.5; อพย 7.9; อพย 7.16; อพย 7.17; อพย 7.18; อพย 7.19; อพย 8.1; อพย 8.2; อพย 8.3; อพย 8.4; อพย 8.8; อพย 8.10; อพย 8.11; อพย 8.20; อพย 8.21; อพย 8.22; อพย 8.23; อพย 8.26; อพย 8.27; อพย 8.28; อพย 8.29; อพย 9.1; อพย 9.3; อพย 9.4; อพย 9.5; อพย 9.9; อพย 9.13; อพย 9.14; อพย 9.15; อพย 9.16; อพย 9.18; อพย 9.19; อพย 9.22; อพย 9.28; อพย 9.29; อพย 9.30; อพย 10.1; อพย 10.2; อพย 10.3; อพย 10.4; อพย 10.5; อพย 10.6; อพย 10.7; อพย 10.8; อพย 10.9; อพย 10.14; อพย 10.17; อพย 10.20; อพย 10.21; อพย 10.25; อพย 10.26; อพย 10.28; อพย 10.29; อพย 11.1; อพย 11.4; อพย 11.5; อพย 11.6; อพย 11.7; อพย 11.8; อพย 11.9; อพย 12.4; อพย 12.12; อพย 12.13; อพย 12.14; อพย 12.15; อพย 12.16; อพย 12.19; อพย 12.23; อพย 12.25; อพย 12.48; อพย 12.49; อพย 13.2; อพย 13.5; อพย 13.9; อพย 13.11; อพย 13.14; อพย 13.16; อพย 13.17; อพย 13.18; อพย 13.19; อพย 13.21; อพย 14.3; อพย 14.4; อพย 14.12; อพย 14.13; อพย 14.14; อพย 14.16; อพย 14.17; อพย 14.18; อพย 15.1; อพย 15.2; อพย 15.9; อพย 15.11; อพย 15.14; อพย 15.15; อพย 15.16; อพย 15.17; อพย 15.18; อพย 15.24; อพย 15.26; อพย 16.3; อพย 16.4; อพย 16.5; อพย 16.6; อพย 16.7; อพย 16.8; อพย 16.12; อพย 16.23; อพย 16.25; อพย 16.26; อพย 16.28; อพย 16.32; อพย 16.35; อพย 17.4; อพย 17.6; อพย 17.9; อพย 17.14; อพย 17.16; อพย 18.18; อพย 18.19; อพย 18.22; อพย 18.23; อพย 19.5; อพย 19.6; อพย 19.8; อพย 19.9; อพย 19.11; อพย 19.13; อพย 19.21; อพย 19.22; อพย 19.24; อพย 20.7; อพย 20.12; อพย 20.19; อพย 20.20; อพย 20.24; อพย 20.25; อพย 20.26; อพย 21.2; อพย 21.4; อพย 21.6; อพย 21.7; อพย 21.8; อพย 21.11; อพย 21.13; อพย 21.15; อพย 21.16; อพย 21.19; อพย 21.22; อพย 21.30; อพย 21.34; อพย 22.3; อพย 22.4; อพย 22.8; อพย 22.9; อพย 22.11; อพย 22.16; อพย 22.17; อพย 22.19; อพย 22.23; อพย 22.24; อพย 22.27; อพย 22.29; อพย 23.2; อพย 23.7; อพย 23.12; อพย 23.21; อพย 23.22; อพย 23.23; อพย 23.25; อพย 23.26; อพย 23.27; อพย 23.28; อพย 23.29; อพย 23.30; อพย 23.31; อพย 23.33; อพย 24.3; อพย 24.7; อพย 24.12; อพย 24.14; อพย 25.3; อพย 25.8; อพย 25.16; อพย 25.21; อพย 25.22; อพย 26.24; อพย 26.33; อพย 27.7; อพย 27.18; อพย 27.20; อพย 28.1; อพย 28.4; อพย 28.7; อพย 28.12; อพย 28.21; อพย 28.29; อพย 28.30; อพย 28.32; อพย 28.35; อพย 28.38; อพย 28.41; อพย 28.42; อพย 28.43; อพย 29.1; อพย 29.9; อพย 29.21; อพย 29.26; อพย 29.28; อพย 29.29; อพย 29.30; อพย 29.33; อพย 29.36; อพย 29.37; อพย 29.42; อพย 29.43; อพย 29.44; อพย 29.45; อพย 29.46; อพย 30.6; อพย 30.10; อพย 30.12; อพย 30.13; อพย 30.15; อพย 30.20; อพย 30.21; อพย 30.25; อพย 30.29; อพย 30.33; อพย 30.36; อพย 31.4; อพย 31.6; อพย 31.10; อพย 31.13; อพย 31.14; อพย 32.1; อพย 32.5; อพย 32.10; อพย 32.12; อพย 32.13; อพย 32.14; อพย 32.23; อพย 32.29; อพย 32.30; อพย 32.33; อพย 32.34; อพย 33.1; อพย 33.2; อพย 33.3; อพย 33.5; อพย 33.7; อพย 33.8; อพย 33.10; อพย 33.12; อพย 33.13; อพย 33.14; อพย 33.16; อพย 33.17; อพย 33.19; อพย 33.20; อพย 33.22; อพย 33.23; อพย 34.1; อพย 34.7; อพย 34.10; อพย 34.11; อพย 34.12; อพย 34.15; อพย 34.16; อพย 34.20; อพย 34.24; อพย 34.34; อพย 34.35; อพย 35.24; อพย 35.32; อพย 35.34; อพย 35.35; อพย 36.1; อพย 36.3; อพย 36.5; อพย 39.3; อพย 40.9; อพย 40.10; อพย 40.13; อพย 40.15; อพย 40.37; ลนต 1.4; ลนต 1.5; ลนต 1.7; ลนต 1.8; ลนต 1.10; ลนต 1.11; ลนต 1.12; ลนต 1.13; ลนต 1.14; ลนต 1.17; ลนต 2.2; ลนต 2.3; ลนต 2.8; ลนต 2.9; ลนต 2.12; ลนต 2.16; ลนต 3.2; ลนต 3.3; ลนต 3.5; ลนต 3.7; ลนต 3.8; ลนต 3.11; ลนต 3.13; ลนต 3.16; ลนต 4.5; ลนต 4.6; ลนต 4.7; ลนต 4.8; ลนต 4.10; ลนต 4.15; ลนต 4.16; ลนต 4.17; ลนต 4.18; ลนต 4.19; ลนต 4.20; ลนต 4.21; ลนต 4.25; ลนต 4.26; ลนต 4.29; ลนต 4.30; ลนต 4.31; ลนต 4.33; ลนต 4.34; ลนต 4.35; ลนต 5.2; ลนต 5.3; ลนต 5.4; ลนต 5.6; ลนต 5.9; ลนต 5.10; ลนต 5.11; ลนต 5.12; ลนต 5.13; ลนต 5.16; ลนต 5.17; ลนต 5.18; ลนต 6.7; ลนต 6.9; ลนต 6.18; ลนต 6.20; ลนต 6.27; ลนต 7.7; ลนต 7.10; ลนต 7.15; ลนต 7.18; ลนต 7.20; ลนต 7.21; ลนต 7.24; ลนต 7.25; ลนต 7.27; ลนต 7.29; ลนต 7.31; ลนต 7.33; ลนต 8.31; ลนต 8.33; ลนต 8.35; ลนต 9.4; ลนต 9.6; ลนต 10.3; ลนต 10.6; ลนต 10.9; ลนต 10.11; ลนต 10.15; ลนต 10.17; ลนต 10.18; ลนต 10.19; ลนต 11.2; ลนต 11.9; ลนต 11.21; ลนต 11.24; ลนต 11.26; ลนต 11.27; ลนต 11.28; ลนต 11.31; ลนต 11.32; ลนต 11.33; ลนต 11.34; ลนต 11.36; ลนต 11.39; ลนต 11.40; ลนต 11.43; ลนต 12.2; ลนต 12.4; ลนต 12.5; ลนต 12.7; ลนต 12.8; ลนต 13.6; ลนต 13.20; ลนต 13.34; ลนต 13.46; ลนต 13.47; ลนต 13.49; ลนต 13.55; ลนต 14.2; ลนต 14.4; ลนต 14.7; ลนต 14.8; ลนต 14.9; ลนต 14.14; ลนต 14.15; ลนต 14.17; ลนต 14.18; ลนต 14.19; ลนต 14.20; ลนต 14.21; ลนต 14.24; ลนต 14.25; ลนต 14.26; ลนต 14.28; ลนต 14.29; ลนต 14.30; ลนต 14.31; ลนต 14.34; ลนต 14.35; ลนต 14.36; ลนต 14.37; ลนต 14.38; ลนต 14.39; ลนต 14.40; ลนต 14.44; ลนต 14.46; ลนต 14.48; ลนต 14.49; ลนต 14.52; ลนต 14.53; ลนต 14.57; ลนต 15.3; ลนต 15.5; ลนต 15.6; ลนต 15.10; ลนต 15.13; ลนต 15.15; ลนต 15.18; ลนต 15.19; ลนต 15.23; ลนต 15.24; ลนต 15.25; ลนต 15.26; ลนต 15.28; ลนต 15.30; ลนต 15.31; ลนต 16.2; ลนต 16.3; ลนต 16.4; ลนต 16.6; ลนต 16.7; ลนต 16.8; ลนต 16.9; ลนต 16.10; ลนต 16.11; ลนต 16.12; ลนต 16.13; ลนต 16.14; ลนต 16.15; ลนต 16.16; ลนต 16.17; ลนต 16.18; ลนต 16.20; ลนต 16.21; ลนต 16.22; ลนต 16.23; ลนต 16.24; ลนต 16.25; ลนต 16.26; ลนต 16.27; ลนต 16.28; ลนต 16.30; ลนต 16.32; ลนต 16.33; ลนต 17.4; ลนต 17.6; ลนต 17.7; ลนต 17.9; ลนต 17.10; ลนต 17.15; ลนต 18.5; ลนต 18.9; ลนต 18.18; ลนต 18.26; ลนต 18.28; ลนต 18.29; ลนต 19.8; ลนต 19.17; ลนต 19.22; ลนต 19.24; ลนต 19.25; ลนต 19.29; ลนต 20.3; ลนต 20.4; ลนต 20.5; ลนต 20.6; ลนต 20.9; ลนต 20.11; ลนต 20.13; ลนต 20.14; ลนต 20.17; ลนต 20.18; ลนต 20.19; ลนต 20.20; ลนต 20.21; ลนต 20.22; ลนต 20.24; ลนต 20.26; ลนต 20.27; ลนต 21.7; ลนต 21.8; ลนต 21.9; ลนต 21.10; ลนต 21.13; ลนต 21.14; ลนต 21.15; ลนต 21.18; ลนต 21.22; ลนต 21.23; ลนต 22.2; ลนต 22.3; ลนต 22.5; ลนต 22.6; ลนต 22.8; ลนต 22.9; ลนต 22.11; ลนต 22.14; ลนต 22.16; ลนต 22.20; ลนต 22.21; ลนต 22.23; ลนต 22.27; ลนต 22.28; ลนต 23.2; ลนต 23.4; ลนต 23.11; ลนต 23.14; ลนต 23.20; ลนต 23.27; ลนต 23.28; ลนต 23.29; ลนต 23.30; ลนต 23.32; ลนต 23.35; ลนต 23.36; ลนต 23.39; ลนต 23.43; ลนต 24.7; ลนต 24.12; ลนต 24.15; ลนต 24.16; ลนต 24.17; ลนต 25.6; ลนต 25.7; ลนต 25.12; ลนต 25.18; ลนต 25.19; ลนต 25.20; ลนต 25.21; ลนต 25.22; ลนต 25.23; ลนต 25.26; ลนต 25.27; ลนต 25.28; ลนต 25.31; ลนต 25.32; ลนต 25.34; ลนต 25.35; ลนต 25.36; ลนต 25.38; ลนต 25.41; ลนต 25.42; ลนต 25.44; ลนต 25.45; ลนต 25.46; ลนต 25.49; ลนต 25.52; ลนต 25.53; ลนต 26.4; ลนต 26.5; ลนต 26.6; ลนต 26.7; ลนต 26.8; ลนต 26.9; ลนต 26.10; ลนต 26.11; ลนต 26.12; ลนต 26.13; ลนต 26.14; ลนต 26.16; ลนต 26.17; ลนต 26.18; ลนต 26.19; ลนต 26.20; ลนต 26.21; ลนต 26.22; ลนต 26.24; ลนต 26.25; ลนต 26.26; ลนต 26.28; ลนต 26.29; ลนต 26.30; ลนต 26.31; ลนต 26.32; ลนต 26.33; ลนต 26.34; ลนต 26.35; ลนต 26.36; ลนต 26.37; ลนต 26.38; ลนต 26.39; ลนต 26.42; ลนต 26.43; ลนต 26.44; ลนต 26.45; ลนต 27.3; ลนต 27.8; ลนต 27.10; ลนต 27.12; ลนต 27.13; ลนต 27.15; ลนต 27.18; ลนต 27.19; ลนต 27.20; ลนต 27.23; ลนต 27.25; ลนต 27.28; ลนต 27.31; ลนต 27.32; กดว 1.5; กดว 1.51; กดว 2.3; กดว 2.5; กดว 2.7; กดว 2.9; กดว 2.10; กดว 2.12; กดว 2.14; กดว 2.16; กดว 2.18; กดว 2.20; กดว 2.22; กดว 2.24; กดว 2.25; กดว 2.27; กดว 2.29; กดว 2.31; กดว 3.7; กดว 3.8; กดว 3.10; กดว 3.12; กดว 3.23; กดว 3.29; กดว 3.35; กดว 3.38; กดว 3.45; กดว 4.4; กดว 4.5; กดว 4.15; กดว 4.16; กดว 4.19; กดว 4.20; กดว 4.26; กดว 4.27; กดว 4.28; กดว 5.8; กดว 5.16; กดว 5.17; กดว 5.18; กดว 5.19; กดว 5.21; กดว 5.22; กดว 5.23; กดว 5.24; กดว 5.25; กดว 5.26; กดว 5.27; กดว 5.28; กดว 5.29; กดว 5.30; กดว 5.31; กดว 6.5; กดว 6.11; กดว 6.16; กดว 6.17; กดว 6.18; กดว 6.19; กดว 6.20; กดว 6.27; กดว 7.5; กดว 7.89; กดว 8.2; กดว 8.11; กดว 8.12; กดว 8.14; กดว 8.15; กดว 8.19; กดว 9.8; กดว 9.13; กดว 9.14; กดว 9.22; กดว 10.6; กดว 10.7; กดว 10.8; กดว 10.9; กดว 10.29; กดว 10.30; กดว 10.31; กดว 10.32; กดว 11.4; กดว 11.12; กดว 11.13; กดว 11.15; กดว 11.17; กดว 11.18; กดว 11.19; กดว 11.20; กดว 11.21; กดว 11.22; กดว 11.23; กดว 12.6; กดว 12.8; กดว 12.14; กดว 13.30; กดว 14.3; กดว 14.8; กดว 14.11; กดว 14.12; กดว 14.13; กดว 14.14; กดว 14.15; กดว 14.21; กดว 14.23; กดว 14.24; กดว 14.27; กดว 14.28; กดว 14.29; กดว 14.30; กดว 14.31; กดว 14.32; กดว 14.33; กดว 14.34; กดว 14.35; กดว 14.40; กดว 14.41; กดว 14.42; กดว 14.43; กดว 15.2; กดว 15.3; กดว 15.13; กดว 15.14; กดว 15.15; กดว 15.16; กดว 15.18; กดว 15.25; กดว 15.26; กดว 15.28; กดว 15.30; กดว 15.31; กดว 15.34; กดว 15.39; กดว 15.40; กดว 16.5; กดว 16.7; กดว 16.12; กดว 16.13; กดว 16.14; กดว 16.21; กดว 16.22; กดว 16.26; กดว 16.28; กดว 16.34; กดว 16.38; กดว 16.40; กดว 16.45; กดว 17.3; กดว 17.5; กดว 17.10; กดว 17.13; กดว 18.1; กดว 18.2; กดว 18.3; กดว 18.4; กดว 18.5; กดว 18.9; กดว 18.13; กดว 18.14; กดว 18.15; กดว 18.18; กดว 18.20; กดว 18.22; กดว 18.23; กดว 18.24; กดว 18.27; กดว 18.31; กดว 18.32; กดว 19.4; กดว 19.5; กดว 19.6; กดว 19.7; กดว 19.8; กดว 19.10; กดว 19.12; กดว 19.13; กดว 19.14; กดว 19.16; กดว 19.19; กดว 19.20; กดว 19.21; กดว 19.22; กดว 20.8; กดว 20.10; กดว 20.12; กดว 20.17; กดว 20.18; กดว 20.19; กดว 20.20; กดว 20.24; กดว 20.26; กดว 21.2; กดว 21.4; กดว 21.8; กดว 21.16; กดว 21.22; กดว 21.34; กดว 22.4; กดว 22.6; กดว 22.8; กดว 22.11; กดว 22.16; กดว 22.17; กดว 22.18; กดว 22.19; กดว 22.26; กดว 22.29; กดว 22.33; กดว 22.34; กดว 22.37; กดว 22.38; กดว 23.3; กดว 23.8; กดว 23.10; กดว 23.12; กดว 23.13; กดว 23.19; กดว 23.20; กดว 23.23; กดว 23.24; กดว 23.26; กดว 23.27; กดว 24.1; กดว 24.7; กดว 24.8; กดว 24.9; กดว 24.11; กดว 24.13; กดว 24.14; กดว 24.17; กดว 24.18; กดว 24.19; กดว 24.20; กดว 24.22; กดว 24.23; กดว 24.24; กดว 25.4; กดว 25.13; กดว 26.2; กดว 26.54; กดว 26.65; กดว 27.13; กดว 27.17; กดว 27.21; กดว 28.2; กดว 30.5; กดว 30.8; กดว 30.12; กดว 30.14; กดว 31.2; กดว 31.23; กดว 31.24; กดว 32.6; กดว 32.7; กดว 32.9; กดว 32.11; กดว 32.14; กดว 32.15; กดว 32.16; กดว 32.17; กดว 32.18; กดว 32.19; กดว 32.20; กดว 32.21; กดว 32.22; กดว 32.23; กดว 32.25; กดว 32.26; กดว 32.27; กดว 32.29; กดว 32.30; กดว 32.31; กดว 32.32; กดว 33.55; กดว 33.56; กดว 34.4; กดว 34.5; กดว 34.6; กดว 34.9; กดว 34.11; กดว 34.12; กดว 34.13; กดว 34.17; กดว 35.3; กดว 35.6; กดว 35.8; กดว 35.11; กดว 35.12; กดว 35.15; กดว 35.27; กดว 35.28; กดว 35.33; กดว 36.3; กดว 36.4; กดว 36.7; กดว 36.8; กดว 36.9; พบญ 1.8; พบญ 1.12; พบญ 1.13; พบญ 1.14; พบญ 1.17; พบญ 1.22; พบญ 1.27; พบญ 1.28; พบญ 1.30; พบญ 1.33; พบญ 1.35; พบญ 1.36; พบญ 1.37; พบญ 1.38; พบญ 1.39; พบญ 1.41; พบญ 1.42; พบญ 2.4; พบญ 2.5; พบญ 2.6; พบญ 2.9; พบญ 2.14; พบญ 2.18; พบญ 2.19; พบญ 2.25; พบญ 2.27; พบญ 2.28; พบญ 2.30; พบญ 2.31; พบญ 3.2; พบญ 3.20; พบญ 3.21; พบญ 3.27; พบญ 3.28; พบญ 4.1; พบญ 4.2; พบญ 4.5; พบญ 4.6; พบญ 4.9; พบญ 4.10; พบญ 4.14; พบญ 4.16; พบญ 4.19; พบญ 4.21; พบญ 4.22; พบญ 4.23; พบญ 4.26; พบญ 4.27; พบญ 4.28; พบญ 4.29; พบญ 4.30; พบญ 4.31; พบญ 4.35; พบญ 4.36; พบญ 4.40; พบญ 4.42; พบญ 5.1; พบญ 5.3; พบญ 5.5; พบญ 5.11; พบญ 5.14; พบญ 5.16; พบญ 5.25; พบญ 5.27; พบญ 5.29; พบญ 5.31; พบญ 5.32; พบญ 5.33; พบญ 6.1; พบญ 6.2; พบญ 6.3; พบญ 6.10; พบญ 6.12; พบญ 6.15; พบญ 6.18; พบญ 6.20; พบญ 6.21; พบญ 6.23; พบญ 6.24; พบญ 6.25; พบญ 7.1; พบญ 7.2; พบญ 7.4; พบญ 7.10; พบญ 7.11; พบญ 7.12; พบญ 7.13; พบญ 7.14; พบญ 7.15; พบญ 7.16; พบญ 7.17; พบญ 7.19; พบญ 7.20; พบญ 7.22; พบญ 7.23; พบญ 7.24; พบญ 7.25; พบญ 7.26; พบญ 8.1; พบญ 8.2; พบญ 8.3; พบญ 8.7; พบญ 8.9; พบญ 8.14; พบญ 8.16; พบญ 8.17; พบญ 8.18; พบญ 8.19; พบญ 8.20; พบญ 9.1; พบญ 9.2; พบญ 9.3; พบญ 9.5; พบญ 9.8; พบญ 9.9; พบญ 9.14; พบญ 9.19; พบญ 9.20; พบญ 9.25; พบญ 9.28; พบญ 10.2; พบญ 10.10; พบญ 10.11; พบญ 11.8; พบญ 11.9; พบญ 11.11; พบญ 11.13; พบญ 11.14; พบญ 11.15; พบญ 11.17; พบญ 11.21; พบญ 11.22; พบญ 11.23; พบญ 11.24; พบญ 11.25; พบญ 11.27; พบญ 11.28; พบญ 11.29; พบญ 11.31; พบญ 11.32; พบญ 12.1; พบญ 12.2; พบญ 12.5; พบญ 12.6; พบญ 12.11; พบญ 12.14; พบญ 12.15; พบญ 12.18; พบญ 12.20; พบญ 12.22; พบญ 12.25; พบญ 12.26; พบญ 12.28; พบญ 12.29; พบญ 12.30; พบญ 12.32; พบญ 13.5; พบญ 13.10; พบญ 13.11; พบญ 13.17; พบญ 14.21; พบญ 14.23; พบญ 14.24; พบญ 14.25; พบญ 14.26; พบญ 14.29; พบญ 15.2; พบญ 15.3; พบญ 15.4; พบญ 15.5; พบญ 15.6; พบญ 15.9; พบญ 15.10; พบญ 15.11; พบญ 15.16; พบญ 15.17; พบญ 15.18; พบญ 15.20; พบญ 16.2; พบญ 16.3; พบญ 16.6; พบญ 16.7; พบญ 16.10; พบญ 16.12; พบญ 16.15; พบญ 16.16; พบญ 16.20; พบญ 16.21; พบญ 17.7; พบญ 17.8; พบญ 17.9; พบญ 17.12; พบญ 17.13; พบญ 17.14; พบญ 17.16; พบญ 17.17; พบญ 17.19; พบญ 17.20; พบญ 18.1; พบญ 18.2; พบญ 18.3; พบญ 18.6; พบญ 18.7; พบญ 18.8; พบญ 18.9; พบญ 18.14; พบญ 18.15; พบญ 18.16; พบญ 18.18; พบญ 18.19; พบญ 18.21; พบญ 19.3; พบญ 19.5; พบญ 19.6; พบญ 19.8; พบญ 19.9; พบญ 19.10; พบญ 19.12; พบญ 19.13; พบญ 19.14; พบญ 19.15; พบญ 19.18; พบญ 19.19; พบญ 19.20; พบญ 20.1; พบญ 20.2; พบญ 20.3; พบญ 20.4; พบญ 20.5; พบญ 20.6; พบญ 20.7; พบญ 20.8; พบญ 20.10; พบญ 20.18; พบญ 20.19; พบญ 20.20; พบญ 21.5; พบญ 21.6; พบญ 21.7; พบญ 21.8; พบญ 21.9; พบญ 21.13; พบญ 21.14; พบญ 21.18; พบญ 21.20; พบญ 21.21; พบญ 22.7; พบญ 22.8; พบญ 22.15; พบญ 22.16; พบญ 22.17; พบญ 22.19; พบญ 22.21; พบญ 22.22; พบญ 22.24; พบญ 22.25; พบญ 22.26; พบญ 22.27; พบญ 22.29; พบญ 23.8; พบญ 23.11; พบญ 23.12; พบญ 23.14; พบญ 23.16; พบญ 23.20; พบญ 23.21; พบญ 23.22; พบญ 23.23; พบญ 23.24; พบญ 23.25; พบญ 24.4; พบญ 24.5; พบญ 24.7; พบญ 24.8; พบญ 24.11; พบญ 24.13; พบญ 24.14; พบญ 24.15; พบญ 24.19; พบญ 25.5; พบญ 25.6; พบญ 25.7; พบญ 25.8; พบญ 25.9; พบญ 25.10; พบญ 25.11; พบญ 25.15; พบญ 26.2; พบญ 26.3; พบญ 26.4; พบญ 26.12; พบญ 26.16; พบญ 26.17; พบญ 26.18; พบญ 26.19; พบญ 27.2; พบญ 27.22; พบญ 28.1; พบญ 28.2; พบญ 28.3; พบญ 28.4; พบญ 28.5; พบญ 28.6; พบญ 28.7; พบญ 28.8; พบญ 28.9; พบญ 28.10; พบญ 28.11; พบญ 28.12; พบญ 28.13; พบญ 28.14; พบญ 28.15; พบญ 28.16; พบญ 28.17; พบญ 28.18; พบญ 28.19; พบญ 28.20; พบญ 28.21; พบญ 28.22; พบญ 28.23; พบญ 28.24; พบญ 28.25; พบญ 28.26; พบญ 28.27; พบญ 28.28; พบญ 28.29; พบญ 28.30; พบญ 28.31; พบญ 28.32; พบญ 28.33; พบญ 28.34; พบญ 28.35; พบญ 28.36; พบญ 28.37; พบญ 28.38; พบญ 28.39; พบญ 28.40; พบญ 28.41; พบญ 28.42; พบญ 28.43; พบญ 28.44; พบญ 28.45; พบญ 28.46; พบญ 28.48; พบญ 28.49; พบญ 28.51; พบญ 28.52; พบญ 28.53; พบญ 28.54; พบญ 28.55; พบญ 28.56; พบญ 28.57; พบญ 28.58; พบญ 28.59; พบญ 28.60; พบญ 28.61; พบญ 28.62; พบญ 28.63; พบญ 28.64; พบญ 28.65; พบญ 28.66; พบญ 28.67; พบญ 28.68; พบญ 29.6; พบญ 29.9; พบญ 29.12; พบญ 29.13; พบญ 29.18; พบญ 29.19; พบญ 29.20; พบญ 29.21; พบญ 29.22; พบญ 29.24; พบญ 29.25; พบญ 29.29; พบญ 30.3; พบญ 30.4; พบญ 30.5; พบญ 30.6; พบญ 30.7; พบญ 30.8; พบญ 30.9; พบญ 30.12; พบญ 30.13; พบญ 30.16; พบญ 30.18; พบญ 30.19; พบญ 30.20; พบญ 31.2; พบญ 31.3; พบญ 31.4; พบญ 31.5; พบญ 31.6; พบญ 31.7; พบญ 31.8; พบญ 31.11; พบญ 31.12; พบญ 31.13; พบญ 31.14; พบญ 31.16; พบญ 31.17; พบญ 31.18; พบญ 31.19; พบญ 31.20; พบญ 31.21; พบญ 31.23; พบญ 31.27; พบญ 31.28; พบญ 31.29; พบญ 32.1; พบญ 32.3; พบญ 32.6; พบญ 32.7; พบญ 32.20; พบญ 32.21; พบญ 32.23; พบญ 32.24; พบญ 32.25; พบญ 32.26; พบญ 32.27; พบญ 32.29; พบญ 32.30; พบญ 32.35; พบญ 32.36; พบญ 32.37; พบญ 32.39; พบญ 32.41; พบญ 32.42; พบญ 32.43; พบญ 32.46; พบญ 32.47; พบญ 32.52; พบญ 33.10; พบญ 33.12; พบญ 33.17; พบญ 33.19; พบญ 33.25; พบญ 33.27; พบญ 33.28; พบญ 33.29; พบญ 34.4; ยชว 1.3; ยชว 1.4; ยชว 1.5; ยชว 1.6; ยชว 1.7; ยชว 1.8; ยชว 1.11; ยชว 1.15; ยชว 1.16; ยชว 1.17; ยชว 1.18; ยชว 2.2; ยชว 2.3; ยชว 2.5; ยชว 2.12; ยชว 2.14; ยชว 2.16; ยชว 2.17; ยชว 3.1; ยชว 3.4; ยชว 3.5; ยชว 3.7; ยชว 3.10; ยชว 3.11; ยชว 3.13; ยชว 3.14; ยชว 4.3; ยชว 4.6; ยชว 4.7; ยชว 4.10; ยชว 4.13; ยชว 4.21; ยชว 4.24; ยชว 5.6; ยชว 5.8; ยชว 5.14; ยชว 6.5; ยชว 6.10; ยชว 6.17; ยชว 6.18; ยชว 7.7; ยชว 7.8; ยชว 7.9; ยชว 7.12; ยชว 7.13; ยชว 7.25; ยชว 8.5; ยชว 8.6; ยชว 8.7; ยชว 8.18; ยชว 8.20; ยชว 8.26; ยชว 9.2; ยชว 9.7; ยชว 9.19; ยชว 9.20; ยชว 9.23; ยชว 9.24; ยชว 10.8; ยชว 10.25; ยชว 11.5; ยชว 11.6; ยชว 11.15; ยชว 11.20; ยชว 13.1; ยชว 13.6; ยชว 14.4; ยชว 14.9; ยชว 14.12; ยชว 15.4; ยชว 15.15; ยชว 15.16; ยชว 17.17; ยชว 17.18; ยชว 18.3; ยชว 18.4; ยชว 18.6; ยชว 18.8; ยชว 20.3; ยชว 20.4; ยชว 20.5; ยชว 20.6; ยชว 20.9; ยชว 21.2; ยชว 21.43; ยชว 22.3; ยชว 22.5; ยชว 22.12; ยชว 22.18; ยชว 22.22; ยชว 22.24; ยชว 22.27; ยชว 22.28; ยชว 22.33; ยชว 23.5; ยชว 23.6; ยชว 23.7; ยชว 23.10; ยชว 23.11; ยชว 23.13; ยชว 23.14; ยชว 23.15; ยชว 23.16; ยชว 24.15; ยชว 24.18; ยชว 24.19; ยชว 24.20; ยชว 24.21; ยชว 24.24; ยชว 24.27; วนฉ 1.1; วนฉ 1.2; วนฉ 1.3; วนฉ 1.12; วนฉ 1.19; วนฉ 1.24; วนฉ 2.1; วนฉ 2.3; วนฉ 2.21; วนฉ 2.22; วนฉ 3.2; วนฉ 3.4; วนฉ 3.19; วนฉ 4.7; วนฉ 4.8; วนฉ 4.9; วนฉ 4.22; วนฉ 5.3; วนฉ 5.16; วนฉ 6.5; วนฉ 6.15; วนฉ 6.16; วนฉ 6.18; วนฉ 6.23; วนฉ 6.31; วนฉ 6.36; วนฉ 6.37; วนฉ 7.2; วนฉ 7.4; วนฉ 7.7; วนฉ 7.11; วนฉ 7.20; วนฉ 8.2; วนฉ 8.3; วนฉ 8.4; วนฉ 8.6; วนฉ 8.7; วนฉ 8.9; วนฉ 8.15; วนฉ 8.19; วนฉ 8.23; วนฉ 8.24; วนฉ 8.25; วนฉ 9.2; วนฉ 9.7; วนฉ 9.9; วนฉ 9.11; วนฉ 9.13; วนฉ 9.15; วนฉ 9.24; วนฉ 9.28; วนฉ 9.29; วนฉ 9.33; วนฉ 9.52; วนฉ 9.54; วนฉ 10.13; วนฉ 10.18; วนฉ 11.2; วนฉ 11.5; วนฉ 11.6; วนฉ 11.7; วนฉ 11.8; วนฉ 11.9; วนฉ 11.10; วนฉ 11.20; วนฉ 11.23; วนฉ 11.25; วนฉ 11.31; วนฉ 11.35; วนฉ 11.37; วนฉ 12.1; วนฉ 12.3; วนฉ 12.5; วนฉ 12.6; วนฉ 13.3; วนฉ 13.5; วนฉ 13.7; วนฉ 13.8; วนฉ 13.15; วนฉ 13.16; วนฉ 13.17; วนฉ 13.22; วนฉ 13.23; วนฉ 14.4; วนฉ 14.12; วนฉ 14.13; วนฉ 14.15; วนฉ 14.16; วนฉ 15.1; วนฉ 15.3; วนฉ 15.7; วนฉ 15.10; วนฉ 15.12; วนฉ 15.13; วนฉ 15.18; วนฉ 16.2; วนฉ 16.5; วนฉ 16.6; วนฉ 16.7; วนฉ 16.10; วนฉ 16.11; วนฉ 16.13; วนฉ 16.16; วนฉ 16.17; วนฉ 16.20; วนฉ 16.26; วนฉ 16.28; วนฉ 17.10; วนฉ 17.11; วนฉ 17.13; วนฉ 18.1; วนฉ 18.5; วนฉ 18.6; วนฉ 18.7; วนฉ 18.8; วนฉ 18.9; วนฉ 18.10; วนฉ 18.14; วนฉ 18.19; วนฉ 18.24; วนฉ 18.25; วนฉ 19.3; วนฉ 19.5; วนฉ 19.7; วนฉ 19.8; วนฉ 19.9; วนฉ 19.12; วนฉ 19.15; วนฉ 19.17; วนฉ 19.18; วนฉ 19.19; วนฉ 19.24; วนฉ 19.27; วนฉ 20.4; วนฉ 20.5; วนฉ 20.8; วนฉ 20.9; วนฉ 20.10; วนฉ 20.13; วนฉ 20.18; วนฉ 20.23; วนฉ 20.28; วนฉ 21.1; วนฉ 21.3; วนฉ 21.5; วนฉ 21.7; วนฉ 21.15; วนฉ 21.16; วนฉ 21.17; วนฉ 21.18; วนฉ 21.22; นรธ 1.10; นรธ 1.11; นรธ 1.12; นรธ 1.13; นรธ 1.16; นรธ 1.17; นรธ 1.18; นรธ 1.21; นรธ 2.2; นรธ 2.21; นรธ 2.22; นรธ 3.1; นรธ 3.2; นรธ 3.3; นรธ 3.4; นรธ 3.5; นรธ 3.11; นรธ 3.13; นรธ 3.14; นรธ 3.18; นรธ 4.3; นรธ 4.4; นรธ 4.5; นรธ 4.6; นรธ 4.7; นรธ 4.10; นรธ 4.11; นรธ 4.12; 1ซมอ 1.11; 1ซมอ 1.14; 1ซมอ 1.22; 1ซมอ 1.28; 1ซมอ 2.9; 1ซมอ 2.10; 1ซมอ 2.13; 1ซมอ 2.14; 1ซมอ 2.16; 1ซมอ 2.25; 1ซมอ 2.28; 1ซมอ 2.30; 1ซมอ 2.31; 1ซมอ 2.32; 1ซมอ 2.33; 1ซมอ 2.34; 1ซมอ 2.35; 1ซมอ 2.36; 1ซมอ 3.11; 1ซมอ 3.12; 1ซมอ 3.13; 1ซมอ 3.14; 1ซมอ 4.3; 1ซมอ 4.8; 1ซมอ 4.9; 1ซมอ 4.19; 1ซมอ 4.20; 1ซมอ 5.8; 1ซมอ 5.10; 1ซมอ 5.11; 1ซมอ 6.2; 1ซมอ 6.3; 1ซมอ 6.4; 1ซมอ 6.5; 1ซมอ 6.9; 1ซมอ 6.20; 1ซมอ 7.3; 1ซมอ 7.5; 1ซมอ 7.10; 1ซมอ 7.17; 1ซมอ 8.9; 1ซมอ 8.11; 1ซมอ 8.12; 1ซมอ 8.13; 1ซมอ 8.14; 1ซมอ 8.15; 1ซมอ 8.16; 1ซมอ 8.17; 1ซมอ 8.18; 1ซมอ 8.19; 1ซมอ 8.20; 1ซมอ 9.2; 1ซมอ 9.5; 1ซมอ 9.6; 1ซมอ 9.7; 1ซมอ 9.8; 1ซมอ 9.9; 1ซมอ 9.13; 1ซมอ 9.14; 1ซมอ 9.16; 1ซมอ 9.17; 1ซมอ 9.19; 1ซมอ 9.26; 1ซมอ 9.27; 1ซมอ 10.2; 1ซมอ 10.3; 1ซมอ 10.4; 1ซมอ 10.5; 1ซมอ 10.6; 1ซมอ 10.8; 1ซมอ 10.9; 1ซมอ 10.27; 1ซมอ 11.1; 1ซมอ 11.2; 1ซมอ 11.3; 1ซมอ 11.7; 1ซมอ 11.9; 1ซมอ 11.10; 1ซมอ 11.12; 1ซมอ 12.3; 1ซมอ 12.7; 1ซมอ 12.10; 1ซมอ 12.14; 1ซมอ 12.15; 1ซมอ 12.16; 1ซมอ 12.17; 1ซมอ 12.19; 1ซมอ 12.22; 1ซมอ 12.23; 1ซมอ 12.25; 1ซมอ 13.5; 1ซมอ 13.12; 1ซมอ 13.13; 1ซมอ 13.14; 1ซมอ 13.19; 1ซมอ 13.22; 1ซมอ 14.4; 1ซมอ 14.6; 1ซมอ 14.7; 1ซมอ 14.8; 1ซมอ 14.9; 1ซมอ 14.10; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.30; 1ซมอ 14.37; 1ซมอ 14.39; 1ซมอ 14.40; 1ซมอ 14.44; 1ซมอ 14.45; 1ซมอ 14.47; 1ซมอ 15.2; 1ซมอ 15.6; 1ซมอ 15.12; 1ซมอ 15.16; 1ซมอ 15.18; 1ซมอ 15.22; 1ซมอ 15.25; 1ซมอ 15.26; 1ซมอ 15.27; 1ซมอ 15.29; 1ซมอ 15.30; 1ซมอ 15.33; 1ซมอ 16.1; 1ซมอ 16.2; 1ซมอ 16.3; 1ซมอ 16.11; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 17.1; 1ซมอ 17.9; 1ซมอ 17.21; 1ซมอ 17.25; 1ซมอ 17.26; 1ซมอ 17.27; 1ซมอ 17.28; 1ซมอ 17.32; 1ซมอ 17.33; 1ซมอ 17.37; 1ซมอ 17.39; 1ซมอ 17.44; 1ซมอ 17.46; 1ซมอ 17.47; 1ซมอ 18.5; 1ซมอ 18.8; 1ซมอ 18.11; 1ซมอ 18.17; 1ซมอ 18.18; 1ซมอ 18.19; 1ซมอ 18.21; 1ซมอ 18.23; 1ซมอ 18.25; 1ซมอ 18.26; 1ซมอ 18.27; 1ซมอ 18.30; 1ซมอ 19.2; 1ซมอ 19.3; 1ซมอ 19.5; 1ซมอ 19.6; 1ซมอ 19.11; 1ซมอ 19.15; 1ซมอ 19.17; 1ซมอ 20.2; 1ซมอ 20.3; 1ซมอ 20.4; 1ซมอ 20.5; 1ซมอ 20.8; 1ซมอ 20.9; 1ซมอ 20.10; 1ซมอ 20.12; 1ซมอ 20.13; 1ซมอ 20.14; 1ซมอ 20.18; 1ซมอ 20.20; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 20.31; 1ซมอ 20.32; 1ซมอ 20.33; 1ซมอ 20.42; 1ซมอ 22.3; 1ซมอ 22.7; 1ซมอ 22.14; 1ซมอ 22.16; 1ซมอ 22.22; 1ซมอ 22.23; 1ซมอ 23.2; 1ซมอ 23.3; 1ซมอ 23.4; 1ซมอ 23.10; 1ซมอ 23.11; 1ซมอ 23.12; 1ซมอ 23.13; 1ซมอ 23.17; 1ซมอ 23.20; 1ซมอ 23.23; 1ซมอ 23.26; 1ซมอ 24.4; 1ซมอ 24.6; 1ซมอ 24.9; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 24.11; 1ซมอ 24.12; 1ซมอ 24.13; 1ซมอ 24.19; 1ซมอ 24.20; 1ซมอ 24.21; 1ซมอ 25.8; 1ซมอ 25.11; 1ซมอ 25.14; 1ซมอ 25.17; 1ซมอ 25.19; 1ซมอ 25.28; 1ซมอ 25.29; 1ซมอ 25.30; 1ซมอ 25.31; 1ซมอ 25.34; 1ซมอ 25.41; 1ซมอ 26.6; 1ซมอ 26.9; 1ซมอ 26.10; 1ซมอ 26.15; 1ซมอ 26.21; 1ซมอ 26.25; 1ซมอ 27.1; 1ซมอ 27.5; 1ซมอ 27.11; 1ซมอ 28.1; 1ซมอ 28.2; 1ซมอ 28.7; 1ซมอ 28.8; 1ซมอ 28.10; 1ซมอ 28.11; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 28.16; 1ซมอ 28.19; 1ซมอ 28.22; 1ซมอ 29.4; 1ซมอ 29.8; 1ซมอ 30.4; 1ซมอ 30.6; 1ซมอ 30.8; 1ซมอ 30.10; 1ซมอ 30.15; 1ซมอ 30.21; 1ซมอ 30.22; 1ซมอ 30.24; 1ซมอ 31.4; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 1.18; 2ซมอ 1.20; 2ซมอ 2.1; 2ซมอ 2.6; 2ซมอ 2.22; 2ซมอ 2.24; 2ซมอ 2.26; 2ซมอ 2.27; 2ซมอ 3.9; 2ซมอ 3.10; 2ซมอ 3.12; 2ซมอ 3.13; 2ซมอ 3.18; 2ซมอ 3.19; 2ซมอ 3.21; 2ซมอ 3.27; 2ซมอ 3.33; 2ซมอ 3.37; 2ซมอ 4.6; 2ซมอ 4.10; 2ซมอ 4.11; 2ซมอ 5.2; 2ซมอ 5.6; 2ซมอ 5.8; 2ซมอ 5.19; 2ซมอ 5.24; 2ซมอ 6.9; 2ซมอ 6.10; 2ซมอ 6.21; 2ซมอ 6.22; 2ซมอ 7.5; 2ซมอ 7.10; 2ซมอ 7.11; 2ซมอ 7.12; 2ซมอ 7.13; 2ซมอ 7.14; 2ซมอ 7.15; 2ซมอ 7.16; 2ซมอ 7.19; 2ซมอ 7.20; 2ซมอ 7.23; 2ซมอ 7.26; 2ซมอ 7.27; 2ซมอ 7.28; 2ซมอ 7.29; 2ซมอ 8.6; 2ซมอ 8.14; 2ซมอ 9.1; 2ซมอ 9.3; 2ซมอ 9.7; 2ซมอ 9.8; 2ซมอ 9.10; 2ซมอ 9.11; 2ซมอ 10.2; 2ซมอ 10.3; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.11; 2ซมอ 11.11; 2ซมอ 11.12; 2ซมอ 11.20; 2ซมอ 12.4; 2ซมอ 12.5; 2ซมอ 12.6; 2ซมอ 12.8; 2ซมอ 12.10; 2ซมอ 12.11; 2ซมอ 12.12; 2ซมอ 12.13; 2ซมอ 12.14; 2ซมอ 12.17; 2ซมอ 12.18; 2ซมอ 12.22; 2ซมอ 12.23; 2ซมอ 12.28; 2ซมอ 13.2; 2ซมอ 13.4; 2ซมอ 13.5; 2ซมอ 13.6; 2ซมอ 13.10; 2ซมอ 13.13; 2ซมอ 13.16; 2ซมอ 13.25; 2ซมอ 14.7; 2ซมอ 14.8; 2ซมอ 14.10; 2ซมอ 14.11; 2ซมอ 14.13; 2ซมอ 14.14; 2ซมอ 14.15; 2ซมอ 14.16; 2ซมอ 14.17; 2ซมอ 14.18; 2ซมอ 14.20; 2ซมอ 14.29; 2ซมอ 14.32; 2ซมอ 15.2; 2ซมอ 15.3; 2ซมอ 15.4; 2ซมอ 15.5; 2ซมอ 15.8; 2ซมอ 15.14; 2ซมอ 15.15; 2ซมอ 15.20; 2ซมอ 15.21; 2ซมอ 15.25; 2ซมอ 15.28; 2ซมอ 15.33; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 16.2; 2ซมอ 16.3; 2ซมอ 16.10; 2ซมอ 16.11; 2ซมอ 16.12; 2ซมอ 16.18; 2ซมอ 16.19; 2ซมอ 16.20; 2ซมอ 16.21; 2ซมอ 17.1; 2ซมอ 17.2; 2ซมอ 17.3; 2ซมอ 17.5; 2ซมอ 17.6; 2ซมอ 17.9; 2ซมอ 17.10; 2ซมอ 17.12; 2ซมอ 17.13; 2ซมอ 17.14; 2ซมอ 17.16; 2ซมอ 18.2; 2ซมอ 18.3; 2ซมอ 18.4; 2ซมอ 18.11; 2ซมอ 18.12; 2ซมอ 18.13; 2ซมอ 18.18; 2ซมอ 18.22; 2ซมอ 18.23; 2ซมอ 18.33; 2ซมอ 19.6; 2ซมอ 19.7; 2ซมอ 19.10; 2ซมอ 19.11; 2ซมอ 19.12; 2ซมอ 19.16; 2ซมอ 19.21; 2ซมอ 19.22; 2ซมอ 19.23; 2ซมอ 19.25; 2ซมอ 19.26; 2ซมอ 19.27; 2ซมอ 19.28; 2ซมอ 19.29; 2ซมอ 19.33; 2ซมอ 19.34; 2ซมอ 19.35; 2ซมอ 19.36; 2ซมอ 19.37; 2ซมอ 19.38; 2ซมอ 19.42; 2ซมอ 20.6; 2ซมอ 20.9; 2ซมอ 20.15; 2ซมอ 20.16; 2ซมอ 20.19; 2ซมอ 20.20; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 21.2; 2ซมอ 21.3; 2ซมอ 21.4; 2ซมอ 21.6; 2ซมอ 21.16; 2ซมอ 21.17; 2ซมอ 22.3; 2ซมอ 22.4; 2ซมอ 22.29; 2ซมอ 22.44; 2ซมอ 22.45; 2ซมอ 22.50; 2ซมอ 23.6; 2ซมอ 23.15; 2ซมอ 23.17; 2ซมอ 24.2; 2ซมอ 24.4; 2ซมอ 24.12; 2ซมอ 24.13; 2ซมอ 24.16; 2ซมอ 24.21; 2ซมอ 24.24; 1พกษ 1.1; 1พกษ 1.2; 1พกษ 1.5; 1พกษ 1.12; 1พกษ 1.13; 1พกษ 1.14; 1พกษ 1.17; 1พกษ 1.20; 1พกษ 1.21; 1พกษ 1.24; 1พกษ 1.27; 1พกษ 1.30; 1พกษ 1.35; 1พกษ 1.51; 1พกษ 1.52; 1พกษ 2.1; 1พกษ 2.2; 1พกษ 2.3; 1พกษ 2.4; 1พกษ 2.8; 1พกษ 2.9; 1พกษ 2.14; 1พกษ 2.15; 1พกษ 2.18; 1พกษ 2.20; 1พกษ 2.22; 1พกษ 2.24; 1พกษ 2.26; 1พกษ 2.30; 1พกษ 2.31; 1พกษ 2.33; 1พกษ 2.37; 1พกษ 2.38; 1พกษ 2.42; 1พกษ 2.44; 1พกษ 2.45; 1พกษ 3.7; 1พกษ 3.8; 1พกษ 3.9; 1พกษ 3.12; 1พกษ 3.13; 1พกษ 3.14; 1พกษ 3.28; 1พกษ 5.3; 1พกษ 5.5; 1พกษ 5.6; 1พกษ 5.8; 1พกษ 5.9; 1พกษ 5.14; 1พกษ 6.6; 1พกษ 6.12; 1พกษ 6.13; 1พกษ 6.19; 1พกษ 7.8; 1พกษ 7.14; 1พกษ 7.16; 1พกษ 8.1; 1พกษ 8.5; 1พกษ 8.8; 1พกษ 8.12; 1พกษ 8.13; 1พกษ 8.16; 1พกษ 8.17; 1พกษ 8.19; 1พกษ 8.25; 1พกษ 8.27; 1พกษ 8.29; 1พกษ 8.36; 1พกษ 8.37; 1พกษ 8.40; 1พกษ 8.42; 1พกษ 8.43; 1พกษ 8.44; 1พกษ 8.50; 1พกษ 8.58; 1พกษ 8.60; 1พกษ 8.61; 1พกษ 9.1; 1พกษ 9.3; 1พกษ 9.5; 1พกษ 9.7; 1พกษ 9.8; 1พกษ 9.9; 1พกษ 9.19; 1พกษ 9.21; 1พกษ 10.3; 1พกษ 10.9; 1พกษ 10.24; 1พกษ 10.29; 1พกษ 11.2; 1พกษ 11.11; 1พกษ 11.12; 1พกษ 11.13; 1พกษ 11.21; 1พกษ 11.22; 1พกษ 11.31; 1พกษ 11.32; 1พกษ 11.33; 1พกษ 11.34; 1พกษ 11.35; 1พกษ 11.36; 1พกษ 11.37; 1พกษ 11.38; 1พกษ 11.39; 1พกษ 11.40; 1พกษ 12.1; 1พกษ 12.4; 1พกษ 12.6; 1พกษ 12.7; 1พกษ 12.9; 1พกษ 12.11; 1พกษ 12.14; 1พกษ 12.15; 1พกษ 12.21; 1พกษ 12.26; 1พกษ 12.27; 1พกษ 13.1; 1พกษ 13.2; 1พกษ 13.3; 1พกษ 13.4; 1พกษ 13.6; 1พกษ 13.7; 1พกษ 13.8; 1พกษ 13.16; 1พกษ 13.18; 1พกษ 13.22; 1พกษ 13.32; 1พกษ 13.34; 1พกษ 14.2; 1พกษ 14.3; 1พกษ 14.5; 1พกษ 14.10; 1พกษ 14.11; 1พกษ 14.12; 1พกษ 14.13; 1พกษ 14.14; 1พกษ 14.15; 1พกษ 14.16; 1พกษ 14.21; 1พกษ 15.19; 1พกษ 16.3; 1พกษ 16.4; 1พกษ 16.11; 1พกษ 17.1; 1พกษ 17.4; 1พกษ 17.10; 1พกษ 17.11; 1พกษ 17.12; 1พกษ 17.14; 1พกษ 18.1; 1พกษ 18.5; 1พกษ 18.6; 1พกษ 18.9; 1พกษ 18.12; 1พกษ 18.14; 1พกษ 18.15; 1พกษ 18.21; 1พกษ 18.23; 1พกษ 18.24; 1พกษ 18.27; 1พกษ 18.31; 1พกษ 18.37; 1พกษ 18.44; 1พกษ 19.10; 1พกษ 19.14; 1พกษ 19.17; 1พกษ 19.20; 1พกษ 20.6; 1พกษ 20.9; 1พกษ 20.10; 1พกษ 20.13; 1พกษ 20.14; 1พกษ 20.22; 1พกษ 20.23; 1พกษ 20.25; 1พกษ 20.28; 1พกษ 20.31; 1พกษ 20.34; 1พกษ 20.36; 1พกษ 20.39; 1พกษ 20.42; 1พกษ 21.2; 1พกษ 21.3; 1พกษ 21.4; 1พกษ 21.6; 1พกษ 21.7; 1พกษ 21.19; 1พกษ 21.21; 1พกษ 21.22; 1พกษ 21.23; 1พกษ 21.24; 1พกษ 21.29; 1พกษ 22.4; 1พกษ 22.6; 1พกษ 22.7; 1พกษ 22.8; 1พกษ 22.11; 1พกษ 22.12; 1พกษ 22.14; 1พกษ 22.15; 1พกษ 22.16; 1พกษ 22.18; 1พกษ 22.20; 1พกษ 22.21; 1พกษ 22.22; 1พกษ 22.25; 1พกษ 22.27; 1พกษ 22.30; 1พกษ 22.48; 2พกษ 1.2; 2พกษ 1.4; 2พกษ 1.6; 2พกษ 1.16; 2พกษ 2.1; 2พกษ 2.2; 2พกษ 2.3; 2พกษ 2.4; 2พกษ 2.5; 2พกษ 2.6; 2พกษ 2.9; 2พกษ 2.10; 2พกษ 2.21; 2พกษ 3.7; 2พกษ 3.8; 2พกษ 3.10; 2พกษ 3.11; 2พกษ 3.14; 2พกษ 3.17; 2พกษ 3.18; 2พกษ 3.19; 2พกษ 3.26; 2พกษ 3.27; 2พกษ 4.2; 2พกษ 4.10; 2พกษ 4.13; 2พกษ 4.14; 2พกษ 4.16; 2พกษ 4.22; 2พกษ 4.23; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.30; 2พกษ 4.43; 2พกษ 5.3; 2พกษ 5.5; 2พกษ 5.7; 2พกษ 5.8; 2พกษ 5.10; 2พกษ 5.11; 2พกษ 5.12; 2พกษ 5.13; 2พกษ 5.16; 2พกษ 5.17; 2พกษ 5.18; 2พกษ 5.20; 2พกษ 5.26; 2พกษ 5.27; 2พกษ 6.3; 2พกษ 6.8; 2พกษ 6.11; 2พกษ 6.13; 2พกษ 6.15; 2พกษ 6.17; 2พกษ 6.19; 2พกษ 6.20; 2พกษ 6.21; 2พกษ 6.22; 2พกษ 6.27; 2พกษ 6.28; 2พกษ 6.29; 2พกษ 6.32; 2พกษ 6.33; 2พกษ 7.1; 2พกษ 7.2; 2พกษ 7.3; 2พกษ 7.4; 2พกษ 7.5; 2พกษ 7.9; 2พกษ 7.12; 2พกษ 7.13; 2พกษ 7.19; 2พกษ 8.1; 2พกษ 8.8; 2พกษ 8.9; 2พกษ 8.10; 2พกษ 8.12; 2พกษ 8.13; 2พกษ 8.14; 2พกษ 8.19; 2พกษ 9.7; 2พกษ 9.8; 2พกษ 9.9; 2พกษ 9.10; 2พกษ 9.22; 2พกษ 9.26; 2พกษ 9.35; 2พกษ 9.36; 2พกษ 9.37; 2พกษ 10.4; 2พกษ 10.5; 2พกษ 10.6; 2พกษ 10.10; 2พกษ 10.18; 2พกษ 10.19; 2พกษ 10.30; 2พกษ 10.31; 2พกษ 11.2; 2พกษ 11.9; 2พกษ 12.4; 2พกษ 12.8; 2พกษ 12.11; 2พกษ 12.17; 2พกษ 13.14; 2พกษ 13.17; 2พกษ 13.19; 2พกษ 13.23; 2พกษ 14.10; 2พกษ 14.27; 2พกษ 15.12; 2พกษ 15.19; 2พกษ 16.15; 2พกษ 17.28; 2พกษ 17.37; 2พกษ 17.39; 2พกษ 18.14; 2พกษ 18.21; 2พกษ 18.22; 2พกษ 18.23; 2พกษ 18.24; 2พกษ 18.27; 2พกษ 18.29; 2พกษ 18.30; 2พกษ 18.31; 2พกษ 18.32; 2พกษ 18.35; 2พกษ 19.4; 2พกษ 19.7; 2พกษ 19.10; 2พกษ 19.11; 2พกษ 19.19; 2พกษ 19.23; 2พกษ 19.25; 2พกษ 19.26; 2พกษ 19.28; 2พกษ 19.29; 2พกษ 19.30; 2พกษ 19.31; 2พกษ 19.32; 2พกษ 19.33; 2พกษ 19.34; 2พกษ 20.1; 2พกษ 20.4; 2พกษ 20.5; 2พกษ 20.6; 2พกษ 20.8; 2พกษ 20.9; 2พกษ 20.10; 2พกษ 20.17; 2พกษ 20.18; 2พกษ 21.4; 2พกษ 21.7; 2พกษ 21.8; 2พกษ 21.12; 2พกษ 21.13; 2พกษ 21.14; 2พกษ 22.16; 2พกษ 22.17; 2พกษ 22.19; 2พกษ 22.20; 2พกษ 23.3; 2พกษ 23.10; 2พกษ 23.24; 2พกษ 23.27; 2พกษ 24.2; 2พกษ 24.3; 2พกษ 25.16; 2พกษ 25.24; 1พศด 5.18; 1พศด 7.11; 1พศด 9.13; 1พศด 9.25; 1พศด 9.28; 1พศด 10.4; 1พศด 11.2; 1พศด 11.5; 1พศด 11.6; 1พศด 11.17; 1พศด 11.19; 1พศด 12.17; 1พศด 12.19; 1พศด 12.22; 1พศด 12.23; 1พศด 12.36; 1พศด 12.38; 1พศด 13.4; 1พศด 13.5; 1พศด 13.6; 1พศด 13.12; 1พศด 14.1; 1พศด 14.10; 1พศด 15.2; 1พศด 15.3; 1พศด 15.12; 1พศด 15.14; 1พศด 16.5; 1พศด 16.6; 1พศด 16.18; 1พศด 16.25; 1พศด 16.30; 1พศด 16.33; 1พศด 16.35; 1พศด 17.9; 1พศด 17.10; 1พศด 17.11; 1พศด 17.12; 1พศด 17.13; 1พศด 17.14; 1พศด 17.17; 1พศด 17.18; 1พศด 17.19; 1พศด 17.24; 1พศด 17.25; 1พศด 17.27; 1พศด 19.2; 1พศด 19.5; 1พศด 19.12; 1พศด 21.2; 1พศด 21.10; 1พศด 21.12; 1พศด 21.15; 1พศด 21.22; 1พศด 21.24; 1พศด 21.30; 1พศด 22.3; 1พศด 22.5; 1พศด 22.7; 1พศด 22.9; 1พศด 22.10; 1พศด 22.13; 1พศด 22.14; 1พศด 22.16; 1พศด 22.19; 1พศด 23.4; 1พศด 23.5; 1พศด 23.24; 1พศด 23.25; 1พศด 23.28; 1พศด 23.30; 1พศด 23.32; 1พศด 24.19; 1พศด 25.1; 1พศด 25.5; 1พศด 26.10; 1พศด 27.23; 1พศด 28.2; 1พศด 28.6; 1พศด 28.7; 1พศด 28.8; 1พศด 28.9; 1พศด 28.15; 1พศด 28.19; 1พศด 28.20; 1พศด 28.21; 1พศด 29.4; 1พศด 29.5; 1พศด 29.12; 1พศด 29.14; 1พศด 29.19; 2พศด 1.10; 2พศด 1.11; 2พศด 1.12; 2พศด 2.1; 2พศด 2.4; 2พศด 2.5; 2พศด 2.6; 2พศด 2.7; 2พศด 2.8; 2พศด 2.9; 2พศด 2.10; 2พศด 2.12; 2พศด 2.14; 2พศด 2.16; 2พศด 4.6; 2พศด 5.2; 2พศด 5.6; 2พศด 5.9; 2พศด 5.13; 2พศด 5.14; 2พศด 6.1; 2พศด 6.2; 2พศด 6.5; 2พศด 6.6; 2พศด 6.7; 2พศด 6.9; 2พศด 6.16; 2พศด 6.18; 2พศด 6.20; 2พศด 6.27; 2พศด 6.28; 2พศด 6.31; 2พศด 6.33; 2พศด 6.34; 2พศด 7.11; 2พศด 7.14; 2พศด 7.15; 2พศด 7.16; 2พศด 7.18; 2พศด 7.19; 2พศด 7.20; 2พศด 7.21; 2พศด 7.22; 2พศด 8.6; 2พศด 9.2; 2พศด 9.8; 2พศด 9.12; 2พศด 9.23; 2พศด 10.1; 2พศด 10.4; 2พศด 10.6; 2พศด 10.7; 2พศด 10.9; 2พศด 10.11; 2พศด 10.14; 2พศด 10.15; 2พศด 11.1; 2พศด 11.22; 2พศด 12.7; 2พศด 12.8; 2พศด 12.13; 2พศด 12.14; 2พศด 13.5; 2พศด 13.8; 2พศด 13.9; 2พศด 13.12; 2พศด 13.13; 2พศด 15.2; 2พศด 15.7; 2พศด 15.12; 2พศด 15.13; 2พศด 16.1; 2พศด 16.3; 2พศด 16.9; 2พศด 18.3; 2พศด 18.5; 2พศด 18.6; 2พศด 18.7; 2พศด 18.10; 2พศด 18.11; 2พศด 18.13; 2พศด 18.14; 2พศด 18.15; 2พศด 18.17; 2พศด 18.19; 2พศด 18.20; 2พศด 18.21; 2พศด 18.24; 2พศด 18.26; 2พศด 18.29; 2พศด 18.31; 2พศด 19.2; 2พศด 19.6; 2พศด 19.8; 2พศด 19.10; 2พศด 19.11; 2พศด 20.9; 2พศด 20.12; 2พศด 20.16; 2พศด 20.17; 2พศด 20.20; 2พศด 20.21; 2พศด 20.37; 2พศด 21.7; 2พศด 21.14; 2พศด 21.15; 2พศด 22.7; 2พศด 22.11; 2พศด 23.3; 2พศด 23.6; 2พศด 23.7; 2พศด 23.8; 2พศด 23.16; 2พศด 24.4; 2พศด 24.11; 2พศด 24.22; 2พศด 25.8; 2พศด 25.9; 2พศด 25.16; 2พศด 25.19; 2พศด 25.20; 2พศด 26.18; 2พศด 26.19; 2พศด 28.10; 2พศด 28.13; 2พศด 28.20; 2พศด 28.23; 2พศด 29.10; 2พศด 29.34; 2พศด 30.1; 2พศด 30.2; 2พศด 30.3; 2พศด 30.6; 2พศด 30.8; 2พศด 30.9; 2พศด 30.12; 2พศด 30.19; 2พศด 30.23; 2พศด 31.4; 2พศด 32.1; 2พศด 32.2; 2พศด 32.3; 2พศด 32.4; 2พศด 32.11; 2พศด 32.13; 2พศด 32.14; 2พศด 32.15; 2พศด 32.17; 2พศด 32.18; 2พศด 32.24; 2พศด 32.31; 2พศด 33.4; 2พศด 33.7; 2พศด 33.8; 2พศด 34.11; 2พศด 34.24; 2พศด 34.25; 2พศด 34.28; 2พศด 34.31; 2พศด 35.16; 2พศด 35.21; 2พศด 35.22; 2พศด 36.21; 2พศด 36.22; อสร 1.1; อสร 1.4; อสร 2.63; อสร 2.68; อสร 4.3; อสร 4.12; อสร 4.13; อสร 4.14; อสร 4.15; อสร 4.16; อสร 4.21; อสร 4.22; อสร 5.5; อสร 5.10; อสร 6.10; อสร 6.21; อสร 7.10; อสร 7.13; อสร 7.16; อสร 7.18; อสร 7.20; อสร 7.23; อสร 7.24; อสร 7.25; อสร 7.26; อสร 8.21; อสร 8.22; อสร 9.6; อสร 9.8; อสร 9.9; อสร 9.10; อสร 9.12; อสร 9.14; อสร 9.15; อสร 10.2; อสร 10.3; อสร 10.4; อสร 10.5; อสร 10.8; อสร 10.13; อสร 10.19; นหม 1.6; นหม 1.8; นหม 1.9; นหม 1.11; นหม 2.2; นหม 2.3; นหม 2.4; นหม 2.5; นหม 2.6; นหม 2.7; นหม 2.8; นหม 2.14; นหม 2.16; นหม 2.17; นหม 2.20; นหม 4.2; นหม 4.3; นหม 4.4; นหม 4.6; นหม 4.8; นหม 4.11; นหม 4.12; นหม 4.20; นหม 4.22; นหม 5.2; นหม 5.3; นหม 5.5; นหม 5.8; นหม 5.9; นหม 5.12; นหม 5.18; นหม 6.2; นหม 6.3; นหม 6.6; นหม 6.7; นหม 6.9; นหม 6.10; นหม 6.11; นหม 6.13; นหม 7.3; นหม 7.5; นหม 7.65; นหม 8.13; นหม 8.14; นหม 8.15; นหม 9.8; นหม 9.12; นหม 9.15; นหม 9.17; นหม 9.19; นหม 9.29; นหม 10.29; นหม 10.30; นหม 10.31; นหม 10.32; นหม 10.36; นหม 10.37; นหม 10.38; นหม 10.39; นหม 11.1; นหม 12.24; นหม 12.27; นหม 13.18; นหม 13.19; นหม 13.21; นหม 13.27; อสธ 1.11; อสธ 1.15; อสธ 1.17; อสธ 1.18; อสธ 1.19; อสธ 1.20; อสธ 2.12; อสธ 2.13; อสธ 2.14; อสธ 2.15; อสธ 2.21; อสธ 3.4; อสธ 3.6; อสธ 3.9; อสธ 3.11; อสธ 4.4; อสธ 4.5; อสธ 4.11; อสธ 4.13; อสธ 4.14; อสธ 4.16; อสธ 5.3; อสธ 5.5; อสธ 5.6; อสธ 5.8; อสธ 6.2; อสธ 6.4; อสธ 6.6; อสธ 6.7; อสธ 6.9; อสธ 6.11; อสธ 6.13; อสธ 7.2; อสธ 7.4; อสธ 7.8; อสธ 8.6; อสธ 8.7; อสธ 8.8; อสธ 8.11; อสธ 8.13; อสธ 9.1; อสธ 9.2; อสธ 9.12; อสธ 9.27; อสธ 9.28; โยบ 1.4; โยบ 1.5; โยบ 1.11; โยบ 1.21; โยบ 2.5; โยบ 2.9; โยบ 2.10; โยบ 3.8; โยบ 3.13; โยบ 4.2; โยบ 4.17; โยบ 4.19; โยบ 4.21; โยบ 5.1; โยบ 5.8; โยบ 5.9; โยบ 5.12; โยบ 5.19; โยบ 5.20; โยบ 5.21; โยบ 5.22; โยบ 5.23; โยบ 5.24; โยบ 5.25; โยบ 5.26; โยบ 6.3; โยบ 6.6; โยบ 6.8; โยบ 6.9; โยบ 6.10; โยบ 6.11; โยบ 6.24; โยบ 6.28; โยบ 7.4; โยบ 7.7; โยบ 7.8; โยบ 7.10; โยบ 7.11; โยบ 7.13; โยบ 7.15; โยบ 7.16; โยบ 7.19; โยบ 7.20; โยบ 7.21; โยบ 8.2; โยบ 8.5; โยบ 8.6; โยบ 8.7; โยบ 8.9; โยบ 8.10; โยบ 8.11; โยบ 8.13; โยบ 8.14; โยบ 8.18; โยบ 8.19; โยบ 8.20; โยบ 8.21; โยบ 8.22; โยบ 9.2; โยบ 9.3; โยบ 9.10; โยบ 9.12; โยบ 9.13; โยบ 9.14; โยบ 9.15; โยบ 9.16; โยบ 9.18; โยบ 9.19; โยบ 9.20; โยบ 9.21; โยบ 9.27; โยบ 9.28; โยบ 9.31; โยบ 9.32; โยบ 9.33; โยบ 9.35; โยบ 10.1; โยบ 10.2; โยบ 10.3; โยบ 10.9; โยบ 10.16; โยบ 10.20; โยบ 10.21; โยบ 11.2; โยบ 11.5; โยบ 11.6; โยบ 11.7; โยบ 11.8; โยบ 11.10; โยบ 11.11; โยบ 11.15; โยบ 11.16; โยบ 11.17; โยบ 11.18; โยบ 11.19; โยบ 11.20; โยบ 12.2; โยบ 12.3; โยบ 12.5; โยบ 12.7; โยบ 12.8; โยบ 13.3; โยบ 13.5; โยบ 13.7; โยบ 13.8; โยบ 13.9; โยบ 13.10; โยบ 13.11; โยบ 13.13; โยบ 13.14; โยบ 13.15; โยบ 13.16; โยบ 13.18; โยบ 13.19; โยบ 13.20; โยบ 13.22; โยบ 13.25; โยบ 14.4; โยบ 14.7; โยบ 14.8; โยบ 14.9; โยบ 14.13; โยบ 14.14; โยบ 14.15; โยบ 15.2; โยบ 15.3; โยบ 15.14; โยบ 15.17; โยบ 15.21; โยบ 15.22; โยบ 15.24; โยบ 15.28; โยบ 15.29; โยบ 15.30; โยบ 15.31; โยบ 15.32; โยบ 15.33; โยบ 15.34; โยบ 16.3; โยบ 16.5; โยบ 16.6; โยบ 16.22; โยบ 17.3; โยบ 17.4; โยบ 17.5; โยบ 17.8; โยบ 17.9; โยบ 17.10; โยบ 17.13; โยบ 17.15; โยบ 17.16; โยบ 18.2; โยบ 18.4; โยบ 18.5; โยบ 18.6; โยบ 18.7; โยบ 18.9; โยบ 18.11; โยบ 18.12; โยบ 18.13; โยบ 18.14; โยบ 18.15; โยบ 18.16; โยบ 18.17; โยบ 18.18; โยบ 18.19; โยบ 18.20; โยบ 19.2; โยบ 19.5; โยบ 19.25; โยบ 19.26; โยบ 19.27; โยบ 19.29; โยบ 20.7; โยบ 20.8; โยบ 20.9; โยบ 20.10; โยบ 20.11; โยบ 20.12; โยบ 20.13; โยบ 20.15; โยบ 20.16; โยบ 20.17; โยบ 20.18; โยบ 20.20; โยบ 20.21; โยบ 20.22; โยบ 20.23; โยบ 20.24; โยบ 20.26; โยบ 20.27; โยบ 20.28; โยบ 21.3; โยบ 21.4; โยบ 21.15; โยบ 21.19; โยบ 21.20; โยบ 21.22; โยบ 21.27; โยบ 21.30; โยบ 21.32; โยบ 21.34; โยบ 22.2; โยบ 22.3; โยบ 22.4; โยบ 22.13; โยบ 22.17; โยบ 22.21; โยบ 22.23; โยบ 22.24; โยบ 22.25; โยบ 22.26; โยบ 22.27; โยบ 22.28; โยบ 22.29; โยบ 23.3; โยบ 23.4; โยบ 23.5; โยบ 23.6; โยบ 23.7; โยบ 23.10; โยบ 23.13; โยบ 23.14; โยบ 24.15; โยบ 24.20; โยบ 24.25; โยบ 25.4; โยบ 25.6; โยบ 26.14; โยบ 27.4; โยบ 27.5; โยบ 27.8; โยบ 27.9; โยบ 27.10; โยบ 27.11; โยบ 27.13; โยบ 27.15; โยบ 27.16; โยบ 27.17; โยบ 27.19; โยบ 27.22; โยบ 27.23; โยบ 28.12; โยบ 28.15; โยบ 28.16; โยบ 28.17; โยบ 28.19; โยบ 28.28; โยบ 29.2; โยบ 29.18; โยบ 29.19; โยบ 30.1; โยบ 30.2; โยบ 30.10; โยบ 30.23; โยบ 30.24; โยบ 31.1; โยบ 31.2; โยบ 31.12; โยบ 31.14; โยบ 31.28; โยบ 31.34; โยบ 31.36; โยบ 31.37; โยบ 32.6; โยบ 32.11; โยบ 32.14; โยบ 32.15; โยบ 32.16; โยบ 32.17; โยบ 32.19; โยบ 32.20; โยบ 32.21; โยบ 32.22; โยบ 33.3; โยบ 33.7; โยบ 33.12; โยบ 33.17; โยบ 33.18; โยบ 33.24; โยบ 33.25; โยบ 33.26; โยบ 33.28; โยบ 33.30; โยบ 33.31; โยบ 33.33; โยบ 34.7; โยบ 34.9; โยบ 34.10; โยบ 34.12; โยบ 34.15; โยบ 34.17; โยบ 34.18; โยบ 34.19; โยบ 34.22; โยบ 34.23; โยบ 34.29; โยบ 34.30; โยบ 34.31; โยบ 34.32; โยบ 34.33; โยบ 35.3; โยบ 35.4; โยบ 35.6; โยบ 35.14; โยบ 36.2; โยบ 36.3; โยบ 36.11; โยบ 36.12; โยบ 36.18; โยบ 36.19; โยบ 36.23; โยบ 36.24; โยบ 36.33; โยบ 37.7; โยบ 37.13; โยบ 37.19; โยบ 37.20; โยบ 37.23; โยบ 38.3; โยบ 38.13; โยบ 38.19; โยบ 38.20; โยบ 38.24; โยบ 38.34; โยบ 38.37; โยบ 39.9; โยบ 39.10; โยบ 39.11; โยบ 39.12; โยบ 39.15; โยบ 39.16; โยบ 40.2; โยบ 40.4; โยบ 40.5; โยบ 40.7; โยบ 40.8; โยบ 40.14; โยบ 40.23; โยบ 41.1; โยบ 41.3; โยบ 41.4; โยบ 41.5; โยบ 41.6; โยบ 41.8; โยบ 41.9; โยบ 41.10; โยบ 41.11; โยบ 41.12; โยบ 41.13; โยบ 41.14; โยบ 42.2; โยบ 42.4; โยบ 42.8; สดด 1.3; สดด 1.5; สดด 1.6; สดด 2.4; สดด 2.5; สดด 2.7; สดด 2.8; สดด 2.9; สดด 2.12; สดด 4.2; สดด 4.3; สดด 4.6; สดด 4.8; สดด 5.2; สดด 5.3; สดด 5.4; สดด 5.5; สดด 5.6; สดด 5.7; สดด 5.12; สดด 6.5; สดด 6.9; สดด 7.2; สดด 7.7; สดด 7.8; สดด 7.12; สดด 7.16; สดด 7.17; สดด 9.1; สดด 9.2; สดด 9.7; สดด 9.8; สดด 9.9; สดด 9.10; สดด 9.14; สดด 9.17; สดด 9.18; สดด 10.4; สดด 10.6; สดด 10.10; สดด 10.11; สดด 10.13; สดด 10.14; สดด 10.16; สดด 10.17; สดด 10.18; สดด 11.1; สดด 11.2; สดด 11.3; สดด 11.6; สดด 12.3; สดด 12.4; สดด 12.5; สดด 12.7; สดด 13.1; สดด 13.2; สดด 13.3; สดด 13.4; สดด 13.5; สดด 13.6; สดด 14.2; สดด 14.7; สดด 15.1; สดด 15.5; สดด 16.4; สดด 16.7; สดด 16.8; สดด 16.9; สดด 16.10; สดด 16.11; สดด 17.3; สดด 17.6; สดด 17.11; สดด 17.15; สดด 18.1; สดด 18.2; สดด 18.3; สดด 18.25; สดด 18.26; สดด 18.27; สดด 18.28; สดด 18.31; สดด 18.37; สดด 18.40; สดด 18.43; สดด 18.44; สดด 18.45; สดด 18.49; สดด 19.11; สดด 19.12; สดด 19.13; สดด 20.5; สดด 20.6; สดด 20.7; สดด 20.8; สดด 21.1; สดด 21.7; สดด 21.8; สดด 21.9; สดด 21.10; สดด 21.11; สดด 21.12; สดด 21.13; สดด 22.1; สดด 22.8; สดด 22.22; สดด 22.25; สดด 22.26; สดด 22.27; สดด 22.29; สดด 22.30; สดด 22.31; สดด 23.1; สดด 23.4; สดด 23.6; สดด 24.3; สดด 24.5; สดด 24.7; สดด 24.9; สดด 25.8; สดด 25.9; สดด 25.12; สดด 25.13; สดด 25.14; สดด 25.15; สดด 26.1; สดด 26.4; สดด 26.5; สดด 26.6; สดด 26.12; สดด 27.1; สดด 27.2; สดด 27.3; สดด 27.4; สดด 27.5; สดด 27.6; สดด 27.8; สดด 27.10; สดด 27.13; สดด 27.14; สดด 28.1; สดด 28.5; สดด 28.7; สดด 29.11; สดด 30.1; สดด 30.5; สดด 30.6; สดด 30.9; สดด 30.12; สดด 31.2; สดด 31.7; สดด 31.24; สดด 32.5; สดด 32.6; สดด 32.8; สดด 32.9; สดด 32.10; สดด 33.17; สดด 33.19; สดด 34.1; สดด 34.2; สดด 34.8; สดด 34.10; สดด 34.11; สดด 34.12; สดด 34.16; สดด 34.21; สดด 34.22; สดด 35.9; สดด 35.10; สดด 35.17; สดด 35.18; สดด 35.28; สดด 36.3; สดด 36.8; สดด 36.9; สดด 37.2; สดด 37.3; สดด 37.4; สดด 37.5; สดด 37.6; สดด 37.9; สดด 37.10; สดด 37.11; สดด 37.13; สดด 37.15; สดด 37.17; สดด 37.18; สดด 37.19; สดด 37.20; สดด 37.22; สดด 37.24; สดด 37.27; สดด 37.28; สดด 37.29; สดด 37.31; สดด 37.32; สดด 37.33; สดด 37.34; สดด 37.36; สดด 37.38; สดด 37.40; สดด 38.15; สดด 38.16; สดด 38.17; สดด 38.18; สดด 39.1; สดด 39.4; สดด 39.6; สดด 39.7; สดด 39.13; สดด 40.3; สดด 40.5; สดด 40.13; สดด 41.1; สดด 41.2; สดด 41.3; สดด 41.5; สดด 41.6; สดด 41.8; สดด 41.10; สดด 42.2; สดด 42.5; สดด 42.6; สดด 42.8; สดด 42.11; สดด 43.4; สดด 43.5; สดด 44.11; สดด 44.21; สดด 44.22; สดด 45.11; สดด 45.12; สดด 45.14; สดด 45.15; สดด 45.16; สดด 45.17; สดด 46.2; สดด 46.4; สดด 46.5; สดด 46.10; สดด 47.3; สดด 47.4; สดด 48.1; สดด 48.8; สดด 48.13; สดด 48.14; สดด 49.3; สดด 49.4; สดด 49.9; สดด 49.11; สดด 49.12; สดด 49.14; สดด 49.15; สดด 49.17; สดด 49.18; สดด 49.19; สดด 50.3; สดด 50.4; สดด 50.6; สดด 50.7; สดด 50.8; สดด 50.9; สดด 50.12; สดด 50.13; สดด 50.15; สดด 50.16; สดด 50.21; สดด 50.22; สดด 50.23; สดด 51.4; สดด 51.6; สดด 51.7; สดด 51.8; สดด 51.13; สดด 51.14; สดด 51.15; สดด 51.16; สดด 51.17; สดด 51.19; สดด 52.5; สดด 52.6; สดด 52.9; สดด 53.2; สดด 53.6; สดด 54.5; สดด 54.6; สดด 55.6; สดด 55.7; สดด 55.8; สดด 55.12; สดด 55.16; สดด 55.17; สดด 55.19; สดด 55.22; สดด 55.23; สดด 56.1; สดด 56.2; สดด 56.4; สดด 56.7; สดด 56.9; สดด 56.10; สดด 56.11; สดด 56.12; สดด 56.13; สดด 57.1; สดด 57.2; สดด 57.3; สดด 57.7; สดด 57.8; สดด 57.9; สดด 58.9; สดด 58.10; สดด 58.11; สดด 59.7; สดด 59.9; สดด 59.10; สดด 59.11; สดด 59.13; สดด 59.16; สดด 59.17; สดด 60.5; สดด 60.6; สดด 60.9; สดด 60.12; สดด 61.4; สดด 61.6; สดด 61.7; สดด 61.8; สดด 62.2; สดด 62.3; สดด 62.4; สดด 62.6; สดด 63.3; สดด 63.4; สดด 63.5; สดด 63.9; สดด 63.10; สดด 63.11; สดด 64.5; สดด 64.7; สดด 64.8; สดด 64.9; สดด 64.10; สดด 65.1; สดด 65.2; สดด 65.3; สดด 65.4; สดด 65.5; สดด 66.3; สดด 66.4; สดด 66.13; สดด 66.15; สดด 66.16; สดด 66.18; สดด 67.2; สดด 67.4; สดด 67.6; สดด 67.7; สดด 68.6; สดด 68.13; สดด 68.16; สดด 68.18; สดด 68.21; สดด 68.22; สดด 68.23; สดด 68.29; สดด 68.31; สดด 69.4; สดด 69.23; สดด 69.30; สดด 69.31; สดด 69.32; สดด 69.35; สดด 69.36; สดด 70.2; สดด 71.3; สดด 71.6; สดด 71.13; สดด 71.14; สดด 71.15; สดด 71.16; สดด 71.18; สดด 71.19; สดด 71.20; สดด 71.21; สดด 71.22; สดด 71.23; สดด 71.24; สดด 72.2; สดด 72.3; สดด 72.4; สดด 72.5; สดด 72.6; สดด 72.7; สดด 72.8; สดด 72.9; สดด 72.10; สดด 72.11; สดด 72.12; สดด 72.13; สดด 72.14; สดด 72.15; สดด 72.16; สดด 72.17; สดด 73.8; สดด 73.15; สดด 73.16; สดด 73.20; สดด 73.24; สดด 73.26; สดด 73.27; สดด 73.28; สดด 74.5; สดด 74.10; สดด 75.2; สดด 75.8; สดด 75.9; สดด 75.10; สดด 76.7; สดด 76.10; สดด 76.12; สดด 77.7; สดด 77.8; สดด 77.9; สดด 77.10; สดด 77.11; สดด 77.12; สดด 77.13; สดด 78.2; สดด 78.4; สดด 78.6; สดด 78.7; สดด 78.8; สดด 78.10; สดด 78.19; สดด 78.20; สดด 78.30; สดด 79.5; สดด 79.10; สดด 79.13; สดด 80.3; สดด 80.4; สดด 80.7; สดด 80.18; สดด 80.19; สดด 81.8; สดด 81.9; สดด 81.10; สดด 81.13; สดด 81.14; สดด 81.15; สดด 81.16; สดด 82.2; สดด 82.7; สดด 82.8; สดด 83.4; สดด 83.16; สดด 83.18; สดด 84.3; สดด 84.4; สดด 84.7; สดด 84.10; สดด 84.11; สดด 85.5; สดด 85.6; สดด 85.8; สดด 85.9; สดด 85.11; สดด 85.12; สดด 85.13; สดด 86.5; สดด 86.7; สดด 86.9; สดด 86.11; สดด 86.12; สดด 86.17; สดด 87.5; สดด 87.6; สดด 87.7; สดด 88.10; สดด 88.11; สดด 88.12; สดด 88.13; สดด 88.15; สดด 89.1; สดด 89.2; สดด 89.4; สดด 89.5; สดด 89.6; สดด 89.8; สดด 89.12; สดด 89.15; สดด 89.16; สดด 89.17; สดด 89.21; สดด 89.22; สดด 89.23; สดด 89.24; สดด 89.25; สดด 89.26; สดด 89.27; สดด 89.28; สดด 89.29; สดด 89.32; สดด 89.33; สดด 89.34; สดด 89.35; สดด 89.36; สดด 89.37; สดด 89.46; สดด 89.48; สดด 90.11; สดด 90.12; สดด 90.14; สดด 91.1; สดด 91.2; สดด 91.3; สดด 91.4; สดด 91.5; สดด 91.7; สดด 91.8; สดด 91.10; สดด 91.11; สดด 91.12; สดด 91.13; สดด 91.14; สดด 91.15; สดด 91.16; สดด 92.1; สดด 92.2; สดด 92.4; สดด 92.6; สดด 92.7; สดด 92.9; สดด 92.10; สดด 92.11; สดด 92.12; สดด 92.13; สดด 92.14; สดด 93.1; สดด 94.3; สดด 94.4; สดด 94.7; สดด 94.8; สดด 94.9; สดด 94.10; สดด 94.13; สดด 94.14; สดด 94.15; สดด 94.16; สดด 94.20; สดด 94.23; สดด 95.7; สดด 95.11; สดด 96.4; สดด 96.10; สดด 96.12; สดด 96.13; สดด 98.9; สดด 101.1; สดด 101.2; สดด 101.3; สดด 101.4; สดด 101.5; สดด 101.6; สดด 101.7; สดด 101.8; สดด 102.12; สดด 102.13; สดด 102.15; สดด 102.16; สดด 102.17; สดด 102.18; สดด 102.21; สดด 102.26; สดด 102.27; สดด 102.28; สดด 103.9; สดด 103.18; สดด 104.14; สดด 104.31; สดด 104.33; สดด 104.34; สดด 105.11; สดด 105.45; สดด 106.2; สดด 106.5; สดด 106.8; สดด 106.23; สดด 106.26; สดด 106.27; สดด 106.47; สดด 107.4; สดด 107.7; สดด 107.20; สดด 107.36; สดด 107.42; สดด 107.43; สดด 108.1; สดด 108.2; สดด 108.3; สดด 108.6; สดด 108.7; สดด 108.10; สดด 108.13; สดด 109.15; สดด 109.16; สดด 109.17; สดด 109.27; สดด 109.30; สดด 109.31; สดด 110.1; สดด 110.2; สดด 110.3; สดด 110.4; สดด 110.5; สดด 110.6; สดด 110.7; สดด 111.1; สดด 111.5; สดด 111.6; สดด 112.2; สดด 112.4; สดด 112.5; สดด 112.6; สดด 112.7; สดด 112.8; สดด 112.9; สดด 112.10; สดด 115.2; สดด 115.8; สดด 115.12; สดด 115.13; สดด 115.14; สดด 115.18; สดด 116.2; สดด 116.9; สดด 116.12; สดด 116.13; สดด 116.14; สดด 116.17; สดด 116.18; สดด 118.6; สดด 118.7; สดด 118.8; สดด 118.9; สดด 118.10; สดด 118.11; สดด 118.12; สดด 118.17; สดด 118.19; สดด 118.20; สดด 118.21; สดด 118.24; สดด 118.28; สดด 119.6; สดด 119.7; สดด 119.8; สดด 119.9; สดด 119.11; สดด 119.15; สดด 119.16; สดด 119.17; สดด 119.18; สดด 119.27; สดด 119.32; สดด 119.33; สดด 119.34; สดด 119.42; สดด 119.44; สดด 119.45; สดด 119.46; สดด 119.47; สดด 119.48; สดด 119.57; สดด 119.60; สดด 119.62; สดด 119.69; สดด 119.71; สดด 119.73; สดด 119.74; สดด 119.77; สดด 119.78; สดด 119.80; สดด 119.82; สดด 119.84; สดด 119.87; สดด 119.88; สดด 119.93; สดด 119.95; สดด 119.106; สดด 119.115; สดด 119.116; สดด 119.117; สดด 119.125; สดด 119.134; สดด 119.144; สดด 119.145; สดด 119.146; สดด 119.171; สดด 119.172; สดด 119.175; สดด 120.3; สดด 121.1; สดด 121.3; สดด 121.4; สดด 121.6; สดด 121.7; สดด 121.8; สดด 122.2; สดด 122.8; สดด 122.9; สดด 123.2; สดด 124.3; สดด 124.4; สดด 124.5; สดด 125.3; สดด 125.5; สดด 126.5; สดด 126.6; สดด 127.5; สดด 128.2; สดด 128.3; สดด 128.4; สดด 128.5; สดด 128.6; สดด 130.3; สดด 130.4; สดด 130.8; สดด 132.3; สดด 132.4; สดด 132.5; สดด 132.7; สดด 132.11; สดด 132.12; สดด 132.13; สดด 132.14; สดด 132.15; สดด 132.16; สดด 132.17; สดด 132.18; สดด 135.14; สดด 137.4; สดด 137.8; สดด 138.1; สดด 138.4; สดด 138.5; สดด 138.7; สดด 138.8; สดด 139.4; สดด 139.7; สดด 139.8; สดด 139.9; สดด 139.10; สดด 139.11; สดด 139.14; สดด 139.18; สดด 139.19; สดด 140.8; สดด 140.12; สดด 140.13; สดด 141.5; สดด 141.6; สดด 142.7; สดด 143.7; สดด 144.9; สดด 144.12; สดด 144.13; สดด 145.1; สดด 145.2; สดด 145.3; สดด 145.4; สดด 145.5; สดด 145.6; สดด 145.7; สดด 145.10; สดด 145.11; สดด 145.14; สดด 145.19; สดด 145.20; สดด 145.21; สดด 146.2; สดด 146.10; สดด 147.1; สดด 147.17; สดด 149.4; สดด 149.9; สภษ 1.5; สภษ 1.9; สภษ 1.13; สภษ 1.14; สภษ 1.17; สภษ 1.22; สภษ 1.23; สภษ 1.26; สภษ 1.28; สภษ 1.31; สภษ 1.32; สภษ 1.33; สภษ 2.5; สภษ 2.9; สภษ 2.10; สภษ 2.11; สภษ 2.20; สภษ 2.21; สภษ 2.22; สภษ 3.2; สภษ 3.4; สภษ 3.6; สภษ 3.8; สภษ 3.10; สภษ 3.15; สภษ 3.22; สภษ 3.23; สภษ 3.24; สภษ 3.26; สภษ 3.27; สภษ 3.28; สภษ 3.35; สภษ 4.1; สภษ 4.6; สภษ 4.7; สภษ 4.8; สภษ 4.9; สภษ 4.10; สภษ 4.12; สภษ 4.16; สภษ 4.26; สภษ 5.2; สภษ 5.6; สภษ 5.9; สภษ 5.10; สภษ 5.14; สภษ 5.20; สภษ 5.22; สภษ 5.23; สภษ 6.9; สภษ 6.11; สภษ 6.15; สภษ 6.22; สภษ 6.27; สภษ 6.28; สภษ 6.29; สภษ 6.31; สภษ 6.33; สภษ 6.34; สภษ 6.35; สภษ 7.5; สภษ 8.6; สภษ 8.7; สภษ 8.11; สภษ 8.29; สภษ 9.7; สภษ 9.8; สภษ 9.9; สภษ 9.11; สภษ 9.12; สภษ 10.3; สภษ 10.7; สภษ 10.8; สภษ 10.9; สภษ 10.10; สภษ 10.13; สภษ 10.19; สภษ 10.24; สภษ 10.27; สภษ 10.28; สภษ 10.29; สภษ 10.30; สภษ 10.31; สภษ 11.5; สภษ 11.6; สภษ 11.7; สภษ 11.9; สภษ 11.15; สภษ 11.18; สภษ 11.19; สภษ 11.21; สภษ 11.25; สภษ 11.26; สภษ 11.28; สภษ 11.29; สภษ 11.31; สภษ 12.2; สภษ 12.3; สภษ 12.6; สภษ 12.8; สภษ 12.11; สภษ 12.13; สภษ 12.14; สภษ 12.16; สภษ 12.19; สภษ 12.21; สภษ 12.24; สภษ 12.27; สภษ 13.2; สภษ 13.3; สภษ 13.4; สภษ 13.9; สภษ 13.11; สภษ 13.13; สภษ 13.14; สภษ 13.19; สภษ 13.20; สภษ 13.21; สภษ 13.25; สภษ 14.3; สภษ 14.5; สภษ 14.11; สภษ 14.14; สภษ 14.22; สภษ 14.25; สภษ 14.26; สภษ 14.27; สภษ 15.10; สภษ 15.11; สภษ 15.12; สภษ 15.21; สภษ 15.24; สภษ 15.25; สภษ 15.27; สภษ 15.28; สภษ 15.31; สภษ 16.3; สภษ 16.5; สภษ 16.14; สภษ 16.16; สภษ 16.19; สภษ 16.20; สภษ 17.2; สภษ 17.5; สภษ 17.8; สภษ 17.11; สภษ 17.13; สภษ 17.26; สภษ 18.5; สภษ 18.14; สภษ 18.17; สภษ 18.20; สภษ 18.21; สภษ 19.5; สภษ 19.7; สภษ 19.8; สภษ 19.9; สภษ 19.10; สภษ 19.15; สภษ 19.16; สภษ 19.17; สภษ 19.19; สภษ 19.20; สภษ 19.21; สภษ 19.23; สภษ 19.24; สภษ 19.25; สภษ 20.3; สภษ 20.4; สภษ 20.5; สภษ 20.6; สภษ 20.9; สภษ 20.11; สภษ 20.13; สภษ 20.17; สภษ 20.20; สภษ 20.21; สภษ 20.22; สภษ 20.24; สภษ 20.25; สภษ 21.1; สภษ 21.3; สภษ 21.7; สภษ 21.13; สภษ 21.15; สภษ 21.16; สภษ 21.17; สภษ 21.21; สภษ 21.27; สภษ 21.28; สภษ 21.30; สภษ 22.5; สภษ 22.6; สภษ 22.8; สภษ 22.9; สภษ 22.10; สภษ 22.11; สภษ 22.13; สภษ 22.14; สภษ 22.16; สภษ 22.18; สภษ 22.19; สภษ 22.21; สภษ 22.23; สภษ 22.25; สภษ 22.29; สภษ 23.5; สภษ 23.8; สภษ 23.9; สภษ 23.11; สภษ 23.13; สภษ 23.14; สภษ 23.15; สภษ 23.16; สภษ 23.18; สภษ 23.21; สภษ 23.24; สภษ 23.25; สภษ 23.33; สภษ 23.34; สภษ 23.35; สภษ 24.6; สภษ 24.12; สภษ 24.14; สภษ 24.16; สภษ 24.18; สภษ 24.20; สภษ 24.22; สภษ 24.24; สภษ 24.25; สภษ 24.26; สภษ 24.29; สภษ 24.34; สภษ 25.3; สภษ 25.4; สภษ 25.5; สภษ 25.7; สภษ 25.8; สภษ 25.10; สภษ 25.11; สภษ 25.14; สภษ 25.15; สภษ 25.16; สภษ 25.17; สภษ 25.22; สภษ 25.27; สภษ 26.4; สภษ 26.5; สภษ 26.15; สภษ 26.26; สภษ 26.27; สภษ 27.1; สภษ 27.4; สภษ 27.11; สภษ 27.14; สภษ 27.16; สภษ 27.18; สภษ 27.21; สภษ 27.22; สภษ 27.26; สภษ 27.27; สภษ 28.2; สภษ 28.8; สภษ 28.10; สภษ 28.13; สภษ 28.14; สภษ 28.18; สภษ 28.19; สภษ 28.20; สภษ 28.21; สภษ 28.22; สภษ 28.23; สภษ 28.25; สภษ 28.26; สภษ 28.27; สภษ 29.1; สภษ 29.14; สภษ 29.15; สภษ 29.16; สภษ 29.17; สภษ 29.18; สภษ 29.19; สภษ 29.21; สภษ 29.23; สภษ 29.25; สภษ 29.26; สภษ 30.6; สภษ 30.7; สภษ 30.9; สภษ 30.10; สภษ 30.14; สภษ 30.17; สภษ 31.4; สภษ 31.5; สภษ 31.6; สภษ 31.7; สภษ 31.10; สภษ 31.11; สภษ 31.12; สภษ 31.25; สภษ 31.30; ปญจ 1.9; ปญจ 1.10; ปญจ 1.11; ปญจ 1.15; ปญจ 2.3; ปญจ 2.6; ปญจ 2.12; ปญจ 2.15; ปญจ 2.19; ปญจ 2.25; ปญจ 2.26; ปญจ 3.11; ปญจ 3.12; ปญจ 3.13; ปญจ 3.14; ปญจ 3.15; ปญจ 3.17; ปญจ 3.18; ปญจ 3.22; ปญจ 4.10; ปญจ 4.11; ปญจ 4.12; ปญจ 4.15; ปญจ 4.16; ปญจ 5.1; ปญจ 5.3; ปญจ 5.4; ปญจ 5.5; ปญจ 5.6; ปญจ 5.11; ปญจ 5.12; ปญจ 5.15; ปญจ 5.16; ปญจ 5.20; ปญจ 6.11; ปญจ 6.12; ปญจ 7.2; ปญจ 7.13; ปญจ 7.14; ปญจ 7.16; ปญจ 7.17; ปญจ 7.18; ปญจ 7.21; ปญจ 7.23; ปญจ 7.24; ปญจ 7.26; ปญจ 7.28; ปญจ 8.1; ปญจ 8.4; ปญจ 8.5; ปญจ 8.7; ปญจ 8.8; ปญจ 8.9; ปญจ 8.11; ปญจ 8.12; ปญจ 8.13; ปญจ 8.16; ปญจ 8.17; ปญจ 9.1; ปญจ 9.5; ปญจ 9.10; ปญจ 10.8; ปญจ 10.9; ปญจ 10.10; ปญจ 10.12; ปญจ 10.14; ปญจ 10.15; ปญจ 10.17; ปญจ 10.20; ปญจ 11.1; ปญจ 11.2; ปญจ 11.3; ปญจ 11.4; ปญจ 11.5; ปญจ 11.6; ปญจ 11.8; ปญจ 11.9; ปญจ 12.1; ปญจ 12.3; ปญจ 12.4; ปญจ 12.5; ปญจ 12.6; ปญจ 12.7; ปญจ 12.12; ปญจ 12.14; พซม 1.4; พซม 1.7; พซม 1.11; พซม 2.7; พซม 3.2; พซม 3.5; พซม 4.2; พซม 4.6; พซม 4.7; พซม 4.11; พซม 4.16; พซม 5.3; พซม 5.8; พซม 6.1; พซม 6.2; พซม 6.8; พซม 6.11; พซม 6.13; พซม 7.8; พซม 7.12; พซม 8.1; พซม 8.2; พซม 8.3; พซม 8.4; พซม 8.7; พซม 8.8; พซม 8.9; อสย 1.5; อสย 1.9; อสย 1.11; อสย 1.15; อสย 1.18; อสย 1.19; อสย 1.20; อสย 1.24; อสย 1.25; อสย 1.26; อสย 1.27; อสย 1.28; อสย 1.29; อสย 1.30; อสย 1.31; อสย 2.2; อสย 2.3; อสย 2.4; อสย 2.11; อสย 2.12; อสย 2.17; อสย 2.18; อสย 2.19; อสย 2.20; อสย 2.21; อสย 3.4; อสย 3.5; อสย 3.6; อสย 3.7; อสย 3.10; อสย 3.11; อสย 3.14; อสย 3.17; อสย 3.18; อสย 3.24; อสย 3.25; อสย 3.26; อสย 4.1; อสย 4.2; อสย 4.3; อสย 4.4; อสย 4.5; อสย 4.6; อสย 5.1; อสย 5.2; อสย 5.4; อสย 5.5; อสย 5.6; อสย 5.9; อสย 5.10; อสย 5.14; อสย 5.15; อสย 5.16; อสย 5.17; อสย 5.19; อสย 5.24; อสย 5.26; อสย 5.27; อสย 5.28; อสย 5.29; อสย 5.30; อสย 6.7; อสย 6.8; อสย 6.10; อสย 6.13; อสย 7.7; อสย 7.8; อสย 7.9; อสย 7.12; อสย 7.13; อสย 7.14; อสย 7.15; อสย 7.16; อสย 7.17; อสย 7.18; อสย 7.19; อสย 7.20; อสย 7.21; อสย 7.22; อสย 7.23; อสย 7.24; อสย 7.25; อสย 8.4; อสย 8.7; อสย 8.8; อสย 8.9; อสย 8.10; อสย 8.14; อสย 8.15; อสย 8.17; อสย 8.19; อสย 8.21; อสย 8.22; อสย 9.1; อสย 9.4; อสย 9.5; อสย 9.6; อสย 9.7; อสย 9.8; อสย 9.9; อสย 9.10; อสย 9.12; อสย 9.14; อสย 9.17; อสย 9.18; อสย 9.19; อสย 9.20; อสย 10.2; อสย 10.3; อสย 10.4; อสย 10.6; อสย 10.7; อสย 10.11; อสย 10.12; อสย 10.15; อสย 10.16; อสย 10.17; อสย 10.18; อสย 10.19; อสย 10.20; อสย 10.21; อสย 10.22; อสย 10.23; อสย 10.24; อสย 10.25; อสย 10.26; อสย 10.27; อสย 10.32; อสย 10.33; อสย 10.34; อสย 11.1; อสย 11.2; อสย 11.3; อสย 11.4; อสย 11.5; อสย 11.6; อสย 11.7; อสย 11.8; อสย 11.9; อสย 11.10; อสย 11.11; อสย 11.12; อสย 11.13; อสย 11.14; อสย 11.15; อสย 11.16; อสย 12.1; อสย 12.2; อสย 12.3; อสย 12.4; อสย 13.5; อสย 13.6; อสย 13.7; อสย 13.8; อสย 13.9; อสย 13.10; อสย 13.11; อสย 13.12; อสย 13.13; อสย 13.14; อสย 13.15; อสย 13.16; อสย 13.17; อสย 13.18; อสย 13.19; อสย 13.20; อสย 13.21; อสย 13.22; อสย 14.1; อสย 14.2; อสย 14.3; อสย 14.4; อสย 14.10; อสย 14.11; อสย 14.13; อสย 14.14; อสย 14.15; อสย 14.16; อสย 14.20; อสย 14.21; อสย 14.22; อสย 14.23; อสย 14.24; อสย 14.25; อสย 14.27; อสย 14.29; อสย 14.30; อสย 14.31; อสย 14.32; อสย 15.2; อสย 15.3; อสย 15.4; อสย 15.5; อสย 15.6; อสย 15.7; อสย 15.9; อสย 16.2; อสย 16.5; อสย 16.6; อสย 16.7; อสย 16.9; อสย 16.11; อสย 16.12; อสย 16.14; อสย 17.1; อสย 17.2; อสย 17.3; อสย 17.4; อสย 17.5; อสย 17.6; อสย 17.7; อสย 17.8; อสย 17.9; อสย 17.10; อสย 17.11; อสย 17.13; อสย 18.4; อสย 18.5; อสย 18.6; อสย 18.7; อสย 19.1; อสย 19.2; อสย 19.3; อสย 19.4; อสย 19.5; อสย 19.6; อสย 19.7; อสย 19.8; อสย 19.9; อสย 19.10; อสย 19.11; อสย 19.15; อสย 19.16; อสย 19.17; อสย 19.18; อสย 19.19; อสย 19.20; อสย 19.21; อสย 19.22; อสย 19.23; อสย 19.24; อสย 19.25; อสย 20.4; อสย 20.5; อสย 20.6; อสย 21.12; อสย 21.13; อสย 21.16; อสย 21.17; อสย 22.7; อสย 22.13; อสย 22.14; อสย 22.17; อสย 22.18; อสย 22.19; อสย 22.20; อสย 22.21; อสย 22.22; อสย 22.23; อสย 22.24; อสย 22.25; อสย 23.5; อสย 23.9; อสย 23.11; อสย 23.12; อสย 23.15; อสย 23.16; อสย 23.17; อสย 23.18; อสย 24.1; อสย 24.2; อสย 24.3; อสย 24.9; อสย 24.13; อสย 24.14; อสย 24.18; อสย 24.20; อสย 24.21; อสย 24.22; อสย 24.23; อสย 25.1; อสย 25.2; อสย 25.3; อสย 25.5; อสย 25.6; อสย 25.7; อสย 25.8; อสย 25.9; อสย 25.10; อสย 25.11; อสย 25.12; อสย 26.1; อสย 26.2; อสย 26.9; อสย 26.10; อสย 26.11; อสย 26.12; อสย 26.13; อสย 26.14; อสย 26.19; อสย 26.20; อสย 26.21; อสย 27.1; อสย 27.3; อสย 27.4; อสย 27.5; อสย 27.6; อสย 27.9; อสย 27.10; อสย 27.11; อสย 27.12; อสย 27.13; อสย 28.2; อสย 28.3; อสย 28.4; อสย 28.5; อสย 28.9; อสย 28.11; อสย 28.12; อสย 28.13; อสย 28.15; อสย 28.16; อสย 28.17; อสย 28.18; อสย 28.19; อสย 28.20; อสย 28.21; อสย 28.22; อสย 29.2; อสย 29.3; อสย 29.4; อสย 29.5; อสย 29.6; อสย 29.7; อสย 29.8; อสย 29.14; อสย 29.16; อสย 29.17; อสย 29.18; อสย 29.19; อสย 29.20; อสย 29.22; อสย 29.23; อสย 29.24; อสย 30.1; อสย 30.2; อสย 30.3; อสย 30.6; อสย 30.8; อสย 30.13; อสย 30.14; อสย 30.15; อสย 30.16; อสย 30.17; อสย 30.18; อสย 30.19; อสย 30.20; อสย 30.21; อสย 30.22; อสย 30.23; อสย 30.24; อสย 30.25; อสย 30.26; อสย 30.28; อสย 30.29; อสย 30.30; อสย 30.31; อสย 30.32; อสย 31.2; อสย 31.3; อสย 31.4; อสย 31.5; อสย 31.7; อสย 31.8; อสย 31.9; อสย 32.1; อสย 32.2; อสย 32.3; อสย 32.4; อสย 32.5; อสย 32.6; อสย 32.8; อสย 32.10; อสย 32.12; อสย 32.14; อสย 32.15; อสย 32.16; อสย 32.17; อสย 32.18; อสย 32.19; อสย 33.1; อสย 33.6; อสย 33.7; อสย 33.10; อสย 33.11; อสย 33.12; อสย 33.14; อสย 33.16; อสย 33.17; อสย 33.18; อสย 33.19; อสย 33.20; อสย 33.21; อสย 33.22; อสย 33.23; อสย 33.24; อสย 34.1; อสย 34.3; อสย 34.4; อสย 34.5; อสย 34.7; อสย 34.9; อสย 34.10; อสย 34.11; อสย 34.12; อสย 34.13; อสย 34.14; อสย 34.15; อสย 34.16; อสย 34.17; อสย 35.1; อสย 35.2; อสย 35.4; อสย 35.5; อสย 35.6; อสย 35.7; อสย 35.8; อสย 35.9; อสย 35.10; อสย 36.6; อสย 36.7; อสย 36.8; อสย 36.9; อสย 36.12; อสย 36.14; อสย 36.15; อสย 36.16; อสย 36.17; อสย 36.18; อสย 36.20; อสย 37.4; อสย 37.7; อสย 37.10; อสย 37.11; อสย 37.20; อสย 37.24; อสย 37.26; อสย 37.27; อสย 37.29; อสย 37.30; อสย 37.31; อสย 37.32; อสย 37.33; อสย 37.34; อสย 37.35; อสย 38.1; อสย 38.5; อสย 38.6; อสย 38.7; อสย 38.8; อสย 38.10; อสย 38.11; อสย 38.12; อสย 38.13; อสย 38.15; อสย 38.16; อสย 38.18; อสย 38.19; อสย 38.20; อสย 38.21; อสย 38.22; อสย 39.6; อสย 39.7; อสย 39.8; อสย 40.4; อสย 40.5; อสย 40.6; อสย 40.8; อสย 40.10; อสย 40.11; อสย 40.18; อสย 40.20; อสย 40.24; อสย 40.25; อสย 40.28; อสย 40.30; อสย 40.31; อสย 41.10; อสย 41.11; อสย 41.12; อสย 41.13; อสย 41.14; อสย 41.15; อสย 41.16; อสย 41.17; อสย 41.18; อสย 41.19; อสย 41.20; อสย 41.22; อสย 41.23; อสย 41.25; อสย 41.26; อสย 41.27; อสย 42.1; อสย 42.2; อสย 42.3; อสย 42.4; อสย 42.6; อสย 42.9; อสย 42.13; อสย 42.14; อสย 42.15; อสย 42.16; อสย 42.17; อสย 42.18; อสย 42.21; อสย 42.23; อสย 43.2; อสย 43.5; อสย 43.6; อสย 43.10; อสย 43.13; อสย 43.14; อสย 43.19; อสย 43.20; อสย 43.21; อสย 43.25; อสย 43.26; อสย 44.2; อสย 44.3; อสย 44.4; อสย 44.5; อสย 44.7; อสย 44.9; อสย 44.11; อสย 44.15; อสย 44.19; อสย 44.21; อสย 44.23; อสย 44.26; อสย 44.27; อสย 44.28; อสย 45.2; อสย 45.3; อสย 45.6; อสย 45.8; อสย 45.9; อสย 45.11; อสย 45.13; อสย 45.14; อสย 45.17; อสย 45.23; อสย 45.24; อสย 45.25; อสย 46.4; อสย 46.5; อสย 46.7; อสย 46.10; อสย 46.11; อสย 46.13; อสย 47.1; อสย 47.3; อสย 47.5; อสย 47.7; อสย 47.8; อสย 47.9; อสย 47.11; อสย 47.12; อสย 47.13; อสย 47.14; อสย 47.15; อสย 48.5; อสย 48.6; อสย 48.7; อสย 48.8; อสย 48.9; อสย 48.11; อสย 48.14; อสย 48.15; อสย 48.17; อสย 48.18; อสย 48.19; อสย 49.3; อสย 49.5; อสย 49.6; อสย 49.7; อสย 49.8; อสย 49.9; อสย 49.10; อสย 49.11; อสย 49.12; อสย 49.13; อสย 49.15; อสย 49.17; อสย 49.18; อสย 49.19; อสย 49.20; อสย 49.21; อสย 49.22; อสย 49.23; อสย 49.24; อสย 49.25; อสย 49.26; อสย 50.2; อสย 50.4; อสย 50.7; อสย 50.8; อสย 50.9; อสย 50.11; อสย 51.3; อสย 51.4; อสย 51.5; อสย 51.6; อสย 51.8; อสย 51.11; อสย 51.13; อสย 51.14; อสย 51.19; อสย 51.22; อสย 51.23; อสย 52.1; อสย 52.3; อสย 52.6; อสย 52.8; อสย 52.10; อสย 52.12; อสย 52.13; อสย 52.15; อสย 53.2; อสย 53.8; อสย 53.10; อสย 53.11; อสย 53.12; อสย 54.1; อสย 54.3; อสย 54.4; อสย 54.5; อสย 54.7; อสย 54.8; อสย 54.9; อสย 54.10; อสย 54.11; อสย 54.12; อสย 54.13; อสย 54.14; อสย 54.15; อสย 54.17; อสย 55.3; อสย 55.5; อสย 55.6; อสย 55.7; อสย 55.11; อสย 55.12; อสย 55.13; อสย 56.1; อสย 56.5; อสย 56.7; อสย 56.8; อสย 56.12; อสย 57.1; อสย 57.2; อสย 57.6; อสย 57.12; อสย 57.13; อสย 57.14; อสย 57.15; อสย 57.16; อสย 57.18; อสย 57.19; อสย 58.2; อสย 58.4; อสย 58.5; อสย 58.7; อสย 58.8; อสย 58.9; อสย 58.10; อสย 58.11; อสย 58.12; อสย 58.14; อสย 59.1; อสย 59.6; อสย 59.8; อสย 59.18; อสย 59.19; อสย 59.20; อสย 59.21; อสย 60.2; อสย 60.3; อสย 60.4; อสย 60.5; อสย 60.6; อสย 60.7; อสย 60.9; อสย 60.10; อสย 60.11; อสย 60.12; อสย 60.13; อสย 60.14; อสย 60.15; อสย 60.16; อสย 60.17; อสย 60.18; อสย 60.19; อสย 60.20; อสย 60.21; อสย 60.22; อสย 61.3; อสย 61.4; อสย 61.5; อสย 61.6; อสย 61.7; อสย 61.8; อสย 61.9; อสย 61.10; อสย 61.11; อสย 62.1; อสย 62.2; อสย 62.3; อสย 62.4; อสย 62.5; อสย 62.6; อสย 62.7; อสย 62.8; อสย 62.9; อสย 62.12; อสย 63.1; อสย 63.3; อสย 63.6; อสย 63.7; อสย 63.8; อสย 63.13; อสย 63.14; อสย 64.1; อสย 64.2; อสย 64.5; อสย 64.12; อสย 65.6; อสย 65.7; อสย 65.8; อสย 65.9; อสย 65.10; อสย 65.11; อสย 65.12; อสย 65.13; อสย 65.14; อสย 65.15; อสย 65.16; อสย 65.17; อสย 65.19; อสย 65.20; อสย 65.21; อสย 65.22; อสย 65.23; อสย 65.24; อสย 65.25; อสย 66.1; อสย 66.2; อสย 66.4; อสย 66.5; อสย 66.7; อสย 66.8; อสย 66.9; อสย 66.11; อสย 66.12; อสย 66.13; อสย 66.14; อสย 66.15; อสย 66.16; อสย 66.17; อสย 66.18; อสย 66.19; อสย 66.20; อสย 66.21; อสย 66.22; อสย 66.23; อสย 66.24; ยรม 1.7; ยรม 1.8; ยรม 1.12; ยรม 1.14; ยรม 1.15; ยรม 1.16; ยรม 1.17; ยรม 1.19; ยรม 2.3; ยรม 2.9; ยรม 2.19; ยรม 2.20; ยรม 2.23; ยรม 2.24; ยรม 2.25; ยรม 2.26; ยรม 2.27; ยรม 2.29; ยรม 2.31; ยรม 2.32; ยรม 2.34; ยรม 2.35; ยรม 2.36; ยรม 2.37; ยรม 3.1; ยรม 3.4; ยรม 3.5; ยรม 3.12; ยรม 3.14; ยรม 3.15; ยรม 3.16; ยรม 3.17; ยรม 3.18; ยรม 3.19; ยรม 3.22; ยรม 3.23; ยรม 4.1; ยรม 4.2; ยรม 4.4; ยรม 4.6; ยรม 4.7; ยรม 4.9; ยรม 4.10; ยรม 4.11; ยรม 4.12; ยรม 4.13; ยรม 4.14; ยรม 4.19; ยรม 4.21; ยรม 4.22; ยรม 4.27; ยรม 4.28; ยรม 4.29; ยรม 4.30; ยรม 4.31; ยรม 5.1; ยรม 5.5; ยรม 5.6; ยรม 5.7; ยรม 5.9; ยรม 5.12; ยรม 5.13; ยรม 5.14; ยรม 5.15; ยรม 5.17; ยรม 5.19; ยรม 5.22; ยรม 5.26; ยรม 5.29; ยรม 5.31; ยรม 6.3; ยรม 6.8; ยรม 6.9; ยรม 6.10; ยรม 6.11; ยรม 6.12; ยรม 6.15; ยรม 6.16; ยรม 6.17; ยรม 6.18; ยรม 6.19; ยรม 6.21; ยรม 6.22; ยรม 6.23; ยรม 6.27; ยรม 6.30; ยรม 7.2; ยรม 7.3; ยรม 7.7; ยรม 7.9; ยรม 7.10; ยรม 7.14; ยรม 7.15; ยรม 7.16; ยรม 7.20; ยรม 7.23; ยรม 7.27; ยรม 7.31; ยรม 7.32; ยรม 7.33; ยรม 7.34; ยรม 8.1; ยรม 8.2; ยรม 8.3; ยรม 8.4; ยรม 8.8; ยรม 8.9; ยรม 8.10; ยรม 8.12; ยรม 8.13; ยรม 8.14; ยรม 8.17; ยรม 8.18; ยรม 9.1; ยรม 9.2; ยรม 9.4; ยรม 9.5; ยรม 9.6; ยรม 9.7; ยรม 9.9; ยรม 9.10; ยรม 9.11; ยรม 9.12; ยรม 9.15; ยรม 9.16; ยรม 9.18; ยรม 9.22; ยรม 9.25; ยรม 10.7; ยรม 10.10; ยรม 10.11; ยรม 10.14; ยรม 10.15; ยรม 10.18; ยรม 10.19; ยรม 10.20; ยรม 10.21; ยรม 10.23; ยรม 10.24; ยรม 11.4; ยรม 11.5; ยรม 11.8; ยรม 11.11; ยรม 11.12; ยรม 11.14; ยรม 11.19; ยรม 11.21; ยรม 11.22; ยรม 11.23; ยรม 12.4; ยรม 12.5; ยรม 12.12; ยรม 12.13; ยรม 12.14; ยรม 12.15; ยรม 12.16; ยรม 12.17; ยรม 13.7; ยรม 13.9; ยรม 13.10; ยรม 13.11; ยรม 13.12; ยรม 13.13; ยรม 13.14; ยรม 13.16; ยรม 13.17; ยรม 13.18; ยรม 13.19; ยรม 13.21; ยรม 13.23; ยรม 13.24; ยรม 13.26; ยรม 13.27; ยรม 14.8; ยรม 14.9; ยรม 14.10; ยรม 14.12; ยรม 14.13; ยรม 14.15; ยรม 14.16; ยรม 15.1; ยรม 15.2; ยรม 15.3; ยรม 15.4; ยรม 15.5; ยรม 15.6; ยรม 15.7; ยรม 15.9; ยรม 15.11; ยรม 15.12; ยรม 15.13; ยรม 15.14; ยรม 15.19; ยรม 15.20; ยรม 15.21; ยรม 16.4; ยรม 16.6; ยรม 16.7; ยรม 16.9; ยรม 16.13; ยรม 16.14; ยรม 16.15; ยรม 16.16; ยรม 16.17; ยรม 16.18; ยรม 16.19; ยรม 16.20; ยรม 16.21; ยรม 17.3; ยรม 17.4; ยรม 17.6; ยรม 17.8; ยรม 17.9; ยรม 17.11; ยรม 17.13; ยรม 17.14; ยรม 17.23; ยรม 17.25; ยรม 17.26; ยรม 17.27; ยรม 18.2; ยรม 18.6; ยรม 18.7; ยรม 18.8; ยรม 18.9; ยรม 18.10; ยรม 18.12; ยรม 18.14; ยรม 18.17; ยรม 18.18; ยรม 18.20; ยรม 18.23; ยรม 19.3; ยรม 19.5; ยรม 19.6; ยรม 19.7; ยรม 19.8; ยรม 19.9; ยรม 19.11; ยรม 19.12; ยรม 19.13; ยรม 19.15; ยรม 20.4; ยรม 20.5; ยรม 20.6; ยรม 20.9; ยรม 20.10; ยรม 20.11; ยรม 20.17; ยรม 21.2; ยรม 21.4; ยรม 21.5; ยรม 21.6; ยรม 21.7; ยรม 21.9; ยรม 21.10; ยรม 21.12; ยรม 21.13; ยรม 21.14; ยรม 22.4; ยรม 22.5; ยรม 22.6; ยรม 22.7; ยรม 22.8; ยรม 22.9; ยรม 22.10; ยรม 22.11; ยรม 22.12; ยรม 22.14; ยรม 22.15; ยรม 22.18; ยรม 22.19; ยรม 22.21; ยรม 22.22; ยรม 22.23; ยรม 22.24; ยรม 22.26; ยรม 22.27; ยรม 22.30; ยรม 23.2; ยรม 23.3; ยรม 23.4; ยรม 23.5; ยรม 23.6; ยรม 23.7; ยรม 23.8; ยรม 23.12; ยรม 23.15; ยรม 23.17; ยรม 23.18; ยรม 23.19; ยรม 23.20; ยรม 23.22; ยรม 23.24; ยรม 23.26; ยรม 23.27; ยรม 23.33; ยรม 23.34; ยรม 23.39; ยรม 23.40; ยรม 24.5; ยรม 24.6; ยรม 24.7; ยรม 24.8; ยรม 24.9; ยรม 24.10; ยรม 25.6; ยรม 25.7; ยรม 25.9; ยรม 25.10; ยรม 25.11; ยรม 25.12; ยรม 25.13; ยรม 25.14; ยรม 25.16; ยรม 25.18; ยรม 25.26; ยรม 25.27; ยรม 25.28; ยรม 25.29; ยรม 25.30; ยรม 25.31; ยรม 25.32; ยรม 25.33; ยรม 25.34; ยรม 25.35; ยรม 25.36; ยรม 26.3; ยรม 26.4; ยรม 26.5; ยรม 26.6; ยรม 26.8; ยรม 26.9; ยรม 26.13; ยรม 26.14; ยรม 26.16; ยรม 26.18; ยรม 26.19; ยรม 26.21; ยรม 27.5; ยรม 27.6; ยรม 27.7; ยรม 27.8; ยรม 27.9; ยรม 27.10; ยรม 27.11; ยรม 27.13; ยรม 27.14; ยรม 27.15; ยรม 27.16; ยรม 27.17; ยรม 27.22; ยรม 28.3; ยรม 28.4; ยรม 28.9; ยรม 28.11; ยรม 28.13; ยรม 28.14; ยรม 28.16; ยรม 29.6; ยรม 29.7; ยรม 29.10; ยรม 29.11; ยรม 29.12; ยรม 29.13; ยรม 29.14; ยรม 29.17; ยรม 29.18; ยรม 29.21; ยรม 29.22; ยรม 29.28; ยรม 29.32; ยรม 30.3; ยรม 30.6; ยรม 30.7; ยรม 30.8; ยรม 30.9; ยรม 30.10; ยรม 30.11; ยรม 30.13; ยรม 30.16; ยรม 30.17; ยรม 30.18; ยรม 30.19; ยรม 30.20; ยรม 30.21; ยรม 30.22; ยรม 30.23; ยรม 30.24; ยรม 31.1; ยรม 31.4; ยรม 31.5; ยรม 31.6; ยรม 31.8; ยรม 31.9; ยรม 31.10; ยรม 31.12; ยรม 31.13; ยรม 31.14; ยรม 31.16; ยรม 31.17; ยรม 31.18; ยรม 31.20; ยรม 31.22; ยรม 31.23; ยรม 31.24; ยรม 31.25; ยรม 31.27; ยรม 31.28; ยรม 31.29; ยรม 31.30; ยรม 31.31; ยรม 31.33; ยรม 31.34; ยรม 31.36; ยรม 31.37; ยรม 31.38; ยรม 31.39; ยรม 31.40; ยรม 32.3; ยรม 32.4; ยรม 32.5; ยรม 32.7; ยรม 32.14; ยรม 32.15; ยรม 32.22; ยรม 32.24; ยรม 32.25; ยรม 32.28; ยรม 32.29; ยรม 32.31; ยรม 32.33; ยรม 32.35; ยรม 32.36; ยรม 32.37; ยรม 32.38; ยรม 32.39; ยรม 32.40; ยรม 32.41; ยรม 32.42; ยรม 32.43; ยรม 32.44; ยรม 33.3; ยรม 33.5; ยรม 33.6; ยรม 33.7; ยรม 33.8; ยรม 33.9; ยรม 33.10; ยรม 33.11; ยรม 33.12; ยรม 33.13; ยรม 33.14; ยรม 33.15; ยรม 33.16; ยรม 33.17; ยรม 33.18; ยรม 33.21; ยรม 33.22; ยรม 33.26; ยรม 34.2; ยรม 34.3; ยรม 34.4; ยรม 34.5; ยรม 34.8; ยรม 34.9; ยรม 34.10; ยรม 34.14; ยรม 34.17; ยรม 34.20; ยรม 34.21; ยรม 34.22; ยรม 35.6; ยรม 35.7; ยรม 35.9; ยรม 35.13; ยรม 35.15; ยรม 35.17; ยรม 35.19; ยรม 36.3; ยรม 36.7; ยรม 36.16; ยรม 36.29; ยรม 36.30; ยรม 36.31; ยรม 37.7; ยรม 37.8; ยรม 37.9; ยรม 37.10; ยรม 37.12; ยรม 37.17; ยรม 37.19; ยรม 37.20; ยรม 38.2; ยรม 38.3; ยรม 38.5; ยรม 38.14; ยรม 38.15; ยรม 38.16; ยรม 38.17; ยรม 38.18; ยรม 38.19; ยรม 38.20; ยรม 38.22; ยรม 38.23; ยรม 38.24; ยรม 38.25; ยรม 39.7; ยรม 39.12; ยรม 39.16; ยรม 39.17; ยรม 39.18; ยรม 40.4; ยรม 40.5; ยรม 40.9; ยรม 40.10; ยรม 40.15; ยรม 41.17; ยรม 42.3; ยรม 42.4; ยรม 42.6; ยรม 42.10; ยรม 42.12; ยรม 42.13; ยรม 42.14; ยรม 42.15; ยรม 42.16; ยรม 42.17; ยรม 42.18; ยรม 42.20; ยรม 42.22; ยรม 43.2; ยรม 43.3; ยรม 43.4; ยรม 43.10; ยรม 43.11; ยรม 43.12; ยรม 43.13; ยรม 44.5; ยรม 44.8; ยรม 44.11; ยรม 44.12; ยรม 44.13; ยรม 44.14; ยรม 44.16; ยรม 44.17; ยรม 44.22; ยรม 44.25; ยรม 44.26; ยรม 44.27; ยรม 44.28; ยรม 44.29; ยรม 44.30; ยรม 45.4; ยรม 45.5; ยรม 46.6; ยรม 46.8; ยรม 46.10; ยรม 46.13; ยรม 46.14; ยรม 46.18; ยรม 46.19; ยรม 46.22; ยรม 46.23; ยรม 46.24; ยรม 46.25; ยรม 46.26; ยรม 46.27; ยรม 46.28; ยรม 47.2; ยรม 47.3; ยรม 47.4; ยรม 47.5; ยรม 47.6; ยรม 47.7; ยรม 48.2; ยรม 48.3; ยรม 48.5; ยรม 48.7; ยรม 48.8; ยรม 48.9; ยรม 48.10; ยรม 48.12; ยรม 48.13; ยรม 48.18; ยรม 48.26; ยรม 48.30; ยรม 48.31; ยรม 48.32; ยรม 48.34; ยรม 48.35; ยรม 48.36; ยรม 48.37; ยรม 48.38; ยรม 48.39; ยรม 48.40; ยรม 48.41; ยรม 48.42; ยรม 48.43; ยรม 48.44; ยรม 48.45; ยรม 48.47; ยรม 49.2; ยรม 49.3; ยรม 49.4; ยรม 49.5; ยรม 49.6; ยรม 49.8; ยรม 49.9; ยรม 49.11; ยรม 49.12; ยรม 49.13; ยรม 49.15; ยรม 49.16; ยรม 49.17; ยรม 49.18; ยรม 49.19; ยรม 49.20; ยรม 49.22; ยรม 49.26; ยรม 49.27; ยรม 49.28; ยรม 49.29; ยรม 49.32; ยรม 49.33; ยรม 49.35; ยรม 49.36; ยรม 49.37; ยรม 49.38; ยรม 49.39; ยรม 50.3; ยรม 50.4; ยรม 50.5; ยรม 50.9; ยรม 50.10; ยรม 50.12; ยรม 50.13; ยรม 50.16; ยรม 50.18; ยรม 50.19; ยรม 50.20; ยรม 50.30; ยรม 50.31; ยรม 50.32; ยรม 50.34; ยรม 50.36; ยรม 50.37; ยรม 50.38; ยรม 50.39; ยรม 50.40; ยรม 50.41; ยรม 50.42; ยรม 50.44; ยรม 50.45; ยรม 51.1; ยรม 51.2; ยรม 51.4; ยรม 51.6; ยรม 51.8; ยรม 51.9; ยรม 51.14; ยรม 51.17; ยรม 51.18; ยรม 51.20; ยรม 51.21; ยรม 51.22; ยรม 51.23; ยรม 51.24; ยรม 51.25; ยรม 51.26; ยรม 51.29; ยรม 51.33; ยรม 51.36; ยรม 51.37; ยรม 51.38; ยรม 51.39; ยรม 51.40; ยรม 51.44; ยรม 51.46; ยรม 51.47; ยรม 51.48; ยรม 51.49; ยรม 51.52; ยรม 51.53; ยรม 51.56; ยรม 51.57; ยรม 51.58; ยรม 51.60; ยรม 51.61; ยรม 51.62; ยรม 51.64; พคค 1.2; พคค 1.7; พคค 1.9; พคค 1.11; พคค 1.15; พคค 1.16; พคค 1.21; พคค 2.4; พคค 2.8; พคค 2.13; พคค 2.14; พคค 2.20; พคค 3.7; พคค 3.24; พคค 3.26; พคค 3.27; พคค 3.29; พคค 3.31; พคค 3.32; พคค 3.37; พคค 3.39; พคค 3.44; พคค 3.50; พคค 3.53; พคค 3.63; พคค 4.12; พคค 4.14; พคค 4.16; พคค 4.17; พคค 4.18; พคค 4.20; พคค 4.21; พคค 4.22; พคค 5.6; พคค 5.21; อสค 1.12; อสค 1.17; อสค 1.20; อสค 2.1; อสค 2.4; อสค 2.5; อสค 2.7; อสค 3.6; อสค 3.7; อสค 3.11; อสค 3.18; อสค 3.19; อสค 3.20; อสค 3.21; อสค 3.22; อสค 3.25; อสค 3.26; อสค 3.27; อสค 4.4; อสค 4.5; อสค 4.6; อสค 4.8; อสค 4.9; อสค 4.10; อสค 4.12; อสค 4.13; อสค 4.15; อสค 4.16; อสค 5.2; อสค 5.4; อสค 5.8; อสค 5.9; อสค 5.10; อสค 5.11; อสค 5.12; อสค 5.13; อสค 5.14; อสค 5.15; อสค 5.16; อสค 5.17; อสค 6.3; อสค 6.4; อสค 6.5; อสค 6.6; อสค 6.7; อสค 6.8; อสค 6.9; อสค 6.10; อสค 6.11; อสค 6.12; อสค 6.13; อสค 6.14; อสค 7.3; อสค 7.4; อสค 7.8; อสค 7.9; อสค 7.11; อสค 7.13; อสค 7.15; อสค 7.16; อสค 7.17; อสค 7.18; อสค 7.19; อสค 7.20; อสค 7.21; อสค 7.22; อสค 7.24; อสค 7.25; อสค 7.26; อสค 7.27; อสค 8.6; อสค 8.13; อสค 8.15; อสค 8.18; อสค 9.8; อสค 9.10; อสค 11.7; อสค 11.8; อสค 11.9; อสค 11.10; อสค 11.11; อสค 11.12; อสค 11.13; อสค 11.16; อสค 11.17; อสค 11.18; อสค 11.19; อสค 11.20; อสค 11.21; อสค 12.3; อสค 12.11; อสค 12.12; อสค 12.13; อสค 12.14; อสค 12.15; อสค 12.16; อสค 12.19; อสค 12.20; อสค 12.23; อสค 12.24; อสค 12.25; อสค 12.28; อสค 13.6; อสค 13.9; อสค 13.11; อสค 13.12; อสค 13.13; อสค 13.14; อสค 13.15; อสค 13.18; อสค 13.19; อสค 13.20; อสค 13.21; อสค 13.22; อสค 13.23; อสค 14.3; อสค 14.4; อสค 14.5; อสค 14.7; อสค 14.8; อสค 14.9; อสค 14.10; อสค 14.11; อสค 14.13; อสค 14.14; อสค 14.16; อสค 14.17; อสค 14.18; อสค 14.20; อสค 14.21; อสค 14.22; อสค 14.23; อสค 15.4; อสค 15.5; อสค 15.6; อสค 15.7; อสค 15.8; อสค 16.5; อสค 16.15; อสค 16.32; อสค 16.37; อสค 16.38; อสค 16.39; อสค 16.40; อสค 16.41; อสค 16.42; อสค 16.43; อสค 16.44; อสค 16.53; อสค 16.54; อสค 16.55; อสค 16.57; อสค 16.59; อสค 16.60; อสค 16.61; อสค 16.62; อสค 16.63; อสค 17.9; อสค 17.10; อสค 17.14; อสค 17.15; อสค 17.16; อสค 17.17; อสค 17.18; อสค 17.19; อสค 17.20; อสค 17.21; อสค 17.22; อสค 17.23; อสค 17.24; อสค 18.3; อสค 18.4; อสค 18.9; อสค 18.13; อสค 18.17; อสค 18.18; อสค 18.19; อสค 18.20; อสค 18.21; อสค 18.22; อสค 18.24; อสค 18.26; อสค 18.28; อสค 18.30; อสค 18.31; อสค 20.3; อสค 20.4; อสค 20.6; อสค 20.8; อสค 20.11; อสค 20.12; อสค 20.13; อสค 20.15; อสค 20.20; อสค 20.21; อสค 20.23; อสค 20.25; อสค 20.26; อสค 20.28; อสค 20.31; อสค 20.32; อสค 20.33; อสค 20.34; อสค 20.35; อสค 20.36; อสค 20.37; อสค 20.38; อสค 20.40; อสค 20.41; อสค 20.42; อสค 20.43; อสค 20.44; อสค 20.47; อสค 20.48; อสค 21.3; อสค 21.4; อสค 21.5; อสค 21.7; อสค 21.10; อสค 21.11; อสค 21.12; อสค 21.13; อสค 21.14; อสค 21.15; อสค 21.17; อสค 21.22; อสค 21.23; อสค 21.26; อสค 21.27; อสค 21.29; อสค 21.30; อสค 21.31; อสค 21.32; อสค 22.2; อสค 22.5; อสค 22.9; อสค 22.14; อสค 22.15; อสค 22.16; อสค 22.19; อสค 22.20; อสค 22.21; อสค 22.22; อสค 22.27; อสค 22.30; อสค 23.22; อสค 23.24; อสค 23.25; อสค 23.26; อสค 23.27; อสค 23.28; อสค 23.29; อสค 23.30; อสค 23.31; อสค 23.32; อสค 23.33; อสค 23.34; อสค 23.36; อสค 23.45; อสค 23.46; อสค 23.47; อสค 23.48; อสค 23.49; อสค 24.9; อสค 24.12; อสค 24.13; อสค 24.14; อสค 24.16; อสค 24.19; อสค 24.21; อสค 24.22; อสค 24.23; อสค 24.24; อสค 24.26; อสค 24.27; อสค 25.4; อสค 25.5; อสค 25.7; อสค 25.9; อสค 25.10; อสค 25.11; อสค 25.13; อสค 25.14; อสค 25.16; อสค 25.17; อสค 26.2; อสค 26.3; อสค 26.4; อสค 26.5; อสค 26.6; อสค 26.7; อสค 26.8; อสค 26.9; อสค 26.10; อสค 26.11; อสค 26.12; อสค 26.13; อสค 26.14; อสค 26.15; อสค 26.16; อสค 26.17; อสค 26.18; อสค 26.19; อสค 26.20; อสค 26.21; อสค 27.27; อสค 27.28; อสค 27.29; อสค 27.30; อสค 27.31; อสค 27.32; อสค 27.34; อสค 27.35; อสค 27.36; อสค 28.2; อสค 28.7; อสค 28.8; อสค 28.9; อสค 28.10; อสค 28.16; อสค 28.17; อสค 28.18; อสค 28.19; อสค 28.22; อสค 28.23; อสค 28.24; อสค 28.25; อสค 28.26; อสค 29.4; อสค 29.5; อสค 29.6; อสค 29.8; อสค 29.9; อสค 29.10; อสค 29.11; อสค 29.12; อสค 29.13; อสค 29.14; อสค 29.15; อสค 29.16; อสค 29.19; อสค 29.21; อสค 30.3; อสค 30.4; อสค 30.5; อสค 30.6; อสค 30.7; อสค 30.8; อสค 30.9; อสค 30.10; อสค 30.11; อสค 30.12; อสค 30.13; อสค 30.14; อสค 30.15; อสค 30.16; อสค 30.17; อสค 30.18; อสค 30.19; อสค 30.21; อสค 30.22; อสค 30.23; อสค 30.24; อสค 30.25; อสค 30.26; อสค 31.11; อสค 31.13; อสค 31.14; อสค 31.15; อสค 31.16; อสค 31.17; อสค 31.18; อสค 32.3; อสค 32.4; อสค 32.5; อสค 32.6; อสค 32.7; อสค 32.8; อสค 32.9; อสค 32.10; อสค 32.11; อสค 32.12; อสค 32.13; อสค 32.14; อสค 32.15; อสค 32.16; อสค 32.20; อสค 32.21; อสค 32.27; อสค 32.28; อสค 32.29; อสค 32.31; อสค 32.32; อสค 33.5; อสค 33.6; อสค 33.8; อสค 33.9; อสค 33.10; อสค 33.12; อสค 33.13; อสค 33.14; อสค 33.15; อสค 33.16; อสค 33.18; อสค 33.19; อสค 33.20; อสค 33.25; อสค 33.26; อสค 33.27; อสค 33.28; อสค 33.29; อสค 33.33; อสค 34.10; อสค 34.11; อสค 34.12; อสค 34.13; อสค 34.14; อสค 34.15; อสค 34.16; อสค 34.17; อสค 34.18; อสค 34.19; อสค 34.20; อสค 34.22; อสค 34.23; อสค 34.24; อสค 34.25; อสค 34.26; อสค 34.27; อสค 34.28; อสค 34.29; อสค 34.30; อสค 35.3; อสค 35.4; อสค 35.6; อสค 35.7; อสค 35.8; อสค 35.9; อสค 35.10; อสค 35.11; อสค 35.12; อสค 35.14; อสค 35.15; อสค 36.3; อสค 36.5; อสค 36.7; อสค 36.8; อสค 36.9; อสค 36.10; อสค 36.11; อสค 36.12; อสค 36.14; อสค 36.15; อสค 36.20; อสค 36.22; อสค 36.23; อสค 36.24; อสค 36.25; อสค 36.26; อสค 36.27; อสค 36.28; อสค 36.29; อสค 36.30; อสค 36.31; อสค 36.33; อสค 36.34; อสค 36.35; อสค 36.36; อสค 36.37; อสค 36.38; อสค 37.3; อสค 37.5; อสค 37.6; อสค 37.12; อสค 37.13; อสค 37.14; อสค 37.18; อสค 37.19; อสค 37.20; อสค 37.21; อสค 37.22; อสค 37.23; อสค 37.24; อสค 37.25; อสค 37.26; อสค 37.27; อสค 37.28; อสค 38.4; อสค 38.8; อสค 38.9; อสค 38.10; อสค 38.11; อสค 38.12; อสค 38.13; อสค 38.14; อสค 38.15; อสค 38.16; อสค 38.17; อสค 38.18; อสค 38.19; อสค 38.20; อสค 38.21; อสค 38.22; อสค 38.23; อสค 39.2; อสค 39.3; อสค 39.4; อสค 39.5; อสค 39.6; อสค 39.7; อสค 39.8; อสค 39.9; อสค 39.10; อสค 39.11; อสค 39.12; อสค 39.13; อสค 39.14; อสค 39.15; อสค 39.16; อสค 39.17; อสค 39.18; อสค 39.19; อสค 39.20; อสค 39.21; อสค 39.22; อสค 39.23; อสค 39.25; อสค 39.26; อสค 39.28; อสค 39.29; อสค 40.4; อสค 40.46; อสค 42.13; อสค 42.14; อสค 43.7; อสค 43.9; อสค 43.10; อสค 43.11; อสค 43.12; อสค 43.18; อสค 43.20; อสค 43.21; อสค 43.22; อสค 43.24; อสค 43.25; อสค 43.26; อสค 43.27; อสค 44.2; อสค 44.3; อสค 44.5; อสค 44.10; อสค 44.11; อสค 44.12; อสค 44.13; อสค 44.14; อสค 44.15; อสค 44.16; อสค 44.19; อสค 44.21; อสค 44.23; อสค 44.24; อสค 44.25; อสค 44.27; อสค 44.28; อสค 44.29; อสค 44.30; อสค 44.31; อสค 45.1; อสค 45.4; อสค 45.6; อสค 45.8; อสค 45.13; อสค 45.17; อสค 45.20; อสค 46.2; อสค 46.3; อสค 46.4; อสค 46.5; อสค 46.6; อสค 46.7; อสค 46.8; อสค 46.9; อสค 46.10; อสค 46.11; อสค 46.12; อสค 46.13; อสค 46.14; อสค 46.15; อสค 46.17; อสค 46.18; อสค 46.20; อสค 46.24; อสค 47.5; อสค 47.9; อสค 47.10; อสค 47.11; อสค 47.12; อสค 47.13; อสค 47.14; อสค 47.17; อสค 47.18; อสค 47.19; อสค 47.22; อสค 47.23; อสค 48.8; อสค 48.9; อสค 48.10; อสค 48.13; อสค 48.17; อสค 48.20; อสค 48.21; อสค 48.28; อสค 48.29; อสค 48.35; ดนล 1.4; ดนล 1.8; ดนล 1.10; ดนล 1.16; ดนล 2.4; ดนล 2.5; ดนล 2.6; ดนล 2.7; ดนล 2.8; ดนล 2.9; ดนล 2.10; ดนล 2.11; ดนล 2.13; ดนล 2.16; ดนล 2.18; ดนล 2.24; ดนล 2.25; ดนล 2.26; ดนล 2.28; ดนล 2.29; ดนล 2.30; ดนล 2.38; ดนล 2.39; ดนล 2.40; ดนล 2.41; ดนล 2.43; ดนล 2.44; ดนล 2.45; ดนล 2.47; ดนล 3.15; ดนล 3.16; ดนล 3.17; ดนล 3.18; ดนล 3.28; ดนล 3.29; ดนล 4.2; ดนล 4.9; ดนล 4.17; ดนล 4.18; ดนล 4.25; ดนล 4.26; ดนล 4.27; ดนล 4.32; ดนล 5.2; ดนล 5.7; ดนล 5.12; ดนล 5.16; ดนล 5.17; ดนล 5.19; ดนล 5.21; ดนล 5.23; ดนล 6.1; ดนล 6.2; ดนล 6.3; ดนล 6.4; ดนล 6.5; ดนล 6.7; ดนล 6.8; ดนล 6.12; ดนล 6.16; ดนล 6.17; ดนล 6.20; ดนล 6.26; ดนล 7.14; ดนล 7.17; ดนล 7.18; ดนล 7.19; ดนล 7.20; ดนล 7.23; ดนล 7.24; ดนล 7.25; ดนล 7.26; ดนล 7.27; ดนล 8.4; ดนล 8.13; ดนล 8.14; ดนล 8.19; ดนล 8.22; ดนล 8.23; ดนล 8.24; ดนล 8.25; ดนล 9.2; ดนล 9.22; ดนล 9.24; ดนล 9.25; ดนล 9.26; ดนล 9.27; ดนล 10.12; ดนล 10.14; ดนล 10.17; ดนล 10.20; ดนล 10.21; ดนล 11.2; ดนล 11.3; ดนล 11.4; ดนล 11.5; ดนล 11.6; ดนล 11.7; ดนล 11.8; ดนล 11.9; ดนล 11.10; ดนล 11.11; ดนล 11.12; ดนล 11.13; ดนล 11.14; ดนล 11.15; ดนล 11.16; ดนล 11.17; ดนล 11.18; ดนล 11.19; ดนล 11.20; ดนล 11.21; ดนล 11.22; ดนล 11.23; ดนล 11.24; ดนล 11.25; ดนล 11.26; ดนล 11.27; ดนล 11.28; ดนล 11.29; ดนล 11.30; ดนล 11.31; ดนล 11.32; ดนล 11.33; ดนล 11.34; ดนล 11.35; ดนล 11.36; ดนล 11.37; ดนล 11.38; ดนล 11.39; ดนล 11.40; ดนล 11.41; ดนล 11.42; ดนล 11.43; ดนล 11.44; ดนล 11.45; ดนล 12.1; ดนล 12.2; ดนล 12.3; ดนล 12.4; ดนล 12.6; ดนล 12.7; ดนล 12.8; ดนล 12.10; ดนล 12.11; ดนล 12.12; ดนล 12.13; ฮชย 1.4; ฮชย 1.5; ฮชย 1.6; ฮชย 1.7; ฮชย 1.10; ฮชย 1.11; ฮชย 2.3; ฮชย 2.4; ฮชย 2.5; ฮชย 2.6; ฮชย 2.7; ฮชย 2.9; ฮชย 2.10; ฮชย 2.11; ฮชย 2.12; ฮชย 2.13; ฮชย 2.14; ฮชย 2.15; ฮชย 2.16; ฮชย 2.17; ฮชย 2.18; ฮชย 2.19; ฮชย 2.20; ฮชย 2.21; ฮชย 2.22; ฮชย 2.23; ฮชย 3.1; ฮชย 3.3; ฮชย 3.4; ฮชย 3.5; ฮชย 4.3; ฮชย 4.5; ฮชย 4.6; ฮชย 4.7; ฮชย 4.8; ฮชย 4.9; ฮชย 4.10; ฮชย 4.13; ฮชย 4.14; ฮชย 4.15; ฮชย 4.16; ฮชย 4.19; ฮชย 5.1; ฮชย 5.5; ฮชย 5.6; ฮชย 5.7; ฮชย 5.9; ฮชย 5.10; ฮชย 5.12; ฮชย 5.13; ฮชย 5.14; ฮชย 5.15; ฮชย 6.1; ฮชย 6.2; ฮชย 6.3; ฮชย 6.4; ฮชย 6.11; ฮชย 7.1; ฮชย 7.4; ฮชย 7.12; ฮชย 7.15; ฮชย 7.16; ฮชย 8.1; ฮชย 8.2; ฮชย 8.3; ฮชย 8.4; ฮชย 8.5; ฮชย 8.6; ฮชย 8.7; ฮชย 8.10; ฮชย 8.13; ฮชย 8.14; ฮชย 9.2; ฮชย 9.3; ฮชย 9.4; ฮชย 9.5; ฮชย 9.6; ฮชย 9.7; ฮชย 9.9; ฮชย 9.11; ฮชย 9.12; ฮชย 9.14; ฮชย 9.15; ฮชย 9.16; ฮชย 9.17; ฮชย 10.2; ฮชย 10.3; ฮชย 10.5; ฮชย 10.6; ฮชย 10.7; ฮชย 10.8; ฮชย 10.10; ฮชย 10.11; ฮชย 10.12; ฮชย 10.14; ฮชย 10.15; ฮชย 11.5; ฮชย 11.6; ฮชย 11.8; ฮชย 11.9; ฮชย 11.10; ฮชย 11.11; ฮชย 12.2; ฮชย 12.7; ฮชย 12.8; ฮชย 12.9; ฮชย 12.11; ฮชย 12.12; ฮชย 13.7; ฮชย 13.8; ฮชย 13.14; ฮชย 13.15; ฮชย 13.16; ฮชย 14.2; ฮชย 14.3; ฮชย 14.4; ฮชย 14.5; ฮชย 14.6; ฮชย 14.7; ฮชย 14.8; ยอล 1.15; ยอล 2.2; ยอล 2.3; ยอล 2.4; ยอล 2.5; ยอล 2.6; ยอล 2.7; ยอล 2.8; ยอล 2.9; ยอล 2.10; ยอล 2.11; ยอล 2.14; ยอล 2.17; ยอล 2.18; ยอล 2.19; ยอล 2.20; ยอล 2.21; ยอล 2.23; ยอล 2.24; ยอล 2.25; ยอล 2.26; ยอล 2.27; ยอล 2.28; ยอล 2.29; ยอล 2.30; ยอล 2.31; ยอล 2.32; ยอล 3.2; ยอล 3.4; ยอล 3.7; ยอล 3.8; ยอล 3.12; ยอล 3.15; ยอล 3.16; ยอล 3.17; ยอล 3.18; ยอล 3.19; ยอล 3.20; ยอล 3.21; อมส 1.2; อมส 1.3; อมส 1.4; อมส 1.5; อมส 1.6; อมส 1.7; อมส 1.8; อมส 1.9; อมส 1.10; อมส 1.11; อมส 1.12; อมส 1.13; อมส 1.14; อมส 1.15; อมส 2.1; อมส 2.2; อมส 2.3; อมส 2.4; อมส 2.5; อมส 2.6; อมส 2.10; อมส 2.14; อมส 2.15; อมส 2.16; อมส 3.2; อมส 3.3; อมส 3.4; อมส 3.5; อมส 3.6; อมส 3.7; อมส 3.8; อมส 3.10; อมส 3.11; อมส 3.12; อมส 3.14; อมส 3.15; อมส 4.1; อมส 4.2; อมส 4.3; อมส 4.5; อมส 4.8; อมส 4.12; อมส 5.2; อมส 5.3; อมส 5.4; อมส 5.5; อมส 5.6; อมส 5.11; อมส 5.13; อมส 5.14; อมส 5.15; อมส 5.16; อมส 5.17; อมส 5.18; อมส 5.20; อมส 5.21; อมส 5.22; อมส 5.23; อมส 5.27; อมส 6.7; อมส 6.8; อมส 6.9; อมส 6.10; อมส 6.11; อมส 6.12; อมส 6.14; อมส 7.2; อมส 7.3; อมส 7.5; อมส 7.6; อมส 7.8; อมส 7.9; อมส 7.11; อมส 7.17; อมส 8.2; อมส 8.3; อมส 8.5; อมส 8.6; อมส 8.7; อมส 8.8; อมส 8.9; อมส 8.10; อมส 8.11; อมส 8.12; อมส 8.13; อมส 8.14; อมส 9.1; อมส 9.2; อมส 9.3; อมส 9.4; อมส 9.8; อมส 9.9; อมส 9.10; อมส 9.11; อมส 9.12; อมส 9.13; อมส 9.14; อมส 9.15; อบด 1.3; อบด 1.4; อบด 1.5; อบด 1.8; อบด 1.9; อบด 1.10; อบด 1.12; อบด 1.13; อบด 1.14; อบด 1.15; อบด 1.16; อบด 1.17; อบด 1.18; อบด 1.19; อบด 1.20; อบด 1.21; ยนา 1.4; ยนา 1.6; ยนา 1.7; ยนา 1.11; ยนา 1.12; ยนา 1.13; ยนา 2.4; ยนา 2.9; ยนา 3.3; ยนา 3.4; ยนา 3.9; ยนา 4.2; ยนา 4.5; ยนา 4.8; ยนา 4.11; มคา 1.3; มคา 1.4; มคา 1.6; มคา 1.7; มคา 1.8; มคา 1.11; มคา 1.14; มคา 1.15; มคา 2.1; มคา 2.3; มคา 2.4; มคา 2.5; มคา 2.6; มคา 2.8; มคา 2.10; มคา 2.11; มคา 2.12; มคา 2.13; มคา 3.4; มคา 3.6; มคา 3.7; มคา 3.8; มคา 3.12; มคา 4.1; มคา 4.2; มคา 4.3; มคา 4.4; มคา 4.5; มคา 4.6; มคา 4.7; มคา 4.8; มคา 4.9; มคา 4.10; มคา 4.12; มคา 4.13; มคา 5.1; มคา 5.2; มคา 5.3; มคา 5.4; มคา 5.5; มคา 5.6; มคา 5.7; มคา 5.8; มคา 5.9; มคา 5.10; มคา 5.11; มคา 5.12; มคา 5.13; มคา 5.14; มคา 5.15; มคา 6.2; มคา 6.5; มคา 6.6; มคา 6.7; มคา 6.9; มคา 6.11; มคา 6.13; มคา 6.14; มคา 6.15; มคา 6.16; มคา 7.2; มคา 7.3; มคา 7.4; มคา 7.7; มคา 7.8; มคา 7.9; มคา 7.10; มคา 7.11; มคา 7.12; มคา 7.13; มคา 7.15; มคา 7.16; มคา 7.17; มคา 7.18; มคา 7.19; มคา 7.20; นฮม 1.2; นฮม 1.3; นฮม 1.6; นฮม 1.8; นฮม 1.9; นฮม 1.10; นฮม 1.12; นฮม 1.13; นฮม 1.14; นฮม 1.15; นฮม 2.3; นฮม 2.5; นฮม 2.6; นฮม 2.7; นฮม 2.8; นฮม 2.13; นฮม 3.1; นฮม 3.3; นฮม 3.5; นฮม 3.6; นฮม 3.7; นฮม 3.11; นฮม 3.12; นฮม 3.15; นฮม 3.18; ฮบก 1.2; ฮบก 1.5; ฮบก 1.7; ฮบก 1.8; ฮบก 1.9; ฮบก 1.10; ฮบก 1.11; ฮบก 1.12; ฮบก 1.13; ฮบก 1.17; ฮบก 2.1; ฮบก 2.3; ฮบก 2.4; ฮบก 2.6; ฮบก 2.7; ฮบก 2.8; ฮบก 2.9; ฮบก 2.11; ฮบก 2.14; ฮบก 2.15; ฮบก 2.16; ฮบก 2.17; ฮบก 2.18; ฮบก 3.14; ฮบก 3.16; ฮบก 3.17; ฮบก 3.18; ฮบก 3.19; ศฟย 1.2; ศฟย 1.3; ศฟย 1.4; ศฟย 1.8; ศฟย 1.9; ศฟย 1.10; ศฟย 1.12; ศฟย 1.13; ศฟย 1.14; ศฟย 1.17; ศฟย 1.18; ศฟย 2.2; ศฟย 2.3; ศฟย 2.4; ศฟย 2.5; ศฟย 2.6; ศฟย 2.7; ศฟย 2.9; ศฟย 2.10; ศฟย 2.11; ศฟย 2.12; ศฟย 2.13; ศฟย 2.14; ศฟย 2.15; ศฟย 3.5; ศฟย 3.6; ศฟย 3.7; ศฟย 3.8; ศฟย 3.9; ศฟย 3.10; ศฟย 3.11; ศฟย 3.12; ศฟย 3.13; ศฟย 3.15; ศฟย 3.16; ศฟย 3.17; ศฟย 3.18; ศฟย 3.19; ศฟย 3.20; ฮกก 1.2; ฮกก 1.8; ฮกก 2.6; ฮกก 2.7; ฮกก 2.9; ฮกก 2.12; ฮกก 2.13; ฮกก 2.15; ฮกก 2.16; ฮกก 2.19; ฮกก 2.21; ฮกก 2.22; ฮกก 2.23; ศคย 1.3; ศคย 1.6; ศคย 1.9; ศคย 1.12; ศคย 1.16; ศคย 1.17; ศคย 1.21; ศคย 2.2; ศคย 2.4; ศคย 2.5; ศคย 2.9; ศคย 2.10; ศคย 2.11; ศคย 2.12; ศคย 3.1; ศคย 3.4; ศคย 3.7; ศคย 3.8; ศคย 3.9; ศคย 3.10; ศคย 4.7; ศคย 4.9; ศคย 4.10; ศคย 5.3; ศคย 5.4; ศคย 5.10; ศคย 5.11; ศคย 6.7; ศคย 6.12; ศคย 6.13; ศคย 6.14; ศคย 6.15; ศคย 7.3; ศคย 7.7; ศคย 7.11; ศคย 7.12; ศคย 8.3; ศคย 8.4; ศคย 8.5; ศคย 8.6; ศคย 8.7; ศคย 8.8; ศคย 8.9; ศคย 8.11; ศคย 8.12; ศคย 8.13; ศคย 8.14; ศคย 8.15; ศคย 8.19; ศคย 8.20; ศคย 8.21; ศคย 8.22; ศคย 8.23; ศคย 9.1; ศคย 9.2; ศคย 9.4; ศคย 9.5; ศคย 9.6; ศคย 9.7; ศคย 9.8; ศคย 9.10; ศคย 9.11; ศคย 9.12; ศคย 9.14; ศคย 9.15; ศคย 9.16; ศคย 9.17; ศคย 10.1; ศคย 10.5; ศคย 10.6; ศคย 10.7; ศคย 10.8; ศคย 10.9; ศคย 10.10; ศคย 10.11; ศคย 10.12; ศคย 11.1; ศคย 11.6; ศคย 11.7; ศคย 11.9; ศคย 11.16; ศคย 12.2; ศคย 12.3; ศคย 12.4; ศคย 12.5; ศคย 12.6; ศคย 12.7; ศคย 12.8; ศคย 12.9; ศคย 12.10; ศคย 12.11; ศคย 12.12; ศคย 13.1; ศคย 13.2; ศคย 13.3; ศคย 13.4; ศคย 13.5; ศคย 13.6; ศคย 13.7; ศคย 13.8; ศคย 13.9; ศคย 14.1; ศคย 14.2; ศคย 14.3; ศคย 14.4; ศคย 14.5; ศคย 14.6; ศคย 14.7; ศคย 14.8; ศคย 14.9; ศคย 14.10; ศคย 14.11; ศคย 14.12; ศคย 14.13; ศคย 14.14; ศคย 14.15; ศคย 14.16; ศคย 14.17; ศคย 14.18; ศคย 14.19; ศคย 14.20; ศคย 14.21; มลค 1.4; มลค 1.5; มลค 1.8; มลค 1.9; มลค 1.10; มลค 1.11; มลค 1.13; มลค 2.2; มลค 2.3; มลค 2.4; มลค 2.5; มลค 2.6; มลค 2.12; มลค 2.17; มลค 3.1; มลค 3.2; มลค 3.3; มลค 3.4; มลค 3.5; มลค 3.7; มลค 3.8; มลค 3.10; มลค 3.11; มลค 3.12; มลค 3.14; มลค 3.15; มลค 3.17; มลค 3.18; มลค 4.1; มลค 4.2; มลค 4.3; มลค 4.5; มลค 4.6; มธ 1.18; มธ 1.19; มธ 1.20; มธ 1.21; มธ 1.22; มธ 1.23; มธ 2.2; มธ 2.4; มธ 2.6; มธ 2.8; มธ 2.13; มธ 2.15; มธ 2.22; มธ 2.23; มธ 3.7; มธ 3.9; มธ 3.10; มธ 3.11; มธ 3.12; มธ 3.13; มธ 3.14; มธ 3.15; มธ 4.1; มธ 4.4; มธ 4.6; มธ 4.9; มธ 4.14; มธ 4.19; มธ 5.4; มธ 5.5; มธ 5.6; มธ 5.7; มธ 5.8; มธ 5.9; มธ 5.11; มธ 5.13; มธ 5.14; มธ 5.15; มธ 5.16; มธ 5.17; มธ 5.18; มธ 5.19; มธ 5.20; มธ 5.21; มธ 5.22; มธ 5.25; มธ 5.26; มธ 5.29; มธ 5.30; มธ 5.31; มธ 5.32; มธ 5.34; มธ 5.35; มธ 5.36; มธ 5.40; มธ 5.41; มธ 5.42; มธ 5.45; มธ 5.46; มธ 6.1; มธ 6.2; มธ 6.4; มธ 6.5; มธ 6.6; มธ 6.7; มธ 6.14; มธ 6.15; มธ 6.16; มธ 6.18; มธ 6.21; มธ 6.22; มธ 6.23; มธ 6.24; มธ 6.25; มธ 6.30; มธ 6.31; มธ 6.33; มธ 6.34; มธ 7.1; มธ 7.2; มธ 7.4; มธ 7.5; มธ 7.6; มธ 7.7; มธ 7.8; มธ 7.9; มธ 7.11; มธ 7.16; มธ 7.18; มธ 7.20; มธ 7.21; มธ 7.22; มธ 7.23; มธ 8.2; มธ 8.7; มธ 8.8; มธ 8.9; มธ 8.11; มธ 8.12; มธ 8.17; มธ 8.19; มธ 8.20; มธ 8.25; มธ 8.29; มธ 9.5; มธ 9.6; มธ 9.13; มธ 9.15; มธ 9.16; มธ 9.17; มธ 9.18; มธ 9.21; มธ 9.28; มธ 10.10; มธ 10.11; มธ 10.14; มธ 10.15; มธ 10.17; มธ 10.18; มธ 10.19; มธ 10.21; มธ 10.22; มธ 10.23; มธ 10.25; มธ 10.26; มธ 10.28; มธ 10.29; มธ 10.32; มธ 10.33; มธ 10.34; มธ 10.35; มธ 10.36; มธ 10.39; มธ 10.41; มธ 10.42; มธ 11.1; มธ 11.3; มธ 11.10; มธ 11.14; มธ 11.16; มธ 11.21; มธ 11.22; มธ 11.23; มธ 11.24; มธ 11.27; มธ 11.28; มธ 11.29; มธ 12.10; มธ 12.11; มธ 12.14; มธ 12.17; มธ 12.18; มธ 12.19; มธ 12.20; มธ 12.21; มธ 12.25; มธ 12.26; มธ 12.27; มธ 12.29; มธ 12.31; มธ 12.32; มธ 12.33; มธ 12.34; มธ 12.36; มธ 12.37; มธ 12.38; มธ 12.39; มธ 12.40; มธ 12.41; มธ 12.42; มธ 12.44; มธ 12.45; มธ 12.46; มธ 12.47; มธ 12.50; มธ 13.12; มธ 13.14; มธ 13.15; มธ 13.17; มธ 13.28; มธ 13.29; มธ 13.30; มธ 13.35; มธ 13.40; มธ 13.41; มธ 13.42; มธ 13.43; มธ 13.49; มธ 13.50; มธ 13.57; มธ 14.5; มธ 14.7; มธ 14.15; มธ 14.23; มธ 14.30; มธ 15.5; มธ 15.11; มธ 15.13; มธ 15.14; มธ 15.20; มธ 15.26; มธ 15.32; มธ 15.33; มธ 16.2; มธ 16.3; มธ 16.4; มธ 16.18; มธ 16.19; มธ 16.21; มธ 16.25; มธ 16.26; มธ 16.27; มธ 16.28; มธ 17.4; มธ 17.9; มธ 17.10; มธ 17.12; มธ 17.17; มธ 17.20; มธ 17.21; มธ 17.22; มธ 17.23; มธ 17.27; มธ 18.3; มธ 18.4; มธ 18.5; มธ 18.6; มธ 18.8; มธ 18.9; มธ 18.12; มธ 18.13; มธ 18.15; มธ 18.16; มธ 18.18; มธ 18.19; มธ 18.20; มธ 18.21; มธ 18.23; มธ 18.25; มธ 18.26; มธ 18.29; มธ 18.30; มธ 18.33; มธ 18.34; มธ 18.35; มธ 19.3; มธ 19.5; มธ 19.11; มธ 19.13; มธ 19.16; มธ 19.17; มธ 19.21; มธ 19.23; มธ 19.24; มธ 19.25; มธ 19.27; มธ 19.28; มธ 19.29; มธ 19.30; มธ 20.4; มธ 20.7; มธ 20.14; มธ 20.15; มธ 20.16; มธ 20.17; มธ 20.18; มธ 20.19; มธ 20.22; มธ 20.23; มธ 20.26; มธ 20.27; มธ 20.28; มธ 20.32; มธ 21.2; มธ 21.3; มธ 21.4; มธ 21.13; มธ 21.21; มธ 21.22; มธ 21.24; มธ 21.25; มธ 21.26; มธ 21.27; มธ 21.34; มธ 21.40; มธ 21.41; มธ 21.43; มธ 21.44; มธ 21.46; มธ 22.3; มธ 22.10; มธ 22.13; มธ 22.15; มธ 22.17; มธ 22.19; มธ 22.28; มธ 22.30; มธ 22.44; มธ 22.45; มธ 23.11; มธ 23.12; มธ 23.13; มธ 23.14; มธ 23.15; มธ 23.16; มธ 23.17; มธ 23.18; มธ 23.19; มธ 23.20; มธ 23.21; มธ 23.22; มธ 23.26; มธ 23.30; มธ 23.33; มธ 23.36; มธ 23.37; มธ 23.38; มธ 23.39; มธ 24.2; มธ 24.3; มธ 24.5; มธ 24.6; มธ 24.7; มธ 24.9; มธ 24.10; มธ 24.11; มธ 24.12; มธ 24.13; มธ 24.14; มธ 24.19; มธ 24.20; มธ 24.21; มธ 24.22; มธ 24.23; มธ 24.24; มธ 24.26; มธ 24.27; มธ 24.28; มธ 24.29; มธ 24.30; มธ 24.31; มธ 24.32; มธ 24.33; มธ 24.34; มธ 24.35; มธ 24.37; มธ 24.39; มธ 24.40; มธ 24.41; มธ 24.42; มธ 24.43; มธ 24.44; มธ 24.46; มธ 24.47; มธ 24.48; มธ 24.49; มธ 24.50; มธ 24.51; มธ 25.1; มธ 25.9; มธ 25.13; มธ 25.14; มธ 25.21; มธ 25.23; มธ 25.27; มธ 25.29; มธ 25.30; มธ 25.31; มธ 25.32; มธ 25.33; มธ 25.34; มธ 25.37; มธ 25.40; มธ 25.41; มธ 25.44; มธ 25.45; มธ 25.46; มธ 26.2; มธ 26.4; มธ 26.5; มธ 26.9; มธ 26.13; มธ 26.15; มธ 26.16; มธ 26.17; มธ 26.18; มธ 26.21; มธ 26.23; มธ 26.24; มธ 26.29; มธ 26.31; มธ 26.32; มธ 26.33; มธ 26.34; มธ 26.35; มธ 26.36; มธ 26.38; มธ 26.40; มธ 26.41; มธ 26.45; มธ 26.46; มธ 26.48; มธ 26.52; มธ 26.53; มธ 26.54; มธ 26.56; มธ 26.58; มธ 26.59; มธ 26.61; มธ 26.62; มธ 26.64; มธ 26.75; มธ 27.1; มธ 27.6; มธ 27.21; มธ 27.22; มธ 27.24; มธ 27.31; มธ 27.35; มธ 27.40; มธ 27.42; มธ 27.49; มธ 27.63; มธ 27.64; มธ 27.65; มธ 28.7; มธ 28.10; มธ 28.14; มธ 28.20; มก 1.2; มก 1.7; มก 1.8; มก 1.17; มก 1.24; มก 1.38; มก 1.40; มก 1.45; มก 2.2; มก 2.7; มก 2.9; มก 2.10; มก 2.17; มก 2.19; มก 2.20; มก 2.21; มก 2.22; มก 3.2; มก 3.4; มก 3.6; มก 3.10; มก 3.13; มก 3.14; มก 3.20; มก 3.21; มก 3.23; มก 3.24; มก 3.25; มก 3.26; มก 3.27; มก 3.28; มก 3.29; มก 3.35; มก 4.11; มก 4.12; มก 4.13; มก 4.22; มก 4.24; มก 4.25; มก 4.27; มก 4.30; มก 4.33; มก 4.38; มก 5.3; มก 5.4; มก 5.7; มก 5.23; มก 5.28; มก 5.31; มก 5.32; มก 5.35; มก 6.4; มก 6.5; มก 6.10; มก 6.11; มก 6.19; มก 6.22; มก 6.23; มก 6.24; มก 6.31; มก 6.36; มก 6.37; มก 6.48; มก 7.9; มก 7.11; มก 7.15; มก 7.18; มก 7.24; มก 7.27; มก 8.2; มก 8.3; มก 8.4; มก 8.11; มก 8.12; มก 8.31; มก 8.34; มก 8.35; มก 8.36; มก 8.37; มก 8.38; มก 9.1; มก 9.3; มก 9.6; มก 9.9; มก 9.10; มก 9.11; มก 9.12; มก 9.13; มก 9.19; มก 9.22; มก 9.29; มก 9.30; มก 9.31; มก 9.32; มก 9.34; มก 9.35; มก 9.37; มก 9.39; มก 9.41; มก 9.42; มก 9.43; มก 9.45; มก 9.47; มก 9.49; มก 9.50; มก 10.2; มก 10.7; มก 10.8; มก 10.12; มก 10.13; มก 10.15; มก 10.17; มก 10.21; มก 10.23; มก 10.24; มก 10.25; มก 10.26; มก 10.30; มก 10.31; มก 10.32; มก 10.33; มก 10.34; มก 10.35; มก 10.36; มก 10.37; มก 10.38; มก 10.39; มก 10.40; มก 10.43; มก 10.44; มก 10.45; มก 10.51; มก 11.2; มก 11.3; มก 11.14; มก 11.17; มก 11.18; มก 11.23; มก 11.24; มก 11.25; มก 11.26; มก 11.28; มก 11.29; มก 11.31; มก 11.32; มก 11.33; มก 12.2; มก 12.7; มก 12.9; มก 12.12; มก 12.13; มก 12.14; มก 12.15; มก 12.23; มก 12.25; มก 12.26; มก 12.33; มก 12.36; มก 12.37; มก 12.40; มก 13.2; มก 13.4; มก 13.6; มก 13.7; มก 13.8; มก 13.9; มก 13.10; มก 13.11; มก 13.12; มก 13.13; มก 13.14; มก 13.17; มก 13.18; มก 13.19; มก 13.20; มก 13.21; มก 13.22; มก 13.24; มก 13.25; มก 13.26; มก 13.27; มก 13.28; มก 13.29; มก 13.30; มก 13.31; มก 13.33; มก 13.35; มก 13.36; มก 14.1; มก 14.2; มก 14.5; มก 14.7; มก 14.9; มก 14.10; มก 14.11; มก 14.12; มก 14.13; มก 14.14; มก 14.15; มก 14.18; มก 14.21; มก 14.25; มก 14.27; มก 14.28; มก 14.29; มก 14.30; มก 14.31; มก 14.34; มก 14.37; มก 14.38; มก 14.40; มก 14.42; มก 14.44; มก 14.49; มก 14.55; มก 14.58; มก 14.60; มก 14.62; มก 14.64; มก 14.72; มก 15.9; มก 15.12; มก 15.15; มก 15.20; มก 15.24; มก 15.29; มก 15.32; มก 15.36; มก 16.1; มก 16.3; มก 16.7; มก 16.16; มก 16.17; มก 16.18; ลก 1.3; ลก 1.4; ลก 1.13; ลก 1.14; ลก 1.15; ลก 1.16; ลก 1.17; ลก 1.18; ลก 1.20; ลก 1.29; ลก 1.31; ลก 1.32; ลก 1.33; ลก 1.34; ลก 1.35; ลก 1.45; ลก 1.48; ลก 1.57; ลก 1.59; ลก 1.62; ลก 1.66; ลก 1.71; ลก 1.72; ลก 1.74; ลก 1.76; ลก 1.77; ลก 1.79; ลก 1.80; ลก 2.5; ลก 2.6; ลก 2.10; ลก 2.12; ลก 2.22; ลก 2.23; ลก 2.25; ลก 2.26; ลก 2.27; ลก 2.34; ลก 2.35; ลก 3.3; ลก 3.5; ลก 3.6; ลก 3.7; ลก 3.8; ลก 3.9; ลก 3.10; ลก 3.14; ลก 3.16; ลก 3.17; ลก 4.4; ลก 4.6; ลก 4.7; ลก 4.10; ลก 4.11; ลก 4.16; ลก 4.18; ลก 4.23; ลก 4.29; ลก 4.34; ลก 5.5; ลก 5.10; ลก 5.12; ลก 5.15; ลก 5.17; ลก 5.18; ลก 5.21; ลก 5.23; ลก 5.24; ลก 5.32; ลก 5.34; ลก 5.35; ลก 5.36; ลก 5.37; ลก 5.38; ลก 5.39; ลก 6.7; ลก 6.9; ลก 6.11; ลก 6.12; ลก 6.17; ลก 6.19; ลก 6.21; ลก 6.22; ลก 6.25; ลก 6.26; ลก 6.29; ลก 6.32; ลก 6.33; ลก 6.34; ลก 6.35; ลก 6.37; ลก 6.38; ลก 6.39; ลก 6.40; ลก 6.42; ลก 6.44; ลก 6.47; ลก 7.2; ลก 7.4; ลก 7.6; ลก 7.7; ลก 7.8; ลก 7.19; ลก 7.20; ลก 7.27; ลก 7.31; ลก 7.39; ลก 7.40; ลก 7.42; ลก 8.16; ลก 8.17; ลก 8.18; ลก 8.20; ลก 8.23; ลก 8.24; ลก 8.42; ลก 8.47; ลก 8.50; ลก 9.4; ลก 9.5; ลก 9.9; ลก 9.12; ลก 9.13; ลก 9.22; ลก 9.23; ลก 9.24; ลก 9.25; ลก 9.26; ลก 9.27; ลก 9.28; ลก 9.31; ลก 9.39; ลก 9.41; ลก 9.44; ลก 9.45; ลก 9.46; ลก 9.48; ลก 9.51; ลก 9.52; ลก 9.54; ลก 9.57; ลก 9.58; ลก 9.61; ลก 10.1; ลก 10.5; ลก 10.6; ลก 10.7; ลก 10.8; ลก 10.10; ลก 10.11; ลก 10.12; ลก 10.13; ลก 10.14; ลก 10.15; ลก 10.19; ลก 10.22; ลก 10.24; ลก 10.25; ลก 10.28; ลก 10.29; ลก 10.30; ลก 10.35; ลก 10.42; ลก 11.5; ลก 11.6; ลก 11.7; ลก 11.8; ลก 11.9; ลก 11.10; ลก 11.11; ลก 11.12; ลก 11.13; ลก 11.17; ลก 11.18; ลก 11.19; ลก 11.24; ลก 11.29; ลก 11.30; ลก 11.31; ลก 11.32; ลก 11.33; ลก 11.36; ลก 11.49; ลก 11.50; ลก 11.51; ลก 11.54; ลก 12.2; ลก 12.3; ลก 12.4; ลก 12.5; ลก 12.8; ลก 12.9; ลก 12.10; ลก 12.11; ลก 12.12; ลก 12.17; ลก 12.18; ลก 12.19; ลก 12.20; ลก 12.22; ลก 12.26; ลก 12.28; ลก 12.29; ลก 12.31; ลก 12.32; ลก 12.36; ลก 12.37; ลก 12.38; ลก 12.39; ลก 12.43; ลก 12.44; ลก 12.45; ลก 12.46; ลก 12.47; ลก 12.48; ลก 12.49; ลก 12.50; ลก 12.51; ลก 12.52; ลก 12.53; ลก 12.54; ลก 12.55; ลก 12.58; ลก 12.59; ลก 13.3; ลก 13.5; ลก 13.7; ลก 13.14; ลก 13.16; ลก 13.18; ลก 13.20; ลก 13.24; ลก 13.25; ลก 13.26; ลก 13.27; ลก 13.28; ลก 13.29; ลก 13.30; ลก 13.31; ลก 13.32; ลก 13.33; ลก 13.34; ลก 13.35; ลก 14.1; ลก 14.3; ลก 14.5; ลก 14.9; ลก 14.10; ลก 14.11; ลก 14.12; ลก 14.14; ลก 14.15; ลก 14.18; ลก 14.19; ลก 14.23; ลก 14.24; ลก 14.26; ลก 14.27; ลก 14.28; ลก 14.29; ลก 14.31; ลก 14.32; ลก 14.33; ลก 14.34; ลก 14.35; ลก 15.1; ลก 15.4; ลก 15.7; ลก 15.8; ลก 15.10; ลก 15.16; ลก 15.17; ลก 15.18; ลก 15.19; ลก 15.21; ลก 15.29; ลก 15.32; ลก 16.2; ลก 16.3; ลก 16.4; ลก 16.9; ลก 16.10; ลก 16.11; ลก 16.12; ลก 16.13; ลก 16.17; ลก 16.21; ลก 16.24; ลก 16.26; ลก 16.30; ลก 16.31; ลก 17.4; ลก 17.6; ลก 17.7; ลก 17.8; ลก 17.9; ลก 17.20; ลก 17.21; ลก 17.22; ลก 17.23; ลก 17.24; ลก 17.25; ลก 17.26; ลก 17.30; ลก 17.33; ลก 17.34; ลก 17.35; ลก 17.36; ลก 17.37; ลก 18.5; ลก 18.7; ลก 18.8; ลก 18.14; ลก 18.15; ลก 18.17; ลก 18.18; ลก 18.22; ลก 18.24; ลก 18.25; ลก 18.26; ลก 18.30; ลก 18.31; ลก 18.32; ลก 18.33; ลก 18.41; ลก 19.1; ลก 19.3; ลก 19.4; ลก 19.5; ลก 19.10; ลก 19.11; ลก 19.12; ลก 19.13; ลก 19.15; ลก 19.22; ลก 19.23; ลก 19.26; ลก 19.28; ลก 19.30; ลก 19.37; ลก 19.40; ลก 19.42; ลก 19.43; ลก 19.44; ลก 19.47; ลก 19.48; ลก 20.3; ลก 20.5; ลก 20.6; ลก 20.8; ลก 20.10; ลก 20.13; ลก 20.14; ลก 20.15; ลก 20.16; ลก 20.18; ลก 20.19; ลก 20.20; ลก 20.22; ลก 20.33; ลก 20.35; ลก 20.36; ลก 20.37; ลก 20.40; ลก 20.43; ลก 20.44; ลก 20.47; ลก 21.6; ลก 21.7; ลก 21.8; ลก 21.9; ลก 21.10; ลก 21.11; ลก 21.12; ลก 21.13; ลก 21.14; ลก 21.15; ลก 21.16; ลก 21.17; ลก 21.18; ลก 21.19; ลก 21.22; ลก 21.23; ลก 21.24; ลก 21.25; ลก 21.26; ลก 21.27; ลก 21.28; ลก 21.30; ลก 21.31; ลก 21.32; ลก 21.33; ลก 21.34; ลก 21.35; ลก 21.36; ลก 21.38; ลก 22.2; ลก 22.4; ลก 22.5; ลก 22.6; ลก 22.9; ลก 22.10; ลก 22.11; ลก 22.12; ลก 22.15; ลก 22.16; ลก 22.18; ลก 22.21; ลก 22.22; ลก 22.23; ลก 22.24; ลก 22.26; ลก 22.29; ลก 22.30; ลก 22.31; ลก 22.32; ลก 22.33; ลก 22.34; ลก 22.37; ลก 22.46; ลก 22.48; ลก 22.49; ลก 22.61; ลก 22.67; ลก 22.68; ลก 22.69; ลก 23.8; ลก 23.15; ลก 23.16; ลก 23.20; ลก 23.22; ลก 23.29; ลก 23.30; ลก 23.31; ลก 23.32; ลก 23.43; ลก 23.48; ลก 23.54; ลก 24.7; ลก 24.21; ลก 24.26; ลก 24.28; ลก 24.44; ลก 24.45; ลก 24.46; ลก 24.47; ลก 24.49; ยน 1.7; ยน 1.22; ยน 1.27; ยน 1.30; ยน 1.42; ยน 1.43; ยน 1.46; ยน 1.48; ยน 1.50; ยน 1.51; ยน 2.5; ยน 2.18; ยน 2.19; ยน 2.20; ยน 2.25; ยน 3.3; ยน 3.4; ยน 3.5; ยน 3.8; ยน 3.9; ยน 3.12; ยน 3.14; ยน 3.15; ยน 3.16; ยน 3.17; ยน 3.20; ยน 3.21; ยน 3.27; ยน 3.36; ยน 4.10; ยน 4.11; ยน 4.13; ยน 4.14; ยน 4.15; ยน 4.21; ยน 4.23; ยน 4.25; ยน 4.35; ยน 4.36; ยน 4.47; ยน 4.48; ยน 4.49; ยน 4.50; ยน 4.53; ยน 5.4; ยน 5.6; ยน 5.7; ยน 5.14; ยน 5.16; ยน 5.18; ยน 5.19; ยน 5.20; ยน 5.21; ยน 5.23; ยน 5.25; ยน 5.27; ยน 5.28; ยน 5.29; ยน 5.30; ยน 5.35; ยน 5.40; ยน 5.43; ยน 5.44; ยน 5.45; ยน 5.46; ยน 5.47; ยน 6.4; ยน 6.5; ยน 6.6; ยน 6.9; ยน 6.15; ยน 6.21; ยน 6.27; ยน 6.28; ยน 6.30; ยน 6.35; ยน 6.37; ยน 6.40; ยน 6.44; ยน 6.45; ยน 6.51; ยน 6.52; ยน 6.54; ยน 6.57; ยน 6.58; ยน 6.60; ยน 6.62; ยน 6.64; ยน 6.65; ยน 6.67; ยน 6.68; ยน 6.71; ยน 7.1; ยน 7.2; ยน 7.3; ยน 7.7; ยน 7.8; ยน 7.15; ยน 7.17; ยน 7.19; ยน 7.20; ยน 7.23; ยน 7.25; ยน 7.27; ยน 7.30; ยน 7.31; ยน 7.33; ยน 7.34; ยน 7.35; ยน 7.36; ยน 7.38; ยน 7.39; ยน 7.41; ยน 7.42; ยน 7.44; ยน 8.5; ยน 8.6; ยน 8.12; ยน 8.14; ยน 8.16; ยน 8.19; ยน 8.21; ยน 8.22; ยน 8.24; ยน 8.26; ยน 8.28; ยน 8.32; ยน 8.33; ยน 8.36; ยน 8.37; ยน 8.39; ยน 8.40; ยน 8.42; ยน 8.44; ยน 8.50; ยน 8.51; ยน 8.52; ยน 8.56; ยน 8.59; ยน 9.16; ยน 9.21; ยน 9.22; ยน 9.33; ยน 9.34; ยน 9.36; ยน 9.41; ยน 10.5; ยน 10.9; ยน 10.10; ยน 10.16; ยน 10.17; ยน 10.18; ยน 10.21; ยน 10.24; ยน 10.28; ยน 10.31; ยน 10.32; ยน 10.33; ยน 10.35; ยน 10.36; ยน 10.38; ยน 11.4; ยน 11.8; ยน 11.9; ยน 11.10; ยน 11.11; ยน 11.12; ยน 11.15; ยน 11.16; ยน 11.19; ยน 11.22; ยน 11.23; ยน 11.24; ยน 11.25; ยน 11.26; ยน 11.27; ยน 11.31; ยน 11.37; ยน 11.40; ยน 11.42; ยน 11.47; ยน 11.48; ยน 11.50; ยน 11.51; ยน 11.52; ยน 11.53; ยน 11.55; ยน 11.56; ยน 11.57; ยน 12.4; ยน 12.8; ยน 12.10; ยน 12.21; ยน 12.23; ยน 12.24; ยน 12.25; ยน 12.26; ยน 12.27; ยน 12.28; ยน 12.31; ยน 12.32; ยน 12.33; ยน 12.34; ยน 12.35; ยน 12.36; ยน 12.38; ยน 12.40; ยน 12.42; ยน 12.46; ยน 12.47; ยน 12.48; ยน 13.1; ยน 13.3; ยน 13.6; ยน 13.7; ยน 13.8; ยน 13.11; ยน 13.14; ยน 13.16; ยน 13.18; ยน 13.19; ยน 13.21; ยน 13.26; ยน 13.27; ยน 13.29; ยน 13.32; ยน 13.33; ยน 13.35; ยน 13.36; ยน 13.37; ยน 13.38; ยน 14.3; ยน 14.4; ยน 14.5; ยน 14.7; ยน 14.8; ยน 14.9; ยน 14.12; ยน 14.13; ยน 14.14; ยน 14.16; ยน 14.17; ยน 14.18; ยน 14.19; ยน 14.20; ยน 14.21; ยน 14.22; ยน 14.23; ยน 14.26; ยน 14.28; ยน 14.29; ยน 14.30; ยน 14.31; ยน 15.4; ยน 15.5; ยน 15.7; ยน 15.10; ยน 15.13; ยน 15.14; ยน 15.16; ยน 15.19; ยน 15.20; ยน 15.21; ยน 15.24; ยน 15.25; ยน 15.26; ยน 15.27; ยน 16.2; ยน 16.3; ยน 16.4; ยน 16.5; ยน 16.7; ยน 16.8; ยน 16.10; ยน 16.12; ยน 16.13; ยน 16.14; ยน 16.16; ยน 16.17; ยน 16.19; ยน 16.20; ยน 16.21; ยน 16.22; ยน 16.23; ยน 16.24; ยน 16.25; ยน 16.26; ยน 16.28; ยน 16.30; ยน 16.32; ยน 16.33; ยน 17.1; ยน 17.11; ยน 17.12; ยน 17.13; ยน 17.20; ยน 17.21; ยน 17.22; ยน 17.23; ยน 17.24; ยน 17.26; ยน 18.4; ยน 18.9; ยน 18.11; ยน 18.28; ยน 18.30; ยน 18.31; ยน 18.32; ยน 18.36; ยน 18.37; ยน 18.39; ยน 19.7; ยน 19.10; ยน 19.11; ยน 19.12; ยน 19.15; ยน 19.24; ยน 19.28; ยน 19.35; ยน 19.36; ยน 19.37; ยน 20.9; ยน 20.15; ยน 20.17; ยน 20.23; ยน 20.25; ยน 20.31; ยน 21.3; ยน 21.6; ยน 21.18; ยน 21.19; ยน 21.20; ยน 21.21; ยน 21.22; ยน 21.23; ยน 21.25; กจ 1.5; กจ 1.6; กจ 1.7; กจ 1.8; กจ 1.11; กจ 1.16; กจ 1.22; กจ 2.17; กจ 2.18; กจ 2.19; กจ 2.20; กจ 2.21; กจ 2.24; กจ 2.25; กจ 2.26; กจ 2.27; กจ 2.28; กจ 2.29; กจ 2.30; กจ 2.35; กจ 2.37; กจ 2.38; กจ 2.47; กจ 3.1; กจ 3.2; กจ 3.3; กจ 3.5; กจ 3.6; กจ 3.13; กจ 3.19; กจ 3.20; กจ 3.21; กจ 3.22; กจ 3.23; กจ 3.25; กจ 4.9; กจ 4.14; กจ 4.16; กจ 4.17; กจ 4.19; กจ 4.20; กจ 4.21; กจ 5.9; กจ 5.15; กจ 5.24; กจ 5.26; กจ 5.31; กจ 5.33; กจ 5.35; กจ 5.38; กจ 5.39; กจ 5.41; กจ 6.2; กจ 6.3; กจ 6.4; กจ 6.14; กจ 7.3; กจ 7.5; กจ 7.6; กจ 7.7; กจ 7.23; กจ 7.25; กจ 7.26; กจ 7.28; กจ 7.34; กจ 7.37; กจ 7.39; กจ 7.40; กจ 7.43; กจ 7.46; กจ 7.49; กจ 8.19; กจ 8.20; กจ 8.22; กจ 8.23; กจ 8.24; กจ 8.31; กจ 8.33; กจ 9.1; กจ 9.2; กจ 9.3; กจ 9.6; กจ 9.12; กจ 9.15; กจ 9.16; กจ 9.17; กจ 9.21; กจ 9.23; กจ 9.26; กจ 9.29; กจ 10.6; กจ 10.9; กจ 10.10; กจ 10.22; กจ 10.28; กจ 10.32; กจ 10.33; กจ 10.43; กจ 10.47; กจ 11.14; กจ 11.16; กจ 11.17; กจ 11.27; กจ 11.28; กจ 11.29; กจ 12.4; กจ 12.6; กจ 12.10; กจ 13.7; กจ 13.8; กจ 13.10; กจ 13.11; กจ 13.22; กจ 13.25; กจ 13.28; กจ 13.34; กจ 13.35; กจ 13.39; กจ 13.40; กจ 13.41; กจ 13.46; กจ 13.47; กจ 14.5; กจ 14.9; กจ 14.13; กจ 14.22; กจ 15.1; กจ 15.14; กจ 15.16; กจ 15.17; กจ 15.22; กจ 15.25; กจ 15.27; กจ 15.28; กจ 15.29; กจ 15.34; กจ 15.37; กจ 15.38; กจ 16.3; กจ 16.7; กจ 16.10; กจ 16.19; กจ 16.21; กจ 16.27; กจ 16.30; กจ 16.31; กจ 16.37; กจ 17.5; กจ 17.11; กจ 17.14; กจ 17.18; กจ 17.21; กจ 17.25; กจ 17.27; กจ 17.31; กจ 17.32; กจ 18.6; กจ 18.10; กจ 18.14; กจ 18.21; กจ 18.23; กจ 18.27; กจ 19.4; กจ 19.21; กจ 19.27; กจ 19.30; กจ 19.33; กจ 19.36; กจ 19.38; กจ 19.40; กจ 20.3; กจ 20.7; กจ 20.13; กจ 20.16; กจ 20.22; กจ 20.24; กจ 20.25; กจ 20.28; กจ 20.29; กจ 20.30; กจ 20.35; กจ 20.38; กจ 21.3; กจ 21.11; กจ 21.13; กจ 21.22; กจ 21.23; กจ 21.24; กจ 21.26; กจ 21.27; กจ 21.31; กจ 21.37; กจ 22.1; กจ 22.6; กจ 22.10; กจ 22.14; กจ 22.15; กจ 22.16; กจ 22.18; กจ 22.21; กจ 22.22; กจ 22.24; กจ 22.25; กจ 22.26; กจ 22.29; กจ 23.3; กจ 23.10; กจ 23.11; กจ 23.12; กจ 23.14; กจ 23.15; กจ 23.17; กจ 23.18; กจ 23.19; กจ 23.20; กจ 23.21; กจ 23.23; กจ 23.24; กจ 23.27; กจ 23.28; กจ 23.29; กจ 23.35; กจ 24.6; กจ 24.8; กจ 24.10; กจ 24.15; กจ 24.19; กจ 24.22; กจ 24.23; กจ 24.25; กจ 24.26; กจ 24.27; กจ 25.3; กจ 25.4; กจ 25.9; กจ 25.10; กจ 25.11; กจ 25.12; กจ 25.16; กจ 25.20; กจ 25.21; กจ 25.22; กจ 25.24; กจ 25.25; กจ 25.26; กจ 25.27; กจ 26.5; กจ 26.7; กจ 26.8; กจ 26.9; กจ 26.16; กจ 26.17; กจ 26.18; กจ 26.21; กจ 26.22; กจ 26.23; กจ 26.25; กจ 26.28; กจ 26.29; กจ 26.31; กจ 26.32; กจ 27.1; กจ 27.2; กจ 27.3; กจ 27.6; กจ 27.9; กจ 27.10; กจ 27.12; กจ 27.17; กจ 27.20; กจ 27.21; กจ 27.22; กจ 27.24; กจ 27.25; กจ 27.26; กจ 27.29; กจ 27.30; กจ 27.31; กจ 27.34; กจ 27.39; กจ 27.42; กจ 27.43; กจ 28.6; กจ 28.10; กจ 28.18; กจ 28.19; กจ 28.20; กจ 28.22; กจ 28.26; กจ 28.27; กจ 28.28; รม 1.11; รม 1.12; รม 1.13; รม 1.15; รม 1.17; รม 1.19; รม 1.25; รม 1.28; รม 1.32; รม 2.1; รม 2.3; รม 2.4; รม 2.5; รม 2.6; รม 2.7; รม 2.8; รม 2.9; รม 2.10; รม 2.12; รม 2.15; รม 2.16; รม 2.21; รม 2.26; รม 2.27; รม 3.1; รม 3.3; รม 3.4; รม 3.5; รม 3.6; รม 3.8; รม 3.9; รม 3.26; รม 3.27; รม 3.28; รม 3.30; รม 4.1; รม 4.2; รม 4.11; รม 4.12; รม 4.13; รม 4.14; รม 4.16; รม 4.18; รม 4.24; รม 5.2; รม 5.7; รม 5.9; รม 5.10; รม 5.14; รม 5.17; รม 5.20; รม 6.1; รม 6.2; รม 6.4; รม 6.5; รม 6.6; รม 6.8; รม 6.9; รม 6.14; รม 6.15; รม 6.16; รม 7.4; รม 7.6; รม 7.7; รม 7.13; รม 7.15; รม 7.16; รม 7.18; รม 7.20; รม 7.21; รม 7.24; รม 8.4; รม 8.7; รม 8.8; รม 8.11; รม 8.12; รม 8.13; รม 8.17; รม 8.18; รม 8.21; รม 8.23; รม 8.24; รม 8.26; รม 8.29; รม 8.31; รม 8.32; รม 8.33; รม 8.34; รม 8.35; รม 8.36; รม 8.38; รม 8.39; รม 9.3; รม 9.5; รม 9.7; รม 9.8; รม 9.9; รม 9.11; รม 9.12; รม 9.14; รม 9.15; รม 9.17; รม 9.18; รม 9.19; รม 9.20; รม 9.21; รม 9.22; รม 9.23; รม 9.25; รม 9.26; รม 9.27; รม 9.28; รม 9.29; รม 9.30; รม 9.33; รม 10.2; รม 10.3; รม 10.5; รม 10.6; รม 10.7; รม 10.9; รม 10.11; รม 10.13; รม 10.14; รม 10.15; รม 10.19; รม 11.3; รม 11.7; รม 11.10; รม 11.11; รม 11.12; รม 11.14; รม 11.19; รม 11.21; รม 11.22; รม 11.23; รม 11.24; รม 11.25; รม 11.26; รม 11.27; รม 11.31; รม 11.32; รม 11.33; รม 11.35; รม 12.2; รม 12.3; รม 12.19; รม 13.2; รม 13.3; รม 13.4; รม 13.5; รม 13.7; รม 13.11; รม 13.14; รม 14.2; รม 14.4; รม 14.9; รม 14.11; รม 14.12; รม 14.21; รม 14.22; รม 14.23; รม 15.1; รม 15.4; รม 15.6; รม 15.12; รม 15.13; รม 15.16; รม 15.17; รม 15.18; รม 15.20; รม 15.21; รม 15.23; รม 15.24; รม 15.25; รม 15.26; รม 15.27; รม 15.28; รม 15.29; รม 15.32; รม 16.20; รม 16.26; 1คร 1.8; 1คร 1.17; 1คร 1.18; 1คร 1.19; 1คร 1.21; 1คร 1.27; 1คร 1.28; 1คร 2.2; 1คร 2.5; 1คร 2.6; 1คร 2.8; 1คร 2.12; 1คร 2.14; 1คร 2.15; 1คร 2.16; 1คร 3.1; 1คร 3.8; 1คร 3.10; 1คร 3.11; 1คร 3.12; 1คร 3.13; 1คร 3.14; 1คร 3.15; 1คร 3.17; 1คร 3.18; 1คร 3.22; 1คร 4.3; 1คร 4.5; 1คร 4.8; 1คร 4.14; 1คร 4.15; 1คร 4.18; 1คร 4.19; 1คร 4.21; 1คร 5.2; 1คร 5.7; 1คร 5.10; 1คร 5.11; 1คร 5.12; 1คร 5.13; 1คร 6.1; 1คร 6.2; 1คร 6.3; 1คร 6.4; 1คร 6.9; 1คร 6.10; 1คร 6.12; 1คร 6.13; 1คร 6.14; 1คร 6.15; 1คร 6.16; 1คร 7.7; 1คร 7.8; 1คร 7.12; 1คร 7.13; 1คร 7.15; 1คร 7.16; 1คร 7.26; 1คร 7.27; 1คร 7.28; 1คร 7.32; 1คร 7.33; 1คร 7.34; 1คร 7.35; 1คร 7.37; 1คร 7.39; 1คร 7.40; 1คร 8.2; 1คร 8.5; 1คร 8.10; 1คร 8.11; 1คร 8.13; 1คร 9.3; 1คร 9.4; 1คร 9.5; 1คร 9.6; 1คร 9.10; 1คร 9.11; 1คร 9.12; 1คร 9.15; 1คร 9.16; 1คร 9.17; 1คร 9.18; 1คร 9.19; 1คร 9.20; 1คร 9.21; 1คร 9.22; 1คร 9.23; 1คร 9.25; 1คร 9.27; 1คร 10.12; 1คร 10.13; 1คร 10.19; 1คร 10.21; 1คร 10.22; 1คร 10.23; 1คร 10.27; 1คร 10.29; 1คร 10.31; 1คร 11.6; 1คร 11.7; 1คร 11.10; 1คร 11.13; 1คร 11.16; 1คร 11.17; 1คร 11.19; 1คร 11.22; 1คร 11.26; 1คร 11.31; 1คร 11.34; 1คร 12.2; 1คร 12.3; 1คร 12.12; 1คร 12.13; 1คร 12.15; 1คร 12.16; 1คร 12.17; 1คร 12.19; 1คร 12.21; 1คร 12.24; 1คร 13.2; 1คร 13.3; 1คร 13.8; 1คร 13.10; 1คร 13.12; 1คร 14.5; 1คร 14.6; 1คร 14.7; 1คร 14.8; 1คร 14.9; 1คร 14.11; 1คร 14.12; 1คร 14.13; 1คร 14.15; 1คร 14.16; 1คร 14.17; 1คร 14.19; 1คร 14.21; 1คร 14.23; 1คร 14.24; 1คร 14.25; 1คร 14.26; 1คร 14.27; 1คร 14.35; 1คร 14.39; 1คร 14.40; 1คร 15.9; 1คร 15.15; 1คร 15.22; 1คร 15.23; 1คร 15.24; 1คร 15.25; 1คร 15.26; 1คร 15.28; 1คร 15.29; 1คร 15.32; 1คร 15.35; 1คร 15.36; 1คร 15.37; 1คร 15.42; 1คร 15.43; 1คร 15.44; 1คร 15.49; 1คร 15.50; 1คร 15.51; 1คร 15.52; 1คร 15.53; 1คร 15.54; 1คร 15.58; 1คร 16.2; 1คร 16.3; 1คร 16.4; 1คร 16.5; 1คร 16.6; 1คร 16.7; 1คร 16.8; 1คร 16.9; 1คร 16.11; 1คร 16.12; 1คร 16.22; 2คร 1.4; 2คร 1.7; 2คร 1.8; 2คร 1.10; 2คร 1.11; 2คร 1.13; 2คร 1.14; 2คร 1.15; 2คร 1.16; 2คร 1.17; 2คร 1.23; 2คร 2.1; 2คร 2.2; 2คร 2.3; 2คร 2.4; 2คร 2.5; 2คร 2.7; 2คร 2.9; 2คร 2.10; 2คร 2.16; 2คร 3.1; 2คร 3.5; 2คร 3.8; 2คร 3.11; 2คร 3.12; 2คร 3.16; 2คร 4.3; 2คร 4.10; 2คร 4.11; 2คร 4.14; 2คร 4.15; 2คร 4.17; 2คร 5.1; 2คร 5.2; 2คร 5.3; 2คร 5.4; 2คร 5.8; 2คร 5.9; 2คร 5.10; 2คร 5.12; 2คร 5.15; 2คร 5.16; 2คร 5.21; 2คร 6.3; 2คร 6.14; 2คร 6.15; 2คร 6.16; 2คร 6.17; 2คร 6.18; 2คร 7.3; 2คร 7.8; 2คร 7.11; 2คร 8.9; 2คร 8.10; 2คร 8.11; 2คร 8.12; 2คร 8.14; 2คร 8.20; 2คร 8.21; 2คร 9.4; 2คร 9.5; 2คร 9.6; 2คร 9.8; 2คร 9.10; 2คร 9.11; 2คร 9.12; 2คร 9.14; 2คร 9.15; 2คร 10.4; 2คร 10.6; 2คร 10.8; 2คร 10.9; 2คร 10.11; 2คร 10.12; 2คร 10.13; 2คร 10.15; 2คร 10.16; 2คร 10.17; 2คร 11.1; 2คร 11.3; 2คร 11.4; 2คร 11.8; 2คร 11.9; 2คร 11.10; 2คร 11.12; 2คร 11.15; 2คร 11.16; 2คร 11.18; 2คร 11.19; 2คร 11.30; 2คร 11.32; 2คร 12.1; 2คร 12.2; 2คร 12.3; 2คร 12.4; 2คร 12.5; 2คร 12.6; 2คร 12.9; 2คร 12.10; 2คร 12.11; 2คร 12.14; 2คร 12.15; 2คร 12.19; 2คร 12.20; 2คร 12.21; 2คร 13.1; 2คร 13.2; 2คร 13.3; 2คร 13.4; 2คร 13.5; 2คร 13.7; 2คร 13.8; 2คร 13.10; 2คร 13.11; กท 1.7; กท 1.9; กท 1.13; กท 1.16; กท 2.2; กท 2.3; กท 2.4; กท 2.6; กท 2.9; กท 2.10; กท 2.16; กท 2.17; กท 2.19; กท 3.1; กท 3.3; กท 3.8; กท 3.11; กท 3.12; กท 3.14; กท 3.15; กท 3.17; กท 3.19; กท 3.21; กท 3.22; กท 3.23; กท 3.24; กท 3.28; กท 4.1; กท 4.5; กท 4.9; กท 4.11; กท 4.17; กท 4.19; กท 4.20; กท 4.30; กท 5.2; กท 5.5; กท 5.10; กท 5.13; กท 5.15; กท 5.16; กท 5.21; กท 6.1; กท 6.2; กท 6.4; กท 6.7; กท 6.8; กท 6.9; กท 6.12; กท 6.13; อฟ 1.4; อฟ 1.6; อฟ 1.10; อฟ 1.12; อฟ 1.14; อฟ 1.17; อฟ 1.18; อฟ 1.21; อฟ 2.7; อฟ 2.9; อฟ 2.15; อฟ 2.16; อฟ 2.22; อฟ 3.6; อฟ 3.10; อฟ 3.12; อฟ 3.17; อฟ 3.18; อฟ 3.19; อฟ 3.20; อฟ 4.9; อฟ 4.10; อฟ 4.13; อฟ 4.14; อฟ 4.15; อฟ 4.22; อฟ 4.28; อฟ 4.29; อฟ 5.3; อฟ 5.5; อฟ 5.10; อฟ 5.12; อฟ 5.13; อฟ 5.14; อฟ 5.18; อฟ 5.26; อฟ 5.27; อฟ 5.28; อฟ 5.31; อฟ 6.3; อฟ 6.8; อฟ 6.11; อฟ 6.13; อฟ 6.16; อฟ 6.19; อฟ 6.20; อฟ 6.21; ฟป 1.6; ฟป 1.10; ฟป 1.11; ฟป 1.14; ฟป 1.16; ฟป 1.18; ฟป 1.19; ฟป 1.20; ฟป 1.22; ฟป 1.23; ฟป 1.25; ฟป 1.26; ฟป 1.27; ฟป 1.28; ฟป 2.10; ฟป 2.11; ฟป 2.15; ฟป 2.16; ฟป 2.17; ฟป 2.18; ฟป 2.19; ฟป 2.20; ฟป 2.23; ฟป 2.24; ฟป 2.25; ฟป 2.27; ฟป 2.28; ฟป 2.30; ฟป 3.4; ฟป 3.8; ฟป 3.9; ฟป 3.10; ฟป 3.11; ฟป 3.12; ฟป 3.14; ฟป 3.15; ฟป 3.20; ฟป 3.21; ฟป 4.7; ฟป 4.9; ฟป 4.11; ฟป 4.12; ฟป 4.17; ฟป 4.19; คส 1.9; คส 1.10; คส 1.12; คส 1.16; คส 1.18; คส 1.19; คส 1.20; คส 1.22; คส 1.25; คส 1.27; คส 1.28; คส 2.2; คส 2.8; คส 2.17; คส 2.22; คส 3.4; คส 3.17; คส 3.21; คส 3.23; คส 3.24; คส 3.25; คส 4.3; คส 4.4; คส 4.6; คส 4.7; คส 4.9; คส 4.12; 1ธส 1.10; 1ธส 2.4; 1ธส 2.6; 1ธส 2.8; 1ธส 2.9; 1ธส 2.16; 1ธส 2.17; 1ธส 2.19; 1ธส 3.1; 1ธส 3.2; 1ธส 3.3; 1ธส 3.4; 1ธส 3.5; 1ธส 3.6; 1ธส 3.9; 1ธส 3.10; 1ธส 3.13; 1ธส 4.1; 1ธส 4.4; 1ธส 4.9; 1ธส 4.11; 1ธส 4.12; 1ธส 4.13; 1ธส 4.14; 1ธส 4.15; 1ธส 4.16; 1ธส 4.17; 1ธส 5.1; 1ธส 5.2; 1ธส 5.3; 1ธส 5.4; 1ธส 5.8; 1ธส 5.10; 1ธส 5.24; 2ธส 1.5; 2ธส 1.6; 2ธส 1.7; 2ธส 1.8; 2ธส 1.9; 2ธส 1.10; 2ธส 1.11; 2ธส 1.12; 2ธส 2.1; 2ธส 2.2; 2ธส 2.3; 2ธส 2.6; 2ธส 2.7; 2ธส 2.8; 2ธส 2.10; 2ธส 2.12; 2ธส 2.14; 2ธส 2.15; 2ธส 3.1; 2ธส 3.2; 2ธส 3.3; 2ธส 3.4; 2ธส 3.7; 2ธส 3.8; 2ธส 3.13; 2ธส 3.14; 1ทธ 1.3; 1ทธ 1.15; 1ทธ 1.16; 1ทธ 1.18; 1ทธ 1.20; 1ทธ 2.2; 1ทธ 2.15; 1ทธ 3.2; 1ทธ 3.5; 1ทธ 3.6; 1ทธ 3.7; 1ทธ 3.14; 1ทธ 3.15; 1ทธ 4.1; 1ทธ 4.6; 1ทธ 4.9; 1ทธ 4.13; 1ทธ 4.15; 1ทธ 4.16; 1ทธ 5.4; 1ทธ 5.7; 1ทธ 5.9; 1ทธ 5.10; 1ทธ 5.11; 1ทธ 5.12; 1ทธ 5.13; 1ทธ 5.16; 1ทธ 5.18; 1ทธ 5.19; 1ทธ 5.20; 1ทธ 5.24; 1ทธ 5.25; 1ทธ 6.1; 1ทธ 6.2; 1ทธ 6.14; 1ทธ 6.15; 1ทธ 6.16; 1ทธ 6.17; 1ทธ 6.18; 1ทธ 6.19; 2ทธ 1.4; 2ทธ 2.4; 2ทธ 2.5; 2ทธ 2.7; 2ทธ 2.10; 2ทธ 2.11; 2ทธ 2.12; 2ทธ 2.13; 2ทธ 2.17; 2ทธ 2.21; 2ทธ 2.24; 2ทธ 2.25; 2ทธ 3.1; 2ทธ 3.2; 2ทธ 3.7; 2ทธ 3.9; 2ทธ 3.12; 2ทธ 3.13; 2ทธ 3.17; 2ทธ 4.1; 2ทธ 4.2; 2ทธ 4.3; 2ทธ 4.4; 2ทธ 4.6; 2ทธ 4.8; 2ทธ 4.14; 2ทธ 4.18; ทต 1.2; ทต 1.5; ทต 1.9; ทต 1.11; ทต 1.13; ทต 1.14; ทต 1.16; ทต 2.4; ทต 2.5; ทต 2.8; ทต 2.10; ทต 3.1; ทต 3.7; ทต 3.8; ทต 3.12; ทต 3.14; ฟม 1.6; ฟม 1.8; ฟม 1.13; ฟม 1.14; ฟม 1.15; ฟม 1.19; ฟม 1.21; ฟม 1.22; ฮบ 1.5; ฮบ 1.11; ฮบ 1.12; ฮบ 1.13; ฮบ 1.14; ฮบ 2.1; ฮบ 2.3; ฮบ 2.9; ฮบ 2.10; ฮบ 2.11; ฮบ 2.12; ฮบ 2.13; ฮบ 2.14; ฮบ 2.15; ฮบ 2.17; ฮบ 3.5; ฮบ 3.6; ฮบ 3.7; ฮบ 3.11; ฮบ 3.12; ฮบ 3.13; ฮบ 3.15; ฮบ 3.18; ฮบ 4.1; ฮบ 4.3; ฮบ 4.5; ฮบ 4.7; ฮบ 4.15; ฮบ 4.16; ฮบ 5.1; ฮบ 5.8; ฮบ 5.11; ฮบ 5.12; ฮบ 6.3; ฮบ 6.5; ฮบ 6.6; ฮบ 6.8; ฮบ 6.10; ฮบ 6.12; ฮบ 6.13; ฮบ 6.14; ฮบ 6.17; ฮบ 6.18; ฮบ 7.9; ฮบ 7.11; ฮบ 7.12; ฮบ 7.14; ฮบ 7.21; ฮบ 7.25; ฮบ 8.4; ฮบ 8.5; ฮบ 8.7; ฮบ 8.8; ฮบ 8.10; ฮบ 8.11; ฮบ 8.12; ฮบ 8.13; ฮบ 9.5; ฮบ 9.8; ฮบ 9.9; ฮบ 9.10; ฮบ 9.11; ฮบ 9.14; ฮบ 9.15; ฮบ 9.22; ฮบ 9.26; ฮบ 9.27; ฮบ 9.28; ฮบ 10.1; ฮบ 10.7; ฮบ 10.9; ฮบ 10.11; ฮบ 10.13; ฮบ 10.16; ฮบ 10.17; ฮบ 10.19; ฮบ 10.26; ฮบ 10.27; ฮบ 10.28; ฮบ 10.29; ฮบ 10.30; ฮบ 10.36; ฮบ 10.37; ฮบ 10.38; ฮบ 11.6; ฮบ 11.8; ฮบ 11.10; ฮบ 11.14; ฮบ 11.16; ฮบ 11.18; ฮบ 11.20; ฮบ 11.21; ฮบ 11.22; ฮบ 11.26; ฮบ 11.32; ฮบ 11.35; ฮบ 12.3; ฮบ 12.9; ฮบ 12.13; ฮบ 12.14; ฮบ 12.15; ฮบ 12.16; ฮบ 12.18; ฮบ 12.20; ฮบ 12.22; ฮบ 12.25; ฮบ 12.26; ฮบ 12.27; ฮบ 12.28; ฮบ 13.2; ฮบ 13.4; ฮบ 13.5; ฮบ 13.6; ฮบ 13.9; ฮบ 13.10; ฮบ 13.14; ฮบ 13.16; ฮบ 13.17; ฮบ 13.18; ฮบ 13.19; ฮบ 13.21; ฮบ 13.23; ยก 1.4; ยก 1.5; ยก 1.7; ยก 1.10; ยก 1.11; ยก 1.12; ยก 1.13; ยก 1.18; ยก 1.25; ยก 2.12; ยก 2.13; ยก 2.14; ยก 2.16; ยก 2.18; ยก 2.20; ยก 2.24; ยก 3.1; ยก 3.4; ยก 3.11; ยก 3.12; ยก 4.7; ยก 4.8; ยก 4.10; ยก 4.13; ยก 4.14; ยก 4.15; ยก 5.1; ยก 5.3; ยก 5.7; ยก 5.8; ยก 5.9; ยก 5.12; ยก 5.15; ยก 5.16; 1ปต 1.5; 1ปต 1.6; 1ปต 1.7; 1ปต 1.8; 1ปต 1.10; 1ปต 1.11; 1ปต 1.12; 1ปต 1.13; 1ปต 1.23; 1ปต 2.2; 1ปต 2.6; 1ปต 2.9; 1ปต 2.12; 1ปต 2.14; 1ปต 2.15; 1ปต 2.20; 1ปต 2.21; 1ปต 2.24; 1ปต 3.1; 1ปต 3.7; 1ปต 3.9; 1ปต 3.10; 1ปต 3.13; 1ปต 3.15; 1ปต 3.16; 1ปต 3.17; 1ปต 3.18; 1ปต 4.2; 1ปต 4.3; 1ปต 4.5; 1ปต 4.6; 1ปต 4.7; 1ปต 4.11; 1ปต 4.13; 1ปต 4.17; 1ปต 4.18; 1ปต 5.1; 1ปต 5.4; 1ปต 5.6; 1ปต 5.8; 1ปต 5.10; 2ปต 1.3; 2ปต 1.4; 2ปต 1.5; 2ปต 1.8; 2ปต 1.10; 2ปต 1.11; 2ปต 1.12; 2ปต 1.13; 2ปต 1.14; 2ปต 1.15; 2ปต 1.16; 2ปต 1.19; 2ปต 2.1; 2ปต 2.2; 2ปต 2.3; 2ปต 2.4; 2ปต 2.6; 2ปต 2.9; 2ปต 2.10; 2ปต 2.12; 2ปต 2.13; 2ปต 2.18; 2ปต 2.19; 2ปต 2.21; 2ปต 3.2; 2ปต 3.3; 2ปต 3.4; 2ปต 3.9; 2ปต 3.10; 2ปต 3.11; 2ปต 3.12; 2ปต 3.13; 2ปต 3.17; 1ยน 1.3; 1ยน 1.4; 1ยน 1.6; 1ยน 1.8; 1ยน 1.9; 1ยน 2.1; 1ยน 2.3; 1ยน 2.10; 1ยน 2.18; 1ยน 2.19; 1ยน 2.24; 1ยน 2.28; 1ยน 3.1; 1ยน 3.2; 1ยน 3.16; 1ยน 3.17; 1ยน 3.19; 1ยน 3.22; 1ยน 4.2; 1ยน 4.3; 1ยน 4.9; 1ยน 4.11; 1ยน 4.17; 1ยน 4.20; 1ยน 5.13; 1ยน 5.16; 2ยน 1.2; 2ยน 1.6; 2ยน 1.8; 2ยน 1.12; 3ยน 1.2; 3ยน 1.4; 3ยน 1.6; 3ยน 1.8; 3ยน 1.9; 3ยน 1.10; 3ยน 1.13; 3ยน 1.14; ยด 1.4; ยด 1.6; ยด 1.7; ยด 1.18; วว 1.1; วว 1.4; วว 1.7; วว 1.8; วว 1.19; วว 2.4; วว 2.5; วว 2.7; วว 2.10; วว 2.11; วว 2.14; วว 2.16; วว 2.17; วว 2.20; วว 2.22; วว 2.23; วว 2.24; วว 2.25; วว 2.26; วว 2.27; วว 2.28; วว 3.2; วว 3.3; วว 3.4; วว 3.5; วว 3.7; วว 3.9; วว 3.10; วว 3.11; วว 3.12; วว 3.16; วว 3.18; วว 3.20; วว 3.21; วว 4.1; วว 4.8; วว 4.11; วว 5.2; วว 5.4; วว 5.9; วว 5.10; วว 6.10; วว 6.11; วว 6.17; วว 7.3; วว 7.9; วว 7.15; วว 7.16; วว 7.17; วว 8.6; วว 8.13; วว 9.6; วว 9.10; วว 9.12; วว 9.15; วว 9.20; วว 10.4; วว 10.6; วว 10.7; วว 10.9; วว 11.2; วว 11.3; วว 11.5; วว 11.7; วว 11.8; วว 11.9; วว 11.10; วว 11.14; วว 11.15; วว 11.17; วว 11.18; วว 12.2; วว 12.4; วว 12.5; วว 12.6; วว 12.11; วว 12.12; วว 12.14; วว 12.15; วว 13.4; วว 13.8; วว 13.10; วว 13.15; วว 14.7; วว 14.10; วว 14.11; วว 14.13; วว 14.15; วว 15.4; วว 15.8; วว 16.5; วว 16.8; วว 16.15; วว 16.19; วว 17.1; วว 17.7; วว 17.8; วว 17.10; วว 17.11; วว 17.12; วว 17.14; วว 17.16; วว 17.17; วว 18.4; วว 18.7; วว 18.8; วว 18.9; วว 18.10; วว 18.11; วว 18.14; วว 18.15; วว 18.18; วว 18.21; วว 18.22; วว 18.23; วว 19.10; วว 19.15; วว 19.18; วว 19.19; วว 20.3; วว 20.4; วว 20.5; วว 20.6; วว 20.7; วว 20.8; วว 21.3; วว 21.4; วว 21.6; วว 21.7; วว 21.8; วว 21.9; วว 21.15; วว 21.24; วว 21.25; วว 21.26; วว 21.27; วว 22.3; วว 22.4; วว 22.5; วว 22.6; วว 22.7; วว 22.8; วว 22.10; วว 22.12; วว 22.14; วว 22.18; วว 22.19; วว 22.20

จ๊ะ ( 7 )
พซม 4.10 น้องสาวของฉันจ๊ะ เจ้าสาวของฉันจ๋า ความรักของเธอช่างหวานเสียนี่กระไร ความรักของเธอนั้นช่างหวานกว่าน้ำองุ่น และกลิ่นน้ำมันของเธอช่างหอมกว่าเครื่องเทศทั้งหลาย
พซม 5.1 น้องสาวของฉันจ๊ะ เจ้าสาวของฉันจ๋า ฉันเข้ามาในสวนของฉันแล้วนะ ฉันมาเก็บเอามดยอบของฉันพร้อมกับไม้สีเสียดของฉันแล้ว ฉันรับประทานรวงผึ้งกับน้ำผึ้งของฉันแล้ว ฉันดื่มน้ำองุ่นกับน้ำนมของฉันแล้ว โอ สหายทั้งหลาย จงรับประทานและจงดื่มเถิด โอ ท่านผู้เป็นที่รักเอ๋ย จงดื่มให้อิ่มหนำเถิด
พซม 5.2 ดิฉันหลับแล้ว แต่ใจของดิฉันยังตื่นอยู่ คือมีเสียงเคาะของที่รักของดิฉันพูดว่า “น้องสาวจ๋า ที่รักของฉันจ๋า เปิดประตูให้ฉันซิจ๊ะ แม่นกเขาของฉันจ๊ะ แม่คนงามหมดจดของฉันจ๋า เพราะศีรษะของฉันก็ถูกน้ำค้างชื้น และเส้นผมของฉันก็ชุ่มด้วยละอองน้ำฟ้าแห่งราตรีกาล”
พซม 6.13 กลับมาเถอะ กลับมาเถิด โอ แม่ชาวชูเลมจ๋า กลับมาเถิด กลับมาเถอะจ๊ะ เพื่อพวกดิฉันจะได้เธอไว้ชมเชย นี่กระไรนะ เธอทั้งหลายจงมองตัวแม่ชาวชูเลม ดังกองทัพสองพวก
พซม 7.11 ที่รักของดิฉันจ๋า มาเถอะจ๊ะ ให้เราพากันออกไปในทุ่งนา ให้เราพักอยู่ตามหมู่บ้าน
พซม 8.14 ที่รักของดิฉันจ๋า เร็วๆเข้าเถอะจ๊ะ ขอให้เธอเป็นดังละมั่งหรือกวางหนุ่มบนภูเขาต้นสีเสียดเถิด

จักจั่น ( 1 )
ลนต 11.22 ในจำพวกแมลงต่อไปนี้เจ้ารับประทานได้ ตั๊กแตนวัยบินตามชนิดของมัน จิ้งหรีดโกร่งตามชนิดของมัน จักจั่นตามชนิดของมัน และตั๊กแตนตามชนิดของมัน

จักรพรรดิ ( 1 )
2ทธ 4.22 ขอพระเยซูคริสต์เจ้าทรงสถิตอยู่กับจิตวิญญาณของท่าน ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านเถิด เอเมน [จดหมายฉบับที่สองถึงทิโมธี ผู้ได้รับการเจิมให้เป็นศิษยาภิบาลคนแรกแห่งคริสตจักรชาวเอเฟซัส ได้เขียนจากกรุงโรม เมื่อเปาโลถูกพิพากษาต่อหน้าจักรพรรดินีโรเป็นครั้งที่สอง]

จักรวาล ( 2 )
ฮบ 1.2 แต่ในวันสุดท้ายเหล่านี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร
ฮบ 11.3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น

จัง ( 1 )
อสย 44.16 เขาเผาในกองไฟครึ่งหนึ่ง บนครึ่งนี้เขาได้กินเนื้อ เขาย่างเนื้อและกินอิ่ม และเขาอบอุ่นตัวของเขาด้วย แล้วว่า “อ้าฮา ข้าอุ่นจัง ข้าเห็นไฟแล้ว”

จังหวะ ( 2 )
อสย 30.32 และจังหวะไม้เรียวลงโทษทุกจังหวะซึ่งพระเยโฮวาห์โบยลงเหนือเขาจะเข้ากับเสียงรำมะนาและพิณเขาคู่ พระองค์จะทรงต่อสู้เขาด้วยสงครามฟาดฟัน

จังหวัด ( 4 )
1พกษ 20.14 และอาหับตรัสว่า “ทรงใช้ใครทำ” เขาทูลว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ด้วยมือของมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดทั้งหลาย” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครจะเริ่มรบ” เขาทูลตอบว่า “พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
1พกษ 20.15 พระองค์จึงทรงจัดมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดเหล่านั้นซึ่งมีสองร้อยสามสิบสองคนด้วยกัน และภายหลังทรงจัดพลทั้งหมดคือบรรดาคนอิสราเอลรวมพลเจ็ดพันคน
1พกษ 20.17 พวกมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดได้ยกออกไปก่อน เบนฮาดัดก็ส่งออกไป เขาทั้งหลายรายงานท่านว่า “มีคนยกออกมาจากสะมาเรีย”
1พกษ 20.19 คนเหล่านี้จึงออกไปจากเมืองคือพวกมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัด และกองทัพซึ่งติดตามคนเหล่านี้

จัด ( 165 )
ปฐก 19.3 เขาได้รบเร้าทูตเหล่านั้นอย่างมาก ทูตเหล่านั้นจึงแวะเข้าไปในบ้านของเขา และเขาจึงจัดการเลี้ยงทูตเหล่านั้น ทำขนมปังไร้เชื้อและทูตเหล่านั้นจึงรับประทาน
ปฐก 21.8 เด็กนั้นก็เติบโตขึ้นและหย่านมและอับราฮัมจัดการเลี้ยงใหญ่ในวันนั้นเมื่ออิสอัคหย่านม
ปฐก 24.33 แล้วจัดอาหารมาเลี้ยงเขา แต่เขาว่า “ข้าพเจ้าจะไม่รับประทาน จนกว่าข้าพเจ้าจะพูดถึงธุระที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายมานั้นให้ท่านฟังเสียก่อน” ลาบันก็ว่า “เชิญพูดเถิด”
ปฐก 26.30 ท่านจึงจัดการเลี้ยงให้แก่พวกเขา และเขาก็ได้กินและดื่ม
ปฐก 27.4 และจัดอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบนั้น และนำมาให้พ่อกิน เพื่อจิตวิญญาณของพ่อจะได้อวยพรแก่เจ้าก่อนพ่อตาย”
ปฐก 27.7 ‘จงนำเนื้อมาให้พ่อและจัดอาหารอร่อยให้พ่อกิน และเราจะอวยพรเจ้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ก่อนพ่อตาย’
ปฐก 27.14 เขาจึงไปจับเอามาให้มารดาของตน มารดาของเขาได้จัดอาหารอร่อยอย่างที่บิดาของเขาชอบนั้น
ปฐก 27.37 อิสอัคตอบเอซาวว่า “ดูเถิด พ่อตั้งให้เขาเป็นนายเหนือเจ้า และมอบบรรดาพี่น้องของเขาให้เป็นคนใช้ของเขา ทั้งข้าวและน้ำองุ่นพ่อก็จัดให้เขา ลูกเอ๋ย พ่อจะทำอะไรให้เจ้าได้อีกเล่า”
ปฐก 29.22 ลาบันจึงเชิญบรรดาชาวบ้านมาพร้อมกัน แล้วจัดการเลี้ยง
ปฐก 30.41 อยู่มาเมื่อสัตว์ที่แข็งแรงในฝูงจะตั้งท้อง ยาโคบก็จัดไม้วางไว้ที่รางน้ำให้ฝูงสัตว์เห็นเพื่อให้มันตั้งท้องกลางไม้นั้น
ปฐก 31.27 เหตุไฉนเจ้าได้หลบหนีมาอย่างลับๆและแอบมาโดยไม่บอกให้เรารู้ ถ้าเรารู้เราก็จะจัดส่งเจ้าไปด้วยความร่าเริงยินดี โดยให้มีการขับร้องด้วยรำมะนาและพิณเขาคู่
ปฐก 40.20 ครั้นถึงวันที่สามเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฟาโรห์ พระองค์จึงทรงจัดการเลี้ยงข้าราชการทั้งปวงของพระองค์ แล้วทรงยกศีรษะหัวหน้าพนักงานน้ำองุ่น และหัวหน้าพนักงานขนมเข้ามาอยู่ท่ามกลางพวกข้าราชการ
ปฐก 41.34 ขอฟาโรห์ทำดังนี้และให้คนนั้นจัดพนักงานไว้ทั่วแผ่นดิน และเก็บผลหนึ่งในห้าส่วนแห่งประเทศอียิปต์ไว้ตลอดเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น
ปฐก 43.16 เมื่อโยเซฟเห็นเบนยามินมากับพี่ชาย ท่านจึงสั่งคนต้นเรือนว่า “จงพาคนเหล่านี้เข้าไปในบ้าน ให้ฆ่าสัตว์และจัดโต๊ะไว้ เพราะคนเหล่านี้จะมารับประทานด้วยกันกับเราในเวลาเที่ยง”
ปฐก 43.24 คนต้นเรือนพาคนเหล่านั้นเข้าไปในบ้านของโยเซฟ แล้วเอาน้ำให้เขา เขาก็ล้างเท้าและคนต้นเรือนจัดหญ้าฟางให้ลาเขากิน
ปฐก 44.1 โยเซฟสั่งคนต้นเรือนของท่านว่า “จัดอาหารใส่กระสอบของคนเหล่านี้ให้เต็มตามที่จะขนไปได้ และเอาเงินของเขาใส่ไว้ในปากกระสอบของทุกคน
ปฐก 45.21 บรรดาบุตรของอิสราเอลก็ทำตาม โยเซฟจัดรถบรรทุกให้เขาตามรับสั่งของฟาโรห์ กับให้เสบียงรับประทานตามทาง
ปฐก 46.29 โยเซฟก็จัดรถม้าของตนขึ้นไปยังเมืองโกเชนรับอิสราเอลบิดาของตน พอเห็นบิดาท่านก็กอดคอบิดาไว้ร้องไห้เป็นเวลานาน
อพย 14.6 ฝ่ายฟาโรห์ก็จัดราชรถ และนำพลโยธาไปด้วย
อพย 16.21 เขาเก็บกันทุกๆเช้าเท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี แต่พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้นก็ละลายไป
อพย 40.4 จงยกโต๊ะเข้ามาตั้งไว้ และจัดเครื่องบนโต๊ะไว้ตามที่ของมัน แล้วจงนำคันประทีปนั้นเข้ามาและจุดไฟที่ตะเกียงนั้น
อพย 40.23 แล้วจัดขนมปังไว้บนโต๊ะเป็นระเบียบต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้
ลนต 14.4 ก็ให้ปุโรหิตบัญชาเขาให้จัดของสำหรับผู้จะรับการชำระ คือนกสะอาดที่มีชีวิตสองตัว ไม้สนสีดาร์ กับด้ายสีแดง และต้นหุสบ
ลนต 24.3 ภายในพลับพลาแห่งชุมนุมข้างนอกม่านหีบพระโอวาทนั้น ให้อาโรนจัดประทีปให้เป็นระเบียบตั้งแต่เวลาเย็นจนเวลาเช้าเสมอต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า
ลนต 24.4 ให้อาโรนจัดประทีปให้เป็นระเบียบอยู่บนคันประทีปบริสุทธิ์เสมอต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 24.6 เจ้าจงจัดขนมปังนั้นวางบนโต๊ะบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เป็นสองแถวๆละหกก้อน
ลนต 24.8 ทุกๆวันสะบาโตให้อาโรนจัดไว้ให้เป็นระเบียบถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์เสมอ ในนามของคนอิสราเอลเป็นพันธสัญญาเนืองนิตย์
กดว 15.5 และเจ้าจงจัดน้ำองุ่นหนึ่งในสี่ฮินสำหรับลูกแกะทุกตัว เป็นเครื่องดื่มบูชาคู่กับเครื่องเผาบูชาคู่กับเครื่องสัตวบูชา
กดว 15.6 หรือสำหรับแกะผู้ตัวหนึ่งเจ้าจงจัดธัญญบูชาด้วยยอดแป้งสองในสิบเอฟาห์คลุกน้ำมันหนึ่งในสามฮิน
กดว 15.8 เมื่อเจ้าจัดวัวผู้เป็นเครื่องเผาบูชา หรือเป็นเครื่องสัตวบูชาทำตามคำปฏิญาณ หรือให้เป็นสันติบูชาแด่พระเยโฮวาห์
กดว 15.12 ตามจำนวนสัตว์ที่จัดมา จงกระทำตามส่วนนี้แก่สัตว์ทุกๆตัว
กดว 23.1 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “ท่านจงสร้างแท่นบูชาให้ข้าพเจ้าที่นี่เจ็ดแท่น และจัดวัวผู้เจ็ดตัว แกะผู้เจ็ดตัวให้ข้าพเจ้า”
กดว 23.4 พระเจ้าทรงพบกับบาลาอัม และบาลาอัมกราบทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ได้จัดแท่นบูชาเจ็ดแท่น ทั้งได้จัดวัวผู้ตัวหนึ่งและแกะผู้ตัวหนึ่งบูชาอยู่ทุกแท่น”
กดว 23.14 แล้วบาลาคก็พาบาลาอัมมาถึงนาของโศฟิม ขึ้นถึงยอดเขาปิสกาห์ สร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่น และจัดวัวผู้ตัวหนึ่งและแกะผู้ตัวหนึ่งบูชาอยู่บนทุกแท่น
กดว 23.29 แล้วบาลาอัมบอกกับบาลาคว่า “จงสร้างแท่นบูชาที่นี่เจ็ดแท่นให้ข้าพเจ้า จัดวัวผู้เจ็ดตัวและแกะผู้เจ็ดตัวให้ข้าพเจ้าที่นี่”
กดว 31.5 ดังนั้นเขาจึงจัดคนจากอิสราเอลที่นับพันๆนั้นตระกูลละพันคน เป็นคนหมื่นสองพันสรรพด้วยอาวุธเพื่อเข้าสงคราม
พบญ 15.14 ท่านจงมีใจกว้างขวางจัดของให้แก่เขา เป็นของจากฝูงแพะแกะของท่าน จากลานนวดข้าวของท่าน และจากบ่อย่ำองุ่นของท่าน ท่านจงให้แก่เขาตามสมควรตามที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน
พบญ 19.7 เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบัญชาท่านว่า ให้ท่านจัดแยกหัวเมืองไว้สามหัวเมือง
ยชว 1.13 “จงจำคำที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์บัญชาท่านทั้งหลายไว้ว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจัดที่พักให้ท่าน และประทานแผ่นดินนี้แก่ท่าน
ยชว 8.12 และท่านจัดคนประมาณห้าพันคน ให้เขาแอบซุ่มอยู่ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง
ยชว 18.10 แล้วโยชูวาก็จับสลากให้เขาที่ชีโลห์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ โยชูวาก็ได้จัดแบ่งที่ดินให้แก่ประชาชนอิสราเอลที่นั่นตามส่วนแบ่งของแต่ละตระกูล
วนฉ 6.19 กิเดโอนก็กลับเข้าบ้าน จัดลูกแพะตัวหนึ่งกับแป้งเอฟาห์หนึ่งทำขนมไร้เชื้อ เขาเอาเนื้อใส่กระจาด ส่วนน้ำแกงใส่ในหม้อ นำสิ่งเหล่านี้มาถวายพระองค์ที่ใต้ต้นโอ๊ก
วนฉ 13.16 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์บอกมาโนอาห์ว่า “ถึงเจ้าจะให้เรารอ เราจะไม่รับประทานอาหารของเจ้า แต่ถ้าเจ้าจะจัดเครื่องเผาบูชา เจ้าจงถวายแด่พระเยโฮวาห์” เพราะว่ามาโนอาห์ไม่ทราบว่าท่านผู้นั้นเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์
วนฉ 14.10 ฝ่ายบิดาของท่านก็ลงไปหาหญิงคนนั้น และแซมสันจัดการเลี้ยงที่นั่น ดังที่คนหนุ่มๆเขากระทำกัน
วนฉ 16.9 นางจัดคนให้ซุ่มอยู่ที่ห้องชั้นในกับนาง นางก็บอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว” แซมสันก็ดึงสายธนูที่มัดนั้นขาดเหมือนเชือกป่านขาดเมื่อได้กลิ่นไฟ เรื่องกำลังของท่านจึงยังไม่แจ้ง
1ซมอ 4.2 คนฟีลิสเตียได้จัดพลเป็นแนวเข้าต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อสงครามได้ขยายวงออกไป อิสราเอลก็พ่ายแพ้ต่อหน้าคนฟีลิสเตีย ผู้ได้ฆ่าคนเสียประมาณสี่พันคนในสนามรบ
1ซมอ 6.4 และเขากล่าวว่า “จัดอะไรเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดเล่า ที่เราจะต้องถวายให้พระองค์” เขาทั้งหลายตอบว่า “ลูกริดสีดวงทวารขั้นรุนแรงทองคำห้าลูกกับหนูทองคำห้าตัว ตามจำนวนเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตีย เพราะว่าโรคอย่างเดียวกันนั้นติดต่อท่านทั้งหลายและเจ้านายด้วย
1ซมอ 11.11 พอวันรุ่งขึ้นซาอูลก็จัดพลออกเป็นสามกองทัพ ยกเข้ามากลางค่ายในยามสาม และฆ่าฟันคนอัมโมนเสียจนเวลาแดดจัด ต่อมา ผู้ที่เหลืออยู่ก็กระจัดกระจายไป รวมกันไม่ได้สักคู่เดียวเลย
1ซมอ 16.20 และเจสซีก็จัดลาตัวหนึ่งบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่น้ำองุ่นถุงหนึ่ง กับลูกแพะตัวหนึ่ง ฝากไปกับดาวิดบุตรชายของท่านให้ถวายซาอูล
1ซมอ 17.17 เจสซีสั่งดาวิดบุตรชายของตนว่า “ข้าวคั่วนี้เอฟาห์หนึ่ง และขนมปังสิบก้อนนี้ อันจัดไว้ให้พวกพี่ชายของเจ้า จงเอาไปให้พี่ชายของเจ้าที่ค่ายเร็วๆ
1ซมอ 25.18 แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และน้ำองุ่นสองถุงหนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และองุ่นแห้งร้อยช่อ และขนมมะเดื่อสองร้อยแผ่นบรรทุกหลังลา
2ซมอ 3.20 อับเนอร์จึงมาเฝ้าดาวิดที่เมืองเฮโบรนพร้อมกับคนอีกยี่สิบคน ดาวิดทรงจัดการเลี้ยงอับเนอร์กับคนที่อยู่กับท่าน
2ซมอ 4.5 ฝ่ายบุตรชายทั้งสองของริมโมน ชาวเบเอโรท ที่ชื่อเรคาบและบาอานาห์นั้นได้ออกเดินทาง พอแดดออกจัดก็มาถึงตำหนักของอิชโบเชท ขณะเมื่อพระองค์กำลังบรรทมพักเที่ยง
2ซมอ 10.8 ฝ่ายคนอัมโมนก็ยกออกมาและจัดทัพไว้ที่ทางเข้าประตูเมือง ฝ่ายคนซีเรียชาวเมืองโศบาห์และชาวเมืองเรโหบ กับคนเมืองอิชโทบ และเมืองมาอาคาห์อยู่ที่ชนบทกลางแจ้งต่างหาก
2ซมอ 10.9 เมื่อโยอาบเห็นว่าการศึกนี้ขนาบอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ท่านจึงคัดเอาบรรดาคนอิสราเอลที่สรรไว้แล้วจัดทัพเข้าสู้คนซีเรีย
2ซมอ 10.10 ท่านมอบคนที่เหลืออยู่ไว้ในบังคับบัญชาของอาบีชัยน้องชายของท่าน และเขาก็จัดคนเหล่านั้นเข้าต่อสู้กับคนอัมโมน
2ซมอ 10.17 เมื่อมีผู้กราบทูลดาวิดพระองค์ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาถึงตำบลเฮลาน และคนซีเรียก็จัดทัพเข้าต่อสู้ดาวิดและได้รบกับพระองค์
2ซมอ 12.20 แล้วดาวิดทรงลุกขึ้นจากพื้นดิน ชำระพระกาย ชโลมพระองค์ และทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ ทรงดำเนินเข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์และทรงนมัสการ แล้วเสด็จไปสู่พระราชวังของพระองค์ รับสั่งให้นำพระกระยาหารมา เขาก็จัดพระกระยาหารให้พระองค์เสวย
2ซมอ 18.2 และดาวิดทรงจัดทัพออกไป ให้อยู่ในบังคับบัญชาของโยอาบหนึ่งในสาม และในบังคับของอาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรชายนางเศรุยาห์หนึ่งในสาม และอีกหนึ่งในสามอยู่ในบังคับบัญชาของอิททัยคนกัท และกษัตริย์ตรัสกับพวกพลว่า “เราจะไปกับท่านทั้งหลายด้วย”
2ซมอ 21.6 ขอทรงมอบบุตรชายเจ็ดคนของท่านให้แก่พวกข้าพระองค์ เพื่อพวกข้าพระองค์จะได้แขวนเขาเสียต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ที่กิเบอาห์แห่งซาอูลผู้เลือกสรรของพระเยโฮวาห์” และกษัตริย์ตรัสว่า “เราจะจัดเขามาให้”
1พกษ 1.33 และกษัตริย์ตรัสสั่งเขาทั้งหลายว่า “จงพาข้าราชการของเจ้านายของเจ้าไปจัดให้ซาโลมอนโอรสของเราขึ้นขี่ล่อของเรา และนำเขาลงไปที่กีโฮน
1พกษ 1.38 ดังนั้นศาโดกปุโรหิต นาธันผู้พยากรณ์ และเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดา และคนเคเรธีกับคนเปเลทได้ลงไปจัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิดและได้นำท่านมาถึงกีโฮน
1พกษ 1.44 และกษัตริย์ได้รับสั่งให้ศาโดกปุโรหิต นาธันผู้พยากรณ์ และเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดา กับคนเคเรธีและคนเปเลทตามซาโลมอนไป และเขาทั้งหลายก็ได้จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อพระที่นั่งของกษัตริย์
1พกษ 4.27 และบรรดาข้าหลวงเหล่านั้นก็จัดเสบียงอาหารส่งกษัตริย์ซาโลมอน และเพื่อทุกคนที่มายังโต๊ะเสวยของกษัตริย์ซาโลมอน ต่างก็ส่งของตามเดือนของตน เขาทั้งหลายไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดไปเลย
1พกษ 5.10 ฮีรามจึงได้จัดส่งไม้สนสีดาร์และไม้สนสามใบให้แก่ซาโลมอนตามที่พระองค์มีพระประสงค์ทุกประการ
1พกษ 20.15 พระองค์จึงทรงจัดมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดเหล่านั้นซึ่งมีสองร้อยสามสิบสองคนด้วยกัน และภายหลังทรงจัดพลทั้งหมดคือบรรดาคนอิสราเอลรวมพลเจ็ดพันคน
2พกษ 6.22 ท่านก็ทูลตอบว่า “ขอพระองค์อย่าทรงประหารเขาเสีย พระองค์จะประหารคนที่จับมาเป็นเชลยเสียด้วยดาบและด้วยธนูของพระองค์หรือ ขอทรงโปรดจัดอาหารและน้ำต่อหน้าเขา เพื่อให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้เขาไปหาเจ้านายของเขาเถิด”
2พกษ 6.23 พระองค์จึงทรงจัดการเลี้ยงใหญ่ให้เขา และเมื่อเขาได้กินและดื่มแล้วก็ทรงปล่อยเขาไป และเขาทั้งหลายได้กลับไปหาเจ้านายของตน และพวกซีเรียมิได้มาปล้นในแผ่นดินอิสราเอลอีกเลย
2พกษ 6.24 และอยู่มาภายหลังเบนฮาดัดกษัตริย์แห่งซีเรียทรงจัดกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์แล้วได้เสด็จขึ้นไปล้อมกรุงสะมาเรีย
2พกษ 9.21 โยรัมตรัสว่า “จงเตรียมพร้อม” และเขาก็จัดรถรบของพระองค์ให้พร้อมไว้ แล้วโยรัมกษัตริย์แห่งอิสราเอลและอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ก็เสด็จออกไป ต่างก็ทรงรถรบของพระองค์เอง ทรงออกไปปะทะกับเยฮู มาพบกันเข้า ณ ที่ดินแปลงของนาโบทชาวยิสเรเอล
2พกษ 10.20 และเยฮูตรัสสั่งว่า “จงจัดประชุมอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระบาอัล” เขาก็ป่าวร้องเรียกประชุมเช่นนั้น
2พกษ 19.25 เจ้าไม่ได้ยินหรือว่า เราได้จัดไว้นานแล้ว เราได้กะแผนงานไว้แต่ดึกดำบรรพ์ ณ บัดนี้เราให้เป็นไปแล้ว คือเจ้าจะทำเมืองที่มีป้อมให้พังลงให้เป็นกองสิ่งปรักหักพัง
2พกษ 20.1 ในวันเหล่านั้นเฮเซคียาห์ทรงประชวรใกล้จะสิ้นพระชนม์ และผู้พยากรณ์อิสยาห์บุตรชายของอามอสเข้ามาเฝ้าพระองค์ และทูลพระองค์ว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘จงจัดการบ้านการเมืองของเจ้าให้เรียบร้อย เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะไม่ฟื้น’”
1พศด 12.40 ยิ่งกว่านั้นผู้ที่อยู่ใกล้เขาทั้งหลายด้วยคือไกลออกไปถึงอิสสาคาร์ และเศบูลุน และนัฟทาลีได้จัดอาหารบรรทุกลา อูฐ ล่อ และวัว กับเสบียงอาหารมากมายเป็นแป้ง ขนมมะเดื่อ ช่อองุ่นแห้ง น้ำองุ่น น้ำมัน วัวและแกะ เพราะว่ามีความชื่นบานในอิสราเอล
1พศด 19.9 คนอัมโมนออกมาจัดทัพตรงหน้าประตูเมือง และบรรดากษัตริย์ที่ยกมาอยู่ที่ชนบทกลางแจ้งต่างหาก
1พศด 19.10 เมื่อโยอาบเห็นว่าการศึกนั้นขนาบอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง ท่านจึงคัดเอาจากบรรดาคนอิสราเอลที่สรรไว้แล้วและจัดทัพเข้าไปต่อสู้คนซีเรีย
1พศด 19.11 ส่วนคนของท่านที่เหลืออยู่ ท่านก็มอบไว้ในการบังคับบัญชาของอาบีชัยน้องชายของท่าน คนเหล่านั้นก็จัดเข้าสู้กับคนอัมโมน
1พศด 19.17 และเมื่อมีคนกราบทูลดาวิด พระองค์ก็ทรงรวมอิสราเอลทั้งสิ้นเข้าด้วยกัน และข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาหาเขา และจัดทัพต่อสู้กับเขา และเมื่อดาวิดทรงจัดทัพเข้าต่อสู้กับคนซีเรีย เขาทั้งหลายต่อสู้กับพระองค์
1พศด 22.2 ดาวิดทรงบัญชาให้รวบรวมคนต่างด้าวที่อยู่ในแผ่นดินอิสราเอล และพระองค์ทรงจัดคนสกัดหินให้เตรียมหินสกัดเพื่อสร้างพระนิเวศของพระเจ้า
1พศด 22.3 ดาวิดยังทรงจัดสะสมเหล็กเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นตะปูของบานประตูรั้วและเป็นเหล็กหนีบ ทั้งทองสัมฤทธิ์เป็นจำนวนมากเหลือที่จะชั่งได้
1พศด 22.5 เพราะดาวิดตรัสว่า “ซาโลมอนบุตรชายของเรายังเด็กอยู่และไม่เคยงาน และพระนิเวศซึ่งจะสร้างถวายพระเยโฮวาห์นั้นต้องหรูหราอย่างยิ่ง มีชื่อเสียงและสง่าราศีในบรรดาประเทศทั้งหลาย เพราะฉะนั้นบัดนี้เราจึงจะจัดเตรียมไว้” ดาวิดจึงทรงจัดวัตถุเป็นจำนวนมากก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์
1พศด 23.6 และดาวิดทรงจัดแบ่งเป็นกองๆตามบุตรชายของเลวี คือ เกอร์โชม โคฮาท และเมรารี
1พศด 24.3 ด้วยความช่วยเหลือของศาโดกบุตรชายเอเลอาซาร์ และอาหิเมเลคบุตรชายอิธามาร์ ดาวิดได้ทรงจัดเป็นเวรตามหน้าที่ในการปรนนิบัติของเขาทั้งหลาย
1พศด 24.4 มีหัวหน้าในหมู่บุตรชายของเอเลอาซาร์มากกว่าในหมู่บุตรชายของอิธามาร์ เขาจึงจัดแบ่งดังนี้ พวกบุตรชายของเอเลอาซาร์มีสิบหกคนเป็นหัวหน้าตามเรือนบรรพบุรุษของเขา และในหมู่พวกบุตรชายของอิธามาร์ตามเรือนบรรพบุรุษของเขามีแปดคน
1พศด 24.5 เขาทั้งหลายจัดแบ่งด้วยสลาก เหมือนกันหมด เพราะมีเจ้าหน้าที่ของสถานบริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เป็นบุตรชายของเอเลอาซาร์กับบุตรชายของอิธามาร์ทั้งสองฝ่าย
1พศด 25.1 ดาวิดและบรรดาหัวหน้าของผู้ปรนนิบัติได้จัดแยกบางคนไว้สำหรับการปรนนิบัติ คือจากลูกหลานของอาสาฟ และของเฮมาน และของเยดูธูน ผู้ซึ่งจะพยากรณ์ด้วยพิณเขาคู่ ด้วยพิณใหญ่และด้วยฉาบ รายชื่อของผู้ทำงานตามหน้าที่ของเขา คือ
1พศด 26.15 ของโอเบดเอโดมออกมาสำหรับด้านใต้ คลังพัสดุนั้นเขาจัดให้บุตรชายของเขาดูแล
2พศด 20.22 และเมื่อเขาทั้งหลายตั้งต้นร้องเพลงสรรเสริญ พระเยโฮวาห์ทรงจัดกองซุ่มคอยต่อสู้กับคนอัมโมน โมอับ และชาวภูเขาเสอีร์ ผู้ได้เข้ามาต่อสู้กับยูดาห์ ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงแตกพ่ายไป
2พศด 31.11 แล้วเฮเซคียาห์จึงทรงบัญชาให้เขาจัดห้องในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์และเขาทั้งหลายก็จัดไว้
2พศด 32.29 พระองค์ทรงจัดหัวเมืองเพื่อพระองค์ด้วย ทั้งฝูงแพะแกะและฝูงวัวเป็นอันมาก เพราะพระเจ้าทรงประทานทรัพย์สินให้พระองค์มากยิ่ง
อสร 10.13 แต่มีประชาชนมากและเป็นเวลาที่ฝนตกหนัก เราอยู่กลางแจ้งไม่ไหวและจะจัดให้เสร็จในวันสองวันก็ไม่ได้ เพราะเราได้ละเมิดในเรื่องนี้มากนัก
นหม 2.9 แล้วข้าพเจ้ามายังผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น และมอบพระราชสารของกษัตริย์ให้แก่เขา อนึ่งกษัตริย์ทรงจัดให้นายทหารและพลม้าไปกับข้าพเจ้าด้วย
นหม 5.18 สิ่งที่เตรียมไว้ในวันหนึ่งๆมีวัวตัวหนึ่ง และแกะที่คัดเลือกแล้วหกตัว เป็ดไก่เขาก็จัดไว้ให้ข้าพเจ้าด้วย ในทุกๆสิบวันน้ำองุ่นมากมายหลายถุงหนัง แม้จะมากอย่างนี้ ข้าพเจ้ามิได้เรียกร้องเอาส่วนอาหารของตำแหน่งผู้ว่าราชการ เพราะว่าการปรนนิบัตินั้นหนักหน้าชนชาตินี้อยู่แล้ว
นหม 13.5 ได้จัดห้องใหญ่ห้องหนึ่งให้โทบีอาห์ เป็นห้องที่แต่ก่อนใช้เก็บธัญญบูชา กำยาน เครื่องใช้ต่างๆ และสิบชักหนึ่งที่เป็นข้าว น้ำองุ่นใหม่ และน้ำมัน ซึ่งเขาให้ไว้ตามบัญญัติให้แก่คนเลวี นักร้อง คนเฝ้าประตูและของบริจาคสำหรับปุโรหิต
นหม 13.7 และมายังเยรูซาเล็ม แล้วข้าพเจ้าจึงทราบความชั่วร้ายซึ่งเอลียาชีบได้กระทำเพื่อโทบีอาห์ คือจัดห้องภายในบริเวณพระนิเวศของพระเจ้าให้เขา
นหม 13.31 ข้าพเจ้าได้จัดให้หาฟืนถวายตามเวลากำหนดและสำหรับผลรุ่นแรกด้วย “โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ให้เกิดผลดีเถิด”
อสธ 1.5 เมื่อวันเหล่านี้ผ่านพ้นไปแล้ว กษัตริย์ทรงจัดการเลี้ยงแก่บรรดาประชาชนผู้อยู่ในสุสาปราสาท ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย นานเจ็ดวันในลานอุทยานแห่งสำนักพระราชวังของกษัตริย์
อสธ 5.12 แล้วฮามานเสริมว่า “แม้พระราชินีเอสเธอร์ก็มิได้ทรงให้ผู้ใดไปกับกษัตริย์ในการเลี้ยงซึ่งพระนางทรงจัดขึ้นนอกจากตัวข้า และพรุ่งนี้พระนางทรงเชิญข้ากับกษัตริย์อีก
อสธ 6.14 ขณะเมื่อเขาทั้งหลายกำลังพูดกับท่านอยู่ ขันทีของกษัตริย์ก็มาถึงรีบนำฮามานไปยังการเลี้ยงซึ่งพระนางเอสเธอร์ทรงจัดนั้น
โยบ 1.4 บุตรชายของท่านเคยจัดการเลี้ยงในบ้านของแต่ละคนตามวันกำหนดของตน เขาจะใช้ให้ไปเชิญน้องสาวทั้งสามคนของเขามารับประทานและดื่มกับเขาด้วย
โยบ 1.17 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “ชาวเคลเดียจัดเป็นสามกองทำการปล้นเอาอูฐไป และฆ่าคนใช้เสียด้วยคมดาบ และข้าพเจ้าผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน”
สดด 12.5 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราจะลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ เพราะคนยากจนถูกบีบบังคับ และคนขัดสนคร่ำครวญ เราจะจัดเขาไว้ในที่ปลอดภัยจากคนที่พ่นความร้ายใส่เขา”
สดด 21.9 เมื่อพระองค์ทรงพระพิโรธ พระองค์จะทรงกระทำให้เขาร้อนจัดดังเตาไฟ พระเยโฮวาห์จะทรงกลืนเขาด้วยพระพิโรธของพระองค์ และไฟจะเผาผลาญเขาเสีย
สดด 50.23 บุคคลที่นำการสรรเสริญมาเป็นเครื่องสักการบูชาก็ให้เกียรติแก่เรา เราจะสำแดงความรอดของพระเจ้าแก่ผู้จัดทางของเขาอย่างถูกต้อง”
สดด 74.17 พระองค์ทรงจัดเขตทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก พระองค์ทรงสร้างฤดูร้อนและฤดูหนาว
สดด 78.20 ดูเถิด พระองค์ทรงตีหินให้น้ำพุออกมา และลำธารก็ไหลล้น พระองค์จะประทานขนมปังด้วยได้หรือ หรือทรงจัดเนื้อให้ประชาชนของพระองค์ได้หรือ
สดด 83.15 ขอทรงข่มเหงเขาด้วยพายุแรงกล้าของพระองค์ และทรงทำให้เขาคร้ามกลัวด้วยพายุจัดของพระองค์
สดด 140.12 ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำความเที่ยงธรรมให้แก่ผู้ที่ทุกข์ยาก และทรงจัดความยุติธรรมให้แก่คนขัดสน
สภษ 9.2 เธอได้ฆ่าสัตว์ของเธอ ได้ประสมน้ำองุ่นของเธอ ได้จัดโต๊ะของเธอแล้วด้วย
สภษ 31.15 เธอลุกขึ้นตั้งแต่ยังมืดอยู่และจัดอาหารให้ครัวเรือนของเธอ และจัดส่วนแบ่งให้แก่สาวใช้ของเธอ
ปญจ 10.19 เขาจัดงานเลี้ยงไว้เพื่อให้คนหัวเราะ และน้ำองุ่นทำให้ชื่นบาน และเงินก็จัดให้ได้ทุกอย่าง
อสย 25.6 บนภูเขานี้พระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงจัดการเลี้ยงสำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลาย เป็นการเลี้ยงด้วยของอ้วนพี เป็นการเลี้ยงด้วยน้ำองุ่นที่ตกตะกอนแล้ว ด้วยของอ้วนพีมีไขมันในกระดูกเต็ม ด้วยน้ำองุ่นตกตะกอนที่กรองแล้ว
อสย 30.16 แต่เจ้าทั้งหลายว่า “อย่าเลย เราจะขี่ม้าหนีไป” เพราะฉะนั้นเจ้าก็จะหนีไป และ “เราจะขี่ม้าเร็วจัด” เพราะฉะนั้นผู้ไล่ตามเจ้าทั้งหลายจะเร็วจัด
อสย 30.33 เพราะโทเฟทก็จัดไว้นานแล้ว เออ เตรียมไว้สำหรับกษัตริย์ เชิงตะกอนก็ลึกและกว้าง พร้อมไฟและฟืนมากมาย คือพระปัสสาสะของพระเยโฮวาห์เหมือนธารกำมะถันมาจุดให้ลุก
อสย 37.26 เจ้าไม่ได้ยินหรือว่า เราได้จัดไว้นานแล้ว เราได้กะแผนงานไว้แต่ดึกดำบรรพ์ ซึ่ง ณ บัดนี้เราให้เป็นไปแล้ว คือเจ้าจะทำเมืองที่มีป้อมให้พังลงให้เป็นกองสิ่งปรักหักพัง
อสย 42.25 ฉะนั้นพระองค์จึงทรงหลั่งความโกรธจัดลงมาบนเขา และหลั่งอานุภาพของสงคราม ทำให้เขาติดเพลิงอยู่โดยรอบ แต่เขาไม่รู้ มันไหม้เขา แต่เขามิได้เอาใจใส่
อสย 53.9 และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนชั่ว ในความตายของท่านเขาจัดไว้กับเศรษฐี แม้ว่าท่านมิได้กระทำการทารุณประการใดเลย และไม่มีการหลอกลวงในปากของท่าน
อสย 61.3 เพื่อจัดให้บรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์ในศิโยน เพื่อประทานความสวยงามแทนขี้เถ้าให้เขา น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย เพื่อคนจะเรียกเขาว่าต้นไม้แห่งความชอบธรรม ที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปลูกไว้ เพื่อพระองค์จะทรงได้รับสง่าราศี
อสย 65.11 แต่เจ้าทั้งหลายจะทอดทิ้งพระเยโฮวาห์ ผู้ลืมภูเขาบริสุทธิ์ของเรา ผู้จัดสำรับไว้ให้แก่พระโชค และจัดหาเครื่องดื่มบูชาให้แก่พระเคราะห์
ยรม 41.12 เขาก็จัดเอาคนทั้งหมดของเขาไปต่อสู้กับอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ เขาทั้งหลายปะทะเขาที่สระใหญ่ซึ่งอยู่ที่เมืองกิเบโอน
ยรม 51.59 ถ้อยคำซึ่งเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ได้บัญชาแก่เสไรอาห์บุตรชายเนริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมาอาเสอาห์ เมื่อเขาไปยังบาบิโลนกับเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ในปีที่สี่แห่งรัชกาลของท่านนั้น เสไรอาห์เป็นหัวหน้าจัดที่พัก
อสค 16.32 เป็นภรรยาที่แพศยาจัด ดูซิ ยอมรับรองแขกแปลกหน้าแทนที่จะรับรองสามี
อสค 45.17 ให้เป็นหน้าที่ของเจ้านายที่จะจัดเครื่องเผาบูชา ธัญญบูชา เครื่องดื่มบูชา ณ งานเทศกาลทั้งหลายในวันขึ้นค่ำและสะบาโต ในงานเทศกาลที่กำหนดไว้ของวงศ์วานอิสราเอลทั้งสิ้น ให้เขาจัดเครื่องบูชาไถ่บาป ธัญญบูชา เครื่องเผาบูชา และสันติบูชา เพื่อกระทำการลบบาปให้แก่วงศ์วานอิสราเอล
อสค 46.7 ส่วนธัญญบูชานั้นท่านจะจัดแป้งหนึ่งเอฟาห์คู่กับวัวผู้ตัวนั้น และหนึ่งเอฟาห์คู่กับแกะผู้ตัวหนึ่ง และคู่กับลูกแกะ ท่านจะจัดตามที่สามารถจัดได้ พร้อมกับน้ำมันหนึ่งฮินต่อแป้งหนึ่งเอฟาห์
ดนล 2.49 ดาเนียลก็กราบทูลขอต่อกษัตริย์และพระองค์ทรงตั้งให้ชัดรัค เมชาคและเอเบดเนโกเป็นผู้จัดราชการในเมืองบาบิโลน แต่ดาเนียลยังคงอยู่ในราชสำนัก
ดนล 3.12 มียิวบางคนที่พระองค์ได้แต่งตั้งให้จัดราชการในเมืองบาบิโลน คือชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก โอ ข้าแต่กษัตริย์ คนเหล่านี้ไม่เชื่อฟังพระองค์ เขามิได้ปฏิบัติพระของพระองค์ หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งไว้”
ดนล 3.13 แล้วเนบูคัดเนสซาร์ก็ทรงกริ้วจัดและเดือดพล่าน มีรับสั่งให้นำตัวชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกเข้ามา แล้วเขาก็นำคนเหล่านี้เข้ามาเฝ้ากษัตริย์
ดนล 3.22 ฉะนั้นเพราะว่าคำรับสั่งของกษัตริย์นั้นเข้มงวดมากและเตาไฟก็ร้อนจัด เปลวไฟจึงได้ฆ่าคนที่โยนชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก
ดนล 5.1 กษัตริย์เบลชัสซาร์ได้ทรงจัดการเลี้ยงใหญ่แก่เจ้านายหนึ่งพันคน และเสวยเหล้าองุ่นต่อหน้าคนหนึ่งพันนั้น
ดนล 11.11 แล้วกษัตริย์แห่งถิ่นใต้จะโกรธมาก จะยกออกมาต่อสู้กับท่าน คือกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือ ท่านจะจัดกองทัพเป็นอันมาก แต่พลมากมายนั้นก็จะถูกมอบไว้ในมือของท่าน
ดนล 11.13 เพราะว่ากษัตริย์แห่งถิ่นเหนือจะกลับมาและจะจัดกองทัพเป็นอันมากใหญ่โตกว่าครั้งก่อน ต่อมาอีกหลายปีท่านจะยกกองทัพใหญ่มาพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย
ฮชย 11.9 เราจะไม่ลงอาชญาตามที่เรากริ้วจัด เราจะไม่กลับไปทำลายเอฟราอิมอีก เพราะเราเป็นพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ เราเป็นผู้บริสุทธิ์ท่ามกลางพวกเจ้า เราจะไม่เข้าในเมือง
มธ 13.6 แต่เมื่อแดดจัดแดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มีจึงเหี่ยวไป
มธ 22.2 “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่ง ซึ่งได้จัดพิธีอภิเษกสมรสสำหรับราชโอรสของท่าน
มธ 22.4 ท่านยังใช้พวกผู้รับใช้อื่นไปอีก รับสั่งว่า ‘ให้บอกผู้รับเชิญนั้นว่า ดูเถิด เราได้จัดการเลี้ยงไว้แล้ว วัวและสัตว์ขุนแล้วของเราก็ฆ่าไว้เสร็จ สิ่งสารพัดก็เตรียมไว้พร้อม จงมาในพิธีอภิเษกสมรสนี้เถิด’
มธ 25.33 และพระองค์จะทรงจัดฝูงแกะให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย
มธ 25.37 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลพระองค์ว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร หรือทรงกระหายน้ำ และได้ถวายให้พระองค์ดื่มแต่เมื่อไร
มก 4.6 แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา และเพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป
มก 6.21 ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสดีคือเป็นวันฉลองวันกำเนิดของเฮโรด เฮโรดให้จัดการเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญๆทั้งปวงในแคว้นกาลิลี
มก 6.39 พระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกให้จัดคนทั้งปวงให้นั่งรวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ๆ
มก 10.40 แต่ที่จะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะจัดให้ แต่ได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น”
ลก 5.29 เลวีได้จัดให้มีการเลี้ยงใหญ่ในเรือนของตนเพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระองค์ มีคนมากมายเป็นคนเก็บภาษีและคนอื่นๆมาเอนกายลงรับประทานด้วยกัน
ลก 12.55 เมื่อท่านเห็นลมพัดมาแต่ทิศใต้ ท่านก็ว่า ‘จะร้อนจัด’ และก็เป็นจริง
ยน 12.2 ที่นั่นเขาจัดงานเลี้ยงอาหารเย็นแก่พระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขาที่เอนกายลงรับประทานกับพระองค์
กจ 10.10 ก็หิวอยากจะรับประทานอาหาร แต่ในระหว่างที่เขายังจัดอาหารอยู่ เปโตรได้เคลิ้มไป
กจ 15.3 คริสตจักรได้จัดส่งท่านเหล่านั้นไป และขณะเมื่อท่านกำลังข้ามแคว้นฟีนิเซียกับแคว้นสะมาเรีย ท่านได้กล่าวถึงเรื่องที่คนต่างชาติได้กลับใจใหม่ ทำให้พวกพี่น้องมีความยินดีอย่างยิ่ง
กจ 16.34 แล้วได้พาท่านทั้งสองเข้าไปในบ้านของเขา จัดโต๊ะเลี้ยงท่านแสดงความยินดีอย่างยิ่ง เพราะได้เชื่อถือพระเจ้าพร้อมกับทั้งครอบครัวแล้ว
กจ 23.23 ฝ่ายนายพันจึงเรียกนายร้อยสองคนมาสั่งว่า “จงจัดพลทหารสองร้อยกับทหารม้าเจ็ดสิบคน และทหารหอกสองร้อย ให้พร้อมในเวลาสามทุ่มคืนวันนี้จะไปยังเมืองซีซารียา
กจ 23.24 และจงจัดสัตว์ให้เปาโลขี่ จะได้ป้องกันส่งไปยังเฟลิกส์ผู้ว่าราชการเมือง”
2คร 10.13 ฝ่ายเราจะไม่โอ้อวดในสิ่งใดเกินขอบเขต แต่ว่าจะอวดในขอบเขตที่พระเจ้าทรงจัดไว้ให้เรา และพวกท่านก็อยู่ในขอบเขตนั้น
ฮบ 5.9 และเมื่อทรงถูกทำให้เพียบพร้อมทุกประการแล้ว พระองค์ก็เลยทรงเป็นผู้จัดความรอดนิรันดร์สำหรับคนทั้งปวงที่เชื่อฟังพระองค์
3ยน 1.6 เขาเหล่านั้นได้เป็นพยานต่อหน้าคริสตจักรถึงความรักของท่าน ถ้าท่านจะช่วยจัดส่งเขาเหล่านั้นในการเดินทางของเขา ตามที่สมควรตามแบบอย่างของพระเจ้า ท่านก็จะกระทำดี

จัดการ ( 18 )
อพย 40.33 ท่านกั้นบริเวณลานรอบพลับพลาและแท่นนั้น แล้วกั้นม่านบังตาที่ตรงประตูลาน โมเสสก็จัดการนั้นให้เสร็จสิ้นไปทุกประการ
ลนต 25.30 ถ้าในเวลาหนึ่งปีเต็มเขาไม่ทำการไถ่ถอน ก็ให้จัดการเสียให้เป็นการแน่นอนว่า ผู้ที่ซื้อไปมีสิทธิ์เหนือเรือนที่อยู่ในเมืองที่มีกำแพงนั้นสิทธิ์ขาดแล้ว ตลอดชั่วอายุของเขา ในปีเสียงแตรเขาก็ไม่ต้องคืนให้
นรธ 3.18 แม่สามีจึงว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงคอยอยู่ก่อน จนกว่าจะทราบว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร เพราะว่าท่านจะไม่หยุดเลยจนกว่าท่านจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จในวันนี้”
นรธ 4.6 ญาติสนิทที่ถัดมาคนนั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไถ่เพื่อตนเองอย่างนั้นไม่ได้ จะทำให้มรดกข้าพเจ้าเสียไป ท่านจงเอาสิทธิในการไถ่ของข้าพเจ้าไปจัดการเองเถิด เพราะข้าพเจ้าไถ่ไม่ได้แล้ว”
2พกษ 8.6 และเมื่อกษัตริย์ตรัสถามหญิงคนนั้น นางก็ทูลเรื่องถวายพระองค์ กษัตริย์จึงทรงตั้งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งให้แก่นางรับสั่งว่า “จงจัดการคืนทุกสิ่งที่เป็นของของนาง พร้อมทั้งพืชผลของนานั้น ตั้งแต่วันที่นางออกจากแผ่นดินมาจนถึงบัดนี้”
2พกษ 9.7 และเจ้าจงโค่นราชวงศ์ของอาหับนายของเจ้า เพื่อเราจะได้จัดการสนองเยเซเบลเพราะโลหิตของบรรดาผู้พยากรณ์ผู้รับใช้ของเรา และเพราะโลหิตของบรรดาผู้รับใช้ทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์
2พกษ 9.34 แล้วพระองค์เสด็จเข้าไป เสวยและทรงดื่ม และพระองค์ตรัสว่า “จัดการกับหญิงที่ถูกสาปคนนี้ เอาไปฝังเสีย เพราะเธอเป็นธิดาของกษัตริย์”
2พศด 11.23 และพระองค์ทรงจัดการอย่างฉลาด และแจกจ่ายบรรดาโอรสของพระองค์ไปทั่วแผ่นดินทั้งสิ้นของยูดาห์และของเบนยามิน ในหัวเมืองที่มีป้อมทั้งสิ้น และพระองค์ประทานเสบียงอาหารให้อย่างอุดม และพระองค์ทรงประสงค์มเหสีมากมาย
2พศด 31.2 เฮเซคียาห์ได้ทรงจัดการแบ่งบรรดาปุโรหิตและคนเลวีเป็นกองๆ แต่ละกองตามหน้าที่ปรนนิบัติของตน คือบรรดาปุโรหิตและคนเลวี ให้เป็นพนักงานฝ่ายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาให้ปรนนิบัติ และให้ถวายโมทนาและสรรเสริญภายในประตูค่ายของพระเยโฮวาห์
สดด 106.30 แล้วฟีเนหัสได้ยืนขึ้นจัดการลงโทษและโรคระบาดนั้นก็หยุด
สดด 119.126 เป็นเวลาที่พระเยโฮวาห์ควรทรงจัดการ เพราะเขาหักพระราชบัญญัติของพระองค์
อสย 13.3 ตัวเราเองได้บัญชาแก่ผู้ที่เราชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เราได้เรียกชายฉกรรจ์ของเราให้จัดการตามความโกรธของเรา คือผู้ที่ยินดีในความสูงส่งของเรา
อสย 38.1 ในวันเหล่านั้นเฮเซคียาห์ทรงประชวรใกล้จะสิ้นพระชนม์ และอิสยาห์ผู้พยากรณ์บุตรชายของอามอสเข้ามาเฝ้าพระองค์ และทูลพระองค์ว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า จงจัดการการบ้านการเมืองของเจ้าให้เรียบร้อย เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะไม่ฟื้น”
ยรม 16.4 เขาทั้งหลายจะตายด้วยโรคร้าย จะไม่มีการโอดครวญอาลัยเขาทั้งหลาย หรือจะไม่มีใครจัดการฝังเขา เขาจะเป็นเหมือนมูลสัตว์ที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน เขาทั้งหลายจะพินาศด้วยดาบและการกันดารอาหาร และศพทั้งหลายของเขาจะเป็นอาหารของนกในอากาศและของสัตว์แห่งแผ่นดิน
ยรม 16.6 ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยจะตายในแผ่นดินนี้ จะไม่มีใครจัดการฝังเขา จะไม่มีใครมาโอดครวญอาลัยเขา หรือมากรีดตัวหรือมาโกนศีรษะเพื่อเขา
ยรม 18.23 แม้กระนั้น ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงทราบการปองร้ายทั้งสิ้นของเขาที่จะฆ่าข้าพระองค์เสีย ขออย่าทรงลบความชั่วช้าของเขา หรือลบบาปของเขาเสียจากสายพระเนตรของพระองค์ ขอให้เขาถูกคว่ำลงต่อพระพักตร์พระองค์ ขอทรงจัดการเขาทั้งหลายในเวลาแห่งความกริ้วของพระองค์
อสค 31.11 เราจึงมอบมันไว้ในมือของผู้หนึ่งที่ทรงอานุภาพในบรรดาประชาชาติ ท่านนั้นจะจัดการกับมันเป็นแน่ เราได้ไล่มันออกเพราะความชั่วร้ายของมัน
อสค 46.13 เจ้าจะจัดการหาลูกแกะตัวหนึ่งอายุหนึ่งขวบปราศจากตำหนิถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์เป็นประจำวัน เจ้าจะจัดหาทุกๆเช้า

จัดจ้าน ( 1 )
สภษ 7.11 (นางจัดจ้านและดื้อดึง เท้าของนางไม่อยู่กับบ้าน

จัดแจง ( 5 )
อพย 24.4 โมเสสจึงจารึกพระวจนะของพระเยโฮวาห์ไว้ทุกคำ แล้วตื่นขึ้นแต่เช้าจัดแจงสร้างแท่นบูชาขึ้นที่เชิงภูเขา ปักเสาหินขึ้นสิบสองก้อนตามจำนวนตระกูลทั้งสิบสองของอิสราเอล
ลก 23.56 แล้วเขาก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นเขาก็หยุดการไว้ตามพระบัญญัติ
กจ 21.15 ภายหลังวันเหล่านั้นเราก็จัดแจงข้าวของ และขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ฮบ 11.7 โดยความเชื่อ เมื่อพระเจ้าทรงเตือนโนอาห์ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่ปรากฏ ท่านมีใจเกรงกลัวจัดแจงต่อนาวา เพื่อช่วยครอบครัวของท่านให้รอด และด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงได้ปรับโทษแก่โลก และได้เป็นทายาทแห่งความชอบธรรม ซึ่งบังเกิดมาจากความเชื่อ
1ปต 3.20 ซึ่งแต่ก่อนไม่ได้เชื่อฟัง คราวเมื่อพระเจ้าทรงโปรดงดโทษไว้นาน คือครั้งโนอาห์ เมื่อกำลังจัดแจงต่อนาวา ในนาวานั้นได้รอดจากน้ำน้อยคน คือแปดคน

จัดตั้ง ( 12 )
อพย 26.30 พลับพลานั้น เจ้าจงจัดตั้งไว้ตามแบบอย่างที่เราได้แจ้งแก่เจ้าแล้วที่บนภูเขา
กดว 1.3 ตั้งแต่อายุได้ยี่สิบปีขึ้นไปบรรดาคนที่ออกรบได้ในกองทัพพวกอิสราเอล เจ้ากับอาโรนจงจัดตั้งเขาทั้งหลายไว้เป็นกองๆ
กดว 1.51 เมื่อจะยกพลับพลาไปคนเลวีจะต้องรื้อพลับพลาลง และเมื่อจะตั้งพลับพลาขึ้นก็ให้คนเลวีเป็นผู้จัดตั้ง ผู้อื่นเข้ามาใกล้พลับพลา ผู้นั้นต้องถูกโทษถึงตาย
กดว 7.1 เมื่อวันที่โมเสสจัดตั้งพลับพลาเสร็จ และได้เจิมและได้ชำระพลับพลากับบรรดาเครื่องใช้สอยประจำพลับพลาให้บริสุทธิ์ และได้เจิมและชำระแท่นบูชากับภาชนะประจำทั้งหมดให้บริสุทธิ์แล้ว
กดว 9.15 ในวันที่จัดตั้งพลับพลานั้นมีเมฆมาปกคลุมพลับพลาไว้ คือเต็นท์พระโอวาท เวลาเย็นเมฆนั้นก็อยู่เหนือพลับพลาปรากฏเหมือนเพลิงจนรุ่งเช้า
ยชว 4.4 แล้วโยชูวาก็เลือกชายสิบสองคน ซึ่งท่านจัดตั้งจากประชาชนอิสราเอลตระกูลละคน
2ซมอ 18.1 ดาวิดจึงตรวจพลที่อยู่กับพระองค์ และทรงจัดตั้งนายพันนายร้อยให้ควบคุม
2พศด 23.18 เยโฮยาดาวางยามไว้ดูแลพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ภายใต้การควบคุมของปุโรหิตแห่งคนเลวี ผู้ซึ่งดาวิดทรงจัดตั้งให้ดูแลพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ให้ถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ ตามที่บันทึกไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสส ด้วยความเปรมปรีดิ์และการร้องเพลง ตามพระราชดำรัสสั่งของดาวิด
อสร 8.20 และคนใช้ประจำพระวิหาร ซึ่งดาวิดและข้าราชการของพระองค์ได้จัดตั้งขึ้นไว้เพื่อปรนนิบัติคนเลวี มีคนใช้ประจำพระวิหารสองร้อยยี่สิบคน บุคคลเหล่านี้ทั้งสิ้นมีชื่อระบุไว้
นหม 2.1 และอยู่มาในเดือนนิสาน ในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส เมื่อน้ำองุ่นจัดตั้งไว้ตรงพระพักตร์พระองค์ ข้าพเจ้าก็หยิบน้ำองุ่นถวายกษัตริย์ แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้ามิได้โศกเศร้าต่อพระพักตร์พระองค์
สดด 104.19 พระองค์ทรงจัดตั้งดวงจันทร์ให้กำหนดฤดู ดวงอาทิตย์รู้จักเวลาตกของมัน
ฮบ 9.6 แล้วเมื่อจัดตั้งสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างนั้นแล้ว พวกปุโรหิตก็เข้าไปในพลับพลาห้องที่หนึ่งทุกครั้งที่ปรนนิบัติพระเจ้า

จัดเตรียม ( 49 )
ปฐก 43.25 พวกพี่ชายก็จัดเตรียมของกำนัลไว้คอยท่าโยเซฟซึ่งจะมาในเวลาเที่ยง เพราะเขาได้ยินว่าเขาจะรับประทานอาหารกันที่นั่น
พบญ 19.3 ท่านจงจัดเตรียมให้มีทาง และจงแบ่งอาณาเขตแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นกรรมสิทธิ์นั้นออกเป็นสามส่วน เพื่อว่าผู้ใดที่ได้ฆ่าคนแล้วจะหลบหนีไปอยู่ในเมืองเหล่านั้นได้
1ซมอ 16.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับซามูเอลว่า “เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูลนานเท่าใดเล่า เมื่อเราถอดเขาจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้า แล้วก็ไปเถอะ เราจะใช้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าในหมู่พวกบุตรชายของเขาเราจัดเตรียมกษัตริย์องค์หนึ่งไว้แล้วสำหรับเรา”
1พกษ 6.19 พระองค์ทรงจัดเตรียมห้องหลังไว้ข้างในพระนิเวศ เพื่อจะวางหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ไว้ที่นั่น
1พกษ 18.26 เขาทั้งหลายก็เอาวัวผู้ที่เขานำมาให้และเขาทั้งหลายก็จัดเตรียมและร้องออกพระนามพระบาอัล ตั้งแต่เวลาเช้าจนเที่ยงกล่าวว่า “โอ ข้าแต่พระบาอัล ขอสดับพวกข้าพเจ้าเถิด” แต่ก็ไม่มีเสียงและไม่มีใครตอบ และเขาก็โขยกเขยกอยู่รอบแท่นซึ่งเขาได้สร้างขึ้นนั้น
1พศด 9.32 และญาติของเขาบางคน ซึ่งเป็นคนโคฮาท เป็นผู้ดูแลขนมปังหน้าพระพักตร์ มีหน้าที่จัดเตรียมทุกวันสะบาโต
1พศด 15.12 และตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นประมุขของบรรพบุรุษของคนเลวี จงชำระตัวของเจ้าเสีย ทั้งเจ้าและพี่น้องของเจ้า เพื่อเจ้าจะนำหีบของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลขึ้นมายังสถานที่ซึ่งเราได้จัดเตรียมไว้ให้
1พศด 22.5 เพราะดาวิดตรัสว่า “ซาโลมอนบุตรชายของเรายังเด็กอยู่และไม่เคยงาน และพระนิเวศซึ่งจะสร้างถวายพระเยโฮวาห์นั้นต้องหรูหราอย่างยิ่ง มีชื่อเสียงและสง่าราศีในบรรดาประเทศทั้งหลาย เพราะฉะนั้นบัดนี้เราจึงจะจัดเตรียมไว้” ดาวิดจึงทรงจัดวัตถุเป็นจำนวนมากก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์
1พศด 22.14 และดูเถิด เราได้จัดเตรียมไว้เพื่อพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ด้วยความยากเหนื่อยอย่างยิ่ง เป็นทองคำหนักหนึ่งแสนตะลันต์ เงินหนักหนึ่งล้านตะลันต์ ทองสัมฤทธิ์และเหล็กเหลือที่จะชั่ง เพราะมีมากมายเหลือเกิน เราได้จัดเตรียมตัวไม้และหินด้วย เจ้าจะเพิ่มเติมเข้าอีกก็ได้
1พศด 28.2 แล้วกษัตริย์ดาวิดทรงลุกขึ้นประทับยืน และตรัสว่า “พี่น้องของข้าพเจ้า และประชาชนของข้าพเจ้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีใจประสงค์ที่จะสร้างพระนิเวศอันเป็นที่พักของหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และเพื่อเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้าของเรา และข้าพเจ้าได้จัดเตรียมการก่อสร้างไว้เสร็จแล้ว
1พศด 29.2 เพราะฉะนั้นเราจึงจัดเตรียมไว้สำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเรา เต็มความสามารถของเรา คือทองคำสำหรับสิ่งที่ทำด้วยทองคำ และเงินสำหรับสิ่งที่ทำด้วยเงิน และทองสัมฤทธิ์สำหรับสิ่งที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ และเหล็กสำหรับสิ่งที่ทำด้วยเหล็ก และไม้สำหรับสิ่งที่ทำด้วยไม้ มีพลอยสีน้ำข้าว และพลอยสำหรับฝัง พลวง หินลาย เพชรพลอยทุกชนิดและหินอ่อนมายมาย
2พศด 2.9 เพื่อจัดเตรียมตัวไม้ให้แก่ข้าพเจ้าให้มากมาย เพราะว่าพระนิเวศที่ข้าพเจ้าจะสร้างนี้จะใหญ่โตและแปลกประหลาด
สดด 65.9 พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนแผ่นดินโลก และทรงรดน้ำ พระองค์ทรงกระทำให้อุดมยิ่งด้วยแม่น้ำของพระเจ้าซึ่งมีน้ำเต็ม พระองค์ทรงจัดหาข้าวให้ เพราะทรงจัดเตรียมโลกไว้เช่นนั้นแหละ
สดด 68.10 ชุมนุมชนของพระองค์ก็มาอาศัยในนั้น โอ ข้าแต่พระเจ้า โดยความดีของพระองค์ พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้แก่คนขัดสน
อสย 62.10 จงไป จงไปทางประตูเมือง จัดเตรียมทางไว้ให้ชนชาตินี้ จงพูน จงพูนทางหลวงขึ้น จงเก็บกวาดหินเสียให้หมด จงยกสัญญาณไว้เหนือชนชาติทั้งหลาย
ยรม 6.23 เขาทั้งหลายจะจับคันธนูและหอก เขาทั้งหลายดุร้ายและไม่มีความสงสาร เสียงของเขาก็เหมือนเสียงทะเลกำเริบ เขาทั้งหลายขี่ม้า และจัดเตรียมกระบวนเหมือนชายที่จะเข้าสงคราม โอ บุตรสาวศิโยนเอ๋ย เขาทั้งหลายมาต่อสู้เจ้า”
อสค 12.3 เพราะฉะนั้น บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงจัดเตรียมข้าวของสำหรับตนเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย และจงไปเป็นเชลยในเวลากลางวันท่ามกลางสายตาของเขา เจ้าจะต้องไปเป็นเชลยจากสถานที่ของเจ้าไปยังอีกที่หนึ่งในสายตาของเขา บางทีเขาอาจจะพินิจพิเคราะห์ดูได้ แม้ว่าเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ
อสค 28.13 เจ้าเคยอยู่ในเอเดน พระอุทยานของพระเจ้า เพชรพลอยทุกอย่างเป็นเสื้อของเจ้า คือทับทิม บุษราคัม เพชร พลอยเขียว พลอยสีน้ำข้าว และหยก ไพทูรย์ มรกต พลอยสีแดงเข้มและทองคำ ความเชี่ยวชาญแห่งรำมะนาและปี่ของเจ้าได้จัดเตรียมไว้ในวันที่สร้างเจ้าขึ้นมา
มธ 26.17 ในวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พวกสาวกมาทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน”
มธ 26.19 ฝ่ายสาวกเหล่านั้นก็กระทำตามที่พระเยซูทรงรับสั่ง แล้วได้จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม
มก 14.12 เมื่อวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ถึงเวลาเขาเคยฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกานั้น พวกสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายไปจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน”
มก 14.15 เจ้าของเรือนจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละ จงจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเราเถิด”
มก 14.16 สาวกสองคนนั้นจึงออกเดินเข้าไปในกรุง และพบเหมือนพระดำรัสที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขา แล้วได้จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม
ลก 1.17 เขาจะนำหน้าพระองค์โดยแสดงอารมณ์และฤทธิ์เดชอย่างเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูกและคนที่ไม่เชื่อฟังให้กลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า”
ลก 1.76 ท่านทารกเอ๋ย เขาจะเรียกท่านว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ของผู้สูงสุด เพราะว่าท่านจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อจะจัดเตรียมมรรคาของพระองค์ไว้
ลก 2.31 ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย
ลก 22.8 พระองค์จึงทรงใช้เปโตรและยอห์นไปสั่งว่า “จงไปจัดเตรียมปัสกาให้เราทั้งหลายกิน”
ลก 22.9 เขาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายจัดเตรียมที่ไหน”
ลก 22.12 เจ้าของเรือนจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละจงจัดเตรียมไว้เถิด”
ลก 22.13 เขาทั้งสองจึงไปและพบเหมือนคำที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขา แล้วได้จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม
ลก 22.29 และพระบิดาของเราได้ทรงจัดเตรียมอาณาจักรมอบให้แก่เราอย่างไร เราก็จะจัดเตรียมอาณาจักรมอบให้แก่ท่านทั้งหลายเหมือนกัน
ลก 23.54 วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม และวันสะบาโตก็เกือบจะถึงแล้ว
ลก 24.1 แต่เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์ ผู้หญิงเหล่านั้นจึงนำเครื่องหอมที่เขาได้จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์ และคนอื่นก็มาพร้อมกับเขา
ยน 14.2 ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีคฤหาสน์หลายแห่ง ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย
ยน 14.3 และถ้าเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย
รม 9.23 เพื่อจะได้ทรงสำแดงสง่าราศีอันอุดมของพระองค์แก่บรรดาผู้ที่เป็นภาชนะแห่งพระเมตตา ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ก่อนให้สมกับสง่าราศี
รม 13.14 แต่ท่านทั้งหลายจงประดับตัวด้วยพระเยซูคริสต์เจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำเรอเนื้อหนัง เพื่อจะให้สำเร็จตามความปรารถนาของเนื้อหนังนั้น
1คร 2.9 ดังที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และไม่เคยได้เข้าไปในใจมนุษย์ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์’
2คร 9.2 เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าใจของท่านพร้อมอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงพูดอวดเรื่องพวกท่านกับพวกมาซิโดเนียว่า พวกอาคายาได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วตั้งแต่ปีกลาย และความกระตือรือร้นของพวกท่านก็เร้าใจคนเป็นอันมาก
2คร 9.3 แต่ข้าพเจ้าได้ให้พี่น้องเหล่านั้นไป เพื่อมิให้การอวดของเราเรื่องท่านในข้อนั้นเป็นการเปล่าประโยชน์ และเพื่อให้ท่านจัดเตรียมไว้ให้พร้อมตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วนั้น
2คร 9.5 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่า สมควรจะวิงวอนให้พี่น้องเหล่านั้นไปหาท่านก่อนข้าพเจ้า และให้จัดเตรียมของถวายของท่านไว้ ตามที่ท่านได้สัญญาไว้แล้ว เพื่อของถวายนั้นจะมีอยู่พร้อม และจะเป็นของถวายที่ให้ด้วยใจศรัทธา มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ
ฟม 1.22 อีกประการหนึ่ง ขอท่านได้จัดเตรียมที่พักไว้สำหรับข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะมาหาท่านอีกตามคำอธิษฐานของท่าน
ฮบ 10.5 ดังนั้นเมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาในโลกแล้ว พระองค์ได้ตรัสว่า ‘เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาพระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมกายสำหรับข้าพระองค์
ฮบ 11.16 แต่บัดนี้เขาปรารถนาที่จะอยู่ในเมืองที่ประเสริฐกว่านั้น คือเมืองสวรรค์ เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงมิได้ทรงละอายเมื่อเขาเรียกพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าของเขา เพราะพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับเขาแล้ว
ฮบ 11.40 ด้วยว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมการอย่างดีกว่าไว้สำหรับเราทั้งหลาย เพื่อไม่ให้เขาทั้งหลายถึงที่สำเร็จนอกจากเรา
วว 12.6 และหญิงนั้นก็หนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นางมีสถานที่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูอยู่ที่นั่นตลอดพันสองร้อยหกสิบวัน
วว 21.2 ข้าพเจ้า คือยอห์น ได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากพระเจ้าและจากสวรรค์ กรุงนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี

จัดทำ ( 2 )
ปฐก 27.17 แล้วนางก็มอบอาหารอร่อยและขนมปัง ซึ่งนางจัดทำนั้นไว้ในมือของยาโคบบุตรชายของนาง
อพย 38.21 นี่แหละเป็นบัญชีสิ่งของที่ใช้ในพลับพลา คือพลับพลาพระโอวาท ซึ่งเขาทั้งหลายนับตามคำสั่งของโมเสส มีคนเลวีจัดทำตามบัญชาของอิธามาร์บุตรชายอาโรนปุโรหิต

จัดหา ( 25 )
ปฐก 22.8 อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา” พ่อลูกทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน
อพย 5.9 จงจัดหางานให้เขาทำหนักกว่าแต่ก่อน เพื่อเขาจะทำงาน และไม่ฟังคำพูดเหลวไหล”
1พกษ 4.7 ซาโลมอนทรงมีข้าหลวงสิบสองคนอยู่เหนืออิสราเอลทั้งปวง เป็นผู้จัดหาเสบียงอาหารสำหรับกษัตริย์และสำหรับกษัตริย์สำนัก ข้าหลวงคนหนึ่งจัดหาเสบียงอาหารสำหรับเดือนหนึ่งในหนึ่งปี
1พศด 29.3 ยิ่งกว่านั้นอีกนอกจากสิ่งทั้งปวงที่เราจัดหาไว้สำหรับนิเวศบริสุทธิ์แล้ว เรายังมีทองคำและเงินเป็นสมบัติของเราเอง และเพราะความรักของเราที่มีต่อพระนิเวศของพระเจ้าของเรา เรามอบให้แก่พระนิเวศแห่งพระเจ้าของเรา
1พศด 29.16 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ของมากมายเหล่านี้ทั้งสิ้นซึ่งข้าพระองค์จัดหาเพื่อสร้างพระนิเวศถวายแด่พระองค์เพื่อพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ มาจากพระหัตถ์ของพระองค์ และเป็นของพระองค์ทั้งสิ้น
2พศด 2.7 เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอส่งชายคนหนึ่งผู้ชำนาญการช่างทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์และเหล็กและชำนาญในเรื่องผ้าสีม่วง สีแดงเข้มและสีฟ้า ทั้งเป็นผู้ชำนาญในการแกะสลัก เพื่อจะอยู่กับช่างฝีมือผู้อยู่กับข้าพเจ้าในยูดาห์และในเยรูซาเล็ม ผู้ซึ่งดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าได้จัดหาไว้
2พศด 28.15 และผู้ชายซึ่งถูกระบุชื่อนั้นได้ลุกขึ้นเอาเสื้อผ้าอันเป็นของที่ริบมาให้แก่คนที่เปลือยกายอยู่ในพวกเชลยและเขาก็นุ่งห่มให้เขาไว้ และให้รองเท้า และจัดหาอาหารและเครื่องดื่มให้ และชโลมเขา และนำคนที่อ่อนเปลี้ยในพวกเขาขึ้นลา นำเขากลับมายังญาติพี่น้องของเขาที่เมืองเยรีโค คือเมืองต้นอินทผลัม และเขาทั้งหลายก็กลับไปยังสะมาเรีย
อสร 7.20 และสิ่งใดๆซึ่งยังต้องการสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเจ้าซึ่งเจ้าจะต้องจัดหานั้น เจ้าจงจัดหาด้วยเงินพระคลังของกษัตริย์
อสธ 2.9 หญิงนั้นเป็นที่พอใจเขาและเธอก็เป็นที่โปรดปรานแก่เขา เขาจึงรีบจัดหาเครื่องประเทืองผิว และส่วนของเธอให้เธอ พร้อมกับสาวใช้ที่คัดเลือกแล้วเจ็ดคนจากราชสำนัก แล้วก็เลื่อนเธอและสาวใช้ของเธอขึ้นไปยังสถานที่ที่ดีที่สุดในฮาเร็ม
โยบ 38.41 ใครจัดหาเหยื่อให้กา เมื่อลูกอ่อนของมันร้องต่อพระเจ้า และระเหระหนไปเพราะขาดอาหาร”
สดด 65.9 พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนแผ่นดินโลก และทรงรดน้ำ พระองค์ทรงกระทำให้อุดมยิ่งด้วยแม่น้ำของพระเจ้าซึ่งมีน้ำเต็ม พระองค์ทรงจัดหาข้าวให้ เพราะทรงจัดเตรียมโลกไว้เช่นนั้นแหละ
อสย 65.11 แต่เจ้าทั้งหลายจะทอดทิ้งพระเยโฮวาห์ ผู้ลืมภูเขาบริสุทธิ์ของเรา ผู้จัดสำรับไว้ให้แก่พระโชค และจัดหาเครื่องดื่มบูชาให้แก่พระเคราะห์
ยรม 33.9 และกรุงนี้จะให้เรามีชื่ออันให้ความชื่นบาน เป็นที่สรรเสริญและเป็นศักดิ์ศรีต่อหน้าบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลก ซึ่งจะได้ยินถึงความดีทั้งสิ้นซึ่งเราได้กระทำเพื่อเขาทั้งหลาย เขาจะกลัวและสะทกสะท้าน เพราะความดีและความเจริญทั้งสิ้นซึ่งเราได้จัดหาให้เมืองนั้น
อสค 34.29 และเราจะจัดหาไร่นาอันมีชื่อให้แก่เขา เพื่อเขาจะไม่ถูกผลาญด้วยความอดอยากในแผ่นดินนั้นต่อไปอีก ไม่ต้องทนรับความอับอายขายหน้าจากประชาชาติ
อสค 45.22 ในวันนั้นให้เจ้านายจัดหาวัวหนุ่มตัวหนึ่งสำหรับตนเองและประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดิน เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
อสค 45.23 และในเจ็ดวันที่มีเทศกาลเลี้ยงให้เจ้านายจัดหาวัวหนุ่มเจ็ดตัวกับแกะผู้เจ็ดตัวที่ปราศจากตำหนิ ให้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ทุกๆวันตลอดเจ็ดวันนั้น และจัดหาลูกแพะผู้ตัวหนึ่งทุกวันให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
อสค 45.24 และให้เจ้านายจัดหาธัญญบูชาเอฟาห์หนึ่งคู่กับวัวผู้หนึ่ง และเอฟาห์หนึ่งคู่กับแกะผู้หนึ่ง และน้ำมันหนึ่งฮินต่อแป้งทุกเอฟาห์
อสค 45.25 ในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ด และในเทศกาลเลี้ยงทั้งเจ็ดวัน ให้ท่านจัดหาของเช่นเดียวกันสำหรับเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เครื่องเผาบูชา ธัญญบูชา และเครื่องน้ำมัน”
อสค 46.13 เจ้าจะจัดการหาลูกแกะตัวหนึ่งอายุหนึ่งขวบปราศจากตำหนิถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์เป็นประจำวัน เจ้าจะจัดหาทุกๆเช้า
อสค 46.14 และเจ้าจะจัดหาเครื่องธัญญบูชาคู่กันทุกๆเช้าหนึ่งในหกของเอฟาห์ และน้ำมันหนึ่งในสามของฮิน เพื่อคลุกแป้งให้ชุ่มให้เป็นธัญญบูชาแด่พระเยโฮวาห์ นี่เป็นระเบียบเนืองนิตย์
อสค 46.15 ดังนี้แหละจะต้องจัดหาลูกแกะและเครื่องธัญญบูชาพร้อมกับน้ำมันทุกๆเช้า เพื่อเป็นเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์
มธ 25.35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้
กจ 20.34 แล้วท่านทั้งหลายทราบว่า มือของข้าพเจ้าเองนี้ ได้จัดหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับตัวข้าพเจ้ากับคนที่อยู่กับข้าพเจ้า

จัดอันดับ ( 1 )
2คร 10.12 เราไม่ต้องการที่จะจัดอันดับหรือเปรียบเทียบตัวเราเองกับบางคนที่ยกย่องตัวเอง แต่เมื่อเขาเอาตัวของเขาเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวเปรียบเทียบกันและกัน เขาก็เป็นคนขาดปัญญา

จับ ( 322 )
ปฐก 8.9 แต่นกเขาไม่พบที่ที่จะจับอาศัยอยู่ได้เพราะน้ำยังท่วมทั่วพื้นแผ่นดินโลกอยู่ มันจึงได้กลับมาหาท่านในนาวา ดังนั้นท่านจึงยื่นมือออกไปจับนกเขาเข้ามาไว้ด้วยกันในนาวา
ปฐก 14.12 และได้จับโลทบุตรชายของน้องชายอับรามผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองโสโดมและทรัพย์สิ่งของของเขาแล้วจากไป
ปฐก 14.14 เมื่ออับรามได้ยินว่าหลานชายของท่านถูกจับไปเป็นเชลย ท่านจึงนำคนชำนาญศึกที่เกิดในบ้านท่าน จำนวนสามร้อยสิบแปดคน และตามไปทันที่เมืองดาน
ปฐก 19.16 ขณะที่เขายังรีรออยู่ ทูตเหล่านั้นจึงคว้าจับมือเขา มือภรรยาของเขาและมือบุตรสาวทั้งสองของเขา พระเยโฮวาห์ทรงมีความเมตตาต่อเขา ทูตเหล่านั้นจึงนำเขาออกมาและให้เขาอยู่ที่นอกเมือง
ปฐก 21.18 ลุกขึ้นอุ้มเด็กนั้น เอามือจับเขาไว้ให้แน่น เพราะเราจะทำให้เขาเป็นชาติใหญ่ชาติหนึ่ง”
ปฐก 22.10 แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย
ปฐก 22.13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู และดูเถิด ข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะผู้ตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชายของท่าน
ปฐก 25.26 ภายหลังน้องชายของเขาก็คลอดออกมา มือของเขาจับส้นเท้าของเอซาวไว้ เขาจึงตั้งชื่อว่า ยาโคบ เมื่อนางคลอดลูกแฝดนั้น อิสอัคมีอายุได้หกสิบปี
ปฐก 27.14 เขาจึงไปจับเอามาให้มารดาของตน มารดาของเขาได้จัดอาหารอร่อยอย่างที่บิดาของเขาชอบนั้น
ปฐก 31.26 ลาบันกล่าวกับยาโคบว่า “เจ้าทำอะไรเล่า หนีพาบุตรสาวของเรามา ไม่บอกให้เรารู้ ทำเหมือนเชลยที่จับได้ด้วยดาบ
ปฐก 34.29 เอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาไป และจับบุตรภรรยาของคนเหล่านั้นไปเป็นเชลย และริบของในบ้านไปเสียทั้งสิ้น
ปฐก 37.23 ต่อมา ครั้นโยเซฟมาถึงพวกพี่ชาย เขาก็จับโยเซฟถอดเสื้อออกเสีย คือเสื้อยาวหลากสีที่สวมอยู่
ปฐก 38.24 อยู่มาอีกประมาณสามเดือน มีคนมาบอกยูดาห์ว่า “ทามาร์บุตรสะใภ้ของท่านเป็นหญิงแพศยา ยิ่งกว่านั้นอีก ดูเถิด นางมีครรภ์เพราะการแพศยาแล้ว” ยูดาห์จึงสั่งว่า “พานางออกมานี่จับคลอกไฟเสีย”
ปฐก 43.18 คนเหล่านั้นก็กลัวเพราะเขาพาเข้าไปในบ้านโยเซฟ จึงพูดกันว่า “เพราะเหตุเงินที่ติดมาในกระสอบของเราครั้งก่อนนั้น เขาจึงพาพวกเรามาที่นี่ เพื่อท่านจะหาเหตุใส่เราจับกุมเรา จับเราเป็นทาส ทั้งจะริบเอาลาด้วย”
ปฐก 48.13 โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดา มือขวาจับเอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล
ปฐก 48.17 ฝ่ายโยเซฟเมื่อเห็นบิดาวางมือข้างขวาบนศีรษะของเอฟราอิมก็ไม่พอใจ จึงจับมือบิดาจะยกจากศีรษะเอฟราอิมวางบนศีรษะมนัสเสห์
ปฐก 49.8 ยูดาห์เอ๋ย พวกพี่น้องจะสรรเสริญเจ้า มือของเจ้าจะจับคอของศัตรูของเจ้า บุตรทั้งหลายของบิดาจะกราบเจ้า
อพย 4.4 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เอื้อมมือของเจ้าและจับหางงูไว้” ท่านก็เอื้อมมือของท่านและจับหางงู มันก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในมือของท่าน
อพย 10.14 ฝูงตั๊กแตนลงทั่วแผ่นดินอียิปต์ และจับอยู่ทั่วเขตแดนอียิปต์ทั้งหมด มันรุนแรงมาก แต่ก่อนไม่เคยมีตั๊กแตนอย่างนี้เลย และต่อไปข้างหน้าจะหามีอย่างนั้นอีกไม่
อพย 10.21 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือของเจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อจะให้มีความมืดทั่วแผ่นดินอียิปต์ เป็นความมืดจนจับคลำได้”
อพย 15.9 พวกข้าศึกกล่าวว่า ‘เราจะติดตาม เราจะจับให้ทัน เราจะริบสิ่งของมาแบ่งปันกัน เราจึงจะพอใจที่ได้กระทำกับพวกนั้นดังประสงค์ เราจะชักดาบออก มือเราจะทำลายเขาเสีย’
อพย 22.4 ถ้าจับของที่ลักไปนั้นได้อยู่ในมือของเขาจะเป็นวัวก็ดี หรือลาก็ดี หรือแกะก็ดี ซึ่งยังเป็นอยู่ ขโมยนั้นต้องให้ค่าชดใช้เป็นสองเท่า
อพย 22.7 ถ้าผู้ใดฝากเงินหรือสิ่งของไว้กับเพื่อนบ้านแล้วของนั้นถูกขโมยลักไปจากเรือนผู้นั้น ถ้าจับขโมยได้ ขโมยต้องใช้แทนเป็นสองเท่า
อพย 22.8 ถ้าจับขโมยไม่ได้ จงนำเจ้าของเรือนมาถึงพวกผู้พิพากษาเพื่อจะดูว่ามือของตนเองได้ลักสิ่งของของเพื่อนบ้านนั้นหรือไม่
ลนต 11.40 และผู้ใดที่รับประทานซากนั้นจะต้องซักเสื้อผ้าของเขาเสียและเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น ผู้ใดที่จับถือซากนั้นไปก็ต้องซักเสื้อผ้าของตน และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
กดว 5.13 มีชายอื่นมานอนร่วมกับนางพ้นตาสามีของนาง แม้นางได้กระทำตัวให้เป็นมลทินแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เห็นและยังไม่มีพยาน เพราะจับไม่ได้คาที่
กดว 11.32 วันนั้นประชาชนก็ลุกขึ้นเที่ยวจับนกคุ่มทั้งวันและคืนและตลอดวันรุ่งขึ้นด้วย คนที่จับได้น้อยที่สุดได้ถึงสิบโฮเมอร์ แล้วเขาเอามาวางตากทั่วค่าย
กดว 21.1 เมื่อกษัตริย์เมืองอาราด ชาวคานาอันผู้อยู่ทางภาคใต้ ได้ยินว่าอิสราเอลกำลังยกมาตามทางที่พวกสอดแนมใช้นั้น ท่านต่อสู้กับคนอิสราเอลและจับไปเป็นเชลยได้บ้าง
กดว 31.9 และคนอิสราเอลได้จับสตรีชาวมีเดียนทั้งหมดมาเป็นเชลย พร้อมกับพวกเด็กเล็กทั้งหลาย และกวาดเอาฝูงวัวฝูงแพะแกะและข้าวของทั้งปวงไปสิ้น เป็นทรัพย์ที่ปล้นได้
พบญ 21.10 เมื่อท่านออกไปสู้รบกับศัตรูของท่าน และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงมอบเขาไว้ในมือของท่านแล้ว และท่านจับเขามาเป็นเชลย
พบญ 21.19 ให้บิดามารดาจับตัวเขาให้ออกมาหาพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้น ณ ประตูเมืองที่เขาอาศัยอยู่
พบญ 22.18 ให้พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นจับชายคนนั้นมาเฆี่ยน
พบญ 22.25 แต่ถ้าชายคนหนึ่งไปพบหญิงสาวที่คนอื่นหมั้นไว้แล้วที่กลางทุ่ง ชายคนนั้นจับตัวหญิงคนนั้นและได้ร่วมกับเธอ เฉพาะผู้ชายคนที่ร่วมกับเธอเท่านั้นจะต้องมีโทษถึงตาย
พบญ 22.28 ถ้าชายคนหนึ่งพบหญิงพรหมจารียังไม่มีคนหมั้น เขาจึงจับตัวเธอและได้ร่วมกับเธอมีผู้รู้เห็น
พบญ 23.15 ถ้ามีทาสหนีจากนายของเขามาอยู่กับท่าน อย่าจับทาสนั้นไปส่งนายของเขา
พบญ 24.7 ถ้าชายคนใดถูกเขาจับได้ว่าได้ลักพี่น้องคนอิสราเอลคนหนึ่งคนใดไปใช้เป็นทาสหรือขายเสีย ขโมยคนนั้นจะต้องมีโทษถึงตาย ดังนี้แหละท่านจะกำจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน
ยชว 7.14 พอรุ่งเช้าเจ้าทั้งหลายจงเข้ามาทีละตระกูล ตระกูลใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ต้องเข้ามาทีละครอบครัว ครอบครัวใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ให้เข้ามาทีละครัวเรือน ครัวเรือนใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ ก็ให้เข้ามาทีละคน
ยชว 7.15 ผู้ใดถูกจับว่ามีของที่ถูกสาปแช่งนั้น ก็ต้องถูกเผาเสียด้วยไฟ ทั้งตัวเขาและสารพัดที่เป็นของเขา เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และเพราะเขาได้กระทำความโง่เขลาในอิสราเอล”
ยชว 8.23 แต่กษัตริย์เมืองอัยยังเป็นอยู่ ได้ถูกจับและคุมตัวมาหาโยชูวา
ยชว 11.17 ตั้งแต่ภูเขาฮาลักที่สูงเรื่อยขึ้นไปถึงเสอีร์ ไกลไปจนถึงบาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนเชิงภูเขาเฮอร์โมน ท่านได้จับบรรดากษัตริย์แห่งเมืองเหล่านั้นมาประหารชีวิตเสีย
ยชว 18.11 จับได้สลากของตระกูลคนเบนยามินตามครอบครัวของเขาขึ้นมา และอาณาเขตที่เป็นส่วนของเขาอยู่ระหว่างคนยูดาห์ และคนโยเซฟ
วนฉ 1.6 อาโดนีเบเซกหนีไป แต่พวกเขาตามจับได้และได้ตัดนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วหัวแม่เท้าของท่านออกเสีย
วนฉ 7.25 จับโอเรบและเศเอบเจ้านายสองคนของพวกมีเดียนได้ เขาฆ่าโอเรบเสียที่ศิลาโอเรบ และฆ่าเศเอบเสียที่บ่อย่ำองุ่นชื่อเศเอบ แล้วก็ไล่ติดตามพวกมีเดียนไป และเขานำเอาศีรษะโอเรบและเศเอบมาให้กิเดโอนที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
วนฉ 8.12 เศบาห์และศัลมุนนาก็หนีไป กิเดโอนก็ไล่ติดตามไปจับเศบาห์กับศัลมุนนากษัตริย์พวกมีเดียนทั้งสององค์ได้ และทำกองทัพทั้งหมดให้แตกตื่น
วนฉ 8.14 จับชายหนุ่มชาวเมืองสุคคทได้คนหนึ่ง จึงซักถามเขา ชายคนนี้ก็เขียนชื่อเจ้านายและพวกผู้ใหญ่ของเมืองสุคคทให้ รวมเจ็ดสิบเจ็ดคนด้วยกัน
วนฉ 8.16 กิเดโอนก็จับพวกผู้ใหญ่ในเมืองเอาหนามใหญ่แห่งถิ่นกันดาร และหนามย่อยด้วย มาสั่งสอนชาวเมืองสุคคท
วนฉ 12.6 เขาจะบอกว่า “จงว่าคำว่าชิบโบเลท” คนนั้นจะว่า “สิบโบเลท” เพราะคนเอฟราอิมออกเสียงคำนี้ไม่ชัด เขาจึงจับคนนั้นและฆ่าเสียที่ท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน คราวนั้นมีคนเอฟราอิมตายสี่หมื่นสองพันคน
วนฉ 15.4 แซมสันจึงออกไปจับสุนัขจิ้งจอกสามร้อยตัว ผูกหางติดกันเป็นคู่ๆ แล้วเอาคบเพลิงผูกติดไว้ระหว่างหางทุกๆคู่
วนฉ 16.9 นางจัดคนให้ซุ่มอยู่ที่ห้องชั้นในกับนาง นางก็บอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว” แซมสันก็ดึงสายธนูที่มัดนั้นขาดเหมือนเชือกป่านขาดเมื่อได้กลิ่นไฟ เรื่องกำลังของท่านจึงยังไม่แจ้ง
วนฉ 16.12 เดลิลาห์จึงเอาเชือกใหม่มัดท่านไว้แล้วบอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว” และคนซุ่มคอยอยู่ในห้องชั้นใน แต่ท่านก็ดึงเชือกออกจากแขนเหมือนดึงเส้นด้าย
วนฉ 16.14 เดลิลาห์จึงเอาผมทั้งเจ็ดแหยมทอเข้ากับด้ายเส้นยืนกระทกด้วยฟืมให้แน่น แล้วนางบอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว” ท่านก็ตื่นขึ้นดึงฟืม หูกและด้ายเส้นยืนไปหมด
วนฉ 16.20 นางจึงบอกว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว” ท่านก็ตื่นขึ้นจากหลับบอกว่า “ฉันจะออกไปอย่างครั้งก่อนๆ และสลัดตัวให้หลุดไป” ท่านหาทราบไม่ว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงละท่านไปเสียแล้ว
วนฉ 16.21 คนฟีลิสเตียก็มาจับท่านทะลวงตาของท่านเสีย นำท่านลงมาที่กาซา เอาตรวนทองสัมฤทธิ์ล่ามไว้ และให้ท่านโม่แป้งอยู่ที่ในเรือนจำ
1ซมอ 15.8 ทรงจับอากักกษัตริย์ของคนอามาเลขได้ทั้งเป็น และได้ฆ่าฟันประชาชนเสียอย่างสิ้นเชิงด้วยคมดาบ
1ซมอ 17.35 ข้าพระองค์ก็ไล่ตามฆ่ามัน และช่วยลูกแกะนั้นให้พ้นมาจากปากของมัน ถ้ามันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จับหนวดเคราของมัน และทุบตีมันจนตาย
1ซมอ 18.9 ซาอูลก็ทรงใช้สายตาจับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป
1ซมอ 19.14 เมื่อซาอูลส่งผู้สื่อสารไปจับดาวิด มีคาลตอบว่า “เขาไม่สบาย”
1ซมอ 19.20 ซาอูลก็รับสั่งให้ผู้สื่อสารไปจับดาวิด และเมื่อเขาไปเห็นหมู่ผู้พยากรณ์กำลังพยากรณ์อยู่ และซามูเอลยืนเป็นหัวหน้าเขาทั้งหลาย พระวิญญาณของพระเจ้าก็มาสถิตกับผู้สื่อสารของซาอูล และเขาทั้งหลายก็พยากรณ์ด้วย
1ซมอ 23.26 ซาอูลเสด็จไปฟากภูเขาข้างนี้ ดาวิดกับคนของท่านอยู่ฟากภูเขาข้างโน้น ดาวิดก็รีบหนีจากพระพักตร์ซาอูล เพราะซาอูลกับคนของพระองค์มาล้อมรอบดาวิดกับคนของท่านเพื่อจะจับ
1ซมอ 30.2 และจับผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ในนั้นไปเป็นเชลยทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ไม่ได้ฆ่าผู้ใดเลย แต่กวาดต้อนไปตามทางของเขา
1ซมอ 30.20 ดาวิดยังจับได้บรรดาฝูงแพะแกะฝูงวัว และเขาไล่ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้าท่านกล่าวว่า “นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา”
2ซมอ 2.16 ต่างก็จับศีรษะคู่ต่อสู้ และปักดาบเข้าที่สีข้างของคู่ต่อสู้ ล้มตายด้วยกันหมด เขาจึงเรียกที่นั่นว่า เฮลขัทฮัสซูริม ซึ่งอยู่ในกิเบโอน
2ซมอ 2.21 อับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงเลี้ยวไปทางขวาหรือทางซ้าย และจับเอาคนหนุ่มคนใดคนหนึ่ง แล้วก็ริบเอาอาวุธของเขาไป” แต่อาสาเฮลไม่เลี้ยวจากไล่ตามอับเนอร์
2ซมอ 4.10 เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดบอกเราว่า ‘ดูเถิด ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว’ และคิดว่าตนนำข่าวดีมา เราก็จับคนนั้นฆ่าเสียที่ศิกลาก ซึ่งคนนั้นคิดว่าเราจะให้รางวัลแก่เขาสำหรับข่าวนั้น
2ซมอ 6.6 และเมื่อมาถึงลานนวดข้าวของนาโคน อุสซาห์ก็เหยียดมือออกจับหีบของพระเจ้าไว้เพราะวัวสะดุด
2ซมอ 10.4 ฮานูนจึงจับข้าราชการของดาวิดมาโกนเคราออกเสียครึ่งหนึ่งและตัดเครื่องแต่งกายของเขาออกเสียที่ตรงกลางตรงตะโพก แล้วปล่อยตัวไป
2ซมอ 13.11 แต่เมื่อเธอนำขนมมาใกล้เพื่อให้ท่านรับประทาน ท่านก็จับมือเธอไว้รับสั่งว่า “น้องของพี่เข้ามานอนกับพี่เถิด”
2ซมอ 15.5 เมื่อมีผู้ใดเข้ามาใกล้จะกราบถวายบังคมท่าน ท่านจะยื่นมือออกจับคนนั้นไว้และจุบเขา
2ซมอ 20.9 โยอาบจึงถามอามาสาว่า “พี่ชายเอ๋ย สบายดีหรือ” และโยอาบก็เอามือขวาจับเคราอามาสาจะจุบเขา
2ซมอ 22.17 พระองค์ทรงเอื้อมมาจากที่สูงทรงจับข้าพเจ้า พระองค์ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำมากหลาย
1พกษ 1.50 ฝ่ายอาโดนียาห์ก็กลัวซาโลมอน จึงลุกขึ้นไปจับเชิงงอนของแท่นบูชา
1พกษ 1.51 มีคนไปกราบทูลซาโลมอนว่า “ดูเถิด อาโดนียาห์กลัวกษัตริย์ซาโลมอน เพราะดูเถิด เธอจับเชิงงอนที่แท่นบูชาอยู่กล่าวว่า ‘ขอกษัตริย์ซาโลมอนได้ปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในวันนี้ว่า พระองค์จะไม่ประหารผู้รับใช้ของพระองค์เสียด้วยดาบ’”
1พกษ 2.28 เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงโยอาบ เพราะแม้ว่าโยอาบมิได้สนับสนุนอับซาโลม ท่านได้สนับสนุนอาโดนียาห์ โยอาบก็หนีไปที่พลับพลาของพระเยโฮวาห์และจับเชิงงอนแท่นบูชาไว้
1พกษ 8.46 ถ้าเขาทั้งหลายกระทำบาปต่อพระองค์ (เพราะไม่มีมนุษย์สักคนหนึ่งซึ่งมิได้กระทำบาป) และพระองค์ทรงกริ้วต่อเขา และทรงมอบเขาไว้กับศัตรู เขาจึงถูกจับไปเป็นเชลยยังแผ่นดินของศัตรูนั้น ไม่ว่าไกลหรือใกล้
1พกษ 8.47 แต่ถ้าเขาสำนึกผิดในใจในแผ่นดินซึ่งเขาได้ถูกจับไปเป็นเชลยและได้กลับใจ และได้ทำการวิงวอนต่อพระองค์ในแผ่นดินของผู้จับเขาไปเป็นเชลย ทูลว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาป และได้ประพฤติชั่วร้ายและได้กระทำความชั่ว’
1พกษ 8.48 ถ้าเขาทั้งหลายกลับมาหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของเขาในแผ่นดินแห่งศัตรูทั้งหลายของเขา ผู้ซึ่งจับเขาไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์ตรงต่อแผ่นดินของเขา ซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย คือเมืองซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้ และพระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์
1พกษ 8.50 และขอทรงประทานอภัยแก่ประชาชนของพระองค์ผู้ได้กระทำบาปต่อพระองค์ และทรงประทานอภัยต่อการละเมิดทั้งหลายของเขา ซึ่งเขาได้กระทำต่อพระองค์ และให้เขาเป็นที่เมตตาของคนเหล่านั้นที่จับเขาทั้งหลายไปเป็นเชลย เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความเมตตาจากเขา
1พกษ 11.30 แล้วอาหิยาห์ก็จับเสื้อใหม่ที่สวมอยู่ฉีกออกเป็นสิบสองชิ้น
1พกษ 13.4 และอยู่มาเมื่อกษัตริย์เยโรโบอัมทรงสดับคำกล่าวของคนของพระเจ้า ซึ่งร้องกล่าวโทษแท่นนั้นที่เบธเอล พระองค์ก็เหยียดพระหัตถ์ออกจากที่แท่น กล่าวว่า “จงจับเขาไว้” และพระหัตถ์ของพระองค์ซึ่งเหยียดออกต่อเขานั้นก็เหี่ยวแห้งไป พระองค์จะชักกลับเข้าหาตัวอีกก็ไม่ได้
1พกษ 18.40 และเอลียาห์บอกเขาว่า “จงจับผู้พยากรณ์ของพระบาอัล อย่าให้หนีไปได้สักคนเดียว” และเขาทั้งหลายก็ไปจับเขามา และเอลียาห์ก็นำเขาลงไปที่ลำธารคีโชนและฆ่าเขาเสียที่นั่น
1พกษ 19.21 และเอลีชาก็กลับจากติดตามเอลียาห์จับวัวคู่นั้นฆ่าเสียเอาเครื่องแอกต้มเนื้อวัว และให้แก่ประชาชนและเขาก็รับประทาน แล้วเอลีชาก็ลุกขึ้นตามเอลียาห์ไปและปรนนิบัติท่าน
1พกษ 20.18 ท่านจึงว่า “ถ้าเขาออกมาด้วยสันติจงจับเขามาเป็นๆ หรือถ้าเขาออกมาทำศึกจงจับเขามาเป็นๆ”
1พกษ 22.26 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงจับมีคายาห์พาเขากลับไปมอบให้อาโมนผู้ว่าราชการเมืองและแก่โยอาชราชโอรสกษัตริย์
2พกษ 2.12 เอลีชาก็เห็น และท่านได้ร้องว่า “คุณพ่อของข้าพเจ้า คุณพ่อของข้าพเจ้า รถรบของอิสราเอลและพลม้าประจำ” และท่านก็ไม่ได้เห็นเอลียาห์อีกเลย แล้วท่านก็จับเสื้อของตนฉีกออกเป็นสองท่อน
2พกษ 4.27 และเมื่อนางมายังภูเขาถึงคนแห่งพระเจ้าแล้ว นางก็เข้าไปกอดเท้าของท่าน เกหะซีจึงเข้ามาจะจับนางออกไป แต่คนแห่งพระเจ้าบอกว่า “ปล่อยเขาเถอะ เพราะนางมีใจทุกข์หนัก และพระเยโฮวาห์ทรงซ่อนเรื่องนี้จากฉัน หาได้ตรัสสำแดงแก่ฉันไม่”
2พกษ 5.2 ฝ่ายคนซีเรียยกพวกไปปล้นครั้งหนึ่งนั้น ได้จับเด็กหญิงคนหนึ่งมาจากแผ่นดินอิสราเอลมาเป็นเชลย และเธอมาปรนนิบัติภรรยาของนาอามาน
2พกษ 6.13 พระองค์จึงตรัสว่า “จงไปหาดูว่า เขาอยู่ที่ไหน เพื่อเราจะใช้คนไปจับเขามา” มีคนทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในโดธาน”
2พกษ 6.22 ท่านก็ทูลตอบว่า “ขอพระองค์อย่าทรงประหารเขาเสีย พระองค์จะประหารคนที่จับมาเป็นเชลยเสียด้วยดาบและด้วยธนูของพระองค์หรือ ขอทรงโปรดจัดอาหารและน้ำต่อหน้าเขา เพื่อให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้เขาไปหาเจ้านายของเขาเถิด”
2พกษ 7.12 กษัตริย์ก็ทรงตื่นบรรทมในกลางคืน และตรัสกับข้าราชการว่า “เราจะบอกให้ว่าคนซีเรียเตรียมสู้รบเราอย่างไร เขาทั้งหลายรู้อยู่ว่าเราหิว เขาจึงออกไปซ่อนตัวอยู่นอกค่ายที่กลางทุ่งคิดว่า ‘เมื่อเขาออกมาจากในเมืองเราจะจับเขาทั้งเป็น แล้วจะเข้าไปในเมือง’”
2พกษ 8.12 และฮาซาเอลถามว่า “เหตุใดเจ้านายของข้าพเจ้าจึงร้องไห้” ท่านตอบว่า “เพราะข้าพเจ้าทราบถึงเหตุร้ายซึ่งท่านจะกระทำต่อประชาชนอิสราเอล ท่านจะเอาไฟเผาป้อมปราการของเขาเสีย และท่านจะสังหารคนหนุ่มๆเสียด้วยดาบ และจับเด็กๆโยนลง และผ่าท้องหญิงที่มีครรภ์เสีย”
2พกษ 10.7 และอยู่มาเมื่อลายพระหัตถ์มาถึงเขาทั้งหลาย เขาก็จับโอรสของกษัตริย์ฆ่าเสียเจ็ดสิบองค์ด้วยกัน เอาศีรษะใส่ตะกร้าส่งไปยังพระองค์ที่ยิสเรเอล
2พกษ 10.14 พระองค์รับสั่งว่า “จับเขาทั้งเป็น” เขาทั้งหลายก็จับเขาทั้งเป็นและประหารเขาเสียที่บ่อโรงตัดขนแกะสี่สิบสองคนด้วยกัน ไม่เหลือไว้สักคนเดียว
2พกษ 10.15 และเมื่อพระองค์เสด็จจากที่นั่นก็ทรงพบเยโฮนาดับบุตรชายเรคาบมาหาพระองค์ พระองค์ทรงต้อนรับเขาและตรัสกับเขาว่า “จิตใจของท่านซื่อตรงต่อจิตใจของฉัน อย่างจิตใจของฉันตรงต่อจิตใจของท่านหรือ” และเยโฮนาดับทูลว่า “ตรง พระเจ้าข้า” เยฮูตรัสว่า “ถ้าตรงก็ยื่นมือมาให้เรา” เขาจึงยื่นมือของเขา และเยฮูก็จับเขาขึ้นมาบนรถรบ
2พกษ 11.16 เขาทั้งหลายจึงจับพระนาง และพระนางก็ไปตามทางที่ม้าเข้าพระราชวัง และถูกประหารเสียที่นั่น
2พกษ 14.13 และเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็จับอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์โอรสของเยโฮอาชโอรสของอาหัสยาห์ได้ที่เมืองเบธเชเมช และได้เสด็จมายังเยรูซาเล็ม และทลายกำแพงเยรูซาเล็มลงเสียสี่ร้อยศอก ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมจนถึงประตูมุม
2พกษ 16.9 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ทรงฟังพระองค์ กษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ทรงยกทัพขึ้นไปยังดามัสกัสและยึดได้ จับประชาชนเมืองนั้นไปเป็นเชลยยังเมืองคีร์ และทรงประหารเรซีนเสีย
2พกษ 23.33 และฟาโรห์เนโคก็จับพระองค์ขังไว้ที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท เพื่อมิให้พระองค์ครอบครองในเยรูซาเล็ม และกำหนดบรรณาการจากแผ่นดินนั้นเป็นเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ และทองคำหนึ่งตะลันต์
2พกษ 24.12 และเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงมอบพระองค์แก่กษัตริย์แห่งบาบิโลน พระองค์เอง และพระมารดาของพระองค์ และข้าราชการของพระองค์ และเจ้านายของพระองค์ และข้าราชสำนักของพระองค์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนจับพระองค์เป็นนักโทษในปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์
2พกษ 24.15 และพระองค์นำเยโฮยาคีนไปยังบาบิโลน ทั้งพระชนนี บรรดาพระมเหสี ข้าราชสำนักของพระองค์ และบุคคลชั้นหัวหน้าของแผ่นดิน พระองค์จับเป็นเชลยจากกรุงเยรูซาเล็มถึงบาบิโลน
2พกษ 25.6 แล้วเขาจึงจับกษัตริย์นำขึ้นมายังกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ และพวกเขาได้พิพากษาพระองค์
2พกษ 25.18 และผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็จับเสไรอาห์ปุโรหิตผู้ใหญ่และเศฟันยาห์ปุโรหิตที่สอง กับผู้รักษาธรณีประตูสามคนไปด้วย
2พกษ 25.19 และจากเมืองนั้นท่านได้จับข้าราชสำนักซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพ กับที่ปรึกษาของกษัตริย์อีกห้าคนที่พบในเมืองนั้น และเลขาธิการคือผู้บัญชาการกองทัพผู้เกณฑ์ประชาชนแห่งแผ่นดิน และอีกหกสิบคนจากประชาชนแห่งแผ่นดินซึ่งพบในเมือง
2พกษ 25.20 และเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับคนเหล่านี้ไป พามาถึงกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์
1พศด 19.4 ฮานูนจึงจับข้าราชการของดาวิดและโกนเขาเสีย และตัดเครื่องแต่งกายของเขาออกเสียที่ตรงกลางตรงตะโพก แล้วปล่อยตัวไป
2พศด 6.36 ถ้าเขาทั้งหลายกระทำบาปต่อพระองค์ (เพราะไม่มีมนุษย์สักคนหนึ่งซึ่งมิได้กระทำบาป) และพระองค์ทรงกริ้วต่อเขา และพระองค์ทรงมอบเขาไว้ต่อหน้าศัตรู เขาจึงถูกจับไปเป็นเชลยยังแผ่นดินหนึ่งไม่ว่าไกลหรือใกล้
2พศด 6.37 แต่ถ้าเขาสำนึกผิดในใจในแผ่นดินซึ่งเขาได้ถูกจับไปเป็นเชลย และได้กลับใจและได้อธิษฐานต่อพระองค์ในแผ่นดินที่เขาไปเป็นเชลย ทูลว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาป และได้ประพฤติชั่วร้ายและได้กระทำความชั่ว’
2พศด 16.10 และอาสาก็ทรงกริ้วต่อผู้ทำนายนั้น และจับเขาจำไว้ในคุก เพราะพระองค์ทรงเกรี้ยวกราดแก่เขาในเรื่องนี้ และอาสาทรงข่มเหงประชาชนบางคนในเวลาเดียวกันนั้นด้วย
2พศด 18.25 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงจับมีคายาห์ พาเขากลับไปมอบให้อาโมนผู้ว่าราชการเมือง และแก่โยอาชราชโอรส
2พศด 22.9 ท่านได้ค้นหาอาหัสยาห์ และพระองค์ก็ถูกจับ (เมื่อซ่อนพระองค์อยู่ในสะมาเรีย) และเขาพาพระองค์มาหาเยฮู และประหารชีวิตพระองค์เสีย เขาทั้งหลายก็ฝังพระศพไว้ เพราะเขาทั้งหลายกล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหลานเธอของเยโฮชาฟัท ผู้แสวงหาพระเยโฮวาห์ด้วยสิ้นสุดพระทัยของพระองค์” และราชวงศ์ของอาหัสยาห์ไม่มีผู้ใดสามารถปกครองราชอาณาจักรได้
2พศด 23.15 เขาจึงจับพระนาง แล้วพระนางก็เสด็จไปที่ทางเข้าประตูม้า ณ พระราชวังและเขาทั้งหลายก็ประหารพระนางเสียที่นั่น
2พศด 25.12 คนยูดาห์จับเป็นได้หนึ่งหมื่นคน และพาเขาไปที่ยอดหิน และทิ้งเขาทั้งหลายลงมาจากยอดหินนั้น เขาก็ตกมาแหลกเป็นชิ้นๆ
2พศด 25.23 โยอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงจับอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์โอรสของโยอาช โอรสของเยโฮอาหาสที่เบธเชเมช และนำพระองค์มายังเยรูซาเล็ม และทรงพังกำแพงเยรูซาเล็มลงสี่ร้อยศอก ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมถึงประตูมุม
2พศด 28.5 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์จึงทรงมอบพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์แห่งซีเรียผู้ทรงชนะพระองค์ และจับประชาชนของพระองค์เป็นเชลยจำนวนมากนำมายังดามัสกัส และพระองค์ทรงถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์แห่งอิสราเอล ผู้ชนะพระองค์ด้วยการฆ่าฟันอย่างใหญ่หลวง
2พศด 28.8 คนอิสราเอลได้จับญาติพี่น้องของตนเป็นเชลยสองแสนคน มีผู้หญิง บุตรชาย และบุตรสาว และได้ริบของเป็นอันมากมาจากเขานำมายังสะมาเรีย
2พศด 28.17 เพราะคนเอโดมได้บุกรุกเข้ามาอีก และโจมตียูดาห์ และจับไปเป็นเชลยบ้าง
2พศด 30.9 เพราะถ้าท่านทั้งหลายหันกลับมายังพระเยโฮวาห์ พี่น้องของท่านและลูกหลานของท่านจะประสบความเอ็นดูจากผู้ที่จับเขาไปเป็นเชลย และจะได้กลับมายังแผ่นดินนี้อีก เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระเมตตาและกรุณา ถ้าท่านกลับมาหาพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงหันพระพักตร์ไปจากท่าน”
2พศด 33.11 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงให้ผู้บังคับกองทหารของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาต่อสู้เขาทั้งหลาย ได้จับมนัสเสห์ท่ามกลางพงหนามและจองจำด้วยตรวนและนำพระองค์มายังบาบิโลน
2พศด 36.4 และกษัตริย์แห่งอียิปต์ตั้งให้เอลียาคิมพระอนุชาของพระองค์เป็นกษัตริย์เหนือยูดาห์และเยรูซาเล็ม และทรงเปลี่ยนพระนามของพระองค์ใหม่ว่า เยโฮยาคิม แต่เนโคทรงจับเยโฮอาหาสพระเชษฐานำไปยังอียิปต์
นหม 13.21 ข้าพเจ้าได้ตักเตือนเขา และพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านมานอนอยู่ข้างกำแพงเมือง ถ้าท่านทำอีกข้าพเจ้าจะจับท่าน” ตั้งแต่คราวนั้นมาเขาก็ไม่มาอีกในวันสะบาโต
อสธ 9.2 พวกยิวก็ชุมนุมกันในบรรดาหัวเมืองตลอดทั่วทุกมณฑลของกษัตริย์อาหสุเอรัส เพื่อจะจับพวกที่หาช่องทำร้ายเขา ไม่มีผู้ใดต่อต้านพวกเขาได้ เพราะความกลัวเขาครอบงำเหนือชนชาติทั้งปวง
โยบ 5.13 พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง และคำปรึกษาของคนหลักแหลมก็สิ้นลงโดยด่วน
โยบ 10.6 ที่พระองค์ทรงคอยจับความชั่วช้าข้าพระองค์ และค้นหาบาปของข้าพระองค์
โยบ 21.6 เมื่อข้าระลึกถึงเรื่องนี้ข้าก็ตระหนกตกใจ และความสั่นสะท้านก็จับเนื้อของข้า
โยบ 36.17 แต่ท่านก็สมกับการพิพากษาคนชั่ว การพิพากษาและความเที่ยงธรรมมาทันจับท่าน
โยบ 38.13 เพื่อมันจะจับปลายแผ่นดินโลก และสลัดคนชั่วออกไปเสียจากโลก
โยบ 41.6 เพื่อนฝูงจะมาจับและกินมันได้หรือ เขาทั้งหลายจะแบ่งกันท่ามกลางพวกพ่อค้าหรือ
โยบ 41.8 ลงมือจับมันดู เมื่อคิดถึงการต่อสู้กับมันแล้ว เจ้าจะไม่คิดทำอีก
สดด 10.9 เขาซุ่มอยู่ในที่ลับเหมือนสิงโตอยู่ในที่กำบัง เขาซุ่มอยู่เพื่อจับคนยากจน แล้วเขาฉุดลากคนยากจนมาด้วยตาข่ายของเขา
สดด 18.16 พระองค์ทรงเอื้อมมาจากที่สูงทรงจับข้าพเจ้า พระองค์ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำอันมากหลาย
สดด 73.23 ถึงกระนั้นก็ดี ข้าพระองค์อยู่กับพระองค์เสมอ พระองค์ทรงจับมือขวาของข้าพระองค์ไว้
สดด 77.4 พระองค์ทรงจับหนังตาของข้าพระองค์ไว้ไม่ให้ปิด ข้าพระองค์ทุกข์มากจนพูดไม่ออก
สดด 116.3 ความเศร้าโศกแห่งความตายมาล้อมข้าพเจ้าอยู่ ความเจ็บปวดแห่งนรกจับข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าประสบความทุกข์ใจและความระทม
สภษ 6.5 จงปลีกตัวของเจ้าจากภัย อย่างละมั่งที่ปลีกตัวจากมือของพราน อย่างนกจากมือของคนจับนก
สภษ 6.25 อย่าปรารถนาความงามของนางอยู่ในใจของเจ้า อย่าให้นางจับเจ้าด้วยหนังตาของนาง
สภษ 6.31 แต่ถ้าจับเขาได้ เขาต้องชำระคืนเจ็ดเท่า เขาจะต้องให้สิ่งของทั้งสิ้นในบ้านของเขา
สภษ 11.6 ความชอบธรรมของคนเที่ยงธรรมย่อมช่วยเขาให้พ้น แต่คนละเมิดจะถูกราคะของเขาจับเป็นเชลย
สภษ 26.17 บุคคลที่กำลังผ่านไปและเข้ายุ่งในการทะเลาะวิวาทซึ่งไม่ใช่เรื่องของเขาเองก็เหมือนคนจับหูสุนัข
สภษ 28.17 คนใดที่ทำรุนแรงเรื่องโลหิตของคนอื่น คนนั้นก็เป็นคนหลบหนีอยู่จนลงไปสู่ปากแดน อย่าให้ใครจับเขาเลย
สภษ 30.28 แมงมุมนั้น เจ้าเอามือจับได้ แต่มันยังอยู่ในพระราชวัง
สภษ 31.19 เธอยื่นมือออกจับไน และมือของเธอจับเครื่องปั่น
ปญจ 7.26 ข้าพเจ้าได้พบอีกสิ่งหนึ่งซึ่งขมขื่นยิ่งกว่าความตาย คือผู้หญิงที่มีใจเป็นบ่วงแร้วและข่าย มือของนางเป็นโซ่ตรวน คนใดเป็นคนที่พอพระทัยพระเจ้า คนนั้นจะหนีพ้นนาง แต่คนบาปจะถูกผู้หญิงคนนั้นจับเอาไป
ปญจ 9.10 มือของเจ้าจับทำการงานอะไร จงกระทำการนั้นด้วยเต็มกำลังของเจ้า เพราะว่าในแดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้นไม่มีการงาน หรือแนวความคิด หรือความรู้ หรือสติปัญญา
ปญจ 9.12 เพราะว่ามนุษย์ไม่รู้วาระของตน ปลาติดอยู่ในอวนอันร้ายฉันใด และนกถูกดักติดอยู่ในบ่วงแร้วฉันใด วาระอันร้ายก็มาถึงบุตรทั้งหลายของมนุษย์ เขาก็ถูกวาระอันร้ายนั้นดักจับติดโดยฉับพลันเหมือนกันฉันนั้น
พซม 2.15 จงจับสุนัขจิ้งจอกมาให้เรา คือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กที่ทำลายสวนองุ่น เพราะว่าสวนองุ่นของเรากำลังมีดอกช่อแล้ว”
พซม 3.4 พอดิฉันผ่านพลตระเวนพ้นมาหน่อยเดียว ดิฉันก็พบเขาผู้นั้นที่ดวงใจของดิฉันรักใคร่ ดิฉันจับตัวเขากุมไว้แน่น และไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดไปเลย จนดิฉันพาเขาให้เข้ามาในเรือนของมารดาดิฉัน และให้เข้ามาในห้องของผู้ที่ให้ดิฉันได้ปฏิสนธิ
พซม 5.12 ตาของเขาเปรียบเหมือนตานกเขาที่ริมห้วยอาบน้ำนม และจับอยู่ที่ริมกระแสน้ำเต็มฝั่ง
พซม 7.8 ฉันจึงคิดว่า ฉันจะปีนขึ้นต้นอินทผลัมนั้น ฉันจะจับพวงเหนี่ยวไว้ ขอให้ถันทั้งสองของเธองามดังพวงองุ่นเถอะ และขอให้ลมหายใจของเธอหอมดังผลแอบเปิ้ลเถิด
อสย 8.15 และคนเป็นอันมากในพวกเขาจะสะดุดหินนั้น เขาทั้งหลายจะล้มลงและแตกหัก เขาจะติดบ่วงและถูกจับไป”
อสย 14.2 และชนชาติทั้งหลายจะรับเขาและนำเขาทั้งหลายมายังที่ของเขา และวงศ์วานของอิสราเอลจะมีกรรมสิทธิ์ในเขา เป็นทาสชายหญิงในแผ่นดินของพระเยโฮวาห์ ผู้ที่จับเขาเป็นเชลยจะถูกเขาจับเป็นเชลย และจะปกครองผู้ที่เคยบีบบังคับเขา
อสย 22.3 ผู้ครองเมืองของเจ้าทั้งหมดหนีกันไปแล้ว เขาถูกจับได้โดยนายธนู ชายฉกรรจ์ของเจ้าทุกคนถูกจับแม้ว่าเขาได้หนีไปไกลแล้ว
อสย 28.13 เพราะฉะนั้นพระวจนะของพระเยโฮวาห์จึงเป็นอย่างนี้แก่เขา เป็นข้อบังคับซ้อนข้อบังคับ ข้อบังคับซ้อนข้อบังคับ เป็นบรรทัดซ้อนบรรทัด บรรทัดซ้อนบรรทัด ที่นี่นิด ที่นั่นหน่อย เพื่อเขาจะไปและถอยหลัง และจะแตก และจะติดบ่วงและจะถูกจับไป
อสย 45.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้คือไซรัส ผู้ซึ่งเราได้จับมือขวาไว้ เพื่อปราบหลายประชาชาติให้อยู่ข้างหน้าท่าน และให้ปลดรัดประคดจากบั้นเอวของบรรดากษัตริย์ ให้เปิดประตูทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าท่านและมิให้ประตูเมืองปิด ดังนี้ว่า
อสย 47.2 จับโม่เข้า โม่แป้งซี เอาผ้าคลุมหน้าของเจ้าออกเสีย ถอดเสื้อคลุมของเจ้าเสีย ไม่ต้องคลุมขาของเจ้า ลุยน้ำไป
ยรม 2.5 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “บรรพบุรุษของเจ้าจับความชั่วช้าอะไรได้ในเราเล่า เขาจึงไปห่างเสียจากเรา และไปดำเนินตามสิ่งไร้ค่า และได้กลายเป็นสิ่งไร้ค่า
ยรม 2.26 เมื่อโจรถูกจับมีความละอายฉันใด วงศ์วานของอิสราเอลก็จะละอายฉันนั้น ทั้งตัวเขา กษัตริย์ เจ้านาย ปุโรหิตและผู้พยากรณ์ทั้งหลายของเขา
ยรม 6.23 เขาทั้งหลายจะจับคันธนูและหอก เขาทั้งหลายดุร้ายและไม่มีความสงสาร เสียงของเขาก็เหมือนเสียงทะเลกำเริบ เขาทั้งหลายขี่ม้า และจัดเตรียมกระบวนเหมือนชายที่จะเข้าสงคราม โอ บุตรสาวศิโยนเอ๋ย เขาทั้งหลายมาต่อสู้เจ้า”
ยรม 6.24 พวกเราได้ยินกิตติศัพท์พวกนั้น มือของเราก็อ่อนลง อย่างช่วยไม่ได้ความแสนระทมได้จับเราไว้เป็นความเจ็บเหมือนสตรีกำลังคลอดบุตร
ยรม 8.9 คนมีปัญญาจะได้รับความอาย เขาจะคร้ามกลัวและถูกจับตัวไป ดูเถิด เขาได้ปฏิเสธพระวจนะของพระเยโฮวาห์ และปัญญาอย่างใดมีในตัวเขาเล่า
ยรม 16.16 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ดูเถิด เราจะส่งชาวประมงมาเป็นอันมาก และเขาจะจับเขาทั้งหลาย ภายหลังเราจะให้เขาพาพรานมาเป็นอันมาก พรานจะล่าเขาทั้งหลายตามภูเขาทุกแห่งและตามเนินเขาทุกลูกและตามซอกหิน
ยรม 20.2 ปาชเฮอร์ก็ตีเยเรมีย์ผู้พยากรณ์และจับท่านใส่คา ซึ่งตั้งอยู่ทางประตูเบนยามินด้านบนแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
ยรม 22.12 ท่านจะสิ้นชีวิตในที่ซึ่งเขาจับท่านไปเป็นเชลย และท่านจะไม่เห็นแผ่นดินนี้อีกเลย”
ยรม 24.1 หลังจากเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้จับเยโคนิยาห์ราชบุตรของเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ไปเป็นเชลยเสียจากเยรูซาเล็ม พร้อมกับเจ้านายแห่งยูดาห์ ทั้งพวกช่างไม้และช่างเหล็ก และนำเขามายังกรุงบาบิโลนแล้ว พระเยโฮวาห์ก็ทรงสำแดงนิมิตแก่ข้าพเจ้าดังนี้ ดูเถิด มีกระจาดสองลูกใส่มะเดื่อ วางไว้หน้าพระวิหารของพระเยโฮวาห์
ยรม 26.8 และต่อมาเมื่อเยเรมีย์ได้จบคำพูดทั้งสิ้นซึ่งพระเยโฮวาห์ได้บัญชาท่านให้พูดแก่บรรดาประชาชนนั้น พวกปุโรหิตและผู้พยากรณ์และประชาชนทั้งสิ้นได้จับเยเรมีย์กล่าวว่า “เจ้าจะต้องตายแน่
ยรม 26.23 และเขาทั้งหลายจับอุรีอาห์มาจากอียิปต์ และนำท่านมาถวายกษัตริย์เยโฮยาคิม พระองค์ทรงประหารท่านเสียด้วยดาบ และโยนศพเข้าไปในที่ฝังศพของคนสามัญ”
ยรม 27.20 ที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนมิได้ริบเอาไป เมื่อท่านได้จับเอาเยโคนิยาห์ราชบุตรของเยโฮยาคิมกษัตริย์ของยูดาห์ และบรรดาขุนนางของยูดาห์และเยรูซาเล็มถูกกวาดต้อนจากกรุงเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลน
ยรม 29.26 ‘พระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำเจ้าให้เป็นปุโรหิตแทนเยโฮยาดาปุโรหิต ให้เป็นเจ้าหน้าที่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ควบคุมคนบ้าทุกคนที่ตั้งตัวเองเป็นผู้พยากรณ์ ให้จับเขาใส่คุกและใส่คา’
ยรม 34.3 ท่านจะไม่รอดไปจากมือของเขา แต่จะถูกจับแน่และถูกมอบไว้ในมือของเขา ท่านจะได้เห็นกษัตริย์แห่งบาบิโลนตาต่อตา และจะได้พูดกันปากต่อปาก และท่านจะต้องไปยังบาบิโลน’
ยรม 34.11 แต่ภายหลังเขาได้หวนกลับ และจับทาสชายและหญิงซึ่งเขาได้ปล่อยให้เป็นอิสระนั้นมาให้อยู่ใต้บังคับของการเป็นทาสชายและหญิงอีก
ยรม 34.16 แต่แล้วเจ้าก็หวนกลับกระทำให้นามของเราเป็นมลทิน ในเมื่อเจ้าทุกคนจับทาสชายหญิงของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ปล่อยให้เป็นอิสระไปตามความปรารถนาของเขาทั้งหลายแล้วนั้นกลับมาให้อยู่ใต้บังคับของการเป็นทาสชายและหญิงอีก
ยรม 36.26 กษัตริย์ทรงบัญชาให้เยราเมเอลบุตรชายฮามเมเลค และเสไรอาห์บุตรชายอัสรีเอล และเชเลมิยาห์บุตรชายอับเดเอล ให้จับบารุคเสมียนและเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ แต่พระเยโฮวาห์ทรงซ่อนท่านทั้งสองเสีย
ยรม 37.13 เมื่อท่านอยู่ที่ประตูเบนยามิน ทหารยามคนหนึ่งอยู่ที่นั่น ชื่ออิรียาห์บุตรชายเชเลมิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายฮานันยาห์ได้จับเยเรมีย์ผู้พยากรณ์กล่าวว่า “ท่านกำลังหนีไปหาคนเคลเดีย”
ยรม 37.14 และเยเรมีย์ตอบว่า “ไม่จริงเลย ข้าพเจ้ามิได้กำลังหนีไปหาคนเคลเดีย” แต่อิรียาห์ไม่ฟังท่าน และจับเยเรมีย์นำมาหาพวกเจ้านาย
ยรม 38.6 เขาจึงจับเยเรมีย์หย่อนลงไปในคุกใต้ดินของมัลคิยาห์บุตรชายฮามเมเลคซึ่งอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์ เขาเอาเชือกหย่อนเยเรมีย์ลงไป ในคุกใต้ดินนั้นไม่มีน้ำ มีแต่โคลน และเยเรมีย์ก็จมลงไปในโคลน
ยรม 38.23 เขาจะพาบรรดาสนมและมเหสีและบุตรของพระองค์ไปให้คนเคลเดีย และพระองค์เองก็จะไม่ทรงรอดไปจากมือของเขาทั้งหลาย แต่พระองค์จะถูกกษัตริย์แห่งบาบิโลนจับได้ และพระองค์จะเป็นเหตุที่พวกเขาเผากรุงนี้เสียด้วยไฟ”
ยรม 39.5 แต่กองทัพของคนเคลเดียได้ติดตามเขาทั้งหลาย ไปทันเศเดคียาห์ที่ราบเมืองเยรีโค และเมื่อเขาทั้งหลายจับท่านได้แล้ว เขาได้นำท่านไปยังเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ตำบลริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท และพระองค์ก็พิพากษาโทษท่าน
ยรม 39.9 แล้วเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับส่วนประชาชนที่เหลืออยู่ในกรุงเป็นเชลยพาไปยังบาบิโลน ทั้งคนที่เล็ดลอด คือคนที่เล็ดลอดมาหาท่าน และส่วนคนที่เหลืออยู่
ยรม 40.1 พระวจนะซึ่งมาจากพระเยโฮวาห์ถึงเยเรมีย์ หลังจากที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ปล่อยให้ท่านไปจากรามาห์ ครั้งเมื่อเขาจับท่านตีตรวนมาพร้อมกับบรรดาเชลยพวกกรุงเยรูซาเล็มและยูดาห์ ผู้ที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยยังบาบิโลน
ยรม 41.10 แล้วอิชมาเอลก็จับคนทั้งหมดที่เหลืออยู่ในมิสปาห์ไปเป็นเชลย คือพวกราชธิดาและประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่ที่มิสปาห์ ผู้ที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้มอบหมายให้แก่เกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัม อิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ได้จับเขาเป็นเชลย และออกเดินข้ามฟากไปหาคนอัมโมน
ยรม 41.14 ประชาชนทั้งปวงซึ่งอิชมาเอลจับเป็นเชลยมาจากมิสปาห์จึงหันหลังและกลับไป เขาไปหาโยฮานันบุตรชายคาเรอาห์
ยรม 46.20 อียิปต์เป็นเหมือนวัวสาวตัวงาม แต่การทำลายจากทิศเหนือมาจับเธอ
ยรม 48.41 เคริโอทถูกจับไปและที่กำบังเข้มแข็งถูกยึด จิตใจของบรรดานักรบแห่งโมอับในวันนั้นจะเหมือนจิตใจของผู้หญิงซึ่งกำลังเจ็บครรภ์คลอดบุตร
ยรม 48.46 โอ โมอับเอ๋ย วิบัติแก่เจ้า ชนชาติแห่งพระเคโมชกำลังวอดวายอยู่แล้ว เพราะบรรดาบุตรชายของเจ้าถูกจับไปเป็นเชลย และบุตรสาวของเจ้าก็เข้าในความเป็นเชลย
ยรม 49.24 เมืองดามัสกัสก็อ่อนเพลียแล้ว เธอหันหนีและความกลัวจนตัวสั่นจับเธอไว้ ความแสนระทมและความเศร้ายึดเธอไว้อย่างผู้หญิงกำลังคลอดบุตร
ยรม 50.24 โอ บาบิโลนเอ๋ย เราวางบ่วงดักเจ้าและเจ้าก็ติดบ่วงนั้น และเจ้าไม่รู้เรื่อง เขามาพบเจ้าและจับเจ้า เพราะเจ้าได้ขันสู้กับพระเยโฮวาห์
ยรม 50.33 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ประชาชนอิสราเอลและประชาชนยูดาห์ถูกบีบบังคับด้วยกัน บรรดาผู้ที่จับเขาทั้งหลายไปเป็นเชลยได้ยึดเขาไว้มั่น เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไป
ยรม 50.42 เขาทั้งหลายจะจับคันธนูและหอก เขาทั้งหลายดุร้าย และจะไม่มีความกรุณา เสียงของเขาทั้งหลายจะเหมือนเสียงทะเลคะนอง เขาทั้งหลายจะขี่ม้า เรียงรายกันเป็นคนเข้าสู้สงครามกับเจ้านะ โอ บุตรสาวแห่งบาบิโลนเอ๋ย
ยรม 50.43 กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ยินข่าวเรื่องนั้น และพระหัตถ์ของพระองค์ก็อ่อนลง ความแสนระทมจับหัวใจเขา เจ็บปวดอย่างผู้หญิงกำลังคลอดบุตร
ยรม 50.46 แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนเพราะเสียงของการที่บาบิโลนถูกจับเป็นเชลย และเสียงคร่ำครวญดังไปท่ามกลางบรรดาประชาชาติ”
ยรม 51.41 เชชักถูกยึดแล้วหนอ ซึ่งเป็นที่สรรเสริญของทั่วแผ่นดินโลกถูกจับแล้วเล่า บาบิโลนได้กลายเป็นที่น่าตกตะลึงท่ามกลางบรรดาประชาชาติเสียแล้วหนอ
ยรม 52.9 และเขาก็จับกษัตริย์ นำขึ้นมาถวายแก่กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ตำบลริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท และกษัตริย์ก็ได้พิพากษาโทษท่าน
ยรม 52.15 และเนบูซาระดานผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ ได้จับประชาชนบางคนที่ยากจนและประชาชนที่เหลืออยู่ ผู้ซึ่งเหลืออยู่ในกรุง และผู้ที่หลบหนี ผู้หนีไปหากษัตริย์แห่งบาบิโลนพร้อมกับฝูงชนที่เหลืออยู่ไปเป็นเชลย
ยรม 52.24 และผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับเสไรอาห์ปุโรหิตใหญ่ และเศฟันยาห์ปุโรหิตที่สอง และผู้เฝ้าธรณีประตูอีกสามคน
ยรม 52.25 และจากกรุงนั้นท่านจับขันทีคนหนึ่ง ผู้บังคับทหาร และที่ปรึกษาของกษัตริย์เจ็ดคน ซึ่งพบอยู่ในกรุงนั้น และเลขานุการของผู้บังคับบัญชาของกองทัพ ผู้ซึ่งเกณฑ์ประชาชนแห่งแผ่นดิน และประชาชนแห่งแผ่นดินอีกหกสิบคนซึ่งพบอยู่ท่ามกลางกรุงนั้น
ยรม 52.26 และเนบูซาระดานผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ได้จับคนเหล่านี้นำไปถวายกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ตำบลริบลาห์
ยรม 52.28 ต่อไปนี้เป็นจำนวนประชาชนซึ่งเนบูคัดเนสซาร์จับไปเป็นเชลย ในปีที่เจ็ด พวกยิวสามพันยี่สิบสามคน
ยรม 52.30 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาลเนบูคัดเนสซาร์ เนบูซาระดานผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์จับยิวเป็นเชลยเจ็ดร้อยสี่สิบห้าคน รวมคนทั้งหมดเป็นสี่พันกับหกร้อยคน
พคค 4.14 เขาทั้งหลายเดินเปะปะและตาบอดไปตามถนน ทำตัวให้มลทินด้วยโลหิต จนคนจะจับต้องไม่ได้ที่เสื้อผ้าของเขา
พคค 4.19 พวกที่ข่มเหงเราก็เร็วกว่านกอินทรีในท้องฟ้า เขาทั้งหลายวิ่งไล่กวดพวกเราบนภูเขา เขาทั้งหลายซุ่มคอยจับเราในถิ่นทุรกันดาร
อสค 8.3 ท่านยื่นส่วนที่มีสัณฐานเป็นมือนั้นออกมาจับผมของข้าพเจ้าปอยหนึ่ง และพระวิญญาณได้ยกข้าพเจ้าขึ้นระหว่างพิภพและสวรรค์ และนำข้าพเจ้ามาถึงเยรูซาเล็มในนิมิตของพระเจ้า มายังทางเข้าประตูด้านเหนือของลานชั้นใน ซึ่งเป็นที่ตั้งรูปของความหวงแหน ซึ่งกระทำให้บังเกิดความหวงแหน
อสค 19.3 เธอเลี้ยงลูกสิงโตตัวหนึ่งให้เติบโตขึ้น กลายเป็นสิงโตหนุ่ม มันฝึกหัดจับเหยื่อและมันกินคน
อสค 19.4 ประชาชาติได้ยินเรื่องของมัน เขาก็จับมันได้ในหลุมพรางของเขา เขาจูงมันมาด้วยโซ่มายังแผ่นดินอียิปต์
อสค 19.6 มันไปๆมาๆท่ามกลางสิงโตและกลายเป็นสิงโตหนุ่ม และมันฝึกหัดจับเหยื่อ มันกินคน
อสค 19.8 แล้วบรรดาประชาชาติก็ล้อมต่อสู้มันทุกด้านจากแว่นแคว้นทั้งปวง เขาทั้งหลายกางข่ายออกคลุมมัน มันก็ถูกจับอยู่ในหลุมพรางของเขาทั้งหลาย
อสค 21.23 และจะเป็นเหมือนคำทำนายเท็จสำหรับคนเหล่านั้นในสายตาของเขา คือคนเหล่านั้นที่ให้สัตย์ปฏิญาณแล้ว แต่ท่านจะระลึกถึงความชั่วช้า เพื่อเขาทั้งหลายจะถูกจับเอาไป
อสค 21.24 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าเจ้าได้กระทำความชั่วช้าของเจ้าให้เราระลึกได้ โดยการละเมิดของเจ้าที่เผยออก จนบาปของเจ้าปรากฏในการกระทำทั้งสิ้นของเจ้า เราได้ระลึกถึงเจ้า เจ้าจึงต้องถูกจับเอาไปด้วยมือ
อสค 23.3 เธอเล่นชู้ในอียิปต์ เธอเล่นชู้ตั้งแต่สาวๆ ณ ที่นั้นถันของเธอถูกเคล้าคลึง และอกพรหมจารีของเธอก็ถูกจับต้อง
อสค 23.8 เธอมิได้เลิกการเล่นชู้ซึ่งเธอได้นำมาจากอียิปต์ เพราะว่าเมื่อยังสาวอยู่คนหนุ่มก็เข้านอนกับเธอ และจับต้องอกพรหมจารีของเธอ และเทราคะของเขาให้แก่เธอ
อสค 23.10 ผู้เหล่านี้เผยความเปลือยเปล่าของเธอ เขาจับบุตรชายหญิงของเธอ และฆ่าเธอเสียด้วยดาบ เธอจึงเป็นคำเยาะเย้ยท่ามกลางผู้หญิงทั้งหลาย ในเมื่อได้พิพากษาลงโทษเธอแล้ว
อสค 23.21 ดังนี้แหละ เจ้าก็อาลัยในราคะเมื่อเจ้ายังสาวอยู่ เมื่อคนอียิปต์จับต้องอกของเจ้า และเคล้าคลึงหัวนมสาวของเจ้า”
อสค 23.25 และเราจะมุ่งความร้อนรนของเราต่อสู้เจ้า และเขาจะกระทำกับเจ้าด้วยความเกรี้ยวกราด เขาจะตัดจมูกและตัดหูของเจ้าออกเสีย และผู้ที่รอดตายจะล้มลงด้วยดาบ เขาจะจับบุตรชายและบุตรสาวของเจ้า และคนที่รอดตายของเจ้าจะถูกเผาด้วยไฟ
อสค 29.7 เมื่อเขาเอามือจับเจ้า เจ้าก็หัก และบาดบ่าของเขาทุกคน และเมื่อเขาพิงเจ้า เจ้าก็โค่น และกระทำให้บั้นเอวของเขาทุกคนสั่นหมด
อสค 32.4 และเราจะเหวี่ยงท่านลงบนดิน และเราจะฟัดท่านลงบนพื้นทุ่ง และจะกระทำให้นกทั้งสิ้นในอากาศมาจับอยู่บนท่าน และเราจะให้สัตว์ทั่วทั้งโลกได้อิ่มหนำด้วยตัวท่าน
ฮชย 13.16 สะมาเรียจะกลายเป็นที่รกร้าง เพราะเธอได้กบฏต่อพระเจ้าของเธอ เขาทั้งหลายจะล้มลงด้วยดาบ ทารกของเขาจะถูกจับโยนลงให้แหลกเป็นชิ้นๆ และหญิงมีครรภ์จะถูกผ่าท้อง
อมส 3.4 สิงโตจะแผดเสียงดังอยู่ในป่าเมื่อมันไม่มีเหยื่อหรือ ถ้าสิงโตหนุ่มจับสัตว์อะไรไม่ได้เลย มันจะร้องออกมาจากถ้ำของมันหรือ
อมส 7.8 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อาโมสเอ๋ย เจ้าเห็นอะไร” และข้าพเจ้าทูลว่า “สายดิ่งเส้นหนึ่ง พระเจ้าข้า” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราจะเอาสายดิ่งจับท่ามกลางอิสราเอลประชาชนของเรา เราจะไม่ผ่านเขาไปอีก
อมส 9.2 แม้ว่าเขาจะขุดไปถึงนรก มือของเราจะจับเขามาจากที่นั่น ถ้าเขาจะปีนไปฟ้าสวรรค์ เราจะนำเขาลงมาจากที่นั่น
อมส 9.3 แม้ว่าเขาจะซ่อนอยู่ที่ยอดเขาคารเมล เราจะหาเขาที่นั่นแล้วจับเขามา แม้ว่าเขาจะไปซ่อนอยู่ที่ก้นทะเลให้พ้นตาเรา เราจะบัญชางูที่นั่น และมันจะกัดเขา
อมส 9.8 ดูเถิด พระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจับอยู่ที่ราชอาณาจักรอันบาปหนา และเราจะทำลายมันเสียจากพื้นโลก เว้นแต่เราจะไม่ทำลายวงศ์วานยาโคบให้สิ้นเสียทีเดียว” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยนา 1.12 ท่านจึงตอบเขาทั้งหลายว่า “จงจับตัวข้าพเจ้าโยนลงไปในทะเลก็แล้วกัน ทะเลก็จะสงบลงเพื่อท่าน เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า ที่พายุใหญ่เกิดขึ้นแก่ท่านเช่นนี้ ก็เนื่องจากตัวข้าพเจ้าเอง”
ยนา 1.15 เขาจึงจับโยนาห์ทิ้งลงไปในทะเล ความปั่นป่วนในทะเลก็สงบลง
ฮบก 1.15 เขาจับคนทั้งหลายมาด้วยเบ็ด เขาลากคนมาด้วยแห เขารวบคนมาด้วยอวนของเขา เขาจึงเปรมปรีดิ์และเริงโลด
มธ 9.25 แต่เมื่อทรงขับฝูงคนออกไปแล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้าไปจับมือเด็กหญิง และเด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้น
มธ 12.29 หรือใครจะเข้าไปในเรือนของคนที่มีกำลังมากและปล้นเอาทรัพย์ของเขาอย่างไรได้ เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนนั้นได้
มธ 14.3 ด้วยว่าเฮโรดได้จับยอห์นมัดแล้วขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน
มธ 14.31 ในทันใดนั้นพระเยซูทรงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ แล้วตรัสกับเขาว่า “โอ คนมีความเชื่อน้อย เจ้าสงสัยทำไม”
มธ 16.22 ฝ่ายเปโตรเอามือจับพระองค์ เริ่มทูลท้วงพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ให้เหตุการณ์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด อย่าให้เป็นอย่างนั้นแก่พระองค์เลย”
มธ 18.28 แต่ผู้รับใช้ผู้นั้นออกไปพบคนหนึ่งเป็นเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน ซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน จึงจับคนนั้นบีบคอว่า ‘จงใช้หนี้ให้ข้า’
มธ 21.35 และคนเช่าสวนนั้นจับพวกผู้รับใช้ของเขา เฆี่ยนตีเสียคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง เอาหินขว้างเสียให้ตายคนหนึ่ง
มธ 21.39 เขาจึงพากันจับบุตรนั้น ผลักออกไปนอกสวนองุ่นแล้วฆ่าเสีย
มธ 21.46 แต่เมื่อพวกเขาอยากจะจับพระองค์ เขาก็กลัวประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์ว่าเป็นศาสดาพยากรณ์
มธ 22.6 ฝ่ายพวกนอกนั้นก็จับพวกผู้รับใช้ของท่าน ทำการอัปยศต่างๆแล้วฆ่าเสีย
มธ 23.4 ด้วยเขาเอาภาระหนักและแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย
มธ 26.4 ปรึกษากันเพื่อจะจับพระเยซูด้วยอุบายเอาไปฆ่าเสีย
มธ 26.50 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “สหายเอ๋ย มาที่นี่ทำไม” คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระเยซูและคุมไป
มธ 26.55 ขณะนั้นพระเยซูตรัสกับหมู่ชนว่า “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบ ถือตะบองออกมาจับเรา เราได้นั่งกับท่านทั้งหลายสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน ท่านก็หาได้จับเราไม่
มธ 26.57 ผู้ที่จับพระเยซูได้พาพระองค์ไปยังคายาฟาสมหาปุโรหิต ที่ซึ่งพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ได้ประชุมกันอยู่
มก 1.31 แล้วพระองค์ก็เสด็จไปจับมือนางพยุงขึ้นและทันใดนั้นไข้ก็หาย นางจึงปรนนิบัติเขาทั้งหลาย
มก 3.21 เมื่อญาติมิตรของพระองค์ได้ยินเหตุการณ์นั้น เขาก็ออกไปเพื่อจะจับพระองค์ไว้ ด้วยเขาว่า “พระองค์วิกลจริตแล้ว”
มก 3.27 ไม่มีผู้ใดอาจเข้าไปในเรือนของคนที่มีกำลังมากและปล้นทรัพย์ของเขาได้ เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนนั้นได้
มก 5.41 พระองค์จึงจับมือเด็กหญิงนั้นตรัสแก่เขาว่า “ทาลิธา คูมิ” แปลว่า “เด็กหญิงเอ๋ย เราว่าแก่เจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด”
มก 6.17 ด้วยว่าเฮโรดได้ใช้คนไปจับยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาฟีลิปน้องชายของตน ด้วยเฮโรดได้รับนางนั้นเป็นภรรยาของตน
มก 8.32 คำเหล่านี้พระองค์ตรัสอย่างเปิดเผย ฝ่ายเปโตรจึงจับพระองค์ แล้วเริ่มทูลห้ามพระองค์
มก 9.27 แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กนั้น เด็กนั้นก็ยืนขึ้น
มก 12.3 ฝ่ายคนเหล่านั้นก็จับผู้รับใช้นั้นเฆี่ยนตี แล้วไล่ให้กลับไปมือเปล่า
มก 12.8 เขาจึงพากันจับบุตรนั้นฆ่าเสีย และเอาศพทิ้งไว้นอกสวนองุ่น
มก 12.12 ฝ่ายเขาจึงอยากจะจับพระองค์ แต่ว่าเขากลัวประชาชน ด้วยเขารู้อยู่ว่า พระองค์ได้ตรัสคำอุปมานี้กระทบพวกเขาเอง แล้วเขาก็ไปจากพระองค์
มก 12.13 เขาจึงใช้บางคนในพวกฟาริสีและพวกเฮโรดไปหาพระองค์ เพื่อจะคอยจับผิดในพระดำรัสของพระองค์
มก 14.1 ยังอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์ก็หาช่องที่จะจับพระองค์ด้วยอุบายและจะฆ่าเสีย
มก 14.48 พระเยซูจึงตรัสถามพวกเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบ ถือตะบองออกมาจับเรา
มก 14.49 เราได้อยู่กับท่านทั้งหลายทุกวันสั่งสอนในพระวิหาร ท่านก็หาได้จับเราไม่ แต่จะต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์”
มก 14.51 มีชายหนุ่มคนหนึ่งห่มผ้าป่านผืนหนึ่งคลุมร่างกายที่เปลือยเปล่าของตนติดตามพระองค์ไป พวกหนุ่มๆก็จับเขาไว้
มก 16.18 เขาจะจับงูได้ ถ้าเขาดื่มยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”
ลก 3.20 เฮโรดยังทำความชั่วนี้เพิ่มกับที่ได้ทำมาแล้ว คือได้จับยอห์นจำไว้ในคุก
ลก 5.4 เมื่อพระองค์ตรัสสอนเสร็จแล้ว จึงตรัสแก่ซีโมนว่า “จงถอยออกไปที่น้ำลึกหย่อนอวนต่างๆลงจับปลา”
ลก 5.9 เพราะว่าเขากับคนทั้งหลายที่อยู่ด้วยกันประหลาดใจด้วยปลาเป็นอันมากที่เขาจับได้นั้น
ลก 5.10 ยากอบและยอห์นบุตรชายของเศเบดี ผู้ร่วมงานกับซีโมนก็ประหลาดใจเหมือนกัน พระเยซูตรัสแก่ซีโมนว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน”
ลก 8.54 ฝ่ายพระองค์ทรงไล่คนทั้งหมดออกไป แล้วทรงจับมือเด็กนั้น ตรัสว่า “ลูกเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด”
ลก 9.62 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้วหันหน้ากลับเสีย ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับอาณาจักรของพระเจ้า”
ลก 11.46 พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกนักกฎหมายด้วย เพราะพวกเจ้าเอาของหนักที่แบกยากนักวางบนมนุษย์ แต่ส่วนพวกเจ้าเองก็ไม่จับต้องของหนักนั้นเลยแม้แต่นิ้วเดียว
ลก 20.19 ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์รู้อยู่ว่า พระองค์ได้ตรัสคำอุปมานั้นกระทบพวกเขาเอง จึงอยากจะจับพระองค์ในเวลานั้นแต่เขากลัวประชาชน
ลก 21.12 แต่ก่อนเหตุการณ์เหล่านั้นเขาจะจับท่านไว้ และจะข่มเหงท่านและมอบท่านไว้ในธรรมศาลาและในคุก และพาท่านไปต่อหน้ากษัตริย์และเจ้าเมืองเพราะเหตุนามของเรา
ลก 22.52 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่พวกปุโรหิตใหญ่ พวกนายทหารรักษาพระวิหาร และพวกผู้ใหญ่ที่ออกมาจับพระองค์นั้นว่า “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบถือตะบองออกมา
ลก 22.53 เมื่อเราอยู่กับท่านทั้งหลายในพระวิหารทุกๆวัน ท่านก็มิได้ยื่นมือออกจับเรา แต่เวลานี้เป็นทีของท่านและเป็นอำนาจแห่งความมืด”
ลก 22.54 เขาก็จับพระองค์พาเข้าไปในบ้านมหาปุโรหิต เปโตรติดตามไปห่างๆ
ยน 6.15 เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า เขาทั้งหลายจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จไปที่ภูเขาอีกแต่ลำพัง
ยน 7.30 เขาทั้งหลายจึงหาโอกาสที่จะจับพระองค์ แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์
ยน 7.32 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องพระองค์อย่างนั้น พวกฟาริสีกับพวกปุโรหิตใหญ่จึงได้ใช้เจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์
ยน 7.44 บางคนใคร่จะจับพระองค์ แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์เลย
ยน 7.45 เจ้าหน้าที่จึงกลับไปหาพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสี และพวกนั้นกล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมเจ้าจึงไม่จับเขามา”
ยน 8.3 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาพระองค์ หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเมื่อเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
ยน 8.4 เขาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่
ยน 10.39 พวกเขาจึงหาโอกาสจับพระองค์อีกครั้งหนึ่ง แต่พระองค์ทรงรอดพ้นจากมือเขาไปได้
ยน 11.57 ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสีได้ออกคำสั่งไว้ว่า ถ้าผู้ใดรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์
ยน 18.12 พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้
ยน 21.3 ซีโมนเปโตรบอกเขาว่า “ข้าจะไปจับปลา” เขาทั้งหลายจึงพูดกับท่านว่า “เราจะไปกับท่านด้วย” เขาก็ออกไปลงเรือทันที แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย
กจ 1.16 “ท่านพี่น้องทั้งหลาย จำเป็นจะต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสไว้โดยโอษฐ์ของดาวิด ด้วยเรื่องยูดาส ซึ่งเป็นผู้นำทางคนที่ไปจับพระเยซู
กจ 2.23 พระองค์นี้ทรงถูกมอบไว้ตามที่พระเจ้าได้ทรงดำริแน่นอนล่วงหน้าไว้ก่อน ท่านทั้งหลายได้ให้คนชั่วจับพระองค์ไปตรึงที่กางเขนและประหารชีวิตเสีย
กจ 3.7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง
กจ 4.3 เขาจึงจับท่านทั้งสองจำไว้ในคุกจนวันรุ่งขึ้น เพราะว่าเย็นแล้ว
กจ 5.18 จึงได้จับพวกอัครสาวกจำไว้ในคุกหลวง
กจ 6.12 เขายุยงคนทั้งปวงและพวกผู้ใหญ่กับพวกธรรมาจารย์ แล้วเข้ามาจับสเทเฟนและนำไปยังสภา
กจ 8.35 ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มเล่าจับต้นกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงเรื่องพระเยซู
กจ 9.2 ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 10.26 ฝ่ายเปโตรจึงจับตัวโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “จงยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกัน”
กจ 12.3 เมื่อท่านเห็นว่าการนั้นเป็นที่ชอบใจพวกยิว ท่านก็จับเปโตรด้วย (นี่เป็นระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ)
กจ 12.4 เมื่อจับเปโตรแล้ว จึงให้จำคุก ให้ทหารสี่หมู่ๆละสี่คนคุมไว้ ตั้งใจว่าเมื่อสิ้นเทศกาลอีสเตอร์แล้วจะพาออกมาให้แก่คนทั้งหลาย
กจ 16.19 ส่วนพวกนายของเขาเมื่อเห็นว่าหมดหวังที่จะได้เงินแล้ว เขาจึงจับเปาโลและสิลาสลากมาถึงพวกเจ้าหน้าที่ยังที่ว่าการเมือง
กจ 17.19 เขาจึงจับเปาโลพาไปยังสภาอาเรโอปากัสแล้วถามว่า “เราขอรู้ได้หรือไม่ว่าคำสอนอย่างใหม่ที่ท่านกล่าวนั้นเป็นอย่างไร
กจ 18.17 บรรดาชาติกรีกจึงจับโสสเธเนสนายธรรมศาลามา เฆี่ยนข้างหน้าบัลลังก์พิพากษา แต่กัลลิโอไม่เอาธุระเลย
กจ 19.29 แล้วก็เกิดการวุ่นวายใหญ่โตทั่วทั้งเมือง เขาจึงได้จับกายอัสกับอาริสทารคัสชาวมาซิโดเนียผู้เป็นเพื่อนเดินทางของเปาโล ลากวิ่งเข้าไปในโรงมหรสพ
กจ 21.27 ครั้นเกือบจะสิ้นเจ็ดวันแล้ว พวกยิวที่มาจากแคว้นเอเชีย เมื่อเห็นเปาโลในพระวิหารจึงยุยงประชาชน แล้วจับเปาโล
กจ 21.30 แล้วคนทั้งเมืองก็ฮือกันขึ้น คนทั้งหลายก็วิ่งเข้าไปรวมกัน และจับเปาโลลากออกจากพระวิหาร แล้วก็ปิดประตูเสียทันที
กจ 21.33 นายพันจึงเข้าไปใกล้แล้วจับเปาโลสั่งให้เอาโซ่สองเส้นล่ามไว้ แล้วถามว่า ท่านเป็นใครและได้ทำอะไรบ้าง
กจ 22.5 ตามที่มหาปุโรหิตกับสภาอาจเป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ เพราะข้าพเจ้าได้ถือหนังสือจากท่านผู้นั้นไปยังพวกพี่น้อง และได้เดินทางไปเมืองดามัสกัส เพื่อจับมัดคนทั้งหลายพามายังกรุงเยรูซาเล็มให้ทำโทษเสีย
กจ 22.19 ข้าพเจ้าจึงทูลว่า ‘พระองค์เจ้าข้า คนเหล่านั้นทราบอยู่ว่า ข้าพระองค์ได้จับคนทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ไปใส่คุกและเฆี่ยนตีตามธรรมศาลาทุกแห่ง
กจ 23.10 เมื่อการโต้เถียงกันรุนแรงขึ้น นายพันกลัวว่าเขาจะยื้อแย่งจับเปาโลฉีกเสีย ท่านจึงสั่งพวกทหารให้ลงไปรับเปาโลออกจากหมู่พวกนั้นพาเข้าไปไว้ในกรมทหาร
กจ 23.27 พวกยิวได้จับคนนี้ไว้และเกือบจะฆ่าเขาเสียแล้ว แต่ข้าพเจ้าพาพวกทหารไปช่วยเขาไว้ได้ ด้วยข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าเขาเป็นคนสัญชาติโรม
กจ 24.6 กับอีกนัยหนึ่งเขาหมายจะทำให้พระวิหารเป็นมลทิน ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงจับเขาไว้ และก็คงจะได้พิพากษาเขาตามกฎหมายของพวกข้าพเจ้า
กจ 26.21 เพราะเหตุนี้พวกยิวจึงจับข้าพระองค์ที่พระวิหาร และพยายามหาช่องที่จะฆ่าข้าพระองค์เสีย
1คร 3.19 เพราะว่าปัญญาของโลกนี้เป็นความโง่เขลาจำเพาะพระเจ้า ด้วยมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง’
2คร 11.32 ผู้ว่าราชการเมืองของกษัตริย์อาเรทัสในนครดามัสกัส ให้ทหารเฝ้านครดามัสกัสไว้ เพื่อจะจับตัวข้าพเจ้า
กท 2.9 เมื่อยากอบ เคฟาสและยอห์น ผู้ที่เขานับถือว่าเป็นหลักได้เห็นพระคุณซึ่งประทานแก่ข้าพเจ้าแล้ว ก็ได้จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัสแสดงว่าเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เพื่อให้เราไปหาคนต่างชาติ และท่านเหล่านั้นจะไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต
2ปต 2.12 แต่ว่าคนเหล่านั้นเป็นเหมือนสัตว์เดียรัจฉานที่ปราศจากความคิด เป็นสัตว์ที่ทำตามสัญชาตญาณ เกิดมาเพื่อถูกจับและถูกฆ่า เขากล่าวประณามสิ่งที่เขาไม่เข้าใจเลย เขาจะต้องพินาศในการชั่วร้ายของตนเอง
1ยน 1.1 ซึ่งได้ทรงเป็นอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ซึ่งเราทั้งหลายได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรา เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต
วว 19.20 สัตว์ร้ายนั้นถูกจับพร้อมด้วยผู้พยากรณ์เท็จ ที่ได้กระทำการอัศจรรย์ต่อหน้าสัตว์ร้ายนั้น และใช้การอัศจรรย์นั้นล่อลวงคนทั้งหลายที่ได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้ายนั้น และบูชารูปของมัน สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จถูกทิ้งทั้งเป็นลงในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถัน
วว 20.2 และท่านได้จับพญานาค ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ผู้ซึ่งเป็นพญามารและซาตาน และล่ามมันไว้พันปี

จับกุม ( 8 )
ปฐก 43.18 คนเหล่านั้นก็กลัวเพราะเขาพาเข้าไปในบ้านโยเซฟ จึงพูดกันว่า “เพราะเหตุเงินที่ติดมาในกระสอบของเราครั้งก่อนนั้น เขาจึงพาพวกเรามาที่นี่ เพื่อท่านจะหาเหตุใส่เราจับกุมเรา จับเราเป็นทาส ทั้งจะริบเอาลาด้วย”
อสธ 3.6 แต่ท่านเห็นว่าเป็นการเสียเกียรติที่จะจับกุมโมรเดคัยคนเดียว เพราะมีคนเรียนท่านให้ทราบถึงชนชาติของโมรเดคัย ฮามานจึงหาช่องที่จะทำลายยิวทั้งหมด คือชนชาติของโมรเดคัยทั่วราชอาณาจักรของอาหสุเอรัส
มคา 2.4 ในวันนั้น จะมีคนเล่าคำอุปมาต่อสู้เจ้า และจะร่ำไห้ด้วยการโอดครวญอย่างขมขื่นว่า “พวกเราพินาศอย่างสิ้นเชิงแล้ว พระองค์ทรงเปลี่ยนที่ดินกรรมสิทธิ์แห่งชนชาติของข้า พระองค์ทรงถอนไปจากข้าเสียแล้วหนอ พระองค์ทรงแบ่งไร่นาของพวกเราให้แก่บรรดาคนที่จับกุมพวกเรา”
ศคย 14.13 ต่อมาในวันนั้นการสับสนอลหม่านอย่างใหญ่โตจากพระเยโฮวาห์จะอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เพราะฉะนั้นคนหนึ่งจะจับกุมเพื่อนบ้านของตน และเขาจะยกมือขึ้นต่อสู้กันและกัน
มธ 26.48 ผู้ที่จะทรยศพระองค์นั้นได้ให้อาณัติสัญญาณแก่เขาว่า “เราจะจุบผู้ใด ก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไว้ให้แน่นหนาเถิด”
มก 14.44 ผู้ที่จะทรยศพระองค์นั้นได้ให้สัญญาณแก่เขาว่า “เราจุบผู้ใด ก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไปให้มั่นคง”
มก 14.46 คนเหล่านั้นก็จับกุมพระองค์ไป
ยน 8.20 พระเยซูตรัสคำเหล่านี้ที่คลังเงิน เมื่อกำลังทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร แต่ไม่มีผู้ใดจับกุมพระองค์ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์

จับไข้ ( 2 )
มธ 8.14 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตร พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับไข้อยู่
มก 1.30 แม่ยายของซีโมนนอนป่วยจับไข้อยู่ ในทันใดนั้นเขาจึงมาทูลพระองค์ให้ทราบด้วยเรื่องของนาง

จับใจ ( 2 )
สดด 48.6 ความตระหนกตกประหม่าจับใจท่านที่นั่น มีความทุกข์ระทมอย่างหญิงกำลังคลอดบุตร
กจ 14.1 ต่อมาที่เมืองอิโคนียูม เปาโลกับบารนาบัสได้เข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิว กล่าวสั่งสอนเป็นที่จับใจจนพวกยิวและชนชาติกรีกเป็นอันมากได้เชื่อถือ

จับตา ( 3 )
สดด 32.8 เราจะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าด้วยจับตาเจ้าอยู่
ปญจ 5.8 ถ้าเจ้าเห็นคนจนในเมืองถูกข่มเหงก็ดี เห็นความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมเอาไปเสียก็ดี เจ้าอย่าประหลาดใจในเรื่องนั้น ด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่คอยจับตาเจ้าหน้าที่อยู่ แล้วยังมีผู้สูงกว่าอีกชั้นหนึ่งจับตาอยู่เหนือพวกเขาทั้งสิ้น

จับตาดู ( 1 )
สดด 17.11 เขาสะกดรอยข้าพระองค์ เดี๋ยวนี้ได้ล้อมข้าพระองค์ไว้ เขาจับตาดูข้าพระองค์เพื่อจะเหวี่ยงข้าพระองค์ลงดิน

จับผิด ( 5 )
โยบ 14.16 แต่พระองค์ทรงนับก้าวของข้าพระองค์ พระองค์มิได้ทรงจ้องจับผิดข้าพระองค์หรือ
มธ 22.15 ขณะนั้นพวกฟาริสีไปปรึกษากันว่า พวกเขาจะจับผิดในถ้อยคำของพระองค์ได้อย่างไร
ลก 11.54 คอยหวังจับผิดในพระดำรัสของพระองค์ เพื่อเขาจะฟ้องพระองค์ได้
ลก 20.20 เขาจึงตามดูพระองค์ และใช้คนให้ปลอมเป็นเหมือนคนชอบธรรมไปสอดแนม หวังจะจับผิดในพระดำรัสของพระองค์ เพื่อจะมอบพระองค์ไว้ในอำนาจและอาชญาของเจ้าเมือง
ลก 20.26 คนเหล่านั้นจับผิดในพระดำรัสของพระองค์ต่อหน้าประชาชนไม่ได้ และเขาก็ประหลาดใจในพระดำรัสตอบของพระองค์จึงนิ่งไป

จับสลาก ( 47 )
ลนต 16.8 และอาโรนจะจับสลากแพะสองตัวนั้น สลากหนึ่งตกเป็นของพระเยโฮวาห์ และอีกสลากหนึ่งเพื่อแพะรับบาป
กดว 26.55 แต่ให้จับสลากแบ่งแผ่นดินนั้น ให้เขาได้รับมรดกตามรายชื่อตระกูลของบรรพบุรุษของเขา
กดว 26.56 ให้จับสลากแบ่งมรดกของเขานั้นตามส่วนตระกูลใหญ่และตระกูลย่อม”
กดว 33.54 เจ้าทั้งหลายจงจับสลากมรดกที่ดินนั้นตามครอบครัวของเจ้า ครอบครัวที่ใหญ่เจ้าจงให้มรดกส่วนใหญ่ ครอบครัวที่ย่อมเจ้าจงให้มรดกส่วนน้อย ดินผืนใดที่สลากตกแก่คนใดก็เป็นของคนนั้น เจ้าจงรับมรดกตามตระกูลของบรรพบุรุษของเจ้า
กดว 34.13 โมเสสบัญชาคนอิสราเอลกล่าวว่า “นี่เป็นแผ่นดินที่เจ้าทั้งหลายจะได้จับสลากรับเป็นมรดก ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชาว่า ให้ยกให้แก่ทั้งเก้าตระกูลกับอีกครึ่งตระกูล
กดว 36.2 เขาพูดว่า “พระเยโฮวาห์ได้บัญชาเจ้านายของข้าพเจ้าให้จับสลากยกแผ่นดินให้เป็นมรดกแก่คนอิสราเอล และเจ้านายของข้าพเจ้าได้รับบัญชาจากพระเยโฮวาห์ให้ยกมรดกของเศโลเฟหัดพี่น้องของเราแก่บุตรสาวของเขา
ยชว 13.6 ชาวแดนเทือกเขาทั้งหมดจากเลบานอนจนถึงมิสเรโฟทมาอิม และคนไซดอนทั้งหมด เราจะขับไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอลเอง เพียงแต่เจ้าจงจับสลากแบ่งดินแดนเหล่านั้นให้เป็นมรดกแก่อิสราเอล ดังที่เราบัญชาเจ้าไว้
ยชว 14.2 มรดกนี้เขาจับสลากแบ่งกันในระหว่างคนเก้าตระกูลครึ่ง ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาทางโมเสส
ยชว 18.6 ให้ท่านทั้งหลายเขียนแนวเขตที่ดินเป็นเจ็ดส่วน แล้วนำแนวเขตที่ดินนั้นมาให้ข้าพเจ้าที่นี่ และข้าพเจ้าจะจับสลากให้ท่านที่นี่ ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา
ยชว 18.8 ฝ่ายคนเหล่านั้นก็ขึ้นออกไปเดินทาง และโยชูวากำชับพวกที่จะเขียนแนวเขตที่ดินว่า “จงเที่ยวขึ้นเที่ยวล่องในแผ่นดิน และเขียนแนวเขตที่ดินนั้นแล้วกลับมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจับสลากให้ท่านต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ที่ชีโลห์”
ยชว 18.10 แล้วโยชูวาก็จับสลากให้เขาที่ชีโลห์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ โยชูวาก็ได้จัดแบ่งที่ดินให้แก่ประชาชนอิสราเอลที่นั่นตามส่วนแบ่งของแต่ละตระกูล
ยชว 19.51 ที่กล่าวมานี้เป็นมรดกที่เอเลอาซาร์ปุโรหิตกับโยชูวาบุตรชายนูน และหัวหน้าบรรพบุรุษของตระกูลต่างๆแห่งคนอิสราเอลจับสลากแบ่งให้เป็นมรดกที่ชีโลห์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ณ ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม ดังนี้แหละเขาทั้งหลายก็ทำการแบ่งปันแผ่นดินสำเร็จลง
ยชว 21.4 สลากออกมาเป็นของครอบครัวคนโคฮาท ดังนั้นแหละ คนเลวีซึ่งเป็นลูกหลานของอาโรนปุโรหิต ได้รับหัวเมืองโดยจับสลากสิบสามหัวเมือง จากตระกูลยูดาห์ ตระกูลสิเมโอน และตระกูลเบนยามิน
ยชว 21.5 ส่วนคนโคฮาทที่เหลืออยู่ ได้รับหัวเมืองโดยจับสลากสิบหัวเมือง จากครอบครัวของตระกูลเอฟราอิม จากตระกูลดาน และจากครึ่งตระกูลมนัสเสห์
ยชว 21.6 คนเกอร์โชนได้รับหัวเมืองโดยจับสลากสิบสามหัวเมือง จากครอบครัวของตระกูลอิสสาคาร์ จากตระกูลอาเชอร์ จากตระกูลนัฟทาลี และจากครึ่งตระกูลมนัสเสห์ในบาชาน
ยชว 21.8 หัวเมืองและทุ่งหญ้าเหล่านี้คนอิสราเอลได้จับสลากให้แก่คนเลวีดังที่พระเยโฮวาห์ได้บัญชาโดยทางโมเสส
ยชว 23.4 ดูเถิด ประชาชาติที่เหลืออยู่นั้น ข้าพเจ้าได้จับสลากแบ่งให้เป็นมรดกแก่ตระกูลของท่าน รวมกับประชาชาติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้ขจัดออกเสีย ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก
วนฉ 20.9 แต่บัดนี้เราจะกระทำกับกิเบอาห์ดังนี้ เราจะจับสลากยกขึ้นไปสู้รบกับเขา
1ซมอ 10.20 แล้วซามูเอลก็นำตระกูลอิสราเอลทุกตระกูลเข้ามาใกล้ และจับสลากได้ตระกูลเบนยามิน
1ซมอ 10.21 ท่านก็นำตระกูลเบนยามินเข้ามาใกล้ตามครอบครัว จับสลากได้ครอบครัวมัตรี และจับสลากได้ซาอูลบุตรชายคีช แต่เมื่อเขาหาซาอูลก็หาไม่พบ
1ซมอ 14.42 แล้วซาอูลรับสั่งว่า “จับสลากระหว่างเรากับโยนาธานบุตรชายของเรา” และโยนาธานถูกสลาก
1พศด 6.65 และคนอิสราเอลได้จับสลากให้หัวเมืองจากตระกูลยูดาห์ ตระกูลสิเมโอน และตระกูลเบนยามิน ตามที่กล่าวชื่อไว้นั้นด้วย
1พศด 24.6 และเชไมอาห์บุตรชายนาธันเอลอาลักษณ์ ผู้เป็นพวกเลวี ได้บันทึกไว้ต่อพระพักตร์กษัตริย์ ต่อหน้าเจ้านาย และศาโดกปุโรหิต และอาหิเมเลคบุตรชายอาบียาธาร์ และต่อหน้าประมุขของบรรพบุรุษของปุโรหิตและของคนเลวี เขาจับสลากครอบครัวหนึ่งจากเอเลอาซาร์ และจับสลากครอบครัวหนึ่งจากอิธามาร์
1พศด 24.31 คนเหล่านี้คือ แต่ละหัวหน้าเรือนบรรพบุรุษ และน้องชายของเขาก็เหมือนกันได้จับสลากด้วยอย่างเดียวกับพี่น้องของเขาคือ บุตรชายของอาโรน ต่อพระพักตร์ของกษัตริย์ดาวิด ศาโดก อาหิเมเลค และต่อประมุขของบรรพบุรุษของปุโรหิตและของคนเลวี
1พศด 25.8 เขาทั้งหลายจับสลากหน้าที่ของเขา ทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ ครูและศิษย์ก็เหมือนกัน
1พศด 26.13 และเขาจับสลากกันตามเรือนบรรพบุรุษของเขา ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่เหมือนกัน สำหรับใครอยู่ประตูไหน
1พศด 26.14 สลากสำหรับด้านตะวันออกตกแก่เชเลมิยาห์ เขาจับสลากให้บุตรชายของเขาคือเศคาริยาห์ด้วย เขาเป็นที่ปรึกษาที่เฉลียวฉลาด และสลากของเขาออกมาสำหรับด้านเหนือ
นหม 10.34 เราได้จับสลากด้วย คือบรรดาปุโรหิต คนเลวี และประชาชนทั้งหลายเพื่อเอาฟืนถวาย นำเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าของเรา ตามเรือนบรรพบุรุษของเรา ตามเวลากำหนดเป็นปีๆไป เพื่อเผาบนแท่นบูชาแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ตามที่บันทึกไว้ในพระราชบัญญัติ
นหม 11.1 พวกประมุขของประชาชนอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม และประชาชนนอกนั้นจับสลากกัน เพื่อจะนำเอาคนส่วนหนึ่งในสิบส่วนให้เข้าไปอยู่ในเยรูซาเล็มนครบริสุทธิ์ ฝ่ายอีกเก้าส่วนสิบนั้นให้อยู่ในหัวเมืองต่างๆ
สดด 22.18 เสื้อผ้าของข้าพระองค์เขาแบ่งปันกัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์นั้นเขาก็จับสลากกัน
อสย 34.17 พระองค์ทรงจับสลากให้มันแล้ว พระหัตถ์ของพระองค์ได้ปันส่วนให้ด้วยเชือกวัด มันทั้งหลายจะได้กรรมสิทธิ์เป็นนิตย์ มันจะอาศัยอยู่ในนั้นทุกชั่วอายุ
อสค 24.6 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่กรุงที่ชุ่มโลหิต วิบัติแก่หม้อที่ขึ้นสนิมข้างในและซึ่งสนิมมิได้หลุดออกมา จงเอาเนื้อออกทีละชิ้นๆ อย่าจับสลากเลย
ยอล 3.3 และได้จับสลากเอาประชาชนของเรา และให้เด็กผู้ชายเป็นข้าของหญิงโสเภณี และขายเด็กผู้หญิงไปซื้อเหล้าองุ่น และดื่ม
อบด 1.11 ในวันที่เจ้ายืนเป็นปฏิปักษ์ ในวันที่คนต่างด้าวนำกำลังของเขาไปเป็นเชลย และคนต่างชาติเข้ามาทางประตูเมือง เขาจับสลากเอากรุงเยรูซาเล็มกัน เจ้าก็เหมือนคนเหล่านั้นคนหนึ่ง
ยนา 1.7 เขาทั้งหลายก็ชักชวนกันว่า “มาเถอะ ให้เราจับสลากกัน เพื่อเราจะทราบว่า ใครเป็นต้นเหตุแห่งภัยซึ่งเกิดขึ้นแก่เรานี้” ดังนั้นเขาก็จับสลาก สลากนั้นก็ตกแก่โยนาห์
มคา 2.5 ดังนั้น เจ้าจะไม่มีใครจับสลากแบ่งที่ดินกันในชุมชนแห่งพระเยโฮวาห์
นฮม 3.10 ถึงกระนั้นเมืองนั้นก็ยังถูกกวาดไป เธอตกไปเป็นเชลย ลูกเล็กเด็กแดงของเธอก็ถูกเหวี่ยงลงแหลกเป็นชิ้นๆที่หัวถนนทุกสาย เขาจับสลากแบ่งผู้มีเกียรติของเมืองนั้น และคนใหญ่คนโตทั้งสิ้นของเมืองนั้นก็ถูกล่ามโซ่
มธ 27.35 ครั้นตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว เขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับสลากแบ่งปันกันเพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะโดยศาสดาพยากรณ์ซึ่งว่า ‘เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งปันกัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์นั้น เขาก็จับสลากกัน’
มก 15.24 ครั้นเขาตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว เขาก็เอาฉลองพระองค์จับสลากแบ่งปันกันเพื่อจะรู้ว่าใครจะได้อะไร
ลก 23.34 ฝ่ายพระเยซูจึงทรงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดอภัยโทษเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” เขาก็เอาฉลองพระองค์จับสลากแบ่งปันกัน
ยน 19.24 เหตุฉะนั้นเขาจึงพูดกันว่า “เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับสลากกันจะได้รู้ว่าใครจะได้” ทั้งนี้เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จที่ว่า ‘เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งปันกัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์นั้น เขาก็จับสลากกัน’ พวกทหารจึงได้กระทำดังนี้
กจ 1.26 เขาทั้งหลายจึงจับสลากกัน และสลากนั้นได้แก่มัทธีอัสจึงนับเขาเข้ากับอัครสาวกสิบเอ็ดคนนั้น

จ้า ( 1 )
พซม 6.10 “แม่สาวคนนี้เป็นผู้ใดหนอ เมื่อมองลงก็ดังอรุโณทัย แจ่มจรัสดังดวงจันทร์ กระจ่างจ้าดังดวงสุริยัน สง่าน่าเกรงขามดังกองทัพมีธงประจำ”

จ๋า ( 20 )
วนฉ 16.9 นางจัดคนให้ซุ่มอยู่ที่ห้องชั้นในกับนาง นางก็บอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว” แซมสันก็ดึงสายธนูที่มัดนั้นขาดเหมือนเชือกป่านขาดเมื่อได้กลิ่นไฟ เรื่องกำลังของท่านจึงยังไม่แจ้ง
วนฉ 16.12 เดลิลาห์จึงเอาเชือกใหม่มัดท่านไว้แล้วบอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว” และคนซุ่มคอยอยู่ในห้องชั้นใน แต่ท่านก็ดึงเชือกออกจากแขนเหมือนดึงเส้นด้าย
วนฉ 16.14 เดลิลาห์จึงเอาผมทั้งเจ็ดแหยมทอเข้ากับด้ายเส้นยืนกระทกด้วยฟืมให้แน่น แล้วนางบอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว” ท่านก็ตื่นขึ้นดึงฟืม หูกและด้ายเส้นยืนไปหมด
วนฉ 16.20 นางจึงบอกว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว” ท่านก็ตื่นขึ้นจากหลับบอกว่า “ฉันจะออกไปอย่างครั้งก่อนๆ และสลัดตัวให้หลุดไป” ท่านหาทราบไม่ว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงละท่านไปเสียแล้ว
พซม 2.17 ที่รักของดิฉันจ๋า จนเวลาเย็น และเงาหมดไปแล้ว ขอเธอเป็นดั่งละมั่งหรือกวางหนุ่มที่เทือกเขาเบเธอร์เถิด
พซม 4.8 จงจากเลบานอนไปกับฉันเถิด เจ้าสาวของฉันจ๋า จงจากเลบานอนไปกับฉันนะ ให้มองลงจากยอดเขาอามานา จากยอดเขาเสนีร์ และยอดเขาเฮอร์โมน จากถ้ำราชสีห์ จากเขาเสือดาว
พซม 4.9 น้องสาวของฉันจ๋า น้องได้ปล้นเอาดวงใจของพี่ไปเสียแล้วละ เจ้าสาวของฉันเอ๋ย เจ้าได้ปล้นเอาดวงใจของฉันไปด้วยการชายตาเพียงแวบเดียวเท่านั้น ด้วยสร้อยคอสายเดียวของเจ้า
พซม 4.10 น้องสาวของฉันจ๊ะ เจ้าสาวของฉันจ๋า ความรักของเธอช่างหวานเสียนี่กระไร ความรักของเธอนั้นช่างหวานกว่าน้ำองุ่น และกลิ่นน้ำมันของเธอช่างหอมกว่าเครื่องเทศทั้งหลาย
พซม 4.11 โอ เจ้าสาวของฉันจ๋า ริมฝีปากของเธอเสมือนน้ำผึ้งกำลังจะหยดย้อย น้ำผึ้งและน้ำนมอยู่ใต้ลิ้นของเธอ กลิ่นเสื้อผ้าของเธอหอมดุจกลิ่นมาจากเลบานอน
พซม 5.1 น้องสาวของฉันจ๊ะ เจ้าสาวของฉันจ๋า ฉันเข้ามาในสวนของฉันแล้วนะ ฉันมาเก็บเอามดยอบของฉันพร้อมกับไม้สีเสียดของฉันแล้ว ฉันรับประทานรวงผึ้งกับน้ำผึ้งของฉันแล้ว ฉันดื่มน้ำองุ่นกับน้ำนมของฉันแล้ว โอ สหายทั้งหลาย จงรับประทานและจงดื่มเถิด โอ ท่านผู้เป็นที่รักเอ๋ย จงดื่มให้อิ่มหนำเถิด
พซม 5.2 ดิฉันหลับแล้ว แต่ใจของดิฉันยังตื่นอยู่ คือมีเสียงเคาะของที่รักของดิฉันพูดว่า “น้องสาวจ๋า ที่รักของฉันจ๋า เปิดประตูให้ฉันซิจ๊ะ แม่นกเขาของฉันจ๊ะ แม่คนงามหมดจดของฉันจ๋า เพราะศีรษะของฉันก็ถูกน้ำค้างชื้น และเส้นผมของฉันก็ชุ่มด้วยละอองน้ำฟ้าแห่งราตรีกาล”
พซม 5.16 ปากของเขาอ่อนหวานที่สุด ทั่วทั้งสรรพางค์ของเขาล้วนแต่น่ารักน่าใคร่ โอ เหล่าบุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มจ๋า นี่คือที่รักของดิฉัน และนี่คือเพื่อนยากของดิฉัน
พซม 6.13 กลับมาเถอะ กลับมาเถิด โอ แม่ชาวชูเลมจ๋า กลับมาเถิด กลับมาเถอะจ๊ะ เพื่อพวกดิฉันจะได้เธอไว้ชมเชย นี่กระไรนะ เธอทั้งหลายจงมองตัวแม่ชาวชูเลม ดังกองทัพสองพวก
พซม 7.11 ที่รักของดิฉันจ๋า มาเถอะจ๊ะ ให้เราพากันออกไปในทุ่งนา ให้เราพักอยู่ตามหมู่บ้าน
พซม 7.13 โอ ที่รักของดิฉันจ๋า ผลมะเขือดูดาอิมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไป แล้วที่ประตูบ้านของพวกดิฉันมีผลไม้อร่อยนานาชนิด มีทั้งผลใหม่และผลเก่าที่ดิฉันได้เก็บรวบรวมไว้สำหรับเธอ
พซม 8.14 ที่รักของดิฉันจ๋า เร็วๆเข้าเถอะจ๊ะ ขอให้เธอเป็นดังละมั่งหรือกวางหนุ่มบนภูเขาต้นสีเสียดเถิด
ยรม 15.10 แม่จ๋า วิบัติแก่ฉัน ที่แม่คลอดฉันมาเป็นคนที่ให้เกิดการแก่งแย่งและการชิงดีแก่แผ่นดินทั้งสิ้น ฉันก็มิได้ให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ย หรือฉันก็มิได้ยืมเขาโดยคิดดอกเบี้ย แต่เขาทุกคนแช่งฉัน
พคค 2.12 ลูกทั้งหลายถามแม่ของตัวว่า “แม่จ๋า ข้าวและน้ำองุ่นอยู่ที่ไหน” ขณะเมื่อเขาเป็นลมดุจคนที่ถูกบาดเจ็บตามถนนในกรุง เมื่อชีวิตของเขาต้องเทออกที่อกแม่ของเขาทั้งหลาย

จาก ( 5042 )
ปฐก 1.7; ปฐก 2.3; ปฐก 2.6; ปฐก 2.10; ปฐก 2.17; ปฐก 2.19; ปฐก 2.22; ปฐก 2.23; ปฐก 2.24; ปฐก 3.1; ปฐก 3.8; ปฐก 3.11; ปฐก 3.12; ปฐก 3.17; ปฐก 3.19; ปฐก 3.22; ปฐก 3.23; ปฐก 4.1; ปฐก 4.3; ปฐก 4.4; ปฐก 4.10; ปฐก 4.11; ปฐก 4.14; ปฐก 4.16; ปฐก 6.7; ปฐก 7.4; ปฐก 7.23; ปฐก 8.2; ปฐก 8.3; ปฐก 8.7; ปฐก 8.8; ปฐก 8.10; ปฐก 8.11; ปฐก 8.13; ปฐก 8.16; ปฐก 8.19; ปฐก 9.5; ปฐก 9.19; ปฐก 10.5; ปฐก 10.11; ปฐก 10.14; ปฐก 10.19; ปฐก 10.30; ปฐก 10.32; ปฐก 11.2; ปฐก 11.8; ปฐก 11.9; ปฐก 12.1; ปฐก 12.8; ปฐก 13.1; ปฐก 13.3; ปฐก 13.9; ปฐก 13.11; ปฐก 13.14; ปฐก 14.12; ปฐก 14.17; ปฐก 14.20; ปฐก 15.4; ปฐก 16.8; ปฐก 17.6; ปฐก 17.12; ปฐก 17.14; ปฐก 17.16; ปฐก 17.22; ปฐก 17.27; ปฐก 18.2; ปฐก 18.3; ปฐก 18.4; ปฐก 18.16; ปฐก 18.17; ปฐก 18.22; ปฐก 18.25; ปฐก 19.4; ปฐก 19.14; ปฐก 19.24; ปฐก 19.28; ปฐก 19.29; ปฐก 19.30; ปฐก 20.1; ปฐก 20.13; ปฐก 21.14; ปฐก 21.17; ปฐก 21.21; ปฐก 21.28; ปฐก 21.30; ปฐก 22.11; ปฐก 22.12; ปฐก 22.15; ปฐก 23.6; ปฐก 23.13; ปฐก 24.3; ปฐก 24.5; ปฐก 24.7; ปฐก 24.8; ปฐก 24.17; ปฐก 24.37; ปฐก 24.40; ปฐก 24.41; ปฐก 24.43; ปฐก 24.46; ปฐก 24.50; ปฐก 24.62; ปฐก 24.64; ปฐก 25.6; ปฐก 25.10; ปฐก 25.23; ปฐก 25.29; ปฐก 26.1; ปฐก 26.16; ปฐก 26.22; ปฐก 26.27; ปฐก 26.31; ปฐก 27.28; ปฐก 27.30; ปฐก 27.39; ปฐก 27.40; ปฐก 27.45; ปฐก 28.6; ปฐก 28.11; ปฐก 29.2; ปฐก 29.4; ปฐก 30.2; ปฐก 30.16; ปฐก 30.27; ปฐก 30.36; ปฐก 30.37; ปฐก 31.1; ปฐก 31.16; ปฐก 31.31; ปฐก 31.37; ปฐก 31.39; ปฐก 31.43; ปฐก 31.49; ปฐก 32.11; ปฐก 33.10; ปฐก 33.18; ปฐก 33.19; ปฐก 34.7; ปฐก 34.24; ปฐก 35.1; ปฐก 35.7; ปฐก 35.11; ปฐก 35.13; ปฐก 35.16; ปฐก 36.6; ปฐก 36.18; ปฐก 37.14; ปฐก 37.25; ปฐก 37.28; ปฐก 38.1; ปฐก 38.17; ปฐก 38.20; ปฐก 39.1; ปฐก 39.9; ปฐก 40.15; ปฐก 41.2; ปฐก 41.3; ปฐก 41.14; ปฐก 41.18; ปฐก 42.2; ปฐก 42.7; ปฐก 42.15; ปฐก 42.24; ปฐก 42.36; ปฐก 43.2; ปฐก 43.14; ปฐก 44.4; ปฐก 44.8; ปฐก 44.22; ปฐก 44.28; ปฐก 44.29; ปฐก 45.7; ปฐก 45.19; ปฐก 45.25; ปฐก 46.5; ปฐก 46.26; ปฐก 47.1; ปฐก 47.2; ปฐก 47.10; ปฐก 47.14; ปฐก 47.18; ปฐก 47.22; ปฐก 48.7; ปฐก 48.12; ปฐก 48.16; ปฐก 48.17; ปฐก 48.22; ปฐก 49.9; ปฐก 49.10; ปฐก 49.18; ปฐก 49.20; ปฐก 49.24; ปฐก 49.25; ปฐก 49.26; ปฐก 49.32; ปฐก 50.13; ปฐก 50.24; ปฐก 50.25; อพย 1.5; อพย 1.10; อพย 2.10; อพย 2.15; อพย 2.19; อพย 3.4; อพย 3.8; อพย 3.17; อพย 3.22; อพย 4.3; อพย 4.9; อพย 5.20; อพย 6.6; อพย 6.7; อพย 6.11; อพย 7.2; อพย 7.4; อพย 8.8; อพย 8.9; อพย 8.11; อพย 8.12; อพย 8.29; อพย 8.31; อพย 9.8; อพย 9.10; อพย 9.15; อพย 9.29; อพย 9.33; อพย 10.5; อพย 10.6; อพย 10.11; อพย 10.12; อพย 10.15; อพย 10.17; อพย 10.18; อพย 10.19; อพย 10.23; อพย 10.26; อพย 10.28; อพย 11.1; อพย 11.2; อพย 11.8; อพย 11.10; อพย 12.5; อพย 12.15; อพย 12.17; อพย 12.19; อพย 12.31; อพย 12.33; อพย 12.35; อพย 12.39; อพย 13.3; อพย 13.9; อพย 13.12; อพย 13.14; อพย 13.18; อพย 13.19; อพย 13.22; อพย 14.5; อพย 14.11; อพย 14.13; อพย 14.24; อพย 14.25; อพย 14.30; อพย 15.8; อพย 16.1; อพย 16.4; อพย 17.3; อพย 17.6; อพย 18.4; อพย 18.9; อพย 18.10; อพย 18.21; อพย 18.25; อพย 19.3; อพย 19.14; อพย 19.18; อพย 20.2; อพย 20.3; อพย 20.18; อพย 20.22; อพย 21.14; อพย 21.22; อพย 21.30; อพย 22.7; อพย 22.10; อพย 22.14; อพย 22.25; อพย 23.6; อพย 23.7; อพย 23.16; อพย 23.18; อพย 23.19; อพย 23.25; อพย 24.16; อพย 25.2; อพย 25.3; อพย 25.22; อพย 28.1; อพย 28.28; อพย 29.23; อพย 29.25; อพย 29.27; อพย 29.28; อพย 30.16; อพย 30.33; อพย 30.38; อพย 31.14; อพย 32.1; อพย 32.3; อพย 32.4; อพย 32.11; อพย 32.12; อพย 32.15; อพย 32.16; อพย 32.32; อพย 32.33; อพย 33.1; อพย 33.2; อพย 33.7; อพย 33.11; อพย 33.15; อพย 34.26; อพย 34.29; อพย 35.5; อพย 35.20; อพย 36.3; อพย 38.8; อพย 38.26; อพย 39.21; อพย 40.36; ลนต 1.1; ลนต 1.2; ลนต 1.3; ลนต 1.10; ลนต 1.17; ลนต 2.3; ลนต 2.10; ลนต 2.13; ลนต 3.1; ลนต 3.3; ลนต 3.6; ลนต 3.9; ลนต 3.14; ลนต 4.8; ลนต 4.12; ลนต 4.31; ลนต 5.6; ลนต 5.8; ลนต 5.15; ลนต 5.18; ลนต 6.4; ลนต 6.6; ลนต 6.15; ลนต 6.18; ลนต 6.22; ลนต 7.14; ลนต 7.20; ลนต 7.21; ลนต 7.25; ลนต 7.27; ลนต 7.29; ลนต 7.32; ลนต 7.34; ลนต 7.35; ลนต 8.26; ลนต 8.28; ลนต 9.10; ลนต 9.22; ลนต 10.2; ลนต 10.4; ลนต 10.7; ลนต 10.10; ลนต 10.12; ลนต 10.13; ลนต 10.14; ลนต 11.34; ลนต 13.7; ลนต 13.40; ลนต 13.56; ลนต 14.3; ลนต 14.7; ลนต 14.9; ลนต 14.19; ลนต 14.53; ลนต 15.31; ลนต 16.5; ลนต 16.12; ลนต 16.19; ลนต 16.30; ลนต 17.4; ลนต 17.9; ลนต 17.10; ลนต 18.11; ลนต 18.29; ลนต 19.8; ลนต 19.36; ลนต 20.3; ลนต 20.5; ลนต 20.6; ลนต 20.18; ลนต 21.7; ลนต 21.12; ลนต 22.2; ลนต 22.21; ลนต 22.25; ลนต 23.15; ลนต 23.17; ลนต 23.29; ลนต 23.30; ลนต 23.32; ลนต 23.39; ลนต 23.40; ลนต 24.2; ลนต 24.9; ลนต 24.14; ลนต 24.23; ลนต 25.11; ลนต 25.12; ลนต 25.14; ลนต 25.15; ลนต 25.33; ลนต 25.36; ลนต 25.37; ลนต 25.41; ลนต 25.44; ลนต 25.45; ลนต 26.6; ลนต 26.36; ลนต 26.43; ลนต 26.45; ลนต 27.18; ลนต 27.29; ลนต 27.30; ลนต 27.32; กดว 1.4; กดว 1.5; กดว 1.6; กดว 1.7; กดว 1.8; กดว 1.9; กดว 1.10; กดว 1.11; กดว 1.12; กดว 1.13; กดว 1.14; กดว 1.15; กดว 1.32; กดว 3.9; กดว 3.12; กดว 3.49; กดว 3.50; กดว 4.2; กดว 4.3; กดว 4.18; กดว 5.19; กดว 6.3; กดว 6.4; กดว 6.19; กดว 7.5; กดว 7.84; กดว 7.89; กดว 8.11; กดว 8.16; กดว 8.19; กดว 9.13; กดว 9.17; กดว 10.9; กดว 10.11; กดว 10.12; กดว 10.31; กดว 10.33; กดว 11.13; กดว 11.20; กดว 11.31; กดว 11.35; กดว 12.12; กดว 12.16; กดว 13.2; กดว 13.3; กดว 13.24; กดว 13.25; กดว 13.33; กดว 14.12; กดว 14.13; กดว 14.43; กดว 15.3; กดว 15.20; กดว 15.30; กดว 16.2; กดว 16.13; กดว 16.21; กดว 16.24; กดว 16.26; กดว 16.27; กดว 16.33; กดว 16.35; กดว 16.37; กดว 16.45; กดว 16.46; กดว 17.2; กดว 17.5; กดว 17.9; กดว 18.26; กดว 18.27; กดว 18.28; กดว 18.29; กดว 18.30; กดว 19.13; กดว 19.17; กดว 19.20; กดว 20.9; กดว 20.14; กดว 20.17; กดว 20.21; กดว 20.22; กดว 20.28; กดว 21.4; กดว 21.7; กดว 21.11; กดว 21.13; กดว 21.16; กดว 21.18; กดว 21.19; กดว 21.20; กดว 21.22; กดว 21.24; กดว 21.28; กดว 22.5; กดว 22.6; กดว 22.33; กดว 22.41; กดว 23.7; กดว 23.9; กดว 23.13; กดว 23.27; กดว 24.8; กดว 24.17; กดว 24.19; กดว 24.24; กดว 25.4; กดว 25.7; กดว 26.9; กดว 27.1; กดว 27.4; กดว 31.4; กดว 31.5; กดว 31.14; กดว 31.28; กดว 31.29; กดว 31.30; กดว 31.32; กดว 31.42; กดว 31.47; กดว 31.51; กดว 31.52; กดว 31.54; กดว 32.8; กดว 32.15; กดว 32.22; กดว 33.1; กดว 33.3; กดว 33.5; กดว 33.6; กดว 33.7; กดว 33.8; กดว 33.9; กดว 33.10; กดว 33.11; กดว 33.12; กดว 33.13; กดว 33.14; กดว 33.15; กดว 33.16; กดว 33.17; กดว 33.18; กดว 33.19; กดว 33.20; กดว 33.21; กดว 33.22; กดว 33.23; กดว 33.24; กดว 33.25; กดว 33.26; กดว 33.27; กดว 33.28; กดว 33.29; กดว 33.30; กดว 33.31; กดว 33.32; กดว 33.33; กดว 33.34; กดว 33.35; กดว 33.36; กดว 33.37; กดว 33.41; กดว 33.42; กดว 33.43; กดว 33.44; กดว 33.45; กดว 33.46; กดว 33.47; กดว 33.48; กดว 34.3; กดว 34.5; กดว 34.7; กดว 34.8; กดว 34.10; กดว 34.11; กดว 34.19; กดว 34.20; กดว 34.21; กดว 34.22; กดว 34.23; กดว 34.24; กดว 34.25; กดว 34.26; กดว 34.27; กดว 34.28; กดว 35.2; กดว 35.4; กดว 35.8; กดว 35.12; กดว 35.25; กดว 36.2; กดว 36.3; กดว 36.4; กดว 36.7; กดว 36.9; พบญ 1.2; พบญ 1.15; พบญ 1.19; พบญ 1.23; พบญ 1.27; พบญ 2.6; พบญ 2.8; พบญ 2.14; พบญ 2.15; พบญ 2.16; พบญ 2.23; พบญ 2.26; พบญ 3.8; พบญ 4.3; พบญ 4.9; พบญ 4.12; พบญ 4.15; พบญ 4.20; พบญ 4.26; พบญ 4.32; พบญ 4.33; พบญ 4.34; พบญ 4.36; พบญ 4.46; พบญ 5.4; พบญ 5.7; พบญ 5.15; พบญ 5.22; พบญ 5.23; พบญ 5.24; พบญ 5.26; พบญ 6.15; พบญ 6.21; พบญ 6.23; พบญ 7.4; พบญ 7.8; พบญ 7.13; พบญ 7.15; พบญ 7.20; พบญ 7.24; พบญ 8.3; พบญ 8.9; พบญ 8.15; พบญ 9.10; พบญ 9.12; พบญ 9.14; พบญ 9.15; พบญ 9.16; พบญ 9.17; พบญ 9.21; พบญ 9.23; พบญ 9.26; พบญ 9.28; พบญ 10.4; พบญ 10.5; พบญ 10.6; พบญ 10.7; พบญ 10.15; พบญ 11.10; พบญ 11.11; พบญ 11.17; พบญ 11.24; พบญ 11.28; พบญ 12.3; พบญ 12.5; พบญ 12.6; พบญ 12.17; พบญ 12.21; พบญ 12.26; พบญ 12.30; พบญ 12.32; พบญ 13.5; พบญ 13.7; พบญ 13.10; พบญ 13.13; พบญ 13.17; พบญ 14.2; พบญ 14.22; พบญ 14.23; พบญ 14.24; พบญ 14.28; พบญ 15.2; พบญ 15.3; พบญ 15.11; พบญ 15.12; พบญ 15.13; พบญ 15.14; พบญ 15.16; พบญ 15.19; พบญ 16.2; พบญ 16.3; พบญ 16.10; พบญ 16.13; พบญ 17.7; พบญ 17.10; พบญ 17.11; พบญ 17.12; พบญ 17.18; พบญ 17.20; พบญ 18.3; พบญ 18.4; พบญ 18.5; พบญ 18.6; พบญ 18.8; พบญ 18.12; พบญ 18.15; พบญ 18.16; พบญ 19.5; พบญ 19.12; พบญ 19.13; พบญ 19.19; พบญ 20.1; พบญ 20.6; พบญ 20.14; พบญ 20.15; พบญ 20.19; พบญ 21.9; พบญ 21.21; พบญ 22.8; พบญ 22.22; พบญ 22.24; พบญ 23.4; พบญ 23.9; พบญ 23.14; พบญ 23.15; พบญ 23.21; พบญ 23.23; พบญ 24.1; พบญ 24.7; พบญ 24.21; พบญ 25.6; พบญ 25.11; พบญ 25.19; พบญ 26.2; พบญ 26.4; พบญ 26.10; พบญ 26.12; พบญ 26.15; พบญ 28.14; พบญ 28.21; พบญ 28.24; พบญ 28.42; พบญ 28.49; พบญ 28.51; พบญ 28.57; พบญ 28.63; พบญ 29.5; พบญ 29.18; พบญ 29.20; พบญ 29.22; พบญ 29.28; พบญ 30.3; พบญ 30.4; พบญ 30.11; พบญ 31.17; พบญ 31.18; พบญ 31.29; พบญ 32.1; พบญ 32.13; พบญ 32.14; พบญ 32.20; พบญ 32.26; พบญ 32.32; พบญ 33.2; พบญ 33.7; พบญ 33.13; พบญ 33.15; พบญ 33.16; พบญ 33.19; พบญ 33.22; พบญ 34.1; ยชว 1.7; ยชว 1.8; ยชว 2.1; ยชว 2.4; ยชว 2.13; ยชว 2.20; ยชว 2.23; ยชว 3.4; ยชว 3.13; ยชว 3.14; ยชว 3.16; ยชว 4.2; ยชว 4.3; ยชว 4.4; ยชว 4.7; ยชว 4.8; ยชว 4.16; ยชว 4.17; ยชว 4.18; ยชว 4.19; ยชว 4.20; ยชว 5.4; ยชว 5.5; ยชว 5.6; ยชว 5.11; ยชว 5.12; ยชว 6.10; ยชว 6.18; ยชว 7.5; ยชว 7.9; ยชว 7.12; ยชว 7.13; ยชว 7.19; ยชว 7.23; ยชว 7.26; ยชว 8.4; ยชว 8.6; ยชว 8.7; ยชว 8.16; ยชว 8.22; ยชว 8.29; ยชว 9.6; ยชว 9.8; ยชว 9.9; ยชว 9.14; ยชว 9.22; ยชว 9.26; ยชว 10.6; ยชว 10.7; ยชว 10.9; ยชว 10.11; ยชว 10.27; ยชว 10.29; ยชว 10.36; ยชว 11.14; ยชว 11.20; ยชว 11.21; ยชว 11.23; ยชว 12.1; ยชว 12.2; ยชว 12.3; ยชว 13.5; ยชว 13.6; ยชว 14.7; ยชว 14.15; ยชว 15.2; ยชว 15.7; ยชว 15.9; ยชว 15.10; ยชว 15.11; ยชว 15.15; ยชว 15.18; ยชว 15.46; ยชว 16.1; ยชว 16.2; ยชว 16.7; ยชว 16.8; ยชว 17.7; ยชว 18.13; ยชว 18.14; ยชว 18.15; ยชว 18.17; ยชว 19.12; ยชว 19.13; ยชว 19.29; ยชว 19.33; ยชว 19.34; ยชว 20.3; ยชว 20.6; ยชว 20.8; ยชว 21.3; ยชว 21.4; ยชว 21.5; ยชว 21.6; ยชว 21.7; ยชว 21.9; ยชว 21.16; ยชว 21.17; ยชว 21.20; ยชว 21.23; ยชว 21.25; ยชว 21.27; ยชว 21.28; ยชว 21.30; ยชว 21.32; ยชว 21.34; ยชว 21.36; ยชว 21.38; ยชว 22.8; ยชว 22.9; ยชว 22.14; ยชว 22.16; ยชว 22.18; ยชว 22.23; ยชว 22.27; ยชว 22.29; ยชว 22.31; ยชว 22.32; ยชว 23.1; ยชว 23.13; ยชว 23.15; ยชว 23.16; ยชว 24.3; ยชว 24.17; ยชว 24.32; วนฉ 1.11; วนฉ 1.14; วนฉ 1.16; วนฉ 1.24; วนฉ 2.1; วนฉ 2.12; วนฉ 2.17; วนฉ 2.18; วนฉ 2.19; วนฉ 3.19; วนฉ 3.20; วนฉ 3.27; วนฉ 4.6; วนฉ 4.11; วนฉ 4.13; วนฉ 4.14; วนฉ 4.15; วนฉ 5.4; วนฉ 5.11; วนฉ 5.14; วนฉ 5.20; วนฉ 6.8; วนฉ 6.9; วนฉ 6.14; วนฉ 6.18; วนฉ 6.21; วนฉ 6.38; วนฉ 7.3; วนฉ 7.23; วนฉ 8.13; วนฉ 8.22; วนฉ 8.24; วนฉ 8.30; วนฉ 9.15; วนฉ 9.17; วนฉ 9.20; วนฉ 9.35; วนฉ 9.36; วนฉ 9.37; วนฉ 9.43; วนฉ 10.1; วนฉ 10.11; วนฉ 11.3; วนฉ 11.5; วนฉ 11.7; วนฉ 11.13; วนฉ 11.29; วนฉ 11.31; วนฉ 11.33; วนฉ 11.37; วนฉ 13.5; วนฉ 13.6; วนฉ 13.14; วนฉ 13.20; วนฉ 13.23; วนฉ 14.3; วนฉ 14.4; วนฉ 14.9; วนฉ 14.14; วนฉ 15.13; วนฉ 15.19; วนฉ 16.17; วนฉ 16.20; วนฉ 16.25; วนฉ 17.2; วนฉ 17.3; วนฉ 17.9; วนฉ 18.2; วนฉ 18.7; วนฉ 18.13; วนฉ 18.22; วนฉ 18.28; วนฉ 19.1; วนฉ 19.16; วนฉ 19.17; วนฉ 19.18; วนฉ 20.13; วนฉ 20.14; วนฉ 20.21; วนฉ 20.25; วนฉ 20.31; วนฉ 20.32; วนฉ 20.34; วนฉ 20.38; วนฉ 20.40; วนฉ 20.42; วนฉ 21.6; วนฉ 21.8; วนฉ 21.15; วนฉ 21.17; วนฉ 21.19; วนฉ 21.21; วนฉ 21.24; นรธ 1.2; นรธ 1.5; นรธ 1.6; นรธ 1.16; นรธ 1.17; นรธ 1.21; นรธ 1.22; นรธ 2.4; นรธ 2.6; นรธ 2.11; นรธ 2.20; นรธ 4.3; นรธ 4.5; นรธ 4.9; นรธ 4.10; นรธ 4.15; 1ซมอ 1.3; 1ซมอ 1.20; 1ซมอ 2.3; 1ซมอ 2.8; 1ซมอ 2.15; 1ซมอ 2.23; 1ซมอ 2.29; 1ซมอ 2.30; 1ซมอ 2.33; 1ซมอ 3.17; 1ซมอ 3.18; 1ซมอ 4.3; 1ซมอ 4.4; 1ซมอ 4.8; 1ซมอ 4.12; 1ซมอ 4.16; 1ซมอ 4.18; 1ซมอ 4.21; 1ซมอ 4.22; 1ซมอ 5.1; 1ซมอ 6.3; 1ซมอ 6.5; 1ซมอ 6.6; 1ซมอ 6.7; 1ซมอ 6.20; 1ซมอ 7.3; 1ซมอ 7.8; 1ซมอ 7.14; 1ซมอ 8.8; 1ซมอ 9.16; 1ซมอ 9.25; 1ซมอ 10.2; 1ซมอ 10.4; 1ซมอ 10.5; 1ซมอ 10.9; 1ซมอ 10.18; 1ซมอ 10.19; 1ซมอ 10.23; 1ซมอ 11.5; 1ซมอ 12.3; 1ซมอ 12.4; 1ซมอ 12.6; 1ซมอ 12.11; 1ซมอ 12.20; 1ซมอ 13.8; 1ซมอ 13.11; 1ซมอ 13.15; 1ซมอ 13.17; 1ซมอ 14.11; 1ซมอ 14.17; 1ซมอ 14.21; 1ซมอ 14.30; 1ซมอ 14.31; 1ซมอ 14.48; 1ซมอ 15.6; 1ซมอ 15.11; 1ซมอ 15.15; 1ซมอ 15.21; 1ซมอ 15.26; 1ซมอ 15.28; 1ซมอ 16.1; 1ซมอ 16.14; 1ซมอ 16.15; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 16.23; 1ซมอ 17.4; 1ซมอ 17.15; 1ซมอ 17.18; 1ซมอ 17.23; 1ซมอ 17.34; 1ซมอ 17.35; 1ซมอ 17.37; 1ซมอ 17.40; 1ซมอ 17.52; 1ซมอ 17.53; 1ซมอ 17.57; 1ซมอ 18.6; 1ซมอ 18.10; 1ซมอ 18.11; 1ซมอ 18.12; 1ซมอ 19.8; 1ซมอ 19.9; 1ซมอ 20.1; 1ซมอ 20.2; 1ซมอ 20.15; 1ซมอ 20.34; 1ซมอ 20.41; 1ซมอ 20.42; 1ซมอ 21.4; 1ซมอ 21.5; 1ซมอ 21.6; 1ซมอ 21.10; 1ซมอ 22.1; 1ซมอ 23.13; 1ซมอ 23.26; 1ซมอ 23.28; 1ซมอ 23.29; 1ซมอ 24.1; 1ซมอ 24.2; 1ซมอ 24.8; 1ซมอ 24.13; 1ซมอ 24.21; 1ซมอ 25.10; 1ซมอ 25.11; 1ซมอ 25.14; 1ซมอ 25.23; 1ซมอ 25.26; 1ซมอ 25.29; 1ซมอ 25.33; 1ซมอ 25.34; 1ซมอ 25.35; 1ซมอ 25.37; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 26.12; 1ซมอ 26.22; 1ซมอ 26.24; 1ซมอ 27.1; 1ซมอ 28.3; 1ซมอ 28.9; 1ซมอ 28.13; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 28.16; 1ซมอ 28.17; 1ซมอ 28.23; 1ซมอ 30.13; 1ซมอ 30.16; 1ซมอ 30.19; 1ซมอ 30.26; 1ซมอ 31.8; 1ซมอ 31.12; 2ซมอ 1.1; 2ซมอ 1.2; 2ซมอ 1.3; 2ซมอ 1.4; 2ซมอ 1.13; 2ซมอ 1.22; 2ซมอ 1.23; 2ซมอ 2.19; 2ซมอ 2.21; 2ซมอ 2.22; 2ซมอ 2.30; 2ซมอ 3.10; 2ซมอ 3.13; 2ซมอ 3.15; 2ซมอ 3.18; 2ซมอ 3.22; 2ซมอ 3.26; 2ซมอ 3.29; 2ซมอ 4.4; 2ซมอ 4.9; 2ซมอ 4.11; 2ซมอ 5.13; 2ซมอ 5.25; 2ซมอ 6.2; 2ซมอ 6.3; 2ซมอ 6.4; 2ซมอ 6.12; 2ซมอ 7.1; 2ซมอ 7.8; 2ซมอ 7.11; 2ซมอ 7.12; 2ซมอ 7.15; 2ซมอ 7.23; 2ซมอ 8.1; 2ซมอ 8.8; 2ซมอ 8.11; 2ซมอ 8.12; 2ซมอ 8.13; 2ซมอ 9.5; 2ซมอ 10.6; 2ซมอ 10.14; 2ซมอ 10.18; 2ซมอ 11.2; 2ซมอ 11.8; 2ซมอ 11.20; 2ซมอ 11.21; 2ซมอ 11.24; 2ซมอ 12.7; 2ซมอ 12.10; 2ซมอ 12.11; 2ซมอ 12.17; 2ซมอ 12.20; 2ซมอ 12.30; 2ซมอ 13.5; 2ซมอ 13.6; 2ซมอ 13.10; 2ซมอ 14.2; 2ซมอ 14.16; 2ซมอ 14.32; 2ซมอ 15.2; 2ซมอ 15.11; 2ซมอ 15.12; 2ซมอ 15.14; 2ซมอ 15.18; 2ซมอ 15.28; 2ซมอ 16.11; 2ซมอ 16.23; 2ซมอ 17.21; 2ซมอ 17.27; 2ซมอ 17.29; 2ซมอ 18.3; 2ซมอ 18.16; 2ซมอ 19.9; 2ซมอ 19.11; 2ซมอ 19.16; 2ซมอ 19.17; 2ซมอ 19.24; 2ซมอ 19.31; 2ซมอ 20.2; 2ซมอ 20.7; 2ซมอ 20.12; 2ซมอ 20.16; 2ซมอ 20.20; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 20.22; 2ซมอ 21.4; 2ซมอ 21.10; 2ซมอ 21.12; 2ซมอ 21.13; 2ซมอ 22.1; 2ซมอ 22.3; 2ซมอ 22.4; 2ซมอ 22.7; 2ซมอ 22.9; 2ซมอ 22.13; 2ซมอ 22.14; 2ซมอ 22.16; 2ซมอ 22.17; 2ซมอ 22.18; 2ซมอ 22.22; 2ซมอ 22.23; 2ซมอ 22.24; 2ซมอ 22.44; 2ซมอ 22.46; 2ซมอ 22.49; 2ซมอ 23.15; 2ซมอ 23.17; 2ซมอ 23.21; 2ซมอ 24.4; 2ซมอ 24.21; 2ซมอ 24.24; 2ซมอ 24.25; 1พกษ 1.13; 1พกษ 1.17; 1พกษ 1.24; 1พกษ 1.27; 1พกษ 1.29; 1พกษ 1.30; 1พกษ 1.39; 1พกษ 1.45; 1พกษ 1.53; 1พกษ 2.7; 1พกษ 2.8; 1พกษ 2.15; 1พกษ 2.20; 1พกษ 2.27; 1พกษ 2.31; 1พกษ 2.33; 1พกษ 2.40; 1พกษ 2.41; 1พกษ 3.20; 1พกษ 4.23; 1พกษ 4.33; 1พกษ 4.34; 1พกษ 5.9; 1พกษ 5.13; 1พกษ 6.1; 1พกษ 6.7; 1พกษ 6.8; 1พกษ 6.16; 1พกษ 6.24; 1พกษ 7.13; 1พกษ 7.23; 1พกษ 8.1; 1พกษ 8.8; 1พกษ 8.9; 1พกษ 8.10; 1พกษ 8.19; 1พกษ 8.21; 1พกษ 8.35; 1พกษ 8.41; 1พกษ 8.50; 1พกษ 8.51; 1พกษ 8.53; 1พกษ 8.54; 1พกษ 9.6; 1พกษ 9.7; 1พกษ 9.12; 1พกษ 9.20; 1พกษ 9.24; 1พกษ 9.28; 1พกษ 10.11; 1พกษ 10.13; 1พกษ 10.15; 1พกษ 10.28; 1พกษ 10.29; 1พกษ 11.9; 1พกษ 11.11; 1พกษ 11.18; 1พกษ 11.23; 1พกษ 11.29; 1พกษ 11.31; 1พกษ 11.32; 1พกษ 12.2; 1พกษ 12.16; 1พกษ 12.24; 1พกษ 12.25; 1พกษ 12.31; 1พกษ 13.1; 1พกษ 13.5; 1พกษ 13.12; 1พกษ 13.14; 1พกษ 13.21; 1พกษ 13.26; 1พกษ 13.33; 1พกษ 13.34; 1พกษ 14.7; 1พกษ 14.8; 1พกษ 14.10; 1พกษ 14.15; 1พกษ 14.21; 1พกษ 15.5; 1พกษ 15.12; 1พกษ 15.13; 1พกษ 15.17; 1พกษ 15.19; 1พกษ 16.2; 1พกษ 16.7; 1พกษ 16.17; 1พกษ 16.24; 1พกษ 17.3; 1พกษ 17.4; 1พกษ 17.6; 1พกษ 17.19; 1พกษ 17.23; 1พกษ 18.12; 1พกษ 18.44; 1พกษ 19.17; 1พกษ 19.19; 1พกษ 19.21; 1พกษ 20.9; 1พกษ 20.17; 1พกษ 20.19; 1พกษ 20.24; 1พกษ 20.34; 1พกษ 20.36; 1พกษ 20.38; 1พกษ 21.21; 1พกษ 22.3; 1พกษ 22.24; 1พกษ 22.33; 1พกษ 22.43; 1พกษ 22.46; 1พกษ 22.48; 2พกษ 1.2; 2พกษ 1.4; 2พกษ 1.6; 2พกษ 1.10; 2พกษ 1.12; 2พกษ 1.14; 2พกษ 1.16; 2พกษ 2.1; 2พกษ 2.2; 2พกษ 2.3; 2พกษ 2.4; 2พกษ 2.5; 2พกษ 2.6; 2พกษ 2.7; 2พกษ 2.9; 2พกษ 2.10; 2พกษ 2.13; 2พกษ 2.21; 2พกษ 2.23; 2พกษ 2.24; 2พกษ 2.25; 2พกษ 3.3; 2พกษ 3.20; 2พกษ 3.27; 2พกษ 4.3; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.28; 2พกษ 4.30; 2พกษ 4.42; 2พกษ 5.2; 2พกษ 5.4; 2พกษ 5.6; 2พกษ 5.15; 2พกษ 5.20; 2พกษ 5.21; 2พกษ 5.22; 2พกษ 5.24; 2พกษ 5.26; 2พกษ 5.27; 2พกษ 6.27; 2พกษ 6.32; 2พกษ 6.33; 2พกษ 7.8; 2พกษ 7.12; 2พกษ 8.3; 2พกษ 8.14; 2พกษ 8.20; 2พกษ 8.22; 2พกษ 8.29; 2พกษ 9.2; 2พกษ 9.8; 2พกษ 9.15; 2พกษ 10.15; 2พกษ 10.28; 2พกษ 10.29; 2พกษ 10.31; 2พกษ 11.2; 2พกษ 11.19; 2พกษ 12.4; 2พกษ 12.5; 2พกษ 12.7; 2พกษ 12.8; 2พกษ 12.15; 2พกษ 12.16; 2พกษ 12.18; 2พกษ 13.2; 2พกษ 13.5; 2พกษ 13.6; 2พกษ 13.11; 2พกษ 13.17; 2พกษ 13.25; 2พกษ 14.24; 2พกษ 14.25; 2พกษ 14.27; 2พกษ 15.9; 2พกษ 15.14; 2พกษ 15.18; 2พกษ 15.20; 2พกษ 15.24; 2พกษ 15.28; 2พกษ 16.3; 2พกษ 16.6; 2พกษ 16.7; 2พกษ 16.11; 2พกษ 16.12; 2พกษ 16.14; 2พกษ 16.17; 2พกษ 17.7; 2พกษ 17.13; 2พกษ 17.18; 2พกษ 17.20; 2พกษ 17.21; 2พกษ 17.22; 2พกษ 17.23; 2พกษ 17.24; 2พกษ 17.27; 2พกษ 17.28; 2พกษ 17.32; 2พกษ 17.33; 2พกษ 17.36; 2พกษ 18.5; 2พกษ 18.6; 2พกษ 18.14; 2พกษ 18.16; 2พกษ 18.17; 2พกษ 18.29; 2พกษ 18.31; 2พกษ 18.33; 2พกษ 18.34; 2พกษ 18.35; 2พกษ 19.14; 2พกษ 19.29; 2พกษ 19.31; 2พกษ 20.6; 2พกษ 20.9; 2พกษ 20.14; 2พกษ 20.18; 2พกษ 21.7; 2พกษ 21.8; 2พกษ 21.16; 2พกษ 22.4; 2พกษ 22.7; 2พกษ 23.4; 2พกษ 23.6; 2พกษ 23.16; 2พกษ 23.17; 2พกษ 23.18; 2พกษ 23.26; 2พกษ 23.27; 2พกษ 23.30; 2พกษ 23.33; 2พกษ 23.35; 2พกษ 24.3; 2พกษ 24.7; 2พกษ 24.15; 2พกษ 25.5; 2พกษ 25.19; 2พกษ 25.21; 2พกษ 25.27; 2พกษ 25.30; 1พศด 1.12; 1พศด 2.23; 1พศด 2.53; 1พศด 2.55; 1พศด 3.9; 1พศด 4.3; 1พศด 4.10; 1พศด 5.2; 1พศด 5.22; 1พศด 6.60; 1พศด 6.61; 1พศด 6.62; 1พศด 6.63; 1พศด 6.65; 1พศด 6.66; 1พศด 6.70; 1พศด 6.72; 1พศด 6.74; 1พศด 6.76; 1พศด 6.77; 1พศด 6.78; 1พศด 6.80; 1พศด 8.8; 1พศด 9.5; 1พศด 9.6; 1พศด 9.7; 1พศด 9.10; 1พศด 9.14; 1พศด 10.8; 1พศด 10.14; 1พศด 11.17; 1พศด 11.18; 1พศด 11.23; 1พศด 12.8; 1พศด 12.25; 1พศด 12.26; 1พศด 12.28; 1พศด 12.29; 1พศด 12.30; 1พศด 12.31; 1พศด 12.32; 1พศด 12.33; 1พศด 12.34; 1พศด 12.35; 1พศด 12.36; 1พศด 12.37; 1พศด 13.5; 1พศด 13.6; 1พศด 13.7; 1พศด 15.5; 1พศด 15.6; 1พศด 15.7; 1พศด 15.8; 1พศด 15.9; 1พศด 15.10; 1พศด 15.17; 1พศด 15.25; 1พศด 16.20; 1พศด 16.35; 1พศด 16.43; 1พศด 17.5; 1พศด 17.7; 1พศด 17.13; 1พศด 17.21; 1พศด 18.1; 1พศด 18.4; 1พศด 18.8; 1พศด 18.11; 1พศด 19.6; 1พศด 19.7; 1พศด 19.10; 1พศด 20.2; 1พศด 21.4; 1พศด 21.21; 1พศด 21.22; 1พศด 21.26; 1พศด 22.9; 1พศด 23.4; 1พศด 23.7; 1พศด 24.6; 1พศด 24.20; 1พศด 24.21; 1พศด 24.22; 1พศด 25.1; 1พศด 25.2; 1พศด 25.3; 1พศด 25.4; 1พศด 26.1; 1พศด 26.19; 1พศด 26.20; 1พศด 26.23; 1พศด 26.25; 1พศด 26.27; 1พศด 26.29; 1พศด 26.30; 1พศด 26.31; 1พศด 27.7; 1พศด 27.13; 1พศด 27.14; 1พศด 27.15; 1พศด 27.34; 1พศด 28.4; 1พศด 29.12; 1พศด 29.14; 1พศด 29.16; 1พศด 29.21; 2พศด 1.4; 2พศด 1.13; 2พศด 1.16; 2พศด 1.17; 2พศด 2.8; 2พศด 2.16; 2พศด 4.2; 2พศด 5.2; 2พศด 5.9; 2พศด 5.10; 2พศด 5.11; 2พศด 6.9; 2พศด 6.23; 2พศด 6.26; 2พศด 6.32; 2พศด 7.1; 2พศด 7.14; 2พศด 7.20; 2พศด 8.8; 2พศด 8.11; 2พศด 8.15; 2พศด 8.18; 2พศด 9.10; 2พศด 9.12; 2พศด 9.14; 2พศด 9.28; 2พศด 10.2; 2พศด 11.4; 2พศด 11.13; 2พศด 11.16; 2พศด 12.3; 2พศด 12.12; 2พศด 12.13; 2พศด 13.13; 2พศด 13.19; 2พศด 14.5; 2พศด 14.8; 2พศด 15.8; 2พศด 15.9; 2พศด 15.11; 2พศด 15.16; 2พศด 15.17; 2พศด 16.2; 2พศด 16.3; 2พศด 16.12; 2พศด 17.6; 2พศด 17.10; 2พศด 17.19; 2พศด 18.23; 2พศด 18.31; 2พศด 18.32; 2พศด 19.3; 2พศด 19.10; 2พศด 20.2; 2พศด 20.4; 2พศด 20.10; 2พศด 20.11; 2พศด 20.19; 2พศด 20.25; 2พศด 20.32; 2พศด 21.8; 2พศด 21.10; 2พศด 21.12; 2พศด 21.20; 2พศด 22.11; 2พศด 23.2; 2พศด 23.20; 2พศด 24.5; 2พศด 24.6; 2พศด 24.23; 2พศด 24.25; 2พศด 25.6; 2พศด 25.10; 2พศด 25.12; 2พศด 25.14; 2พศด 25.15; 2พศด 25.20; 2พศด 25.27; 2พศด 26.5; 2พศด 26.18; 2พศด 26.20; 2พศด 26.21; 2พศด 28.8; 2พศด 28.11; 2พศด 28.12; 2พศด 28.21; 2พศด 29.5; 2พศด 29.6; 2พศด 29.10; 2พศด 29.25; 2พศด 30.6; 2พศด 30.8; 2พศด 30.9; 2พศด 30.16; 2พศด 30.18; 2พศด 30.25; 2พศด 31.3; 2พศด 32.11; 2พศด 32.13; 2พศด 32.14; 2พศด 32.15; 2พศด 32.17; 2พศด 32.21; 2พศด 32.22; 2พศด 33.8; 2พศด 33.15; 2พศด 34.9; 2พศด 34.33; 2พศด 35.7; 2พศด 35.11; 2พศด 35.22; 2พศด 36.12; 2พศด 36.20; อสร 1.4; อสร 1.6; อสร 1.7; อสร 1.11; อสร 2.1; อสร 2.59; อสร 2.61; อสร 2.65; อสร 3.7; อสร 3.8; อสร 4.12; อสร 4.14; อสร 4.15; อสร 5.14; อสร 6.4; อสร 6.5; อสร 6.8; อสร 6.11; อสร 6.21; อสร 7.6; อสร 7.9; อสร 7.21; อสร 7.24; อสร 7.28; อสร 8.1; อสร 8.2; อสร 8.3; อสร 8.4; อสร 8.5; อสร 8.6; อสร 8.7; อสร 8.8; อสร 8.9; อสร 8.10; อสร 8.11; อสร 8.12; อสร 8.13; อสร 8.14; อสร 8.21; อสร 8.22; อสร 8.31; อสร 8.35; อสร 9.5; อสร 9.8; อสร 10.1; อสร 10.2; อสร 10.3; อสร 10.6; อสร 10.8; อสร 10.11; อสร 10.14; อสร 10.18; อสร 10.19; อสร 10.20; อสร 10.21; อสร 10.22; อสร 10.23; อสร 10.24; อสร 10.25; อสร 10.26; อสร 10.27; อสร 10.28; อสร 10.29; อสร 10.30; อสร 10.31; อสร 10.33; อสร 10.34; อสร 10.43; อสร 10.44; นหม 1.2; นหม 1.3; นหม 1.9; นหม 3.15; นหม 3.25; นหม 4.2; นหม 4.12; นหม 4.19; นหม 5.7; นหม 5.11; นหม 5.12; นหม 5.13; นหม 5.15; นหม 5.17; นหม 6.9; นหม 7.3; นหม 7.6; นหม 7.61; นหม 7.63; นหม 7.67; นหม 8.8; นหม 8.17; นหม 8.18; นหม 9.7; นหม 9.13; นหม 9.15; นหม 9.18; นหม 9.19; นหม 9.20; นหม 9.27; นหม 9.28; นหม 9.35; นหม 10.31; นหม 10.37; นหม 11.10; นหม 11.15; นหม 11.16; นหม 11.23; นหม 11.30; นหม 11.31; นหม 12.28; นหม 12.29; นหม 13.3; นหม 13.8; นหม 13.28; นหม 13.30; อสธ 1.19; อสธ 2.6; อสธ 2.9; อสธ 2.13; อสธ 4.14; อสธ 7.7; อสธ 7.8; อสธ 8.2; อสธ 8.17; อสธ 9.22; โยบ 1.1; โยบ 1.7; โยบ 1.8; โยบ 1.12; โยบ 1.16; โยบ 1.21; โยบ 2.2; โยบ 2.3; โยบ 2.7; โยบ 2.10; โยบ 2.11; โยบ 3.4; โยบ 3.10; โยบ 3.11; โยบ 3.19; โยบ 4.13; โยบ 5.4; โยบ 5.6; โยบ 5.15; โยบ 5.19; โยบ 5.20; โยบ 5.21; โยบ 6.4; โยบ 6.14; โยบ 6.17; โยบ 6.22; โยบ 6.23; โยบ 7.19; โยบ 8.10; โยบ 8.18; โยบ 8.19; โยบ 9.30; โยบ 9.34; โยบ 10.18; โยบ 10.19; โยบ 11.6; โยบ 11.19; โยบ 12.20; โยบ 12.22; โยบ 12.24; โยบ 13.20; โยบ 13.21; โยบ 14.4; โยบ 14.6; โยบ 14.11; โยบ 14.18; โยบ 14.19; โยบ 15.20; โยบ 15.22; โยบ 15.30; โยบ 17.4; โยบ 18.4; โยบ 18.17; โยบ 18.18; โยบ 19.9; โยบ 19.13; โยบ 20.15; โยบ 20.24; โยบ 20.25; โยบ 20.29; โยบ 21.14; โยบ 21.16; โยบ 22.6; โยบ 22.17; โยบ 22.18; โยบ 22.22; โยบ 22.23; โยบ 23.7; โยบ 23.12; โยบ 23.17; โยบ 24.1; โยบ 24.9; โยบ 24.10; โยบ 24.12; โยบ 24.21; โยบ 24.24; โยบ 25.4; โยบ 26.4; โยบ 27.3; โยบ 27.13; โยบ 27.21; โยบ 27.22; โยบ 27.23; โยบ 28.2; โยบ 28.4; โยบ 28.20; โยบ 28.21; โยบ 28.28; โยบ 29.17; โยบ 30.2; โยบ 30.5; โยบ 30.8; โยบ 30.10; โยบ 31.2; โยบ 31.7; โยบ 31.22; โยบ 31.23; โยบ 32.8; โยบ 33.6; โยบ 33.17; โยบ 33.18; โยบ 33.24; โยบ 33.28; โยบ 33.30; โยบ 34.27; โยบ 35.3; โยบ 35.7; โยบ 36.3; โยบ 36.7; โยบ 36.10; โยบ 36.16; โยบ 36.27; โยบ 37.2; โยบ 37.9; โยบ 37.22; โยบ 38.1; โยบ 38.8; โยบ 38.13; โยบ 38.15; โยบ 38.29; โยบ 39.29; โยบ 40.6; โยบ 41.17; โยบ 41.19; โยบ 41.20; โยบ 41.21; สดด 2.3; สดด 2.8; สดด 2.12; สดด 3.4; สดด 4.6; สดด 6.8; สดด 7.1; สดด 8.2; สดด 9.13; สดด 10.16; สดด 12.1; สดด 12.5; สดด 12.7; สดด 13.1; สดด 14.2; สดด 14.7; สดด 15.2; สดด 17.1; สดด 17.2; สดด 17.4; สดด 17.7; สดด 17.9; สดด 17.13; สดด 17.14; สดด 18.3; สดด 18.6; สดด 18.8; สดด 18.12; สดด 18.15; สดด 18.16; สดด 18.17; สดด 18.21; สดด 18.43; สดด 18.45; สดด 18.48; สดด 19.5; สดด 19.6; สดด 19.12; สดด 19.13; สดด 19.14; สดด 20.2; สดด 20.6; สดด 21.10; สดด 22.9; สดด 22.20; สดด 22.21; สดด 22.24; สดด 24.5; สดด 27.4; สดด 27.9; สดด 28.2; สดด 30.2; สดด 30.3; สดด 30.9; สดด 31.20; สดด 32.7; สดด 33.13; สดด 33.14; สดด 33.19; สดด 34.4; สดด 34.6; สดด 34.13; สดด 34.16; สดด 34.17; สดด 35.10; สดด 35.17; สดด 35.22; สดด 36.3; สดด 36.8; สดด 37.27; สดด 37.39; สดด 37.40; สดด 38.10; สดด 38.11; สดด 38.21; สดด 39.2; สดด 39.8; สดด 39.10; สดด 39.13; สดด 40.2; สดด 40.10; สดด 40.11; สดด 41.8; สดด 42.5; สดด 43.1; สดด 44.3; สดด 44.7; สดด 44.10; สดด 44.18; สดด 45.8; สดด 45.12; สดด 49.15; สดด 50.2; สดด 50.9; สดด 51.2; สดด 51.9; สดด 51.11; สดด 51.14; สดด 52.5; สดด 53.2; สดด 53.6; สดด 54.2; สดด 54.7; สดด 55.1; สดด 55.8; สดด 55.11; สดด 55.18; สดด 55.21; สดด 56.13; สดด 57.3; สดด 58.3; สดด 58.9; สดด 59.1; สดด 59.2; สดด 62.1; สดด 62.4; สดด 62.5; สดด 64.1; สดด 64.2; สดด 64.4; สดด 66.20; สดด 68.22; สดด 68.31; สดด 69.5; สดด 69.14; สดด 69.17; สดด 69.27; สดด 69.28; สดด 71.4; สดด 71.6; สดด 71.20; สดด 72.8; สดด 72.14; สดด 72.16; สดด 73.27; สดด 74.11; สดด 75.6; สดด 75.8; สดด 76.8; สดด 78.1; สดด 78.4; สดด 78.15; สดด 78.16; สดด 78.42; สดด 78.50; สดด 78.70; สดด 78.71; สดด 80.13; สดด 80.14; สดด 80.16; สดด 80.18; สดด 81.6; สดด 81.10; สดด 81.16; สดด 82.4; สดด 84.11; สดด 85.3; สดด 85.4; สดด 85.11; สดด 86.13; สดด 88.5; สดด 88.8; สดด 88.14; สดด 88.16; สดด 88.18; สดด 89.15; สดด 89.22; สดด 89.33; สดด 89.34; สดด 89.48; สดด 90.10; สดด 91.3; สดด 94.13; สดด 97.10; สดด 101.4; สดด 101.8; สดด 102.2; สดด 102.19; สดด 103.4; สดด 103.12; สดด 104.13; สดด 104.14; สดด 104.21; สดด 104.35; สดด 105.13; สดด 105.38; สดด 105.40; สดด 106.10; สดด 106.23; สดด 106.46; สดด 106.47; สดด 107.2; สดด 107.3; สดด 107.6; สดด 107.13; สดด 107.14; สดด 107.19; สดด 107.20; สดด 107.41; สดด 109.10; สดด 109.15; สดด 109.17; สดด 109.20; สดด 109.31; สดด 110.2; สดด 110.3; สดด 110.7; สดด 113.7; สดด 114.1; สดด 115.15; สดด 116.8; สดด 118.23; สดด 118.26; สดด 119.10; สดด 119.18; สดด 119.19; สดด 119.21; สดด 119.22; สดด 119.29; สดด 119.37; สดด 119.43; สดด 119.51; สดด 119.87; สดด 119.101; สดด 119.102; สดด 119.110; สดด 119.115; สดด 119.118; สดด 119.150; สดด 119.152; สดด 119.155; สดด 119.157; สดด 120.2; สดด 121.1; สดด 121.2; สดด 124.7; สดด 126.1; สดด 126.4; สดด 127.3; สดด 128.5; สดด 130.1; สดด 130.8; สดด 132.10; สดด 132.11; สดด 134.3; สดด 135.7; สดด 135.21; สดด 136.11; สดด 136.24; สดด 139.12; สดด 139.15; สดด 139.19; สดด 140.1; สดด 140.4; สดด 141.9; สดด 142.6; สดด 143.7; สดด 143.9; สดด 143.11; สดด 144.7; สดด 144.10; สดด 144.11; สดด 148.1; สดด 148.7; สภษ 1.15; สภษ 2.6; สภษ 2.12; สภษ 2.16; สภษ 2.22; สภษ 3.7; สภษ 3.14; สภษ 3.21; สภษ 3.26; สภษ 3.27; สภษ 4.5; สภษ 4.21; สภษ 4.23; สภษ 4.24; สภษ 4.27; สภษ 5.7; สภษ 5.8; สภษ 5.15; สภษ 6.2; สภษ 6.5; สภษ 6.9; สภษ 6.24; สภษ 7.5; สภษ 7.24; สภษ 8.6; สภษ 8.35; สภษ 9.3; สภษ 10.2; สภษ 12.13; สภษ 12.14; สภษ 13.2; สภษ 13.14; สภษ 13.19; สภษ 14.14; สภษ 14.16; สภษ 14.27; สภษ 14.35; สภษ 15.23; สภษ 15.24; สภษ 15.29; สภษ 16.1; สภษ 16.10; สภษ 16.15; สภษ 16.33; สภษ 17.9; สภษ 17.13; สภษ 17.23; สภษ 18.1; สภษ 18.20; สภษ 18.22; สภษ 19.7; สภษ 19.14; สภษ 19.27; สภษ 21.16; สภษ 22.5; สภษ 22.6; สภษ 22.15; สภษ 22.27; สภษ 23.13; สภษ 23.14; สภษ 24.12; สภษ 24.18; สภษ 24.21; สภษ 24.22; สภษ 25.5; สภษ 25.19; สภษ 25.25; สภษ 27.8; สภษ 27.22; สภษ 28.8; สภษ 28.9; สภษ 28.27; สภษ 29.26; สภษ 30.7; สภษ 30.8; สภษ 30.12; สภษ 30.14; สภษ 31.14; ปญจ 1.3; ปญจ 2.10; ปญจ 2.22; ปญจ 2.24; ปญจ 3.9; ปญจ 3.13; ปญจ 3.20; ปญจ 4.14; ปญจ 5.9; ปญจ 5.15; ปญจ 5.19; ปญจ 7.18; ปญจ 7.23; ปญจ 10.4; ปญจ 10.5; ปญจ 10.12; ปญจ 10.13; ปญจ 11.10; พซม 1.2; พซม 3.6; พซม 3.9; พซม 4.2; พซม 4.8; พซม 4.11; พซม 4.15; พซม 5.7; พซม 6.5; พซม 6.6; พซม 8.1; พซม 8.5; พซม 8.7; อสย 1.15; อสย 1.16; อสย 2.3; อสย 2.6; อสย 2.10; อสย 2.19; อสย 2.21; อสย 2.22; อสย 3.1; อสย 3.14; อสย 4.4; อสย 5.23; อสย 5.26; อสย 6.6; อสย 7.11; อสย 7.17; อสย 7.20; อสย 8.4; อสย 8.17; อสย 8.18; อสย 9.14; อสย 10.2; อสย 10.3; อสย 10.27; อสย 11.1; อสย 11.11; อสย 11.12; อสย 11.16; อสย 12.3; อสย 13.5; อสย 13.6; อสย 13.9; อสย 13.13; อสย 13.18; อสย 14.3; อสย 14.9; อสย 14.12; อสย 14.19; อสย 14.25; อสย 14.29; อสย 14.31; อสย 16.1; อสย 16.4; อสย 16.10; อสย 17.3; อสย 18.4; อสย 18.7; อสย 19.5; อสย 19.23; อสย 20.6; อสย 21.1; อสย 21.10; อสย 21.11; อสย 21.15; อสย 22.19; อสย 24.14; อสย 24.18; อสย 25.4; อสย 25.8; อสย 26.21; อสย 27.6; อสย 28.9; อสย 28.22; อสย 28.29; อสย 29.4; อสย 29.13; อสย 29.15; อสย 29.18; อสย 30.2; อสย 30.11; อสย 30.27; อสย 31.8; อสย 32.2; อสย 32.15; อสย 33.15; อสย 34.1; อสย 34.4; อสย 34.16; อสย 36.2; อสย 36.16; อสย 36.18; อสย 36.19; อสย 36.20; อสย 37.14; อสย 37.30; อสย 37.32; อสย 38.6; อสย 38.7; อสย 38.9; อสย 38.10; อสย 38.12; อสย 38.17; อสย 39.3; อสย 39.7; อสย 40.2; อสย 40.15; อสย 40.27; อสย 41.2; อสย 41.9; อสย 41.25; อสย 42.5; อสย 42.7; อสย 42.10; อสย 42.11; อสย 43.5; อสย 43.6; อสย 43.13; อสย 45.1; อสย 45.6; อสย 45.8; อสย 45.23; อสย 46.7; อสย 46.11; อสย 46.12; อสย 47.8; อสย 47.9; อสย 47.11; อสย 47.14; อสย 48.1; อสย 48.3; อสย 48.19; อสย 48.20; อสย 48.21; อสย 49.12; อสย 49.15; อสย 49.17; อสย 49.21; อสย 49.24; อสย 50.6; อสย 50.11; อสย 51.4; อสย 51.17; อสย 51.22; อสย 52.2; อสย 52.11; อสย 53.1; อสย 53.2; อสย 53.8; อสย 54.8; อสย 54.10; อสย 54.13; อสย 54.14; อสย 54.15; อสย 54.17; อสย 55.10; อสย 55.11; อสย 56.2; อสย 56.3; อสย 57.1; อสย 57.14; อสย 58.2; อสย 58.7; อสย 58.9; อสย 58.13; อสย 59.2; อสย 59.9; อสย 59.11; อสย 59.13; อสย 59.15; อสย 59.19; อสย 59.20; อสย 59.21; อสย 60.4; อสย 60.6; อสย 63.1; อสย 63.3; อสย 63.11; อสย 63.15; อสย 63.17; อสย 64.7; อสย 65.8; อสย 65.9; อสย 65.16; อสย 66.6; อสย 66.11; อสย 66.19; อสย 66.20; ยรม 1.5; ยรม 1.14; ยรม 2.5; ยรม 2.6; ยรม 2.25; ยรม 2.35; ยรม 2.37; ยรม 3.1; ยรม 3.14; ยรม 3.18; ยรม 3.19; ยรม 3.21; ยรม 3.23; ยรม 4.6; ยรม 4.7; ยรม 4.8; ยรม 4.11; ยรม 4.12; ยรม 4.14; ยรม 4.15; ยรม 4.16; ยรม 5.6; ยรม 5.15; ยรม 5.23; ยรม 5.25; ยรม 6.1; ยรม 6.8; ยรม 6.20; ยรม 6.22; ยรม 7.1; ยรม 7.15; ยรม 7.22; ยรม 7.28; ยรม 7.34; ยรม 8.1; ยรม 8.3; ยรม 8.6; ยรม 8.13; ยรม 8.16; ยรม 9.2; ยรม 9.3; ยรม 9.19; ยรม 9.20; ยรม 9.21; ยรม 10.3; ยรม 10.9; ยรม 10.11; ยรม 10.13; ยรม 10.17; ยรม 10.20; ยรม 10.22; ยรม 11.1; ยรม 11.4; ยรม 11.7; ยรม 11.15; ยรม 11.19; ยรม 12.2; ยรม 12.12; ยรม 12.14; ยรม 13.6; ยรม 13.7; ยรม 13.20; ยรม 13.24; ยรม 15.7; ยรม 15.12; ยรม 15.19; ยรม 15.21; ยรม 16.5; ยรม 16.9; ยรม 16.13; ยรม 16.14; ยรม 16.15; ยรม 16.17; ยรม 16.19; ยรม 17.4; ยรม 17.11; ยรม 17.13; ยรม 17.16; ยรม 17.26; ยรม 18.1; ยรม 18.8; ยรม 18.10; ยรม 18.11; ยรม 18.14; ยรม 18.18; ยรม 18.20; ยรม 18.22; ยรม 18.23; ยรม 19.4; ยรม 19.14; ยรม 20.13; ยรม 20.18; ยรม 21.1; ยรม 21.2; ยรม 21.7; ยรม 21.12; ยรม 22.11; ยรม 22.20; ยรม 23.7; ยรม 23.8; ยรม 23.14; ยรม 23.15; ยรม 23.16; ยรม 23.22; ยรม 23.24; ยรม 23.30; ยรม 23.39; ยรม 24.1; ยรม 24.5; ยรม 24.10; ยรม 25.5; ยรม 25.10; ยรม 25.15; ยรม 25.17; ยรม 25.28; ยรม 25.30; ยรม 25.32; ยรม 25.33; ยรม 26.1; ยรม 26.3; ยรม 26.10; ยรม 26.13; ยรม 26.23; ยรม 27.1; ยรม 27.10; ยรม 27.16; ยรม 27.20; ยรม 28.1; ยรม 28.3; ยรม 28.4; ยรม 28.6; ยรม 28.11; ยรม 28.12; ยรม 28.16; ยรม 29.1; ยรม 29.2; ยรม 29.4; ยรม 29.14; ยรม 29.20; ยรม 29.22; ยรม 30.8; ยรม 30.10; ยรม 30.19; ยรม 30.21; ยรม 31.2; ยรม 31.8; ยรม 31.11; ยรม 31.16; ยรม 31.32; ยรม 31.36; ยรม 32.1; ยรม 32.4; ยรม 32.9; ยรม 32.31; ยรม 32.37; ยรม 32.40; ยรม 33.5; ยรม 33.8; ยรม 33.26; ยรม 34.1; ยรม 34.3; ยรม 34.8; ยรม 34.12; ยรม 34.13; ยรม 34.14; ยรม 34.21; ยรม 35.1; ยรม 35.15; ยรม 36.1; ยรม 36.3; ยรม 36.6; ยรม 36.7; ยรม 36.8; ยรม 36.9; ยรม 36.10; ยรม 36.11; ยรม 36.13; ยรม 36.21; ยรม 36.29; ยรม 37.5; ยรม 37.9; ยรม 37.11; ยรม 37.12; ยรม 37.17; ยรม 37.21; ยรม 38.8; ยรม 38.10; ยรม 38.13; ยรม 38.14; ยรม 38.18; ยรม 38.22; ยรม 38.23; ยรม 38.25; ยรม 39.14; ยรม 40.1; ยรม 40.4; ยรม 40.12; ยรม 41.5; ยรม 41.6; ยรม 41.14; ยรม 41.15; ยรม 41.16; ยรม 42.1; ยรม 42.2; ยรม 42.4; ยรม 42.10; ยรม 42.11; ยรม 42.17; ยรม 43.5; ยรม 43.12; ยรม 44.5; ยรม 44.7; ยรม 44.22; ยรม 44.28; ยรม 46.20; ยรม 46.24; ยรม 46.27; ยรม 47.2; ยรม 48.2; ยรม 48.4; ยรม 48.5; ยรม 48.15; ยรม 48.18; ยรม 48.28; ยรม 48.33; ยรม 48.34; ยรม 48.44; ยรม 48.45; ยรม 49.5; ยรม 49.7; ยรม 49.12; ยรม 49.14; ยรม 49.16; ยรม 49.19; ยรม 49.29; ยรม 49.32; ยรม 49.36; ยรม 50.6; ยรม 50.8; ยรม 50.9; ยรม 50.16; ยรม 50.26; ยรม 50.28; ยรม 50.41; ยรม 50.44; ยรม 51.6; ยรม 51.16; ยรม 51.25; ยรม 51.26; ยรม 51.45; ยรม 51.48; ยรม 51.50; ยรม 51.53; ยรม 51.54; ยรม 52.3; ยรม 52.7; ยรม 52.8; ยรม 52.25; ยรม 52.27; ยรม 52.29; ยรม 52.31; ยรม 52.34; พคค 1.6; พคค 1.13; พคค 1.16; พคค 2.1; พคค 2.3; พคค 2.9; พคค 3.18; พคค 3.26; พคค 3.38; พคค 3.50; พคค 3.55; พคค 3.66; พคค 4.9; พคค 5.14; พคค 5.15; พคค 5.16; อสค 1.1; อสค 1.4; อสค 1.5; อสค 1.13; อสค 1.19; อสค 1.21; อสค 1.25; อสค 1.27; อสค 3.12; อสค 3.17; อสค 3.18; อสค 3.19; อสค 3.20; อสค 4.8; อสค 5.4; อสค 6.9; อสค 7.20; อสค 7.22; อสค 7.26; อสค 8.6; อสค 9.2; อสค 9.3; อสค 10.2; อสค 10.4; อสค 10.6; อสค 10.16; อสค 10.18; อสค 10.19; อสค 11.7; อสค 11.9; อสค 11.15; อสค 11.17; อสค 11.18; อสค 11.19; อสค 11.23; อสค 11.24; อสค 12.3; อสค 12.16; อสค 13.20; อสค 13.21; อสค 13.22; อสค 13.23; อสค 14.5; อสค 14.6; อสค 14.7; อสค 14.8; อสค 14.9; อสค 14.11; อสค 14.13; อสค 14.17; อสค 14.19; อสค 14.21; อสค 16.9; อสค 16.23; อสค 16.33; อสค 16.37; อสค 16.42; อสค 17.7; อสค 17.22; อสค 18.8; อสค 18.21; อสค 18.23; อสค 18.24; อสค 18.26; อสค 18.27; อสค 18.28; อสค 18.30; อสค 19.8; อสค 19.14; อสค 20.9; อสค 20.34; อสค 20.38; อสค 20.41; อสค 21.4; อสค 21.19; อสค 22.12; อสค 22.26; อสค 23.8; อสค 23.22; อสค 23.27; อสค 23.32; อสค 23.40; อสค 23.42; อสค 24.12; อสค 24.13; อสค 24.16; อสค 25.7; อสค 25.9; อสค 25.13; อสค 26.4; อสค 26.7; อสค 26.16; อสค 27.5; อสค 27.6; อสค 27.7; อสค 27.29; อสค 27.33; อสค 28.16; อสค 28.18; อสค 28.25; อสค 29.4; อสค 29.8; อสค 29.13; อสค 29.18; อสค 30.6; อสค 30.9; อสค 30.13; อสค 30.15; อสค 30.22; อสค 31.4; อสค 31.12; อสค 32.13; อสค 32.21; อสค 32.30; อสค 33.2; อสค 33.6; อสค 33.7; อสค 33.8; อสค 33.9; อสค 33.11; อสค 33.12; อสค 33.14; อสค 33.18; อสค 33.19; อสค 33.21; อสค 33.29; อสค 33.30; อสค 34.10; อสค 34.12; อสค 34.13; อสค 34.18; อสค 34.25; อสค 34.27; อสค 34.29; อสค 35.7; อสค 36.6; อสค 36.14; อสค 36.17; อสค 36.20; อสค 36.24; อสค 36.25; อสค 36.26; อสค 36.33; อสค 37.9; อสค 37.12; อสค 37.13; อสค 37.21; อสค 37.23; อสค 38.6; อสค 38.8; อสค 38.12; อสค 38.15; อสค 39.2; อสค 39.3; อสค 39.10; อสค 39.17; อสค 39.23; อสค 39.24; อสค 39.27; อสค 39.29; อสค 40.13; อสค 40.15; อสค 40.19; อสค 40.23; อสค 40.27; อสค 41.7; อสค 41.20; อสค 42.9; อสค 42.14; อสค 43.2; อสค 43.6; อสค 43.9; อสค 43.14; อสค 43.15; อสค 43.23; อสค 43.25; อสค 44.5; อสค 44.10; อสค 44.15; อสค 44.22; อสค 44.30; อสค 45.15; อสค 46.2; อสค 46.18; อสค 47.1; อสค 47.10; อสค 47.12; อสค 47.15; อสค 47.17; อสค 47.18; อสค 47.19; อสค 48.1; อสค 48.2; อสค 48.3; อสค 48.4; อสค 48.5; อสค 48.6; อสค 48.7; อสค 48.8; อสค 48.10; อสค 48.12; อสค 48.19; อสค 48.21; อสค 48.23; อสค 48.24; อสค 48.25; อสค 48.26; อสค 48.27; อสค 48.28; ดนล 2.10; ดนล 2.25; ดนล 2.35; ดนล 2.39; ดนล 3.15; ดนล 3.17; ดนล 3.26; ดนล 4.12; ดนล 4.13; ดนล 4.14; ดนล 4.15; ดนล 4.16; ดนล 4.21; ดนล 4.23; ดนล 4.24; ดนล 4.25; ดนล 4.31; ดนล 4.32; ดนล 4.33; ดนล 5.2; ดนล 5.3; ดนล 5.13; ดนล 5.20; ดนล 5.21; ดนล 5.23; ดนล 5.24; ดนล 6.13; ดนล 6.20; ดนล 6.23; ดนล 6.27; ดนล 7.3; ดนล 7.4; ดนล 7.17; ดนล 7.24; ดนล 8.4; ดนล 8.5; ดนล 8.9; ดนล 8.22; ดนล 9.2; ดนล 9.5; ดนล 9.13; ดนล 9.16; ดนล 10.17; ดนล 11.7; ดนล 11.44; ฮชย 1.11; ฮชย 2.2; ฮชย 2.15; ฮชย 2.17; ฮชย 2.18; ฮชย 4.12; ฮชย 5.3; ฮชย 5.6; ฮชย 6.5; ฮชย 6.11; ฮชย 7.13; ฮชย 7.14; ฮชย 8.6; ฮชย 9.12; ฮชย 9.15; ฮชย 9.16; ฮชย 10.5; ฮชย 11.1; ฮชย 11.2; ฮชย 11.7; ฮชย 11.10; ฮชย 11.11; ฮชย 12.13; ฮชย 13.3; ฮชย 13.15; ฮชย 14.4; ฮชย 14.8; ยอล 1.5; ยอล 1.9; ยอล 1.12; ยอล 1.13; ยอล 1.15; ยอล 1.16; ยอล 2.20; ยอล 3.6; ยอล 3.7; ยอล 3.16; ยอล 3.18; อมส 1.2; อมส 1.5; อมส 1.8; อมส 2.3; อมส 2.7; อมส 2.10; อมส 2.14; อมส 3.4; อมส 3.5; อมส 3.11; อมส 3.12; อมส 4.7; อมส 4.11; อมส 5.11; อมส 5.12; อมส 5.23; อมส 6.2; อมส 6.4; อมส 7.1; อมส 7.11; อมส 7.15; อมส 7.17; อมส 8.12; อมส 9.2; อมส 9.7; อมส 9.8; อมส 9.13; อมส 9.15; อบด 1.1; อบด 1.4; อบด 1.8; อบด 1.9; ยนา 1.3; ยนา 1.8; ยนา 1.10; ยนา 2.1; ยนา 2.2; ยนา 2.4; ยนา 2.6; ยนา 3.6; ยนา 3.8; ยนา 3.9; มคา 1.2; มคา 1.11; มคา 1.12; มคา 1.16; มคา 2.4; มคา 2.8; มคา 2.9; มคา 2.10; มคา 3.4; มคา 3.7; มคา 4.2; มคา 4.10; มคา 5.2; มคา 5.6; มคา 5.7; มคา 5.10; มคา 5.11; มคา 5.12; มคา 5.13; มคา 5.14; มคา 6.4; มคา 6.5; มคา 6.8; มคา 6.16; มคา 7.1; มคา 7.2; มคา 7.12; นฮม 1.11; นฮม 1.13; นฮม 1.14; นฮม 2.13; นฮม 3.1; นฮม 3.7; ฮบก 1.7; ฮบก 1.8; ฮบก 1.9; ฮบก 2.9; ฮบก 2.11; ฮบก 3.3; ฮบก 3.4; ฮบก 3.17; ศฟย 1.2; ศฟย 1.4; ศฟย 1.6; ศฟย 1.10; ศฟย 1.13; ศฟย 2.15; ศฟย 3.10; ศฟย 3.11; ฮกก 2.17; ศคย 1.4; ศคย 2.6; ศคย 2.13; ศคย 3.2; ศคย 3.4; ศคย 4.1; ศคย 6.10; ศคย 7.12; ศคย 8.7; ศคย 8.9; ศคย 8.23; ศคย 9.5; ศคย 9.7; ศคย 9.10; ศคย 9.11; ศคย 10.1; ศคย 10.4; ศคย 10.10; ศคย 13.1; ศคย 13.2; ศคย 14.1; ศคย 14.2; ศคย 14.4; ศคย 14.5; ศคย 14.10; ศคย 14.13; มลค 1.9; มลค 1.10; มลค 1.13; มลค 2.3; มลค 2.6; มลค 2.7; มลค 2.8; มลค 2.12; มลค 2.13; มลค 3.5; มลค 3.7; มลค 4.2; มธ 1.3; มธ 1.5; มธ 1.6; มธ 1.16; มธ 1.21; มธ 2.1; มธ 2.6; มธ 2.12; มธ 2.15; มธ 2.22; มธ 3.6; มธ 3.7; มธ 3.9; มธ 3.13; มธ 3.14; มธ 3.16; มธ 3.17; มธ 4.4; มธ 4.25; มธ 5.18; มธ 5.29; มธ 5.30; มธ 5.37; มธ 5.42; มธ 6.1; มธ 6.2; มธ 6.13; มธ 7.11; มธ 7.16; มธ 7.23; มธ 8.1; มธ 8.11; มธ 8.30; มธ 8.32; มธ 8.34; มธ 9.15; มธ 9.27; มธ 9.31; มธ 9.32; มธ 10.11; มธ 10.27; มธ 11.1; มธ 11.11; มธ 11.25; มธ 11.29; มธ 12.9; มธ 12.15; มธ 12.34; มธ 12.35; มธ 12.38; มธ 12.42; มธ 12.43; มธ 13.1; มธ 13.12; มธ 13.27; มธ 13.36; มธ 13.41; มธ 13.53; มธ 13.54; มธ 13.56; มธ 14.2; มธ 14.13; มธ 14.14; มธ 14.16; มธ 14.29; มธ 15.1; มธ 15.2; มธ 15.8; มธ 15.11; มธ 15.18; มธ 15.19; มธ 15.21; มธ 15.22; มธ 15.27; มธ 15.29; มธ 16.1; มธ 16.4; มธ 16.21; มธ 16.22; มธ 17.5; มธ 17.9; มธ 17.12; มธ 17.20; มธ 17.25; มธ 17.26; มธ 18.8; มธ 18.9; มธ 18.12; มธ 19.1; มธ 19.5; มธ 19.6; มธ 19.12; มธ 19.15; มธ 20.20; มธ 20.23; มธ 20.29; มธ 21.11; มธ 21.16; มธ 21.17; มธ 21.25; มธ 21.26; มธ 21.42; มธ 21.43; มธ 22.23; มธ 22.28; มธ 22.30; มธ 23.13; มธ 23.34; มธ 24.27; มธ 24.29; มธ 24.31; มธ 25.28; มธ 25.29; มธ 25.34; มธ 25.41; มธ 26.39; มธ 26.42; มธ 26.47; มธ 27.5; มธ 27.40; มธ 27.42; มธ 27.55; มธ 27.57; มธ 27.60; มธ 27.62; มธ 27.64; มธ 28.2; มธ 28.7; มธ 28.8; มก 1.5; มก 1.9; มก 1.10; มก 1.11; มก 1.25; มก 1.26; มก 1.29; มก 2.20; มก 3.7; มก 3.8; มก 3.22; มก 3.29; มก 4.25; มก 5.2; มก 5.8; มก 5.13; มก 5.17; มก 5.35; มก 6.2; มก 6.10; มก 6.11; มก 6.14; มก 6.16; มก 6.22; มก 6.23; มก 6.34; มก 6.54; มก 7.1; มก 7.3; มก 7.4; มก 7.5; มก 7.6; มก 7.15; มก 7.20; มก 7.21; มก 7.23; มก 7.24; มก 7.31; มก 8.11; มก 8.13; มก 9.7; มก 9.9; มก 9.10; มก 9.25; มก 9.30; มก 10.1; มก 10.7; มก 10.9; มก 11.8; มก 11.12; มก 11.14; มก 11.19; มก 11.30; มก 11.31; มก 11.32; มก 12.2; มก 12.11; มก 12.12; มก 12.18; มก 12.23; มก 12.25; มก 12.34; มก 13.25; มก 13.27; มก 14.35; มก 14.36; มก 14.43; มก 15.21; มก 15.30; มก 15.32; มก 15.45; ลก 1.38; ลก 1.42; ลก 1.45; ลก 1.52; ลก 1.71; ลก 1.74; ลก 1.78; ลก 2.1; ลก 2.4; ลก 2.15; ลก 2.37; ลก 3.7; ลก 3.8; ลก 3.22; ลก 4.1; ลก 4.9; ลก 4.15; ลก 4.22; ลก 4.35; ลก 4.41; ลก 4.42; ลก 5.2; ลก 5.3; ลก 5.8; ลก 5.17; ลก 5.35; ลก 5.36; ลก 6.17; ลก 6.30; ลก 6.34; ลก 6.44; ลก 7.21; ลก 7.28; ลก 7.30; ลก 8.4; ลก 8.12; ลก 8.18; ลก 8.27; ลก 8.29; ลก 8.33; ลก 8.37; ลก 8.49; ลก 9.5; ลก 9.7; ลก 9.33; ลก 9.35; ลก 9.37; ลก 9.45; ลก 9.54; ลก 10.7; ลก 10.18; ลก 10.21; ลก 10.30; ลก 10.42; ลก 11.4; ลก 11.16; ลก 11.24; ลก 11.31; ลก 12.15; ลก 12.20; ลก 12.36; ลก 12.48; ลก 12.53; ลก 13.12; ลก 13.15; ลก 13.16; ลก 13.25; ลก 13.27; ลก 13.29; ลก 13.31; ลก 14.14; ลก 16.3; ลก 16.4; ลก 16.21; ลก 16.26; ลก 16.30; ลก 16.31; ลก 17.7; ลก 17.29; ลก 18.34; ลก 19.24; ลก 19.26; ลก 19.37; ลก 19.42; ลก 20.4; ลก 20.5; ลก 20.6; ลก 20.7; ลก 20.10; ลก 20.27; ลก 20.33; ลก 20.35; ลก 20.36; ลก 21.11; ลก 22.18; ลก 22.41; ลก 22.42; ลก 22.43; ลก 22.71; ลก 23.26; ลก 23.49; ลก 23.55; ลก 24.2; ลก 24.9; ลก 24.13; ลก 24.31; ลก 24.46; ลก 24.49; ลก 24.51; ยน 1.13; ยน 1.14; ยน 1.16; ยน 1.19; ยน 1.32; ยน 1.44; ยน 1.46; ยน 2.9; ยน 2.15; ยน 2.22; ยน 3.2; ยน 3.5; ยน 3.6; ยน 3.8; ยน 3.13; ยน 3.18; ยน 3.27; ยน 3.31; ยน 4.9; ยน 4.10; ยน 4.11; ยน 4.12; ยน 4.22; ยน 4.38; ยน 4.39; ยน 4.47; ยน 4.54; ยน 5.4; ยน 5.34; ยน 5.41; ยน 5.44; ยน 6.13; ยน 6.23; ยน 6.31; ยน 6.32; ยน 6.33; ยน 6.38; ยน 6.41; ยน 6.42; ยน 6.45; ยน 6.46; ยน 6.50; ยน 6.51; ยน 6.58; ยน 6.67; ยน 6.68; ยน 7.17; ยน 7.22; ยน 7.27; ยน 7.28; ยน 7.29; ยน 7.38; ยน 7.41; ยน 7.42; ยน 7.52; ยน 8.9; ยน 8.14; ยน 8.21; ยน 8.23; ยน 8.26; ยน 8.33; ยน 8.38; ยน 8.40; ยน 8.41; ยน 8.42; ยน 8.44; ยน 8.47; ยน 8.59; ยน 9.16; ยน 9.22; ยน 9.29; ยน 9.30; ยน 9.33; ยน 10.5; ยน 10.18; ยน 10.28; ยน 10.29; ยน 10.32; ยน 10.39; ยน 11.22; ยน 11.41; ยน 12.1; ยน 12.9; ยน 12.17; ยน 12.21; ยน 12.28; ยน 12.32; ยน 12.34; ยน 12.36; ยน 12.38; ยน 12.42; ยน 13.1; ยน 13.3; ยน 13.4; ยน 14.28; ยน 15.5; ยน 15.15; ยน 15.16; ยน 15.26; ยน 16.2; ยน 16.7; ยน 16.22; ยน 16.23; ยน 16.27; ยน 16.28; ยน 16.30; ยน 17.6; ยน 17.7; ยน 17.8; ยน 17.15; ยน 18.3; ยน 18.28; ยน 18.36; ยน 19.9; ยน 19.11; ยน 19.38; ยน 20.2; ยน 20.9; ยน 21.8; กจ 1.4; กจ 1.11; กจ 1.12; กจ 1.22; กจ 1.25; กจ 2.2; กจ 2.5; กจ 2.10; กจ 2.30; กจ 2.33; กจ 2.40; กจ 3.2; กจ 3.5; กจ 3.15; กจ 3.19; กจ 3.22; กจ 3.23; กจ 3.26; กจ 4.2; กจ 4.15; กจ 5.16; กจ 5.38; กจ 5.39; กจ 6.9; กจ 7.3; กจ 7.10; กจ 7.16; กจ 7.37; กจ 7.39; กจ 7.40; กจ 7.53; กจ 8.3; กจ 8.7; กจ 8.22; กจ 8.26; กจ 8.33; กจ 8.39; กจ 9.3; กจ 9.8; กจ 9.14; กจ 9.18; กจ 9.25; กจ 9.31; กจ 10.22; กจ 11.5; กจ 11.9; กจ 11.11; กจ 11.27; กจ 12.7; กจ 12.10; กจ 12.11; กจ 12.20; กจ 12.25; กจ 13.4; กจ 13.14; กจ 13.19; กจ 13.21; กจ 13.23; กจ 13.29; กจ 13.31; กจ 13.42; กจ 13.43; กจ 13.51; กจ 14.15; กจ 14.17; กจ 14.19; กจ 14.26; กจ 15.1; กจ 15.7; กจ 15.20; กจ 15.24; กจ 15.30; กจ 15.33; กจ 16.14; กจ 16.18; กจ 16.26; กจ 16.39; กจ 17.15; กจ 17.18; กจ 17.25; กจ 17.27; กจ 17.32; กจ 17.33; กจ 18.2; กจ 18.5; กจ 18.16; กจ 19.9; กจ 19.12; กจ 19.16; กจ 19.35; กจ 20.7; กจ 20.9; กจ 20.17; กจ 20.24; กจ 20.26; กจ 21.7; กจ 21.10; กจ 21.16; กจ 21.27; กจ 22.5; กจ 22.6; กจ 22.14; กจ 22.18; กจ 22.22; กจ 23.6; กจ 23.8; กจ 23.21; กจ 23.34; กจ 24.7; กจ 24.15; กจ 24.18; กจ 24.21; กจ 24.27; กจ 25.7; กจ 25.9; กจ 26.10; กจ 26.12; กจ 26.13; กจ 26.17; กจ 26.18; กจ 26.19; กจ 27.2; กจ 27.6; กจ 27.12; กจ 27.21; กจ 27.30; กจ 28.4; กจ 28.10; กจ 28.11; กจ 28.17; กจ 28.21; กจ 28.23; กจ 28.29; รม 1.4; รม 1.7; รม 1.18; รม 1.26; รม 2.3; รม 3.23; รม 4.13; รม 4.24; รม 4.25; รม 5.9; รม 5.16; รม 6.4; รม 6.5; รม 6.7; รม 6.9; รม 6.13; รม 6.18; รม 6.22; รม 7.2; รม 7.3; รม 7.4; รม 7.6; รม 7.24; รม 8.2; รม 8.11; รม 8.21; รม 8.35; รม 8.39; รม 9.3; รม 9.6; รม 9.24; รม 10.6; รม 10.7; รม 10.9; รม 10.16; รม 11.17; รม 11.26; รม 11.36; รม 13.1; รม 13.3; รม 13.11; รม 15.31; รม 16.17; รม 16.27; 1คร 1.3; 1คร 2.12; 1คร 3.15; 1คร 4.5; 1คร 5.2; 1คร 5.10; 1คร 6.7; 1คร 6.18; 1คร 6.19; 1คร 7.7; 1คร 7.25; 1คร 7.27; 1คร 7.28; 1คร 7.32; 1คร 8.6; 1คร 9.11; 1คร 9.12; 1คร 9.13; 1คร 10.4; 1คร 10.13; 1คร 10.14; 1คร 10.21; 1คร 11.8; 1คร 11.12; 1คร 11.23; 1คร 11.25; 1คร 11.26; 1คร 11.27; 1คร 11.28; 1คร 14.36; 1คร 15.12; 1คร 15.13; 1คร 15.20; 1คร 15.21; 1คร 15.42; 1คร 15.47; 1คร 16.24; 2คร 1.2; 2คร 1.4; 2คร 1.9; 2คร 1.10; 2คร 1.12; 2คร 1.16; 2คร 2.3; 2คร 2.17; 2คร 3.1; 2คร 3.5; 2คร 3.7; 2คร 3.18; 2คร 4.3; 2คร 4.6; 2คร 4.7; 2คร 5.2; 2คร 5.18; 2คร 7.9; 2คร 10.4; 2คร 11.3; 2คร 11.8; 2คร 11.9; 2คร 11.26; 2คร 11.33; 2คร 12.1; 2คร 12.8; 2คร 12.14; 2คร 12.17; 2คร 12.18; 2คร 13.14; กท 1.1; กท 1.3; กท 1.4; กท 1.6; กท 1.12; กท 2.6; กท 2.19; กท 2.21; กท 3.2; กท 3.17; กท 3.19; กท 4.4; กท 4.22; กท 4.23; กท 4.24; กท 5.4; กท 5.8; กท 6.8; กท 6.14; กท 6.18; อฟ 1.2; อฟ 1.20; อฟ 2.12; อฟ 3.7; อฟ 3.15; อฟ 4.18; อฟ 4.29; อฟ 4.31; อฟ 5.14; อฟ 5.19; อฟ 5.31; อฟ 6.8; อฟ 6.23; อฟ 6.24; ฟป 1.2; ฟป 1.23; ฟป 1.28; ฟป 3.5; ฟป 3.9; ฟป 3.11; ฟป 3.14; ฟป 3.20; ฟป 4.15; ฟป 4.18; ฟป 4.19; ฟป 4.23; คส 1.2; คส 1.7; คส 1.13; คส 1.18; คส 1.23; คส 2.12; คส 2.20; คส 3.8; คส 3.16; คส 3.24; คส 4.16; คส 4.18; 1ธส 1.1; 1ธส 1.3; 1ธส 1.8; 1ธส 1.10; 1ธส 2.3; 1ธส 2.6; 1ธส 2.13; 1ธส 2.14; 1ธส 2.17; 1ธส 3.6; 1ธส 3.7; 1ธส 4.1; 1ธส 4.3; 1ธส 4.9; 1ธส 4.16; 1ธส 5.22; 1ธส 5.28; 2ธส 1.2; 2ธส 1.7; 2ธส 1.9; 2ธส 2.2; 2ธส 3.2; 2ธส 3.3; 2ธส 3.6; 2ธส 3.18; 1ทธ 1.2; 1ทธ 1.5; 1ทธ 1.6; 1ทธ 4.7; 1ทธ 5.11; 1ทธ 6.5; 1ทธ 6.7; 1ทธ 6.10; 1ทธ 6.11; 1ทธ 6.21; 2ทธ 1.2; 2ทธ 1.13; 2ทธ 1.15; 2ทธ 2.2; 2ทธ 2.8; 2ทธ 2.16; 2ทธ 2.18; 2ทธ 2.21; 2ทธ 2.22; 2ทธ 2.23; 2ทธ 3.5; 2ทธ 3.11; 2ทธ 3.14; 2ทธ 3.16; 2ทธ 4.4; 2ทธ 4.6; 2ทธ 4.17; 2ทธ 4.18; 2ทธ 4.20; 2ทธ 4.22; ทต 1.4; ทต 1.7; ทต 1.14; ทต 2.14; ทต 3.9; ทต 3.15; ฟม 1.3; ฟม 1.15; ฟม 1.18; ฟม 1.25; ฮบ 2.1; ฮบ 2.4; ฮบ 2.11; ฮบ 2.15; ฮบ 3.1; ฮบ 3.12; ฮบ 4.10; ฮบ 5.1; ฮบ 5.7; ฮบ 6.1; ฮบ 6.2; ฮบ 6.4; ฮบ 6.7; ฮบ 7.1; ฮบ 7.2; ฮบ 7.4; ฮบ 7.5; ฮบ 7.6; ฮบ 7.7; ฮบ 7.11; ฮบ 7.13; ฮบ 7.14; ฮบ 7.21; ฮบ 7.26; ฮบ 9.14; ฮบ 9.24; ฮบ 10.22; ฮบ 11.3; ฮบ 11.7; ฮบ 11.15; ฮบ 11.19; ฮบ 11.34; ฮบ 11.35; ฮบ 12.15; ฮบ 12.25; ฮบ 13.5; ฮบ 13.10; ฮบ 13.20; ฮบ 13.25; ยก 1.5; ยก 1.7; ยก 1.17; ยก 1.27; ยก 3.6; ยก 3.10; ยก 3.11; ยก 3.15; ยก 3.17; ยก 4.7; ยก 5.7; ยก 5.19; ยก 5.20; 1ปต 1.3; 1ปต 1.12; 1ปต 1.14; 1ปต 1.18; 1ปต 1.21; 1ปต 1.23; 1ปต 2.9; 1ปต 2.11; 1ปต 2.14; 1ปต 2.24; 1ปต 3.10; 1ปต 3.20; 1ปต 3.21; 2ปต 1.4; 2ปต 1.9; 2ปต 1.17; 2ปต 1.18; 2ปต 1.21; 2ปต 2.3; 2ปต 2.9; 2ปต 2.18; 2ปต 2.19; 2ปต 2.20; 1ยน 1.5; 1ยน 1.9; 1ยน 2.16; 1ยน 2.19; 1ยน 2.20; 1ยน 2.21; 1ยน 2.27; 1ยน 2.29; 1ยน 3.8; 1ยน 3.9; 1ยน 3.10; 1ยน 3.12; 1ยน 3.14; 1ยน 3.22; 1ยน 4.1; 1ยน 4.2; 1ยน 4.3; 1ยน 4.7; 1ยน 4.21; 1ยน 5.1; 1ยน 5.4; 1ยน 5.15; 1ยน 5.18; 1ยน 5.21; 2ยน 1.3; 2ยน 1.4; 3ยน 1.7; 3ยน 1.11; 3ยน 1.12; ยด 1.5; ยด 1.23; วว 1.4; วว 1.5; วว 1.10; วว 1.16; วว 2.5; วว 2.7; วว 2.11; วว 2.21; วว 2.22; วว 2.27; วว 3.10; วว 3.12; วว 3.18; วว 4.5; วว 5.7; วว 5.9; วว 6.4; วว 6.6; วว 6.14; วว 6.16; วว 7.2; วว 7.4; วว 7.5; วว 7.6; วว 7.7; วว 7.8; วว 7.9; วว 7.13; วว 7.14; วว 7.17; วว 8.4; วว 8.5; วว 8.10; วว 9.1; วว 9.2; วว 9.6; วว 9.13; วว 9.17; วว 9.18; วว 9.20; วว 9.21; วว 10.1; วว 10.4; วว 10.8; วว 10.10; วว 11.7; วว 11.11; วว 11.12; วว 13.1; วว 13.11; วว 13.13; วว 14.2; วว 14.3; วว 14.4; วว 14.13; วว 14.15; วว 14.17; วว 14.18; วว 15.6; วว 15.8; วว 16.1; วว 16.11; วว 16.12; วว 16.13; วว 16.17; วว 16.21; วว 17.8; วว 18.1; วว 18.4; วว 18.14; วว 18.15; วว 18.19; วว 19.3; วว 19.5; วว 19.15; วว 19.21; วว 20.1; วว 20.5; วว 20.6; วว 20.9; วว 20.11; วว 21.2; วว 21.3; วว 21.4; วว 21.6; วว 21.10; วว 22.1; วว 22.19

จากนั้น ( 1 )
ปฐก 4.14 ดูเถิด วันนี้พระองค์ได้ทรงขับไล่ข้าพระองค์จากพื้นแผ่นดินโลก ข้าพระองค์จะถูกซ่อนไว้จากพระพักตร์ของพระองค์ และข้าพระองค์จะพเนจรร่อนเร่ไปมาในโลก จากนั้นทุกคนที่พบข้าพระองค์จะฆ่าข้าพระองค์เสีย”

จากนี้ ( 1 )
1ทธ 6.3 ถ้าผู้ใดสอนผิดไปจากนี้ และไม่ยอมเห็นด้วยกับพระวจนะอันมีหลัก คือพระวจนะของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และคำสอนที่สมกับทางของพระเจ้า

จาง ( 8 )
ลนต 13.6 พอถึงวันที่เจ็ดให้ปุโรหิตตรวจเขาอีกครั้งหนึ่ง ดูเถิด ถ้าบริเวณที่ป่วยนั้นจางลง และโรคมิได้ลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาดแล้ว เขาเป็นโรคพุเท่านั้น ให้เขาซักเสื้อผ้าแล้วเขาก็จะสะอาดได้
ลนต 13.21 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูแล้ว และดูเถิด ขนที่นั่นก็ไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว และเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนังแต่จาง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน
ลนต 13.26 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดู และดูเถิด ขนในที่ด่างขึ้นนั้นไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว และเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง แต่จาง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน
ลนต 13.28 ถ้าที่ด่างขึ้นนั้นคงที่อยู่ ไม่ลามออกไปในผิวหนัง แต่จาง บวมเพราะไฟลวก ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด เพราะมันเป็นเพียงแผลเป็นของไฟลวก
ลนต 13.56 ถ้าปุโรหิตตรวจดูเมื่อซักแล้ว และดูเถิด โรคนั้นจาง ก็ให้ฉีกบริเวณนั้นออกเสียจากเสื้อหรือหนังสัตว์ หรือเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง
โยบ 7.9 เมฆจางและหายไปฉันใด บุคคลที่ลงไปยังแดนคนตายก็มิได้ขึ้นมาฉันนั้น
2คร 3.11 เพราะถ้าสิ่งที่ได้จางไปยังเคยมีรัศมีถึงเพียงนั้น สิ่งซึ่งจะดำรงอยู่ก็จะมีรัศมีมากยิ่งกว่านั้นอีก
2คร 3.13 และไม่เหมือนโมเสสที่เอาผ้าคลุมหน้าไว้ เพื่อไม่ให้ชนอิสราเอลเพ่งดูความเสื่อมของรัศมีที่ค่อยๆจางไปนั้น

จ้าง ( 21 )
ลนต 25.53 ผู้ขายตัวนั้นจะต้องอยู่กับผู้ซื้อตัวดังลูกจ้างที่จ้างเป็นปี อย่าให้นายปกครองเขาอย่างกดขี่ในสายตาของเจ้า
พบญ 23.4 เพราะว่าคนเหล่านี้มิได้มาต้อนรับท่านทั้งหลายตามทางด้วยขนมปังและน้ำเมื่อท่านออกจากอียิปต์ และเพราะว่าเขาได้จ้างบาลาอัมบุตรชายเบโอร์มาจากเปโธร์แห่งเมโสโปเตเมียให้สาปแช่งท่านทั้งหลาย
วนฉ 9.4 เขาจึงเอาเงินเจ็ดสิบแผ่นออกจากวิหารพระบาอัลเบรีทมอบให้อาบีเมเลค อาบีเมเลคก็เอาเงินนั้นไปจ้างนักเลงหัวไม้ไว้ติดตามตน
วนฉ 18.4 เขาตอบคนเหล่านั้นว่า “มีคาห์ทำแก่ข้าพเจ้าอย่างนี้อย่างนี้ เขาจ้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเป็นปุโรหิตของเขา”
2ซมอ 10.6 เมื่อคนอัมโมนเห็นว่าเขาทั้งหลายเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด คนอัมโมนจึงส่งคนไปจ้างคนซีเรียชาวเมืองเบธเรโหบ และคนซีเรียชาวเมืองโศบาห์ เป็นทหารราบจำนวนสองหมื่นคน จากกษัตริย์เมืองมาอาคาห์หนึ่งพันคน และชาวเมืองอิชโทบหนึ่งหมื่นสองพันคน
2พกษ 7.6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำให้กองทัพของคนซีเรียได้ยินเสียงรถรบ เสียงม้า และเสียงกองทัพใหญ่ เขาจึงพูดกันและกันว่า “ดูเถิด กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้จ้างบรรดากษัตริย์แห่งคนฮิตไทต์ และบรรดากษัตริย์แห่งอียิปต์มารบเราแล้ว”
1พศด 19.6 เมื่อคนอัมโมนเห็นว่าเขาทั้งหลายเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด ฮานูนและคนอัมโมนจึงส่งเงินหนึ่งพันตะลันต์ไปจ้างรถรบและพลม้าจากเมโสโปเตเมีย จากซีเรียมาอาคาห์ และจากโศบาห์
1พศด 19.7 เขาได้จ้างรถรบสามหมื่นสองพันคันและกษัตริย์แห่งเมืองมาอาคาห์กับกองทัพของท่าน ผู้ซึ่งมาตั้งค่ายอยู่ที่หน้าเมืองเมเดบา และคนอัมโมนก็รวบรวมกันมาจากหัวเมืองของเขาทั้งหลาย และมาทำสงคราม
2พศด 24.12 กษัตริย์และเยโฮยาดาก็ให้แก่บรรดาผู้ดูแลกิจการของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และเขาทั้งหลายจ้างช่างก่อและช่างไม้ให้ซ่อมแซมพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ทั้งคนงานช่างเหล็กและช่างทองสัมฤทธิ์ ให้ซ่อมแซมพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พศด 25.6 นอกจากนั้นพระองค์ทรงจ้างทแกล้วทหารจากอิสราเอลหนึ่งแสนคนเป็นเงินหนึ่งร้อยตะลันต์
อสร 4.5 และได้จ้างที่ปรึกษาไว้ขัดขวางเขาเพื่อมิให้เขาสมหวังตามจุดประสงค์ของเขา ตลอดรัชสมัยของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย แม้ถึงรัชกาลของดาริอัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
นหม 6.12 และดูเถิด ข้าพเจ้าเข้าใจและเห็นว่า พระเจ้ามิได้ทรงใช้เขา แต่เขาได้พยากรณ์ใส่ร้ายข้าพเจ้า เพราะโทบีอาห์และสันบาลลัทได้จ้างเขา
นหม 6.13 เขาทั้งสองได้จ้างเขามาด้วยหวังจะให้ข้าพเจ้ากลัวแล้วกระทำเช่นนั้น จะได้บาปและเขาจะมีเรื่องป้ายร้ายข้าพเจ้า เพื่อจะเยาะเย้ยข้าพเจ้า
นหม 13.2 เพราะเขามิได้เอาอาหารและน้ำมาต้อนรับคนอิสราเอล แต่ได้จ้างบาลาอัมให้มาต่อต้านและแช่งเขา แต่พระเจ้าของเราทรงเปลี่ยนคำแช่งเป็นพร
อสย 16.14 แต่บัดนี้ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ภายในสามปี ตามปีจ้างลูกจ้าง สง่าราศีของโมอับจะถูกเหยียดหยาม แม้มวลชนมหึมาของเขาทั้งสิ้นก็ดี และคนที่เหลืออยู่นั้นก็จะน้อยและกะปลกกะเปลี้ย”
อสย 21.16 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “สง่าราศีทั้งสิ้นของเคดาร์จะถึงที่สุดภายในปีเดียวตามปีจ้างลูกจ้าง
อสย 46.6 บรรดาผู้ที่โกยทองคำออกจากไถ้และชั่งเงินในตาชั่ง จ้างช่างทองคนหนึ่ง และเขาก็ทำให้เป็นพระ แล้วเขาทั้งหลายก็กราบลง เออ นมัสการเลย
ฮชย 8.9 เขาทั้งหลายขึ้นไปหาอัสซีเรียดังลาป่าที่ท่องเที่ยวอยู่ลำพัง เอฟราอิมได้จ้างคนรักมา
ฮชย 8.10 เออ แม้ว่าเขาจ้างประชาชาติอื่นมา ไม่ช้าเราจะต้อนเขาให้รวมกัน เขาจะเป็นทุกข์เล็กน้อยเรื่องภาระของกษัตริย์จอมเจ้านาย
มธ 20.1 “ด้วยว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าของบ้านคนหนึ่งออกไปจ้างคนทำงานในสวนองุ่นของตนแต่เวลาเช้าตรู่
มธ 20.7 พวกเขาตอบเจ้าของบ้านว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างพวกข้าพเจ้า’ เจ้าของบ้านบอกพวกเขาว่า ‘ท่านทั้งหลายจงไปทำงานในสวนองุ่นด้วยเถิด และท่านจะได้รับค่าจ้างตามสมควร’

จาน ( 18 )
อพย 25.29 เจ้าจงทำจานและช้อน คนโท และอ่างน้ำที่ใช้สำหรับรินเครื่องดื่มบูชา สิ่งเหล่านี้เจ้าจงทำด้วยทองคำบริสุทธิ์
อพย 37.16 และเขาทำเครื่องใช้สำหรับโต๊ะนั้นมี จาน ช้อน กับอ่างน้ำและคนโทที่ใช้รินเครื่องดื่มบูชา ซึ่งทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งสิ้น
กดว 4.7 และเอาผ้าสีฟ้าปูลงบนโต๊ะสำหรับขนมปังหน้าพระพักตร์แล้ววางจานและช้อน อ่างน้ำและคนโทที่รินเครื่องดื่มบูชา และขนมปังหน้าพระพักตร์เป็นนิตย์ก็ให้วางอยู่บนผ้าสีฟ้านั้นด้วย
กดว 7.13 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล และชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.19 เขาถวายของถวายของเขาเป็นจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.25 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.31 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.37 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.43 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.49 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.55 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.61 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.67 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.73 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.79 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.84 ต่อไปนี้เป็นของถวายในงานมอบถวายแท่นบูชาจากประมุขของคนอิสราเอล ในวันที่มีพิธีเจิมแท่นบูชานั้นคือจานเงินสิบสองลูก ชามเงินสิบสองลูก ช้อนทองคำสิบสองลูก
กดว 7.85 จานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล และชามลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล เงินที่ทำภาชนะทั้งหมดหนักสองพันสี่ร้อยเชเขล ตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์
มก 14.20 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า “เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนี้ คือเป็นคนจิ้มในจานเดียวกันกับเรา

จาม ( 1 )
2พกษ 4.35 แล้วท่านก็ลุกขึ้นอีกเดินไปเดินมาในเรือนนั้นครั้งหนึ่ง แล้วขึ้นไปเหยียดตัวของท่านบนเขา เด็กนั้นก็จามเจ็ดครั้ง และเด็กนั้นก็ลืมตาของตน

จ่าย ( 14 )
ปฐก 23.13 และท่านพูดกับเอโฟรนให้ชาวแผ่นดินนั้นฟังว่า “แต่ถ้าท่านยินยอมให้แล้ว ขอฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจ่ายค่านานั้น ขอรับเงินจากข้าพเจ้าเถิด และข้าพเจ้าจะได้ฝังผู้ตายของข้าพเจ้าที่นั่น”
ปฐก 47.17 เขาก็นำฝูงสัตว์มาให้โยเซฟ โยเซฟก็ให้อาหารแก่เขาแลกกับม้า แพะแกะ ฝูงวัวและลา ในปีนั้นท่านจ่ายอาหารแลกกับสัตว์ต่างๆของเขา
อพย 30.16 จงเก็บเงินค่าไถ่จากชนชาติอิสราเอล และจงกำหนดเงินไว้ใช้จ่ายในพลับพลาแห่งชุมนุม เพื่อเป็นที่ระลึกแก่ชนชาติอิสราเอลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ สำหรับการไถ่ชีวิตของเจ้าทั้งหลาย”
พบญ 24.15 ท่านจงจ่ายเงินค่าจ้างวันนั้นให้แก่เขา ก่อนดวงอาทิตย์ตก เพราะเขาเป็นคนยากจน และมีใจจดจ่ออยู่ที่ค่าจ้างนั้น ด้วยเกรงว่าเขาจะกล่าวหาท่านต่อพระเยโฮวาห์ และจะเป็นความบาปแก่ท่าน
วนฉ 17.10 มีคาห์จึงกล่าวแก่เขาว่า “จงอยู่กับข้าพเจ้าเถิด เป็นอย่างบิดาและปุโรหิตของข้าพเจ้าก็แล้วกัน ข้าพเจ้าจะจ่ายเงินให้ปีละสิบเชเขล ให้เครื่องแต่งตัวสำรับหนึ่ง และอาหารรับประทานด้วย” เลวีคนนั้นจึงเข้าไป
2พกษ 12.11 แล้วเขาจะมอบเงินที่ชั่งออกแล้วนั้นใส่มือของคนงานผู้ดูแลพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ แล้วเขาจะจ่ายต่อให้แก่ช่างไม้และช่างก่อสร้าง ผู้ทำงานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พกษ 12.12 และให้แก่ช่างก่อ และช่างสกัดหิน ทั้งจ่ายซื้อตัวไม้ และหินสกัด ที่ใช้ในการซ่อมแซมพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และเพื่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดในงานซ่อมแซมพระนิเวศนั้น
2พกษ 12.15 และเขามิได้ขอบัญชีจากคนที่เขามอบเงินใส่ในมือให้เอาไปจ่ายแก่คนงาน เพราะว่าเขาปฏิบัติงานด้วยความสัตย์ซื่อ
2พกษ 22.5 และให้มอบไว้ในมือของคนงานผู้ดูแลพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และให้เขาจ่ายแก่คนงานผู้ที่อยู่ ณ พระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ที่ทำการซ่อมแซมพระนิเวศอยู่
2พกษ 22.7 แต่ไม่ได้ขอบัญชีจากเขาเรื่องเงินที่จ่ายใส่มือของเขา เพราะเขากระทำด้วยความสัตย์ซื่อ
สดด 37.21 คนชั่วขอยืมและไม่จ่ายคืน แต่คนชอบธรรมนั้นแสดงความเมตตาและแจกจ่าย
ยรม 22.13 “วิบัติแก่เขาผู้สร้างวังของตนด้วยความอธรรม และสร้างห้องชั้นบนไว้ด้วยความอยุติธรรม ผู้ที่ทำให้เพื่อนบ้านของเขาปรนนิบัติเขาโดยไม่ได้อะไรเลย และมิได้จ่ายค่าจ้างให้แก่เขา
ศคย 11.13 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงโยนเงินนั้นให้แก่ช่างปั้นหม้อ” คือเงินก้อนงามที่เขาจ่ายให้ข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเอาเงินสามสิบเหรียญโยนให้แก่ช่างปั้นหม้อในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
มธ 17.27 แต่เพื่อมิให้เราทั้งหลายทำให้เขาสะดุด ท่านจงไปตกเบ็ดที่ทะเล เมื่อได้ปลาตัวแรกขึ้นมาก็ให้เปิดปากมัน แล้วจะพบเงินแผ่นหนึ่ง จงเอาเงินนั้นไปจ่ายให้แก่เขาสำหรับเรากับท่านเถิด”

จารีต ( 1 )
กจ 15.1 มีบางคนลงมาจากแคว้นยูเดียได้สั่งสอนพวกพี่น้องว่า “ถ้าไม่เข้าสุหนัตตามจารีตของโมเสส ท่านจะรอดไม่ได้”

จารึก ( 60 )
อพย 24.4 โมเสสจึงจารึกพระวจนะของพระเยโฮวาห์ไว้ทุกคำ แล้วตื่นขึ้นแต่เช้าจัดแจงสร้างแท่นบูชาขึ้นที่เชิงภูเขา ปักเสาหินขึ้นสิบสองก้อนตามจำนวนตระกูลทั้งสิบสองของอิสราเอล
อพย 24.12 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ขึ้นมาหาเราบนภูเขาแล้วคอยอยู่ที่นั่น เราจะให้แผ่นศิลาอันมีราชบัญญัติ และข้อบัญญัติซึ่งเราจารึกไว้เพื่อเก็บไว้สอนเขา”
อพย 28.9 แล้วให้ใช้พลอยสีน้ำข้าวสองแผ่น สำหรับจารึกชื่อบุตรของอิสราเอลไว้
อพย 28.10 ที่พลอยแผ่นหนึ่งให้จารึกชื่อหกชื่อ และแผ่นที่สองก็ให้จารึกชื่อไว้อีกหกชื่อที่เหลืออยู่ตามกำเนิด
อพย 28.11 ให้ช่างแกะจารึกชื่อเหล่าบุตรอิสราเอลไว้ที่พลอยทั้งสองแผ่นนั้น เช่นอย่างแกะตราแล้วฝังไว้บนกระเปาะทองคำซึ่งมีลวดลายละเอียด
อพย 28.21 พลอยเหล่านั้นให้มีชื่อเหล่าบุตรอิสราเอลสิบสองชื่อจารึกไว้เหมือนแกะตรา จะมีชื่อตระกูลทุกตระกูลตามลำดับสิบสองตระกูล
อพย 28.29 อาโรนจึงจะมีชื่อเหล่าบุตรอิสราเอลจารึกไว้ที่ทับทรวงแห่งการพิพากษาติดไว้ที่หัวใจของตน ให้เป็นที่ระลึกต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์เสมอ เมื่อเขาเข้าไปในที่บริสุทธิ์นั้น
อพย 28.36 เจ้าจงทำแผ่นทองคำบริสุทธิ์จารึกคำว่า ‘บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์’ ไว้เหมือนอย่างแกะตรา
อพย 31.18 เมื่อพระองค์ตรัสแก่โมเสสบนภูเขาซีนายเสร็จแล้ว พระองค์ได้ประทานแผ่นพระโอวาทสองแผ่น เป็นแผ่นศิลาจารึกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า
อพย 32.15 ฝ่ายโมเสสกลับลงมาจากภูเขาถือแผ่นศิลาพระโอวาทมาสองแผ่น ซึ่งจารึกทั้งสองด้าน จารึกทั้งด้านนี้และด้านนั้น
อพย 32.16 แผ่นศิลาเหล่านั้นเป็นงานจากฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า และอักษรที่จารึกนั้นเป็นลายพระหัตถ์ของพระเจ้า สลักไว้บนแผ่นศิลานั้น
อพย 34.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงสกัดศิลาอีกสองแผ่นเหมือนเดิมแล้วเราจะจารึกคำเหมือนในแผ่นเก่าที่เจ้าทำแตกนั้นให้
อพย 34.28 ฝ่ายโมเสสเฝ้าพระเยโฮวาห์อยู่ที่นั่นสี่สิบวันสี่สิบคืน มิได้รับประทานอาหารหรือน้ำเลย และท่านจารึกคำพันธสัญญาไว้ที่แผ่นศิลา คือพระบัญญัติสิบประการ
อพย 39.14 พลอยเหล่านั้นมีชื่อเหล่าบุตรอิสราเอลสิบสองชื่อ จารึกไว้เหมือนแกะตรา มีชื่อตระกูลทุกตระกูลตามลำดับสิบสองตระกูล
อพย 39.30 เขาทั้งหลายทำแผ่นมงกุฎบริสุทธิ์ด้วยทองคำบริสุทธิ์จารึกคำว่า “บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์” ไว้เหมือนอย่างแกะตรา
พบญ 4.13 และพระองค์ทรงประกาศพันธสัญญาของพระองค์แก่ท่าน ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาให้ท่านทั้งหลายปฏิบัติตามคือ พระบัญญัติสิบประการ และพระองค์ทรงจารึกพระบัญญัตินั้นไว้บนศิลาสองแผ่น
พบญ 5.22 พระวจนะเหล่านี้พระเยโฮวาห์ได้ตรัสแก่ชุมนุมชนทั้งปวงของท่านที่ภูเขา ออกมาจากท่ามกลางเพลิง เมฆและความมืดคลุ้มหนาทึบ ด้วยพระสุรเสียงอันดัง และมิได้ทรงเพิ่มเติมสิ่งใดอีก และพระองค์ทรงจารึกไว้บนแผ่นศิลาสองแผ่นและประทานแก่ข้าพเจ้า
พบญ 9.10 และพระเยโฮวาห์ได้ประทานแผ่นศิลาสองแผ่นที่จารึกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้าให้แก่ข้าพเจ้า บนศิลานั้นมีพระวจนะทั้งสิ้นซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลายบนภูเขาจากท่ามกลางเพลิงในวันที่ประชุมกันอยู่
พบญ 10.2 และเราจะจารึกถ้อยคำที่อยู่ในแผ่นศิลาแผ่นเดิมที่เจ้าทำแตกเสียนั้น จงเก็บศิลานั้นไว้ในหีบไม้’
พบญ 10.4 แล้วพระองค์จึงทรงจารึกพระบัญญัติสิบประการลงบนแผ่นศิลาอย่างครั้งก่อน ซึ่งเป็นพระวจนะที่พระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านบนภูเขาจากท่ามกลางเพลิงในวันที่ประชุมนั้น และพระเยโฮวาห์ทรงประทานแผ่นศิลานั้นแก่ข้าพเจ้า
พบญ 27.3 แล้วท่านจงจารึกบรรดาถ้อยคำของพระราชบัญญัตินี้ไว้บนนั้น เมื่อท่านข้ามไปเพื่อเข้าแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน เป็นแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านได้ทรงสัญญาไว้กับท่าน
พบญ 27.8 และท่านจงจารึกบรรดาถ้อยคำของพระราชบัญญัตินี้บนศิลานั้นอย่างชัดเจน”
พบญ 29.21 แล้วพระเยโฮวาห์จะทรงแยกเขาออกจากตระกูลคนอิสราเอลทั้งปวงให้ประสบหายนะตามคำสาปแช่งทั้งสิ้นของพันธสัญญา ซึ่งจารึกไว้ในหนังสือพระราชบัญญัตินี้
พบญ 29.27 เพราะฉะนั้นพระพิโรธของพระเยโฮวาห์จึงพลุ่งขึ้นต่อแผ่นดินนี้ นำเอาบรรดาคำสาปแช่งซึ่งจารึกไว้ในหนังสือนี้มาถึง
พบญ 30.10 ถ้าท่านเชื่อฟังพระสุรเสียงแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน โดยรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งจารึกไว้ในหนังสือของพระราชบัญญัตินี้ ถ้าท่านทั้งหลายหันกลับมาหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน
ยชว 8.31 ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์บัญชาประชาชนอิสราเอล ตามที่จารึกไว้ในหนังสือพระราชบัญญัติของโมเสสว่า “แท่นบูชาทำด้วยหินมิได้ตกแต่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดใช้เครื่องมือเหล็กถูกต้องเลย” แล้วเขาก็ถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์บนแท่นนั้น และถวายสันติบูชา
ยชว 8.34 ภายหลังท่านจึงอ่านบรรดาถ้อยคำในพระราชบัญญัติ เป็นคำอวยพรและคำสาปแช่ง ตามที่มีจารึกไว้ในหนังสือพระราชบัญญัติทุกประการ
ยชว 10.13 ดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่ง และดวงจันทร์ก็ตั้งเฉยอยู่จนประชาชนได้แก้แค้นศัตรูของเขาเสร็จ เรื่องนี้มิได้จารึกไว้ในหนังสือยาชาร์ดอกหรือ ดวงอาทิตย์หยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า หาได้รีบตกไปตามเวลาประมาณวันหนึ่งไม่
ยชว 24.26 และโยชูวาก็จารึกถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในหนังสือพระราชบัญญัติของพระเจ้า และท่านได้เอาก้อนหินใหญ่ตั้งไว้ที่ใต้ต้นโอ๊กที่ในสถานบริสุทธิ์แห่งพระเยโฮวาห์
1พกษ 2.3 และจงรักษาพระบัญชากำชับของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า คือดำเนินในบรรดาพระมรรคาของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์ พระบัญญัติของพระองค์ คำตัดสินของพระองค์ และพระโอวาทของพระองค์ ดังที่ได้จารึกไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสส เพื่อเจ้าจะได้จำเริญในบรรดาการซึ่งเจ้าได้กระทำ และในที่ใดๆที่เจ้าไป
2พกษ 17.37 และกฎเกณฑ์ และกฎ และพระราชบัญญัติ และพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงจารึกให้แก่เจ้า เจ้าทั้งหลายจงระวังที่จะกระทำตามเสมอ เจ้าอย่ายำเกรงพระอื่นเลย
โยบ 13.26 เพราะพระองค์ทรงจารึกสิ่งขมขื่นต่อสู้ข้าพระองค์ และทรงกระทำให้ข้าพระองค์รับโทษความชั่วช้าที่ข้าพระองค์กระทำเมื่อยังรุ่นๆอยู่
โยบ 13.27 พระองค์ทรงเอาเท้าของข้าพระองค์ใส่ขื่อไว้ และทรงเฝ้าดูทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์ พระองค์ทรงจารึกเครื่องหมายไว้บนฝ่าเท้าของข้าพระองค์
โยบ 19.23 โอ ข้าอยากให้ถ้อยคำของข้าได้ถูกบันทึกไว้ โอ ข้าอยากให้จารึกไว้ในหนังสือ
สดด 139.16 พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นส่วนประกอบของข้าพระองค์ในเมื่อยังไม่สมบูรณ์ ในวันทั้งหลายที่กำลังประกอบขึ้น เมื่อครั้งไม่เกิดขึ้น อวัยวะทั้งหลายของข้าพระองค์ก็ทรงจารึกไว้ในพระตำรับของพระองค์
ยรม 17.1 “บาปของยูดาห์นั้นบันทึกไว้ด้วยปากกาเหล็ก ด้วยปลายเพชรจารึกไว้บนแผ่นแห่งจิตใจของเขา และบนเชิงงอนที่แท่นบูชาของเขาทั้งหลาย
ยรม 17.13 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ความหวังแห่งอิสราเอล บรรดาคนเหล่านั้นที่ละทิ้งพระองค์จะต้องรับความอับอาย บรรดาคนทั้งปวงที่หันไปจากเราจะต้องจารึกไว้ในแผ่นดินโลก เพราะเขาได้ละทิ้งพระเยโฮวาห์ ผู้เป็นแหล่งน้ำแห่งชีวิตเสีย
ยรม 31.33 “แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับวงศ์วานอิสราเอล ภายหลังสมัยนั้น” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ “เราจะบรรจุราชบัญญัติของเราไว้ภายในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้ที่ในดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชาชนของเรา
ดนล 5.24 จึงมีมือซึ่งรับใช้มาจากพระพักตร์ได้จารึกข้อเขียนนี้ลงไว้
ดนล 5.25 ต่อไปนี้เป็นข้อเขียนที่จารึกไว้ คือ เมเน เมเน เทเคล และ ฟารสิน
ดนล 9.11 เออ อิสราเอลทั้งผองได้ละเมิดต่อพระราชบัญญัติของพระองค์ และได้หันไปเสียไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และการสาปแช่งและการปฏิญาณ ซึ่งจารึกไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า จึงถูกเทลงเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์
ดนล 9.13 ดังที่ได้จารึกไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสสแล้ว วิบัติทั้งสิ้นก็ได้ตกอยู่เหนือข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว แต่ข้าพระองค์ทั้งหลายยังมิได้อธิษฐานต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย โดยหันเสียจากความชั่วช้าของข้าพระองค์ และเข้าใจความจริงของพระองค์
รม 2.15 คือแสดงให้เห็นการกระทำที่เป็นตามพระราชบัญญัตินั้นมีจารึกอยู่ในจิตใจของเขา และใจสำนึกผิดชอบก็เป็นพยานของเขาด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆของเขานั้นแหละ จะกล่าวโทษตัวหรืออาจจะแก้ตัวให้เขา)
2คร 3.2 ท่านเองเป็นหนังสือของเราจารึกไว้ที่ดวงใจของเรา ให้คนทั้งปวงได้รู้และได้อ่าน
2คร 3.7 แต่ถ้าการปฏิบัติที่นำไปถึงความตายตามตัวอักษรซึ่งได้เขียนและจารึกไว้ที่แผ่นศิลานั้น ยังมีรัศมี จนชนชาติอิสราเอลไม่สามารถจ้องมองหน้าของโมเสสได้เพราะรัศมีจากใบหน้าของท่านซึ่งเป็นรัศมีที่กำลังเสื่อมสูญไป
ฮบ 8.10 “นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับวงศ์วานอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “เราจะบรรจุราชบัญญัติของเราไว้ในจิตใจของเขาทั้งหลาย และจะจารึกมันไว้ที่ในดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชาชนของเรา
ฮบ 10.16 ‘”นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับเขาทั้งหลายภายหลังสมัยนั้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “เราจะบรรจุราชบัญญัติของเราไว้ในจิตใจของเขาทั้งหลาย และจะจารึกมันไว้ที่ในดวงใจของเขาทั้งหลาย
ฮบ 12.23 และมาถึงที่ชุมนุมอันใหญ่และมาถึงคริสตจักรของบุตรหัวปี ซึ่งมีชื่อจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว และมาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาคนทั้งปวง และมาถึงจิตวิญญาณของคนชอบธรรมซึ่งถึงความสมบูรณ์แล้ว
2ปต 1.20 จงรู้ข้อนี้ก่อน คือว่าคำพยากรณ์ทุกคำที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ไม่มีใครตีความได้ตามลำพังใจของตนเอง
วว 2.17 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ที่มีชัยชนะ เราจะให้ผู้นั้นกินมานาที่ซ่อนอยู่ และจะให้หินขาวแก่ผู้นั้นด้วย ที่หินนั้นมีชื่อใหม่จารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้เลยนอกจากผู้ที่รับเท่านั้น’
วว 3.12 ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะกระทำให้ผู้นั้นเป็นเสาในพระวิหารแห่งพระเจ้าของเรา และผู้นั้นจะไม่ออกไปภายนอกอีกเลย และเราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเราไว้ที่ผู้นั้น และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ของเราไว้ที่ผู้นั้นด้วย
วว 13.1 และข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ที่หาดทรายชายทะเล และเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา ที่เขาทั้งสิบนั้นมีมงกุฎสิบอัน และมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทจารึกไว้ที่หัวทั้งหลายของมัน
วว 19.12 พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวไฟ และบนพระเศียรของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน และพระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักเลย นอกจากพระองค์เอง
วว 19.16 พระองค์ทรงมีพระนามจารึกที่ฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุของพระองค์ว่า “พระมหากษัตริย์แห่งมหากษัตริย์ทั้งปวงและเจ้านายแห่งเจ้านายทั้งปวง”
วว 20.12 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ ยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกม้วนหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น ตามที่เขาได้กระทำ
วว 21.12 เมืองนั้นมีกำแพงสูงใหญ่ มีประตูสิบสองประตู และที่ประตูมีทูตสวรรค์สิบสององค์ และที่ประตูนั้นจารึกเป็นชื่อตระกูลของชนชาติอิสราเอลสิบสองตระกูล
วว 21.14 และกำแพงเมืองนั้นมีฐานสิบสองฐาน และที่ฐานนั้นจารึกชื่ออัครสาวกสิบสองคนของพระเมษโปดก

จ้าว ( 3 )
พซม 7.1 โอ แม่ธิดาของจ้าว เท้าสวมรองเท้าผูกของเธอนั้นนวยนาดนี่กระไร ตะโพกของเธอกลมดิกราวกับเม็ดเพชรที่มือช่างผู้ชำนาญได้เจียระไนไว้
อสค 16.13 เราก็ประดับเจ้าด้วยทองคำและเงิน และเสื้อผ้าของเจ้าก็เป็นผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าไหมและผ้าปัก เจ้ากินยอดแป้ง น้ำผึ้งและน้ำมัน เจ้างามเลิศทีเดียว และเจ้าเจริญขึ้นเป็นชั้นจ้าว
อสค 30.13 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะทำลายรูปเคารพ และจะกระทำให้ปฏิมากรที่ในเมืองโนฟสิ้นสุดลง และจะไม่มีจ้าวจากแผ่นดินอียิปต์อีก ดังนั้นเราจะใส่ความยำเกรงไว้ในแผ่นดินอียิปต์

จำ ( 85 )
ปฐก 39.20 จึงเอาโยเซฟไปจำไว้ในคุกที่ที่ขังนักโทษหลวง โยเซฟก็ต้องจำอยู่ที่นั่น
ปฐก 40.5 คืนหนึ่งข้าราชการทั้งสองนั้นฝันไป คือพนักงานน้ำองุ่นและพนักงานขนมของกษัตริย์อียิปต์ที่ต้องจำอยู่ในคุกนั้น ต่างคนต่างฝันคนละเรื่อง ความฝันของต่างคนก็มีความหมายต่างกัน
ปฐก 40.7 จึงถามข้าราชการของฟาโรห์ที่ถูกจำอยู่ในคุกที่บ้านนายของตนว่า “ทำไมวันนี้ท่านจึงหน้าเศร้า”
ปฐก 41.10 คือฟาโรห์ทรงพระพิโรธแก่ข้าราชการของพระองค์ และทรงจำข้าพระองค์ไว้ในคุกที่บ้านผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ทั้งข้าพระองค์กับหัวหน้าพนักงานขนม
ปฐก 41.31 ทำให้จำความอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินไม่ได้ เพราะเหตุการกันดารอาหารที่เกิดขึ้นตามหลังนี้ ด้วยว่าการกันดารอาหารนั้นจะรุนแรงนัก
ปฐก 42.19 ถ้าพวกเจ้าเป็นคนสัตย์จริง จงให้คนหนึ่งในพวกเจ้าถูกจำอยู่ที่ห้องเล็กในคุก คนอื่นนำข้าวไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหารที่บ้านของเจ้า
กดว 15.34 เขาจึงจำคนนั้นไว้ เพราะยังไม่แจ้งว่าจะกระทำอย่างไรแก่เขา
พบญ 8.18 ท่านทั้งหลายจงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงดำรงพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำโดยปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้
พบญ 9.7 จงจำไว้และอย่าลืมเสียว่าพวกท่านได้กระทำให้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านพิโรธที่ในถิ่นทุรกันดาร ตั้งแต่วันที่ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ กระทั่งท่านมาถึงที่นี่ ท่านมักกบฏต่อพระเยโฮวาห์อยู่
พบญ 15.15 ท่านจงจำไว้ว่าท่านเคยเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ทรงไถ่ท่านไว้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบัญชาเรื่องนี้แก่ท่านในวันนี้
พบญ 16.12 ท่านพึงจำไว้ว่าท่านเคยเป็นทาสในอียิปต์ ท่านพึงระวังที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้
พบญ 24.18 แต่ท่านพึงจำไว้ว่า ท่านเคยเป็นทาสอยู่ในอียิปต์ และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านไถ่ท่านออกจากที่นั่น เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบัญชาท่านให้กระทำเช่นนี้
พบญ 24.22 ท่านจงจำไว้ว่า ท่านเคยเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบัญชาท่านให้กระทำเช่นนี้”
พบญ 33.9 ผู้กล่าวถึงบิดามารดาของเขาว่า ‘ข้าพเจ้ามิได้เห็นเขา’ เขาไม่จำพี่น้องของเขา และไม่รู้จักลูกของตนเอง เพราะว่าเขาปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ และรักษาพันธสัญญาของพระองค์
ยชว 1.13 “จงจำคำที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์บัญชาท่านทั้งหลายไว้ว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจัดที่พักให้ท่าน และประทานแผ่นดินนี้แก่ท่าน
วนฉ 18.3 เมื่อเขาอยู่ใกล้บ้านของมีคาห์ เขาก็จำเสียงเลวีหนุ่มคนนั้นได้ จึงแวะเข้าไปถามว่า “ใครพาท่านมาที่นี่ ท่านทำอะไรในที่นี้ ท่านทำงานอะไรที่นี่”
นรธ 3.14 ดังนั้นนางจึงนอนอยู่ที่เท้าของท่านจนรุ่งเช้า แต่นางลุกขึ้นก่อนคนจะจำหน้ากันได้ เพราะท่านคิดว่า “อย่าให้ใครทราบว่ามีผู้หญิงมาที่ลานนวดข้าว”
1ซมอ 21.12 และดาวิดก็จำถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจและกลัวอาคีชกษัตริย์เมืองกัทอย่างมาก
1ซมอ 26.17 ซาอูลทรงจำสำเนียงดาวิดได้จึงตรัสว่า “ดาวิดบุตรของข้าเอ๋ย นี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ” และดาวิดทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ เป็นเสียงข้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
1พกษ 18.7 เมื่อโอบาดีห์กำลังไปตามทาง ดูเถิด เอลียาห์ได้พบเขา และโอบาดีห์ก็จำท่านได้จึงซบหน้าลงพูดว่า “เอลียาห์ เจ้านายของข้าพเจ้า เป็นตัวท่านเองจริงหรือ”
1พกษ 20.41 แล้วท่านก็รีบเอาขี้เถ้าออกจากหน้าของตน และกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็จำท่านได้ว่า เป็นผู้พยากรณ์คนหนึ่ง
2พกษ 9.25 เยฮูตรัสกับบิดคาร์นายทหารของพระองค์ว่า “จงยกศพเขาขึ้นและโยนทิ้งลงไปในที่ดินแปลงของนาโบทชาวยิสเรเอล จำไว้เถอะ เมื่อฉันและท่านขี่ม้าเคียงกันมาตามอาหับบิดาของเขาไป พระเยโฮวาห์ทรงกล่าวโทษเขาดังนี้
2พกษ 17.4 แต่กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงพบความทรยศในโฮเชยา เพราะพระองค์ทรงใช้ผู้สื่อสารไปยังโสกษัตริย์แห่งอียิปต์ และไม่ถวายเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์อัสซีเรียตามซึ่งพระองค์ทรงเคยกระทำทุกปี เพราะฉะนั้นกษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงขังพระองค์ไว้ และจำพระองค์ไว้ในคุก
2พศด 16.10 และอาสาก็ทรงกริ้วต่อผู้ทำนายนั้น และจับเขาจำไว้ในคุก เพราะพระองค์ทรงเกรี้ยวกราดแก่เขาในเรื่องนี้ และอาสาทรงข่มเหงประชาชนบางคนในเวลาเดียวกันนั้นด้วย
อสร 7.26 ผู้ใดที่ไม่เชื่อฟังพระราชบัญญัติของพระเจ้าของเจ้า และกฎหมายของกษัตริย์ ก็ให้พิพากษาลงโทษเขาอย่างเคร่งครัด จะเป็นโทษถึงตาย หรือถึงเนรเทศ หรือถึงริบทรัพย์ของเขา หรือถึงจำขังก็ได้”
โยบ 2.12 เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นแต่ไกลเขาก็จำท่านไม่ได้ ก็เปล่งเสียงร้องไห้ ต่างก็ฉีกเสื้อคลุมของตน และซัดผงคลีดินเหนือศีรษะของตนขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์
โยบ 4.7 ข้าขอร้องให้ท่านจำไว้หน่อยเถิดว่า ผู้ที่ไร้ความผิดเคยพินาศหรือ หรือคนเที่ยงธรรมถูกตัดออกที่ไหน
โยบ 7.7 โอ ขอทรงจำไว้ว่า ชีวิตของข้าพระองค์เป็นแต่ลมหายใจ ตาของข้าพระองค์จะไม่เห็นสิ่งดีอีกเลย
โยบ 24.20 ครรภ์จะลืมเขา ตัวหนอนจะกินเขาอย่างอร่อย ไม่มีใครจำเขาได้ต่อไป ความชั่วจะหักลงเหมือนต้นไม้
โยบ 36.8 และถ้าเขาถูกจำด้วยพันธนาการ และติดอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์ใจ
สดด 9.12 เมื่อพระองค์ทรงไต่สวนเรื่องโลหิต พระองค์ทรงจำเขาทั้งหลายไว้ พระองค์มิได้ทรงลืมคำร้องทุกข์ของผู้ถ่อมตัวลง
สดด 77.5 ข้าพระองค์พิจารณาถึงสมัยก่อน ข้าพระองค์จำปีที่นมนานมาแล้วได้
สดด 109.14 ขอให้ความชั่วช้าของบรรพบุรุษของเขายังเป็นที่จำได้อยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ อย่าให้บาปของมารดาเขาลบเลือนไป
อสย 29.15 วิบัติแก่ผู้ที่พยายามซ่อนแผนงานของเขาไว้ลึกจากพระเยโฮวาห์ ซึ่งการกระทำของเขาอยู่ในความมืด ผู้ซึ่งกล่าวว่า “ใครเห็นเรา ใครจำเราได้”
อสย 44.21 โอ ยาโคบและอิสราเอลเอ๋ย จงจำสิ่งเหล่านี้ เพราะเจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา เราได้ปั้นเจ้า เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา โอ อิสราเอลเอ๋ย เราจะไม่ลืมเจ้า
อสย 46.8 จำข้อนี้ไว้และจงเป็นลูกผู้ชายแท้ โอ เจ้าผู้ละเมิดทั้งหลาย จงนึกไว้ในใจ
อสย 46.9 จงจำสิ่งล่วงแล้วในสมัยก่อนไว้ เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดอีก เราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดเหมือนเรา
อสย 54.4 อย่ากลัวเลย เพราะเจ้าจะไม่ต้องอับอาย อย่าอดสูเลย เพราะเจ้าจะไม่ต้องละอาย เพราะเจ้าจะลืมความอายในวัยสาวของเจ้า และเจ้าจะไม่จำที่เขาติความเป็นม่ายของเจ้าอีก
อสย 61.9 เชื้อสายของเขาทั้งหลายจะเป็นที่รู้จักกันท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และลูกหลานของเขาในท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ทุกคนที่ได้เห็นเขาจะจำเขาได้ ว่าเขาเป็นเชื้อสายซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพร”
อสย 63.16 แน่นอนพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย แม้อับราฮัมมิได้รู้จักข้าพระองค์ และอิสราเอลหาจำข้าพระองค์ได้ไม่ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาและพระผู้ไถ่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระนามของพระองค์ดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาล
อสย 64.5 พระองค์ทรงพบเขาที่ชื่นบานและกระทำความชอบธรรม บรรดาผู้ที่จำพระองค์ได้ในวิธีการของพระองค์ ดูเถิด พระองค์ทรงกริ้ว เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายทำบาปแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายยังอยู่ในบาปเป็นเวลานาน และข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอด
อสย 65.17 เพราะ ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะสิ่งเก่าก่อนนั้นจะไม่จำกันหรือนึกได้อีก
ยรม 2.2 “จงไปประกาศกรอกหูของกรุงเยรูซาเล็มว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เรายังจำเจ้าได้ คือความเมตตาในวัยสาวของเจ้า ความรักขณะที่เจ้าเข้าพิธีสมรส เมื่อเจ้าตามเรามาในถิ่นทุรกันดาร ในดินแดนที่ไม่ได้หว่านพืชอะไร
ยรม 37.4 ฝ่ายเยเรมีย์นั้นยังเข้านอกออกในท่ามกลางประชาชนอยู่ เพราะท่านยังมิได้ถูกจำขัง
ยรม 37.18 เยเรมีย์ได้ทูลกษัตริย์เศเดคียาห์อีกว่า “ข้าพระองค์ได้กระทำอะไรผิดต่อพระองค์ หรือต่อข้าราชการของพระองค์ หรือต่อชนชาตินี้ พระองค์จึงได้จำขังข้าพระองค์ไว้ในคุก
พคค 3.19 ขอทรงจำความทุกข์ใจและความทรมานของข้าพเจ้า อันเป็นบอระเพ็ดและดีหมี
พคค 4.8 บัดนี้ผิวพรรณของเขาก็ดำยิ่งกว่าถ่านหิน ใครๆตามถนนก็จำเขาไม่ได้ หนังของเขาเหี่ยวหุ้มกระดูกและซูบราวกับไม้เสียบ
อสค 16.63 เพื่อเจ้าจะจำได้และสนเท่ห์ และเพราะความละอายของเจ้า เจ้าจะไม่อ้าปากพูดอีก เมื่อเราลบมลทินบาปทุกสิ่งที่เจ้าได้กระทำมาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้”
ดนล 2.5 กษัตริย์ทรงตอบคนเคลเดียว่า “เราจำความฝันนั้นไม่ได้แล้ว ถ้าเจ้าไม่ให้เรารู้ความฝันพร้อมทั้งคำแก้ฝัน เจ้าจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และบ้านเรือนของเจ้าจะต้องเป็นกองขยะ
ดนล 2.8 กษัตริย์ทรงตอบว่า “เรารู้เป็นแน่แล้วว่า เจ้าพยายามจะถ่วงเวลาไว้ เพราะเจ้าเห็นว่าเราจำความฝันนั้นไม่ได้แล้ว
มลค 2.2 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ถ้าเจ้าไม่ฟัง และถ้าเจ้าไม่จำใส่ไว้ในใจที่จะถวายสง่าราศีแด่นามของเรา เราจะส่งคำแช่งมาเหนือเจ้า และเราจะสาปแช่งผลพระพรซึ่งมาถึงเจ้า เราได้สาปแช่งคำอวยพรของเจ้าแล้วนะ เพราะเจ้ามิได้จำใส่ใจไว้
มธ 16.9 ท่านยังไม่เข้าใจและจำไม่ได้หรือ เรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น ท่านเก็บที่เหลือได้กี่กระบุง
มธ 24.43 จงจำไว้อย่างนี้เถิดว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมายามใด เขาก็จะเฝ้าระวัง และไม่ยอมให้ทะลวงเรือนของเขาได้
มธ 25.36 เราเปลือยกาย ท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วย ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในคุก ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา’
มธ 25.39 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในคุก และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’
มธ 25.43 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในคุก ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา’
มธ 25.44 เขาทั้งหลายจะทูลพระองค์ด้วยว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในคุก และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’
มธ 26.54 แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นพระคัมภีร์ที่ว่า จำจะต้องเป็นอย่างนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร”
มธ 27.63 เรียนว่า “เจ้าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้ว่า คนล่อลวงผู้นั้น เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’
มก 6.33 คนเป็นอันมากเห็นพระองค์กับสาวกกำลังไป และมีหลายคนจำพระองค์ได้ จึงพากันวิ่งออกจากบ้านเมืองทั้งปวงไปถึงก่อน และพากันเฝ้าพระองค์
มก 6.54 เมื่อขึ้นจากเรือแล้ว คนทั้งปวงก็จำพระองค์ได้ทันที
มก 8.18 มีตาแล้วยังไม่เห็นหรือ มีหูแล้วยังไม่ได้ยินหรือ ท่านทั้งหลายจำไม่ได้หรือ
มก 15.7 มีคนหนึ่งชื่อบารับบัสซึ่งต้องจำอยู่ในจำพวกคนกบฏ ผู้ที่ได้กระทำการฆาตกรรมในการกบฏนั้น
ลก 3.20 เฮโรดยังทำความชั่วนี้เพิ่มกับที่ได้ทำมาแล้ว คือได้จับยอห์นจำไว้ในคุก
ลก 8.29 (ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะพระองค์ได้สั่งผีโสโครกให้ออกมาจากตัวคนนั้น ด้วยว่าผีนั้นแผลงฤทธิ์ในตัวเขาบ่อยๆ และเขาถูกจำด้วยโซ่ตรวน แต่เขาได้หักเครื่องจำนั้นเสีย แล้วผีก็นำเขาไปในที่เปลี่ยว)
ลก 15.18 จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อสวรรค์และทำผิดต่อหน้าท่านด้วย
ลก 24.16 แต่ตาเขาฟางไปและจำพระองค์ไม่ได้
กจ 4.3 เขาจึงจับท่านทั้งสองจำไว้ในคุกจนวันรุ่งขึ้น เพราะว่าเย็นแล้ว
กจ 5.18 จึงได้จับพวกอัครสาวกจำไว้ในคุกหลวง
กจ 5.25 มีคนหนึ่งมาบอกเขาว่า “ดูเถิด คนเหล่านั้น ซึ่งท่านทั้งหลายได้จำไว้ในคุกกำลังยืนสั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ในพระวิหาร”
กจ 8.3 ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายคริสตจักร โดยเข้าไปฉุดลากชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือนเอาไปจำไว้ในคุก
กจ 12.5 เพราะฉะนั้นเปโตรจึงถูกจำไว้ในคุก แต่ว่าคริสตจักรได้อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเปโตรโดยไม่หยุด
กจ 12.14 เมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงของเปโตร เพราะความยินดีก็ยังไม่เปิดประตู แต่วิ่งเข้าไปบอกว่า เปโตรยืนอยู่หน้าประตู
กจ 16.23 ครั้นโบยหลายทีแล้วจึงให้จำไว้ในคุก และกำชับนายคุกให้รักษาไว้ให้มั่นคง
กจ 16.24 นายคุกเมื่อรับคำสั่งอย่างนั้นแล้วจึงพาเปาโลกับสิลาสไปจำไว้ในห้องชั้นใน เอาเท้าใส่ขื่อไว้แน่นหนา
กจ 16.37 แต่เปาโลกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “เขาได้เฆี่ยนเราผู้เป็นคนสัญชาติโรมต่อหน้าคนทั้งหลายก่อนได้ตัดสินความ และได้จำเราไว้ในคุก บัดนี้เขาจะเสือกไสให้เราออกไปเป็นการลับหรือ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ให้เขาเองมาพาเราออกไปเถิด”
กจ 20.31 เหตุฉะนั้นจงตื่นตัวอยู่และจำไว้ว่า ข้าพเจ้าได้สั่งสอนเตือนสติท่านทุกคนด้วยน้ำตาไหล ทั้งกลางวันกลางคืนตลอดสามปีมิได้หยุดหย่อน
กจ 22.4 ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคนทั้งหลายที่ถือในทางนี้จนถึงตาย และได้ผูกมัดเขาจำไว้ในคุกทั้งชายและหญิง
กจ 23.29 ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาถูกฟ้องในเรื่องอันเกี่ยวกับกฎหมายของพวกยิว แต่ไม่มีข้อหาที่เขาควรจะตายหรือควรจะต้องจำไว้
2คร 12.1 ข้าพเจ้าจำจะต้องอวด ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปถึงนิมิตและการสำแดงต่างๆซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
1ธส 2.9 พี่น้องทั้งหลาย ท่านคงจำได้ถึงการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากของเราเมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้แก่ท่าน เราทำงานทั้งกลางคืนและกลางวัน เพื่อเราจะไม่เป็นภาระแก่ผู้ใดในพวกท่าน
2ธส 2.5 ท่านทั้งหลายจำไม่ได้หรือว่าเมื่อข้าพเจ้ายังอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าได้บอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบแล้ว
วว 18.5 เพราะว่าบาปของนครนั้นกองสูงขึ้นถึงสวรรค์แล้ว และพระเจ้าได้ทรงจำความชั่วช้าแห่งนครนั้นได้

จำกัด ( 6 )
อสร 7.22 ถึงจำนวนเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ และข้าวสาลีถึงหนึ่งร้อยโคระ น้ำองุ่นหนึ่งร้อยบัท น้ำมันหนึ่งร้อยบัท และเกลือไม่จำกัดจำนวนว่าเท่าไร
โยบ 15.8 ท่านได้ฟังความลึกลับของพระเจ้าหรือ และท่านจำกัดสติปัญญาไว้เฉพาะตัวท่านหรือ
สภษ 8.29 เมื่อพระองค์ทรงกำหนดเขตจำกัดให้แก่ทะเล เพื่อว่าน้ำจะไม่ละเมิดพระบัญชาของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงปักผังรากฐานของพิภพ
อสย 5.14 เพราะฉะนั้นนรกก็ขยายที่ของมันออก และอ้าปากเสียโดยไม่จำกัด และสง่าราศีของเขา และมวลชนของเขา และเสียงอึงคะนึงของเขา และผู้ลิงโลดอยู่ ก็จะลงไป
นฮม 3.9 เอธิโอเปียเป็นกำลังของเมืองนี้ทั้งอียิปต์ และก็ไม่จำกัดเสียด้วย พูตและลิบนีเป็นผู้ช่วยเมืองนั้น
ยน 3.34 เพราะพระองค์ ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มานั้น ทรงกล่าวพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระเจ้ามิได้ทรงประทานพระวิญญาณอย่างจำกัดแด่พระองค์

จำคุก ( 4 )
ปฐก 40.3 จึงให้จำคุกไว้ในบ้านของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ในคุกที่โยเซฟติดอยู่นั้น
1พกษ 22.27 และว่า ‘กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า “เอาคนนี้จำคุกเสีย ให้อาหารแห่งความทุกข์กับน้ำแห่งความทุกข์ จนกว่าเราจะกลับมาโดยสันติภาพ”’”
2พศด 18.26 และว่า ‘กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า เอาคนนี้จำคุกเสีย ให้อาหารแห่งความทุกข์กับน้ำแห่งความทุกข์ จนกว่าเราจะกลับมาโดยสันติภาพ’”
กจ 12.4 เมื่อจับเปโตรแล้ว จึงให้จำคุก ให้ทหารสี่หมู่ๆละสี่คนคุมไว้ ตั้งใจว่าเมื่อสิ้นเทศกาลอีสเตอร์แล้วจะพาออกมาให้แก่คนทั้งหลาย

จำใจ ( 1 )
1คร 7.15 แต่ถ้าคนที่ไม่เชื่อจะแยกไป ก็จงให้เขาไปเถิด เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นที่พี่น้องชายหญิงจะผูกมัดให้จำใจอยู่ด้วยกัน เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกเราให้อยู่อย่างสงบ

จำต้อง ( 12 )
อพย 21.12 ผู้ใดทุบตีคนหนึ่งให้ตาย ผู้นั้นจำต้องรับโทษถึงตายเป็นแน่
สภษ 7.14 “ฉันจำต้องถวายเครื่องสักการบูชา และวันนี้ฉันได้ทำตามคำปฏิญาณแล้ว
ปญจ 2.18 เออ ข้าพเจ้าเกลียดการงานทั้งสิ้นของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า
มธ 24.6 ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง
มธ 26.42 พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สองอีกว่า “โอ ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”
มก 13.7 เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงการสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม อย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง
ลก 21.9 เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงการสงครามและการจลาจล อย่าตกใจกลัว เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นจำต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ที่สุดปลายยังจะไม่มาทันที”
ยน 4.4 พระองค์จำต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย
กจ 5.29 ฝ่ายเปโตรกับอัครสาวกอื่นๆตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์
กจ 14.22 กระทำให้ใจของสาวกทั้งหลายถือมั่นขึ้น เตือนเขาให้ดำรงอยู่ในความเชื่อ และสอนว่า เราทั้งหลายจำต้องทนความยากลำบากมากจนกว่าจะได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้า
กจ 28.19 แต่ว่าเมื่อพวกยิวพูดคัดค้าน ข้าพเจ้าจึงจำต้องอุทธรณ์ถึงซีซาร์ แต่มิใช่ว่าข้าพเจ้ามีอะไรจะฟ้องชนร่วมชาติของข้าพเจ้า
2ธส 2.13 พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจำต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่เริ่มแรกให้ถึงที่รอด โดยพระวิญญาณทรงชำระตั้งท่านไว้ให้บริสุทธิ์ และโดยท่านได้เชื่อความจริง

จำนน ( 1 )
2ซมอ 22.45 ชนต่างด้าวจะมาจำนนต่อข้าพระองค์ พอเขาได้ยินถึงข้าพระองค์เขาก็จะเชื่อฟังข้าพระองค์

จำนวน ( 251 )
ปฐก 12.16 ฟาโรห์ได้โปรดปรานอับรามมากเพราะเห็นแก่นาง ท่านได้แกะ วัว ลาตัวผู้ ทาส ทาสี ลาตัวเมีย และอูฐจำนวนมาก
ปฐก 14.14 เมื่ออับรามได้ยินว่าหลานชายของท่านถูกจับไปเป็นเชลย ท่านจึงนำคนชำนาญศึกที่เกิดในบ้านท่าน จำนวนสามร้อยสิบแปดคน และตามไปทันที่เมืองดาน
ปฐก 16.10 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์กล่าวแก่หญิงนั้นว่า “เราจะให้เชื้อสายของเจ้าทวีมากขึ้น เพราะว่าจะมีคนจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน”
ปฐก 23.16 อับราฮัมก็ฟังคำของเอโฟรน แล้วอับราฮัมก็ชั่งเงินให้เอโฟรนตามจำนวนที่เขาบอกให้ลูกหลานของเฮทฟังแล้ว คือเงินสี่ร้อยเชเขลตามน้ำหนักที่พวกพ่อค้าใช้กันในเวลานั้น
ปฐก 47.12 โยเซฟเลี้ยงดูบิดาและพวกพี่น้องรวมทั้งครอบครัวของบิดา ให้มีอาหารรับประทานตามจำนวนคนในครอบครัว
อพย 1.7 และบุตรของอิสราเอลมีลูกหลานมากและเพิ่มจำนวนขึ้นมาก พวกเขาทวีมากขึ้น และมีกำลังมากทีเดียว และแพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดินนั้น
อพย 5.8 ส่วนจำนวนอิฐซึ่งแต่ก่อนเกณฑ์ให้เขาทำเท่าไร เจ้าก็จงเกณฑ์ให้เขาทำเท่านั้น เจ้าอย่าได้หย่อนลง เพราะว่าเขาเกียจคร้าน เหตุฉะนั้นเขาจึงร้องว่า ‘ขอให้พวกข้าพระองค์ไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของพวกข้าพระองค์’
อพย 5.14 นายกองของชนชาติอิสราเอล ซึ่งนายงานของฟาโรห์ตั้งให้เป็นผู้บังคับเขานั้น ก็ถูกโบยตีและถูกถามว่า “ทำไมหมู่นี้จึงไม่ได้อิฐที่เกณฑ์ไว้เต็มจำนวน ทั้งวานนี้และวันนี้ เหมือนแต่ก่อน”
อพย 5.18 เหตุฉะนั้นเจ้าจงไปทำงานเดี๋ยวนี้ ฟางนั้นจะไม่ให้พวกเจ้าเลย แต่จำนวนอิฐที่เกณฑ์ไว้นั้น พวกเจ้าจะต้องทำมาให้ครบจำนวน”
อพย 5.19 นายกองชนชาติอิสราเอลก็เห็นว่าตนมีปัญหาแล้ว หลังจากถูกสั่งว่า “ไม่ให้ลดหย่อนจำนวนอิฐที่ถูกเกณฑ์ให้ทำทุกๆวันลง”
อพย 12.4 ถ้าครอบครัวใดมีคนน้อยกินลูกแกะตัวหนึ่งไม่หมด ก็ให้รวมกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันเตรียมลูกแกะตัวหนึ่งตามจำนวนคนตามที่เขาจะกินได้กี่มากน้อย ให้นับจำนวนคนที่จะกินลูกแกะนั้น
อพย 12.38 มีฝูงชนชาติอื่นเป็นจำนวนมากติดตามไปด้วยพร้อมทั้งฝูงสัตว์ คือฝูงแพะแกะ และวัวจำนวนมากมาย
อพย 16.16 นี่เป็นสิ่งที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาไว้ว่า ‘ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละโอเมอร์ ตามจำนวนคนมากน้อย ซึ่งพักอยู่ในเต็นท์ของตน’”
อพย 19.21 พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปกำชับพลไพร่ เกรงว่าเขาจะล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเยโฮวาห์ เพราะอยากเห็น แล้วเขาจะพินาศเสียเป็นจำนวนมาก
อพย 22.6 ถ้าจุดไฟที่กองหนาม และไฟลามไปติดกองข้าว หรือติดต้นข้าวซึ่งมิได้เกี่ยว หรือติดทุ่งนาให้ไหม้เสีย ผู้ที่จุดไฟนั้นต้องใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวน
อพย 22.14 ถ้าผู้ใดยืมสิ่งใดๆไปจากเพื่อนบ้านแล้วเกิดเป็นอันตราย หรือตายระหว่างเวลาที่เจ้าของไม่อยู่ ผู้ยืมต้องให้ค่าชดใช้เต็มตามจำนวนเป็นแน่
อพย 23.2 อย่าทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมากที่เขาทำกันนั้นเลย อย่าอ้างพยานลำเอียงเข้าข้างหมู่มาก จะทำให้ขาดความยุติธรรมไป
อพย 23.29 เราจะไม่ไล่เขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าในระยะปีเดียว เกรงว่าแผ่นดินจะรกร้างไปและสัตว์ป่าจะทวีจำนวนขึ้นต่อสู้กับพวกเจ้า
อพย 23.30 แต่เราจะไล่เขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าทีละเล็กละน้อยจนพวกเจ้าทวีจำนวนมากขึ้น แล้วได้รับมอบดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
อพย 24.4 โมเสสจึงจารึกพระวจนะของพระเยโฮวาห์ไว้ทุกคำ แล้วตื่นขึ้นแต่เช้าจัดแจงสร้างแท่นบูชาขึ้นที่เชิงภูเขา ปักเสาหินขึ้นสิบสองก้อนตามจำนวนตระกูลทั้งสิบสองของอิสราเอล
อพย 30.12 “เมื่อเจ้าจะจดสำมะโนครัวชนชาติอิสราเอลจงให้เขาต่างนำทรัพย์สินมาถวายพระเยโฮวาห์ เป็นค่าไถ่ชีวิต เมื่อเจ้านับจำนวนเขา เพื่อจะมิได้เกิดภัยพิบัติขึ้นในหมู่พวกเขาเมื่อเจ้านับเขา
อพย 30.23 “จงเอาเครื่องเทศพิเศษคือมดยอบน้ำ ซึ่งหนักห้าร้อยเชเขล และอบเชยหอมครึ่งจำนวนคือสองร้อยห้าสิบเชเขล และตะไคร้สองร้อยห้าสิบเชเขล
อพย 38.25 เงินตามจำนวนชุมนุมชนได้นับไว้ รวมเป็นหนึ่งร้อยตะลันต์กับหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าเชเขล ตามเชเขลแห่งสถานบริสุทธิ์
ลนต 6.5 หรือสิ่งใดๆที่ได้ปฏิญาณเท็จไว้ เขาต้องคืนให้เต็มตามจำนวน และจงเพิ่มอีกหนึ่งในห้าและมอบให้แก่เจ้าของในวันที่เขาถวายเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
ลนต 19.35 เจ้าอย่ากระทำผิดในการพิพากษา ในการวัดยาว หรือชั่งน้ำหนักหรือนับจำนวน
ลนต 25.15 ตามจำนวนปีหลังจากปีเสียงแตร เจ้าจงซื้อนาจากเพื่อนบ้านของเจ้าและให้เขาขายแก่เจ้าตามจำนวนปีที่ปลูกพืชได้
ลนต 25.16 ถ้ามากปีก็ต้องเพิ่มราคาสูงขึ้น ถ้าน้อยปีเจ้าจงลดราคาให้ต่ำลง เพราะที่เขาขายนั้นเขาก็ขายตามจำนวนปีที่ปลูกพืช
ลนต 25.50 จงให้ผู้ที่ขายตัวนับปีทั้งหลายที่ขายตัวกับผู้ที่ซื้อตัวเขาไป ว่าเขาได้ขายตัวกี่ปีจนถึงปีเสียงแตร ค่าตัวของเขาเป็นค่าตามจำนวนปีเหล่านั้น เวลาที่เขาอยู่กับเจ้าของตัวเขานั้นคิดตามเวลาของลูกจ้าง
ลนต 25.52 ถ้ายังเหลือน้อยปีจะถึงปีเสียงแตร ก็ให้ผู้ขายตัวคิดกับผู้ซื้อตัวไว้เป็นราคาค่าไถ่ของเขานั้น และตามจำนวนปีเหล่านั้น เขาจะคืนเงินให้กับผู้ซื้อตัว
ลนต 27.16 ถ้าผู้ใดถวายที่ดินส่วนหนึ่งแด่พระเยโฮวาห์ซึ่งเป็นมรดกตกแก่เขา ให้เจ้ากำหนดราคาของที่ดินตามจำนวนเมล็ดพืชที่หว่านลงในดินนั้น ถ้าที่นาใช้เมล็ดข้าวบาร์เลย์หนึ่งโฮเมอร์ ให้กำหนดราคาเป็นเงินห้าสิบเชเขล
ลนต 27.18 แต่ถ้าเขาถวายที่นาภายหลังปีเสียงแตร ก็ให้ปุโรหิตคำนวณค่าเงินตามจำนวนปีที่เหลืออยู่กว่าจะถึงปีเสียงแตร ให้หักเสียจากราคาที่เจ้ากำหนด
กดว 1.2 “เจ้าจงนับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดตามครอบครัวตามเรือนบรรพบุรุษตามจำนวนรายชื่อผู้ชายเรียงตัวทุกคน
กดว 1.18 และในวันที่หนึ่งเดือนที่สองคนเหล่านี้ก็เรียกประชุมชนทั้งหมด เข้ามาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวและตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อเรียงตัวคนทั้งปวงที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป
กดว 1.20 คนรูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอล โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อผู้ชายเรียงตัวทุกคน ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.21 จำนวนคนในตระกูลรูเบนเป็นสี่หมื่นหกพันห้าร้อยคน
กดว 1.22 คนสิเมโอน โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ทุกคนที่เขานับตามจำนวนรายชื่อผู้ชายเรียงตัวทุกคน ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.23 จำนวนคนในตระกูลสิเมโอนเป็นห้าหมื่นเก้าพันสามร้อยคน
กดว 1.24 คนกาด โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.25 จำนวนคนในตระกูลกาดเป็นสี่หมื่นห้าพันหกร้อยห้าสิบคน
กดว 1.26 คนยูดาห์ โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.27 จำนวนคนในตระกูลยูดาห์เป็นเจ็ดหมื่นสี่พันหกร้อยคน
กดว 1.28 คนอิสสาคาร์ โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.29 จำนวนคนในตระกูลอิสสาคาร์เป็นห้าหมื่นสี่พันสี่ร้อยคน
กดว 1.30 คนเศบูลุน โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.31 จำนวนคนในตระกูลเศบูลุนเป็นห้าหมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยคน
กดว 1.32 จากลูกหลานของโยเซฟ คือคนเอฟราอิม โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.33 จำนวนคนตระกูลเอฟราอิมเป็นสี่หมื่นห้าร้อยคน
กดว 1.34 คนมนัสเสห์ โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.35 จำนวนคนในตระกูลมนัสเสห์เป็นสามหมื่นสองพันสองร้อยคน
กดว 1.36 คนเบนยามิน โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.37 จำนวนคนในตระกูลเบนยามินเป็นสามหมื่นห้าพันสี่ร้อยคน
กดว 1.38 คนดาน โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.39 จำนวนคนในตระกูลดานเป็นหกหมื่นสองพันเจ็ดร้อยคน
กดว 1.40 คนอาเชอร์ โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.41 จำนวนคนในตระกูลอาเชอร์เป็นสี่หมื่นหนึ่งพันห้าร้อยคน
กดว 1.42 คนนัฟทาลี โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.43 จำนวนคนในตระกูลนัฟทาลีเป็นห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยคน
กดว 1.44 จำนวนคนเหล่านี้เป็นคนที่โมเสสกับอาโรน และประมุขทั้งสิบสองคนของคนอิสราเอล ผู้แทนเรือนบรรพบุรุษของตนได้นับไว้
กดว 1.45 ฉะนั้นจำนวนคนอิสราเอลทั้งหมดที่นับตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนในอิสราเอลซึ่งออกรบได้
กดว 1.46 จำนวนคนทั้งหมดที่นับนั้นเป็นหกแสนสามพันห้าร้อยห้าสิบคน
กดว 2.9 จำนวนชนทั้งหมดที่นับเข้าในค่ายยูดาห์ตามกองของเขาเป็นหนึ่งแสนแปดหมื่นหกพันสี่ร้อยคน เมื่อออกเดินคนเหล่านี้จะยกไปก่อน
กดว 2.16 จำนวนคนทั้งหมดที่นับเข้าในค่ายรูเบนตามกองของเขาเป็นหนึ่งแสนห้าหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบคน เมื่อออกเดินคนเหล่านี้จะเป็นพวกที่สอง
กดว 2.24 จำนวนคนทั้งหมดที่นับเข้าในค่ายเอฟราอิมตามกองของเขาเป็นหนึ่งแสนแปดพันหนึ่งร้อยคน เมื่อออกเดินคนเหล่านี้จะเป็นพวกที่สาม
กดว 2.31 จำนวนคนทั้งหมดที่นับเข้าในค่ายดาน เป็นหนึ่งแสนห้าหมื่นเจ็ดพันหกร้อยคน เมื่อออกเดินคนเหล่านี้จะเป็นพวกสุดท้าย เดินตามธงตระกูลของตน”
กดว 3.22 จำนวนคนทั้งหลาย คือจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่เดือนหนึ่งขึ้นไปเป็นเจ็ดพันห้าร้อยคน
กดว 3.28 ตามจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่เดือนหนึ่งขึ้นไปเป็นแปดพันหกร้อยคน เป็นคนปฏิบัติหน้าที่สถานบริสุทธิ์
กดว 3.34 จำนวนคนทั้งหลายคือจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไปเป็นหกพันสองร้อยคน
กดว 3.40 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงนับบุตรชายหัวปีทั้งหลายของคนอิสราเอล ที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป จงจดจำนวนรายชื่อไว้
กดว 3.43 บุตรชายหัวปีทั้งหลายตามจำนวนชื่อที่นับได้ ซึ่งมีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป มีสองหมื่นสองพันสองร้อยเจ็ดสิบสามคน
กดว 3.46 สำหรับเป็นค่าไถ่บุตรหัวปีของคนอิสราเอลจำนวนสองร้อยเจ็ดสิบสามคนที่เกินจำนวนผู้ชายคนเลวีนั้น
กดว 3.49 โมเสสจึงเก็บเงินค่าไถ่จากคนเหล่านั้นที่เกินกว่าจำนวนคนที่คนเลวีไถ่ไว้
กดว 3.50 คือท่านเก็บเงินจากบุตรหัวปีของคนอิสราเอล เป็นเงินจำนวนหนึ่งพันสามร้อยหกสิบห้าเชเขล นับตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์
กดว 4.36 และจำนวนคนตามครอบครัวของเขาเป็นสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบคน
กดว 4.37 นี่แหละเป็นจำนวนคนในครอบครัวของโคฮาท บรรดาผู้ปฏิบัติงานในพลับพลาแห่งชุมนุม ซึ่งโมเสสและอาโรนได้นับไว้ตามที่พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโดยโมเสส
กดว 4.38 จำนวนคนในลูกหลานเกอร์โชน ตามครอบครัวตามเรือนบรรพบุรุษ
กดว 4.40 จำนวนคนตามครอบครัวตามเรือนบรรพบุรุษ เป็นสองพันหกร้อยสามสิบคน
กดว 4.41 นี่เป็นจำนวนคนในครอบครัวคนเกอร์โชน บรรดาผู้ปฏิบัติงานในพลับพลาแห่งชุมนุม ซึ่งโมเสสและอาโรนได้นับไว้ตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์
กดว 4.42 จำนวนคนในครอบครัวคนเมรารี ตามครอบครัวตามเรือนบรรพบุรุษ
กดว 4.44 จำนวนคนตามครอบครัวของเขาเป็นสามพันสองร้อยคน
กดว 4.45 นี่แหละเป็นจำนวนคนที่นับได้ในครอบครัวคนเมรารี ซึ่งโมเสสและอาโรนได้นับไว้ตามที่พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโดยโมเสส
กดว 4.48 จำนวนคนที่นับได้นั้นเป็นแปดพันห้าร้อยแปดสิบคน
กดว 14.29 ซากศพของเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ จำนวนคนทั้งหมดของเจ้านับตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป ผู้ใดที่บ่นว่าเรา
กดว 14.33 ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายจะพเนจรอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เขาจะทนโทษการเล่นชู้ของเจ้า จนกว่าจำนวนซากศพของเจ้าจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ครบ
กดว 14.34 ตามจำนวนวันที่เจ้าเข้าไปสอดแนมในแผ่นดินนั้นซึ่งมีสี่สิบวัน วันหนึ่งจะเป็นปีหนึ่ง เจ้าทั้งหลายจะรับโทษความชั่วช้าของเจ้าอยู่สี่สิบปี เจ้าทั้งหลายจะทราบถึงการฝ่าฝืนคำสัญญาของเรา
กดว 15.12 ตามจำนวนสัตว์ที่จัดมา จงกระทำตามส่วนนี้แก่สัตว์ทุกๆตัว
กดว 16.2 และไปยืนต่อหน้าโมเสส พร้อมกับคนอิสราเอลจำนวนหนึ่ง เป็นเจ้านายของชุมนุมชนมีสองร้อยห้าสิบคนที่เลือกมาจากที่ประชุม เป็นคนมีชื่อ
กดว 22.15 บาลาคได้ส่งพวกเจ้านายไปอีกครั้งหนึ่ง มีจำนวนมากกว่า และมีเกียรติยศมากกว่ารุ่นก่อน
กดว 26.7 เหล่านี้เป็นครอบครัวของคนรูเบน มีจำนวนสี่หมื่นสามพันเจ็ดร้อยสามสิบคน
กดว 26.14 เหล่านี้เป็นครอบครัวของคนสิเมโอน มีจำนวนสองหมื่นสองพันสองร้อยคน
กดว 26.18 เหล่านี้เป็นครอบครัวของบุตรของกาด ตามจำนวนของเขามีสี่หมื่นห้าร้อยคน
กดว 26.22 เหล่านี้เป็นครอบครัวของยูดาห์ ตามจำนวนของเขามีเจ็ดหมื่นหกพันห้าร้อยคน
กดว 26.25 เหล่านี้เป็นครอบครัวของอิสสาคาร์ ตามจำนวนของเขามีหกหมื่นสี่พันสามร้อยคน
กดว 26.27 เหล่านี้เป็นครอบครัวของคนเศบูลุน ตามจำนวนของเขามีหกหมื่นห้าร้อยคน
กดว 26.34 เหล่านี้เป็นครอบครัวของมนัสเสห์ และจำนวนของเขามีห้าหมื่นสองพันเจ็ดร้อยคน
กดว 26.37 เหล่านี้เป็นครอบครัวของบุตรชายเอฟราอิม ตามจำนวนของเขา มีสามหมื่นสองพันห้าร้อยคน เหล่านี้เป็นบุตรชายของโยเซฟตามครอบครัวของเขา
กดว 26.41 เหล่านี้เป็นบุตรชายของเบนยามินตามครอบครัวของเขา และจำนวนของเขาเป็นสี่หมื่นห้าพันหกร้อยคน
กดว 26.43 ครอบครัวทั้งหมดของคนชูฮัมตามจำนวนของเขา มีหกหมื่นสี่พันสี่ร้อยคน
กดว 26.47 เหล่านี้เป็นครอบครัวของบุตรชายอาเชอร์ตามจำนวนของเขา มีห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยคน
กดว 26.50 เหล่านี้เป็นครอบครัวของนัฟทาลีตามครอบครัวของเขา และตามจำนวนของเขามีสี่หมื่นห้าพันสี่ร้อยคน
กดว 26.51 จำนวนคนอิสราเอล มีหกแสนหนึ่งพันเจ็ดร้อยสามสิบคน
กดว 26.53 “ให้แบ่งแผ่นดินนั้นเป็นมรดกแก่คนเหล่านี้ตามจำนวนรายชื่อ
กดว 26.54 มรดกส่วนใหญ่ก็ให้แบ่งแก่คนตระกูลใหญ่ และมรดกส่วนน้อยก็ให้แบ่งแก่คนตระกูลย่อม ทุกตระกูลจะได้รับส่วนมรดกตามจำนวนคน
กดว 26.62 และจำนวนของเขาเป็นสองหมื่นสามพันคน เป็นผู้ชายทุกคนอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป เพราะเขามิได้นับรวมไว้ในคนอิสราเอล เพราะไม่มีมรดกให้แก่เขาท่ามกลางคนอิสราเอล
กดว 26.63 จำนวนคนเหล่านี้โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้นับไว้ ครั้งเมื่อนับคนอิสราเอล ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
กดว 29.18 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้นสำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้นตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.21 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.24 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.27 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.30 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.33 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.37 และถวายธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
พบญ 1.10 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ทรงให้ท่านทั้งหลายทวีมากขึ้น และดูเถิด ทุกวันนี้พวกท่านทั้งหลายมีจำนวนมากดุจดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้า
พบญ 4.27 และพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายกระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย และท่านทั้งหลายจะเหลือจำนวนน้อยในท่ามกลางประชาชาติซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ให้ท่านเข้าไปอยู่นั้น
พบญ 7.7 ที่พระเยโฮวาห์ทรงรักและทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น มิใช่เพราะท่านทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าประชาชนชาติอื่น ด้วยว่าในบรรดาชนชาติทั้งหลาย ท่านเป็นจำนวนน้อยที่สุด
พบญ 26.5 และท่านจงตอบสนองต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า ‘บิดาของข้าพระองค์เป็นชาวซีเรียที่กำลังพินาศอยู่ ท่านลงไปในอียิปต์และอาศัยอยู่ที่นั่นมีแต่จำนวนน้อย ที่นั่นท่านก็กลายเป็นประชาชาติหนึ่งใหญ่โตแข็งแรงและมีพลเมืองมาก
พบญ 28.62 ซึ่งพวกท่านทั้งหลายมีมากอย่างดวงดาวในท้องฟ้านั้น ท่านก็จะเหลือแต่จำนวนน้อย เพราะว่าท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
พบญ 32.7 จงระลึกถึงโบราณกาล จงพิจารณาถึงจำนวนปีที่ผ่านมาหลายชั่วอายุคนแล้วนั้น จงถามบิดาของท่าน แล้วเขาจะสำแดงให้ท่านทราบ จงถามพวกผู้ใหญ่ของท่าน แล้วเขาจะบอกท่าน
พบญ 32.8 เมื่อผู้สูงสุดประทานมรดกแก่บรรดาประชาชาติ เมื่อพระองค์ทรงแยกลูกหลานของอาดัม พระองค์ทรงกั้นเขตของชนชาติทั้งหลายตามจำนวนคนอิสราเอล
ยชว 4.5 โยชูวาจึงสั่งเขาว่า “จงผ่านไปข้างหน้าหีบของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านลงไปกลางแม่น้ำจอร์แดน แล้วแบกศิลามาคนละก้อนตามจำนวนตระกูลคนอิสราเอล
ยชว 4.8 คนอิสราเอลเหล่านั้นก็กระทำตามที่โยชูวาบัญชา และขนหินสิบสองก้อนมาจากกลางจอร์แดน ตามจำนวนตระกูลคนอิสราเอล ดังที่พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโยชูวา และเขาก็แบกมายังที่ซึ่งเขาพักอยู่ วางไว้ที่นั่น
ยชว 8.25 คนที่ล้มตายทั้งหมดวันนั้นทั้งชายและหญิงจำนวนหมื่นสองพันคน คือชาวเมืองอัยทั้งหมด
ยชว 11.4 กษัตริย์เหล่านี้ก็ยกออกมากับบรรดาพลโยธาเป็นกองทัพมหึมา มีจำนวนดังเม็ดทรายที่ชายทะเล มีม้าและรถรบมากมายด้วย
วนฉ 7.6 จำนวนคนที่ใช้มือวักน้ำขึ้นเลียมีสามร้อยคน แต่ประชาชนนอกนั้นคุกเข่าลงดื่มน้ำ
วนฉ 7.7 พระเยโฮวาห์ตรัสกับกิเดโอนว่า “เราจะช่วยเจ้าทั้งหลายให้พ้นด้วยจำนวนคนสามร้อยที่เลียน้ำนั้น และมอบคนมีเดียนไว้ในมือของเจ้า นอกนั้นให้กลับไปบ้านเมืองของตนทุกคน”
วนฉ 18.2 ดังนั้นคนดานจึงส่งคนห้าคนจากจำนวนทั้งหมดเป็นชายฉกรรจ์ในครอบครัวของตน มาจากโศราห์และจากเอชทาโอล ไปสอดแนมดูแผ่นดินและตรวจดูแผ่นดินนั้น และเขาทั้งหลายพูดแก่เขาว่า “จงไปตรวจดูแผ่นดินนั้น” เขาก็มาถึงแดนเทือกเขาเอฟราอิม ยังบ้านของมีคาห์และอาศัยอยู่ที่นั่น
วนฉ 20.15 คราวนั้นคนเบนยามินรวมจำนวนทหารถือดาบออกจากบรรดาหัวเมืองได้สองหมื่นหกพันคน นอกจากชาวเมืองกิเบอาห์ ซึ่งนับทหารที่คัดเลือกแล้วได้เจ็ดร้อยคน
วนฉ 20.16 ในจำนวนทั้งหมดนี้มีคนที่คัดเลือกแล้วเจ็ดร้อยคนถนัดมือซ้ายทุกคนเอาสลิงเหวี่ยงก้อนหินให้ถูกเส้นผมได้ไม่ผิดเลย
วนฉ 20.17 จำนวนคนอิสราเอลที่ถือดาบ ไม่นับคนเบนยามิน ได้สี่แสนคน เหล่านี้เป็นทหารทุกคน
วนฉ 21.9 เพราะว่าเมื่อเขานับจำนวนประชาชนอยู่นั้น ดูเถิด ไม่มีชาวเมืองยาเบชกิเลอาดอยู่ที่นั่นเลย
วนฉ 21.23 คนเบนยามินก็กระทำตาม ต่างก็ได้ภรรยาไปตามจำนวน คือได้หญิงเต้นรำที่เขาไปฉุดมา เขาก็กลับไปอยู่ในที่ดินมรดกของเขา สร้างเมืองขึ้นใหม่และอาศัยอยู่ในนั้น
1ซมอ 6.4 และเขากล่าวว่า “จัดอะไรเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดเล่า ที่เราจะต้องถวายให้พระองค์” เขาทั้งหลายตอบว่า “ลูกริดสีดวงทวารขั้นรุนแรงทองคำห้าลูกกับหนูทองคำห้าตัว ตามจำนวนเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตีย เพราะว่าโรคอย่างเดียวกันนั้นติดต่อท่านทั้งหลายและเจ้านายด้วย
1ซมอ 6.18 รูปหนูทองคำก็เช่นเดียวกัน ตามจำนวนเมืองของฟีลิสเตียที่เป็นเมืองของเจ้านายทั้งห้า ทั้งเมืองที่มีป้อมปราการและชนบทที่ไม่มีกำแพงเมือง จนถึงหินก้อนใหญ่แห่งอาเบล ซึ่งเขาวางหีบของพระเยโฮวาห์ลงไว้นั้น หินนั้นก็ยังอยู่จนทุกวันนี้ ที่ในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช
1ซมอ 18.27 ดาวิดก็ลุกขึ้นไปพร้อมกับคนของเธอ ได้ฆ่าคนฟีลิสเตียเสียสองร้อยคน และดาวิดก็นำหนังปลายองคชาตของคนเหล่านั้นมาถวายแก่กษัตริย์ครบจำนวน เพื่อเธอจะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์ ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็นภรรยาของดาวิด
2ซมอ 2.11 เวลาที่ดาวิดทรงเป็นกษัตริย์เหนือวงศ์วานยูดาห์ในเฮโบรนนั้นเป็นจำนวนเจ็ดปีกับหกเดือน
2ซมอ 10.6 เมื่อคนอัมโมนเห็นว่าเขาทั้งหลายเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด คนอัมโมนจึงส่งคนไปจ้างคนซีเรียชาวเมืองเบธเรโหบ และคนซีเรียชาวเมืองโศบาห์ เป็นทหารราบจำนวนสองหมื่นคน จากกษัตริย์เมืองมาอาคาห์หนึ่งพันคน และชาวเมืองอิชโทบหนึ่งหมื่นสองพันคน
2ซมอ 23.9 ในจำนวนวีรบุรุษสามคน คนที่รองคนนั้นมา คือเอเลอาซาร์บุตรชายโดโดคนอาโหไฮ ท่านอยู่กับดาวิดเมื่อเขาทั้งหลายได้พูดหยามคนฟีลิสเตียซึ่งชุมนุมกันที่นั่นเพื่อสู้รบ และคนอิสราเอลก็ถอยทัพ
2ซมอ 24.2 กษัตริย์จึงรับสั่งโยอาบ แม่ทัพซึ่งอยู่กับพระองค์ว่า “จงไปทั่วอิสราเอลทุกตระกูลตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา และท่านจงนับจำนวนประชาชน เพื่อเราจะได้ทราบจำนวนรวมของประชาชน”
2ซมอ 24.9 และโยอาบก็ถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่กษัตริย์ ในอิสราเอลมีทหารแข็งกล้าแปดแสนคนผู้ซึ่งชักดาบ และคนยูดาห์มีห้าแสนคน
2ซมอ 24.10 เมื่อได้นับจำนวนคนเสร็จแล้วพระทัยของดาวิดก็โทมนัส และดาวิดกราบทูลต่อพระเยโฮวาห์ว่า “ข้าพระองค์ได้กระทำบาปใหญ่ยิ่งในสิ่งซึ่งข้าพระองค์ได้กระทำนี้ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แต่บัดนี้ขอพระองค์ทรงให้อภัยความชั่วช้าของผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์กระทำการอย่างโง่เขลามาก”
1พกษ 4.20 คนยูดาห์และคนอิสราเอลนั้นมีจำนวนมากมายดังเม็ดทรายชายทะเล เขาทั้งหลายกินและดื่มและมีจิตใจเบิกบาน
1พกษ 8.5 และกษัตริย์ซาโลมอน และชุมนุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นที่ได้ประชุมกันต่อพระองค์ อยู่กับพระองค์ต่อหน้าหีบ ได้ถวายแกะและวัวมากมาย ซึ่งเขาจะนับหรือเอาจำนวนก็ไม่ได้
1พกษ 9.23 เหล่านี้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เหนือพระราชกิจของซาโลมอนจำนวนห้าร้อยห้าสิบคน เป็นผู้ดูแลประชาชนที่ทำงาน
1พกษ 9.28 เขาทั้งหลายไปถึงเมืองโอฟีร์ และนำทองคำมาจากที่นั่น จำนวนสี่ร้อยยี่สิบตะลันต์และนำมาถวายกษัตริย์ซาโลมอน
1พกษ 10.10 แล้วพระนางก็ถวายทองคำหนึ่งร้อยยี่สิบตะลันต์แด่กษัตริย์ ทั้งเครื่องเทศเป็นจำนวนมาก และเพชรพลอยต่างๆ ไม่มีเครื่องเทศมามากมายดังนี้อีก ดังที่พระราชินีแห่งเชบาถวายแด่กษัตริย์ซาโลมอน
1พกษ 10.11 ยิ่งกว่านั้นอีก กองกำปั่นของฮีรามซึ่งได้นำทองคำมาจากโอฟีร์ ได้นำไม้จันทน์แดงและเพชรพลอยต่างๆจำนวนมากหลายมาจากโอฟีร์
1พกษ 10.25 ทุกคนก็นำเครื่องบรรณาการของเขามา เป็นเครื่องทำด้วยเงิน เครื่องทำด้วยทองคำ เครื่องแต่งกาย เครื่องอาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ ตามจำนวนกำหนดทุกๆปี
1พกษ 18.31 เอลียาห์นำศิลาสิบสองก้อนมาตามจำนวนตระกูลของบุตรชายของยาโคบ ผู้ซึ่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์มาถึงว่า “อิสราเอลจะเป็นชื่อของเจ้า”
1พศด 7.2 บุตรชายของโทลาคือ อุสซี เรไฟยาห์ เยรีเอล ยามัย ยิบสัม และเชมูเอล หัวหน้าในเรือนบรรพบุรุษของเขา คือของโทลา เป็นทแกล้วทหารของพงศ์พันธุ์ของเขา และจำนวนของคนเหล่านี้ในรัชสมัยของดาวิดเป็นสองหมื่นสองพันหกร้อยคน
1พศด 7.7 บุตรชายของเบลาคือ เอสโบน อุสซี อุสซีเอล เยรีโมท และอิรี ห้าคนด้วยกัน เป็นหัวหน้าของเรือนบรรพบุรุษ เป็นทแกล้วทหาร และจำนวนที่ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสายของเขาเป็นสองหมื่นสองพันสามสิบสี่คน
1พศด 7.9 และจำนวนที่ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสาย ตามพงศ์พันธุ์ เป็นหัวหน้าเรือนบรรพบุรุษของเขา เป็นทแกล้วทหาร เป็นสองหมื่นสองร้อยคน
1พศด 7.40 ทั้งสิ้นเหล่านี้เป็นคนของอาเชอร์ หัวหน้าในเรือนบรรพบุรุษของเขา เป็นทแกล้วทหารที่คัดเลือกไว้ เป็นเจ้านายใหญ่ จำนวนที่ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสายเพื่อทำศึกสงครามเป็นสองหมื่นหกพันคน
1พศด 11.11 ต่อไปนี้เป็นจำนวนวีรบุรุษของดาวิด คือ ยาโชเบอัม คนฮักโมนี เป็นหัวหน้าพวกผู้บังคับบัญชา เขายกหอกของเขาสู้คนสามร้อย และฆ่าเสียในคราวเดียวกัน
1พศด 12.23 ต่อไปนี้เป็นจำนวนทหารติดอาวุธพร้อมสำหรับสงคราม ผู้มาหาดาวิดในเมืองเฮโบรนเพื่อจะมอบราชอาณาจักรของซาอูลให้กับพระองค์ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์
1พศด 12.29 จากคนเบนยามินญาติของซาอูลสามพันคน ซึ่งแต่ก่อนนี้จำนวนมากจงรักภักดีต่อราชวงศ์ซาอูล
1พศด 16.19 เมื่อเจ้าทั้งหลายยังมีคนจำนวนน้อย จำนวนน้อยจริง ยังเป็นแต่คนอาศัยอยู่ในนั้น
1พศด 20.6 และมีสงครามที่เมืองกัทอีก มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต ผู้ที่มือข้างหนึ่งมีนิ้วหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว จำนวนยี่สิบสี่นิ้ว และเขาเป็นบุตรชายของคนยักษ์ด้วย
1พศด 21.1 ซาตานได้ยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอล และดลพระทัยให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล
1พศด 21.2 ดาวิดจึงตรัสกับโยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพว่า “จงไปนับอิสราเอลตั้งแต่เมืองเบเออร์เชบาถึงเมืองดาน แล้วนำรายงานมาให้เราเพื่อจะได้ทราบจำนวนรวมของเขาทั้งหลาย”
1พศด 21.5 และโยอาบถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่ดาวิด ในอิสราเอลทั้งสิ้นมีหนึ่งล้านหนึ่งแสนคนที่ชักดาบ และในยูดาห์มีสี่แสนเจ็ดหมื่นคนที่ชักดาบ
1พศด 21.6 แต่ท่านมิได้นับเลวีและเบนยามินท่ามกลางจำนวนนั้นด้วย เพราะว่าพระดำรัสของกษัตริย์เป็นที่น่ารังเกียจแก่โยอาบ
1พศด 22.3 ดาวิดยังทรงจัดสะสมเหล็กเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นตะปูของบานประตูรั้วและเป็นเหล็กหนีบ ทั้งทองสัมฤทธิ์เป็นจำนวนมากเหลือที่จะชั่งได้
1พศด 22.4 และไม้สนสีดาร์นับไม่ถ้วน เพราะว่าชาวไซดอน และชาวไทระ ได้นำไม้สนสีดาร์จำนวนมากมายมาถวายดาวิด
1พศด 22.5 เพราะดาวิดตรัสว่า “ซาโลมอนบุตรชายของเรายังเด็กอยู่และไม่เคยงาน และพระนิเวศซึ่งจะสร้างถวายพระเยโฮวาห์นั้นต้องหรูหราอย่างยิ่ง มีชื่อเสียงและสง่าราศีในบรรดาประเทศทั้งหลาย เพราะฉะนั้นบัดนี้เราจึงจะจัดเตรียมไว้” ดาวิดจึงทรงจัดวัตถุเป็นจำนวนมากก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์
1พศด 23.24 คนเหล่านี้เป็นคนเลวีตามเรือนบรรพบุรุษของเขา เป็นประมุขของบรรพบุรุษของเขา ตามที่เขาได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามจำนวนชื่อรายบุคคล อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ผู้ซึ่งจะทำงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
1พศด 23.31 ทั้งในเวลาเมื่อถวายบรรดาเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ในวันสะบาโต ในวันขึ้นหนึ่งค่ำ ในวันเทศกาลกำหนด ตามจำนวนที่กำหนดให้ถวายบูชาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ทุกวันเรื่อยไป
1พศด 25.7 จำนวนคนของเขารวมทั้งพี่น้องของเขา ผู้รับการฝึกในการร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์ทุกคนผู้มีความชำนาญ มีสองร้อยแปดสิบแปดคน
1พศด 27.1 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อประชาชนอิสราเอลตามจำนวน คือ บรรดาหัวหน้า บรรดานายพันนายร้อย และบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้รับใช้กษัตริย์ในราชการทุกอย่างที่เกี่ยวกับกองเวรที่เข้ามาและออกไป เดือนแล้วเดือนเล่าตลอดปี กองเวรหนึ่งๆมีจำนวนสองหมื่นสี่พันคน
1พศด 27.23 ดาวิดมิได้ทรงนับจำนวนคนที่อายุต่ำกว่ายี่สิบปี เพราะพระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้ว่าจะกระทำให้อิสราเอลมากเหมือนดาวแห่งท้องฟ้า
1พศด 27.24 โยอาบบุตรชายนางเศรุยาห์ได้ตั้งต้นนับ แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระพิโรธก็มาเหนืออิสราเอลในเรื่องนี้ และจำนวนนั้นก็มิได้ลงไว้ในหนังสือพงศาวดารของกษัตริย์ดาวิด
2พศด 4.18 ซาโลมอนทรงสร้างเครื่องใช้ทั้งสิ้นนี้เป็นจำนวนมาก จึงมิได้หาน้ำหนักของทองสัมฤทธิ์
2พศด 5.6 และกษัตริย์ซาโลมอนกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นที่ได้ประชุมกันอยู่กับพระองค์ต่อหน้าหีบ ได้ถวายแกะและวัวมากมาย ซึ่งเขาจะนับหรือเอาจำนวนก็ไม่ได้
2พศด 9.9 แล้วพระนางก็ถวายทองคำหนึ่งร้อยยี่สิบตะลันต์แก่กษัตริย์ ทั้งเครื่องเทศเป็นจำนวนมาก และเพชรพลอยต่างๆ ไม่มีเครื่องเทศใดๆเหมือนอย่างที่พระราชินีแห่งเมืองเชบาถวายแด่กษัตริย์ซาโลมอน
2พศด 9.24 ทุกคนก็นำเครื่องบรรณาการของเขามา เป็นเครื่องทำด้วยเงิน เครื่องทำด้วยทองคำ และเครื่องแต่งกาย เครื่องอาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ ตามจำนวนกำหนดทุกๆปี
2พศด 15.9 และพระองค์ทรงรวบรวมยูดาห์และเบนยามินทั้งปวง และคนเหล่านั้นจากเอฟราอิม มนัสเสห์ และจากสิเมโอน ผู้อาศัยอยู่กับเขาทั้งหลาย เพราะคนเป็นจำนวนมากได้หลบหนีมาหาพระองค์จากอิสราเอล เมื่อเขาเห็นว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์สถิตกับพระองค์
2พศด 17.14 ต่อไปนี้เป็นจำนวนตามเรือนบรรพบุรุษของเขาคือ ของยูดาห์ ผู้บังคับบัญชากองพันมี อัดนาห์ผู้บังคับบัญชา พร้อมกับทแกล้วทหารสามแสนคน
2พศด 20.25 เมื่อเยโฮชาฟัทและประชาชนของพระองค์มาเก็บของที่ริบจากเขาทั้งหลาย พร้อมกับศพทั้งหลายนั้นเขาพบสิ่งของเป็นจำนวนมาก ทั้งทรัพย์สมบัติและเพชรพลอยต่างๆ ซึ่งเขาเก็บมามากสำหรับตัวจนขนไปไม่ไหว เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน เพราะมากเหลือเกิน
2พศด 26.11 ยิ่งกว่านั้นอีกอุสซียาห์ทรงมีกองทหาร ซึ่งออกไปทำศึกเป็นกองๆตามจำนวนที่เยอีเอลราชเลขาได้รวบรวมไว้ด้วยกันกับมาอาเสอาห์เจ้าหน้าที่ภายใต้การควบคุมของฮานันยาห์ ผู้บังคับกองพลคนหนึ่งของกษัตริย์
2พศด 26.12 จำนวนประมุขของบรรพบุรุษทั้งหมดแห่งพวกทแกล้วทหารคือ สองพันหกร้อยคน
2พศด 28.5 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์จึงทรงมอบพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์แห่งซีเรียผู้ทรงชนะพระองค์ และจับประชาชนของพระองค์เป็นเชลยจำนวนมากนำมายังดามัสกัส และพระองค์ทรงถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์แห่งอิสราเอล ผู้ชนะพระองค์ด้วยการฆ่าฟันอย่างใหญ่หลวง
2พศด 29.32 จำนวนเครื่องเผาบูชาซึ่งชุมนุมชนนำมา คือวัวผู้เจ็ดสิบตัว แกะผู้หนึ่งร้อยและลูกแกะสองร้อย ทั้งสิ้นนี้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์
2พศด 29.35 นอกจากเครื่องเผาบูชามีจำนวนมากมายแล้วยังมีไขมันของเครื่องสันติบูชา และมีเครื่องดื่มบูชาคู่กับเครื่องเผาบูชาด้วย ดังนี้แหละงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็ฟื้นคืนมาอีก
2พศด 30.3 ด้วยเขาทั้งหลายจะถือปัสกาตามกำหนดไม่ได้ เพราะว่าพวกปุโรหิตยังมิได้ชำระตนให้บริสุทธิ์เพียงพอแก่จำนวน และประชาชนยังมิได้ชุมนุมกันในเยรูซาเล็ม
2พศด 30.24 เพราะเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงประทานวัวผู้หนึ่งพันตัวและแกะเจ็ดพันตัวแก่ชุมนุมชน และพวกเจ้านายได้ให้วัวผู้หนึ่งพันตัวและแกะหนึ่งหมื่นตัวแก่ชุมนุมชน และปุโรหิตเป็นจำนวนมากก็ได้ชำระตนให้บริสุทธิ์
2พศด 32.5 พระองค์ทรงประกอบกิจอย่างบึกบึน สร้างกำแพงที่ปรักหักพังนั้นทั่วไปใหม่ และสร้างหอคอยขึ้น และทรงสร้างกำแพงข้างนอกอีกชั้นหนึ่ง และพระองค์ทรงเสริมกำแพงป้อมมิลโลที่นครดาวิด ทรงสร้างหอกและโล่เป็นจำนวนมาก
2พศด 35.7 แล้วโยสิยาห์ได้ทรงบริจาคแก่ประชาชนเป็นเครื่องปัสกาบูชาสำหรับคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่น เป็นลูกแกะและลูกแพะจากฝูงแพะแกะจำนวนสามหมื่นตัว และวัวผู้สามพันตัว สัตว์เหล่านี้ได้มาจากทรัพย์สินของกษัตริย์
อสร 1.9 และนี่เป็นจำนวนของสิ่งเหล่านั้น อ่างทองคำสามสิบ อ่างเงินหนึ่งพัน มีดยี่สิบเก้าเล่ม
อสร 2.2 เขาทั้งหลายมากับเศรุบบาเบลคือ เยชูอา เนหะมีย์ เสไรอาห์ เรเอไลยาห์ โมรเดคัย บิลชาน มิสปาร์ บิกวัย เรฮูม และบาอานาห์ จำนวนผู้ชายของประชาชนอิสราเอลคือ
อสร 3.4 และเขาถือเทศกาลอยู่เพิงตามที่บันทึกไว้ และถวายเครื่องเผาบูชาประจำวันตามจำนวนที่กำหนดไว้ ตามธรรมเนียม อันเป็นหน้าที่พึงทำทุกวัน
อสร 6.17 ณ การถวายพระนิเวศแห่งพระเจ้านี้ เขาทั้งหลายได้ถวายวัวผู้หนึ่งร้อยตัว แกะผู้สองร้อยตัว ลูกแกะสี่ร้อยตัว และส่วนเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับอิสราเอลทั้งปวงนั้นมีแพะผู้สิบสองตัว ตามจำนวนตระกูลของอิสราเอล
อสร 7.22 ถึงจำนวนเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ และข้าวสาลีถึงหนึ่งร้อยโคระ น้ำองุ่นหนึ่งร้อยบัท น้ำมันหนึ่งร้อยบัท และเกลือไม่จำกัดจำนวนว่าเท่าไร
นหม 7.7 เขาทั้งหลายที่กลับมากับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมีย์ อาซาริยาห์ ราอามิยาห์ นาหะมานี โมรเดคัย บิลชาน มิสเปเรท บิกวัย เนฮูม บาอานาห์ จำนวนผู้ชายของประชาชนอิสราเอลคือ
นหม 10.32 และเราทั้งหลายกำหนดไว้ว่าจะให้คิดกับตัวเราเป็นรายปีให้เสียคนละจำนวนหนึ่งส่วนสามเชเขล เพื่อการปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้าของเรา
อสธ 4.7 โมรเดคัยก็เล่าเรื่องทั้งสิ้นที่เกิดแก่ท่าน และจำนวนเงินถูกต้องที่ฮามานสัญญาถวายแก่พระคลังของกษัตริย์เพื่อการทำลายพวกยิว
อสธ 5.11 ฮามานพรรณนาถึงความโอ่โถงแห่งความมั่งมีของท่าน จำนวนบุตรของท่าน และเกียรติยศทั้งสิ้นซึ่งกษัตริย์พระราชทานแก่ท่าน และถึงเรื่องว่ากษัตริย์ได้เลื่อนท่านขึ้นเหนือเจ้านาย และข้าราชการของกษัตริย์อย่างไร
อสธ 9.11 ในวันนั้นจำนวนคนที่ถูกฆ่าในสุสาปราสาทก็ถูกนำมารายงานต่อเบื้องพระพักตร์กษัตริย์
โยบ 1.5 และเมื่อการเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะใช้ให้ไปทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องเผาบูชาตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า “ชะรอยบุตรชายของข้าพเจ้าได้กระทำบาป และแช่งพระเจ้าอยู่ในใจของเขา” โยบกระทำดังนี้เรื่อยมา
โยบ 14.5 วันเวลาของเขาถูกกำหนดไว้เสียแล้ว และจำนวนเดือนของเขาก็อยู่กับพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดขอบเขตของเขาไม่ให้เขาผ่านไปได้
โยบ 21.21 เพราะเขามีความพึงพอใจอะไรในเรื่องวงศ์วานที่ตามเขามา เมื่อจำนวนเดือนของเขาถูกตัดขาดกลางคันเสียแล้ว
โยบ 25.3 กองทัพของพระองค์มีจำนวนหรือ ความสว่างของพระองค์มิได้ส่องมาเหนือผู้ใดบ้าง
โยบ 31.37 ข้าจะแจ้งจำนวนฝีก้าวของข้าแก่พระองค์ ข้าจะเข้าไปเฝ้าพระองค์อย่างเป็นเจ้านาย
สดด 55.23 โอ ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์จะทรงเหวี่ยงเขาลงสู่ปากแดนพินาศ คนที่ทำให้โลหิตตกและคนหลอกลวงจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งจำนวนเวลาของเขา แต่ข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์
สดด 71.15 ปากของข้าพระองค์จะเล่าถึงความชอบธรรมและความรอดของพระองค์วันยังค่ำ เพราะจำนวนเหล่านั้นมากมายเกินความรู้ของข้าพระองค์
สดด 105.12 เมื่อเขายังมีคนจำนวนน้อย จำนวนน้อยจริง ยังเป็นแต่คนอาศัยอยู่ในนั้น
สดด 107.38 โดยพระพรของพระองค์เขาทั้งหลายทวีผลมากยิ่ง และพระองค์มิได้ทรงให้วัวของเขาลดจำนวนลง
สดด 147.4 พระองค์ทรงนับจำนวนดาว พระองค์ทรงตั้งชื่อมันทุกดวง
สภษ 7.26 เพราะนางได้ฟัดเหยื่อลงเสียเป็นอันมาก เออ นางได้ฆ่าชายที่แข็งแรงจำนวนมากเสียแล้ว
ปญจ 7.28 ซึ่งจิตใจของข้าพเจ้ายังกำลังหาแล้วหาอีก แต่ข้าพเจ้าหาได้พบปะไม่ ในชายพันคนจะพบชายจริงสักคนหนึ่ง แต่จะหาหญิงแท้สักคนหนึ่งในจำนวนพันคนก็หาไม่พบ
ปญจ 12.3 ในกาลเมื่อคนยามเฝ้าเรือนจะตัวสั่น และคนแข็งแรงจะคุดคู้ไป และหญิงโม่จะเลิกโม่ เพราะจำนวนลดน้อยลง และบรรดาผู้ที่เยี่ยมหน้าต่างจะมืดมัว
อสย 40.26 จงแหงนหน้าขึ้นดูว่า ผู้ใดสร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงนำบริวารออกมาตามจำนวน เรียกชื่อมันทั้งหมดโดยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์เข้มแข็งจึงไม่ขาดไปสักดวงเดียว
ยรม 11.13 โอ ยูดาห์เอ๋ย พระทั้งหลายของเจ้าก็มากเท่ากับหัวเมืองทั้งหลายของเจ้า และตามจำนวนหนทางในกรุงเยรูซาเล็มเจ้าได้ตั้งแท่นบูชาถวายสิ่งที่อับอาย คือแท่นสำหรับเผาเครื่องหอมถวายแก่พระบาอัล
ยรม 44.28 และบรรดาผู้ที่หนีพ้นดาบจะกลับจากแผ่นดินอียิปต์ไปยังแผ่นดินยูดาห์ มีจำนวนน้อย และคนยูดาห์ที่เหลืออยู่ทั้งสิ้น ซึ่งมาอาศัยอยู่ที่แผ่นดินอียิปต์ จะทราบว่าคำของใครจะยั่งยืน เป็นคำของเราหรือคำของเขาทั้งหลาย
ยรม 46.23 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เขาทั้งหลายจะโค่นป่าของเธอลง แม้ว่าป่านั้นใครจะเข้าไปค้นหาไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าตั๊กแตน นับไม่ถ้วน
ยรม 52.28 ต่อไปนี้เป็นจำนวนประชาชนซึ่งเนบูคัดเนสซาร์จับไปเป็นเชลย ในปีที่เจ็ด พวกยิวสามพันยี่สิบสามคน
อสค 4.5 เพราะเราได้กำหนดวันให้แก่เจ้าแล้ว คือสามร้อยเก้าสิบวันเท่ากับจำนวนปีแห่งความชั่วช้าของเขา เจ้าจะต้องแบกความชั่วช้าของวงศ์วานอิสราเอลนานเท่านั้น
ดนล 9.2 ในปีแรกแห่งรัชกาลของท่าน ข้าพเจ้าดาเนียลได้เข้าใจถึงจำนวนปีจากหนังสือ ซึ่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์ได้มีมาถึงเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ว่า พระองค์จะทรงกระทำให้ครบกำหนดเจ็ดสิบปีในการรกร้างของกรุงเยรูซาเล็ม
ฮชย 1.10 แต่จำนวนประชาชนอิสราเอลจะมากมายเหมือนเม็ดทรายในทะเล ซึ่งจะตวงหรือนับไม่ถ้วน และต่อมาในสถานที่ซึ่งทรงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าทั้งหลายไม่ใช่ประชาชนของเรา” ก็จะกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นบุตรชายของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”
ฮชย 8.14 เพราะว่าอิสราเอลได้ลืมพระผู้สร้างของตนเสียแล้ว จึงสร้างวิหารขึ้นหลายแห่ง และยูดาห์ก็ทวีจำนวนเมืองที่มีกำแพงขึ้นอีก แต่เราจะส่งไฟมายังเมืองเหล่านี้ของเขา และไฟจะเผาผลาญปราสาทของเมืองเหล่านี้เสีย
ฮชย 10.13 เจ้าทั้งหลายได้ไถความชั่วมา แล้วเจ้าทั้งหลายได้เกี่ยวความชั่วช้า เจ้าได้รับประทานผลของการมุสา ด้วยเหตุว่าเจ้าวางใจในทางของเจ้าและในจำนวนพลรบของเจ้า
ยอล 1.6 เพราะว่าประชาชาติหนึ่งได้ขึ้นมาสู้กับแผ่นดินของข้าพเจ้า เขามีทั้งกำลังมากและมีจำนวนนับไม่ถ้วน ฟันของมันเหมือนฟันสิงโต เขี้ยวของมันเหมือนเขี้ยวสิงโตผู้ยิ่งใหญ่
ยอล 2.2 เป็นวันแห่งความมืดและความมืดครึ้ม เป็นวันที่มีเมฆและความมืดทึบ ดุจแสงสว่างยามเช้าที่แผ่ปกคลุมไปทั่วภูเขาทั้งหลาย ประชาชนจำนวนมากและมีกำลังยิ่ง ตั้งแต่สมัยโบราณก็ไม่เคยมีเหมือนอย่างนี้ และตั้งแต่นี้ไปก็จะไม่มีอีกตลอดปีทั้งหลายชั่วอายุ
นฮม 1.12 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “แม้พวกนั้นจะอยู่อย่างสงบและมีจำนวนมากมายด้วย เขาก็จะถูกตัดขาดและสิ้นไปเมื่อเขาผ่านไป แม้ว่าเราให้เจ้าทุกข์ใจบ้าง แต่เราจะไม่ให้เจ้าทุกข์ใจอีกต่อไป
มก 6.44 และในจำนวนคนที่ได้รับประทานขนมปังนั้น มีผู้ชายประมาณห้าพันคน
กจ 7.16 เขาจึงได้นำศพไปฝังไว้ในเมืองเชเคมในอุโมงค์ที่อับราฮัมเอาเงินจำนวนหนึ่งซื้อจากบุตรชายของฮาโมร์บิดาของเชเคม
กจ 11.24 บารนาบัสเป็นคนดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ จำนวนคนเป็นอันมากก็เพิ่มเข้ากับองค์พระผู้เป็นเจ้า
กจ 11.28 ฝ่ายผู้หนึ่งในจำนวนนั้นชื่ออากาบัส ได้ลุกขึ้นกล่าวโดยพระวิญญาณว่าจะบังเกิดการกันดารอาหารมากยิ่งทั่วแผ่นดินโลก การกันดารอาหารนั้นได้บังเกิดขึ้นในรัชสมัยคลาวดิอัส ซีซาร์
กจ 16.5 คริสตจักรทั้งปวงจึงเข้มแข็งในความเชื่อ และจำนวนคนได้ทวีขึ้นทุกๆวัน
กจ 17.4 บางคนในพวกเขาก็เชื่อ และสมัครเข้าเป็นพรรคพวกกับเปาโลและสิลาส รวมทั้งชาวกรีกเป็นจำนวนมากที่เกรงกลัวพระเจ้าและสุภาพสตรีที่เป็นคนสำคัญๆก็ไม่น้อย
รม 11.25 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านทั้งหลายเขลาในข้อความลึกลับนี้ เกลือกว่าท่านจะอวดรู้ คือเรื่องที่บางคนในพวกอิสราเอลได้มีใจแข็งกระด้างไป จนถึงพวกต่างชาติได้เข้ามาครบจำนวน
2คร 4.15 เพราะว่าสิ่งสารพัดนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย เพื่อว่าเมื่อพระคุณมาถึงคนเป็นจำนวนมากขึ้น ก็จะมีการขอบพระคุณมากยิ่งขึ้นเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
วว 6.11 แล้วพระองค์ทรงประทานเสื้อสีขาวแก่คนเหล่านั้นทุกคน และทรงกำชับเขาให้หยุดพักต่อไปอีกหน่อย จนกว่าเพื่อนผู้รับใช้ของเขา และพวกพี่น้องของเขาจะถูกฆ่าเหมือนกับเขานั้นจะครบจำนวน
วว 7.4 และข้าพเจ้าได้ยินจำนวนของผู้ที่ได้การประทับตรา คือผู้ที่ได้การประทับตรานั้น ก็มาจากทุกตระกูลในชนชาติอิสราเอลได้แสนสี่หมื่นสี่พันคน
วว 9.16 และจำนวนพลทหารม้ามีสองร้อยล้าน นี่คือจำนวนที่ข้าพเจ้าได้ยิน
วว 14.1 ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิด พระเมษโปดกทรงยืนอยู่ที่ภูเขาศิโยน และผู้ที่อยู่กับพระองค์มีจำนวนแสนสี่หมื่นสี่พันคน ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระนามของพระบิดาของพระองค์เขียนไว้ที่หน้าผากของเขา
วว 19.1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังกึกก้องของฝูงชนจำนวนมากในสวรรค์ร้องว่า “อาเลลูยา ความรอด สง่าราศี พระเกียรติ และฤทธิ์เดชจงมีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา
วว 20.8 และมันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้คนมาชุมนุมกันทำศึกสงคราม จำนวนคนเหล่านั้นมากมายดุจเม็ดทรายที่ทะเล

จำนำ ( 2 )
นหม 5.3 และมีคนกล่าวว่า “เราต้องจำนำไร่นาของเรา สวนองุ่นของเรา และบ้านเรือนของเรา เพื่อจะได้ข้าว เพราะเหตุการกันดารอาหาร”
นหม 5.4 และคนอื่นๆกล่าวว่า “เราได้ขอยืมเงินมาเป็นค่าภาษีถวายกษัตริย์ โดยจำนำนาและสวนองุ่นของเรา

จำเป็น ( 41 )
ปฐก 17.13 ผู้ชายที่เกิดในบ้านของเจ้าและผู้ชายที่เอาเงินซื้อมาจำเป็นต้องเข้าสุหนัต และพันธสัญญาของเราจะอยู่ที่เนื้อของเจ้า เป็นพันธสัญญานิรันดร์
ลนต 13.36 ก็ให้ปุโรหิตตรวจเขา และดูเถิด ถ้าโรคคันนั้นลามออกไปในผิวหนังแล้ว ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องมองหาขนสีเหลือง เขาเป็นมลทินแล้ว
2ซมอ 21.4 คนกิเบโอนทูลตอบพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์จะไม่รับเงินหรือทองจากซาอูลและวงศ์วานของท่านนั้น ทั้งพวกข้าพระองค์ไม่จำเป็นให้พระองค์ประหารชีวิตอิสราเอลคนหนึ่งคนใด” พระองค์จึงตรัสว่า “แล้วพวกท่านจะให้เรากระทำอะไรแก่ท่านเล่า”
2พศด 20.17 ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องสู้รบในสงครามครั้งนี้ โอ ยูดาห์และเยรูซาเล็ม จงเข้าประจำที่ ยืนนิ่งอยู่และดูชัยชนะของพระเยโฮวาห์เพื่อท่าน’ อย่ากลัวเลย อย่าท้อถอย พรุ่งนี้จงออกไปสู้กับเขา เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงสถิตอยู่กับท่าน”
2พศด 35.15 บรรดานักร้องซึ่งเป็นลูกหลานของอาสาฟอยู่ประจำที่ของตน ตามบัญชาของดาวิด อาสาฟ และเฮมาน กับเยดูธูนผู้ทำนายของกษัตริย์ และคนเฝ้าประตูก็อยู่ประจำทุกประตู เขาไม่จำเป็นละงานหน้าที่ของเขา เพราะคนเลวีพี่น้องของเขาได้เตรียมไว้ให้เขา
โยบ 23.12 ข้ามิได้พรากไปจากพระบัญญัติแห่งริมพระโอษฐ์ของพระองค์ ข้าตีราคาพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์สูงกว่าอาหารที่จำเป็นสำหรับข้า
อสค 39.10 เพราะฉะนั้น เขาไม่จำเป็นจะต้องเอาฟืนมาจากทุ่งนาหรือตัดฟืนมาจากป่า เพราะเขาจะก่อไฟด้วยเครื่องอาวุธ และเขาทั้งหลายจะแย่งชิงผู้ที่แย่งชิงเขา และจะปล้นผู้ที่ปล้นเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
ดนล 3.16 ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์ว่า “โอ ข้าแต่เนบูคัดเนสซาร์ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่จำเป็นจะต้องตอบพระองค์ในเรื่องนี้
มธ 14.16 ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า “เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด”
มธ 18.7 วิบัติแก่โลกนี้ด้วยเหตุให้หลงผิด ถึงจำเป็นต้องมีเหตุให้หลงผิด แต่วิบัติแก่ผู้ที่ก่อเหตุให้เกิดความหลงผิดนั้น
ลก 13.33 แต่ว่าจำเป็นซึ่งเราจะเดินไปวันนี้ พรุ่งนี้ และมะรืนนี้ เพราะว่าศาสดาพยากรณ์จะถูกฆ่านอกกรุงเยรูซาเล็มก็หามิได้
ลก 17.1 พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกอีกว่า “จำเป็นต้องมีเหตุให้หลงผิด แต่วิบัติแก่ผู้ที่ก่อเหตุให้เกิดความหลงผิดนั้น
ลก 17.25 ก่อนนั้นจำเป็นที่พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ และคนยุคนี้จะปฏิเสธพระองค์
ลก 24.26 จำเป็นซึ่งพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น แล้วเข้าในสง่าราศีของพระองค์มิใช่หรือ”
ลก 24.44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลายเมื่อเรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาคำที่เขียนไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสส และในคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์ และในหนังสือสดุดีกล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ”
ยน 13.10 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคน”
ยน 16.30 เดี๋ยวนี้พวกข้าพระองค์รู้แน่ว่า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำเป็นที่ผู้ใดจะทูลถามพระองค์อีก ด้วยเหตุนี้ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า”
กจ 1.16 “ท่านพี่น้องทั้งหลาย จำเป็นจะต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสไว้โดยโอษฐ์ของดาวิด ด้วยเรื่องยูดาส ซึ่งเป็นผู้นำทางคนที่ไปจับพระเยซู
กจ 13.46 แล้วเปาโลกับบารนาบัสมีใจกล้า ได้กล่าวว่า “จำเป็นที่จะต้องกล่าวพระวจนะของพระเจ้าให้ท่านทั้งหลายฟังก่อน แต่เมื่อท่านทั้งหลายปัดเสีย และตัดสินว่าตนไม่สมควรที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ ดูเถิด พวกเราจะบ่ายหน้าไปหาคนต่างชาติ
กจ 15.28 เพราะว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์และข้าพเจ้าทั้งหลายก็เห็นชอบที่จะไม่วางภาระบนท่านทั้งหลาย เว้นไว้แต่สิ่งเหล่านั้นที่จำเป็น
กจ 17.3 และไขข้อความชี้แจงให้เห็นว่าจำเป็นที่พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน แล้วทรงคืนพระชนม์และกล่าวต่อไปว่า “พระเยซูองค์นี้ที่เราประกาศแก่ท่านทั้งหลายคือพระคริสต์”
กจ 20.22 ดูเถิด บัดนี้พระวิญญาณพันผูกข้าพเจ้า จึงจำเป็นจะต้องไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าที่นั่นบ้าง
กจ 20.34 แล้วท่านทั้งหลายทราบว่า มือของข้าพเจ้าเองนี้ ได้จัดหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับตัวข้าพเจ้ากับคนที่อยู่กับข้าพเจ้า
1คร 7.15 แต่ถ้าคนที่ไม่เชื่อจะแยกไป ก็จงให้เขาไปเถิด เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นที่พี่น้องชายหญิงจะผูกมัดให้จำใจอยู่ด้วยกัน เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกเราให้อยู่อย่างสงบ
1คร 9.16 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้นข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐวิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า
1คร 12.24 เพราะว่าอวัยวะที่น่าดูแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตกแต่งอีก แต่พระเจ้าได้ทรงให้อวัยวะของร่างกายเสมอภาคกัน ทรงให้อวัยวะที่ต่ำต้อยเป็นที่นับถือมากขึ้น
2คร 5.10 เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว
2คร 9.1 ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านในเรื่องการสงเคราะห์วิสุทธิชน
2คร 11.30 ถ้าข้าพเจ้าจำเป็นต้องอวด ข้าพเจ้าก็จะอวดสิ่งที่แสดงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนอ่อนกำลัง
1ธส 1.8 เพราะว่าพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลื่องลือออกไปจากพวกท่าน ไม่ใช่แต่ในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายาเท่านั้น แต่ความเชื่อของท่านในพระเจ้าได้เลื่องลือไปทุกแห่งหน จนเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
1ธส 4.9 ส่วนเรื่องการรักพี่น้องทั้งหลายนั้น ไม่จำเป็นที่จะให้ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เพราะว่าตัวท่านเองก็รับคำสอนจากพระเจ้าแล้วว่าให้รักซึ่งกันและกัน
1ธส 5.1 แต่พี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้
ทต 1.11 จำเป็นต้องให้เขาสงบปากเสีย ด้วยเขาพลิกบ้านคว่ำทั้งครัวเรือนให้เสียไป โดยสอนสิ่งที่ไม่ควรจะสอนเลย เพราะเห็นแก่เล็กแก่น้อย
ฮบ 7.12 เพราะเมื่อตำแหน่งปุโรหิตเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พระราชบัญญัติก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ฮบ 8.3 เพราะว่าทรงตั้งมหาปุโรหิตทุกคนขึ้นเพื่อให้ถวายของกำนัลและเครื่องบูชา ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่มหาปุโรหิตผู้นี้ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดถวายด้วย
ฮบ 8.7 เพราะว่าถ้าพันธสัญญาเดิมนั้นไม่มีข้อบกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก
ฮบ 9.23 เหตุฉะนั้นจึงจำเป็นต้องชำระแบบจำลองของสวรรค์ โดยใช้เครื่องบูชาอย่างนี้ แต่ว่าของจริงในสวรรค์นั้น ต้องชำระด้วยเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าเครื่องบูชาเหล่านั้น
ยก 2.16 และมีคนใดในพวกท่านกล่าวแก่เขาว่า “เชิญไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด” และไม่ได้ให้สิ่งซึ่งจำเป็นต่อร่างกายแก่เขา จะเป็นประโยชน์อะไรเล่า
1ปต 1.6 ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้จำเป็นที่ท่านจะต้องเป็นทุกข์ใจชั่วขณะหนึ่ง ด้วยการถูกทดลองต่างๆ
1ยน 2.27 แต่การเจิมซึ่งท่านทั้งหลายได้รับจากพระองค์นั้นดำรงอยู่กับท่าน และท่านไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอนท่านทั้งหลาย เพราะว่าการเจิมนั้นสอนท่านให้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง ไม่ใช่ความเท็จ การเจิมนั้นได้สอนท่านทั้งหลายมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงตั้งมั่นคงอยู่ในพระองค์อย่างนั้น
ยด 1.3 ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าพากเพียรเขียนถึงท่านทั้งหลายในเรื่องเกี่ยวกับความรอดสำหรับคนทั่วไปนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่า ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเขียนเตือนสติท่านให้ต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งได้ทรงโปรดมอบไว้แก่วิสุทธิชนแล้ว

จำพวก ( 21 )
ลนต 11.21 แต่ในบรรดาแมลงมีปีกที่คลานสี่ขานี้ เจ้าจะรับประทานจำพวกที่มีขาพับใช้กระโดดไปบนดินได้
ลนต 11.22 ในจำพวกแมลงต่อไปนี้เจ้ารับประทานได้ ตั๊กแตนวัยบินตามชนิดของมัน จิ้งหรีดโกร่งตามชนิดของมัน จักจั่นตามชนิดของมัน และตั๊กแตนตามชนิดของมัน
พบญ 14.7 อย่างไรก็ตามในจำพวกสัตว์ทั้งหลายที่เคี้ยวเอื้องหรือมีกีบผ่า ท่านอย่ารับประทานสัตว์ต่อไปนี้คือ อูฐ กระต่าย ตัวกระจงผา เพราะว่าสัตว์เหล่านี้เคี้ยวเอื้องแต่กีบไม่ผ่า จึงเป็นสัตว์มลทินแก่ท่าน
1ซมอ 10.11 และต่อมาเมื่อคนทั้งหลายที่รู้จักท่านมาก่อนเห็นว่า ดูเถิด ท่านพยากรณ์อยู่กับพวกผู้พยากรณ์ ประชาชนเหล่านั้นก็พูดกันและกันว่า “อะไรหนอเกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้พยากรณ์ด้วยหรือ”
1ซมอ 10.12 ชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นตอบว่า “และบิดาของเขาทั้งหลายคือใคร” ดังนั้นจึงเป็นคำภาษิตว่า “ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้พยากรณ์ด้วยหรือ”
1ซมอ 19.24 พระองค์ทรงถอดฉลองพระองค์ออกด้วย และก็ทรงพยากรณ์ต่อหน้าซามูเอล และบรรทมเปลือยกายอยู่ตลอดวันนั้นและตลอดคืนนั้น ดังนั้นเขาจึงพูดกันว่า “ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้พยากรณ์ด้วยหรือ”
1พกษ 19.4 แต่ตัวท่านเองก็เดินเข้าถิ่นทุรกันดารไปเป็นระยะทางวันหนึ่งมานั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้จำพวกสนจูนิเปอร์ และท่านทูลขอให้ตัวท่านตายเสียที ว่า “พอแล้วพระองค์เจ้าข้า โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ บัดนี้ขอเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะข้าพระองค์ก็ไม่ดีไปกว่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์”
1พกษ 19.5 และท่านก็นอนลงหลับอยู่ใต้ต้นไม้จำพวกสนจูนิเปอร์ ดูเถิด มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาถูกต้องท่าน และพูดกับท่านว่า “ลุกขึ้นรับประทานซี”
โยบ 30.4 เขาเก็บผักชะครามซึ่งอยู่กับพุ่มไม้ และเอารากต้นไม้จำพวกสนจูนิเปอร์มาเป็นอาหาร
สดด 120.4 ลูกธนูคมของนักรบกับถ่านไม้จำพวกสนจูนิเปอร์ที่ลุกโพลง น่ะซี
ปญจ 4.3 เออ คนที่ยังไม่เป็นมา ที่ไม่เห็นการชั่วที่อุบัติขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ ก็ยิ่งดีกว่าคนทั้งสองจำพวกนั้น
อสย 2.2 ในยุคหลังจะเป็นดังนี้ คือภูเขาแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะถูกสถาปนาขึ้นให้สูงที่สุดในจำพวกภูเขาทั้งหลาย และจะถูกยกขึ้นให้เหนือบรรดาเนินเขา และประชาชาติทั้งสิ้นจะหลั่งไหลเข้ามาหา
อสค 32.27 เขาทั้งหลายจะไม่ได้นอนอยู่กับผู้แกล้วกล้าในจำพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตที่ได้ล้มลง ลงไปยังนรกพร้อมกับยุทโธปกรณ์ของเขา ผู้ซึ่งมีดาบวางไว้ใต้ศีรษะของเขา และความชั่วช้าก็อยู่บนกระดูกของเขา เพราะว่าเขาให้ผู้แกล้วกล้าครั่นคร้ามอยู่ในแผ่นดินของคนเป็น
มคา 4.1 ในยุคหลังจะเป็นดังนี้ คือภูเขาแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะถูกสถาปนาขึ้นให้สูงที่สุดในจำพวกภูเขาทั้งหลาย และจะถูกยกขึ้นให้เหนือบรรดาเนินเขา ชนชาติทั้งหลายจะหลั่งไหลเข้ามาหา
มก 15.7 มีคนหนึ่งชื่อบารับบัสซึ่งต้องจำอยู่ในจำพวกคนกบฏ ผู้ที่ได้กระทำการฆาตกรรมในการกบฏนั้น
กจ 2.1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคศเตมาถึง จำพวกสาวกจึงมาร่วมใจกันอยู่ในที่แห่งเดียวกัน
กจ 2.42 เขาทั้งหลายได้ตั้งมั่นคงอยู่ในคำสอนของจำพวกอัครสาวก และในการสามัคคีธรรม และร่วมใจกันในการหักขนมปัง และการอธิษฐาน
กจ 3.22 ที่จริงโมเสสได้กล่าวไว้แก่บรรพบุรุษว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงโปรดประทานศาสดาพยากรณ์ผู้หนึ่ง เหมือนอย่างเราให้แก่ท่านจากจำพวกพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้นในสิ่งสารพัดซึ่งพระองค์จะได้ตรัสแก่ท่าน
กจ 6.7 การประกาศพระวจนะของพระเจ้าได้เจริญขึ้น และจำพวกศิษย์ก็ทวีขึ้นเป็นอันมากในกรุงเยรูซาเล็ม และพวกปุโรหิตเป็นอันมากก็ได้เชื่อฟังในความเชื่อนั้น
กจ 7.37 โมเสสคนนี้แหละได้กล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงโปรดประทานศาสดาพยากรณ์ผู้หนึ่ง เหมือนอย่างเราให้แก่ท่านจากจำพวกพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้น’
กจ 21.8 ครั้นรุ่งขึ้นพวกเราที่เป็นเพื่อนเดินทางกับเปาโลก็ลาไป และมาถึงเมืองซีซารียา เราก็เข้าไปในบ้านของฟีลิป ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นคนหนึ่งในจำพวกเจ็ดคนนั้น เราก็อาศัยอยู่กับท่าน

จำเพาะ ( 34 )
โยบ 9.2 “จริงทีเดียว ข้าทราบว่าเป็นอย่างนั้น แต่คนเราจะชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร
โยบ 13.15 ถึงแม้พระองค์ทรงประหารข้าเสีย ข้าก็จะยังวางใจในพระองค์ แต่ข้าจะยังยืนยันทางทั้งหลายของข้าจำเพาะพระพักตร์พระองค์
สดด 88.2 ขอคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาจำเพาะเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับคำร้องทูลของข้าพระองค์
ศคย 7.2 เมื่อพวกเขาได้ใช้ให้ชาเรเซอร์และเรเกมเมเลค พร้อมกับพรรคพวกของเขา ไปยังพระนิเวศของพระเจ้า ทูลขอจำเพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ศคย 8.21 ชาวเมืองหนึ่งจะไปหาชาวเมืองอีกเมืองหนึ่ง กล่าวว่า ‘ให้เราไปกันทันที ไปทูลขอจำเพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และแสวงหาพระเยโฮวาห์จอมโยธา ข้าพเจ้าก็จะไปด้วย’
ศคย 8.22 เออ ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และบรรดาประชาชาติที่เข้มแข็งจะมาแสวงหาพระเยโฮวาห์จอมโยธาในเยรูซาเล็ม และทูลขอจำเพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลก 1.6 เขาทั้งสองเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และดำเนินตามพระบัญญัติและกฎทั้งปวงขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีที่ติเลย
ลก 1.75 ด้วยความบริสุทธิ์และด้วยความชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระองค์ตลอดชีวิตของเรา
ลก 2.52 พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย
ลก 12.21 คนที่ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว และมิได้มั่งมีจำเพาะพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
ลก 20.38 พระองค์มิได้ทรงเป็นพระเจ้าของคนตาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็น ด้วยว่าจำเพาะพระเจ้าคนทุกคนเป็นอยู่”
ลก 24.19 พระองค์ตรัสถามเขาว่า “เหตุการณ์อะไร” เขาจึงตอบพระองค์ว่า “เหตุการณ์เรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้เป็นศาสดาพยากรณ์ ประกอบด้วยฤทธิ์เดชในการงานและในถ้อยคำจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และต่อหน้าประชาชนทั้งหลาย
กจ 7.46 ดาวิดนั้นมีความชอบจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และมีใจปรารถนาที่จะหาพระนิเวศสำหรับพระเจ้าของยาโคบ
กจ 10.4 และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตสวรรค์องค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า “นี่เป็นประการใด พระองค์เจ้าข้า” ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า “คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นที่ระลึกถึงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
กจ 26.29 เปาโลจึงทูลว่า “จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ข้าพระองค์มีความปรารถนายิ่งนักที่จะให้เป็นเหมือนอย่างข้าพระองค์ มิใช่พระองค์องค์เดียว แต่คนทั้งปวงที่ฟังข้าพระองค์วันนี้ด้วย เว้นเสียแต่เครื่องจองจำนี้”
รม 2.13 (เพราะว่าคนที่เพียงแต่ฟังพระราชบัญญัติเท่านั้น หาใช่ผู้ชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ แต่คนที่ประพฤติตามพระราชบัญญัติต่างหากเป็นผู้ชอบธรรม
รม 3.19 บัดนี้ เรารู้แล้วว่าพระราชบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้พระราชบัญญัติเพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกมีความผิดจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
รม 4.2 เพราะถ้าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการกระทำ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่มิใช่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
1คร 3.19 เพราะว่าปัญญาของโลกนี้เป็นความโง่เขลาจำเพาะพระเจ้า ด้วยมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง’
2คร 2.15 เพราะว่าเราเป็นกลิ่นอันหอมหวานของพระคริสต์จำเพาะพระเจ้า ในหมู่คนที่รอด และในหมู่คนที่พินาศ
คส 4.11 และเยซูซึ่งมีชื่ออีกว่า ยุสทัส ก็เช่นกัน ซึ่งอยู่ในคณะที่เข้าสุหนัต จำเพาะคนเหล่านี้เท่านั้นเป็นเพื่อนร่วมการกับข้าพเจ้าในอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเป็นที่หนุนใจของข้าพเจ้า
1ธส 2.19 เพราะอะไรเล่าจะเป็นความหวัง หรือความยินดี หรือมงกุฎแห่งความชื่นชมยินดีของเรา จำเพาะพระพักตร์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เมื่อพระองค์จะเสด็จมา ก็มิใช่ท่านทั้งหลายดอกหรือ
1ธส 3.9 เราจะขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอย่างไรอีกจึงจะเหมาะ สำหรับบรรดาความชื่นชมยินดีซึ่งเรามีอยู่เพราะท่าน จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าของเรา
ฮบ 9.24 เพราะว่าพระคริสต์ไม่ได้เสด็จเข้าในสถานที่บริสุทธิ์ซึ่งสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ อันเป็นแบบจำลองจากของจริง แต่พระองค์ได้เสด็จเข้าไปในสวรรค์นั้นเอง และบัดนี้ทรงปรากฏจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อเราทั้งหลาย
1ปต 2.19 เพราะว่าถ้าผู้ใด เพราะเห็นแก่ใจวินิจฉัยผิดชอบจำเพาะพระเจ้า ยอมอดทนต่อความทุกข์โศกเศร้าอย่างอยุติธรรม นี่แหละเป็นความชอบ
1ปต 3.21 เช่นเดียวกัน บัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นภาพที่รอดแก่เราทั้งหลาย (ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีจำเพาะพระเจ้า) โดยซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย
1ยน 2.28 และบัดนี้ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย จงดำรงอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงมาปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่มีความละอายจำเพาะพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา
1ยน 3.19 และโดยเหตุนี้เราจึงรู้ว่าเราอยู่ฝ่ายความจริง และจะได้ตั้งใจของเราให้แน่วแน่จำเพาะพระองค์
1ยน 3.21 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจจำเพาะพระเจ้า
ยด 1.24 บัดนี้แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถคุ้มครองรักษาท่านมิให้ล้มลง และทรงนำท่านให้ตั้งอยู่จำเพาะสง่าราศีของพระองค์โดยปราศจากตำหนิ และมีความร่าเริงยินดีอย่างเหลือล้น
วว 4.10 ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่นั้นก็ทรุดตัวลงจำเพาะพระพักตร์พระองค์ ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และนมัสการพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า
วว 5.8 เมื่อพระองค์ทรงรับหนังสือม้วนนั้นแล้ว สัตว์ทั้งสี่กับผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั้นก็ทรุดตัวลงจำเพาะพระพักตร์พระเมษโปดก ทุกคนถือพิณเขาคู่และถือขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของพวกวิสุทธิชนทั้งปวง
วว 15.4 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มีผู้ใดบ้างที่จะไม่ยำเกรงพระองค์ และไม่ถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ผู้เดียวทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ ประชาชาติทั้งปวงจะมานมัสการจำเพาะพระพักตร์พระองค์ เพราะว่าการพิพากษาของพระองค์ปรากฏแจ้งแล้ว”
วว 20.12 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ ยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกม้วนหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น ตามที่เขาได้กระทำ

จำเริญ ( 52 )
ปฐก 26.13 อิสอัคก็จำเริญมีกำไรทวียิ่งขึ้นจนท่านเป็นคนมั่งมีมาก
พบญ 7.13 พระองค์จะทรงรักท่าน อวยพระพรแก่ท่านให้จำเริญยิ่งทวีขึ้น พระองค์จะทรงอำนวยพระพรผู้บังเกิดจากครรภ์ของพวกท่าน และผลแห่งพื้นดินของท่าน ทั้งข้าว น้ำองุ่น และน้ำมันของท่านทั้งหลาย ให้ลูกวัวและลูกแพะแกะของท่านทวีขึ้นในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่านที่จะให้แก่ท่าน
พบญ 12.25 ท่านอย่ารับประทานเลือด เพื่อท่านเองและลูกหลานของท่านที่มาภายหลังท่านจะจำเริญเป็นสุข เมื่อท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องตามสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
พบญ 12.28 จงระวังที่จะฟังบรรดาถ้อยคำเหล่านี้ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้ เพื่อท่านเองและลูกหลานของท่านที่มาภายหลังท่านจะจำเริญเป็นนิตย์ เมื่อท่านกระทำสิ่งที่ประเสริฐและถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
พบญ 29.9 เพราะฉะนั้นจงระวังที่จะกระทำตามถ้อยคำแห่งพันธสัญญานี้ เพื่อท่านทั้งหลายจะจำเริญในบรรดากิจการซึ่งท่านกระทำ
พบญ 30.9 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงกระทำให้ท่านจำเริญมั่งคั่งอย่างยิ่งในบรรดากิจการที่มือท่านกระทำ ในผลแห่งตัวของท่าน และในผลแห่งฝูงสัตว์ของท่าน และในผลแห่งพื้นดินของท่าน เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงปลื้มปีติที่จะให้ท่านจำเริญมั่งคั่งอีก ดังที่พระองค์ทรงปลื้มปีติในบรรพบุรุษของท่าน
นรธ 4.11 ประชาชนทั้งปวงที่อยู่ที่ประตูเมืองและพวกผู้ใหญ่กล่าวว่า “เราทั้งหลายเป็นพยานแล้ว ขอพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้หญิงนั้นที่กำลังจะเข้ามาในเรือนของท่านเหมือนนางราเชลและนางเลอาห์ ผู้ซึ่งช่วยกันสร้างวงศ์วานอิสราเอล ขอให้ท่านจงจำเริญอยู่ในเอฟราธาห์และมีชื่อเสียงในเบธเลเฮม
1พกษ 2.3 และจงรักษาพระบัญชากำชับของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า คือดำเนินในบรรดาพระมรรคาของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์ พระบัญญัติของพระองค์ คำตัดสินของพระองค์ และพระโอวาทของพระองค์ ดังที่ได้จารึกไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสส เพื่อเจ้าจะได้จำเริญในบรรดาการซึ่งเจ้าได้กระทำ และในที่ใดๆที่เจ้าไป
1พศด 11.9 และดาวิดทรงจำเริญยิ่งๆขึ้น เพราะว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงสถิตกับพระองค์
2พศด 14.7 และพระองค์ตรัสกับยูดาห์ว่า “ให้เราทั้งหลายสร้างหัวเมืองเหล่านี้ ล้อมด้วยกำแพง หอคอย ประตูเมือง และดาน แผ่นดินยังเป็นของเรา เพราะเราได้แสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา เราได้แสวงหาพระองค์ และพระองค์ได้ทรงประทานการหยุดพักสงบทุกด้าน” เขาทั้งหลายจึงสร้างและจำเริญขึ้น
2พศด 31.21 และงานทุกอย่างซึ่งพระองค์ทรงเริ่มกระทำในการปรนนิบัติแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และตามพระราชบัญญัติและพระบัญญัติ เพื่อแสวงหาพระเจ้าของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำด้วยเต็มพระทัย และทรงจำเริญขึ้น
2พศด 32.30 เฮเซคียาห์องค์นี้เองทรงปิดทางน้ำออกตอนบนของน้ำพุกีโฮนเสีย แล้วนำไปให้ไหลลงไปทางทิศตะวันตกของนครดาวิด และเฮเซคียาห์ทรงจำเริญในพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์
นหม 1.11 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณตั้งพระทัยสดับฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ และคำอธิษฐานของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ปรารถนาจะยำเกรงพระนามของพระองค์ ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์ ขอทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์จำเริญขึ้นในวันนี้ และขอทรงโปรดให้เขาได้รับความเมตตาในสายตาของชายคนนี้” ขณะนั้น ข้าพเจ้าเป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยของกษัตริย์
สดด 1.3 เขาจะเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็จะไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จะจำเริญขึ้น
สดด 122.6 จงอธิษฐานขอสันติภาพให้แก่เยรูซาเล็มว่า “ขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ
สดด 133.3 เหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน เหมือนน้ำค้างซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์
สภษ 28.13 บุคคลที่ซ่อนความบาปของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา
อสย 48.15 เรา นี่เราเองได้พูด เออ เราได้เรียกท่าน เราได้นำท่านมา และท่านจะจำเริญในทางของท่าน
อสย 54.17 ไม่มีอาวุธใดที่สร้างเพื่อต่อสู้เจ้าจะจำเริญได้ และเจ้าจะปรับโทษลิ้นทุกลิ้นที่ลุกขึ้นต่อสู้เจ้าในการพิพากษา นี่เป็นมรดกของบรรดาผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ และความชอบธรรมของเขามาจากเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้
อสย 55.11 คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเราจะไม่กลับมาสู่เราเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น
ยรม 10.21 เพราะว่าผู้เลี้ยงแกะก็โฉด และไม่ได้เสาะหาพระเยโฮวาห์ เพราะฉะนั้นเขาจะมิได้จำเริญขึ้น และฝูงแกะทั้งหลายของเขาก็จะกระจัดกระจายไป
ยรม 12.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เมื่อข้าพระองค์สู้คดีกับพระองค์ พระองค์ก็ทรงเป็นฝ่ายถูก แม้กระนั้นข้าพระองค์ยังขอทูลเสนอมูลคดีของข้าพระองค์ต่อพระองค์ ไฉนทางของคนชั่วจึงจำเริญขึ้น ไฉนทุกคนที่ทรยศก็อยู่เย็นเป็นสุข
พคค 1.5 พวกคู่อริของเธอกลายเป็นหัวหน้า พวกศัตรูของเธอได้จำเริญขึ้น ด้วยว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำให้เธอทนทุกข์ เพราะความทรยศอันมหันต์ของเธอ ลูกเต้าทั้งหลายของเธอตกไปเป็นเชลยต่อหน้าคู่อริ
มธ 13.30 ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวสาลีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา”’”
มธ 13.32 เมล็ดนั้นที่จริงก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่ที่สุดท่ามกลางผักทั้งหลาย และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้”
มธ 28.9 ขณะที่หญิงเหล่านั้นไปบอกสาวกของพระองค์ ดูเถิด พระเยซูได้เสด็จพบเขาและตรัสว่า “จงจำเริญเถิด” หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทของพระองค์ และนมัสการพระองค์
มก 4.8 บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วงอกงามจำเริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง”
มก 4.27 แล้วกลางคืนก็นอนหลับและกลางวันก็ตื่นขึ้น ฝ่ายพืชนั้นจะงอกจำเริญขึ้นอย่างไรเขาก็ไม่รู้
มก 4.28 เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง
มก 4.32 แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญใหญ่โตกว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้”
ลก 1.28 ทูตสวรรค์มาถึงหญิงพรหมจารีนั้นแล้วว่า “เธอผู้ซึ่งเป็นที่ทรงโปรดปรานมาก จงจำเริญเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ เธอได้รับพระพรท่ามกลางสตรีทั้งปวง”
ลก 2.52 พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย
1คร 14.4 ฝ่ายคนที่พูดภาษาต่างๆนั้นก็ทำให้ตนเองเจริญฝ่ายเดียว แต่ผู้ที่พยากรณ์นั้นย่อมทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น
1คร 14.12 เช่นเดียวกัน เมื่อท่านทั้งหลายกำลังร้อนใจแสวงหาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว ก็จงอุตส่าห์กระทำตัวของท่านให้สามารถที่จะทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น
1คร 14.17 แม้ท่านขอบพระคุณอย่างไพเราะก็ตาม แต่คนอื่นนั้นจะไม่จำเริญขึ้น
1คร 14.26 พี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านประชุมกัน ทุกคนก็มีเพลงสดุดี ทุกคนก็มีคำสั่งสอน ทุกคนก็พูดภาษาต่างๆ ทุกคนก็มีคำวิวรณ์ ทุกคนก็แปลข้อความ จะว่าอย่างไรกัน ท่านจงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้จำเริญขึ้น
1คร 16.2 ทุกวันต้นสัปดาห์ให้พวกท่านทุกคนเก็บผลประโยชน์ที่ได้รับไว้บ้าง ตามที่พระเจ้าได้ทรงให้ท่านจำเริญ เพื่อจะไม่ต้องถวายทรัพย์เมื่อข้าพเจ้ามา
2คร 4.16 เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน
2คร 10.15 เรามิได้โอ้อวดเกินขอบเขต ไม่ได้อวดในการงานที่คนอื่นได้กระทำ แต่เราหวังใจว่า เมื่อความเชื่อของท่านจำเริญมากขึ้นแล้ว ท่านจะช่วยเราให้ขยายเขตกว้างขวางออกไปอีกเป็นอันมากตามขนาดของเรา
2คร 12.19 ท่านทั้งหลายยังคิดว่าเรากำลังกล่าวแก้ตัวต่อท่านอีกหรือ ที่จริงเราพูดในพระคริสต์ดังเราอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า และท่านที่รัก สิ่งสารพัดที่เราได้กระทำนั้น เรากระทำเพื่อท่านจะจำเริญขึ้น
อฟ 4.12 เพื่อเตรียมวิสุทธิชนให้ดีรอบคอบ เพื่อช่วยในการรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น
อฟ 4.15 แต่ให้เราพูดความจริงด้วยใจรักเพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์
อฟ 4.16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและผูกพันกันโดยที่ทุกๆข้อต่อได้ช่วยชูกำลังตามขนาดแห่งอวัยวะทุกส่วน ร่างกายนั้นจึงได้จำเริญเติบโตขึ้นเองด้วยความรัก
ฟป 1.9 และข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ความรักของท่านจำเริญยิ่งๆขึ้นในความรู้และในวิจารณญาณทุกอย่าง
ฟป 1.25 เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ทราบว่าข้าพเจ้าจะยังอยู่ และคงอยู่กับท่านทั้งหลายเพื่อให้ท่านจำเริญขึ้นและชื่นชมยินดีในความเชื่อ
คส 1.10 เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ตามบรรดาความชอบ ให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง และจำเริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า
1ธส 3.12 และขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ท่านทั้งหลายจำเริญและบริบูรณ์ไปด้วยความรักซึ่งกันและกัน และแก่คนทั้งปวง เหมือนเรารักท่านทั้งหลายดุจกัน
2ธส 1.3 พี่น้องทั้งหลาย เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายอยู่เสมอ และเป็นการสมควร เพราะความเชื่อของท่านก็จำเริญยิ่งขึ้น และความรักของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นมากด้วย
ฮบ 12.9 อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายได้มีบิดาตามเนื้อหนังที่ได้ตีสอนเรา และเราจึงได้นับถือบิดานั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะได้ยำเกรงนบนอบต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณและจำเริญชีวิตมิใช่หรือ
3ยน 1.2 ท่านที่รัก ข้าพเจ้าปรารถนามากกว่าทุกสิ่งที่จะให้ท่านจำเริญขึ้นและมีสุขภาพดี เหมือนอย่างที่จิตวิญญาณของท่านจำเริญอยู่นั้น

จำลอง ( 3 )
ยชว 22.28 และเราคิดว่า ถ้ามีใครพูดเช่นนี้กับเราหรือกับเชื้อสายของเราในเวลาข้างหน้า เราก็จะกล่าวว่า ‘ดูเถิด นั่นเป็นแท่นจำลองของแท่นแห่งพระเยโฮวาห์ บรรพบุรุษของเรากระทำไว้ มิใช่เพื่อถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชา แต่เพื่อเป็นพยานระหว่างเรากับท่าน’
กจ 19.35 เมื่อเจ้าหน้าที่ทะเบียนของเมืองนั้นยอมคล้อยตามจนประชาชนสงบลงแล้วเขาก็กล่าวว่า “ท่านชาวเอเฟซัสทั้งหลาย มีผู้ใดบ้างซึ่งไม่ทราบว่า เมืองเอเฟซัสนี้เป็นเมืองที่นมัสการพระแม่เจ้าอารเทมิสผู้ยิ่งใหญ่ และนมัสการรูปจำลองซึ่งตกลงมาจากดาวพฤหัสบดี
วว 13.14 มันล่อลวงคนทั้งหลายที่อยู่ในโลกด้วยการอัศจรรย์นั้น ซึ่งมันมีอำนาจกระทำท่ามกลางสายตาของสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น และมันสั่งให้คนทั้งหลายที่อยู่ในโลกสร้างรูปจำลองให้แก่สัตว์ร้าย ที่ถูกฟันด้วยดาบแต่ยังมีชีวิตอยู่นั้น

จำเลย ( 6 )
กจ 25.16 ข้าพเจ้าจึงตอบพวกเขาว่า ไม่ใช่ธรรมเนียมของชาวโรมที่จะมอบตัวจำเลยให้ตายก่อนที่โจทก์กับจำเลยมาพร้อมหน้ากัน และให้จำเลยมีโอกาสแก้คดีในข้อหานั้น
กจ 25.17 ครั้นพวกเขามาถึงที่นี่แล้ว ข้าพเจ้าจึงมิได้รอช้า ในวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้นั่งบัลลังก์พิพากษาและสั่งให้พาจำเลยเข้ามา
กจ 25.18 เมื่อพวกโจทก์ยืนขึ้น เขามิได้กล่าวหาจำเลยเหมือนที่ข้าพเจ้าคาดไว้นั้น
กจ 25.27 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า ที่จะส่งแต่จำเลยไป และมิได้ส่งข้อหาไปด้วย ก็เป็นการเหลวไหลไม่ได้เรื่อง”

จำหน่าย ( 2 )
สภษ 11.24 บางคนยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง บางคนยิ่งยึดสิ่งที่ควรจำหน่ายไว้ยิ่งขัดสนก็มี

จิก ( 2 )
สภษ 30.17 นัยน์ตาที่เยาะเย้ยบิดาและดูถูกไม่ฟังมารดาจะถูกกาแห่งหุบเขาจิกออกและนกอินทรีหนุ่มจะกินเสีย
อสค 17.3 ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า มีนกอินทรีมหึมาตัวหนึ่ง ปีกใหญ่และขนปีกก็ยาว มีขนมากมายหลายสี มายังเลบานอนและจิกยอดต้นสนสีดาร์

จิ้งจก ( 1 )
ลนต 11.30 จิ้งจก ตะกวด แย้ จิ้งเหลนและกิ้งก่า

จิ้งหรีดโกร่ง ( 1 )
ลนต 11.22 ในจำพวกแมลงต่อไปนี้เจ้ารับประทานได้ ตั๊กแตนวัยบินตามชนิดของมัน จิ้งหรีดโกร่งตามชนิดของมัน จักจั่นตามชนิดของมัน และตั๊กแตนตามชนิดของมัน

จิ้งเหลน ( 1 )
ลนต 11.30 จิ้งจก ตะกวด แย้ จิ้งเหลนและกิ้งก่า

จิต ( 24 )
กดว 5.14 จิตหึงหวงก็มาสิงสามี เขาจึงหึงหวงภรรยาของเขา และภรรยาได้กระทำตัวให้มลทิน หรือจิตหึงหวงมาสิงสามี เขาจึงหึงหวงภรรยาของเขา แม้ว่าภรรยามิได้กระทำตัวให้มลทิน
กดว 5.30 หรือเมื่อจิตหึงหวงสิงผู้ชาย และเขาหึงหวงภรรยาของเขา แล้วเขาต้องให้นางไปเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ และปุโรหิตจะปฏิบัติต่อนางตามพระราชบัญญัตินี้ทุกประการ
พบญ 11.18 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงจดจำถ้อยคำเหล่านี้ของข้าพเจ้าไว้ในจิตในใจของท่านทั้งหลาย จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ จงเป็นดังเครื่องหมายระหว่างนัยน์ตาของท่าน
พบญ 15.10 ท่านจงให้เขา และเมื่อให้เขาแล้วอย่ามีจิตคิดเสียดาย เพราะเหตุนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่ท่านในบรรดากิจการทั้งสิ้นของท่าน ไม่ว่าท่านจะลงมือกระทำสิ่งใด
วนฉ 5.21 แม่น้ำคีโชนพัดกวาดเขาไปเสีย คือแม่น้ำคีโชน แม่น้ำโบราณนั้น โอ จิตของข้าพเจ้าเอ๋ย เจ้าได้เหยียบย่ำด้วยกำลังแข็งขัน
วนฉ 19.3 สามีของนางก็ลุกขึ้นไปตามนาง เพื่อไปพูดกับนางด้วยจิตเมตตาและจะพานางกลับ เขาพาคนใช้คนหนึ่งและลาคู่หนึ่งไปด้วย นางพาเขาเข้าในบ้านบิดาของนาง เมื่อบิดาของผู้หญิงเห็นเข้าก็มีความยินดีต้อนรับเขา
1ซมอ 2.35 และเราจะให้ปุโรหิตผู้สัตย์ซื่อของเราเกิดขึ้นมา ซึ่งจะกระทำตามสิ่งที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา และเราจะสร้างวงศ์วานมั่นคงให้เขา และเขาจะดำเนินอยู่ต่อหน้าผู้ที่เราเจิมไว้เป็นนิตย์
2ซมอ 12.6 และจะต้องคืนแกะให้สี่เท่า เพราะเขาได้กระทำอย่างนี้ และเพราะว่าเขาไม่มีเมตตาจิต”
สดด 26.2 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอพิสูจน์ข้าพระองค์ และลองข้าพระองค์เถิด ทดสอบใจและจิตของข้าพระองค์เถิด
อสย 16.11 ฉะนั้นจิตของข้าพเจ้าจึงจะร่ำไห้เหมือนพิณเขาคู่เพื่อโมอับ และใจของข้าพเจ้าร่ำไห้เพื่อคีร์เฮเรส
อสย 65.14 ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราจะร้องเพลงเพราะใจยินดี แต่เจ้าทั้งหลายจะร้องออกมาเพราะเสียใจ และจะครวญครางเพราะจิตระทม
ยรม 11.20 แต่ว่า โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม ผู้ทรงทดลองดูทั้งใจและจิต ขอให้ข้าพระองค์แลเห็นการแก้แค้นของพระองค์ตกแก่เขา เพราะข้าพระองค์ได้มอบเรื่องของข้าพระองค์ไว้กับพระองค์แล้ว
ยรม 17.10 “เราคือพระเยโฮวาห์ตรวจค้นดูจิต และทดลองดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของเขา”
ยรม 20.12 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ทรงทดลองคนชอบธรรม ผู้ทอดพระเนตรทั้งใจและจิต ขอให้ข้าพระองค์ได้เห็นการแก้แค้นของพระองค์เหนือเขาทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ได้ทูลเสนอคดีของข้าพระองค์แล้ว
อสค 32.10 เออ เมื่อเราแกว่งดาบของเราต่อหน้าเขาทั้งหลาย เราจะกระทำให้ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากแลตะลึงที่ท่าน และกษัตริย์ของเขาทั้งหลายจะสะทกสะท้านเพราะท่าน ในวันที่ท่านล้มลงนั้น เขาทั้งหลายจะตัวสั่นทุกขณะจิตทั่วกันเพราะห่วงชีวิตของตนเอง
ดนล 4.34 เมื่อสิ้นสุดวาระนั้นแล้ว ตัวเราเนบูคัดเนสซาร์ก็แหงนหน้าดูฟ้าสวรรค์และจิตปกติของเราคืนมา และเราก็สาธุการแด่ผู้สูงสุดนั้น และสรรเสริญถวายเกียรติยศแด่พระองค์ผู้ดำรงอยู่เป็นนิตย์ เพราะราชอาณาจักรของพระองค์เป็นราชอาณาจักรนิรันดร์ และอาณาจักรของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วอายุ
ดนล 4.36 ในเวลานั้นเอง จิตปกติของเราก็กลับคืนมา ความสูงส่งและราชสง่าราศีกลับมาสู่เราอีก เพื่อสง่าราศีแห่งราชอาณาจักรของเรา องคมนตรีและข้าราชบริพารของเรากลับมาหาเรา และเราก็รับการสถาปนาไว้ในราชอาณาจักรของเรา ความใหญ่ยิ่งกลับเพิ่มพูนแก่เราขึ้นอีก
กจ 24.3 ข้าพเจ้าทั้งหลายรับอยู่ทุกประการทุกแห่งด้วยจิตกตัญญูเป็นที่ยิ่ง
รม 13.5 เหตุฉะนั้นท่านจะต้องอยู่ในบังคับบัญชา มิใช่เพราะเกรงพระอาชญาสิ่งเดียว แต่เพราะจิตที่สำนึกผิดและชอบด้วย
2ทธ 1.7 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา
ฮบ 4.12 เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิต และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย
วว 18.14 และผลซึ่งจิตของเจ้ากระหายใคร่ได้นั้นก็ล่วงพ้นไปจากเจ้าแล้ว สิ่งสารพัดอันวิเศษยิ่งและหรูหราก็พินาศไปจากเจ้าแล้ว และเจ้าจะไม่ได้พบมันอีกเลย

จิตใจ ( 506 )
ปฐก 20.5; ปฐก 20.6; ปฐก 34.3; ปฐก 34.8; ปฐก 45.26; ปฐก 45.27; อพย 9.14; อพย 28.3; อพย 31.6; อพย 35.35; อพย 36.2; ลนต 26.11; ลนต 26.16; ลนต 26.30; ลนต 26.41; ลนต 26.43; กดว 11.6; กดว 14.24; กดว 32.7; กดว 32.9; พบญ 2.30; พบญ 5.29; พบญ 8.2; พบญ 8.14; พบญ 11.16; พบญ 15.9; พบญ 17.17; พบญ 17.20; พบญ 20.8; พบญ 28.28; พบญ 28.65; พบญ 28.67; พบญ 29.4; พบญ 29.18; พบญ 34.9; ยชว 2.11; ยชว 5.1; ยชว 7.5; ยชว 14.8; ยชว 24.23; วนฉ 5.9; วนฉ 5.16; วนฉ 9.3; วนฉ 16.15; วนฉ 16.16; วนฉ 16.25; วนฉ 19.6; วนฉ 19.22; 1ซมอ 1.8; 1ซมอ 2.1; 1ซมอ 4.13; 1ซมอ 6.6; 1ซมอ 10.9; 1ซมอ 14.7; 1ซมอ 16.7; 1ซมอ 17.32; 1ซมอ 18.1; 1ซมอ 20.4; 1ซมอ 25.36; 1ซมอ 25.37; 1ซมอ 30.6; 1ซมอ 30.12; 2ซมอ 5.8; 2ซมอ 13.2; 2ซมอ 13.28; 2ซมอ 17.10; 2ซมอ 19.14; 1พกษ 3.6; 1พกษ 3.12; 1พกษ 3.26; 1พกษ 4.20; 1พกษ 8.38; 1พกษ 8.39; 1พกษ 8.58; 1พกษ 8.61; 1พกษ 8.66; 1พกษ 11.2; 1พกษ 12.27; 1พกษ 14.8; 1พกษ 18.37; 2พกษ 5.26; 2พกษ 10.15; 2พกษ 19.7; 2พกษ 22.19; 1พศด 5.26; 1พศด 12.17; 1พศด 16.10; 1พศด 28.9; 1พศด 29.17; 1พศด 29.18; 1พศด 29.19; 2พศด 1.11; 2พศด 6.30; 2พศด 25.19; 2พศด 34.27; 2พศด 36.22; อสร 1.1; อสร 1.5; โยบ 6.4; โยบ 6.7; โยบ 7.11; โยบ 7.15; โยบ 10.1; โยบ 12.10; โยบ 14.22; โยบ 15.13; โยบ 19.2; โยบ 19.27; โยบ 20.3; โยบ 24.12; โยบ 27.6; โยบ 29.13; โยบ 30.15; โยบ 30.16; โยบ 30.25; โยบ 30.27; โยบ 31.7; โยบ 31.27; โยบ 32.18; โยบ 32.19; โยบ 33.3; โยบ 33.20; โยบ 38.36; สดด 4.7; สดด 5.9; สดด 6.3; สดด 7.9; สดด 11.1; สดด 13.5; สดด 16.7; สดด 16.9; สดด 17.3; สดด 19.8; สดด 19.14; สดด 22.14; สดด 22.26; สดด 27.3; สดด 27.8; สดด 27.14; สดด 28.7; สดด 33.15; สดด 33.21; สดด 34.2; สดด 34.18; สดด 35.3; สดด 35.12; สดด 37.31; สดด 39.3; สดด 40.8; สดด 40.10; สดด 40.12; สดด 42.5; สดด 42.6; สดด 42.11; สดด 43.5; สดด 44.18; สดด 44.21; สดด 45.1; สดด 45.5; สดด 49.3; สดด 49.11; สดด 51.6; สดด 51.17; สดด 55.4; สดด 57.4; สดด 57.6; สดด 57.7; สดด 57.8; สดด 61.2; สดด 62.1; สดด 62.5; สดด 63.5; สดด 64.6; สดด 64.10; สดด 69.20; สดด 73.21; สดด 73.26; สดด 77.2; สดด 77.3; สดด 77.6; สดด 78.8; สดด 78.37; สดด 81.12; สดด 86.4; สดด 88.3; สดด 88.15; สดด 94.19; สดด 95.8; สดด 102.4; สดด 103.1; สดด 103.2; สดด 103.22; สดด 104.1; สดด 104.35; สดด 105.3; สดด 106.15; สดด 106.33; สดด 107.5; สดด 107.12; สดด 107.18; สดด 108.1; สดด 109.22; สดด 109.31; สดด 112.7; สดด 112.8; สดด 116.7; สดด 116.8; สดด 119.20; สดด 119.25; สดด 119.28; สดด 119.32; สดด 119.70; สดด 119.80; สดด 119.81; สดด 119.112; สดด 119.129; สดด 119.161; สดด 119.167; สดด 119.175; สดด 120.2; สดด 120.6; สดด 123.4; สดด 124.4; สดด 124.5; สดด 124.7; สดด 125.4; สดด 130.5; สดด 130.6; สดด 131.1; สดด 131.2; สดด 138.3; สดด 139.14; สดด 139.23; สดด 140.2; สดด 141.4; สดด 141.8; สดด 142.3; สดด 142.4; สดด 142.7; สดด 143.3; สดด 143.4; สดด 143.6; สดด 143.11; สดด 143.12; สดด 146.1; สภษ 2.10; สภษ 3.22; สภษ 5.12; สภษ 6.18; สภษ 6.32; สภษ 8.36; สภษ 10.3; สภษ 11.17; สภษ 13.2; สภษ 14.10; สภษ 15.32; สภษ 16.1; สภษ 16.2; สภษ 16.18; สภษ 16.32; สภษ 17.22; สภษ 17.27; สภษ 18.7; สภษ 18.14; สภษ 19.2; สภษ 19.8; สภษ 21.2; สภษ 21.23; สภษ 22.5; สภษ 22.25; สภษ 25.28; สภษ 27.19; สภษ 28.26; สภษ 31.11; ปญจ 2.23; ปญจ 2.24; ปญจ 3.11; ปญจ 6.2; ปญจ 6.3; ปญจ 7.3; ปญจ 7.4; ปญจ 7.28; ปญจ 8.5; ปญจ 9.3; ปญจ 10.2; ปญจ 11.9; พซม 1.7; พซม 5.6; พซม 6.12; อสย 1.5; อสย 3.9; อสย 6.10; อสย 7.2; อสย 9.9; อสย 10.7; อสย 10.12; อสย 13.7; อสย 15.5; อสย 21.4; อสย 24.7; อสย 26.9; อสย 29.8; อสย 29.13; อสย 29.24; อสย 32.4; อสย 32.6; อสย 33.18; อสย 37.7; อสย 38.15; อสย 44.18; อสย 44.20; อสย 46.12; อสย 51.23; อสย 55.2; อสย 57.15; อสย 58.11; อสย 61.3; อสย 61.10; อสย 66.3; ยรม 4.14; ยรม 4.18; ยรม 4.19; ยรม 4.31; ยรม 5.9; ยรม 5.29; ยรม 6.8; ยรม 6.16; ยรม 7.24; ยรม 8.18; ยรม 9.9; ยรม 11.8; ยรม 12.7; ยรม 13.10; ยรม 13.17; ยรม 14.14; ยรม 15.1; ยรม 15.16; ยรม 16.12; ยรม 17.1; ยรม 17.9; ยรม 18.12; ยรม 23.17; ยรม 23.26; ยรม 24.7; ยรม 26.19; ยรม 31.14; ยรม 31.20; ยรม 31.25; ยรม 32.35; ยรม 44.7; ยรม 48.41; ยรม 49.22; ยรม 51.50; พคค 1.20; พคค 1.22; พคค 2.18; พคค 3.24; พคค 3.41; พคค 3.58; อสค 3.7; อสค 4.14; อสค 11.19; อสค 11.21; อสค 14.5; อสค 18.31; อสค 20.16; อสค 23.17; อสค 23.18; อสค 23.22; อสค 23.28; อสค 27.31; อสค 28.5; อสค 28.17; อสค 31.10; อสค 32.9; อสค 33.31; อสค 44.7; อสค 44.9; ดนล 2.3; ดนล 4.16; ดนล 7.15; ดนล 11.12; ดนล 11.27; ดนล 11.28; ฮชย 4.11; ฮชย 4.12; ฮชย 5.4; ฮชย 10.2; ฮชย 11.8; ฮชย 13.6; ยนา 2.5; ยนา 2.7; มคา 7.1; มคา 7.3; นฮม 2.10; ฮบก 2.4; ฮบก 2.10; ศคย 10.7; ศคย 11.8; มลค 4.6; มธ 12.18; มธ 13.15; มธ 18.4; มธ 26.41; มก 14.38; ลก 1.46; ลก 2.35; ลก 9.55; ลก 12.19; ลก 16.15; ลก 21.26; ยน 12.27; ยน 12.40; ยน 16.6; กจ 2.26; กจ 15.8; กจ 28.27; รม 1.9; รม 1.21; รม 2.9; รม 2.15; รม 2.29; รม 5.5; รม 7.23; รม 7.25; รม 10.1; รม 10.9; รม 12.2; รม 12.11; 1คร 7.34; 1คร 16.18; 2คร 1.23; 2คร 3.14; 2คร 4.6; 2คร 4.16; 2คร 5.12; 2คร 6.13; 2คร 7.13; 2คร 11.3; อฟ 1.17; อฟ 3.16; อฟ 4.23; อฟ 6.7; ฟป 1.15; ฟป 4.2; ฟป 4.5; ฟป 4.7; 1ธส 2.8; 1ธส 2.17; 1ธส 5.23; ทต 1.15; ฟม 1.7; ฮบ 3.8; ฮบ 3.15; ฮบ 4.7; ฮบ 8.10; ฮบ 10.16; ยก 5.5; 1ปต 1.22; 1ปต 3.4; 1ปต 3.8; 2ปต 2.8; 2ปต 2.14; วว 2.23

จิตวิญญาณ ( 167 )
ปฐก 2.7 พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่
ปฐก 27.4 และจัดอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบนั้น และนำมาให้พ่อกิน เพื่อจิตวิญญาณของพ่อจะได้อวยพรแก่เจ้าก่อนพ่อตาย”
ปฐก 27.19 ยาโคบตอบบิดาของตนว่า “ลูกเป็นเอซาวบุตรหัวปีของท่าน ลูกทำตามที่ท่านสั่งลูกแล้ว เชิญลุกขึ้นนั่งรับประทานเนื้อที่ลูกหามาเถิด เพื่อจิตวิญญาณของท่านจะได้อวยพรแก่ลูก”
ปฐก 27.25 ท่านจึงว่า “นำแกงมาให้พ่อ พ่อจะได้กินเนื้อที่บุตรชายของพ่อหามา เพื่อจิตวิญญาณของพ่อจะอวยพรเจ้า” ยาโคบจึงนำมันมาให้ท่าน ท่านก็รับประทาน ยาโคบนำน้ำองุ่นมาให้ท่านและท่านก็ดื่ม
ปฐก 27.31 และเขาเตรียมอาหารอร่อยนำมาให้บิดาด้วย และพูดกับบิดาว่า “ขอท่านลุกขึ้นรับประทานเนื้อที่ลูกชายหามา เพื่อจิตวิญญาณของท่านจะได้อวยพรลูก”
ปฐก 49.6 โอ จิตวิญญาณของเราเอ๋ย อย่าเข้าไปในที่ลึกลับของเขา ยศบรรดาศักดิ์ของเราเอ๋ย อย่าเข้าร่วมในที่ประชุมของเขาเลย เหตุว่าเขาฆ่าคนด้วยความโกรธ เขาทำลายกำแพงเมืองตามอำเภอใจเขา
ลนต 17.11 เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด เราได้ให้เลือดแก่เจ้าเพื่อใช้บนแท่น เพื่อกระทำการลบมลทินบาปแห่งจิตวิญญาณของเจ้า เพราะว่าเลือดเป็นที่ทำการลบมลทินบาปแห่งจิตวิญญาณ
กดว 16.22 เขาทั้งสองซบหน้าลงถึงดินกราบทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งสิ้น เมื่อคนเดียวกระทำผิด พระองค์จะทรงพระพิโรธแก่ชุมนุมชนทั้งหมดหรือ”
กดว 27.16 “ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ทั้งปวงทรงแต่งตั้งชายผู้หนึ่งไว้เหนือชุมนุมชนนี้
พบญ 4.9 แต่จงระวังตัว และรักษาจิตวิญญาณของตัวให้ดี เกรงว่าพวกท่านจะลืมสิ่งซึ่งนัยน์ตาได้เห็นนั้น และเกรงว่าสิ่งเหล่านั้นจะหันไปเสียจากใจของท่านตลอดวันคืนแห่งชีวิตของพวกท่าน จงสอนเรื่องเหล่านี้ให้แก่ลูกของพวกท่านและหลานของพวกท่านว่า
วนฉ 15.19 พระเจ้าจึงทรงเปิดช่องที่กระดูกขากรรไกรลาให้น้ำไหลออกมาจากที่นั้น ท่านก็ได้ดื่มและจิตวิญญาณก็สดชื่นฟื้นขึ้นอีก เพราะฉะนั้นที่แห่งนั้นท่านจึงเรียกชื่อว่า เอนหักโคร์ อยู่ที่เลฮีจนถึงทุกวันนี้
2ซมอ 11.11 อุรีอาห์ทูลตอบดาวิดว่า “หีบพันธสัญญาและอิสราเอลกับยูดาห์อยู่ในทับอาศัย โยอาบเจ้านายของข้าพระองค์กับบรรดาข้าราชการของพระองค์ตั้งค่ายอยู่ที่พื้นทุ่ง ส่วนข้าพระองค์จะไปบ้าน ไปกิน ไปดื่ม และนอนกับภรรยาของข้าพระองค์เช่นนั้นหรือ พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่และจิตวิญญาณของพระองค์มีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพระองค์จะไม่กระทำอย่างนี้เลย”
โยบ 10.12 พระองค์ทรงประสาทชีวิตและความเมตตาแก่ข้าพระองค์ และความดูแลรักษาของพระองค์ได้สงวนจิตวิญญาณข้าพระองค์ไว้
โยบ 32.8 แต่มีจิตวิญญาณในมนุษย์ การดลใจจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กระทำให้เขาเข้าใจ
โยบ 33.28 พระองค์จะทรงไถ่จิตวิญญาณของเขาให้พ้นจากการลงไปสู่ปากแดนคนตาย และชีวิตของเขาจะเห็นความสว่าง
โยบ 33.30 เพื่อจะนำจิตวิญญาณของเขามาจากปากแดนคนตาย เพื่อให้เขาแจ่มแจ้งขึ้นด้วยความสว่างแห่งผู้ทรงมีชีวิต
สดด 3.2 มีคนเป็นอันมากกำลังกล่าวถึงจิตวิญญาณข้าพระองค์ว่า “ในพระเจ้าไม่มีทางรอดสำหรับเขา” เซลาห์
สดด 7.2 เกรงว่าเขาจะฉีกจิตวิญญาณข้าพระองค์เสียอย่างสิงโต และฉีกจิตวิญญาณนั้นออกเป็นชิ้นๆ โดยไม่มีผู้ใดช่วยได้
สดด 7.5 ก็ขอให้ศัตรูข่มเหงจิตวิญญาณข้าพระองค์ทัน และให้เขาเหยียบย่ำชีวิตข้าพระองค์ลงถึงดิน และวางเกียรติยศของข้าพระองค์ไว้ในผงคลี เซลาห์
สดด 16.2 โอ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย เจ้าได้ทูลพระเยโฮวาห์แล้วว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ นอกเหนือพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่มีดีเลย”
สดด 16.9 เพราะฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดีและจิตวิญญาณของข้าพเจ้าก็ปรีดา เนื้อหนังของข้าพเจ้าจะพักพิงอยู่ในความหวังใจด้วย
สดด 16.10 เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในนรก ทั้งจะไม่ทรงให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เปื่อยเน่าไป
สดด 19.7 พระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์รอบคอบและฟื้นฟูจิตวิญญาณ พระโอวาทของพระเยโฮวาห์นั้นแน่นอนกระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา
สดด 22.20 ขอทรงช่วยจิตวิญญาณข้าพระองค์ให้พ้นจากดาบ ช่วยชีวิตข้าพระองค์จากฤทธิ์ของสุนัข
สดด 23.3 พระองค์ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
สดด 25.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ จิตวิญญาณข้าพระองค์ตั้งใจแน่วแน่ในพระองค์
สดด 25.13 จิตวิญญาณเขาเองจะอาศัยอยู่อย่างสงบ และเชื้อสายของเขาจะได้แผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์
สดด 26.9 ขออย่าทรงกวาดจิตวิญญาณข้าพระองค์ไปกับคนบาป หรือกวาดชีวิตของข้าพระองค์ไปกับคนกระหายเลือด
สดด 30.3 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงนำจิตวิญญาณของข้าพระองค์ขึ้นมาจากแดนผู้ตาย ทรงให้ข้าพระองค์มีชีวิต เพื่อข้าพระองค์ไม่ต้องลงไปสู่ปากแดนผู้ตาย
สดด 30.12 เพื่อจิตวิญญาณของข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์และไม่นิ่งเงียบ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายโมทนาแด่พระองค์เป็นนิตย์
สดด 31.5 ข้าพระองค์มอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งความจริง พระองค์ทรงไถ่ข้าพระองค์แล้ว
สดด 31.7 ข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์และยินดีในความเมตตาของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงทอดพระเนตรความทุกข์ใจของข้าพระองค์ พระองค์ทรงทราบเรื่องความทุกข์ยากแห่งจิตวิญญาณของข้าพระองค์
สดด 31.9 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์กำลังทุกข์ใจ นัยน์ตาของข้าพระองค์ก็ร่วงโรยไปเพราะความระทม ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายของข้าพระองค์ด้วย
สดด 33.19 เพื่อพระองค์จะทรงช่วยจิตวิญญาณของเขาให้พ้นจากมัจจุราช และให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้ในเวลากันดารอาหาร
สดด 33.20 จิตวิญญาณของเราทั้งหลายรอคอยพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์และเป็นโล่ของเรา
สดด 35.9 แล้วจิตวิญญาณของข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์ในพระเยโฮวาห์ ลิงโลดอยู่ในการช่วยให้รอดของพระองค์
สดด 35.17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะนิ่งทอดพระเนตรอีกนานเท่าใด ขอทรงช่วยจิตวิญญาณข้าพระองค์ให้พ้นจากการร้ายกาจของเขา ช่วยชีวิตข้าพระองค์จากหมู่สิงโต
สดด 41.4 ข้าพระองค์ทูลว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์ ขอทรงรักษาจิตวิญญาณข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์”
สดด 42.1 กวางกระเสือกกระสนหาลำธารที่มีน้ำไหลฉันใด โอ ข้าแต่พระเจ้า จิตวิญญาณของข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น
สดด 42.2 จิตวิญญาณของข้าพเจ้ากระหายหาพระเจ้า หาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เมื่อไรข้าพเจ้าจะได้มาปรากฏต่อพระพักตร์พระเจ้า
สดด 44.25 เพราะจิตวิญญาณข้าพระองค์ทั้งหลายโน้มถึงผงคลี ร่างกายของข้าพระองค์ทั้งหลายเกาะติดดิน
สดด 49.15 แต่พระเจ้าจะทรงไถ่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าจากฤทธานุภาพของแดนผู้ตาย เพราะพระองค์จะทรงรับข้าพเจ้าไว้ เซลาห์
สดด 55.18 พระองค์ได้ทรงช่วยจิตวิญญาณของข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากสงครามที่ข้าพเจ้าต่อสู้อยู่ เพราะคนเป็นอันมากอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า
สดด 56.13 เพราะพระองค์ทรงช่วยจิตวิญญาณของข้าพระองค์ให้พ้นจากมัจจุราช พระองค์จะทรงช่วยเท้าของข้าพระองค์ให้พ้นจากการล้มมิใช่หรือ เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าในความสว่างแห่งชีวิต
สดด 57.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ เพราะจิตวิญญาณของข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์จนกว่าภัยอันตรายเหล่านี้จะผ่านพ้นไป
สดด 63.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงหาพระองค์แต่เช้า จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ในดินแดนที่แห้งและกระหายน้ำ ที่ที่ไม่มีน้ำ
สดด 63.8 จิตวิญญาณของข้าพระองค์เกาะติดอยู่ที่พระองค์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ชูข้าพระองค์ไว้
สดด 66.9 ผู้ทรงให้จิตวิญญาณเราอยู่ท่ามกลางคนเป็น และมิได้ทรงยอมให้เท้าเราพลาด
สดด 66.16 บรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า ขอเชิญมาฟัง และข้าพเจ้าจะบอกถึงว่าพระองค์ได้ทรงกระทำอะไรแก่จิตวิญญาณข้าพเจ้าบ้าง
สดด 69.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด เพราะน้ำขึ้นมาถึงจิตวิญญาณข้าพระองค์แล้ว
สดด 69.18 ขอมาใกล้จิตวิญญาณข้าพระองค์ ทรงไถ่จิตวิญญาณนั้นไว้ เพราะศัตรูของข้าพระองค์ ขอทรงปลดเปลื้องข้าพระองค์
สดด 71.23 ริมฝีปากของข้าพระองค์จะโห่ร้องด้วยความชื่นบาน เมื่อข้าพระองค์ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ ทั้งจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้
สดด 77.6 ข้าพระองค์ระลึกถึงบทเพลงของข้าพระองค์ในกลางคืน ข้าพระองค์ตรึกตรองกับจิตใจของตนเอง และจิตวิญญาณของข้าพระองค์ก็เสาะหา
สดด 78.8 และเพื่อเขาจะมิได้เหมือนบรรพบุรุษของเขา คือชั่วอายุที่ดื้อดึงและมักกบฏ ชั่วอายุที่จิตใจไม่มั่นคง ผู้ซึ่งจิตวิญญาณของเขาไม่มั่นคงต่อพระเจ้า
สดด 78.50 พระองค์ทรงเปิดวิถีให้แก่ความกริ้วของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงเว้นจิตวิญญาณเขาไว้จากความตาย แต่ประทานชีวิตของเขาแก่โรคระบาด
สดด 86.13 เพราะความเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อข้าพระองค์นั้นใหญ่ยิ่งนัก และพระองค์ทรงช่วยจิตวิญญาณของข้าพระองค์ให้พ้นจากที่ลึกที่สุดของนรก
สดด 88.14 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ไฉนพระองค์ทรงเหวี่ยงจิตวิญญาณข้าพระองค์ออกไปเสีย ไฉนพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์เสียจากข้าพระองค์
สดด 89.48 มนุษย์คนใดมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องเห็นความตาย เขาจะช่วยจิตวิญญาณของตนให้พ้นจากมือของแดนผู้ตายได้หรือ เซลาห์
สดด 143.4 เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณของข้าพระองค์จึงอ่อนระอาอยู่ในข้าพระองค์ จิตใจภายในข้าพระองค์ก็อ้างว้าง
สดด 143.7 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงรีบฟังข้าพระองค์ จิตวิญญาณข้าพระองค์ฝ่อไปแล้ว ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์ไว้จากข้าพระองค์ เกรงว่าข้าพระองค์จะเหมือนคนเหล่านั้นที่ลงไปยังปากแดนผู้ตาย
สภษ 13.19 ความปรารถนาที่สัมฤทธิ์ผลเป็นสิ่งหอมหวานสำหรับจิตวิญญาณ แต่เป็นความสะอิดสะเอียนแก่คนโง่ที่จะละเสียจากความชั่วร้าย
สภษ 16.24 ถ้อยคำแช่มชื่นเหมือนรวงผึ้ง เป็นความหวานแก่จิตวิญญาณ และเป็นอนามัยแก่กระดูก
สภษ 20.27 จิตวิญญาณของมนุษย์เป็นประทีปของพระเยโฮวาห์ ส่องดูส่วนลึกที่สุดของเขาทั้งสิ้น
สภษ 25.13 หิมะให้ความเย็นในฤดูเกี่ยวอย่างไร ผู้สื่อสารที่สัตย์ซื่อย่อมทำให้จิตวิญญาณของนายผู้ใช้เขาชุ่มชื่นอย่างนั้น
ปญจ 3.21 ใครรู้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่เบื้องบนหรือเปล่า และวิญญาณของสัตว์เดียรัจฉานลงไปสู่พิภพโลกหรือเปล่า
ปญจ 8.8 หามีมนุษย์คนใดมีอำนาจเหนือจิตวิญญาณที่จะรั้งจิตวิญญาณได้ไม่ หรือหามีอำนาจอันใดเหนือวันตายไม่ การสงครามนั้นย่อมไม่มีการปลดปล่อย ความชั่วร้ายย่อมไม่มีการปลดปล่อยผู้ที่ถูกมอบให้ไว้
ปญจ 12.7 และผงคลีจะกลับไปเป็นดินอย่างเดิม และจิตวิญญาณจะกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงประทานให้มานั้น
อสย 10.18 พระองค์จะทรงผลาญสง่าราศีแห่งป่าของเขาและแห่งสวนผลไม้ของเขา ทั้งจิตวิญญาณและร่างกาย และจะเป็นเหมือนเวลาผู้ถือธงอ่อนเปลี้ยลงไป
อสย 26.8 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ทั้งหลายรอคอยพระองค์อยู่ ในวิถีแห่งคำตัดสินของพระองค์ พระนามอันเป็นที่ระลึกของพระองค์ เป็นที่จิตวิญญาณของข้าพระองค์ปรารถนา
อสย 26.9 จิตใจของข้าพระองค์อยากได้พระองค์ในกลางคืน จิตวิญญาณภายในข้าพระองค์แสวงหาพระองค์อย่างร้อนรน เพราะเมื่อคำตัดสินของพระองค์อยู่ในแผ่นดินโลก ชาวพิภพจะได้เรียนรู้ถึงความชอบธรรม
อสย 42.5 พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และทรงขึงมัน ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลกและสิ่งที่บังเกิดจากโลกออกไป ผู้ทรงประทานลมหายใจแก่ประชาชนที่บนโลก และจิตวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก ตรัสดังนี้ว่า
อสย 53.11 ท่านจะเห็นความทุกข์ลำบากแห่งจิตวิญญาณของท่าน และจะพอใจ โดยความรู้ของท่าน ผู้รับใช้อันชอบธรรมของเราจะกระทำให้คนเป็นอันมากนับได้ว่าเป็นคนชอบธรรม เพราะท่านจะแบกบรรดาความชั่วช้าของเขาทั้งหลาย
อสย 53.12 ฉะนี้เราจะแบ่งส่วนหนึ่งให้ท่านกับผู้ยิ่งใหญ่ และท่านจะแบ่งรางวัลกับคนแข็งแรง เพราะท่านเทจิตวิญญาณของท่านถึงความมรณะ และถูกนับเข้ากับบรรดาผู้ละเมิด ท่านก็แบกบาปของคนเป็นอันมาก และทำการอ้อนวอนเพื่อผู้ละเมิด
อสย 55.3 เอียงหูของเจ้า และมาหาเรา จงฟัง เพื่อจิตวิญญาณของเจ้าจะมีชีวิต และเราจะทำพันธสัญญานิรันดร์กับเจ้า คือความเมตตาอันแน่นอนของเราต่อดาวิด
อสย 57.16 เพราะเราจะไม่ต่อสู้แย้งอยู่เป็นนิตย์ หรือโกรธอยู่เสมอ เพราะจิตวิญญาณจะอ่อนลงต่อหน้าเรา คือบรรดาจิตวิญญาณที่เราได้สร้างแล้ว
พคค 2.11 นัยน์ตาของข้าพเจ้าก็ร่วงโรยเพราะร้องไห้ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าก็ระทม เพราะความพินาศของธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้า ตับของข้าพเจ้าเทออกบนพื้นดิน และเพราะเหล่าเด็กเล็กและเด็กที่ยังดูดนมนั้นเป็นลมสลบอยู่ตามถนนในกรุง
พคค 3.17 พระองค์กระทำให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้าขาดความสงบสุข จนข้าพเจ้าลืมความมั่งคั่งว่าเป็นอะไร
พคค 3.20 จิตวิญญาณของข้าพเจ้ายังนึกถึงเนืองๆ และต้องค้อมลงภายในตัวข้าพเจ้า
พคค 3.25 พระเยโฮวาห์ทรงดีต่อคนทั้งปวงที่คอยท่าพระองค์อยู่ และทรงดีต่อจิตวิญญาณที่แสวงหาพระองค์
อสค 11.19 และเราจะให้จิตใจเดียวแก่เขา และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเขา และจะให้ใจเนื้อแก่เขา
อสค 21.7 และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวแก่เจ้าว่า ‘ทำไมเจ้าถอนหายใจ’ เจ้าจงกล่าวว่า ‘เพราะเรื่องข่าวนั้น เมื่อข่าวนั้นมาถึงหัวใจทุกดวงจะละลายและมือทั้งสิ้นจะอ่อนเปลี้ยไป และบรรดาจิตวิญญาณจะแน่นิ่งไป และหัวเข่าทุกเข่าจะอ่อนเปลี้ยดั่งน้ำ ดูเถิด ข่าวนั้นมาถึงและจะสำเร็จ’ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อสค 24.21 จงกล่าวแก่วงศ์วานอิสราเอลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะลบหลู่สถานบริสุทธิ์ของเราอันเป็นความล้ำเลิศในอำนาจของเจ้า ความปรารถนาแห่งตาของเจ้า และสิ่งที่จิตวิญญาณของเจ้าห่วงใย บุตรชายหญิงของเจ้าซึ่งเจ้าทิ้งไว้เบื้องหลังจะล้มลงด้วยดาบ
อสค 36.26 เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และจะให้ใจเนื้อแก่เจ้า
ดนล 5.20 แต่เมื่อพระทัยของพระบิดาผยองขึ้น ฝ่ายจิตวิญญาณของพระองค์ก็แข็งกระด้างไป จึงทรงประกอบกิจด้วยความเห่อเหิม พระเจ้าทรงถอดพระองค์จากราชบัลลังก์ และทรงริบสง่าราศีของพระองค์ไปเสีย
ฮชย 9.4 เขาจะไม่ทำพิธีเทน้ำองุ่นถวายพระเยโฮวาห์ เขาจะไม่กระทำให้พระองค์พอพระทัย เครื่องสัตวบูชาของเขาจะเป็นเหมือนขนมปังสำหรับไว้ทุกข์แก่เขา ผู้ใดรับประทานก็จะมีมลทิน เพราะว่าขนมปังสำหรับจิตวิญญาณของเขาจะไม่เข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
ฮชย 9.7 วันลงโทษมาถึงแล้ว และวันที่จะทดแทนก็มาถึงแล้ว อิสราเอลจะรู้เรื่อง ผู้พยากรณ์เป็นคนเขลาไปแล้ว ผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณก็บ้าไปเนื่องด้วยความชั่วช้าใหญ่ยิ่งของเจ้า และความเกลียดชังยิ่งใหญ่ของเจ้า
ศคย 6.8 แล้วท่านจึงร้องบอกข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด ม้าเหล่านี้ที่ไปยังประเทศเหนือนั้นได้กระทำให้จิตวิญญาณของเราสงบนิ่งในประเทศเหนือนั้น”
ศคย 12.1 ภาระแห่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์เกี่ยวด้วยเรื่องอิสราเอล พระเยโฮวาห์ผู้ทรงขึงท้องฟ้าออก และวางรากพิภพ และปั้นจิตวิญญาณให้มีอยู่ในมนุษย์ ตรัสว่า
มลค 2.15 พระองค์ทรงทำให้เขาทั้งสองเป็นอันเดียวกันมิใช่หรือ แต่เขายังมีลมปราณแห่งชีวิตอยู่ และทำไมเป็นอันเดียวกัน เพราะพระองค์ทรงประสงค์เชื้อสายที่ตามทางของพระเจ้า ดังนั้นจงเอาใจใส่ต่อจิตวิญญาณของเจ้าให้ดี อย่าให้ผู้ใดทรยศต่อภรรยาคนที่ได้เมื่อหนุ่มนั้น
มลค 2.16 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า “เราเกลียดชังการหย่าร้าง เพราะคนหนึ่งปกปิดความทารุณด้วยเสื้อผ้าของตน พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ เพราะฉะนั้นจงเอาใจใส่ต่อจิตวิญญาณของเจ้าให้ดี อย่าเป็นคนทรยศ”
มธ 5.3 “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา
มธ 10.28 อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้
มธ 16.26 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของตนกลับคืนมา
มก 8.36 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร
มก 8.37 เพราะว่าผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของตนกลับคืนมา
ลก 1.80 ฝ่ายทารกนั้นก็ได้เจริญวัยขึ้น และจิตวิญญาณก็มีกำลังทวีขึ้น และไปอาศัยในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่ท่านจะได้มาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล
ลก 2.40 พระกุมารนั้นก็เจริญวัย และเข้มแข็งขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณ ประกอบด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน
ลก 8.55 แล้วจิตวิญญาณก็กลับเข้าในเด็กนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันที พระองค์จึงตรัสสั่งให้เอาอาหารมาให้เขากิน
ลก 23.46 พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสอย่างนั้นแล้ว จึงทรงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป
ยน 3.6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ
ยน 4.23 แต่เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์
ยน 4.24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
ยน 6.63 จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต
กจ 2.27 เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในนรก ทั้งจะไม่ทรงให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เปื่อยเน่าไป
กจ 2.31 ดาวิดก็ทรงล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงทรงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า จิตวิญญาณของพระองค์ไม่ต้องละไว้ในนรก ทั้งพระมังสะของพระองค์ก็ไม่เปื่อยเน่าไป
กจ 7.59 เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟนเมื่อกำลังอ้อนวอนพระเจ้าอยู่ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย”
รม 1.11 เพราะข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้แก่ท่านบ้าง เพื่อเสริมกำลังท่านทั้งหลาย
รม 2.29 คนที่เป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจตามจิตวิญญาณ มิใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นพระเจ้าสรรเสริญ มนุษย์ไม่สรรเสริญ
รม 7.6 แต่บัดนี้เราได้พ้นจากพระราชบัญญัติ คือได้ตายจากพระราชบัญญัติที่ได้ผูกมัดเราไว้ เพื่อเราจะได้ไม่ประพฤติตามตัวอักษรในประมวลพระราชบัญญัติเก่า แต่จะดำเนินชีวิตใหม่ตามลักษณะจิตวิญญาณ
รม 7.14 เพราะเรารู้ว่าพระราชบัญญัตินั้นเป็นโดยฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นแต่เนื้อหนังถูกขายไว้ให้อยู่ใต้บาป
รม 8.10 และถ้าพระคริสต์อยู่ในท่านทั้งหลายแล้ว ร่างกายก็ตายไปเพราะบาป แต่จิตวิญญาณก็มีชีวิตเพราะความชอบธรรม
รม 8.16 พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า
รม 15.27 พวกศิษย์เหล่านั้นพอใจที่จะทำเช่นนั้นจริงๆและพวกเขาก็เป็นหนี้วิสุทธิชนเหล่านั้นด้วย เพราะว่าถ้าเขาได้รับคนต่างชาติเข้าส่วนในการฝ่ายจิตวิญญาณ ก็เป็นการสมควรที่พวกต่างชาตินั้นจะได้ปรนนิบัติศิษย์เหล่านั้นด้วยสิ่งของฝ่ายเนื้อหนัง
1คร 2.11 อันความคิดของมนุษย์นั้นไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น
1คร 2.13 คือสิ่งเหล่านั้นที่เราได้กล่าวด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสั่งสอน ซึ่งเปรียบเทียบสิ่งที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณกับสิ่งซึ่งเป็นของจิตวิญญาณ
1คร 2.14 แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณ
1คร 2.15 แต่มนุษย์ฝ่ายจิตวิญญาณสังเกตสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่มีผู้ใดจะรู้จักใจคนนั้นได้
1คร 3.1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณแล้วได้ แต่ต้องพูดกับท่านเหมือนคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับท่านเป็นทารกในพระคริสต์
1คร 5.5 พวกท่านจงมอบคนนั้นไว้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อให้จิตวิญญาณของเขารอดในวันของพระเยซูเจ้า
1คร 6.17 แต่ส่วนคนที่ผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นอันเดียวกันกับพระองค์ฝ่ายจิตวิญญาณ
1คร 6.20 พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้วตามราคา เหตุฉะนั้นท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่าน และด้วยจิตวิญญาณของท่าน ซึ่งเป็นของพระเจ้า
1คร 9.11 ถ้าเราได้หว่านของสำหรับจิตวิญญาณให้แก่ท่าน แล้วจะมากไปหรือ ที่เราจะเกี่ยวของสำหรับเนื้อหนังจากท่าน
1คร 10.3 และได้รับประทานอาหารฝ่ายจิตวิญญาณอันเดียวกันทุกคน
1คร 10.4 และได้ดื่มน้ำฝ่ายจิตวิญญาณอันเดียวกันทุกคน เพราะว่าเขาได้ดื่มน้ำซึ่งไหลออกมาจากศิลาฝ่ายจิตวิญญาณที่ติดตามเขามา ศิลานั้นคือพระคริสต์
1คร 12.1 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านเข้าใจเรื่องของประทานฝ่ายจิตวิญญาณนั้น
1คร 14.1 จงมุ่งหาความรัก และจงปรารถนาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ เฉพาะอย่างยิ่งการพยากรณ์
1คร 14.2 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พูดภาษาต่างๆได้ ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจได้ แต่เขาพูดเป็นความลึกลับฝ่ายจิตวิญญาณ
1คร 14.12 เช่นเดียวกัน เมื่อท่านทั้งหลายกำลังร้อนใจแสวงหาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว ก็จงอุตส่าห์กระทำตัวของท่านให้สามารถที่จะทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น
1คร 14.14 เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานเป็นภาษาต่างๆ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอธิษฐานก็จริง แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่เข้าใจ
1คร 14.15 ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าควรจะทำประการใด ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณและจะอธิษฐานด้วยความเข้าใจด้วย และจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณและจะร้องเพลงด้วยความเข้าใจด้วย
1คร 14.16 มิฉะนั้นเมื่อท่านขอบพระคุณด้วยจิตวิญญาณแล้ว คนที่อยู่ในพวกที่รู้ไม่ถึงจะว่า “เอเมน” เมื่อท่านขอบพระคุณอย่างไรได้ ในเมื่อเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด
1คร 14.37 ถ้าผู้ใดถือว่าตนเป็นผู้พยากรณ์หรืออยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ก็ให้เขายอมรับว่า ข้อความซึ่งข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนั้นเป็นพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1คร 15.45 เหมือนมีเขียนไว้แล้วว่า ‘ทรงสร้างมนุษย์คนเดิมคืออาดัมเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่’ แต่อาดัมผู้ซึ่งมาภายหลังนั้นเป็นวิญญาณผู้ประสาทชีวิต
2คร 7.1 ท่านที่รัก เมื่อเรามีพระสัญญาเช่นนี้แล้ว ให้เราชำระตัวเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างของเนื้อหนังและจิตวิญญาณ และจงทำให้มีความบริสุทธิ์ครบถ้วนโดยความเกรงกลัวพระเจ้า
กท 6.18 พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงสถิตอยู่กับจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายด้วยเถิด เอเมน [เขียนถึงชาวกาลาเทียจากกรุงโรม]
อฟ 5.19 จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการและเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ คือร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีจากใจของท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
ฟป 3.3 เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัต คือเป็นผู้นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ และไม่ได้ไว้ใจในเนื้อหนัง
คส 1.9 เพราะเหตุนี้พวกเราเหมือนกัน นับตั้งแต่วันที่เราได้ยิน ก็ไม่ได้หยุดในการที่จะอธิษฐานขอเพื่อท่าน และปรารถนาให้ท่านเต็มไปด้วยความรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ในสรรพปัญญาและในความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณ
คส 3.16 จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญและเพลงฝ่ายจิตวิญญาณด้วย จงร้องเพลงด้วยพระคุณจากใจของท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
2ทธ 4.22 ขอพระเยซูคริสต์เจ้าทรงสถิตอยู่กับจิตวิญญาณของท่าน ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านเถิด เอเมน [จดหมายฉบับที่สองถึงทิโมธี ผู้ได้รับการเจิมให้เป็นศิษยาภิบาลคนแรกแห่งคริสตจักรชาวเอเฟซัส ได้เขียนจากกรุงโรม เมื่อเปาโลถูกพิพากษาต่อหน้าจักรพรรดินีโรเป็นครั้งที่สอง]
ฟม 1.25 ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงดำรงอยู่กับจิตวิญญาณของท่านเถิด เอเมน [เขียนจากกรุงโรมถึงฟีเลโมน และส่งโดยโอเนสิมัส ผู้เป็นทาสรับใช้]
ฮบ 6.19 ความหวังนั้นเรายึดไว้ต่างสมอของจิตวิญญาณ เป็นความหวังทั้งแน่และมั่นคง และได้ทอดไว้ภายในม่าน
ฮบ 10.39 แต่เราทั้งหลายไม่อยู่ฝ่ายคนเหล่านั้นที่กลับถอยหลังถึงความพินาศ แต่อยู่ฝ่ายคนเหล่านั้นที่เชื่อจนให้จิตวิญญาณถึงที่รอด
ฮบ 12.9 อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายได้มีบิดาตามเนื้อหนังที่ได้ตีสอนเรา และเราจึงได้นับถือบิดานั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะได้ยำเกรงนบนอบต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณและจำเริญชีวิตมิใช่หรือ
ฮบ 12.23 และมาถึงที่ชุมนุมอันใหญ่และมาถึงคริสตจักรของบุตรหัวปี ซึ่งมีชื่อจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว และมาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาคนทั้งปวง และมาถึงจิตวิญญาณของคนชอบธรรมซึ่งถึงความสมบูรณ์แล้ว
ฮบ 13.17 ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของคนเหล่านั้นที่ปกครองท่าน ด้วยว่าท่านเหล่านั้นคอยระวังดูจิตวิญญาณของท่าน เหมือนกับผู้ที่จะต้องรายงาน เพื่อเขาจะได้ทำการนี้ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ เพราะที่ทำดังนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลาย
ยก 1.21 เหตุฉะนั้น จงถอดทิ้งการโสโครกทุกอย่าง และการชั่วร้ายอันดาษดื่น และจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายให้รอดได้
ยก 2.26 เพราะกายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นตายแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ตายแล้วฉันนั้นเช่นเดียวกัน
1ปต 1.9 แล้วจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดเป็นผลสุดท้ายแห่งความเชื่อ
1ปต 2.5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายจิตวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
1ปต 2.11 พวกที่รัก ข้าพเจ้าวิงวอนท่านทั้งหลายเหมือนท่านเป็นคนต่างด้าวและเป็นผู้สัญจร ให้ท่านละเว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งทำศึกกับจิตวิญญาณ
1ปต 2.25 เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นเหมือนแกะที่พลัดฝูงไป แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยง และศิษยาภิบาลแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายแล้ว
1ปต 4.6 ด้วยเหตุนี้เอง ข่าวประเสริฐจึงได้ประกาศแม้แก่คนที่ตายไปแล้ว เพื่อเขาจะได้ถูกพิพากษาตามอย่างมนุษย์ในเนื้อหนัง แต่มีชีวิตอยู่ตามอย่างพระเจ้าฝ่ายจิตวิญญาณ
1ปต 4.19 เหตุฉะนั้น ให้คนทั้งหลายที่ทนความทุกข์ยากตามพระประสงค์ของพระเจ้า ฝากจิตวิญญาณของตนไว้กับพระองค์ด้วยการประพฤติดี เหมือนหนึ่งฝากไว้กับพระองค์ผู้ทรงสร้างอันสัตย์ซื่อ
3ยน 1.2 ท่านที่รัก ข้าพเจ้าปรารถนามากกว่าทุกสิ่งที่จะให้ท่านจำเริญขึ้นและมีสุขภาพดี เหมือนอย่างที่จิตวิญญาณของท่านจำเริญอยู่นั้น
วว 11.8 และศพของเขาจะอยู่ที่ถนนในเมืองใหญ่นั้น ซึ่งตามฝ่ายจิตวิญญาณเรียกว่า เมืองโสโดมและอียิปต์ อันเป็นเมืองซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราถูกตรึงด้วย

จิตสำนึก ( 5 )
2คร 5.11 เพราะเหตุที่เรารู้จักความน่าเกรงขามขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงชักชวนคนทั้งหลาย แต่เราเป็นที่ประจักษ์แก่พระเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่า เราได้ปรากฏประจักษ์แก่จิตสำนึกผิดและชอบของท่านด้วย
1ทธ 1.5 แต่จุดประสงค์แห่งพระบัญญัตินั้นก็คือ ความรักซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกอันดี และจากความเชื่ออันจริงใจ
1ทธ 1.19 จงยึดความเชื่อไว้และมีจิตสำนึกอันดี ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง
1ทธ 3.9 และเป็นคนยึดมั่นในข้อลึกลับแห่งความเชื่อด้วยจิตสำนึกผิดและชอบอันบริสุทธิ์
2ทธ 1.3 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ ด้วยจิตสำนึกอันบริสุทธิ์สืบมาตั้งแต่บรรพบุรุษของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้ระลึกถึงท่านในคำอธิษฐานของข้าพเจ้ามิได้หยุดหย่อนทั้งกลางวันกลางคืน

จิตสำนึกผิดชอบ ( 7 )
1คร 8.7 มิใช่ว่าทุกคนมีความรู้อย่างนี้ เพราะมีบางคนมีจิตสำนึกผิดชอบเรื่องรูปเคารพว่า เมื่อได้กินอาหารนั้นก็ถือว่าเป็นของบูชาแก่รูปเคารพจริงๆ และจิตสำนึกผิดชอบของเขายังอ่อนอยู่จึงเป็นมลทิน
1คร 8.10 เพราะว่า ถ้าผู้ใดเห็นท่านที่มีความรู้เอนกายลงรับประทานในวิหารของรูปเคารพ จิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนของคนนั้น จะไม่เหิมขึ้นทำให้เขาบังอาจกินของที่ได้บูชาแก่รูปเคารพนั้นหรือ
1คร 8.12 เมื่อท่านทำผิดเช่นนั้นต่อพวกพี่น้อง และทำร้ายจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนของเขา ท่านก็ได้ทำผิดต่อพระคริสต์
2คร 4.2 แต่ว่าเราได้สละทิ้งกิจการต่างๆที่ไม่ซื่อสัตย์ซึ่งปิดบังซ่อนเร้นไว้ คือไม่ได้ดำเนินอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมและไม่ได้พลิกแพลงพระวจนะของพระเจ้าด้วยวิธีการอันล่อลวง แต่เราได้มอบตัวของเราไว้กับจิตสำนึกผิดชอบของคนทั้งปวง โดยสำแดงความจริงในสายพระเนตรของพระเจ้า
1ทธ 4.2 การหน้าซื่อใจคดของคนที่พูดโกหก คือทำไปทั้งรู้ๆเหมือนอย่างกับเอาเหล็กแดงนาบลงไปบนจิตสำนึกผิดชอบของเขา
ทต 1.15 สำหรับคนบริสุทธิ์นั้น ทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนชั่วช้า และคนที่ไม่เชื่อนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย แต่จิตใจและจิตสำนึกผิดชอบของเขาก็ชั่วมลทินไป

จิ้ม ( 7 )
ลนต 14.16 และเอานิ้วมือขวาจิ้มน้ำมันซึ่งอยู่ในมือซ้าย ประพรมน้ำมันด้วยนิ้วของเขาเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
นรธ 2.14 โบอาสก็บอกนางว่า “พอถึงเวลารับประทานอาหารเชิญมานี่เถิด มารับประทานขนมปังบ้าง และเอาอาหารมาจิ้มน้ำส้มเถิด” นางจึงนั่งลงข้างๆพวกคนเกี่ยวข้าว โบอาสจึงส่งข้าวคั่วให้ และนางก็รับประทานจนอิ่ม และยังเหลือไว้บ้าง
มธ 26.23 พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้ที่เอาอาหารจิ้มในชามเดียวกันกับเรา ผู้นั้นแหละที่จะทรยศเรา
มก 7.33 พระองค์จึงทรงนำคนนั้นออกจากประชาชนไปอยู่ต่างหาก ทรงเอานิ้วพระหัตถ์ยอนเข้าที่หูของชายผู้นั้น และทรงบ้วนน้ำลายเอานิ้วพระหัตถ์จิ้มแตะลิ้นคนนั้น
มก 14.20 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า “เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนี้ คือเป็นคนจิ้มในจานเดียวกันกับเรา
ยน 13.26 พระเยซูตรัสตอบว่า “คนนั้นคือผู้ที่เราจะเอาอาหารนี้จิ้มแล้วยื่นให้” และเมื่อพระองค์ทรงเอาอาหารนั้นจิ้มแล้ว ก็ทรงยื่นให้แก่ยูดาสอิสคาริโอทบุตรชายซีโมน

จี้ ( 3 )
วนฉ 8.26 ตุ้มหูทองคำซึ่งท่านขอได้นั้นมีน้ำหนักหนึ่งพันเจ็ดร้อยเชเขลทองคำ นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับ จี้และฉลององค์สีม่วงซึ่งกษัตริย์พวกมีเดียนทรง ทั้งเครื่องผูกคออูฐด้วย
สภษ 1.9 เพราะทั้งสองนั้นจะเป็นมาลัยงามสวมศีรษะของเจ้า เป็นจี้ห้อยคอของเจ้า
อสย 3.19 จี้ กำไลมือ ผ้าแถบ

จีรัง ( 1 )
1พศด 29.15 เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นคนต่างด้าวต่างแดนต่อพระพักตร์พระองค์ และเป็นคนอาศัยอยู่ชั่วคราว ดังที่บรรพบุรุษของข้าพระองค์ได้เป็นอย่างนั้นมาแล้ว วันปีของข้าพระองค์บนแผ่นดินโลกเป็นเหมือนเงา และไม่มีอะไรจีรัง

จึง ( 4044 )
ปฐก 2.7; ปฐก 2.15; ปฐก 2.16; ปฐก 2.19; ปฐก 2.21; ปฐก 2.23; ปฐก 3.2; ปฐก 3.4; ปฐก 3.6; ปฐก 3.7; ปฐก 3.10; ปฐก 3.12; ปฐก 3.13; ปฐก 3.17; ปฐก 3.23; ปฐก 4.1; ปฐก 4.15; ปฐก 6.11; ปฐก 6.22; ปฐก 7.7; ปฐก 8.8; ปฐก 8.9; ปฐก 8.10; ปฐก 8.11; ปฐก 8.18; ปฐก 9.8; ปฐก 9.22; ปฐก 9.24; ปฐก 10.9; ปฐก 10.11; ปฐก 11.3; ปฐก 11.8; ปฐก 11.9; ปฐก 12.4; ปฐก 12.7; ปฐก 12.11; ปฐก 12.15; ปฐก 12.18; ปฐก 12.20; ปฐก 13.1; ปฐก 13.6; ปฐก 13.8; ปฐก 13.11; ปฐก 13.18; ปฐก 14.11; ปฐก 14.14; ปฐก 14.15; ปฐก 15.5; ปฐก 15.10; ปฐก 16.2; ปฐก 16.5; ปฐก 16.6; ปฐก 16.8; ปฐก 16.13; ปฐก 16.14; ปฐก 16.15; ปฐก 17.17; ปฐก 17.23; ปฐก 18.2; ปฐก 18.5; ปฐก 18.7; ปฐก 18.9; ปฐก 18.10; ปฐก 18.12; ปฐก 19.3; ปฐก 19.9; ปฐก 19.10; ปฐก 19.11; ปฐก 19.12; ปฐก 19.14; ปฐก 19.15; ปฐก 19.16; ปฐก 19.18; ปฐก 19.22; ปฐก 19.26; ปฐก 19.30; ปฐก 19.33; ปฐก 19.35; ปฐก 20.2; ปฐก 20.4; ปฐก 20.6; ปฐก 20.10; ปฐก 20.13; ปฐก 20.14; ปฐก 21.10; ปฐก 21.14; ปฐก 21.17; ปฐก 21.19; ปฐก 21.27; ปฐก 21.31; ปฐก 22.3; ปฐก 22.5; ปฐก 22.7; ปฐก 22.14; ปฐก 22.19; ปฐก 23.10; ปฐก 23.17; ปฐก 24.9; ปฐก 24.19; ปฐก 24.32; ปฐก 24.34; ปฐก 24.46; ปฐก 24.47; ปฐก 24.50; ปฐก 24.59; ปฐก 24.65; ปฐก 25.22; ปฐก 25.25; ปฐก 25.26; ปฐก 25.30; ปฐก 25.33; ปฐก 25.34; ปฐก 26.6; ปฐก 26.7; ปฐก 26.9; ปฐก 26.11; ปฐก 26.14; ปฐก 26.17; ปฐก 26.20; ปฐก 26.21; ปฐก 26.22; ปฐก 26.25; ปฐก 26.27; ปฐก 26.28; ปฐก 26.30; ปฐก 26.33; ปฐก 27.6; ปฐก 27.14; ปฐก 27.18; ปฐก 27.20; ปฐก 27.21; ปฐก 27.22; ปฐก 27.23; ปฐก 27.25; ปฐก 27.26; ปฐก 27.27; ปฐก 27.39; ปฐก 28.9; ปฐก 28.18; ปฐก 29.5; ปฐก 29.7; ปฐก 29.8; ปฐก 29.14; ปฐก 29.15; ปฐก 29.19; ปฐก 29.22; ปฐก 29.25; ปฐก 29.26; ปฐก 29.30; ปฐก 29.31; ปฐก 29.32; ปฐก 29.33; ปฐก 29.34; ปฐก 29.35; ปฐก 30.2; ปฐก 30.3; ปฐก 30.4; ปฐก 30.6; ปฐก 30.8; ปฐก 30.9; ปฐก 30.11; ปฐก 30.13; ปฐก 30.14; ปฐก 30.15; ปฐก 30.18; ปฐก 30.20; ปฐก 30.23; ปฐก 30.24; ปฐก 30.31; ปฐก 30.34; ปฐก 30.39; ปฐก 30.42; ปฐก 31.9; ปฐก 31.14; ปฐก 31.17; ปฐก 31.30; ปฐก 31.31; ปฐก 31.33; ปฐก 31.36; ปฐก 31.42; ปฐก 31.46; ปฐก 31.47; ปฐก 31.48; ปฐก 32.2; ปฐก 32.7; ปฐก 32.21; ปฐก 32.26; ปฐก 32.27; ปฐก 32.28; ปฐก 32.29; ปฐก 32.30; ปฐก 32.32; ปฐก 33.1; ปฐก 33.5; ปฐก 33.11; ปฐก 33.15; ปฐก 33.17; ปฐก 34.4; ปฐก 34.5; ปฐก 34.13; ปฐก 34.16; ปฐก 34.20; ปฐก 34.30; ปฐก 35.2; ปฐก 35.5; ปฐก 35.10; ปฐก 36.8; ปฐก 37.8; ปฐก 37.9; ปฐก 37.13; ปฐก 37.14; ปฐก 37.15; ปฐก 37.21; ปฐก 37.26; ปฐก 37.29; ปฐก 38.2; ปฐก 38.3; ปฐก 38.7; ปฐก 38.8; ปฐก 38.9; ปฐก 38.10; ปฐก 38.11; ปฐก 38.12; ปฐก 38.14; ปฐก 38.16; ปฐก 38.18; ปฐก 38.19; ปฐก 38.21; ปฐก 38.23; ปฐก 38.24; ปฐก 38.28; ปฐก 38.29; ปฐก 38.30; ปฐก 39.2; ปฐก 39.8; ปฐก 39.20; ปฐก 40.3; ปฐก 40.7; ปฐก 40.16; ปฐก 40.20; ปฐก 41.8; ปฐก 41.9; ปฐก 41.14; ปฐก 41.16; ปฐก 41.17; ปฐก 41.25; ปฐก 41.39; ปฐก 41.44; ปฐก 41.54; ปฐก 42.1; ปฐก 42.10; ปฐก 42.13; ปฐก 42.20; ปฐก 42.21; ปฐก 42.22; ปฐก 42.28; ปฐก 42.34; ปฐก 42.36; ปฐก 42.37; ปฐก 43.2; ปฐก 43.6; ปฐก 43.7; ปฐก 43.8; ปฐก 43.11; ปฐก 43.16; ปฐก 43.18; ปฐก 43.21; ปฐก 43.23; ปฐก 43.30; ปฐก 44.4; ปฐก 44.7; ปฐก 44.10; ปฐก 44.11; ปฐก 44.15; ปฐก 44.18; ปฐก 44.26; ปฐก 44.27; ปฐก 44.28; ปฐก 45.1; ปฐก 45.4; ปฐก 45.15; ปฐก 45.27; ปฐก 45.28; ปฐก 46.3; ปฐก 46.31; ปฐก 47.5; ปฐก 47.8; ปฐก 47.16; ปฐก 47.20; ปฐก 47.22; ปฐก 47.29; ปฐก 47.31; ปฐก 48.3; ปฐก 48.8; ปฐก 48.9; ปฐก 48.17; ปฐก 48.19; ปฐก 48.20; ปฐก 49.4; ปฐก 49.15; ปฐก 50.3; ปฐก 50.7; ปฐก 50.11; ปฐก 50.15; ปฐก 50.17; ปฐก 50.19; ปฐก 50.24; อพย 1.11; อพย 1.13; อพย 1.17; อพย 1.18; อพย 1.19; อพย 1.21; อพย 1.22; อพย 2.2; อพย 2.5; อพย 2.6; อพย 2.7; อพย 2.8; อพย 2.9; อพย 2.12; อพย 2.13; อพย 2.14; อพย 2.15; อพย 2.18; อพย 2.20; อพย 2.22; อพย 2.23; อพย 2.24; อพย 2.25; อพย 3.2; อพย 3.3; อพย 3.4; อพย 3.5; อพย 3.11; อพย 3.12; อพย 3.14; อพย 3.15; อพย 4.1; อพย 4.2; อพย 4.3; อพย 4.7; อพย 4.11; อพย 4.14; อพย 4.18; อพย 4.19; อพย 4.20; อพย 4.23; อพย 4.25; อพย 4.26; อพย 4.28; อพย 4.30; อพย 5.2; อพย 5.3; อพย 5.8; อพย 5.12; อพย 5.14; อพย 5.15; อพย 5.17; อพย 5.21; อพย 5.22; อพย 6.1; อพย 6.9; อพย 6.13; อพย 7.1; อพย 7.10; อพย 7.11; อพย 8.8; อพย 8.9; อพย 8.10; อพย 8.16; อพย 8.19; อพย 8.25; อพย 8.28; อพย 8.29; อพย 9.1; อพย 9.8; อพย 9.10; อพย 9.17; อพย 9.27; อพย 10.1; อพย 10.3; อพย 10.8; อพย 10.12; อพย 10.13; อพย 10.16; อพย 10.19; อพย 10.22; อพย 10.24; อพย 10.25; อพย 10.27; อพย 10.29; อพย 11.10; อพย 12.31; อพย 12.36; อพย 12.39; อพย 12.42; อพย 12.44; อพย 12.48; อพย 13.3; อพย 13.14; อพย 13.15; อพย 13.18; อพย 14.5; อพย 14.8; อพย 14.10; อพย 14.11; อพย 14.13; อพย 14.15; อพย 14.25; อพย 14.27; อพย 15.9; อพย 15.21; อพย 15.23; อพย 15.25; อพย 15.27; อพย 16.6; อพย 16.7; อพย 16.9; อพย 16.15; อพย 16.19; อพย 16.20; อพย 16.22; อพย 16.25; อพย 16.29; อพย 16.30; อพย 17.2; อพย 17.3; อพย 17.4; อพย 17.5; อพย 17.15; อพย 18.2; อพย 18.10; อพย 18.14; อพย 18.15; อพย 18.17; อพย 18.25; อพย 19.7; อพย 19.8; อพย 19.10; อพย 19.24; อพย 20.19; อพย 20.20; อพย 21.21; อพย 21.29; อพย 24.3; อพย 24.4; อพย 24.13; อพย 28.29; อพย 32.1; อพย 32.3; อพย 32.4; อพย 32.5; อพย 32.11; อพย 32.14; อพย 32.17; อพย 32.21; อพย 32.24; อพย 32.27; อพย 32.30; อพย 32.31; อพย 33.15; อพย 33.16; อพย 33.18; อพย 33.19; อพย 33.20; อพย 34.4; อพย 34.8; อพย 34.32; อพย 35.22; อพย 35.30; อพย 36.2; อพย 36.6; อพย 39.33; อพย 39.43; ลนต 1.9; ลนต 5.2; ลนต 8.14; ลนต 8.22; ลนต 8.25; ลนต 9.7; ลนต 9.8; ลนต 9.12; ลนต 9.14; ลนต 9.23; ลนต 10.3; ลนต 10.16; ลนต 10.17; ลนต 10.19; ลนต 11.7; ลนต 11.45; ลนต 13.52; ลนต 14.36; ลนต 14.57; ลนต 15.13; ลนต 15.28; ลนต 16.4; ลนต 16.26; ลนต 16.28; ลนต 17.12; ลนต 17.14; ลนต 17.15; ลนต 18.5; ลนต 18.25; ลนต 18.27; ลนต 20.23; ลนต 21.3; ลนต 21.6; ลนต 21.24; ลนต 22.7; ลนต 22.21; ลนต 22.25; ลนต 23.44; ลนต 24.11; ลนต 24.12; ลนต 25.8; ลนต 26.15; ลนต 26.18; ลนต 26.41; ลนต 26.42; ลนต 27.15; ลนต 27.21; กดว 1.19; กดว 3.4; กดว 3.16; กดว 3.42; กดว 3.49; กดว 4.15; กดว 5.14; กดว 5.26; กดว 5.31; กดว 7.6; กดว 8.4; กดว 8.22; กดว 9.4; กดว 9.6; กดว 9.7; กดว 11.2; กดว 11.3; กดว 11.11; กดว 11.12; กดว 11.20; กดว 11.34; กดว 12.14; กดว 12.15; กดว 13.3; กดว 13.21; กดว 14.16; กดว 14.20; กดว 15.34; กดว 15.36; กดว 16.3; กดว 16.5; กดว 16.18; กดว 16.26; กดว 16.38; กดว 16.39; กดว 16.43; กดว 16.47; กดว 17.6; กดว 18.24; กดว 19.7; กดว 19.20; กดว 20.5; กดว 20.12; กดว 20.21; กดว 21.3; กดว 21.7; กดว 21.9; กดว 21.14; กดว 21.17; กดว 21.27; กดว 21.35; กดว 22.4; กดว 22.8; กดว 22.23; กดว 22.27; กดว 22.28; กดว 22.31; กดว 22.32; กดว 22.36; กดว 23.6; กดว 23.12; กดว 23.17; กดว 23.19; กดว 23.25; กดว 23.27; กดว 23.30; กดว 24.3; กดว 24.10; กดว 25.11; กดว 27.4; กดว 27.22; กดว 30.14; กดว 31.5; กดว 31.16; กดว 31.24; กดว 32.2; กดว 32.13; กดว 32.20; กดว 32.22; กดว 32.28; กดว 33.5; กดว 35.33; กดว 36.3; กดว 36.4; พบญ 1.15; พบญ 1.23; พบญ 1.27; พบญ 1.29; พบญ 1.34; พบญ 1.43; พบญ 1.46; พบญ 2.13; พบญ 2.26; พบญ 3.1; พบญ 3.3; พบญ 3.20; พบญ 3.26; พบญ 3.29; พบญ 4.37; พบญ 5.5; พบญ 7.8; พบญ 9.4; พบญ 9.15; พบญ 9.17; พบญ 9.21; พบญ 9.25; พบญ 9.28; พบญ 10.3; พบญ 10.4; พบญ 10.6; พบญ 10.9; พบญ 11.17; พบญ 12.10; พบญ 14.7; พบญ 14.8; พบญ 15.9; พบญ 15.11; พบญ 15.15; พบญ 17.6; พบญ 17.7; พบญ 18.12; พบญ 18.21; พบญ 19.7; พบญ 19.10; พบญ 19.15; พบญ 21.13; พบญ 22.28; พบญ 24.3; พบญ 24.18; พบญ 24.22; พบญ 28.34; พบญ 28.48; พบญ 29.27; พบญ 29.28; พบญ 30.14; พบญ 31.17; พบญ 31.22; พบญ 32.21; พบญ 33.28; พบญ 34.5; พบญ 34.9; ยชว 1.15; ยชว 1.16; ยชว 2.3; ยชว 2.4; ยชว 2.14; ยชว 2.15; ยชว 2.16; ยชว 2.17; ยชว 2.21; ยชว 3.5; ยชว 4.5; ยชว 4.17; ยชว 4.21; ยชว 5.3; ยชว 5.9; ยชว 5.14; ยชว 5.15; ยชว 6.6; ยชว 6.10; ยชว 6.11; ยชว 6.20; ยชว 7.4; ยชว 7.7; ยชว 7.10; ยชว 7.12; ยชว 7.16; ยชว 7.17; ยชว 7.19; ยชว 7.21; ยชว 7.24; ยชว 7.25; ยชว 8.3; ยชว 8.15; ยชว 8.28; ยชว 8.29; ยชว 8.34; ยชว 9.2; ยชว 9.4; ยชว 9.22; ยชว 9.24; ยชว 9.26; ยชว 10.3; ยชว 10.6; ยชว 10.7; ยชว 10.18; ยชว 10.22; ยชว 10.23; ยชว 10.24; ยชว 11.1; ยชว 13.16; ยชว 14.14; ยชว 14.15; ยชว 15.17; ยชว 15.18; ยชว 15.63; ยชว 16.10; ยชว 17.4; ยชว 17.5; ยชว 17.14; ยชว 17.17; ยชว 18.3; ยชว 19.9; ยชว 19.47; ยชว 20.6; ยชว 20.7; ยชว 21.3; ยชว 22.6; ยชว 22.13; ยชว 22.26; ยชว 22.31; ยชว 24.10; ยชว 24.16; ยชว 24.23; ยชว 24.27; วนฉ 1.3; วนฉ 1.8; วนฉ 1.13; วนฉ 1.14; วนฉ 1.15; วนฉ 1.17; วนฉ 1.19; วนฉ 1.20; วนฉ 1.21; วนฉ 1.24; วนฉ 1.35; วนฉ 2.14; วนฉ 2.20; วนฉ 3.5; วนฉ 3.10; วนฉ 3.11; วนฉ 3.12; วนฉ 3.13; วนฉ 3.14; วนฉ 3.18; วนฉ 3.19; วนฉ 3.20; วนฉ 3.25; วนฉ 3.27; วนฉ 3.28; วนฉ 3.30; วนฉ 4.2; วนฉ 4.8; วนฉ 4.9; วนฉ 4.10; วนฉ 4.14; วนฉ 4.18; วนฉ 4.19; วนฉ 4.20; วนฉ 5.1; วนฉ 5.16; วนฉ 5.28; วนฉ 5.29; วนฉ 6.2; วนฉ 6.6; วนฉ 6.13; วนฉ 6.15; วนฉ 6.27; วนฉ 6.29; วนฉ 6.30; วนฉ 6.32; วนฉ 6.36; วนฉ 6.39; วนฉ 7.5; วนฉ 7.8; วนฉ 7.11; วนฉ 7.14; วนฉ 7.16; วนฉ 8.1; วนฉ 8.2; วนฉ 8.5; วนฉ 8.6; วนฉ 8.7; วนฉ 8.9; วนฉ 8.14; วนฉ 8.15; วนฉ 8.18; วนฉ 8.19; วนฉ 8.21; วนฉ 8.23; วนฉ 9.4; วนฉ 9.5; วนฉ 9.8; วนฉ 9.10; วนฉ 9.15; วนฉ 9.27; วนฉ 9.28; วนฉ 9.29; วนฉ 9.31; วนฉ 9.36; วนฉ 9.43; วนฉ 9.48; วนฉ 9.54; วนฉ 10.7; วนฉ 10.9; วนฉ 10.13; วนฉ 10.16; วนฉ 11.2; วนฉ 11.3; วนฉ 11.8; วนฉ 11.9; วนฉ 11.10; วนฉ 11.11; วนฉ 11.12; วนฉ 11.17; วนฉ 11.19; วนฉ 11.20; วนฉ 11.21; วนฉ 11.23; วนฉ 11.27; วนฉ 11.29; วนฉ 11.32; วนฉ 11.33; วนฉ 11.36; วนฉ 11.38; วนฉ 12.2; วนฉ 12.4; วนฉ 12.6; วนฉ 13.1; วนฉ 13.6; วนฉ 13.11; วนฉ 13.12; วนฉ 13.21; วนฉ 14.2; วนฉ 14.3; วนฉ 14.6; วนฉ 14.9; วนฉ 14.11; วนฉ 14.14; วนฉ 14.15; วนฉ 14.16; วนฉ 14.18; วนฉ 14.19; วนฉ 15.2; วนฉ 15.3; วนฉ 15.4; วนฉ 15.6; วนฉ 15.7; วนฉ 15.10; วนฉ 15.11; วนฉ 15.12; วนฉ 15.13; วนฉ 15.15; วนฉ 15.17; วนฉ 15.18; วนฉ 15.19; วนฉ 16.5; วนฉ 16.6; วนฉ 16.7; วนฉ 16.9; วนฉ 16.10; วนฉ 16.12; วนฉ 16.13; วนฉ 16.14; วนฉ 16.15; วนฉ 16.17; วนฉ 16.18; วนฉ 16.20; วนฉ 16.25; วนฉ 16.26; วนฉ 17.2; วนฉ 17.3; วนฉ 17.9; วนฉ 17.10; วนฉ 18.2; วนฉ 18.3; วนฉ 18.4; วนฉ 18.6; วนฉ 18.8; วนฉ 18.12; วนฉ 18.19; วนฉ 18.20; วนฉ 18.23; วนฉ 18.25; วนฉ 18.26; วนฉ 18.27; วนฉ 19.2; วนฉ 19.5; วนฉ 19.10; วนฉ 19.11; วนฉ 19.13; วนฉ 19.14; วนฉ 19.15; วนฉ 19.18; วนฉ 19.20; วนฉ 19.21; วนฉ 19.25; วนฉ 19.28; วนฉ 20.6; วนฉ 20.12; วนฉ 20.24; วนฉ 20.27; วนฉ 20.29; วนฉ 20.36; วนฉ 20.42; วนฉ 21.3; วนฉ 21.10; วนฉ 21.11; วนฉ 21.12; วนฉ 21.16; วนฉ 21.19; วนฉ 21.20; นรธ 1.7; นรธ 1.10; นรธ 1.15; นรธ 1.19; นรธ 1.22; นรธ 2.2; นรธ 2.5; นรธ 2.6; นรธ 2.8; นรธ 2.10; นรธ 2.13; นรธ 2.14; นรธ 2.19; นรธ 2.20; นรธ 2.23; นรธ 3.6; นรธ 3.9; นรธ 3.10; นรธ 3.14; นรธ 3.16; นรธ 3.18; นรธ 4.1; นรธ 4.2; นรธ 4.3; นรธ 4.4; นรธ 4.9; 1ซมอ 1.7; 1ซมอ 1.8; 1ซมอ 1.13; 1ซมอ 1.14; 1ซมอ 1.28; 1ซมอ 2.17; 1ซมอ 2.23; 1ซมอ 2.29; 1ซมอ 2.30; 1ซมอ 3.5; 1ซมอ 3.8; 1ซมอ 3.9; 1ซมอ 3.13; 1ซมอ 3.14; 1ซมอ 3.18; 1ซมอ 4.3; 1ซมอ 4.4; 1ซมอ 4.10; 1ซมอ 5.3; 1ซมอ 5.5; 1ซมอ 5.8; 1ซมอ 5.10; 1ซมอ 5.11; 1ซมอ 6.3; 1ซมอ 6.6; 1ซมอ 6.14; 1ซมอ 6.19; 1ซมอ 6.20; 1ซมอ 6.21; 1ซมอ 7.4; 1ซมอ 7.6; 1ซมอ 7.10; 1ซมอ 7.13; 1ซมอ 8.8; 1ซมอ 8.10; 1ซมอ 8.22; 1ซมอ 9.3; 1ซมอ 9.5; 1ซมอ 9.10; 1ซมอ 9.11; 1ซมอ 9.13; 1ซมอ 9.19; 1ซมอ 9.21; 1ซมอ 9.24; 1ซมอ 9.27; 1ซมอ 10.12; 1ซมอ 10.14; 1ซมอ 10.17; 1ซมอ 10.22; 1ซมอ 10.23; 1ซมอ 10.24; 1ซมอ 10.25; 1ซมอ 11.1; 1ซมอ 11.5; 1ซมอ 11.7; 1ซมอ 11.9; 1ซมอ 11.10; 1ซมอ 11.12; 1ซมอ 11.14; 1ซมอ 11.15; 1ซมอ 12.1; 1ซมอ 12.9; 1ซมอ 12.14; 1ซมอ 12.18; 1ซมอ 13.2; 1ซมอ 13.9; 1ซมอ 13.12; 1ซมอ 14.7; 1ซมอ 14.10; 1ซมอ 14.11; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.17; 1ซมอ 14.19; 1ซมอ 14.24; 1ซมอ 14.27; 1ซมอ 14.29; 1ซมอ 14.33; 1ซมอ 14.38; 1ซมอ 14.40; 1ซมอ 14.41; 1ซมอ 14.43; 1ซมอ 14.45; 1ซมอ 15.4; 1ซมอ 15.11; 1ซมอ 15.16; 1ซมอ 15.19; 1ซมอ 15.23; 1ซมอ 15.30; 1ซมอ 15.31; 1ซมอ 16.6; 1ซมอ 16.13; 1ซมอ 16.19; 1ซมอ 17.20; 1ซมอ 17.26; 1ซมอ 17.29; 1ซมอ 17.30; 1ซมอ 17.31; 1ซมอ 17.37; 1ซมอ 17.39; 1ซมอ 17.40; 1ซมอ 17.43; 1ซมอ 17.51; 1ซมอ 17.52; 1ซมอ 17.55; 1ซมอ 17.56; 1ซมอ 17.58; 1ซมอ 18.5; 1ซมอ 18.13; 1ซมอ 18.17; 1ซมอ 18.21; 1ซมอ 18.24; 1ซมอ 18.25; 1ซมอ 18.27; 1ซมอ 18.29; 1ซมอ 18.30; 1ซมอ 19.5; 1ซมอ 19.6; 1ซมอ 19.8; 1ซมอ 19.10; 1ซมอ 19.12; 1ซมอ 19.17; 1ซมอ 19.23; 1ซมอ 19.24; 1ซมอ 20.1; 1ซมอ 20.2; 1ซมอ 20.3; 1ซมอ 20.4; 1ซมอ 20.5; 1ซมอ 20.9; 1ซมอ 20.11; 1ซมอ 20.16; 1ซมอ 20.18; 1ซมอ 20.24; 1ซมอ 20.29; 1ซมอ 20.32; 1ซมอ 20.33; 1ซมอ 20.34; 1ซมอ 20.42; 1ซมอ 21.1; 1ซมอ 21.2; 1ซมอ 21.6; 1ซมอ 21.9; 1ซมอ 21.13; 1ซมอ 21.14; 1ซมอ 21.15; 1ซมอ 22.8; 1ซมอ 22.9; 1ซมอ 22.13; 1ซมอ 22.18; 1ซมอ 22.22; 1ซมอ 23.2; 1ซมอ 23.7; 1ซมอ 23.9; 1ซมอ 23.12; 1ซมอ 23.25; 1ซมอ 23.28; 1ซมอ 25.5; 1ซมอ 25.32; 1ซมอ 25.36; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 26.2; 1ซมอ 26.4; 1ซมอ 26.7; 1ซมอ 26.12; 1ซมอ 26.17; 1ซมอ 26.18; 1ซมอ 26.25; 1ซมอ 27.2; 1ซมอ 27.5; 1ซมอ 27.6; 1ซมอ 27.12; 1ซมอ 28.7; 1ซมอ 28.8; 1ซมอ 28.9; 1ซมอ 28.11; 1ซมอ 28.12; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 28.18; 1ซมอ 28.21; 1ซมอ 29.6; 1ซมอ 29.11; 1ซมอ 30.7; 1ซมอ 30.11; 1ซมอ 30.13; 1ซมอ 30.15; 1ซมอ 30.22; 1ซมอ 31.4; 2ซมอ 1.5; 2ซมอ 1.6; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 2.1; 2ซมอ 2.2; 2ซมอ 2.14; 2ซมอ 2.16; 2ซมอ 2.20; 2ซมอ 2.21; 2ซมอ 2.22; 2ซมอ 2.26; 2ซมอ 2.27; 2ซมอ 2.28; 2ซมอ 3.7; 2ซมอ 3.8; 2ซมอ 3.15; 2ซมอ 3.16; 2ซมอ 3.17; 2ซมอ 3.20; 2ซมอ 3.24; 2ซมอ 3.26; 2ซมอ 3.37; 2ซมอ 5.8; 2ซมอ 5.17; 2ซมอ 5.20; 2ซมอ 6.8; 2ซมอ 6.10; 2ซมอ 6.12; 2ซมอ 6.21; 2ซมอ 7.18; 2ซมอ 7.27; 2ซมอ 8.14; 2ซมอ 8.15; 2ซมอ 9.3; 2ซมอ 9.4; 2ซมอ 9.11; 2ซมอ 9.13; 2ซมอ 10.2; 2ซมอ 10.4; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.6; 2ซมอ 10.7; 2ซมอ 10.9; 2ซมอ 10.15; 2ซมอ 10.19; 2ซมอ 11.5; 2ซมอ 11.10; 2ซมอ 11.16; 2ซมอ 11.18; 2ซมอ 11.20; 2ซมอ 11.21; 2ซมอ 12.4; 2ซมอ 12.7; 2ซมอ 12.13; 2ซมอ 12.19; 2ซมอ 12.21; 2ซมอ 12.25; 2ซมอ 12.29; 2ซมอ 13.2; 2ซมอ 13.4; 2ซมอ 13.5; 2ซมอ 13.6; 2ซมอ 13.12; 2ซมอ 13.14; 2ซมอ 13.17; 2ซมอ 13.18; 2ซมอ 13.20; 2ซมอ 13.26; 2ซมอ 13.35; 2ซมอ 14.2; 2ซมอ 14.6; 2ซมอ 14.8; 2ซมอ 14.13; 2ซมอ 14.19; 2ซมอ 14.23; 2ซมอ 14.30; 2ซมอ 14.31; 2ซมอ 14.33; 2ซมอ 15.3; 2ซมอ 15.15; 2ซมอ 15.19; 2ซมอ 15.22; 2ซมอ 15.29; 2ซมอ 15.37; 2ซมอ 16.9; 2ซมอ 16.10; 2ซมอ 16.13; 2ซมอ 16.14; 2ซมอ 16.22; 2ซมอ 17.6; 2ซมอ 17.7; 2ซมอ 17.15; 2ซมอ 17.18; 2ซมอ 17.23; 2ซมอ 18.1; 2ซมอ 18.4; 2ซมอ 18.6; 2ซมอ 18.10; 2ซมอ 18.14; 2ซมอ 18.22; 2ซมอ 18.23; 2ซมอ 18.30; 2ซมอ 19.11; 2ซมอ 19.12; 2ซมอ 19.14; 2ซมอ 19.21; 2ซมอ 19.29; 2ซมอ 19.33; 2ซมอ 19.41; 2ซมอ 19.42; 2ซมอ 19.43; 2ซมอ 20.2; 2ซมอ 20.9; 2ซมอ 20.10; 2ซมอ 20.17; 2ซมอ 20.19; 2ซมอ 20.20; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 20.22; 2ซมอ 21.2; 2ซมอ 21.3; 2ซมอ 21.4; 2ซมอ 21.9; 2ซมอ 22.35; 2ซมอ 22.37; 2ซมอ 22.39; 2ซมอ 24.1; 2ซมอ 24.2; 2ซมอ 24.3; 2ซมอ 24.4; 2ซมอ 24.8; 2ซมอ 24.13; 2ซมอ 24.14; 2ซมอ 24.15; 2ซมอ 24.21; 2ซมอ 24.22; 2ซมอ 24.24; 1พกษ 1.2; 1พกษ 1.3; 1พกษ 1.13; 1พกษ 1.23; 1พกษ 1.32; 1พกษ 1.42; 1พกษ 1.45; 1พกษ 1.50; 1พกษ 2.8; 1พกษ 2.12; 1พกษ 2.15; 1พกษ 2.19; 1พกษ 2.22; 1พกษ 2.25; 1พกษ 2.27; 1พกษ 2.38; 1พกษ 2.43; 1พกษ 3.11; 1พกษ 3.24; 1พกษ 5.5; 1พกษ 5.10; 1พกษ 6.7; 1พกษ 7.47; 1พกษ 8.7; 1พกษ 8.8; 1พกษ 8.11; 1พกษ 8.46; 1พกษ 8.63; 1พกษ 8.65; 1พกษ 9.8; 1พกษ 9.11; 1พกษ 9.13; 1พกษ 9.17; 1พกษ 9.24; 1พกษ 9.25; 1พกษ 10.9; 1พกษ 10.23; 1พกษ 11.6; 1พกษ 11.8; 1พกษ 11.19; 1พกษ 11.21; 1พกษ 11.22; 1พกษ 11.28; 1พกษ 11.40; 1พกษ 12.5; 1พกษ 12.12; 1พกษ 12.15; 1พกษ 12.16; 1พกษ 12.24; 1พกษ 12.28; 1พกษ 13.10; 1พกษ 13.13; 1พกษ 13.14; 1พกษ 13.15; 1พกษ 13.18; 1พกษ 13.19; 1พกษ 13.27; 1พกษ 13.28; 1พกษ 13.31; 1พกษ 14.6; 1พกษ 15.28; 1พกษ 16.17; 1พกษ 16.22; 1พกษ 17.5; 1พกษ 17.10; 1พกษ 17.13; 1พกษ 17.18; 1พกษ 18.7; 1พกษ 18.9; 1พกษ 18.16; 1พกษ 18.18; 1พกษ 18.20; 1พกษ 19.1; 1พกษ 19.20; 1พกษ 20.9; 1พกษ 20.15; 1พกษ 20.18; 1พกษ 20.19; 1พกษ 20.23; 1พกษ 20.32; 1พกษ 20.34; 1พกษ 20.36; 1พกษ 20.38; 1พกษ 20.42; 1พกษ 21.5; 1พกษ 21.8; 1พกษ 21.13; 1พกษ 21.15; 1พกษ 22.9; 1พกษ 22.11; 1พกษ 22.18; 1พกษ 22.29; 1พกษ 22.32; 1พกษ 22.34; 2พกษ 1.2; 2พกษ 1.3; 2พกษ 1.5; 2พกษ 1.6; 2พกษ 2.4; 2พกษ 2.6; 2พกษ 2.8; 2พกษ 2.9; 2พกษ 2.15; 2พกษ 2.17; 2พกษ 2.22; 2พกษ 2.24; 2พกษ 3.6; 2พกษ 3.9; 2พกษ 3.10; 2พกษ 3.11; 2พกษ 3.12; 2พกษ 4.6; 2พกษ 4.12; 2พกษ 4.13; 2พกษ 4.15; 2พกษ 4.19; 2พกษ 4.21; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.28; 2พกษ 4.29; 2พกษ 4.30; 2พกษ 4.31; 2พกษ 4.33; 2พกษ 4.36; 2พกษ 4.37; 2พกษ 4.43; 2พกษ 4.44; 2พกษ 5.4; 2พกษ 5.7; 2พกษ 5.8; 2พกษ 5.9; 2พกษ 5.12; 2พกษ 5.14; 2พกษ 5.15; 2พกษ 5.17; 2พกษ 5.19; 2พกษ 5.21; 2พกษ 6.10; 2พกษ 6.11; 2พกษ 6.13; 2พกษ 6.14; 2พกษ 6.18; 2พกษ 6.20; 2พกษ 6.21; 2พกษ 6.23; 2พกษ 6.29; 2พกษ 7.5; 2พกษ 7.6; 2พกษ 7.7; 2พกษ 7.10; 2พกษ 7.12; 2พกษ 7.14; 2พกษ 7.15; 2พกษ 7.16; 2พกษ 7.17; 2พกษ 8.6; 2พกษ 8.9; 2พกษ 8.12; 2พกษ 8.22; 2พกษ 8.24; 2พกษ 9.4; 2พกษ 9.11; 2พกษ 9.15; 2พกษ 9.17; 2พกษ 9.18; 2พกษ 9.19; 2พกษ 9.22; 2พกษ 9.24; 2พกษ 9.33; 2พกษ 10.1; 2พกษ 10.15; 2พกษ 10.16; 2พกษ 10.21; 2พกษ 10.35; 2พกษ 11.2; 2พกษ 11.16; 2พกษ 11.20; 2พกษ 12.7; 2พกษ 12.8; 2พกษ 12.21; 2พกษ 13.5; 2พกษ 13.13; 2พกษ 13.15; 2พกษ 13.21; 2พกษ 14.10; 2พกษ 14.11; 2พกษ 15.5; 2พกษ 15.16; 2พกษ 15.20; 2พกษ 16.7; 2พกษ 16.11; 2พกษ 17.4; 2พกษ 17.23; 2พกษ 17.25; 2พกษ 17.26; 2พกษ 17.27; 2พกษ 17.28; 2พกษ 17.33; 2พกษ 17.41; 2พกษ 18.20; 2พกษ 19.9; 2พกษ 19.18; 2พกษ 19.32; 2พกษ 20.7; 2พกษ 22.17; 2พกษ 23.18; 2พกษ 24.6; 2พกษ 25.2; 2พกษ 25.6; 2พกษ 25.21; 2พกษ 25.29; 1พศด 2.35; 1พศด 5.1; 1พศด 5.26; 1พศด 9.23; 1พศด 10.4; 1พศด 10.13; 1พศด 10.14; 1พศด 11.6; 1พศด 11.7; 1พศด 11.19; 1พศด 13.5; 1พศด 13.11; 1พศด 13.13; 1พศด 14.11; 1พศด 15.13; 1พศด 15.14; 1พศด 15.17; 1พศด 15.25; 1พศด 16.37; 1พศด 17.25; 1พศด 18.14; 1พศด 19.2; 1พศด 19.4; 1พศด 19.5; 1พศด 19.6; 1พศด 19.8; 1พศด 19.10; 1พศด 19.16; 1พศด 19.19; 1พศด 21.2; 1พศด 21.3; 1พศด 21.4; 1พศด 21.7; 1พศด 21.11; 1พศด 21.19; 1พศด 21.25; 1พศด 22.5; 1พศด 23.11; 1พศด 23.26; 1พศด 24.2; 1พศด 24.4; 1พศด 29.2; 1พศด 29.10; 2พศด 1.13; 2พศด 2.11; 2พศด 3.7; 2พศด 4.11; 2พศด 4.18; 2พศด 4.19; 2พศด 5.8; 2พศด 5.9; 2พศด 6.36; 2พศด 7.21; 2พศด 7.22; 2พศด 9.8; 2พศด 9.22; 2พศด 10.5; 2พศด 10.12; 2พศด 10.15; 2พศด 10.16; 2พศด 10.19; 2พศด 11.12; 2พศด 12.5; 2พศด 12.7; 2พศด 12.9; 2พศด 12.13; 2พศด 13.13; 2พศด 13.17; 2พศด 14.1; 2พศด 14.7; 2พศด 14.12; 2พศด 16.7; 2พศด 17.5; 2พศด 17.6; 2พศด 18.8; 2พศด 18.10; 2พศด 18.17; 2พศด 18.28; 2พศด 18.31; 2พศด 18.33; 2พศด 19.10; 2พศด 20.6; 2พศด 20.22; 2พศด 20.26; 2พศด 20.30; 2พศด 21.10; 2พศด 21.17; 2พศด 22.1; 2พศด 22.4; 2พศด 23.14; 2พศด 23.15; 2พศด 24.6; 2พศด 24.8; 2พศด 24.13; 2พศด 24.20; 2พศด 24.21; 2พศด 24.22; 2พศด 25.10; 2พศด 25.15; 2พศด 25.16; 2พศด 25.19; 2พศด 25.21; 2พศด 26.1; 2พศด 26.16; 2พศด 27.6; 2พศด 28.5; 2พศด 28.14; 2พศด 28.20; 2พศด 28.23; 2พศด 29.8; 2พศด 29.22; 2พศด 30.5; 2พศด 30.6; 2พศด 30.7; 2พศด 30.10; 2พศด 30.15; 2พศด 30.17; 2พศด 30.22; 2พศด 30.23; 2พศด 30.26; 2พศด 31.10; 2พศด 31.11; 2พศด 32.10; 2พศด 32.21; 2พศด 32.22; 2พศด 32.23; 2พศด 32.25; 2พศด 32.26; 2พศด 33.9; 2พศด 33.20; 2พศด 34.22; 2พศด 35.14; 2พศด 35.16; 2พศด 35.24; 2พศด 36.17; 2พศด 36.22; อสร 1.1; อสร 2.61; อสร 2.62; อสร 3.7; อสร 3.13; อสร 4.14; อสร 4.15; อสร 4.24; อสร 6.20; อสร 8.16; อสร 8.23; อสร 8.30; อสร 10.5; อสร 10.10; อสร 10.19; นหม 2.2; นหม 2.4; นหม 2.6; นหม 2.11; นหม 4.6; นหม 4.13; นหม 4.21; นหม 5.9; นหม 6.6; นหม 6.15; นหม 7.63; นหม 7.64; นหม 8.8; นหม 8.11; นหม 8.12; นหม 8.16; นหม 9.11; นหม 9.22; นหม 9.24; นหม 9.25; นหม 9.28; นหม 9.30; นหม 9.38; นหม 11.30; นหม 13.7; นหม 13.11; นหม 13.28; อสธ 1.13; อสธ 1.16; อสธ 1.21; อสธ 2.2; อสธ 2.4; อสธ 2.9; อสธ 2.17; อสธ 3.3; อสธ 3.6; อสธ 3.10; อสธ 4.11; อสธ 4.13; อสธ 5.2; อสธ 5.5; อสธ 5.14; อสธ 6.5; อสธ 6.6; อสธ 6.7; อสธ 6.10; อสธ 6.11; อสธ 6.13; อสธ 7.1; อสธ 7.5; อสธ 8.2; อสธ 8.4; อสธ 8.7; อสธ 8.14; อสธ 9.5; อสธ 9.12; อสธ 9.23; อสธ 9.26; โยบ 1.3; โยบ 1.12; โยบ 2.7; โยบ 3.12; โยบ 3.23; โยบ 5.16; โยบ 6.20; โยบ 7.11; โยบ 7.12; โยบ 7.15; โยบ 7.17; โยบ 7.19; โยบ 7.20; โยบ 9.22; โยบ 15.12; โยบ 15.14; โยบ 16.3; โยบ 18.3; โยบ 19.8; โยบ 19.22; โยบ 20.2; โยบ 20.3; โยบ 21.4; โยบ 21.7; โยบ 21.14; โยบ 23.15; โยบ 27.12; โยบ 30.3; โยบ 31.34; โยบ 32.5; โยบ 32.10; โยบ 32.20; โยบ 33.13; โยบ 33.20; โยบ 33.26; โยบ 34.28; โยบ 34.33; โยบ 35.16; โยบ 37.8; โยบ 37.19; โยบ 37.24; โยบ 42.3; โยบ 42.6; สดด 2.1; สดด 10.13; สดด 16.9; สดด 18.24; สดด 18.36; สดด 18.38; สดด 18.42; สดด 18.49; สดด 22.5; สดด 28.7; สดด 34.5; สดด 37.3; สดด 38.3; สดด 38.5; สดด 39.3; สดด 42.5; สดด 42.6; สดด 42.9; สดด 42.11; สดด 43.2; สดด 43.5; สดด 44.22; สดด 45.5; สดด 49.5; สดด 51.7; สดด 52.1; สดด 55.2; สดด 55.19; สดด 58.5; สดด 63.2; สดด 63.7; สดด 65.8; สดด 67.6; สดด 69.20; สดด 73.6; สดด 73.10; สดด 73.17; สดด 74.11; สดด 77.9; สดด 78.33; สดด 78.53; สดด 78.72; สดด 80.12; สดด 81.12; สดด 88.8; สดด 91.14; สดด 94.8; สดด 95.10; สดด 95.11; สดด 102.4; สดด 103.5; สดด 104.12; สดด 105.43; สดด 106.10; สดด 106.20; สดด 106.33; สดด 106.39; สดด 106.41; สดด 107.12; สดด 114.5; สดด 114.6; สดด 116.10; สดด 118.7; สดด 119.129; สดด 143.4; สภษ 5.23; สภษ 6.2; สภษ 7.15; สภษ 7.20; สภษ 8.15; สภษ 13.10; สภษ 17.16; สภษ 20.4; สภษ 20.14; สภษ 22.27; สภษ 25.27; สภษ 29.1; ปญจ 2.3; ปญจ 2.9; ปญจ 2.12; ปญจ 2.15; ปญจ 2.17; ปญจ 2.20; ปญจ 3.22; ปญจ 8.6; ปญจ 8.11; ปญจ 8.15; ปญจ 8.17; ปญจ 10.18; พซม 1.3; พซม 5.9; พซม 7.8; พซม 8.10; อสย 2.9; อสย 5.4; อสย 5.13; อสย 5.15; อสย 5.25; อสย 9.11; อสย 9.14; อสย 15.4; อสย 16.9; อสย 16.11; อสย 21.3; อสย 22.4; อสย 22.16; อสย 24.6; อสย 24.22; อสย 28.13; อสย 30.7; อสย 30.18; อสย 36.5; อสย 37.9; อสย 37.19; อสย 37.33; อสย 37.36; อสย 38.17; อสย 40.26; อสย 40.27; อสย 42.25; อสย 43.4; อสย 43.28; อสย 44.18; อสย 45.4; อสย 47.7; อสย 47.10; อสย 50.1; อสย 50.2; อสย 50.7; อสย 54.9; อสย 55.2; อสย 57.8; อสย 57.10; อสย 57.11; อสย 59.2; อสย 59.9; อสย 59.19; อสย 60.11; อสย 63.2; อสย 63.5; อสย 63.10; อสย 63.14; อสย 65.7; อสย 65.13; อสย 65.20; อสย 66.2; ยรม 2.3; ยรม 2.5; ยรม 2.14; ยรม 2.31; ยรม 2.33; ยรม 3.3; ยรม 4.10; ยรม 5.4; ยรม 5.14; ยรม 5.19; ยรม 5.27; ยรม 5.28; ยรม 6.11; ยรม 6.21; ยรม 7.10; ยรม 7.20; ยรม 7.27; ยรม 8.5; ยรม 8.14; ยรม 8.21; ยรม 8.22; ยรม 9.12; ยรม 9.15; ยรม 11.4; ยรม 11.5; ยรม 11.8; ยรม 11.15; ยรม 12.1; ยรม 12.8; ยรม 13.2; ยรม 13.22; ยรม 13.27; ยรม 14.3; ยรม 14.4; ยรม 14.10; ยรม 14.15; ยรม 14.22; ยรม 15.6; ยรม 15.19; ยรม 16.10; ยรม 17.14; ยรม 18.3; ยรม 18.4; ยรม 18.13; ยรม 18.15; ยรม 20.18; ยรม 22.8; ยรม 22.18; ยรม 22.28; ยรม 23.14; ยรม 23.15; ยรม 23.32; ยรม 25.8; ยรม 25.17; ยรม 26.9; ยรม 26.11; ยรม 26.12; ยรม 26.21; ยรม 26.24; ยรม 27.22; ยรม 28.9; ยรม 30.6; ยรม 31.3; ยรม 31.12; ยรม 31.20; ยรม 32.3; ยรม 32.8; ยรม 33.21; ยรม 33.24; ยรม 33.26; ยรม 34.12; ยรม 34.17; ยรม 35.3; ยรม 35.11; ยรม 35.12; ยรม 36.4; ยรม 36.10; ยรม 36.14; ยรม 36.15; ยรม 36.16; ยรม 36.17; ยรม 36.29; ยรม 36.30; ยรม 36.32; ยรม 37.18; ยรม 37.21; ยรม 38.4; ยรม 38.6; ยรม 38.11; ยรม 38.15; ยรม 38.19; ยรม 38.27; ยรม 39.14; ยรม 40.3; ยรม 40.5; ยรม 41.6; ยรม 41.8; ยรม 41.14; ยรม 42.8; ยรม 44.6; ยรม 44.7; ยรม 44.8; ยรม 44.11; ยรม 44.17; ยรม 44.22; ยรม 44.23; ยรม 46.15; ยรม 46.26; ยรม 47.6; ยรม 48.11; ยรม 48.27; ยรม 49.1; ยรม 50.16; ยรม 51.7; ยรม 52.5; ยรม 52.33; พคค 1.8; พคค 1.9; พคค 1.16; พคค 3.18; พคค 3.21; พคค 3.22; พคค 4.1; พคค 4.16; พคค 5.17; พคค 5.18; อสค 3.2; อสค 3.12; อสค 3.15; อสค 3.23; อสค 3.25; อสค 4.14; อสค 4.15; อสค 5.11; อสค 6.14; อสค 7.13; อสค 7.22; อสค 8.5; อสค 8.10; อสค 9.6; อสค 9.7; อสค 11.7; อสค 11.25; อสค 12.15; อสค 13.14; อสค 15.6; อสค 16.21; อสค 16.27; อสค 16.34; อสค 16.50; อสค 16.52; อสค 17.6; อสค 17.18; อสค 18.19; อสค 19.14; อสค 20.9; อสค 20.10; อสค 20.13; อสค 20.21; อสค 20.29; อสค 20.44; อสค 20.49; อสค 21.11; อสค 21.24; อสค 22.4; อสค 22.26; อสค 22.31; อสค 23.9; อสค 23.10; อสค 23.43; อสค 24.18; อสค 25.13; อสค 27.25; อสค 31.5; อสค 31.11; อสค 33.3; อสค 33.6; อสค 33.22; อสค 34.5; อสค 34.18; อสค 34.22; อสค 35.6; อสค 35.11; อสค 36.7; อสค 36.18; อสค 36.19; อสค 39.23; อสค 40.5; อสค 40.11; อสค 42.6; อสค 43.8; อสค 43.26; อสค 44.2; อสค 44.9; อสค 44.12; อสค 44.19; อสค 46.21; อสค 46.24; อสค 47.2; ดนล 1.7; ดนล 1.8; ดนล 1.10; ดนล 1.11; ดนล 1.16; ดนล 1.18; ดนล 1.19; ดนล 2.2; ดนล 2.4; ดนล 2.9; ดนล 2.10; ดนล 2.12; ดนล 2.13; ดนล 2.15; ดนล 2.26; ดนล 2.35; ดนล 2.42; ดนล 3.19; ดนล 3.22; ดนล 3.29; ดนล 4.6; ดนล 5.2; ดนล 5.3; ดนล 5.13; ดนล 5.19; ดนล 5.20; ดนล 5.24; ดนล 6.4; ดนล 6.5; ดนล 6.9; ดนล 6.13; ดนล 6.16; ดนล 6.23; ดนล 6.28; ดนล 7.1; ดนล 8.17; ดนล 9.11; ดนล 9.16; ดนล 9.23; ดนล 10.7; ดนล 10.9; ดนล 10.13; ดนล 10.16; ดนล 10.20; ดนล 11.16; ดนล 11.30; ดนล 12.6; ดนล 12.8; ฮชย 1.3; ฮชย 3.2; ฮชย 3.3; ฮชย 4.3; ฮชย 4.13; ฮชย 5.4; ฮชย 5.5; ฮชย 6.5; ฮชย 8.5; ฮชย 8.6; ฮชย 8.7; ฮชย 8.14; ฮชย 9.9; ฮชย 10.2; ฮชย 10.4; ฮชย 10.11; ฮชย 10.14; ฮชย 12.3; ฮชย 13.3; ฮชย 13.6; ฮชย 13.7; ฮชย 13.11; ฮชย 14.2; อมส 3.2; อมส 3.11; อมส 5.9; อมส 5.11; อมส 5.14; อมส 7.2; อมส 7.5; อมส 7.14; อมส 7.17; ยนา 1.3; ยนา 1.4; ยนา 1.6; ยนา 1.8; ยนา 1.9; ยนา 1.10; ยนา 1.11; ยนา 1.12; ยนา 1.14; ยนา 1.15; ยนา 2.4; ยนา 3.3; ยนา 4.2; ยนา 4.6; ยนา 4.8; มคา 1.8; มคา 2.3; มคา 4.9; ฮบก 1.4; ฮบก 1.15; ฮบก 1.16; ฮบก 2.5; ฮบก 2.8; ศฟย 3.8; ศฟย 3.11; ฮกก 1.3; ฮกก 1.5; ฮกก 1.10; ฮกก 1.13; ฮกก 2.13; ฮกก 2.14; ศคย 1.9; ศคย 1.10; ศคย 1.14; ศคย 1.16; ศคย 1.18; ศคย 1.19; ศคย 1.20; ศคย 1.21; ศคย 2.2; ศคย 2.8; ศคย 3.4; ศคย 3.5; ศคย 3.6; ศคย 4.6; ศคย 4.11; ศคย 4.14; ศคย 5.2; ศคย 5.3; ศคย 5.6; ศคย 5.10; ศคย 6.4; ศคย 6.7; ศคย 6.8; ศคย 7.12; ศคย 7.14; ศคย 10.2; ศคย 11.7; ศคย 11.9; ศคย 11.11; ศคย 11.12; ศคย 11.13; ศคย 11.15; ศคย 12.10; ศคย 14.4; มลค 2.4; มลค 2.9; มลค 2.10; มลค 2.14; มลค 3.6; มลค 3.16; มธ 1.17; มธ 2.2; มธ 2.7; มธ 2.11; มธ 2.12; มธ 2.14; มธ 2.16; มธ 2.21; มธ 2.22; มธ 3.7; มธ 4.7; มธ 4.10; มธ 4.11; มธ 4.24; มธ 5.24; มธ 6.7; มธ 7.5; มธ 7.21; มธ 8.7; มธ 8.13; มธ 8.15; มธ 8.18; มธ 8.20; มธ 8.22; มธ 8.26; มธ 8.32; มธ 8.34; มธ 9.2; มธ 9.4; มธ 9.6; มธ 9.7; มธ 9.9; มธ 9.11; มธ 9.12; มธ 9.15; มธ 9.19; มธ 9.22; มธ 9.24; มธ 11.2; มธ 12.1; มธ 12.2; มธ 12.3; มธ 12.11; มธ 12.12; มธ 12.14; มธ 12.15; มธ 12.22; มธ 12.25; มธ 12.29; มธ 12.39; มธ 12.45; มธ 13.2; มธ 13.5; มธ 13.6; มธ 13.10; มธ 13.13; มธ 13.21; มธ 13.22; มธ 13.27; มธ 13.28; มธ 13.36; มธ 13.44; มธ 13.57; มธ 13.58; มธ 14.2; มธ 14.7; มธ 14.9; มธ 14.11; มธ 14.13; มธ 14.14; มธ 14.17; มธ 14.18; มธ 14.25; มธ 14.26; มธ 14.28; มธ 14.33; มธ 15.2; มธ 15.3; มธ 15.6; มธ 15.13; มธ 15.26; มธ 15.29; มธ 15.31; มธ 15.34; มธ 15.35; มธ 15.36; มธ 16.2; มธ 16.7; มธ 16.8; มธ 16.13; มธ 16.14; มธ 16.23; มธ 16.24; มธ 17.7; มธ 17.10; มธ 17.13; มธ 17.18; มธ 17.22; มธ 17.26; มธ 18.2; มธ 18.25; มธ 18.26; มธ 18.28; มธ 18.30; มธ 18.31; มธ 18.32; มธ 18.34; มธ 19.6; มธ 19.7; มธ 19.16; มธ 19.25; มธ 19.27; มธ 20.2; มธ 20.4; มธ 20.6; มธ 20.8; มธ 20.19; มธ 20.21; มธ 20.30; มธ 20.32; มธ 20.34; มธ 21.7; มธ 21.12; มธ 21.16; มธ 21.19; มธ 21.20; มธ 21.23; มธ 21.25; มธ 21.27; มธ 21.30; มธ 21.34; มธ 21.37; มธ 21.39; มธ 22.7; มธ 22.8; มธ 22.10; มธ 22.12; มธ 22.13; มธ 22.16; มธ 22.18; มธ 22.19; มธ 22.22; มธ 22.23; มธ 22.34; มธ 22.43; มธ 24.2; มธ 24.22; มธ 25.9; มธ 25.14; มธ 25.19; มธ 25.21; มธ 25.23; มธ 25.25; มธ 25.26; มธ 26.1; มธ 26.8; มธ 26.10; มธ 26.18; มธ 26.21; มธ 26.27; มธ 26.38; มธ 26.40; มธ 26.42; มธ 26.44; มธ 26.52; มธ 26.55; มธ 26.62; มธ 26.63; มธ 26.65; มธ 26.71; มธ 26.72; มธ 26.75; มธ 27.2; มธ 27.4; มธ 27.5; มธ 27.6; มธ 27.8; มธ 27.11; มธ 27.13; มธ 27.14; มธ 27.21; มธ 27.22; มธ 27.26; มธ 27.27; มธ 27.32; มธ 27.54; มธ 27.58; มธ 27.65; มธ 27.66; มธ 28.5; มธ 28.10; มธ 28.15; มธ 28.17; มธ 28.18; มก 1.12; มก 1.20; มก 1.21; มก 1.25; มก 1.27; มก 1.29; มก 1.30; มก 1.31; มก 1.34; มก 1.37; มก 1.41; มก 1.43; มก 2.2; มก 2.4; มก 2.5; มก 2.8; มก 2.10; มก 2.12; มก 2.14; มก 2.16; มก 2.17; มก 2.18; มก 2.19; มก 2.24; มก 2.25; มก 2.27; มก 3.4; มก 3.6; มก 3.7; มก 3.9; มก 3.12; มก 3.14; มก 3.19; มก 3.23; มก 3.27; มก 3.32; มก 4.1; มก 4.2; มก 4.5; มก 4.6; มก 4.7; มก 4.11; มก 4.17; มก 4.19; มก 4.20; มก 4.32; มก 4.34; มก 4.36; มก 4.38; มก 4.39; มก 4.40; มก 5.10; มก 5.13; มก 5.15; มก 5.17; มก 5.30; มก 5.33; มก 5.34; มก 5.36; มก 5.39; มก 5.40; มก 5.41; มก 5.43; มก 6.2; มก 6.3; มก 6.6; มก 6.14; มก 6.16; มก 6.19; มก 6.20; มก 6.22; มก 6.23; มก 6.24; มก 6.27; มก 6.32; มก 6.33; มก 6.34; มก 6.38; มก 6.39; มก 6.48; มก 6.51; มก 7.5; มก 7.12; มก 7.13; มก 7.18; มก 7.24; มก 7.31; มก 7.33; มก 8.1; มก 8.4; มก 8.6; มก 8.7; มก 8.16; มก 8.17; มก 8.21; มก 8.22; มก 8.23; มก 8.25; มก 8.26; มก 8.29; มก 8.31; มก 8.32; มก 8.33; มก 8.34; มก 9.11; มก 9.15; มก 9.16; มก 9.19; มก 9.20; มก 9.21; มก 9.23; มก 9.26; มก 9.30; มก 9.33; มก 9.36; มก 9.38; มก 9.39; มก 10.1; มก 10.5; มก 10.8; มก 10.11; มก 10.14; มก 10.17; มก 10.20; มก 10.23; มก 10.26; มก 10.28; มก 10.32; มก 10.36; มก 10.37; มก 10.38; มก 10.39; มก 10.42; มก 10.47; มก 10.49; มก 10.51; มก 11.4; มก 11.7; มก 11.11; มก 11.13; มก 11.14; มก 11.18; มก 11.21; มก 11.22; มก 11.28; มก 11.29; มก 11.31; มก 11.33; มก 12.1; มก 12.2; มก 12.6; มก 12.8; มก 12.12; มก 12.13; มก 12.15; มก 12.16; มก 12.17; มก 12.21; มก 12.24; มก 12.27; มก 12.28; มก 12.29; มก 12.34; มก 12.43; มก 13.2; มก 13.5; มก 13.20; มก 14.4; มก 14.5; มก 14.11; มก 14.13; มก 14.16; มก 14.17; มก 14.18; มก 14.20; มก 14.23; มก 14.27; มก 14.30; มก 14.34; มก 14.37; มก 14.39; มก 14.41; มก 14.48; มก 14.60; มก 14.61; มก 14.63; มก 14.64; มก 14.68; มก 14.72; มก 15.1; มก 15.2; มก 15.4; มก 15.5; มก 15.8; มก 15.12; มก 15.14; มก 15.15; มก 15.16; มก 15.28; มก 15.39; มก 15.43; มก 15.44; มก 15.45; มก 16.10; มก 16.13; มก 16.15; มก 16.20; ลก 1.3; ลก 1.18; ลก 1.19; ลก 1.22; ลก 1.30; ลก 1.35; ลก 1.38; ลก 1.39; ลก 1.42; ลก 1.43; ลก 1.46; ลก 1.56; ลก 1.60; ลก 1.62; ลก 1.63; ลก 1.78; ลก 2.7; ลก 2.17; ลก 2.20; ลก 2.21; ลก 2.22; ลก 2.28; ลก 2.39; ลก 2.44; ลก 2.45; ลก 2.46; ลก 2.48; ลก 2.49; ลก 3.3; ลก 3.7; ลก 3.10; ลก 3.11; ลก 3.13; ลก 3.16; ลก 3.18; ลก 4.3; ลก 4.5; ลก 4.9; ลก 4.12; ลก 4.13; ลก 4.17; ลก 4.21; ลก 4.23; ลก 4.25; ลก 4.29; ลก 4.35; ลก 4.37; ลก 4.38; ลก 5.3; ลก 5.4; ลก 5.7; ลก 5.14; ลก 5.19; ลก 5.20; ลก 5.22; ลก 5.24; ลก 5.25; ลก 5.27; ลก 6.2; ลก 6.5; ลก 6.8; ลก 6.10; ลก 6.35; ลก 6.42; ลก 6.46; ลก 7.1; ลก 7.3; ลก 7.6; ลก 7.7; ลก 7.9; ลก 7.14; ลก 7.15; ลก 7.19; ลก 7.24; ลก 7.37; ลก 7.41; ลก 7.42; ลก 7.43; ลก 7.44; ลก 7.48; ลก 7.50; ลก 8.4; ลก 8.8; ลก 8.9; ลก 8.10; ลก 8.14; ลก 8.15; ลก 8.24; ลก 8.25; ลก 8.31; ลก 8.33; ลก 8.35; ลก 8.37; ลก 8.45; ลก 8.48; ลก 8.50; ลก 8.52; ลก 8.55; ลก 9.3; ลก 9.6; ลก 9.7; ลก 9.9; ลก 9.10; ลก 9.11; ลก 9.14; ลก 9.18; ลก 9.20; ลก 9.21; ลก 9.23; ลก 9.28; ลก 9.33; ลก 9.43; ลก 9.47; ลก 9.60; ลก 10.21; ลก 10.28; ลก 10.29; ลก 10.37; ลก 10.38; ลก 10.40; ลก 11.2; ลก 11.8; ลก 11.14; ลก 11.17; ลก 11.24; ลก 11.26; ลก 11.37; ลก 11.48; ลก 12.15; ลก 12.16; ลก 12.17; ลก 12.18; ลก 13.2; ลก 13.7; ลก 13.12; ลก 13.14; ลก 13.18; ลก 13.32; ลก 14.3; ลก 14.5; ลก 14.7; ลก 14.15; ลก 14.21; ลก 14.22; ลก 14.23; ลก 14.25; ลก 15.3; ลก 15.6; ลก 15.9; ลก 15.12; ลก 15.14; ลก 15.17; ลก 15.20; ลก 15.21; ลก 15.26; ลก 15.27; ลก 15.28; ลก 15.31; ลก 16.2; ลก 16.5; ลก 16.6; ลก 16.7; ลก 16.14; ลก 16.23; ลก 16.24; ลก 16.27; ลก 16.30; ลก 16.31; ลก 17.6; ลก 17.11; ลก 17.14; ลก 17.15; ลก 17.37; ลก 18.18; ลก 18.21; ลก 18.22; ลก 18.24; ลก 18.26; ลก 18.28; ลก 18.29; ลก 18.36; ลก 18.37; ลก 18.38; ลก 18.39; ลก 19.1; ลก 19.4; ลก 19.12; ลก 19.13; ลก 19.14; ลก 19.15; ลก 19.17; ลก 19.19; ลก 19.22; ลก 19.37; ลก 20.5; ลก 20.7; ลก 20.8; ลก 20.10; ลก 20.11; ลก 20.12; ลก 20.13; ลก 20.16; ลก 20.19; ลก 20.20; ลก 20.21; ลก 20.23; ลก 20.26; ลก 20.27; ลก 20.39; ลก 20.41; ลก 20.45; ลก 21.5; ลก 21.8; ลก 22.6; ลก 22.8; ลก 22.13; ลก 22.20; ลก 22.23; ลก 22.25; ลก 22.33; ลก 22.35; ลก 22.36; ลก 22.46; ลก 22.49; ลก 22.52; ลก 22.56; ลก 22.58; ลก 22.64; ลก 22.70; ลก 22.71; ลก 23.1; ลก 23.3; ลก 23.4; ลก 23.6; ลก 23.7; ลก 23.9; ลก 23.13; ลก 23.14; ลก 23.20; ลก 23.22; ลก 23.24; ลก 23.25; ลก 23.28; ลก 23.34; ลก 23.39; ลก 23.42; ลก 23.46; ลก 23.47; ลก 23.52; ลก 23.53; ลก 24.1; ลก 24.5; ลก 24.8; ลก 24.18; ลก 24.19; ลก 24.23; ลก 24.27; ลก 24.29; ลก 24.32; ลก 24.35; ลก 24.38; ลก 24.41; ลก 24.50; ลก 24.51; ลก 24.52; ยน 1.21; ยน 1.22; ยน 1.25; ยน 1.29; ยน 1.31; ยน 1.37; ยน 1.38; ยน 1.42; ยน 1.43; ยน 1.47; ยน 1.50; ยน 2.5; ยน 2.9; ยน 2.10; ยน 2.18; ยน 2.19; ยน 2.20; ยน 3.26; ยน 3.29; ยน 4.3; ยน 4.5; ยน 4.6; ยน 4.9; ยน 4.27; ยน 4.28; ยน 4.30; ยน 4.33; ยน 4.40; ยน 4.46; ยน 4.47; ยน 4.48; ยน 4.50; ยน 4.52; ยน 4.53; ยน 5.10; ยน 5.11; ยน 5.16; ยน 5.19; ยน 6.5; ยน 6.10; ยน 6.13; ยน 6.21; ยน 6.24; ยน 6.28; ยน 6.30; ยน 6.32; ยน 6.34; ยน 6.41; ยน 6.42; ยน 6.43; ยน 6.53; ยน 6.61; ยน 6.65; ยน 7.3; ยน 7.11; ยน 7.16; ยน 7.25; ยน 7.28; ยน 7.30; ยน 7.32; ยน 7.33; ยน 7.35; ยน 7.40; ยน 7.43; ยน 7.45; ยน 8.9; ยน 8.13; ยน 8.19; ยน 8.21; ยน 8.22; ยน 8.24; ยน 8.25; ยน 8.28; ยน 8.31; ยน 8.33; ยน 8.39; ยน 8.41; ยน 8.43; ยน 8.46; ยน 8.47; ยน 8.48; ยน 8.52; ยน 8.59; ยน 9.2; ยน 9.7; ยน 9.8; ยน 9.10; ยน 9.11; ยน 9.12; ยน 9.13; ยน 9.15; ยน 9.17; ยน 9.19; ยน 9.21; ยน 9.23; ยน 9.24; ยน 9.26; ยน 9.27; ยน 9.28; ยน 9.34; ยน 9.35; ยน 9.38; ยน 9.40; ยน 9.41; ยน 10.3; ยน 10.7; ยน 10.12; ยน 10.17; ยน 10.19; ยน 10.31; ยน 10.32; ยน 10.39; ยน 11.3; ยน 11.11; ยน 11.14; ยน 11.15; ยน 11.16; ยน 11.21; ยน 11.31; ยน 11.32; ยน 11.36; ยน 11.38; ยน 11.39; ยน 11.41; ยน 11.43; ยน 11.51; ยน 11.53; ยน 11.54; ยน 11.56; ยน 12.3; ยน 12.5; ยน 12.7; ยน 12.9; ยน 12.10; ยน 12.14; ยน 12.16; ยน 12.19; ยน 12.21; ยน 12.22; ยน 12.27; ยน 12.34; ยน 12.35; ยน 12.39; ยน 13.11; ยน 13.22; ยน 13.24; ยน 13.27; ยน 13.28; ยน 13.29; ยน 13.31; ยน 13.37; ยน 14.22; ยน 15.8; ยน 15.19; ยน 16.6; ยน 16.15; ยน 16.17; ยน 16.18; ยน 16.19; ยน 18.3; ยน 18.4; ยน 18.7; ยน 18.10; ยน 18.11; ยน 18.12; ยน 18.16; ยน 18.17; ยน 18.19; ยน 18.24; ยน 18.25; ยน 18.28; ยน 18.29; ยน 18.31; ยน 18.33; ยน 18.37; ยน 18.40; ยน 19.1; ยน 19.4; ยน 19.5; ยน 19.10; ยน 19.11; ยน 19.13; ยน 19.16; ยน 19.20; ยน 19.21; ยน 19.24; ยน 19.28; ยน 19.29; ยน 19.31; ยน 19.32; ยน 19.33; ยน 19.38; ยน 19.42; ยน 20.2; ยน 20.3; ยน 20.4; ยน 20.15; ยน 20.16; ยน 20.18; ยน 20.21; ยน 20.22; ยน 20.25; ยน 20.29; ยน 21.3; ยน 21.5; ยน 21.6; ยน 21.7; ยน 21.11; ยน 21.19; ยน 21.21; ยน 21.23; กจ 1.4; กจ 1.6; กจ 1.11; กจ 1.12; กจ 1.13; กจ 1.15; กจ 1.19; กจ 1.23; กจ 1.24; กจ 1.26; กจ 2.1; กจ 2.4; กจ 2.6; กจ 2.7; กจ 2.12; กจ 2.26; กจ 2.31; กจ 2.37; กจ 2.38; กจ 2.40; กจ 2.45; กจ 3.8; กจ 3.10; กจ 3.15; กจ 3.16; กจ 3.18; กจ 3.26; กจ 4.3; กจ 4.7; กจ 4.10; กจ 4.15; กจ 4.18; กจ 4.23; กจ 4.24; กจ 4.25; กจ 4.33; กจ 4.35; กจ 5.3; กจ 5.7; กจ 5.8; กจ 5.9; กจ 5.10; กจ 5.18; กจ 5.21; กจ 5.22; กจ 5.26; กจ 5.27; กจ 5.32; กจ 5.35; กจ 5.38; กจ 5.40; กจ 5.41; กจ 6.2; กจ 6.5; กจ 6.6; กจ 6.8; กจ 6.11; กจ 7.1; กจ 7.2; กจ 7.4; กจ 7.8; กจ 7.9; กจ 7.10; กจ 7.11; กจ 7.12; กจ 7.14; กจ 7.16; กจ 7.20; กจ 7.21; กจ 7.22; กจ 7.24; กจ 7.26; กจ 7.27; กจ 7.29; กจ 7.32; กจ 7.33; กจ 7.40; กจ 7.43; กจ 7.45; กจ 7.59; กจ 8.5; กจ 8.8; กจ 8.13; กจ 8.14; กจ 8.17; กจ 8.18; กจ 8.20; กจ 8.24; กจ 8.30; กจ 8.31; กจ 8.34; กจ 8.35; กจ 8.36; กจ 8.37; กจ 8.38; กจ 8.39; กจ 9.1; กจ 9.4; กจ 9.5; กจ 9.6; กจ 9.8; กจ 9.10; กจ 9.11; กจ 9.18; กจ 9.27; กจ 9.30; กจ 9.31; กจ 9.34; กจ 9.35; กจ 9.37; กจ 9.38; กจ 9.39; กจ 9.40; กจ 9.41; กจ 10.4; กจ 10.8; กจ 10.14; กจ 10.15; กจ 10.21; กจ 10.22; กจ 10.23; กจ 10.26; กจ 10.27; กจ 10.28; กจ 10.29; กจ 10.30; กจ 10.33; กจ 10.34; กจ 10.46; กจ 10.48; กจ 11.2; กจ 11.12; กจ 11.13; กจ 11.22; กจ 11.23; กจ 11.26; กจ 11.29; กจ 11.30; กจ 12.4; กจ 12.5; กจ 12.7; กจ 12.8; กจ 12.9; กจ 12.10; กจ 12.11; กจ 12.15; กจ 12.17; กจ 12.19; กจ 12.20; กจ 12.22; กจ 12.25; กจ 13.4; กจ 13.7; กจ 13.11; กจ 13.12; กจ 13.15; กจ 13.16; กจ 13.21; กจ 13.25; กจ 13.27; กจ 13.29; กจ 13.34; กจ 13.38; กจ 13.43; กจ 13.49; กจ 13.51; กจ 14.6; กจ 14.9; กจ 14.10; กจ 14.11; กจ 14.12; กจ 14.14; กจ 14.15; กจ 14.17; กจ 14.20; กจ 14.21; กจ 14.25; กจ 14.28; กจ 15.4; กจ 15.6; กจ 15.7; กจ 15.10; กจ 15.13; กจ 15.25; กจ 15.27; กจ 15.30; กจ 15.32; กจ 15.36; กจ 15.39; กจ 15.41; กจ 16.3; กจ 16.5; กจ 16.10; กจ 16.12; กจ 16.13; กจ 16.15; กจ 16.19; กจ 16.20; กจ 16.23; กจ 16.24; กจ 16.27; กจ 16.29; กจ 16.30; กจ 16.31; กจ 16.32; กจ 16.33; กจ 16.35; กจ 16.36; กจ 16.38; กจ 16.39; กจ 16.40; กจ 17.1; กจ 17.2; กจ 17.6; กจ 17.9; กจ 17.10; กจ 17.14; กจ 17.17; กจ 17.19; กจ 17.22; กจ 17.23; กจ 17.33; กจ 18.1; กจ 18.2; กจ 18.3; กจ 18.6; กจ 18.7; กจ 18.11; กจ 18.16; กจ 18.17; กจ 18.18; กจ 18.23; กจ 18.26; กจ 19.2; กจ 19.3; กจ 19.4; กจ 19.5; กจ 19.6; กจ 19.9; กจ 19.15; กจ 19.16; กจ 19.22; กจ 19.25; กจ 19.29; กจ 19.32; กจ 19.33; กจ 19.41; กจ 20.1; กจ 20.3; กจ 20.6; กจ 20.10; กจ 20.12; กจ 20.17; กจ 20.18; กจ 20.22; กจ 20.36; กจ 20.37; กจ 21.2; กจ 21.4; กจ 21.7; กจ 21.12; กจ 21.13; กจ 21.18; กจ 21.19; กจ 21.20; กจ 21.24; กจ 21.26; กจ 21.27; กจ 21.28; กจ 21.29; กจ 21.32; กจ 21.33; กจ 21.34; กจ 21.35; กจ 21.37; กจ 21.40; กจ 22.2; กจ 22.3; กจ 22.7; กจ 22.8; กจ 22.10; กจ 22.13; กจ 22.14; กจ 22.19; กจ 22.24; กจ 22.25; กจ 22.26; กจ 22.27; กจ 22.28; กจ 22.30; กจ 23.1; กจ 23.2; กจ 23.3; กจ 23.4; กจ 23.5; กจ 23.6; กจ 23.10; กจ 23.14; กจ 23.16; กจ 23.17; กจ 23.18; กจ 23.19; กจ 23.20; กจ 23.22; กจ 23.23; กจ 23.25; กจ 23.28; กจ 23.30; กจ 23.31; กจ 23.33; กจ 23.34; กจ 23.35; กจ 24.1; กจ 24.2; กจ 24.6; กจ 24.9; กจ 24.10; กจ 24.22; กจ 24.25; กจ 24.26; กจ 24.27; กจ 25.1; กจ 25.4; กจ 25.5; กจ 25.6; กจ 25.8; กจ 25.9; กจ 25.12; กจ 25.16; กจ 25.17; กจ 25.20; กจ 25.21; กจ 25.22; กจ 25.23; กจ 25.24; กจ 25.26; กจ 26.1; กจ 26.7; กจ 26.8; กจ 26.15; กจ 26.19; กจ 26.21; กจ 26.22; กจ 26.24; กจ 26.26; กจ 26.28; กจ 26.29; กจ 26.30; กจ 26.31; กจ 26.32; กจ 27.1; กจ 27.2; กจ 27.4; กจ 27.6; กจ 27.7; กจ 27.8; กจ 27.9; กจ 27.12; กจ 27.13; กจ 27.15; กจ 27.16; กจ 27.17; กจ 27.21; กจ 27.29; กจ 27.31; กจ 27.32; กจ 27.33; กจ 27.35; กจ 27.36; กจ 27.38; กจ 27.39; กจ 27.40; กจ 27.43; กจ 28.1; กจ 28.4; กจ 28.6; กจ 28.8; กจ 28.10; กจ 28.11; กจ 28.13; กจ 28.14; กจ 28.15; กจ 28.17; กจ 28.19; กจ 28.20; กจ 28.21; กจ 28.23; กจ 28.25; กจ 28.30; รม 1.20; รม 1.22; รม 1.24; รม 1.26; รม 1.27; รม 1.28; รม 2.5; รม 3.7; รม 3.8; รม 3.20; รม 4.16; รม 4.20; รม 5.1; รม 5.2; รม 5.11; รม 6.4; รม 7.12; รม 7.17; รม 7.21; รม 8.1; รม 8.3; รม 8.25; รม 8.36; รม 9.8; รม 9.12; รม 9.16; รม 9.19; รม 9.32; รม 10.3; รม 10.19; รม 11.1; รม 11.11; รม 11.13; รม 12.1; รม 13.6; รม 13.10; รม 14.4; รม 14.9; รม 14.10; รม 15.30; รม 16.17; รม 16.19; 1คร 1.7; 1คร 1.10; 1คร 1.12; 1คร 1.15; 1คร 1.30; 1คร 2.12; 1คร 3.18; 1คร 4.7; 1คร 4.16; 1คร 4.17; 1คร 6.7; 1คร 7.5; 1คร 8.7; 1คร 10.6; 1คร 10.11; 1คร 11.10; 1คร 11.20; 1คร 11.24; 1คร 11.25; 1คร 11.28; 1คร 11.30; 1คร 12.3; 1คร 12.15; 1คร 12.16; 1คร 14.22; 1คร 15.29; 1คร 15.30; 1คร 15.46; 1คร 16.12; 2คร 1.7; 2คร 1.20; 2คร 2.13; 2คร 3.6; 2คร 3.12; 2คร 3.18; 2คร 4.1; 2คร 4.12; 2คร 4.13; 2คร 4.16; 2คร 5.4; 2คร 5.11; 2คร 5.14; 2คร 5.20; 2คร 6.17; 2คร 7.9; 2คร 7.13; 2คร 9.2; 2คร 9.5; 2คร 9.13; 2คร 11.10; 2คร 11.15; 2คร 11.33; 2คร 12.9; 2คร 12.10; 2คร 13.1; 2คร 13.2; 2คร 13.10; กท 2.14; กท 2.17; กท 3.8; กท 3.9; กท 3.24; กท 3.25; กท 4.6; กท 4.7; กท 4.9; กท 4.16; กท 5.1; กท 5.11; กท 5.17; กท 6.2; กท 6.4; อฟ 1.16; อฟ 2.3; อฟ 2.15; อฟ 2.19; อฟ 3.12; อฟ 3.13; อฟ 3.14; อฟ 4.11; อฟ 4.16; อฟ 4.17; อฟ 5.6; อฟ 5.10; อฟ 5.28; ฟป 2.9; ฟป 2.28; ฟป 3.8; คส 1.14; คส 1.29; คส 2.7; คส 2.19; คส 2.20; 1ธส 1.7; 1ธส 2.4; 1ธส 2.13; 1ธส 2.17; 1ธส 3.1; 1ธส 3.5; 1ธส 3.9; 1ธส 4.1; 2ธส 1.4; 2ธส 1.5; 2ธส 1.11; 2ธส 2.11; 2ธส 3.12; 2ธส 3.17; 1ทธ 1.12; 1ทธ 1.16; 1ทธ 1.19; 1ทธ 2.7; 1ทธ 2.13; 1ทธ 2.14; 1ทธ 3.2; 1ทธ 3.10; 1ทธ 4.10; 1ทธ 6.10; 1ทธ 6.21; 2ทธ 1.6; 2ทธ 1.12; 2ทธ 2.9; 2ทธ 2.10; 2ทธ 4.17; ทต 1.5; ทต 2.5; ฟม 1.12; ฟม 1.21; ฮบ 2.11; ฮบ 2.17; ฮบ 2.18; ฮบ 3.10; ฮบ 3.11; ฮบ 3.19; ฮบ 4.7; ฮบ 4.9; ฮบ 5.3; ฮบ 6.12; ฮบ 6.17; ฮบ 6.18; ฮบ 7.19; ฮบ 7.24; ฮบ 7.25; ฮบ 7.27; ฮบ 8.3; ฮบ 8.9; ฮบ 9.15; ฮบ 9.17; ฮบ 9.19; ฮบ 9.23; ฮบ 10.9; ฮบ 11.3; ฮบ 11.4; ฮบ 11.5; ฮบ 11.7; ฮบ 11.11; ฮบ 11.16; ฮบ 11.31; ฮบ 11.33; ฮบ 12.9; ยก 2.21; ยก 3.17; ยก 4.6; ยก 4.12; ยก 4.17; ยก 5.18; 1ปต 1.9; 1ปต 1.21; 1ปต 2.24; 1ปต 4.6; 1ปต 5.1; 2ปต 1.4; 2ปต 3.5; 2ปต 3.6; 2ปต 3.13; 2ปต 3.16; 1ยน 2.5; 1ยน 2.18; 1ยน 3.10; 1ยน 3.12; 1ยน 3.16; 1ยน 3.19; 1ยน 3.24; 1ยน 4.5; 1ยน 4.6; 1ยน 4.13; 1ยน 4.16; 1ยน 4.17; 1ยน 5.2; ยด 1.12; วว 1.9; วว 1.12; วว 5.5; วว 6.10; วว 7.14; วว 7.15; วว 8.12; วว 10.4; วว 10.9; วว 11.1; วว 12.17; วว 16.2; วว 16.21; วว 17.7; วว 21.27

จืด ( 6 )
อพย 15.25 โมเสสก็ร้องทูลพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์จึงทรงชี้ให้ท่านเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อโยนต้นไม้นั้นลงในน้ำ น้ำก็จืด ณ ที่นั้นพระองค์ทรงประทานกฎเกณฑ์ และกฎไว้ และทรงลองใจเขาที่นั่น
กดว 13.20 ดูว่าแผ่นดินอุดมหรือจืด มีป่าไม้หรือเปล่า ท่านทั้งหลายจงมีใจกล้าหาญ และนำผลไม้ที่เมืองนั้นกลับมาบ้างด้วย” เวลานั้นเป็นฤดูผลองุ่นสุกรุ่นแรก
โยบ 6.6 จะรับประทานสิ่งที่จืดโดยไม่ใส่เกลือได้หรือ หรือไข่ขาวมีรสอะไรบ้าง
อสค 47.8 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “น้ำนี้ไหลตรงไปทางท้องถิ่นตะวันออก และไหลลงไปถึงทะเลทราย แล้วลงไปถึงทะเล และเมื่อน้ำไหลออกมานั้นไปถึงน้ำทะเล น้ำนั้นก็กลับจืดดี
อสค 47.9 ต่อมาแม่น้ำนั้นไปถึงที่ไหน ทุกสิ่งที่มีชีวิตซึ่งแหวกว่ายไปมาก็จะมีชีวิตได้ และที่นั่นมีปลามากมายเพราะว่าน้ำนี้ไปถึงที่นั่นน้ำทะเลก็จืด เพราะฉะนั้นแม่น้ำไปถึงไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิต
อสค 47.11 แต่ที่เป็นบึงและหนองน้ำจะไม่จืด ต้องทิ้งไว้ให้เป็นเกลือ

จุ ( 9 )
1พกษ 7.38 ท่านทำขันทองสัมฤทธิ์สิบลูก ขันลูกหนึ่งจุสี่สิบบัท ขนาดขันลูกหนึ่งสี่ศอก มีขันแท่นละลูกทั้งสิบแท่น
1พกษ 18.32 และท่านได้สร้างแท่นบูชาด้วยศิลานั้นในพระนามของพระเยโฮวาห์ และท่านได้ขุดร่องรอบแท่นใหญ่พอจุเมล็ดพืชได้สองถัง
2พกษ 8.9 ฮาซาเอลจึงไปพบท่านนำของกำนัลไปด้วย คือสินค้าอย่างดีทุกอย่างของเมืองดามัสกัสจุอูฐต่างสี่สิบตัว เมื่อเขามายืนอยู่ต่อหน้าท่าน เขากล่าวว่า “บุตรของท่านคือเบนฮาดัด กษัตริย์แห่งซีเรีย ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะหายป่วยหรือ’”
2พศด 7.7 และซาโลมอนทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลานซึ่งอยู่ข้างหน้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ให้เป็นส่วนบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงถวายเครื่องเผาบูชาและไขมันของเครื่องสันติบูชาที่นั่น เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งซาโลมอนทรงสร้างไว้นั้น ไม่พอจุเครื่องเผาบูชา เครื่องธัญญบูชาและไขมัน
อสค 23.32 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะต้องดื่มจากถ้วยของพี่สาวเจ้า ซึ่งลึกและใหญ่ เจ้าจะเป็นที่หัวเราะเยาะและถูกสบประมาทเพราะถ้วยนั้นจุมาก
อสค 45.11 เอฟาห์และบัทนั้นให้เป็นขนาดเดียวกัน บัทหนึ่งจุหนึ่งในสิบของโฮเมอร์ และเอฟาห์ก็จุหนึ่งในสิบของโฮเมอร์ ให้โฮเมอร์เป็นเครื่องวัดมาตรฐาน
อสค 45.14 และส่วนกำหนดประจำของน้ำมัน คือน้ำมันหนึ่งบัท น้ำมันโคระหนึ่งถวายหนึ่งในสิบของบัท โคระก็เหมือนโฮเมอร์จุสิบบัท เพราะสิบบัทเท่ากับโฮเมอร์
ยน 2.6 มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว จุน้ำใบละสี่ห้าถัง

จุ๊ ( 2 )
อมส 6.10 และเมื่อลุงของผู้ใด คือผู้ที่เผาเพื่อเขา จะยกศพขึ้นเพื่อจะนำกระดูกออกนอกเรือน และจะกล่าวกับคนที่อยู่ในห้องชั้นในที่สุดของเรือนนั้นว่า “ยังมีใครอยู่กับเจ้าหรือ” เขาจะตอบว่า “ไม่มี” และเขาจะกล่าวว่า “จุ๊จุ๊ อย่าให้เราออกพระนามของพระเยโฮวาห์”

จุก ( 3 )
2พกษ 3.19 เจ้าจะโจมตีเมืองที่มีป้อมทุกเมือง และเมืองเอกทุกเมือง และจะโค่นต้นไม้ลงทุกต้น และจะจุกน้ำพุทุกแห่งเสีย และทำไร่นาที่ดีทุกแปลงให้เสียด้วยหิน”
2พกษ 3.25 เขาทั้งหลายได้ทลายหัวเมือง และต่างคนก็ต่างโยนหินเข้าไปในไร่นาที่ดีทุกแปลงจนเต็ม เขาจุกน้ำพุเสียทุกแห่ง และโค่นต้นไม้ดีๆเสียหมด จนในคีร์หะเรเชทมีแต่หินของเมืองเหลืออยู่ บรรดานักสลิงได้ล้อมเมืองไว้และโจมตีได้
พคค 3.56 พระองค์ทรงสดับเสียงข้าพระองค์ที่ว่า ‘ขออย่าทรงจุกพระกรรณต่อลมหายใจและการร้องทูลของข้าพระองค์’

จุใจ ( 4 )
พซม 2.7 โอ เหล่าบุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันขอให้เธอทั้งหลายปฏิญาณต่อละมั่งหรือกวางตัวเมียในทุ่งว่า เธอทั้งหลายจะไม่เร้าหรือจะไม่ปลุกที่รักของดิฉันให้ตื่นกระตือขึ้นจนกว่าเขาจะจุใจแล้ว
พซม 3.5 โอ เหล่าบุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันขอให้เธอทั้งหลายปฏิญาณต่อละมั่งหรือกวางตัวเมียในทุ่งว่า เธอทั้งหลายจะไม่เร้าหรือจะไม่ปลุกที่รักของดิฉันให้ตื่นกระตือขึ้นจนกว่าเขาจะจุใจแล้ว
พซม 8.4 โอ บุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันขอให้เธอทั้งหลายปฏิญาณว่า เธอทั้งหลายจะไม่เร้าหรือจะไม่ปลุกที่รักของดิฉันให้ตื่นกระตือขึ้น จนกว่าเขาจะจุใจแล้ว
1คร 16.12 อปอลโล ซึ่งเป็นพี่น้องของเรานั้น ข้าพเจ้าได้คะยั้นคะยอให้ไปเยี่ยมท่านทั้งหลายพร้อมกับพวกพี่น้อง แต่ท่านไม่จุใจที่จะไปเดี๋ยวนี้ เมื่อมีโอกาสท่านจึงจะไป

จุด ( 41 )
ปฐก 30.32 คือวันนี้ข้าพเจ้าจะไปตรวจดูฝูงสัตว์ของลุงทั้งฝูง ข้าพเจ้าจะคัดแกะที่มีจุดและด่างทุกตัวออกจากฝูง และคัดแกะดำทุกตัวออกจากฝูงแกะ และแพะด่างกับที่มีจุดออกจากฝูงแพะ ให้สัตว์เหล่านี้เป็นค่าจ้างของข้าพเจ้า
ปฐก 30.33 ดังนั้นความชอบธรรมของข้าพเจ้าจะเป็นคำตอบของข้าพเจ้าในเวลาภายหน้า คือเมื่อลุงมาตรวจดูค่าจ้างของข้าพเจ้า ถ้าพบตัวไม่มีจุดและที่ไม่ด่างอยู่ในฝูงแพะและตัวที่ไม่ดำในฝูงแกะ ก็ให้ถือเสียว่าข้าพเจ้ายักยอกสัตว์เหล่านี้มา”
ปฐก 30.35 วันนั้นเขาก็คัดแพะตัวผู้ที่ลายและที่ด่าง และแพะตัวเมียที่มีจุดและที่ด่าง แพะที่ขาวบ้างทั้งหมดและแกะดำทั้งหมด มามอบให้บุตรชายของเขา
ปฐก 30.39 ฝูงสัตว์ก็ตั้งท้องตรงหน้าไม้นั้น ดังนั้นฝูงสัตว์จึงมีลูกที่มีลายมีจุดและด่าง
ปฐก 31.8 ถ้าบิดาบอกว่า ‘สัตว์ที่มีจุดจะเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็มีลูกมีจุด และถ้าบิดาบอกว่า ‘สัตว์ตัวที่ลายเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็มีลูกลายหมด
ปฐก 31.10 ครั้นมาในฤดูที่สัตว์เหล่านั้นตั้งท้อง ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นดู ก็เห็นในความฝันว่า ดูเถิด แพะตัวผู้ที่สมจรกับฝูงสัตว์นั้นเป็นแพะลาย แพะจุด และแพะลายเป็นแถบๆ
ปฐก 31.12 พระองค์ตรัสว่า ‘เงยหน้าขึ้นดู แพะตัวผู้ทุกตัวที่สมจรกับฝูงสัตว์นั้น เป็นสัตว์ลายและมีจุดและลายเป็นแถบๆ เพราะเราเห็นทุกสิ่งที่ลาบันทำกับเจ้า
อพย 22.6 ถ้าจุดไฟที่กองหนาม และไฟลามไปติดกองข้าว หรือติดต้นข้าวซึ่งมิได้เกี่ยว หรือติดทุ่งนาให้ไหม้เสีย ผู้ที่จุดไฟนั้นต้องใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวน
อพย 25.37 จงทำตะเกียงเจ็ดดวงสำหรับคันประทีปนั้น แล้วจุดตะเกียงให้ส่องแสงตรงไปหน้าคันประทีป
อพย 30.8 และในเวลาเย็นเมื่ออาโรนจุดประทีป ให้เผาเครื่องหอมบนแท่น เป็นเครื่องหอมเนืองนิตย์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ตลอดชั่วอายุของเจ้า
อพย 40.4 จงยกโต๊ะเข้ามาตั้งไว้ และจัดเครื่องบนโต๊ะไว้ตามที่ของมัน แล้วจงนำคันประทีปนั้นเข้ามาและจุดไฟที่ตะเกียงนั้น
อพย 40.25 แล้วก็จุดไฟตะเกียงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแก่โมเสส
กดว 4.9 แล้วให้เขาเอาผ้าสีฟ้าคลุมคันประทีปที่ใช้จุด คลุมตะเกียง ตะไกรตัดไส้ตะเกียง ถาดใส่ตะไกร และบรรดาภาชนะใส่น้ำมันเติมตะเกียง
ยชว 6.24 ส่วนเมืองนั้นเขาก็จุดไฟเผาเสียทั้งสารพัดที่อยู่ในเมืองนั้น นอกจากเงินและทองและเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์และด้วยเหล็กนั้น เขานำมาไว้ในคลังในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
ยชว 8.8 และเมื่อท่านทั้งหลายเข้ายึดเมืองได้แล้ว ท่านจงจุดไฟเผาเมืองเสีย จงกระทำตามที่พระเยโฮวาห์ตรัสสั่ง ดูเถิด ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้แล้ว”
ยชว 8.19 ทหารที่ซุ่มอยู่ก็ลุกออกจากที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว พอโยชูวายื่นมือของท่านออก ทหารก็วิ่งตรงเข้าไปในเมืองและยึดเมืองไว้ แล้วเขาก็รีบจุดไฟเผาเมือง
วนฉ 9.49 ดังนั้นคนทั้งปวงก็ตัดกิ่งไม้แบกตามอาบีเมเลคไปสุมไว้ ณ ที่ป้อม แล้วก็จุดไฟเผาป้อมนั้น ชาวบ้านหอเชเคมก็ตายหมดด้วย ทั้งชายและหญิงประมาณหนึ่งพันคน
วนฉ 12.1 ฝ่ายคนเอฟราอิมมาพร้อมกันข้ามไปทางเหนือ พูดกับเยฟธาห์ว่า “เหตุใดท่านยกข้ามไปรบคนอัมโมน แต่ไม่เรียกเราไปด้วย เราจะจุดไฟเผาเรือนทับท่านเสีย”
วนฉ 15.5 พอจุดคบเพลิงแล้วก็ปล่อยเข้าไปในนาของคนฟีลิสเตียที่ข้าวยังตั้งรวงอยู่ ไฟก็ไหม้ฟ่อนข้าว และข้าวที่ยังตั้งรวงอยู่นั้น ทั้งสวนองุ่นและต้นมะกอกเทศด้วย
โยบ 41.21 ลมหายใจของมันจุดถ่านลุก เปลวเพลิงออกมาจากปากของมัน
สดด 2.12 จงจุบพระบุตรเถิดเกลือกว่าพระองค์จะทรงพระพิโรธ และเจ้าต้องพินาศจากทางนั้น เมื่อพระพิโรธของพระองค์นั้นจุดให้ลุกแต่น้อย ความสุขเป็นของคนทั้งหลายผู้วางใจในพระองค์
สดด 18.28 พระองค์จะทรงจุดตะเกียงของข้าพระองค์ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์จะทรงกระทำความมืดของข้าพระองค์ให้สว่าง
อสย 9.18 เพราะความชั่วก็ไหม้เหมือนไฟไหม้ มันจะผลาญทั้งหนามย่อยและหนามใหญ่ มันจะจุดไฟเข้าที่ป่าทึบ และป่าทึบก็จะม้วนขึ้นข้างบนเหมือนควันเป็นลูกๆ
อสย 30.33 เพราะโทเฟทก็จัดไว้นานแล้ว เออ เตรียมไว้สำหรับกษัตริย์ เชิงตะกอนก็ลึกและกว้าง พร้อมไฟและฟืนมากมาย คือพระปัสสาสะของพระเยโฮวาห์เหมือนธารกำมะถันมาจุดให้ลุก
พคค 4.11 พระเยโฮวาห์ทรงบันดาลโทโสออกมาแล้ว พระองค์ทรงเทพระพิโรธอันเกรี้ยวกราดของพระองค์ลงแล้ว และได้ทรงจุดไฟขึ้นในกรุงศิโยน ซึ่งเผาผลาญรากของเมืองนั้น
อมส 1.14 แต่ เราจะจุดไฟขึ้นในกำแพงเมืองรับบาห์ และไฟจะเผาผลาญปราสาททั้งหลายของเมืองนั้นเสีย พร้อมด้วยเสียงโห่ร้องในวันทำศึก พร้อมด้วยพายุอันแรงกล้าในวันที่มีลมหมุน
มธ 5.15 ไม่มีผู้ใดจุดเทียนแล้วนำไปวางไว้ในถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงเทียน จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น
มธ 5.18 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น
ลก 8.16 ไม่มีผู้ใดเมื่อจุดเทียนแล้วจะเอาภาชนะครอบไว้ หรือวางไว้ใต้เตียง แต่ตั้งไว้ที่เชิงเทียน เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้
ลก 11.33 ไม่มีผู้ใดเมื่อจุดเทียนแล้วจะตั้งไว้ในที่กำบัง หรือเอาถังครอบไว้ แต่ตั้งไว้บนเชิงเทียน เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้
ลก 12.35 ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่
ลก 15.8 หญิงคนใดที่มีเหรียญเงินสิบเหรียญ และเหรียญหนึ่งหายไป จะไม่จุดเทียนกวาดเรือนค้นหาให้ละเอียดจนกว่าจะพบหรือ
ลก 16.17 ฟ้าและดินจะล่วงไปก็ง่ายกว่าที่พระราชบัญญัติสักจุดหนึ่งจะขาดตกไป
ยน 5.35 ยอห์นเป็นโคมที่จุดสว่างไสว และท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมยินดีชั่วขณะหนึ่งในความสว่างของยอห์นนั้น
กจ 16.29 นายคุกจึงสั่งให้จุดไฟมา แล้ววิ่งเข้าไปตัวสั่นกราบลงที่เท้าของเปาโลกับสิลาส
อฟ 5.27 เพื่อพระองค์จะได้ทรงมอบคริสตจักรที่มีสง่าราศีแด่พระองค์เอง ไม่มีจุดด่างพร้อย ริ้วรอย หรือมลทินใดๆเลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ
1ปต 1.19 แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตอันมีราคามากของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่างพร้อย
วว 4.5 มีฟ้าแลบฟ้าร้อง และเสียงต่างๆดังออกมาจากพระที่นั่งนั้น และมีประทีปเจ็ดดวงจุดไว้ตรงหน้าพระที่นั่ง ซึ่งเป็นพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า

จุดจบ ( 2 )
ดนล 11.45 และเขาจะปลูกพลับพลาทั้งหลายแห่งตำหนักของเขาระหว่างทะเลในภูเขาบริสุทธิ์อันรุ่งโรจน์ แม้กระนั้นเขาก็ยังพบจุดจบ และไม่มีใครช่วยเขาเลย”
รม 10.4 เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของพระราชบัญญัติ เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม

จุดประสงค์ ( 5 )
อสร 4.5 และได้จ้างที่ปรึกษาไว้ขัดขวางเขาเพื่อมิให้เขาสมหวังตามจุดประสงค์ของเขา ตลอดรัชสมัยของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย แม้ถึงรัชกาลของดาริอัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
สดด 64.5 เขายึดจุดประสงค์ชั่วของเขาไว้มั่น เขาพูดถึงการวางกับดักอย่างลับๆ คิดว่า “ใครจะเห็นเขาทั้งหลายได้”
สดด 106.43 พระองค์ทรงช่วยท่านให้พ้นหลายครั้ง แต่ท่านมักกบฏในจุดประสงค์ของท่าน และถูกเหยียดลงด้วยความชั่วช้าของท่าน
1ทธ 1.5 แต่จุดประสงค์แห่งพระบัญญัตินั้นก็คือ ความรักซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกอันดี และจากความเชื่ออันจริงใจ
1ทธ 1.6 บางคนก็ได้ผิดจุดประสงค์เลี่ยงไปจากสิ่งเหล่านี้หลงไปในทางพูดเหลวไหล

จุดหมายปลายทาง ( 1 )
สดด 37.38 แต่ผู้ละเมิดจะถูกทำลายเสียด้วยกัน จุดหมายปลายทางของคนชั่วจะถูกตัดออกไปเสีย

จุดอ่อน ( 2 )
ปฐก 42.9 โยเซฟระลึกถึงความฝันที่ท่านเคยฝันถึงพวกพี่ๆ และกล่าวแก่พวกเขาว่า “พวกเจ้าเป็นคนสอดแนม แอบมาดูจุดอ่อนของบ้านเมือง”
ปฐก 42.12 โยเซฟบอกเขาอีกว่า “มิใช่ แต่พวกเจ้ามาเพื่อดูจุดอ่อนของบ้านเมือง”

จุบ ( 46 )
ปฐก 27.26 แล้วอิสอัคบิดาของเขาจึงพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย เข้ามาใกล้และจุบพ่อ”
ปฐก 27.27 เขาจึงเข้ามาใกล้และจุบท่าน และท่านก็ดมกลิ่นที่เสื้อของเขา และอวยพรเขาว่า “ดูซิ กลิ่นลูกชายข้าเหมือนกลิ่นท้องทุ่ง ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพร
ปฐก 29.11 ยาโคบจุบราเชลแล้วร้องไห้ด้วยเสียงดัง
ปฐก 29.13 ต่อมาครั้นลาบันได้ยินข่าวถึงยาโคบบุตรชายน้องสาวของตน เขาก็วิ่งไปพบและกอดจุบยาโคบและพามาบ้านของเขา ยาโคบก็เล่าเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดให้ลาบันฟัง
ปฐก 31.28 ทำไมเจ้าไม่ยอมให้เราจุบลาบุตรชายและบุตรสาวของเราเล่า นี่เจ้าทำอย่างโง่เขลาแท้ๆ
ปฐก 31.55 ลาบันตื่นขึ้นแต่เช้ามืด จุบหลานและบุตรสาว อวยพรแก่พวกเขา แล้วลาบันก็ออกเดินทางกลับไปบ้าน
ปฐก 33.4 แต่เอซาววิ่งออกไปต้อนรับเขา กอดและซบหน้าลงที่คอจุบเขา ต่างก็ร้องไห้
ปฐก 45.15 ยิ่งกว่านั้นโยเซฟจึงจุบพี่ชายทั้งปวงและร้องไห้ หลังจากนั้นพี่น้องของท่านก็สนทนากับโยเซฟ
ปฐก 48.10 คราวนั้นตาของอิสราเอลมืดมัวไปเพราะชรา มองอะไรไม่เห็น โยเซฟพาบุตรเข้ามาใกล้บิดา บิดาก็จุบกอดเขา
ปฐก 50.1 โยเซฟซบหน้าลงที่หน้าบิดาแล้วร้องไห้และจุบท่าน
อพย 4.27 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับอาโรนว่า “จงไปพบกับโมเสสในถิ่นทุรกันดาร” เขาก็ไปพบกับท่านที่ภูเขาของพระเจ้าและจุบท่าน
อพย 18.7 โมเสสออกไปต้อนรับพ่อตากราบลงและจุบท่าน ท่านทั้งสองไต่ถามถึงทุกข์สุขซึ่งกันและกันแล้วพากันเข้าไปในเต็นท์
นรธ 1.9 ขอพระเยโฮวาห์ทรงโปรดให้เจ้ามีความสงบ ขอให้ต่างก็ได้เข้าอยู่ในเรือนของสามี” แล้วนาโอมีก็จุบลูกสะใภ้ทั้งสอง ต่างก็ส่งเสียงร้องไห้
นรธ 1.14 แล้วต่างก็ส่งเสียงร้องไห้อีก โอรปาห์ก็จุบลาแม่สามี แต่รูธยังเกาะแม่สามีอยู่
1ซมอ 10.1 แล้วซามูเอลก็หยิบขวดน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล และจุบท่านแล้วกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงเจิมท่านไว้ให้เป็นเจ้านายเหนือมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ
1ซมอ 20.41 เมื่อเด็กนั้นไปแล้ว ดาวิดก็ลุกขึ้นมาจากที่ที่อยู่ทิศใต้ ซบหน้าลงถึงดิน แล้วกราบลงสามครั้ง และทั้งสองก็จุบกัน และร้องไห้กัน จนดาวิดร้องมากเหลือเกิน
2ซมอ 14.33 โยอาบจึงเข้าไปเฝ้ากษัตริย์กราบทูลพระองค์ พระองค์ก็ทรงเรียกอับซาโลม ท่านจึงเข้าไปเฝ้ากษัตริย์โน้มกายลงซบหน้าลงถึงดินต่อพระพักตร์กษัตริย์ กษัตริย์ก็ทรงจุบอับซาโลม
2ซมอ 15.5 เมื่อมีผู้ใดเข้ามาใกล้จะกราบถวายบังคมท่าน ท่านจะยื่นมือออกจับคนนั้นไว้และจุบเขา
2ซมอ 19.39 แล้วประชาชนทั้งสิ้นก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน เมื่อกษัตริย์เสด็จข้ามไปแล้วกษัตริย์ทรงจุบบารซิลลัย และทรงอวยพระพรแก่ท่าน ท่านก็กลับไปยังบ้านช่องของตน
2ซมอ 20.9 โยอาบจึงถามอามาสาว่า “พี่ชายเอ๋ย สบายดีหรือ” และโยอาบก็เอามือขวาจับเคราอามาสาจะจุบเขา
1พกษ 19.18 แต่เรายังมีเหลือเจ็ดพันคนไว้ในอิสราเอล คือทุกเข่าซึ่งมิได้คุกลงต่อพระบาอัล และทุกปากซึ่งมิได้จุบรูปนั้น”
1พกษ 19.20 ท่านก็ละวัวเหล่านั้นวิ่งตามเอลียาห์ไปและกล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าไปจุบลาบิดามารดาของข้าพเจ้าก่อน และข้าพเจ้าจะติดตามท่านไป” เอลียาห์จึงกล่าวกับเอลีชาว่า “กลับไปเถิด เพราะฉันได้ทำอะไรแก่ท่าน”
โยบ 31.27 และจิตใจของข้าถูกล่อชวนอยู่อย่างลับๆ และปากของข้าจุบมือของข้า
สดด 2.12 จงจุบพระบุตรเถิดเกลือกว่าพระองค์จะทรงพระพิโรธ และเจ้าต้องพินาศจากทางนั้น เมื่อพระพิโรธของพระองค์นั้นจุดให้ลุกแต่น้อย ความสุขเป็นของคนทั้งหลายผู้วางใจในพระองค์
สดด 85.10 ความเมตตาและความจริงได้พบกัน ความชอบธรรมและสันติภาพได้จุบกันและกัน
สภษ 7.13 นางฉวยเขาได้และจุบเขา นางพูดกับเขาอย่างไม่มียางอายว่า
สภษ 24.26 ทุกคนจะจุบริมฝีปากของผู้ให้คำตอบที่ถูก
พซม 1.2 ขอเขาจุบดิฉันด้วยจุบจากปากของเขา เพราะว่าความรักของเธอดีกว่าน้ำองุ่น
พซม 8.1 โอ ถ้าเธอได้เป็นเหมือนพี่ชายของดิฉัน ผู้ได้ดูดนมจากอกมารดาของดิฉันก็จะดี เพราะเมื่อดิฉันพบเธอนอกบ้าน ดิฉันจะได้จุบเธอได้ แล้วคนทั้งหลายจะได้ไม่ดูถูกดูหมิ่นดิฉัน
ฮชย 13.2 เดี๋ยวนี้เขายิ่งทำบาปมากขึ้น และสร้างรูปหล่อไว้สำหรับตัวเป็นรูปเคารพที่สร้างด้วยเงินตามความคิดของเขาเอง เป็นงานของช่างที่สร้างขึ้นทั้งนั้น เขากล่าวว่า “สำหรับคนที่ถวายสัตวบูชาแด่สิ่งเหล่านี้ จงให้เขาจุบรูปลูกวัว”
มธ 26.48 ผู้ที่จะทรยศพระองค์นั้นได้ให้อาณัติสัญญาณแก่เขาว่า “เราจะจุบผู้ใด ก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไว้ให้แน่นหนาเถิด”
มธ 26.49 ขณะนั้น ยูดาสตรงมาหาพระเยซูทูลว่า “สวัสดี พระอาจารย์” แล้วจุบพระองค์
มก 14.44 ผู้ที่จะทรยศพระองค์นั้นได้ให้สัญญาณแก่เขาว่า “เราจุบผู้ใด ก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไปให้มั่นคง”
มก 14.45 และทันทีที่ยูดาสมาถึง เขาตรงเข้ามาหาพระองค์ทูลว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า พระอาจารย์เจ้าข้า” แล้วจุบพระองค์
ลก 7.38 มายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ เริ่มร้องไห้น้ำตาไหลชำระพระบาทและเอาผมเช็ด จุบพระบาทของพระองค์ และชโลมพระบาทด้วยน้ำมันหอมนั้น
ลก 7.45 ท่านมิได้จุบเรา แต่ผู้หญิงนี้ตั้งแต่เราเข้ามามิได้หยุดจุบเท้าของเรา
ลก 15.20 แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา
ลก 22.47 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด มีคนเป็นอันมาก และผู้ที่ชื่อว่า ยูดาส เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนำหน้าเขามา ยูดาสเข้ามาใกล้พระเยซูเพื่อจุบพระองค์
กจ 20.37 เขาทั้งหลายจึงร้องไห้มากมาย และกอดคอของเปาโล จุบท่าน
รม 16.16 จงต้อนรับกันด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์ บรรดาคริสตจักรของพระคริสต์ขอฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลายด้วย
1คร 16.20 พี่น้องทุกคนฝากความคิดถึงมายังท่าน ท่านจงทักทายปราศรัยกันด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์
2คร 13.12 จงทักทายปราศรัยกันด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์
1ธส 5.26 จงทักทายปราศรัยพวกพี่น้องด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์
1ปต 5.14 จงทักทายกันด้วยธรรมเนียมจุบอันแสดงความรักต่อกัน ขอสันติสุขดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

จุ่ม ( 22 )
ปฐก 37.31 พวกเขาก็เอาเสื้อของโยเซฟมา และฆ่าลูกแพะผู้ตัวหนึ่ง จุ่มเสื้อของโยเซฟลงในเลือด
อพย 12.22 เอาต้นหุสบกำหนึ่งจุ่มลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง แล้วป้ายเลือดนั้นไว้ที่ไม้ข้างบน และไม้วงกบประตูทั้งสองข้างด้วยเลือดที่อยู่ในอ่าง อย่าให้ผู้ใดออกไปพ้นประตูบ้านของตนจนถึงรุ่งเช้า
อพย 29.12 จงเอานิ้วมือจุ่มเลือดวัวตัวผู้นั้น ทาไว้ที่เชิงงอนริมแท่นบ้าง ส่วนเลือดที่เหลือทั้งหมดจงเทไว้ที่เชิงแท่นบูชา
ลนต 4.6 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มลงในเลือด และประพรมเลือดนั้นที่หน้าม่านสถานบริสุทธิ์เจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 4.17 และปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มลงในเลือดและประพรมที่หน้าม่านเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 4.25 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดเครื่องบูชาไถ่บาปบ้าง นำไปเจิมที่เชิงงอนบนแท่นเครื่องเผาบูชา และเทเลือดที่เหลืออยู่นั้นที่ฐานของแท่นเครื่องเผาบูชา
ลนต 4.30 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดแพะนั้นไปเจิมที่เชิงงอนของแท่นเครื่องเผาบูชา และเทเลือดส่วนที่เหลือลงที่ฐานของแท่นนั้น
ลนต 4.34 และปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดเครื่องบูชาไถ่บาปนั้นบ้าง นำไปเจิมที่เชิงงอนของแท่นเครื่องเผาบูชา และเทเลือดที่เหลือนั้นลงที่ฐานของแท่น
ลนต 8.15 โมเสสก็ฆ่าวัวตัวนั้นเสีย เอานิ้วจุ่มเลือดไปเจิมที่เชิงงอนรอบแท่น ชำระแท่นให้บริสุทธิ์แล้วเทเลือดที่ฐานของแท่น ถวายแท่นไว้เป็นสิ่งบริสุทธิ์ เพื่อทำการลบมลทินของแท่นนั้น
ลนต 9.9 และบุตรชายอาโรนก็นำเลือดมาให้เขา เขาก็เอานิ้วจุ่มเลือดไปเจิมเชิงงอนของแท่น และเทเลือดลงที่ฐานแท่น
ลนต 14.6 สำหรับนกตัวที่ยังเป็นอยู่นั้น ให้ปุโรหิตเอานกตัวที่ยังเป็นอยู่กับไม้สนสีดาร์ ด้ายสีแดง ต้นหุสบ จุ่มเข้าไปในเลือดของนกที่ถูกฆ่าข้างบนน้ำไหล
ลนต 14.51 เอาไม้สนสีดาร์ ต้นหุสบและด้ายสีแดง พร้อมกับนกตัวที่ยังมีชีวิตอยู่จุ่มลงในเลือดนกที่ได้ฆ่าและในน้ำที่ไหลนั้น แล้วประพรมเรือนนั้นเจ็ดครั้ง
ลนต 16.19 และเอานิ้วจุ่มเลือดประพรมบนแท่นนั้นเจ็ดครั้ง และชำระกระทำให้แท่นบริสุทธิ์พ้นจากมลทินของคนอิสราเอล
กดว 19.4 และเอเลอาซาร์ปุโรหิตจะเอานิ้วมือจุ่มเลือดวัวพรมที่ข้างหน้าพลับพลาแห่งชุมนุมเจ็ดครั้ง
กดว 19.18 ให้คนสะอาดเอากิ่งหุสบจุ่มน้ำนั้นประพรมที่เต็นท์และเครื่องใช้สอยทั้งสิ้น และบนตัวคนที่อยู่ที่นั่นและบนตัวคนที่แตะต้องกระดูกหรือคนถูกฆ่าหรือคนตายหรือหลุมศพ
พบญ 33.24 และท่านกล่าวถึงอาเชอร์ว่า “ขอให้อาเชอร์ได้รับพระพรคือให้มีบุตรมากมาย ให้เขาเป็นที่โปรดปรานของพี่น้องของเขา และให้เขาจุ่มเท้าเขาลงในน้ำมัน
2พกษ 5.14 ท่านจึงลงไปจุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดนตามถ้อยคำของคนแห่งพระเจ้า และเนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อเด็กเล็กๆ และท่านก็สะอาด
2พกษ 8.15 และอยู่มาในวันรุ่งขึ้นเขาก็เอาผ้าปูที่นอนจุ่มน้ำคลุมพระพักตร์พระองค์ไว้ จนพระองค์สิ้นพระชนม์ และฮาซาเอลก็ขึ้นครองแทน
โยบ 9.31 พระองค์ยังจะทรงจุ่มข้าพระองค์ลงไปในบ่อ แม้เสื้อผ้าของข้าพระองค์จะรังเกียจข้าพระองค์’
ยรม 13.1 พระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าด้วยว่า “จงไปซื้อผ้าป่านคาดเอวมาผืนหนึ่ง คาดเอวของเจ้าไว้และอย่าจุ่มน้ำ”
ลก 16.24 เศรษฐีจึงร้องว่า ‘อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้’
วว 19.13 พระองค์ทรงฉลองพระองค์ที่จุ่มเลือด และพระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ “พระวาทะของพระเจ้า”

จูง ( 12 )
ปฐก 48.13 โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดา มือขวาจับเอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล
อสย 42.16 เราจะจูงคนตาบอดไปในทางที่เขาทั้งหลายไม่รู้จัก เราจะนำเขาไปในทางทั้งหลายที่เขาไม่รู้จัก เราจะให้ความมืดข้างหน้าเขากลับเป็นสว่าง สิ่งที่คดให้ตรง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะกระทำแก่พวกเขา และเราจะไม่ละทิ้งพวกเขา
อสค 19.4 ประชาชาติได้ยินเรื่องของมัน เขาก็จับมันได้ในหลุมพรางของเขา เขาจูงมันมาด้วยโซ่มายังแผ่นดินอียิปต์
ฮชย 11.4 เราจูงเขาด้วยสายแห่งมนุษยธรรมและด้วยปลอกแห่งความรัก เราเป็นผู้ถอดแอกที่ขากรรไกรของเขาออก และเราก้มลงเลี้ยงเขา
มธ 21.2 ตรัสสั่งเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ทันทีท่านจะพบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้จูงมาให้เรา
มธ 21.7 จึงจูงแม่ลากับลูกของมันมา และเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลัง แล้วเขาให้พระองค์ทรงลานั้น
มก 11.2 สั่งเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ครั้นเข้าไปแล้วในทันใดนั้นจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด
มก 11.7 สาวกจึงจูงลูกลามาถึงพระเยซู แล้วเอาเสื้อผ้าของตนปูลงบนหลังลา แล้วพระองค์จึงทรงลานั้น
ลก 19.30 สั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่ยังไม่เคยมีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด
ลก 19.35 แล้วเขาก็จูงลูกลามาถึงพระเยซูและเอาเสื้อของตนปูลงบนหลังลา และเชิญพระเยซูขึ้นทรงลานั้น
กจ 14.13 ปุโรหิตประจำรูปพระซุส ซึ่งตั้งอยู่หน้าเมืองได้จูงวัวและถือพวงมาลัยมายังประตูเมือง หมายจะถวายเครื่องบูชาด้วยกันกับประชาชน
รม 2.19 และท่านมั่นใจว่า ท่านเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด

จูงใจ ( 1 )
1ปต 3.1 ฝ่ายท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยาก็เช่นกัน จงเชื่อฟังสามีของท่าน เพื่อว่าแม้สามีบางคนจะไม่เชื่อฟังพระวจนะ แต่ความประพฤติของภรรยาก็อาจจะจูงใจเขาได้ด้วยโดยไม่ต้องใช้พระวจนะนั้น

จูงมือ ( 9 )
วนฉ 16.26 แซมสันจึงบอกเด็กที่จูงมือตนมาว่า “ขอพาฉันให้ไปคลำเสาที่รองรับตึกนี้อยู่ ฉันจะได้พิงเสานั้น”
อสย 51.18 ในบรรดาบุตรชายที่นางคลอดมาก็ไม่มีผู้ใดนำนาง ในบรรดาบุตรชายที่นางชุบเลี้ยงมาก็ไม่มีใครจูงมือนาง
ยรม 31.32 ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย ในวันที่เราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
มก 8.23 พระองค์ได้ทรงจูงมือคนตาบอดออกไปนอกเมือง เมื่อได้ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาคนนั้น และวางพระหัตถ์บนเขาแล้ว พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า เขาเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่
กจ 9.8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
กจ 13.11 ดูเถิด บัดนี้พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่บนเจ้า เจ้าจะเป็นคนตาบอดไม่เห็นดวงอาทิตย์จนถึงเวลากำหนด” ทันใดนั้นความมืดมัวก็บังเกิดแก่เอลีมาส เอลีมาสจึงคลำหาคนให้จูงมือไป
กจ 22.11 เมื่อข้าพเจ้าเห็นอะไรไม่ได้เนื่องจากพระรัศมีอันแรงกล้านั้น คนที่มาด้วยกันกับข้าพเจ้าก็จูงมือพาข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองดามัสกัส
กจ 23.19 นายพันจึงจูงมือชายนั้นไปแต่ลำพัง แล้วถามว่า “เจ้าจะแจ้งความอะไรแก่เรา”
ฮบ 8.9 ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่ได้มั่นอยู่ในพันธสัญญาของเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงได้ละเขาไว้” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แหละ

จู้จี้ ( 1 )
สภษ 21.19 อยู่ในแผ่นดินทุรกันดารดีกว่าอยู่กับผู้หญิงที่ขี้ทะเลาะและจู้จี้ขี้บ่น

เจ็ด ( 502 )
ปฐก 2.2; ปฐก 2.3; ปฐก 4.15; ปฐก 4.24; ปฐก 5.7; ปฐก 7.2; ปฐก 7.3; ปฐก 7.4; ปฐก 7.10; ปฐก 8.4; ปฐก 8.10; ปฐก 8.12; ปฐก 11.21; ปฐก 21.28; ปฐก 21.29; ปฐก 21.30; ปฐก 29.18; ปฐก 29.20; ปฐก 29.27; ปฐก 29.28; ปฐก 29.30; ปฐก 31.23; ปฐก 33.3; ปฐก 41.2; ปฐก 41.3; ปฐก 41.4; ปฐก 41.5; ปฐก 41.6; ปฐก 41.7; ปฐก 41.18; ปฐก 41.19; ปฐก 41.20; ปฐก 41.22; ปฐก 41.23; ปฐก 41.24; ปฐก 41.26; ปฐก 41.27; ปฐก 41.29; ปฐก 41.30; ปฐก 41.34; ปฐก 41.36; ปฐก 41.47; ปฐก 41.48; ปฐก 41.53; ปฐก 41.54; ปฐก 46.25; ปฐก 50.10; อพย 2.16; อพย 7.25; อพย 12.15; อพย 12.16; อพย 12.19; อพย 13.6; อพย 13.7; อพย 16.26; อพย 16.27; อพย 16.29; อพย 16.30; อพย 20.10; อพย 20.11; อพย 21.2; อพย 22.30; อพย 23.11; อพย 23.12; อพย 23.15; อพย 24.16; อพย 25.37; อพย 29.30; อพย 29.35; อพย 29.37; อพย 31.15; อพย 31.17; อพย 34.18; อพย 34.21; อพย 35.2; อพย 37.23; ลนต 4.6; ลนต 4.17; ลนต 8.11; ลนต 8.33; ลนต 8.35; ลนต 12.2; ลนต 13.4; ลนต 13.5; ลนต 13.6; ลนต 13.21; ลนต 13.26; ลนต 13.27; ลนต 13.31; ลนต 13.32; ลนต 13.33; ลนต 13.34; ลนต 13.50; ลนต 13.51; ลนต 13.54; ลนต 14.7; ลนต 14.8; ลนต 14.9; ลนต 14.16; ลนต 14.27; ลนต 14.38; ลนต 14.39; ลนต 14.51; ลนต 15.13; ลนต 15.19; ลนต 15.24; ลนต 15.28; ลนต 16.14; ลนต 16.19; ลนต 16.29; ลนต 22.27; ลนต 23.3; ลนต 23.6; ลนต 23.8; ลนต 23.15; ลนต 23.16; ลนต 23.18; ลนต 23.24; ลนต 23.27; ลนต 23.34; ลนต 23.36; ลนต 23.39; ลนต 23.40; ลนต 23.41; ลนต 23.42; ลนต 25.4; ลนต 25.8; ลนต 25.9; ลนต 25.20; ลนต 26.18; ลนต 26.21; ลนต 26.24; ลนต 26.28; กดว 6.9; กดว 7.48; กดว 8.2; กดว 12.14; กดว 12.15; กดว 13.22; กดว 19.4; กดว 19.11; กดว 19.12; กดว 19.14; กดว 19.16; กดว 19.19; กดว 23.1; กดว 23.4; กดว 23.14; กดว 23.29; กดว 28.11; กดว 28.17; กดว 28.19; กดว 28.21; กดว 28.24; กดว 28.25; กดว 28.27; กดว 28.29; กดว 29.1; กดว 29.2; กดว 29.4; กดว 29.7; กดว 29.8; กดว 29.10; กดว 29.12; กดว 29.32; กดว 29.36; กดว 31.19; กดว 31.24; พบญ 5.14; พบญ 7.1; พบญ 15.1; พบญ 15.9; พบญ 15.12; พบญ 16.3; พบญ 16.4; พบญ 16.8; พบญ 16.9; พบญ 16.13; พบญ 16.15; พบญ 28.7; พบญ 28.25; พบญ 31.10; ยชว 6.4; ยชว 6.6; ยชว 6.8; ยชว 6.13; ยชว 6.15; ยชว 6.16; ยชว 18.2; ยชว 18.5; ยชว 18.6; ยชว 18.9; ยชว 19.40; วนฉ 6.1; วนฉ 6.25; วนฉ 12.9; วนฉ 14.12; วนฉ 14.15; วนฉ 14.17; วนฉ 14.18; วนฉ 16.7; วนฉ 16.8; วนฉ 16.13; วนฉ 16.14; วนฉ 16.19; นรธ 4.15; 1ซมอ 2.5; 1ซมอ 6.1; 1ซมอ 10.8; 1ซมอ 11.3; 1ซมอ 13.8; 1ซมอ 16.10; 1ซมอ 31.13; 2ซมอ 2.11; 2ซมอ 5.5; 2ซมอ 12.18; 2ซมอ 21.6; 2ซมอ 21.9; 2ซมอ 24.13; 1พกษ 2.11; 1พกษ 6.6; 1พกษ 6.38; 1พกษ 7.17; 1พกษ 8.2; 1พกษ 8.65; 1พกษ 16.15; 1พกษ 18.43; 1พกษ 18.44; 1พกษ 20.29; 2พกษ 3.9; 2พกษ 4.35; 2พกษ 5.10; 2พกษ 5.14; 2พกษ 8.1; 2พกษ 8.2; 2พกษ 8.3; 2พกษ 11.4; 2พกษ 11.21; 2พกษ 12.1; 2พกษ 18.9; 2พกษ 25.8; 2พกษ 25.25; 1พศด 2.15; 1พศด 3.4; 1พศด 3.24; 1พศด 5.13; 1พศด 9.25; 1พศด 10.12; 1พศด 12.11; 1พศด 15.26; 1พศด 24.10; 1พศด 25.14; 1พศด 26.3; 1พศด 26.5; 1พศด 27.10; 1พศด 29.27; 2พศด 5.3; 2พศด 7.8; 2พศด 7.9; 2พศด 7.10; 2พศด 13.9; 2พศด 23.1; 2พศด 24.1; 2พศด 29.21; 2พศด 30.21; 2พศด 30.22; 2พศด 30.23; 2พศด 31.7; 2พศด 35.17; อสร 3.1; อสร 3.6; อสร 6.22; อสร 7.7; อสร 7.8; อสร 7.14; นหม 7.73; นหม 8.2; นหม 8.14; นหม 8.18; นหม 10.31; อสธ 1.5; อสธ 1.10; อสธ 1.14; อสธ 2.9; อสธ 2.16; โยบ 1.2; โยบ 2.13; โยบ 5.19; โยบ 42.8; โยบ 42.13; สดด 12.6; สดด 79.12; สดด 119.164; สภษ 6.16; สภษ 6.31; สภษ 9.1; สภษ 24.16; สภษ 26.16; สภษ 26.25; ปญจ 11.2; อสย 4.1; อสย 11.15; อสย 30.26; ยรม 15.9; ยรม 28.17; ยรม 34.14; ยรม 41.1; ยรม 52.25; ยรม 52.28; อสค 3.15; อสค 3.16; อสค 20.1; อสค 30.20; อสค 39.9; อสค 39.12; อสค 39.14; อสค 40.22; อสค 40.26; อสค 41.3; อสค 43.25; อสค 43.26; อสค 44.26; อสค 45.20; อสค 45.21; อสค 45.23; อสค 45.25; ดนล 3.19; ดนล 4.16; ดนล 4.23; ดนล 4.25; ดนล 4.32; ดนล 9.25; มคา 5.5; ฮกก 2.1; ศคย 3.9; ศคย 4.2; ศคย 4.10; ศคย 7.5; ศคย 8.19; มธ 12.45; มธ 15.34; มธ 15.36; มธ 15.37; มธ 16.10; มธ 18.21; มธ 18.22; มธ 22.25; มธ 22.26; มธ 22.28; มก 8.5; มก 8.6; มก 8.8; มก 8.20; มก 12.20; มก 12.22; มก 12.23; มก 16.9; ลก 2.36; ลก 8.2; ลก 11.26; ลก 17.4; ลก 20.29; ลก 20.31; ลก 20.33; กจ 6.3; กจ 6.6; กจ 13.19; กจ 19.14; กจ 20.6; กจ 21.4; กจ 21.8; กจ 21.27; กจ 28.14; ฮบ 4.4; ฮบ 11.30; 2ปต 2.5; ยด 1.14; วว 1.4; วว 1.11; วว 1.12; วว 1.13; วว 1.16; วว 1.20; วว 2.1; วว 3.1; วว 4.5; วว 5.1; วว 5.5; วว 5.6; วว 8.1; วว 8.2; วว 8.6; วว 10.3; วว 10.4; วว 10.7; วว 11.15; วว 12.3; วว 13.1; วว 15.1; วว 15.6; วว 15.7; วว 15.8; วว 16.1; วว 16.17; วว 17.1; วว 17.3; วว 17.7; วว 17.9; วว 17.10; วว 17.11; วว 21.9; วว 21.20

เจ็ดพัน ( 27 )
กดว 1.31 จำนวนคนในตระกูลเศบูลุนเป็นห้าหมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยคน
กดว 2.8 พลโยธาที่นับไว้นี้มีห้าหมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยคน
กดว 2.31 จำนวนคนทั้งหมดที่นับเข้าในค่ายดาน เป็นหนึ่งแสนห้าหมื่นเจ็ดพันหกร้อยคน เมื่อออกเดินคนเหล่านี้จะเป็นพวกสุดท้าย เดินตามธงตระกูลของตน”
กดว 3.22 จำนวนคนทั้งหลาย คือจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่เดือนหนึ่งขึ้นไปเป็นเจ็ดพันห้าร้อยคน
กดว 31.36 และในครึ่งส่วนได้ของคนที่ออกไปทำสงคราม มีแกะสามแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยตัว
กดว 31.43 (ครึ่งส่วนของชุมนุมชน คือ แกะสามแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยตัว
1พกษ 19.18 แต่เรายังมีเหลือเจ็ดพันคนไว้ในอิสราเอล คือทุกเข่าซึ่งมิได้คุกลงต่อพระบาอัล และทุกปากซึ่งมิได้จุบรูปนั้น”
1พกษ 20.15 พระองค์จึงทรงจัดมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดเหล่านั้นซึ่งมีสองร้อยสามสิบสองคนด้วยกัน และภายหลังทรงจัดพลทั้งหมดคือบรรดาคนอิสราเอลรวมพลเจ็ดพันคน
1พกษ 20.30 เหลือนอกนั้นก็หนีเข้าเมืองอาเฟก และกำแพงเมืองล้มทับคนที่เหลือนอกนั้นเสียสองหมื่นเจ็ดพันคน เบนฮาดัดก็หนีไปด้วย และเข้าไปในห้องชั้นในที่ในเมือง
2พกษ 24.16 และกษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงนำเชลยมายังบาบิโลน คือทแกล้วทหารทั้งหมดเจ็ดพันคน และช่างฝีมือและช่างเหล็กหนึ่งพัน ทุกคนแข็งแรง และเหมาะสำหรับการรบ
1พศด 7.5 ญาติพี่น้องของเขาซึ่งเป็นคนในบรรดาครอบครัวของอิสสาคาร์ มีหมดด้วยกันเป็นทแกล้วทหารแปดหมื่นเจ็ดพันคน ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสาย
1พศด 7.11 ทั้งหมดนี้เป็นบุตรชายของเยดียาเอล ตามหัวหน้าเรือนบรรพบุรุษของเขา เป็นทแกล้วทหาร เป็นหนึ่งหมื่นเจ็ดพันสองร้อยคน พร้อมที่จะทำศึกสงคราม
1พศด 12.25 จากคนสิเมโอน มีทแกล้วทหารชำนาญศึกเจ็ดพันหนึ่งร้อย
1พศด 12.34 จากคนนัฟทาลี ผู้บังคับบัญชาหนึ่งพัน ซึ่งมีคนติดโล่และหอกมาด้วยสามหมื่นเจ็ดพันคน
1พศด 18.4 และดาวิดทรงยึดรถรบจากท่านมาหนึ่งพันคัน พลม้าเจ็ดพัน และทหารราบสองหมื่น และดาวิดทรงตัดเอ็นโคนขาม้ารถรบเสียสิ้น แต่ทรงเหลือไว้ให้พอแก่รถรบหนึ่งร้อยคัน
1พศด 19.18 และคนซีเรียก็หนีไปต่อหน้าอิสราเอล และดาวิดทรงประหารคนซีเรียคือคนของรถรบเจ็ดพันคนและทหารราบสี่หมื่นคน และฆ่าโชฟัคผู้บัญชาการกองทัพของเขาทั้งหลายด้วย
1พศด 29.4 ดังนี้ ทองคำสามพันตะลันต์ เป็นทองคำเมืองโอฟีร์ และเงินถลุงแล้วเจ็ดพันตะลันต์เพื่อจะบุผนังพระนิเวศ
2พศด 15.11 เขาทั้งหลายถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์ในวันนั้นจากข้าวของที่เขาได้ริบมา มีวัวผู้เจ็ดร้อยตัวและแกะเจ็ดพันตัว
2พศด 17.11 คนฟีลิสเตียบางพวกได้นำของกำนัลมาถวายเยโฮชาฟัท และนำเงินมาเป็นบรรณาการ และพวกอาระเบียได้นำฝูงแพะแกะ คือแกะผู้เจ็ดพันเจ็ดร้อยตัว และแพะผู้เจ็ดพันเจ็ดร้อยตัวมาถวายพระองค์
2พศด 26.13 ใต้บังคับบัญชาของคนเหล่านี้ มีกองทัพพลสามแสนเจ็ดพันห้าร้อยคน ผู้ทำสงครามได้ด้วยกำลังมาก เพื่อช่วยกษัตริย์ให้ต่อสู้กับศัตรู
2พศด 30.24 เพราะเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงประทานวัวผู้หนึ่งพันตัวและแกะเจ็ดพันตัวแก่ชุมนุมชน และพวกเจ้านายได้ให้วัวผู้หนึ่งพันตัวและแกะหนึ่งหมื่นตัวแก่ชุมนุมชน และปุโรหิตเป็นจำนวนมากก็ได้ชำระตนให้บริสุทธิ์
อสร 2.65 นอกเหนือจากคนใช้ชายหญิงซึ่งมีอยู่เจ็ดพันสามร้อยสามสิบเจ็ดคน และเขามีนักร้องชายหญิงสองร้อยคน
นหม 7.67 นอกเหนือจากคนใช้ชายหญิงของเขา ซึ่งมีอยู่เจ็ดพันสามร้อยสามสิบเจ็ดคน และเขามีนักร้องสองร้อยสี่สิบห้าคนทั้งชายและหญิง
โยบ 1.3 ส่วนสัตว์เลี้ยงของท่าน มีแกะเจ็ดพันตัว อูฐสามพันตัว วัวห้าร้อยคู่ และลาตัวเมียห้าร้อยตัว และท่านมีคนใช้มากมาย ดังนั้นชายผู้นี้จึงใหญ่โตที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก
รม 11.4 แล้วพระเจ้าทรงตอบท่านว่าอย่างไร ว่าดังนี้ ‘เราได้เหลือคนไว้สำหรับเราเจ็ดพันคน ซึ่งเป็นผู้ที่มิได้คุกเข่าลงต่อรูปพระบาอัล’
วว 11.13 และในเวลานั้นก็เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และเมืองนั้นก็ถล่มลงเสียหนึ่งในสิบส่วน มีคนตายเพราะแผ่นดินไหวเจ็ดพันคน และคนที่เหลืออยู่นั้นมีความหวาดกลัวยิ่ง และได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าแห่งสวรรค์

เจ็ดร้อย ( 40 )
ปฐก 5.26 ตั้งแต่เมธูเสลาห์ให้กำเนิดลาเมคแล้ว ก็มีอายุต่อไปอีกเจ็ดร้อยแปดสิบสองปี และให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน
ปฐก 5.31 รวมอายุของลาเมคได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดปีและเขาได้สิ้นชีวิต
อพย 38.24 ทองคำทั้งหมดซึ่งเขาใช้ในการสร้างที่บริสุทธิ์นั้น คือทองคำที่เขานำมาถวาย มีน้ำหนักยี่สิบเก้าตะลันต์เจ็ดร้อยสามสิบเชเขล ตามเชเขลแห่งสถานบริสุทธิ์
อพย 38.25 เงินตามจำนวนชุมนุมชนได้นับไว้ รวมเป็นหนึ่งร้อยตะลันต์กับหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าเชเขล ตามเชเขลแห่งสถานบริสุทธิ์
อพย 38.28 แต่เงินหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าเชเขลนั้นเขาใช้ทำขอสำหรับเสาและหุ้มบัวคว่ำของเสานั้น และทำราวยึดเสาด้วย
กดว 1.39 จำนวนคนในตระกูลดานเป็นหกหมื่นสองพันเจ็ดร้อยคน
กดว 2.26 พลโยธาที่นับไว้นี้มีหกหมื่นสองพันเจ็ดร้อยคน
กดว 4.36 และจำนวนคนตามครอบครัวของเขาเป็นสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบคน
กดว 16.49 บรรดาคนที่ตายด้วยภัยพิบัติมีหนึ่งหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยคน ไม่นับคนที่ตายด้วยเรื่องของโคราห์
กดว 26.7 เหล่านี้เป็นครอบครัวของคนรูเบน มีจำนวนสี่หมื่นสามพันเจ็ดร้อยสามสิบคน
กดว 26.34 เหล่านี้เป็นครอบครัวของมนัสเสห์ และจำนวนของเขามีห้าหมื่นสองพันเจ็ดร้อยคน
กดว 26.51 จำนวนคนอิสราเอล มีหกแสนหนึ่งพันเจ็ดร้อยสามสิบคน
กดว 31.52 และทองคำทั้งสิ้นจากเครื่องถวายซึ่งเขาได้ถวายแด่พระเยโฮวาห์ จากนายพันและนายร้อย มีน้ำหนักหนึ่งหมื่นหกพันเจ็ดร้อยห้าสิบเชเขล
วนฉ 8.26 ตุ้มหูทองคำซึ่งท่านขอได้นั้นมีน้ำหนักหนึ่งพันเจ็ดร้อยเชเขลทองคำ นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับ จี้และฉลององค์สีม่วงซึ่งกษัตริย์พวกมีเดียนทรง ทั้งเครื่องผูกคออูฐด้วย
วนฉ 20.15 คราวนั้นคนเบนยามินรวมจำนวนทหารถือดาบออกจากบรรดาหัวเมืองได้สองหมื่นหกพันคน นอกจากชาวเมืองกิเบอาห์ ซึ่งนับทหารที่คัดเลือกแล้วได้เจ็ดร้อยคน
วนฉ 20.16 ในจำนวนทั้งหมดนี้มีคนที่คัดเลือกแล้วเจ็ดร้อยคนถนัดมือซ้ายทุกคนเอาสลิงเหวี่ยงก้อนหินให้ถูกเส้นผมได้ไม่ผิดเลย
2ซมอ 8.4 และดาวิดทรงยึดรถรบหนึ่งพันคัน พลม้าเจ็ดร้อยคน ทหารราบสองหมื่นคน และดาวิดรับสั่งให้ตัดเอ็นขาม้ารถรบเสียให้หมด เหลือไว้ให้พอแก่รถรบหนึ่งร้อยคัน
2ซมอ 10.18 คนซีเรียก็หนีจากอิสราเอล และดาวิดทรงประหารคนซีเรียซึ่งเป็นทหารรถรบเจ็ดร้อยคนกับทหารม้าสี่หมื่นคนเสีย และประหารโชบัคแม่ทัพของเขาทั้งหลายให้สิ้นชีวิตเสียที่นั่น
1พกษ 11.3 พระองค์ทรงมีมเหสีเจ็ดร้อยคือเจ้าหญิง และนางห้ามสามร้อย และบรรดามเหสีของพระองค์ก็ทรงหันพระทัยของพระองค์ไปเสีย
2พกษ 3.26 เมื่อกษัตริย์แห่งโมอับทรงเห็นว่าจะสู้ไม่ได้ พระองค์ก็ทรงพาพลดาบเจ็ดร้อยคนจะตีฝ่าออกมาทางด้านกษัตริย์เมืองเอโดม แต่ออกมาไม่ได้
1พศด 5.18 คนรูเบน คนกาด และคนตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่งมีคนเก่งกล้า ผู้ถือดั้งและดาบ และโก่งธนู ชำนาญศึกสี่หมื่นสี่พันเจ็ดร้อยหกสิบคน พร้อมที่จะเข้ารบ
1พศด 9.13 และญาติของเขา หัวหน้าเรือนบรรพบุรุษของเขา รวมเป็นหนึ่งพันเจ็ดร้อยหกสิบคน เป็นคนสามารถมากที่จะทำงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า
1พศด 12.27 เยโฮยาดาเป็นหัวหน้าคนของอาโรน มีคนมากับท่านสามพันเจ็ดร้อย
1พศด 26.30 จากคนเฮโบรน ฮาชาบิยาห์และพี่น้องของเขาเป็นคนมีความกล้าหาญ หนึ่งพันเจ็ดร้อยคน ได้เป็นผู้ดูแลอิสราเอลทางฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ในเรื่องกิจการทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์ และราชการของกษัตริย์
1พศด 26.32 กษัตริย์ดาวิดได้ทรงแต่งตั้งให้ท่านและพี่น้องของท่าน คือคนกล้าหาญสองพันเจ็ดร้อยคนผู้เป็นหัวหน้า ให้เป็นผู้ดูแลคนรูเบน คนกาด และคนตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่ง ในกิจธุระทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า และกิจธุระเกี่ยวกับกษัตริย์
2พศด 15.11 เขาทั้งหลายถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์ในวันนั้นจากข้าวของที่เขาได้ริบมา มีวัวผู้เจ็ดร้อยตัวและแกะเจ็ดพันตัว
2พศด 17.11 คนฟีลิสเตียบางพวกได้นำของกำนัลมาถวายเยโฮชาฟัท และนำเงินมาเป็นบรรณาการ และพวกอาระเบียได้นำฝูงแพะแกะ คือแกะผู้เจ็ดพันเจ็ดร้อยตัว และแพะผู้เจ็ดพันเจ็ดร้อยตัวมาถวายพระองค์
อสร 2.5 คนอาราห์ เจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าคน
อสร 2.9 คนศักคัย เจ็ดร้อยหกสิบคน
อสร 2.25 คนชาวคีริยาทอาริม ชาวเคฟีราห์ และชาวเบเอโรท เจ็ดร้อยสี่สิบสามคน
อสร 2.33 คนชาวโลด ชาวฮาดิด และชาวโอโน เจ็ดร้อยยี่สิบห้าคน
อสร 2.66 ม้าของเขามีเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว ล่อของเขาสองร้อยสี่สิบห้าตัว
อสร 2.67 อูฐของเขาสี่ร้อยสามสิบห้าตัว และลาของเขาหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบตัว
นหม 7.14 คนศักคัย เจ็ดร้อยหกสิบคน
นหม 7.29 คนชาวคีริยาทเยอาริม เคฟีราห์ และเบเอโรท เจ็ดร้อยสี่สิบสามคน
นหม 7.37 คนชาวโลด ชาวฮาดิด และชาวโอโน เจ็ดร้อยยี่สิบเอ็ดคน
นหม 7.68 ม้าของเขามีเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว ล่อของเขามีสองร้อยสี่สิบห้าตัว
นหม 7.69 อูฐของเขามีสี่ร้อยสามสิบห้าตัว และลาของเขามีหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบตัว
ยรม 52.30 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาลเนบูคัดเนสซาร์ เนบูซาระดานผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์จับยิวเป็นเชลยเจ็ดร้อยสี่สิบห้าคน รวมคนทั้งหมดเป็นสี่พันกับหกร้อยคน

เจ็ดสิบ ( 61 )
ปฐก 5.12 เคนันอยู่มาได้เจ็ดสิบปี และให้กำเนิดบุตรชื่อมาหะลาเลล
ปฐก 11.26 เทราห์มีอายุได้เจ็ดสิบปีและให้กำเนิดบุตรชื่ออับราม นาโฮร์ และฮาราน
ปฐก 46.27 บุตรชายของโยเซฟซึ่งเกิดแก่ท่านในอียิปต์มีสองคน นับคนทั้งปวงในครอบครัวของยาโคบที่เข้ามาในอียิปต์ได้เจ็ดสิบคน
ปฐก 50.3 เขาทำการอาบยารักษาศพนั้นถึงสี่สิบวัน จึงสำเร็จเวลาของการอาบยารักษาศพ ชาวอียิปต์ก็ไว้ทุกข์ให้อิสราเอลถึงเจ็ดสิบวัน
อพย 1.5 คนทั้งปวงที่ออกมาจากบั้นเอวของยาโคบรวมเจ็ดสิบคนด้วยกัน ส่วนโยเซฟนั้นอยู่ที่ประเทศอียิปต์แล้ว
อพย 15.27 พวกเขามาถึงตำบลเอลิม ที่มีบ่อน้ำพุสิบสองบ่อ มีต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น พวกเขาจึงตั้งค่ายใกล้บ่อน้ำนั้น
อพย 24.1 พระองค์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้ากับอาโรน นาดับ และอาบีฮู กับพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนของอิสราเอลจงขึ้นมาเฝ้าพระเยโฮวาห์ แล้วนมัสการอยู่แต่ไกล
อพย 24.9 ครั้งนั้นโมเสสกับอาโรน นาดับและอาบีฮู และพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนของอิสราเอลขึ้นไปอีก
อพย 38.29 ทองสัมฤทธิ์เขานำมาถวายหนักเจ็ดสิบตะลันต์ กับสองพันสี่ร้อยเชเขล
กดว 7.13 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล และชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.19 เขาถวายของถวายของเขาเป็นจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.25 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.31 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.37 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.43 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.49 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.55 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.61 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.67 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.73 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.79 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.85 จานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล และชามลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล เงินที่ทำภาชนะทั้งหมดหนักสองพันสี่ร้อยเชเขล ตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์
กดว 11.16 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงรวบรวมพวกผู้ใหญ่ในอิสราเอลให้เราเจ็ดสิบคน เป็นคนที่เจ้าทราบว่าเป็นคนผู้ใหญ่ในประชาชนและเป็นเจ้าหน้าที่เหนือเขาทั้งหลาย จงพาเขามาที่พลับพลาแห่งชุมนุมให้เขายืนอยู่พร้อมกับเจ้าที่นั่น
กดว 11.24 โมเสสก็ออกไปบอกแก่คนทั้งปวงถึงพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ และท่านได้รวบรวมพวกผู้ใหญ่ในประชาชนได้เจ็ดสิบคน แต่งตั้งเขาไว้ให้ยืนรอบพลับพลา
กดว 11.25 แล้วพระเยโฮวาห์เสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส และเอาวิญญาณที่มีอยู่บนโมเสสบ้างใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้น และต่อมาเมื่อวิญญาณอยู่บนเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็พยากรณ์ แต่เขาทั้งหลายก็ไม่ทำอีก
กดว 33.9 และเขายกเดินจากมาราห์มาถึงเอลิม ที่เอลิมมีน้ำพุสิบสองแห่งและต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น และเขาตั้งค่ายที่นั่น
พบญ 10.22 บรรพบุรุษของท่านลงไปในอียิปต์เจ็ดสิบคน และบัดนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีมากดังดวงดาวในท้องฟ้า”
วนฉ 1.7 อาโดนีเบเซกกล่าวว่า “มีกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ที่หัวแม่มือและหัวแม่เท้าของเขาถูกตัดออก เก็บเศษอาหารอยู่ใต้โต๊ะของเรา เรากระทำแก่เขาอย่างไร พระเจ้าก็ทรงกระทำแก่เราอย่างนั้น” เขาทั้งหลายก็คุมตัวท่านมาที่กรุงเยรูซาเล็ม และท่านก็สิ้นชีวิตที่นั่น
วนฉ 8.30 กิเดโอนมีบุตรชายเกิดจากบั้นเอวของท่านเจ็ดสิบคน เพราะท่านมีภรรยาหลายคน
วนฉ 9.2 “ขอบอกความนี้ให้เข้าหูบรรดาชาวเมืองเชเคมเถิดว่า ‘จะให้บุตรชายเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนครอบครองท่านทั้งหลายดี หรือจะให้ผู้เดียวปกครองดี’ ขอระลึกไว้ด้วยว่า ตัวข้าพเจ้านี้เป็นกระดูกและเนื้อเดียวกับท่านทั้งหลาย”
วนฉ 9.4 เขาจึงเอาเงินเจ็ดสิบแผ่นออกจากวิหารพระบาอัลเบรีทมอบให้อาบีเมเลค อาบีเมเลคก็เอาเงินนั้นไปจ้างนักเลงหัวไม้ไว้ติดตามตน
วนฉ 9.5 เขาจึงไปที่บ้านบิดาของเขาที่เมืองโอฟราห์ฆ่าพี่น้องของตน คือบุตรชายเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนที่ศิลาแผ่นเดียว เหลือแต่โยธามบุตรชายสุดท้องของเยรุบบาอัล เพราะเขาซ่อนตัวเสีย
วนฉ 9.18 แต่ในวันนี้เจ้าทั้งหลายได้ลุกขึ้นประทุษร้ายต่อครอบครัวบิดาของเรา ได้ฆ่าบุตรชายทั้งเจ็ดสิบคนของท่านเสียบนศิลาแผ่นเดียว แล้วตั้งอาบีเมเลคบุตรชายของสาวคนใช้ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเหนือชาวเชเคม เพราะว่าเขาเป็นญาติของเจ้าทั้งหลาย)
วนฉ 9.24 เพื่อความทารุณที่เขาได้กระทำแก่บุตรชายเจ็ดสิบคนของเยรุบบาอัลจะสนอง และโลหิตของคนเหล่านั้นจะได้ตกแก่อาบีเมเลค พี่น้องผู้ได้ประหารเขาและตกแก่ชาวเมืองเชเคม ผู้เสริมกำลังมืออาบีเมเลคให้ฆ่าพี่น้องของตน
วนฉ 9.56 ดังนี้แหละพระเจ้าทรงสนองความชั่วที่อาบีเมเลคได้กระทำต่อบิดาของตนที่ได้ฆ่าพี่น้องเจ็ดสิบคนของตนเสีย
วนฉ 12.14 ท่านมีบุตรชายสี่สิบคน และหลานชายสามสิบคน ขี่ลาเจ็ดสิบตัว ท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่แปดปี
1ซมอ 6.19 พระองค์จึงทรงประหารชาวเบธเชเมช เพราะว่าเขาทั้งหลายได้มองข้างในหีบแห่งพระเยโฮวาห์ พระองค์ได้ทรงประหารเสียห้าหมื่นเจ็ดสิบคน และประชาชนก็ไว้ทุกข์ เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงประหารประชาชนเสียเป็นอันมาก
2พกษ 10.1 ฝ่ายอาหับมีโอรสเจ็ดสิบองค์ในสะมาเรีย เยฮูจึงทรงพระอักษรส่งไปยังสะมาเรียถึงบรรดาผู้ปกครองเมืองยิสเรเอลนั้น ถึงพวกผู้ใหญ่ และถึงบรรดาพี่เลี้ยงแห่งโอรสของอาหับว่า
2พกษ 10.6 แล้วพระองค์ทรงมีลายพระหัตถ์ไปถึงเขาฉบับที่สองว่า “ถ้าท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายเรา และถ้าท่านพร้อมที่จะเชื่อฟังเสียงของเรา จงนำศีรษะของบรรดาโอรสนายของท่านมาหาเราที่ยิสเรเอลพรุ่งนี้เวลานี้” ฝ่ายโอรสของกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ด้วยกัน อยู่กับคนใหญ่คนโตในเมือง ผู้ซึ่งได้ชุบเลี้ยงท่านทั้งหลายมา
2พกษ 10.7 และอยู่มาเมื่อลายพระหัตถ์มาถึงเขาทั้งหลาย เขาก็จับโอรสของกษัตริย์ฆ่าเสียเจ็ดสิบองค์ด้วยกัน เอาศีรษะใส่ตะกร้าส่งไปยังพระองค์ที่ยิสเรเอล
2พศด 29.32 จำนวนเครื่องเผาบูชาซึ่งชุมนุมชนนำมา คือวัวผู้เจ็ดสิบตัว แกะผู้หนึ่งร้อยและลูกแกะสองร้อย ทั้งสิ้นนี้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์
2พศด 36.21 เพื่อให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ผ่านปากของเยเรมีย์ จนกว่าแผ่นดินจะได้ชื่นชมกับปีสะบาโตของมัน เพราะตราบเท่าที่มันยังว่างเปล่าอยู่ มันก็รักษาสะบาโต เพื่อจะให้ครบตามกำหนดเจ็ดสิบปี
อสร 8.7 จากคนเอลามมี เยชายาห์ บุตรชายอาธาลิยาห์ พร้อมกับท่านมีผู้ชายเจ็ดสิบคน
อสร 8.14 จากคนบิกวัยมี อุธัยและศับบูด พร้อมกับเขาทั้งสองมีผู้ชายเจ็ดสิบคน
สดด 90.10 กำหนดปีของข้าพระองค์ทั้งหลายคือเจ็ดสิบหรือถ้าเป็นเหตุจากมีกำลังก็ถึงแปดสิบ แต่ช่วงชีวิตนั้นมีแต่งานและความโศกเศร้า ไม่ช้าก็สูญไปและข้าพระองค์ทั้งหลายก็จากไป
อสย 23.15 ต่อมาในวันนั้น เขาจะลืมเมืองไทระเจ็ดสิบปี อย่างกับอายุของกษัตริย์องค์เดียว พอสิ้นเจ็ดสิบปีไทระจะร้องเพลงอย่างหญิงแพศยาว่า
อสย 23.17 ต่อมาเมื่อสิ้นเจ็ดสิบปี พระเยโฮวาห์จะทรงเยี่ยมเยียนเมืองไทระ และเมืองนั้นจะกลับไปรับจ้างใหม่ และจะเล่นชู้กับบรรดาราชอาณาจักรทั้งสิ้นบนพื้นโลก
ยรม 25.11 แผ่นดินนี้ทั้งสิ้นจะเป็นที่รกร้างและที่น่าตกตะลึง และประชาชาติเหล่านี้จะปรนนิบัติกษัตริย์กรุงบาบิโลนอยู่เจ็ดสิบปี’
ยรม 25.12 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘ต่อมาเมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและประชาชาตินั้น คือแผ่นดินของชาวเคลเดีย เพราะความชั่วช้าของเขาทั้งหลาย กระทำให้แผ่นดินนั้นรกร้างอยู่เนืองนิตย์
ยรม 29.10 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เมื่อเจ็ดสิบปีแห่งบาบิโลนครบแล้ว เราจะเยี่ยมเยียนเจ้า และจะให้ถ้อยคำอันดีของเราสำเร็จเพื่อเจ้า และจะนำเจ้ากลับมาสู่สถานที่นี้
อสค 8.11 และมีพวกผู้ใหญ่แห่งวงศ์วานอิสราเอลเจ็ดสิบคนยืนอยู่ข้างหน้ารูปเหล่านั้น และมียาอาซันยาห์ บุตรชายชาฟานยืนอยู่ในหมู่พวกเขาทั้งหลาย ต่างก็มีกระถางไฟอยู่ในมือ และควันหนาทึบแห่งเครื่องบูชาก็ขึ้นไปข้างบน
อสค 41.12 ตึกที่หันหน้ามายังสนามของพระนิเวศทางด้านตะวันตกนั้นกว้างเจ็ดสิบศอก และผนังของตึกหนาห้าศอกโดยรอบและยาวเก้าสิบศอก
ดนล 9.2 ในปีแรกแห่งรัชกาลของท่าน ข้าพเจ้าดาเนียลได้เข้าใจถึงจำนวนปีจากหนังสือ ซึ่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์ได้มีมาถึงเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ว่า พระองค์จะทรงกระทำให้ครบกำหนดเจ็ดสิบปีในการรกร้างของกรุงเยรูซาเล็ม
ดนล 9.24 มีเจ็ดสิบสัปดาห์กำหนดไว้สำหรับชนชาติของท่าน และนครบริสุทธิ์ของท่าน เพื่อให้เสร็จสิ้นการละเมิด ให้บาปจบสิ้น และให้ลบความชั่วช้าเพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามา เพื่อประทับตราทั้งนิมิตและคำพยากรณ์ไว้ และเพื่อจะเจิมสถานบริสุทธิ์ที่สุด
ศคย 1.12 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์กล่าวว่า ‘โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา อีกนานเท่าใดพระองค์จะไม่ทรงเมตตากรุงเยรูซาเล็ม และหัวเมืองแห่งยูดาห์ ซึ่งพระองค์ก็ทรงกริ้วมาเจ็ดสิบปีแล้ว พระเจ้าข้า’
ศคย 7.5 “จงกล่าวแก่ประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินและแก่บรรดาปุโรหิตว่า เมื่อเจ้าทั้งหลายอดอาหารและไว้ทุกข์ในเดือนที่ห้าและในเดือนที่เจ็ด ตั้งเจ็ดสิบปีนั้น เจ้าได้อดอาหารเพื่อเราคือเราเองหรือ
มธ 18.22 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด
ลก 10.1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบคนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน ให้เข้าไปทุกเมืองและทุกตำบลที่พระองค์จะเสด็จไปนั้น
ลก 10.17 ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นกลับมาด้วยความปรีดีทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์”
กจ 23.23 ฝ่ายนายพันจึงเรียกนายร้อยสองคนมาสั่งว่า “จงจัดพลทหารสองร้อยกับทหารม้าเจ็ดสิบคน และทหารหอกสองร้อย ให้พร้อมในเวลาสามทุ่มคืนวันนี้จะไปยังเมืองซีซารียา

เจ็ดสิบเจ็ด ( 4 )
ปฐก 4.24 ถ้าผู้ที่ฆ่าคาอินจะได้รับโทษเป็นเจ็ดเท่า แล้วผู้ที่ฆ่าลาเมคจะได้รับโทษเจ็ดสิบเจ็ดเท่าเป็นแน่”
ปฐก 5.31 รวมอายุของลาเมคได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดปีและเขาได้สิ้นชีวิต
วนฉ 8.14 จับชายหนุ่มชาวเมืองสุคคทได้คนหนึ่ง จึงซักถามเขา ชายคนนี้ก็เขียนชื่อเจ้านายและพวกผู้ใหญ่ของเมืองสุคคทให้ รวมเจ็ดสิบเจ็ดคนด้วยกัน
อสร 8.35 บรรดาลูกหลานของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย ซึ่งมาจากการเป็นเชลย ได้ถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าแห่งอิสราเอล มีวัวผู้สิบสองตัวสำหรับพวกอิสราเอลทั้งปวง แกะผู้เก้าสิบหกตัว ลูกแกะเจ็ดสิบเจ็ดตัว และแพะผู้สิบสองตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ทั้งสิ้นนี้เป็นเครื่องเผาบูชาถวายพระเยโฮวาห์

เจ็ดสิบสอง ( 7 )
กดว 31.38 มีวัวสามหมื่นหกพันตัว วัวอันเป็นส่วนของพระเยโฮวาห์เจ็ดสิบสองตัว
อสร 2.3 คนปาโรช สองพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน
อสร 2.4 คนเชฟาทิยาห์ สามร้อยเจ็ดสิบสองคน
นหม 7.8 คนปาโรช สองพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน
นหม 7.9 คนเชฟาทิยาห์ สามร้อยเจ็ดสิบสองคน
นหม 11.19 คนเฝ้าประตูมี อักขูบ ทัลโมนและพี่น้องของเขา ผู้เฝ้าบรรดาประตูมีหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน
วว 21.17 ท่านวัดกำแพงเมืองนั้น ได้เจ็ดสิบสองเมตร ตามมาตรวัดของมนุษย์ ซึ่งคือมาตรวัดของทูตสวรรค์องค์นั้น

เจ็ดสิบสาม ( 4 )
กดว 3.43 บุตรชายหัวปีทั้งหลายตามจำนวนชื่อที่นับได้ ซึ่งมีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป มีสองหมื่นสองพันสองร้อยเจ็ดสิบสามคน
กดว 3.46 สำหรับเป็นค่าไถ่บุตรหัวปีของคนอิสราเอลจำนวนสองร้อยเจ็ดสิบสามคนที่เกินจำนวนผู้ชายคนเลวีนั้น
อสร 2.36 บรรดาปุโรหิตคือ คนเยดายาห์ วงศ์วานเยชูอา เก้าร้อยเจ็ดสิบสามคน
นหม 7.39 บรรดาปุโรหิต คนเยดายาห์ คือวงศ์วานของเยชูอา เก้าร้อยเจ็ดสิบสามคน

เจ็ดสิบสี่ ( 2 )
อสร 2.40 คนเลวีคือ คนเยชูอาและขัดมีเอล ฝ่ายคนโฮดาวิยาห์ เจ็ดสิบสี่คน
นหม 7.43 คนเลวี คือคนเยชูอาคือ ของขัดมีเอล และของคนโฮเดวาห์ เจ็ดสิบสี่คน

เจ็ดสิบหก ( 1 )
กจ 27.37 เราทั้งหลายที่อยู่ในกำปั่นนั้นรวมสองร้อยเจ็ดสิบหกคน

เจ็ดสิบห้า ( 7 )
ปฐก 12.4 ดังนั้นอับรามจึงออกไปตามที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสแก่ท่านและโลทก็ไปกับท่าน อับรามมีอายุได้เจ็ดสิบห้าปีขณะเมื่อท่านออกจากเมืองฮาราน
ปฐก 25.7 อายุแห่งชีวิตของอับราฮัม คือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าปี
อพย 38.25 เงินตามจำนวนชุมนุมชนได้นับไว้ รวมเป็นหนึ่งร้อยตะลันต์กับหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าเชเขล ตามเชเขลแห่งสถานบริสุทธิ์
อพย 38.28 แต่เงินหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าเชเขลนั้นเขาใช้ทำขอสำหรับเสาและหุ้มบัวคว่ำของเสานั้น และทำราวยึดเสาด้วย
กดว 31.37 และส่วนแกะที่เป็นของพระเยโฮวาห์มีหกร้อยเจ็ดสิบห้าตัว
อสร 2.5 คนอาราห์ เจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าคน
กจ 7.14 ฝ่ายโยเซฟจึงได้เชิญยาโคบบิดากับบรรดาญาติของตนเจ็ดสิบห้าคนให้มาหา

เจ็ดหมื่น ( 12 )
กดว 1.27 จำนวนคนในตระกูลยูดาห์เป็นเจ็ดหมื่นสี่พันหกร้อยคน
กดว 2.4 พลโยธาที่นับไว้นี้มีเจ็ดหมื่นสี่พันหกร้อยคน
กดว 26.22 เหล่านี้เป็นครอบครัวของยูดาห์ ตามจำนวนของเขามีเจ็ดหมื่นหกพันห้าร้อยคน
กดว 31.32 บรรดาทรัพย์ที่ปล้นได้อันเหลือจากสิ่งที่ทหารริบมาได้นั้น คือ แกะหกแสนเจ็ดหมื่นห้าพันตัว
กดว 31.33 วัวเจ็ดหมื่นสองพันตัว
2ซมอ 24.15 ดังนั้นพระเยโฮวาห์จึงทรงให้โรคระบาดเกิดขึ้นในอิสราเอลตั้งแต่เวลาเช้าจนสิ้นเวลากำหนด และประชาชนที่ตายตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบามีเจ็ดหมื่นคน
1พกษ 5.15 ซาโลมอนมีคนขนของหนักเจ็ดหมื่นคน และคนสกัดหินในถิ่นเทือกเขาแปดหมื่นคน
1พศด 21.5 และโยอาบถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่ดาวิด ในอิสราเอลทั้งสิ้นมีหนึ่งล้านหนึ่งแสนคนที่ชักดาบ และในยูดาห์มีสี่แสนเจ็ดหมื่นคนที่ชักดาบ
1พศด 21.14 ดังนั้นพระเยโฮวาห์ทรงให้โรคระบาดเกิดขึ้นในอิสราเอล และคนอิสราเอลได้ล้มตายเจ็ดหมื่นคน
2พศด 2.2 และซาโลมอนทรงกำหนดให้เจ็ดหมื่นคนเป็นคนขนของ และให้แปดหมื่นคนสกัดหินที่ถิ่นเทือกเขา และให้คนสามพันหกร้อยคนดูแลเขาทั้งหลาย
2พศด 2.18 พระองค์ทรงกำหนดให้เจ็ดหมื่นคนเป็นคนขนของ และให้แปดหมื่นคนสกัดหินที่ถิ่นเทือกเขา และคนสามพันหกร้อยคนเป็นผู้ดูแลให้ประชาชนทำงาน
อสธ 9.16 ฝ่ายพวกยิวอื่นๆซึ่งอยู่ในมณฑลของกษัตริย์ก็ชุมนุมกันป้องกันชีวิต และพ้นศัตรูของเขา เขาสังหารผู้ที่เกลียดชังเขาเสียเจ็ดหมื่นห้าพันคน แต่เขามิได้ริบข้าวของ

เจตนา ( 32 )
ปฐก 6.5 และพระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วของมนุษย์มีมากบนแผ่นดินโลก และเจตนาทุกอย่างแห่งความคิดทั้งหลายในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายอย่างเดียวเสมอไป
ปฐก 8.21 พระเยโฮวาห์ได้ดมกลิ่นหอมหวาน และพระเยโฮวาห์ทรงดำริในพระทัยว่า “เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดินอีกเพราะเหตุมนุษย์ ด้วยว่าเจตนาในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายตั้งแต่เด็กมา เราจะไม่ประหารสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตอีกเหมือนอย่างที่เราได้กระทำแล้วนั้น
ปฐก 18.27 อับราฮัมทูลตอบว่า “ดูเถิด กรุณาเถิด ข้าพระองค์มีเจตนาทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งข้าพระองค์เป็นเพียงผงคลีดินและขี้เถ้า
ปฐก 18.31 เขาทูลว่า “ดูเถิด กรุณาเถิด ข้าพระองค์มีเจตนาทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บางทีจะพบยี่สิบคนที่นั่น” และพระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นเพราะเห็นแก่ยี่สิบคน”
อพย 21.13 ถ้าผู้ใดมิได้เจตนาฆ่าเขา แต่เขาตายเพราะพระเจ้าทรงปล่อยให้ตายด้วยมือของผู้นั้น เราจะตั้งตำบลหนึ่งไว้ให้เขาหนีไปที่นั่น
อพย 21.14 แต่ถ้าผู้ใดเจตนาหักหลังฆ่าเพื่อนบ้าน ก็ให้ดึงตัวเขาไปจากแท่นบูชาของเราเพื่อลงโทษให้ถึงตาย
ลนต 4.2 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดกระทำผิดสิ่งใดซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงบัญชามิให้กระทำ โดยเขามิได้เจตนากระทำสิ่งเหล่านั้นประการหนึ่งประการใด
ลนต 4.27 ถ้าพลไพร่สามัญคนหนึ่งคนใดกระทำความผิดโดยมิได้เจตนาคือกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชามิให้เขากระทำ เขาก็มีความผิด
ลนต 5.18 ให้ผู้นั้นนำแกะตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิมาจากฝูงมาถึงปุโรหิต ให้เจ้าตีราคา เป็นราคาเครื่องบูชาไถ่การละเมิด และให้ปุโรหิตทำการลบมลทินของเขาตามความผิดซึ่งเขาได้กระทำด้วยมิได้เจตนานั้น และเขาจะได้รับการอภัย
ลนต 22.14 ถ้าคนใดรับประทานสิ่งบริสุทธิ์โดยมิได้เจตนา เขาจะต้องเพิ่มค่าของนั้นหนึ่งในห้า และมอบแก่ปุโรหิตพร้อมกับสิ่งบริสุทธิ์นั้น
กดว 15.24 แล้วถ้าประชาชนได้กระทำผิดโดยไม่เจตนา โดยที่ชุมนุมชนไม่รู้เห็น ชุมนุมชนทั้งหมดต้องถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์ พร้อมกับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันตามลักษณะ และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 15.25 และให้ปุโรหิตทำการลบมลทินบาปให้แก่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด และเขาทั้งหลายจะได้รับอภัยโทษ เพราะเป็นการผิดโดยไม่เจตนา และเขาจะนำเครื่องบูชาของเขามาถวายด้วยไฟแด่พระเยโฮวาห์ และถวายเครื่องบูชาไถ่บาปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะความผิดโดยไม่เจตนาของเขา
กดว 15.26 และชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดจะได้รับอภัยโทษ พร้อมกับคนต่างด้าวผู้อยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เพราะว่าพลเมืองทั้งหมดเกี่ยวพันกับความผิดนั้นอันเกิดขึ้นโดยไม่เจตนา
กดว 35.11 เจ้าจงเลือกเมืองให้เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับเจ้า เพื่อคนที่ได้ฆ่าคนด้วยมิได้เจตนาจะหลบหนีไปอยู่ที่นั่นก็ได้
กดว 35.15 ทั้งหกเมืองนี้ให้เป็นเมืองลี้ภัยของคนอิสราเอลและสำหรับคนต่างด้าว และสำหรับคนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเขา เพื่อคนหนึ่งคนใดที่ได้ฆ่าเขาโดยมิได้เจตนาจะได้หลบหนีไปที่นั่น
พบญ 4.42 เพื่อผู้ใดที่ฆ่าคนจะได้หลบหนีไปอยู่ที่นั่น คือผู้ที่ฆ่าเพื่อนบ้านโดยมิได้เจตนา โดยมิได้เกลียดชังเขาแต่ก่อน และเมื่อหนีไปอยู่ในเมืองนี้เมืองใดเมืองหนึ่งก็จะรอดชีวิต
พบญ 17.8 ถ้าคดีใดเกิดขึ้นเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินได้ว่า เป็นคดีฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่ เป็นคดีเกี่ยวด้วยการเกี่ยงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ เป็นคดีทำร้ายร่างกาย เป็นคดีใดๆซึ่งโต้แย้งกันภายในประตูเมืองของท่าน ท่านจงลุกขึ้นพากันไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้
พบญ 19.4 ต่อไปนี้เป็นเรื่องของคนฆ่าคนผู้ที่หนีไปอยู่ในเมืองเหล่านั้นได้และรอดชีวิตอยู่ คือผู้ใดที่ได้ฆ่าเพื่อนบ้านของตนโดยมิได้เจตนา โดยมิได้เกลียดชังเขาแต่ก่อน
ยชว 20.3 เพื่อว่าผู้ฆ่าคนที่ได้ฆ่าคนใดด้วยมิได้เจตนาหรือไม่จงใจจะได้หนีไปอยู่ที่นั่น เมืองเหล่านี้จะได้เป็นที่ลี้ภัยของเจ้าเพื่อให้พ้นจากผู้อาฆาตโลหิต
ยชว 20.5 และถ้าผู้อาฆาตโลหิตไล่ตามเขาไป ผู้ใหญ่จะไม่มอบผู้ฆ่าคนนั้นไว้ในมือของผู้อาฆาตโลหิต เพราะว่าผู้นั้นได้ฆ่าเพื่อนบ้านของตนด้วยไม่มีเจตนา มิได้เกลียดชังเขาแต่ก่อน
ยชว 20.9 หัวเมืองเหล่านี้เป็นเมืองที่กำหนดไว้ให้คนอิสราเอลทั้งหมด และให้คนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา เพื่อว่าถ้าผู้ใดได้ฆ่าคนด้วยมิได้เจตนาจะได้หนีไปที่นั่นได้ เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องตายด้วยมือของผู้อาฆาตโลหิต จนกว่าเขาจะได้ยืนต่อหน้าชุมนุมชน
1พศด 12.38 ทหารทั้งสิ้นเหล่านี้ พร้อมที่จะทำศึก ได้มายังเฮโบรน ด้วยเจตนาเต็มเปี่ยมที่จะเชิญดาวิดเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น ในทำนองเดียวกันบรรดาคนอิสราเอลที่เหลืออยู่ ก็เป็นใจเดียวกันที่จะเชิญดาวิดเป็นกษัตริย์
2พศด 28.10 และบัดนี้ท่านทั้งหลายเจตนาจะข่มขี่ประชาชนแห่งยูดาห์และเยรูซาเล็มให้เป็นทาสชายและทาสหญิงของท่าน ตัวท่านเองไม่มีบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านหรือ
2พศด 32.2 และเมื่อเฮเซคียาห์ทรงเห็นว่าเซนนาเคอริบยกมาด้วยเจตนาจะต่อสู้กับเยรูซาเล็ม
นหม 6.2 สันบาลลัทกับเกเชมใช้ให้มาหาข้าพเจ้าว่า “ขอเชิญมาพบกันในชนบทแห่งหนึ่งในที่ราบโอโน” แต่เขาทั้งหลายเจตนาจะทำอันตรายข้าพเจ้า
นหม 6.6 ในนั้นมีเขียนไว้ว่า “เขากล่าวกันในท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และเกเชมก็กล่าวด้วยว่า ท่านและพวกยิวเจตนาจะกบฏ เหตุนั้นแหละท่านจึงสร้างกำแพง และท่านปรารถนาจะเป็นกษัตริย์ของพวกเขา ตามถ้อยคำนี้
ปญจ 8.11 เพราะการตัดสินการกระทำชั่วนั้น เขาไม่ได้ลงโทษโดยเร็ว เหตุฉะนั้นใจบุตรทั้งหลายของมนุษย์จึงเจตนามุ่งที่จะกระทำความชั่ว
ยรม 26.3 บางทีเขาจะฟัง และทุกคนจะกลับจากทางชั่วของเขา และเราจะกลับใจไม่ทำความร้ายซึ่งเราเจตนาจะกระทำต่อเขาทั้งหลาย เนื่องด้วยการกระทำที่ชั่วร้ายของเขาทั้งหลาย
อสค 18.2 “เจ้าทั้งหลายมีเจตนาอย่างไรในการกล่าวสุภาษิตข้อนี้อันเกี่ยวกับแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘บิดารับประทานองุ่นเปรี้ยวและบุตรก็เข็ดฟัน’
รม 7.18 ด้วยว่าข้าพเจ้ารู้ว่าในตัวข้าพเจ้า (คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้า) ไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่
2คร 8.20 เราเจตนาจะไม่ให้คนหนึ่งคนใดติเตียนเราได้ ในเรื่องของถวายเป็นอันมากซึ่งเรารับมาแจกนั้น

เจนจัด ( 2 )
อสธ 1.13 ฝ่ายกษัตริย์จึงตรัสกับคนที่มีปัญญาผู้ทราบกาลเทศะ (เพราะนี่เป็นวิธีดำเนินการของกษัตริย์ต่อบรรดาผู้ที่เจนจัดในกฎหมายและการพิพากษา
ปญจ 1.16 ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าได้มาถึงฐานะที่สูงส่ง และได้มีสติปัญญามากกว่าใครๆที่เคยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้า เออ ใจข้าพเจ้าก็เจนจัดในสติปัญญาและความรู้อย่างยิ่ง”

เจ็บ ( 23 )
ปฐก 34.25 ครั้นอยู่มาถึงวันที่สาม เมื่อคนเหล่านั้นกำลังเจ็บอยู่ บุตรชายสองคนของยาโคบชื่อสิเมโอนและเลวี เป็นพี่ชายนางสาวดีนาห์ ก็ถือดาบเข้าไปในเมืองด้วยใจกล้าหาญฆ่าผู้ชายในเมืองนั้นเสียสิ้น
ปฐก 35.16 เขาทั้งหลายไปจากเบธเอลใกล้จะถึงเอฟราธาห์ นางราเชลจะคลอดบุตรก็เจ็บครรภ์นัก
ปฐก 35.17 ต่อมาขณะที่นางเจ็บครรภ์นัก หญิงผดุงครรภ์บอกนางว่า “อย่ากลัว ท่านจะได้บุตรชายคนนี้ด้วย”
อพย 21.19 ถ้าผู้ที่ถูกเจ็บนั้นลุกขึ้น ถือไม้เท้าเดินออกไปได้อีก ผู้ตีนั้นก็พ้นโทษ แต่เขาจะต้องเสียค่าป่วยการ และค่ารักษาบาดแผลจนหายเป็นปกติ
นหม 2.2 ด้วยเหตุนี้กษัตริย์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ทำไมสีหน้าของเจ้าจึงเศร้าหมอง เจ้าก็ไม่เจ็บไม่ป่วยมิใช่หรือ เห็นจะไม่มีอะไรนอกจากเศร้าใจ” และข้าพเจ้าก็เกรงกลัวยิ่งนัก
สดด 70.2 ขอให้ผู้ที่มุ่งเอาชีวิตของข้าพระองค์ได้อายและเกิดความอลวน ขอให้ผู้ปรารถนาที่จะให้ข้าพระองค์เจ็บนั้นต้องหันกลับไปและได้ความอัปยศ
สดด 105.18 เท้าของเขาเจ็บช้ำด้วยตรวน ตัวเขาเข้าอยู่ในปลอกเหล็ก
สภษ 8.36 แต่ผู้ที่พลาดขาดเราก็กระทำจิตใจตัวเองให้เจ็บ บรรดาผู้ที่เกลียดชังเราก็รักความมรณา”
สภษ 13.12 ความหวังที่ถูกหน่วงไว้ทำให้ใจเจ็บช้ำ แต่ความปรารถนาที่สำเร็จแล้วเป็นต้นไม้แห่งชีวิต
สภษ 23.35 เจ้าจะว่า “เขาตีข้า แต่ข้าไม่เจ็บ เขาทุบข้า แต่ข้าไม่รู้สึก ข้าจะตื่นเมื่อไรหนอ ข้าจะแสวงหาการดื่มอีก”
ปญจ 10.9 ผู้ใดสกัดหิน ผู้นั้นจะเจ็บเพราะหินนั้น ผู้ใดผ่าขอนไม้ ผู้นั้นจะประสบอันตรายเพราะขอนไม้นั้นได้
อสย 1.5 ยังจะให้เฆี่ยนเจ้าตรงไหนอีกที่เจ้ากบฏอยู่เรื่อยไป ศีรษะก็เจ็บหมด จิตใจก็อ่อนเปลี้ยไปสิ้น
อสย 11.9 สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำให้เจ็บหรือจะทำลายทั่วภูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา เพราะว่าแผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้เรื่องของพระเยโฮวาห์ ดั่งน้ำปกคลุมทะเลอยู่นั้น
อสย 54.1 “จงร้องเพลงเถิด โอ หญิงหมันเอ๋ย ผู้ไม่คลอดบุตร จงเปล่งเสียงร้องเพลงและร้องเสียงดัง เจ้าผู้ไม่ได้เจ็บครรภ์ ด้วยว่าบุตรของผู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ยังจะมีมากกว่าบุตรของภรรยาที่ได้แต่งงาน” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้
ยรม 7.6 ถ้าเจ้าไม่บีบบังคับคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อหรือแม่ม่าย และไม่หลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตายในที่นี้ และเจ้าทั้งหลายไม่ติดตามพระอื่นไปให้เจ็บตัวเอง
ยรม 48.41 เคริโอทถูกจับไปและที่กำบังเข้มแข็งถูกยึด จิตใจของบรรดานักรบแห่งโมอับในวันนั้นจะเหมือนจิตใจของผู้หญิงซึ่งกำลังเจ็บครรภ์คลอดบุตร
อสค 34.4 ตัวที่อ่อนเพลียเจ้าก็ไม่เสริมกำลัง ตัวที่เจ็บเจ้าก็ไม่รักษา ตัวที่กระดูกหักเจ้าก็มิได้พันผ้า ตัวที่ถูกขับไล่ออกไปเจ้าก็มิได้ไปตามกลับมา ตัวที่หายไปเจ้าก็มิได้เสาะหา และเจ้าได้ปกครองเขาด้วยการบังคับและด้วยการข่มขี่เบียดเบียน
ดนล 8.27 และข้าพเจ้าดาเนียลก็อ่อนเพลีย และนอนเจ็บอยู่หลายวัน แล้วข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นไปปฏิบัติราชการของกษัตริย์ต่อไป แต่ข้าพเจ้าก็งงงันโดยนิมิตนั้น และไม่เข้าใจเรื่องราวเลย
มคา 5.3 ดังนั้น พระองค์จะทรงมอบเขาไว้จนถึงเวลาที่หญิงผู้เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร แล้วบรรดาพี่น้องที่เหลืออยู่จะกลับมายังคนอิสราเอล
มธ 4.23 พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรนั้น และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างของชาวเมืองให้หาย
1คร 12.26 ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะอันหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยชื่นชมยินดีด้วย
กท 4.27 เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘จงชื่นชมยินดีเถิด หญิงหมันผู้ไม่คลอดบุตร จงเปล่งเสียงโห่ร้อง เจ้าผู้ไม่ได้เจ็บครรภ์ ด้วยว่าหญิงที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ยังมีบุตรมากกว่าหญิงที่ยังมีสามีอยู่กับนางมากมายนัก’

เจ็บใจ ( 1 )
1พศด 4.10 ยาเบสทูลพระเจ้าของอิสราเอลว่า “โอ ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ และขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บใจปวดกาย” และพระเจ้าทรงประสาทตามที่เขาทูลขอ

เจ็บปวด ( 10 )
สภษ 11.17 ชายผู้มีความเอ็นดูย่อมให้ประโยชน์แก่จิตใจตน แต่ชายที่ดุร้ายย่อมทำให้ตัวเองเจ็บปวด
อสย 9.1 แต่กระนั้นแผ่นดินนั้นซึ่งอยู่ในความแสนระทมจะไม่กลัดกลุ้ม ในกาลก่อนพระองค์ทรงนำแคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลีมาสู่ความดูหมิ่น แต่ในกาลภายหลังพระองค์จะทรงกระทำให้หนทางข้างทะเล แคว้นฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือ กาลิลีแห่งบรรดาประชาชาติ ให้เจ็บปวดทรมานอย่างมาก
อสย 26.17 ดั่งหญิงมีครรภ์ เมื่อใกล้ถึงกำหนดเวลาคลอด ก็เจ็บปวดและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างฉับพลัน โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้นในสายพระเนตรของพระองค์
ยรม 4.31 เพราะเราได้ยินเสียงเหมือนเสียงหญิงคลอดบุตรร้องแสนเจ็บปวดอย่างกับจะคลอดบุตรหัวปี เสียงร้องแห่งบุตรสาวศิโยนนั้น แทบจะขาดใจ เหยียดมือของเธอออกร้องว่า ‘วิบัติแก่ข้าในบัดนี้ จิตใจข้าอ่อนเปลี้ยอยู่เพราะเหตุพวกฆาตกร’”
ยรม 12.13 เขาทั้งหลายได้หว่านข้าวสาลี แต่จะเกี่ยวหนาม เขาได้กระทำให้ตัวเจ็บปวด แต่จะไม่ได้กำไรอะไร เขาทั้งหลายจะละอายด้วยผลการเกี่ยวของเขา ด้วยเหตุความโกรธเกรี้ยวกราดของพระเยโฮวาห์”
ยรม 24.9 เราจะมอบเขาไว้ให้ย้ายไปอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นในโลกเพื่อให้เขาเจ็บปวด ให้เป็นที่ถูกตำหนิ เป็นคำภาษิต เป็นที่ถูกเยาะเย้ย และเป็นที่ถูกสาปแช่ง ในที่ทุกแห่งซึ่งเราขับไล่เขาให้ไปอยู่นั้น
ยรม 30.23 ดูเถิด นั่นลมหมุนของพระเยโฮวาห์ได้ออกไปแล้วด้วยพระพิโรธ เป็นลมหมุนกวาด มันจะตกลงอย่างเจ็บปวดบนศีรษะของคนชั่ว
ยรม 50.43 กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ยินข่าวเรื่องนั้น และพระหัตถ์ของพระองค์ก็อ่อนลง ความแสนระทมจับหัวใจเขา เจ็บปวดอย่างผู้หญิงกำลังคลอดบุตร
รม 8.22 เรารู้อยู่ว่า บรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้น กำลังคร่ำครวญและผจญความทุกข์ลำบากเจ็บปวดด้วยกันมาจนทุกวันนี้
กท 4.19 ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดเพราะท่านอีกจนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในตัวท่าน

เจ็บปวดรวดร้าว ( 1 )
มคา 4.9 เออ ทำไมเจ้าร้องไห้เสียงดัง ไม่มีกษัตริย์ปกครองเจ้าหรือ ที่ปรึกษาของเจ้าพินาศเสียแล้วหรือ เจ้าจึงเจ็บปวดรวดร้าวอย่างกับหญิงจะคลอดบุตร

เจ็บป่วย ( 5 )
อพย 21.18 ถ้ามีผู้วิวาทกัน และฝ่ายหนึ่งเอาหินขว้างหรือชก แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่เจ็บป่วยต้องนอนพัก
มคา 6.13 เพราะฉะนั้นเราจะกระทำให้เจ้าเจ็บป่วยด้วยการเฆี่ยนตีเจ้า ด้วยการกระทำให้เจ้ารกร้างไปเพราะเหตุบาปของเจ้า
มธ 25.36 เราเปลือยกาย ท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วย ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในคุก ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา’
มธ 25.43 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในคุก ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา’
ยก 5.14 มีผู้ใดในพวกท่านเจ็บป่วยหรือ จงให้ผู้นั้นเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมา และให้ท่านเหล่านั้นอธิษฐานเพื่อเขา และเจิมเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เจ็บร้อน ( 1 )
กดว 11.29 แต่โมเสสบอกเขาว่า “ท่านเจ็บร้อนแทนเราหรือ เราใคร่ให้ประชาชนของพระเยโฮวาห์เป็นผู้พยากรณ์ทุกคน และใคร่ให้พระเยโฮวาห์ทรงใส่วิญญาณของพระองค์ไว้บนเขาเหล่านั้น”

เจริญ ( 73 )
ปฐก 24.35 พระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรแก่นายข้าพเจ้าอย่างมากมาย ท่านก็เจริญขึ้น และพระองค์ทรงประทานฝูงแพะแกะ และฝูงวัว เงินและทอง คนใช้ชายหญิง อูฐและลา
ปฐก 39.2 พระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ โยเซฟจึงเจริญรวดเร็ว เขาอยู่ในบ้านคนอียิปต์นายของเขา
ปฐก 39.3 นายก็เห็นว่าพระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ และพระเยโฮวาห์ทรงโปรดให้การงานทุกอย่างที่กระทำเจริญขึ้นมากในมือของโยเซฟ
ปฐก 39.5 ต่อมาตั้งแต่โปทิฟาร์ตั้งโยเซฟให้เป็นผู้ดูแลการงานในบ้าน และทรัพย์สิ่งของทั้งปวงของท่านแล้ว พระเยโฮวาห์ก็ได้ทรงอำนวยพระพรให้แก่ครอบครัวของคนอียิปต์นั้นเพราะเห็นแก่โยเซฟ ทั้งพระเยโฮวาห์ทรงอวยพรให้สิ่งของทั้งปวงซึ่งเขามีอยู่ในบ้านและในนาให้เจริญขึ้น
ปฐก 39.23 ผู้คุมเรือนจำไม่ได้เอาใจใส่การงานใดๆที่โยเซฟดูแล เพราะเหตุพระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และการงานใดๆที่ท่านกระทำพระเยโฮวาห์ก็ทรงโปรดให้เจริญ
ปฐก 48.16 ขอทูตสวรรค์ที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายทั้งสิ้น โปรดอวยพรแก่เด็กหนุ่มทั้งสองนี้ ให้เขาสืบชื่อของข้าพเจ้าและชื่อของอับราฮัมและชื่อของอิสอัคบิดาของข้าพเจ้าไว้และขอให้เขาเจริญขึ้นเป็นมวลชนบนแผ่นดินเถิด”
พบญ 5.29 โอ อยากให้มีจิตใจเช่นนี้อยู่เสมอไปหนอ คือที่จะยำเกรงเราและรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา เขาทั้งหลายก็จะสุขเจริญอยู่ตลอดชั่วลูกหลานของเขาเป็นนิตย์
2ซมอ 5.10 และดาวิดทรงเจริญยิ่งๆขึ้นไปเพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาทรงสถิตกับพระองค์
2ซมอ 23.5 ถึงแม้ว่าวงศ์วานของข้าพเจ้าไม่เป็นเช่นนั้นกับพระเจ้าแล้ว แต่พระองค์ยังทรงกระทำพันธสัญญาเนืองนิตย์กับข้าพเจ้าไว้ อันเป็นระเบียบทุกอย่างและมั่นคง เพราะนี่เป็นความรอดและความปรารถนาทั้งสิ้นของข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ทรงกระทำให้เจริญขึ้น
1พศด 29.23 แล้วซาโลมอนทรงประทับบนพระที่นั่งของพระเยโฮวาห์เป็นกษัตริย์แทนดาวิดราชบิดาของพระองค์ และพระองค์ทรงเจริญขึ้น และอิสราเอลทั้งปวงก็เชื่อฟังพระองค์
2พศด 17.12 และเยโฮชาฟัททรงเจริญใหญ่ยิ่งขึ้นเป็นลำดับ พระองค์ทรงสร้างป้อมและหัวเมืองคลังหลวงไว้ในยูดาห์
2พศด 24.20 แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าได้สวมทับเศคาริยาห์บุตรชายเยโฮยาดาปุโรหิต และท่านได้ยืนเหนือประชาชน และกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ‘ทำไมท่านทั้งหลายจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์อันเป็นเหตุให้ท่านเจริญขึ้นไม่ได้’ เพราะท่านทั้งหลายได้ทอดทิ้งพระเยโฮวาห์พระองค์จึงทอดทิ้งท่าน”
2พศด 26.5 และพระองค์ทรงแสวงหาพระเจ้าในสมัยของเศคาริยาห์ ผู้เข้าใจในนิมิตต่างๆจากพระเจ้า และตราบใดที่พระองค์แสวงหาพระเยโฮวาห์ พระเจ้าทรงกระทำให้พระองค์เจริญ
อสร 5.8 ขอกษัตริย์ทรงทราบว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไปยังมณฑลยูดาห์ ถึงพระนิเวศของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง ซึ่งกำลังสร้างขึ้นด้วยหินใหญ่ และวางไม้ไว้บนผนัง งานนี้ได้ดำเนินไปอย่างขยันขันแข็งและเจริญขึ้นในมือของเขา
โยบ 8.6 ถ้าท่านบริสุทธิ์และเที่ยงธรรมแน่ละ บัดนี้พระองค์ก็จะทรงตื่นขึ้นเพื่อท่าน และทรงให้ที่อาศัยแห่งความชอบธรรมของท่านเจริญเป็นแน่
โยบ 9.4 พระองค์ฉลาดอยู่ในพระทัย และพระกำลังก็แข็งแรง ผู้ใดเคยได้แข็งข้อต่อพระองค์และเจริญขึ้นได้เล่า
โยบ 21.7 ทำไมคนชั่วจึงมีชีวิตอยู่ เออ จนถึงแก่ และเจริญมีกำลังมากขึ้น
โยบ 21.13 ตลอดวันเวลาของเขา เขาก็เจริญ และเขาลงไปที่แดนคนตายในพริบตาเดียว
โยบ 22.23 ถ้าท่านกลับมายังองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ท่านจะเจริญและจะทิ้งความชั่วช้าให้ไกลจากเต็นท์ของท่าน
สดด 37.7 จงสงบอยู่ต่อพระเยโฮวาห์ และเพียรรอคอยพระองค์อยู่ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อนเพราะเหตุผู้ที่เจริญตามทางของเขา หรือเพราะเหตุผู้ที่กระทำตามอุบายชั่ว
สดด 49.18 แม้ว่าเมื่อเขาเป็นอยู่ เขานับว่าตัวเขาสุขสบาย และคนอื่นจะยกย่องท่านเมื่อท่านเจริญ
สดด 72.7 ในสมัยของท่านคนชอบธรรมจะเจริญขึ้น และสันติภาพอันอุดมจนไม่มีดวงจันทร์
สดด 73.12 ดูเถิด คนอธรรมเป็นเช่นนี้แหละ เขาเจริญในแผ่นดินโลกและร่ำรวยขึ้น
สดด 80.15 คือสวนองุ่นซึ่งพระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงปลูกไว้ และกิ่งที่พระองค์ทรงให้เจริญแข็งแรงเพื่อพระองค์เอง
สดด 92.7 ว่า ถึงแม้คนชั่วจะงอกขึ้นอย่างหญ้า และคนกระทำความชั่วช้าทั้งปวงเจริญขึ้น เขาทั้งหลายจะถูกทำลายเป็นนิตย์
สดด 92.12 คนชอบธรรมจะงอกขึ้นอย่างต้นอินทผลัม เขาจะเจริญขึ้นอย่างต้นสนสีดาร์ในเลบานอน
สดด 92.13 คนที่ถูกปลูกไว้ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะเจริญขึ้นในบริเวณของพระเจ้าของเราทั้งหลาย
สดด 103.15 ส่วนมนุษย์นั้น วันเวลาของเขาเหมือนหญ้า เขาเจริญขึ้นเหมือนดอกไม้ในทุ่งนา
สภษ 28.25 คนใจเย่อหยิ่งเร้าให้เกิดการวิวาท แต่ผู้ที่วางใจในพระเยโฮวาห์จะเจริญขึ้น
ปญจ 11.6 เวลาเช้าเจ้าจงหว่านพืชของเจ้า และพอเวลาเย็นก็อย่าหดมือของเจ้าเสีย เพราะเจ้าหาทราบไม่ว่าการไหนจะเจริญ การนี้หรือการนั้น หรือการทั้งสองจะเจริญดีเหมือนกัน
อสย 53.2 เพราะท่านจะเจริญขึ้นต่อพระพักตร์พระองค์อย่างต้นไม้อ่อน และเหมือนรากแตกหน่อมาจากพื้นดินแห้ง ท่านไม่มีรูปร่างหรือความสวยงาม และเมื่อเราทั้งหลายจะมองท่าน ไม่มีความงามที่เราจะพึงปรารถนาท่าน
อสย 53.10 แต่ก็ยังเป็นน้ำพระทัยของพระเยโฮวาห์ที่จะให้ท่านฟกช้ำด้วยความระทมทุกข์ เมื่อพระองค์ทรงกระทำให้วิญญาณของท่านเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ท่านจะเห็นเชื้อสายของท่าน ท่านจะยืดวันทั้งหลายของท่าน น้ำพระทัยของพระเยโฮวาห์จะเจริญขึ้นในมือของท่าน
ยรม 2.37 เจ้าจะออกมาจากที่นั่นด้วย โดยเอามือกุมศีรษะของเจ้าไว้ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงทอดทิ้งบรรดาความไว้วางใจของเจ้าเสีย เจ้าจะเจริญขึ้นมาเพราะเขาก็ไม่ได้”
ยรม 5.28 เขาจึงอ้วนพีจนตัวเกลี้ยงเกลา ในเรื่องการกระทำความชั่วเขาล้ำหน้า เขามิได้ตัดสินคดี คือคดีของลูกกำพร้าพ่อ ด้วยความยุติธรรม ถึงกระนั้นเขาก็เจริญ เขามิได้ป้องกันสิทธิของคนขัดสน”
ยรม 20.11 แต่พระเยโฮวาห์ทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าดังนักรบที่น่ากลัว เพราะฉะนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุด เขาจะไม่ชนะข้าพเจ้า เขาจะขายหน้ามาก เพราะเขาจะไม่เจริญขึ้น ความอัปยศอดสูเป็นนิตย์ของเขานั้นจะไม่มีวันลืม
ยรม 22.30 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “จงเขียนลงว่าชายคนนี้ไม่มีบุตร เป็นชายซึ่งไม่เจริญขึ้นในชั่วชีวิตของเขา เพราะไม่มีคนแห่งเชื้อสายของเขาสักคนหนึ่งที่จะเจริญขึ้น ในการประทับบนพระที่นั่งของดาวิด และปกครองในยูดาห์อีก”
ยรม 23.5 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะเพาะอังกูรชอบธรรมให้ดาวิด และกษัตริย์องค์หนึ่งจะทรงครอบครองและเจริญขึ้น และจะทรงประทานความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมในแผ่นดินนั้น
ยรม 32.5 และเขาจะนำเศเดคียาห์ไปยังบาบิโลน และท่านจะอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะไปเยี่ยมท่าน พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ ถึงแม้เจ้าจะต่อสู้กับชาวเคลเดีย เจ้าก็จะไม่เจริญ’”
อสค 7.11 ความทารุณได้เจริญเป็นพลองชั่วร้าย จะไม่มีใครเหลืออยู่เลย ประชาชนของเขาก็ไม่มี สิ่งของของเขาก็ไม่มี ไม่มีใครร้องคร่ำครวญเผื่อพวกเขาเลย
อสค 16.13 เราก็ประดับเจ้าด้วยทองคำและเงิน และเสื้อผ้าของเจ้าก็เป็นผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าไหมและผ้าปัก เจ้ากินยอดแป้ง น้ำผึ้งและน้ำมัน เจ้างามเลิศทีเดียว และเจ้าเจริญขึ้นเป็นชั้นจ้าว
อสค 17.9 เจ้าจงกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เถานั้นจะเจริญขึ้นได้หรือ นกนั้นจะไม่ถอนรากมันขึ้นและเด็ดผลเพื่อให้เถาเหี่ยวแห้งเสียหรือ เถานั้นก็จะเหี่ยวแห้งไปตรงใบอ่อนที่งอกขึ้นแล้ว โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจอันยิ่งใหญ่หรือประชาชนเป็นอันมากเพื่อถอนเถาออกจากรากของมัน
ดนล 4.22 โอ ข้าแต่กษัตริย์ นี่คือพระองค์เอง ผู้ทรงเจริญและเข้มแข็ง ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้เจริญ และขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และราชอาณาจักรของพระองค์ก็ไปถึงสุดปลายพิภพ
ดนล 6.28 ดังนั้น ดาเนียลผู้นี้จึงได้เจริญขึ้นในรัชสมัยของดาริอัส และในรัชสมัยของไซรัสคนเปอร์เซีย
ดนล 8.12 และเพราะเหตุการละเมิด เขาได้รับมอบบริวารไว้สู้กับการเผาบูชาประจำวัน และความจริงก็ถูกเหวี่ยงลงที่ดิน และเขานั้นก็ปฏิบัติงานและเจริญขึ้น
ดนล 8.24 อำนาจของท่านจะใหญ่โตมาก แต่มิใช่โดยอำนาจของท่านเอง และท่านจะกระทำให้บังเกิดความพินาศอย่างน่ากลัว ท่านก็เจริญขึ้นและปฏิบัติงาน ท่านจะทำลายคนที่มีกำลังมากและประชาชนบริสุทธิ์
ดนล 11.36 และกษัตริย์จะกระทำตามความพอใจของเขา เขาจะยกตนขึ้นและพองตัวขึ้นเหนือพระทุกองค์ และจะพูดสิ่งที่น่ามหัศจรรย์กล่าวต่อสู้พระเจ้าแห่งพระทั้งหลาย เขาจะเจริญจนพระพิโรธจะครบถ้วน เพราะสิ่งใดที่ทรงกำหนดไว้จะสำเร็จ
ฮชย 10.1 อิสราเอลเป็นเถาองุ่นที่เปล่าประโยชน์ ซึ่งเกิดผลสำหรับตัวเขาเอง เกิดผลมากขึ้นเท่าใด ยิ่งสร้างแท่นบูชามากขึ้นเท่านั้น เมื่อประเทศของเขาเฟื่องฟูขึ้นเขาก็ยิ่งให้เสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาเจริญขึ้น
ฮชย 14.7 เขาทั้งหลายที่อยู่ใต้ร่มเงาของเขาก็จะกลับมา เขาจะเจริญขึ้นเหมือนข้าว จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น และจะมีกลิ่นเหมือนน้ำองุ่นแห่งเลบานอน
ยนา 4.10 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เจ้าสงสารต้นละหุ่งนั้น ซึ่งเจ้ามิได้ลงแรงปลูก หรือมิได้กระทำให้มันเจริญ มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียวดุจกัน
ศคย 8.12 เพราะว่าเมล็ดพืชจะเกิดเจริญงอกงาม เถาองุ่นจะมีลูกและแผ่นดินจะให้ผล และท้องฟ้าจะให้น้ำค้าง และเราจะกระทำให้ประชาชนที่เหลืออยู่นี้ถือกรรมสิทธิ์สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
มธ 6.28 ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย
ลก 1.80 ฝ่ายทารกนั้นก็ได้เจริญวัยขึ้น และจิตวิญญาณก็มีกำลังทวีขึ้น และไปอาศัยในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่ท่านจะได้มาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล
ลก 2.40 พระกุมารนั้นก็เจริญวัย และเข้มแข็งขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณ ประกอบด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน
ลก 4.16 แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระคัมภีร์
ลก 12.27 จงพิจารณาดอกไม้ว่ามันงอกเจริญขึ้นอย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง
กจ 6.7 การประกาศพระวจนะของพระเจ้าได้เจริญขึ้น และจำพวกศิษย์ก็ทวีขึ้นเป็นอันมากในกรุงเยรูซาเล็ม และพวกปุโรหิตเป็นอันมากก็ได้เชื่อฟังในความเชื่อนั้น
กจ 9.31 เหตุฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรีย จึงมีความสงบสุขและเจริญขึ้น ดำเนินชีวิตด้วยใจยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับความปลอบประโลมใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น
กจ 12.24 แต่พระวจนะของพระเจ้าก็ยังแผ่เจริญมากขึ้น
กจ 13.17 พระเจ้าของชนชาติอิสราเอลนี้ได้ทรงเลือกบรรพบุรุษของเราไว้ และได้ให้เขาเจริญขึ้นครั้งเมื่อยังเป็นคนต่างด้าวในประเทศอียิปต์ และได้ทรงนำเขาออกจากประเทศนั้นด้วยพระกรอันทรงฤทธิ์
1คร 10.23 ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะทำให้เจริญขึ้น
1คร 14.3 ฝ่ายผู้ที่พยากรณ์นั้นพูดกับมนุษย์ทำให้เขาเจริญขึ้น เป็นที่เตือนสติและหนุนใจ
1คร 14.4 ฝ่ายคนที่พูดภาษาต่างๆนั้นก็ทำให้ตนเองเจริญฝ่ายเดียว แต่ผู้ที่พยากรณ์นั้นย่อมทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น
2คร 9.10 ฝ่ายพระองค์ผู้ประทานพืชแก่คนที่หว่าน และประทานอาหารแก่คนที่กิน จะทรงโปรดให้พืชของท่านที่หว่านนั้นทวีขึ้นเป็นอันมาก และจะทรงให้ผลแห่งความชอบธรรมของท่านเจริญยิ่งขึ้น)
อฟ 2.21 ในพระองค์นั้น ทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
คส 2.19 และไม่ได้ยึดมั่นในพระองค์ผู้ทรงเป็นศีรษะ ศีรษะนั้นเป็นเหตุให้กายทั้งหมดได้รับการบำรุงเลี้ยงและติดต่อกันด้วยข้อและเอ็นต่างๆ จึงได้เจริญขึ้นตามที่พระเจ้าทรงโปรดให้เจริญขึ้นนั้น
คส 4.12 เอปาฟรัส คนหนึ่งในพวกท่านและเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ ฝากความคิดถึงมายังท่าน ด้วยเขาสู้อธิษฐานเผื่อท่านอยู่เสมอ หวังจะให้ท่านเจริญเป็นผู้ใหญ่และบริบูรณ์ในการซึ่งชอบพระทัยของพระเจ้าทุกสิ่ง
1ทธ 4.6 ถ้าท่านจะให้พวกพี่น้องระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ท่านก็จะเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์ เจริญด้วยพระวจนะแห่งความเชื่อ และด้วยหลักคำสั่งสอนอันดีที่ท่านได้ประพฤติตามนั้น
2ปต 3.18 แต่ขอท่านทั้งหลายจงเจริญขึ้นในพระคุณ และในความรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา สง่าราศีจงมีแด่พระองค์ทั้งในปัจจุบันนี้และตลอดไปเป็นนิตย์ เอเมน

เจริญรุ่งเรือง ( 1 )
สภษ 17.8 ของกำนัลก็เป็นเหมือนเพชรพลอยในสายตาของเจ้าของ ไม่ว่ามันจะหันไปทางไหนก็เจริญรุ่งเรืองทางนั้น

เจสซี ( 49 )
นรธ 4.17 หญิงชาวบ้านข้างเคียงก็ให้ชื่อเด็กนั้น พูดกันว่า “มีบุตรชายคนหนึ่งเกิดให้แก่นาโอมี” เขาตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่า โอเบด ผู้เป็นบิดาของเจสซี ซึ่งเป็นบิดาของดาวิด
นรธ 4.22 โอเบดให้กำเนิดบุตรชื่อเจสซี และเจสซีให้กำเนิดบุตรชื่อดาวิด
1ซมอ 16.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับซามูเอลว่า “เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูลนานเท่าใดเล่า เมื่อเราถอดเขาจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้า แล้วก็ไปเถอะ เราจะใช้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าในหมู่พวกบุตรชายของเขาเราจัดเตรียมกษัตริย์องค์หนึ่งไว้แล้วสำหรับเรา”
1ซมอ 16.3 จงเชิญเจสซีมาที่การถวายสัตวบูชานั้น แล้วเราจะสำแดงให้เจ้ารู้ว่าเจ้าควรจะกระทำประการใด เจ้าจงเจิมให้เราผู้ซึ่งเราจะบอกชื่อแก่เจ้า”
1ซมอ 16.5 และซามูเอลตอบว่า “มาอย่างสันติ เรามาถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์ จงชำระตัวของท่านให้บริสุทธิ์ และขอเชิญมาที่การถวายสัตวบูชากับเรา” และซามูเอลก็ชำระตัวเจสซีและบุตรชายทั้งหลายของท่านให้บริสุทธิ์ และเชิญเขาเหล่านั้นให้ไปยังการถวายสัตวบูชา
1ซมอ 16.8 แล้วเจสซีก็เรียกอาบีนาดับให้เดินผ่านหน้าซามูเอล ท่านกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์มิได้ทรงเลือกผู้นี้”
1ซมอ 16.9 แล้วเจสซีให้ชัมมาห์เดินผ่านไป และท่านก็กล่าวว่า “พระเยโฮวาห์มิได้ทรงเลือกผู้นี้”
1ซมอ 16.10 แล้วเจสซีให้บุตรชายทั้งเจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลบอกกับเจสซีว่า “พระเยโฮวาห์มิได้ทรงเลือกคนเหล่านี้”
1ซมอ 16.11 แล้วซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “บุตรชายของท่านอยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง ดูเถิด เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่” และซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “จงใช้คนไปตามเขามา เพราะเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะมาที่นี่”
1ซมอ 16.12 เจสซีก็ใช้คนไปนำเขามา ฝ่ายเขาเป็นคนผิวแดงๆ มีใบหน้าสวยและรูปร่างงามน่าดู และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเจิมตั้งเขาไว้ เพราะเป็นคนนี้แหละ”
1ซมอ 16.18 คนหนึ่งในพวกผู้รับใช้ทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระองค์เห็นบุตรชายคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เป็นผู้มีฝีมือในการดีดพิณ เป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ เฉลียวฉลาดในกิจการงาน และเป็นคนมีหน้าตาดีและพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับเขา”
1ซมอ 16.19 เพราะฉะนั้นซาอูลจึงส่งผู้สื่อสารไปยังเจสซีกล่าวว่า “จงให้ดาวิดบุตรชายของท่านผู้อยู่กับแกะนั้นมาหาเรา”
1ซมอ 16.20 และเจสซีก็จัดลาตัวหนึ่งบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่น้ำองุ่นถุงหนึ่ง กับลูกแพะตัวหนึ่ง ฝากไปกับดาวิดบุตรชายของท่านให้ถวายซาอูล
1ซมอ 16.22 และซาอูลทรงส่งข่าวไปยังเจสซีว่า “เราขอร้องให้ท่าน โปรดอนุญาตให้ดาวิดมายืนอยู่เบื้องหน้าเราเถิด เพราะเขาเป็นที่โปรดปรานในสายตาของเรา”
1ซมอ 17.12 ฝ่ายดาวิดเป็นบุตรชายของชาวเอฟราธาห์คนหนึ่งแห่งเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ ชื่อเจสซี ผู้มีบุตรชายแปดคน ในรัชกาลของซาอูล ชายคนนี้เป็นคนแก่แล้วเป็นคนอายุมาก
1ซมอ 17.13 บุตรชายใหญ่สามคนของเจสซีก็ตามซาอูลไปทำศึกแล้ว ชื่อของบุตรชายสามคนที่ไปทำศึกนั้นคือ บุตรหัวปีเอลีอับ คนถัดมาอาบีนาดับ และคนที่สามชัมมาห์
1ซมอ 17.17 เจสซีสั่งดาวิดบุตรชายของตนว่า “ข้าวคั่วนี้เอฟาห์หนึ่ง และขนมปังสิบก้อนนี้ อันจัดไว้ให้พวกพี่ชายของเจ้า จงเอาไปให้พี่ชายของเจ้าที่ค่ายเร็วๆ
1ซมอ 17.20 ดาวิดจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด และทิ้งแกะไว้กับผู้ดูแลนำเสบียงอาหารเดินทางไปตามที่เจสซีได้บัญชาแก่เขา และเขาก็มาถึงเขตค่ายขณะเมื่อกองทัพกำลังยกออกไปสู่แนวรบพลางร้องกราวศึก
1ซมอ 17.58 ซาอูลจึงตรัสถามเขาว่า “เจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าเป็นลูกของใคร” และดาวิดทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นบุตรของเจสซีชาวเบธเลเฮมผู้รับใช้ของพระองค์”
1ซมอ 20.27 อยู่มาวันรุ่งขึ้น คือวันที่สองของเดือน ที่ของดาวิดก็ว่างอยู่ และซาอูลก็ตรัสกับโยนาธานราชบุตรของพระองค์ว่า “ทำไมบุตรเจสซีมิได้มารับประทานอาหาร ทั้งวานนี้และวันนี้”
1ซมอ 20.30 แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน พระองค์ตรัสกับท่านว่า “เจ้า ลูกของหญิงกบฏและวิปลาส ข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเลือกบุตรเจสซีมาให้ความอับอายแก่เจ้าเองและให้ความอับอายแก่ความเปลือยเปล่าแห่งแม่ของเจ้า
1ซมอ 20.31 ตราบใดที่ลูกของเจสซีมีชีวิตอยู่บนดิน ตัวเจ้าหรือราชอาณาจักรของเจ้าก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงใช้คนไปตามเขามาให้เรา เพราะเขาจะต้องตายแน่”
1ซมอ 22.7 และซาอูลตรัสกับผู้รับใช้ที่ยืนอยู่รอบพระองค์ว่า “เจ้าทั้งหลายพวกคนเบนยามิน จงฟังเถิด บุตรของเจสซีจะให้นาและสวนองุ่นแก่เจ้าทั้งหลายหรือ จะตั้งเจ้าทั้งหลายให้เป็นผู้บังคับการกองพันกองร้อยหรือ
1ซมอ 22.8 เจ้าทั้งหลายจึงได้คิดกบฏต่อเรา ไม่มีใครแจ้งแก่เราเลย เมื่อลูกของเราทำพันธไมตรีกับบุตรของเจสซีนั้น ไม่มีผู้ใดร่วมทุกข์กับเรา หรือแจ้งแก่เราว่า ลูกของเราปลุกปั่นผู้รับใช้ของเราให้ต่อสู้เรา คอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้”
1ซมอ 22.9 โดเอกคนเอโดมซึ่งอยู่เหนือผู้รับใช้ของซาอูลจึงทูลตอบว่า “ข้าพระองค์เห็นบุตรเจสซีมาที่เมืองโนบมาหาอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบ
1ซมอ 22.13 และซาอูลตรัสแก่เขาว่า “ทำไมเจ้าจึงร่วมกันกบฏต่อเรา ทั้งเจ้าและบุตรของเจสซี ในการที่เจ้าได้ให้ขนมปังและดาบแก่เขา และได้ทูลถามพระเจ้าให้เขา เขาจึงลุกขึ้นต่อสู้เรา และคอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้”
1ซมอ 25.10 และนาบาลตอบคนรับใช้ของดาวิดว่า “ดาวิดคือผู้ใด บุตรของเจสซีคือผู้ใด สมัยนี้มีคนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของตน
2ซมอ 20.1 เผอิญที่นั่นมีคนอันธพาลอยู่คนหนึ่งชื่อเชบาบุตรชายบิครี คนเบนยามิน เขาได้เป่าแตรขึ้นกล่าวว่า “เราไม่มีส่วนในดาวิด เราไม่มีมรดกในบุตรของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย ให้ต่างคนต่างกลับไปเต็นท์ของตนเถิด”
2ซมอ 23.1 ต่อไปนี้เป็นวาทะสุดท้ายของดาวิด ดาวิดบุตรชายเจสซีได้กล่าวและชายที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นให้สูงได้กล่าว คือผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ของพระเจ้าแห่งยาโคบ นักแต่งสดุดีอย่างไพเราะของอิสราเอล ได้กล่าวดังนี้ว่า
1พกษ 12.16 และเมื่ออิสราเอลทั้งปวงเห็นว่ากษัตริย์มิได้ทรงฟังเขาทั้งหลาย ประชาชนก็ทูลตอบกษัตริย์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายมีส่วนอะไรในดาวิด ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีส่วนมรดกในบุตรชายของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย กลับไปเต็นท์ของตนเถิด ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด” อิสราเอลจึงจากไปยังเต็นท์ของเขาทั้งหลาย
1พศด 2.12 โบอาสให้กำเนิดบุตรชื่อโอเบด โอเบดให้กำเนิดบุตรชื่อเจสซี
1พศด 2.13 เจสซีให้กำเนิดเอลีอับบุตรหัวปีของท่าน อาบีนาดับที่สอง ชิเมอาที่สาม
1พศด 10.14 และมิได้ทรงแสวงหาการนำจากพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์จึงทรงสังหารพระองค์เสีย และทรงยกราชอาณาจักรให้แก่ดาวิดบุตรชายเจสซี
1พศด 12.18 แล้วพระวิญญาณได้มาเหนืออามาสัย หัวหน้าพวกผู้บังคับบัญชานั้น และเขาทูลว่า “ข้าแต่ดาวิด ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นของพระองค์ และอยู่กับพระองค์ ข้าแต่บุตรเจสซี สันติภาพ สันติภาพจงมีแก่พระองค์ และสันติภาพจงมีแก่ผู้ช่วยของพระองค์ เพราะว่าพระเจ้าของพระองค์ทรงอุปถัมภ์พระองค์” แล้วดาวิดทรงรับเขาทั้งหลายไว้ และทรงตั้งให้เป็นนายทหารในกองทัพของพระองค์
1พศด 29.26 ฝ่ายดาวิดบุตรชายเจสซีได้ครอบครองเหนืออิสราเอลทั้งปวง
2พศด 10.16 และเมื่ออิสราเอลทั้งปวงเห็นว่ากษัตริย์มิได้ทรงฟังเขาทั้งหลาย ประชาชนก็ทูลตอบกษัตริย์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายมีส่วนอะไรในดาวิด ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีส่วนมรดกในบุตรเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย กลับไปเต็นท์ของตนแต่ละคนเถิด ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด” อิสราเอลทั้งปวงจึงไปยังเต็นท์ของเขาทั้งหลาย
2พศด 11.18 เรโหโบอัมทรงรับมาหะลัทธิดาของเยรีโมทโอรสของดาวิดเป็นมเหสี และอาบีฮาอิลบุตรสาวของเอลีอับบุตรชายเจสซี
สดด 72.20 คำอธิษฐานของดาวิด บุตรชายของเจสซี จบเท่านี้
อสย 11.1 จะมีหน่อแตกออกมาจากตอแห่งเจสซี จะมีกิ่งงอกออกมาจากรากทั้งหลายของเขา
อสย 11.10 ในวันนั้น รากแห่งเจสซี ซึ่งตั้งขึ้นเป็นธงแก่ชนชาติทั้งหลายจะเป็นที่แสวงหาของบรรดาประชาชาติ และที่พำนักของท่านจะรุ่งโรจน์
มธ 1.5 สัลโมนให้กำเนิดบุตรชื่อโบอาสเกิดจากนางราหับ โบอาสให้กำเนิดบุตรชื่อโอเบดเกิดจากนางรูธ โอเบดให้กำเนิดบุตรชื่อเจสซี
มธ 1.6 เจสซีให้กำเนิดบุตรชื่อดาวิดผู้เป็นกษัตริย์ ดาวิดผู้เป็นกษัตริย์ให้กำเนิดบุตรชื่อซาโลมอน เกิดจากนางซึ่งแต่ก่อนเป็นภรรยาของอุรียาห์
ลก 3.32 ซึ่งเป็นบุตรเจสซี ซึ่งเป็นบุตรโอเบด ซึ่งเป็นบุตรโบอาส ซึ่งเป็นบุตรสัลโมน ซึ่งเป็นบุตรนาโซน
กจ 13.22 ครั้นถอดซาอูลแล้วพระองค์ได้ทรงตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของเขา และทรงเป็นพยานกล่าวถึงดาวิดว่า ‘เราได้พบดาวิดบุตรชายของเจสซีเป็นคนที่เราชอบใจ เป็นผู้ที่จะทำให้ความประสงค์ของเราสำเร็จทุกประการ’
รม 15.12 และอิสยาห์กล่าวอีกว่า ‘รากแห่งเจสซีจะมา คือผู้จะทรงบังเกิดมาครอบครองบรรดาประชาชาติ ประชาชาติทั้งหลายจะวางใจในพระองค์’

เจ้า ( 8382 )
ปฐก 1.29; ปฐก 2.16; ปฐก 2.17; ปฐก 3.1; ปฐก 3.3; ปฐก 3.4; ปฐก 3.5; ปฐก 3.9; ปฐก 3.11; ปฐก 3.13; ปฐก 3.14; ปฐก 3.15; ปฐก 3.16; ปฐก 3.17; ปฐก 3.18; ปฐก 3.19; ปฐก 4.6; ปฐก 4.7; ปฐก 4.9; ปฐก 4.10; ปฐก 4.11; ปฐก 4.12; ปฐก 6.14; ปฐก 6.15; ปฐก 6.16; ปฐก 6.18; ปฐก 6.19; ปฐก 6.20; ปฐก 6.21; ปฐก 7.1; ปฐก 7.2; ปฐก 8.16; ปฐก 8.17; ปฐก 9.2; ปฐก 9.3; ปฐก 9.4; ปฐก 9.5; ปฐก 9.7; ปฐก 9.9; ปฐก 9.10; ปฐก 9.11; ปฐก 9.12; ปฐก 9.15; ปฐก 12.1; ปฐก 12.2; ปฐก 12.3; ปฐก 12.7; ปฐก 12.11; ปฐก 12.12; ปฐก 12.13; ปฐก 12.18; ปฐก 12.19; ปฐก 13.8; ปฐก 13.9; ปฐก 13.14; ปฐก 13.15; ปฐก 13.16; ปฐก 13.17; ปฐก 14.20; ปฐก 14.21; ปฐก 15.1; ปฐก 15.4; ปฐก 15.5; ปฐก 15.7; ปฐก 15.13; ปฐก 15.15; ปฐก 15.18; ปฐก 16.6; ปฐก 16.8; ปฐก 16.9; ปฐก 16.10; ปฐก 16.11; ปฐก 17.1; ปฐก 17.2; ปฐก 17.4; ปฐก 17.5; ปฐก 17.6; ปฐก 17.7; ปฐก 17.8; ปฐก 17.9; ปฐก 17.10; ปฐก 17.11; ปฐก 17.12; ปฐก 17.13; ปฐก 17.15; ปฐก 17.16; ปฐก 17.19; ปฐก 17.20; ปฐก 17.21; ปฐก 18.5; ปฐก 18.9; ปฐก 18.10; ปฐก 18.14; ปฐก 18.15; ปฐก 19.12; ปฐก 19.14; ปฐก 19.15; ปฐก 19.17; ปฐก 19.21; ปฐก 19.22; ปฐก 19.34; ปฐก 20.3; ปฐก 20.6; ปฐก 20.7; ปฐก 20.9; ปฐก 20.10; ปฐก 20.13; ปฐก 20.15; ปฐก 20.16; ปฐก 21.12; ปฐก 21.13; ปฐก 21.17; ปฐก 22.2; ปฐก 22.5; ปฐก 22.12; ปฐก 22.16; ปฐก 22.17; ปฐก 22.18; ปฐก 24.2; ปฐก 24.3; ปฐก 24.4; ปฐก 24.7; ปฐก 24.8; ปฐก 24.37; ปฐก 24.38; ปฐก 24.40; ปฐก 24.41; ปฐก 24.58; ปฐก 24.60; ปฐก 25.23; ปฐก 26.2; ปฐก 26.3; ปฐก 26.4; ปฐก 26.9; ปฐก 26.10; ปฐก 26.24; ปฐก 27.3; ปฐก 27.4; ปฐก 27.6; ปฐก 27.7; ปฐก 27.8; ปฐก 27.9; ปฐก 27.10; ปฐก 27.13; ปฐก 27.18; ปฐก 27.20; ปฐก 27.21; ปฐก 27.24; ปฐก 27.25; ปฐก 27.28; ปฐก 27.29; ปฐก 27.32; ปฐก 27.33; ปฐก 27.35; ปฐก 27.37; ปฐก 27.39; ปฐก 27.40; ปฐก 27.42; ปฐก 27.44; ปฐก 27.45; ปฐก 28.1; ปฐก 28.2; ปฐก 28.3; ปฐก 28.4; ปฐก 28.6; ปฐก 28.13; ปฐก 28.14; ปฐก 28.15; ปฐก 29.14; ปฐก 29.15; ปฐก 29.19; ปฐก 29.27; ปฐก 30.2; ปฐก 30.27; ปฐก 30.28; ปฐก 30.31; ปฐก 30.34; ปฐก 31.3; ปฐก 31.5; ปฐก 31.6; ปฐก 31.7; ปฐก 31.8; ปฐก 31.9; ปฐก 31.12; ปฐก 31.13; ปฐก 31.26; ปฐก 31.27; ปฐก 31.28; ปฐก 31.29; ปฐก 31.30; ปฐก 31.43; ปฐก 31.44; ปฐก 31.48; ปฐก 31.49; ปฐก 31.50; ปฐก 31.51; ปฐก 31.52; ปฐก 32.9; ปฐก 32.12; ปฐก 32.17; ปฐก 32.18; ปฐก 32.19; ปฐก 32.27; ปฐก 32.28; ปฐก 32.29; ปฐก 33.5; ปฐก 33.9; ปฐก 33.12; ปฐก 33.15; ปฐก 34.30; ปฐก 35.1; ปฐก 35.2; ปฐก 35.10; ปฐก 35.11; ปฐก 35.12; ปฐก 37.8; ปฐก 37.10; ปฐก 37.13; ปฐก 37.14; ปฐก 37.15; ปฐก 37.19; ปฐก 38.8; ปฐก 38.13; ปฐก 38.17; ปฐก 38.18; ปฐก 38.29; ปฐก 41.15; ปฐก 42.7; ปฐก 42.9; ปฐก 42.12; ปฐก 42.14; ปฐก 42.15; ปฐก 42.16; ปฐก 42.19; ปฐก 42.20; ปฐก 42.22; ปฐก 42.33; ปฐก 42.34; ปฐก 42.36; ปฐก 42.38; ปฐก 43.3; ปฐก 43.5; ปฐก 43.6; ปฐก 43.7; ปฐก 43.12; ปฐก 43.13; ปฐก 43.14; ปฐก 43.27; ปฐก 43.29; ปฐก 44.4; ปฐก 44.5; ปฐก 44.15; ปฐก 44.17; ปฐก 44.19; ปฐก 44.23; ปฐก 44.27; ปฐก 44.29; ปฐก 45.8; ปฐก 45.9; ปฐก 45.18; ปฐก 45.19; ปฐก 45.20; ปฐก 46.3; ปฐก 46.4; ปฐก 46.30; ปฐก 46.33; ปฐก 47.3; ปฐก 47.16; ปฐก 47.23; ปฐก 47.24; ปฐก 47.29; ปฐก 47.30; ปฐก 48.4; ปฐก 48.5; ปฐก 48.6; ปฐก 48.9; ปฐก 48.11; ปฐก 48.20; ปฐก 48.21; ปฐก 48.22; ปฐก 49.1; ปฐก 49.2; ปฐก 49.3; ปฐก 49.4; ปฐก 49.8; ปฐก 49.9; ปฐก 49.25; ปฐก 49.26; ปฐก 50.17; อพย 1.16; อพย 1.18; อพย 2.9; อพย 2.18; อพย 3.5; อพย 3.6; อพย 3.10; อพย 3.12; อพย 3.14; อพย 3.15; อพย 3.16; อพย 3.17; อพย 3.18; อพย 3.19; อพย 3.20; อพย 3.21; อพย 3.22; อพย 4.2; อพย 4.4; อพย 4.5; อพย 4.6; อพย 4.7; อพย 4.8; อพย 4.9; อพย 4.12; อพย 4.14; อพย 4.15; อพย 4.16; อพย 4.17; อพย 4.19; อพย 4.21; อพย 4.22; อพย 4.23; อพย 5.4; อพย 5.5; อพย 5.7; อพย 5.8; อพย 5.10; อพย 5.11; อพย 5.13; อพย 5.17; อพย 5.18; อพย 6.1; อพย 6.6; อพย 6.7; อพย 6.8; อพย 6.29; อพย 7.1; อพย 7.2; อพย 7.4; อพย 7.9; อพย 7.15; อพย 7.16; อพย 8.21; อพย 8.22; อพย 8.23; อพย 8.25; อพย 8.28; อพย 9.2; อพย 9.3; อพย 9.8; อพย 9.14; อพย 9.15; อพย 9.16; อพย 9.17; อพย 9.19; อพย 10.2; อพย 10.3; อพย 10.4; อพย 10.5; อพย 10.8; อพย 10.10; อพย 10.11; อพย 10.16; อพย 10.17; อพย 10.21; อพย 10.24; อพย 10.28; อพย 11.1; อพย 11.2; อพย 11.9; อพย 12.2; อพย 12.5; อพย 12.11; อพย 12.13; อพย 12.14; อพย 12.15; อพย 12.17; อพย 12.18; อพย 12.19; อพย 12.20; อพย 12.31; อพย 12.32; อพย 12.48; อพย 12.49; อพย 14.15; อพย 14.16; อพย 15.26; อพย 16.4; อพย 16.12; อพย 16.28; อพย 16.29; อพย 16.32; อพย 17.2; อพย 17.5; อพย 17.6; อพย 19.4; อพย 19.5; อพย 19.6; อพย 19.9; อพย 19.12; อพย 19.21; อพย 20.2; อพย 20.5; อพย 20.7; อพย 20.9; อพย 20.10; อพย 20.12; อพย 20.22; อพย 20.23; อพย 20.24; อพย 20.25; อพย 20.26; อพย 21.1; อพย 21.2; อพย 22.18; อพย 22.21; อพย 22.23; อพย 22.24; อพย 22.25; อพย 22.26; อพย 22.28; อพย 22.29; อพย 22.30; อพย 22.31; อพย 23.4; อพย 23.5; อพย 23.6; อพย 23.7; อพย 23.9; อพย 23.10; อพย 23.11; อพย 23.12; อพย 23.13; อพย 23.15; อพย 23.16; อพย 23.19; อพย 23.20; อพย 23.21; อพย 23.22; อพย 23.23; อพย 23.25; อพย 23.26; อพย 23.27; อพย 23.28; อพย 23.29; อพย 23.30; อพย 23.31; อพย 23.32; อพย 23.33; อพย 24.1; อพย 24.8; อพย 25.3; อพย 25.9; อพย 25.16; อพย 25.21; อพย 25.22; อพย 25.24; อพย 25.28; อพย 25.29; อพย 25.30; อพย 25.31; อพย 25.40; อพย 26.1; อพย 26.14; อพย 26.18; อพย 26.26; อพย 26.30; อพย 26.35; อพย 26.36; อพย 27.1; อพย 27.3; อพย 27.8; อพย 27.9; อพย 27.20; อพย 28.1; อพย 28.2; อพย 28.4; อพย 28.13; อพย 28.22; อพย 28.23; อพย 28.31; อพย 28.36; อพย 28.37; อพย 28.41; อพย 29.1; อพย 29.9; อพย 29.10; อพย 29.13; อพย 29.15; อพย 29.19; อพย 29.22; อพย 29.26; อพย 29.35; อพย 29.38; อพย 29.42; อพย 30.1; อพย 30.6; อพย 30.8; อพย 30.10; อพย 30.12; อพย 30.15; อพย 30.16; อพย 30.18; อพย 30.25; อพย 30.31; อพย 30.32; อพย 30.36; อพย 30.37; อพย 31.6; อพย 31.11; อพย 31.13; อพย 31.14; อพย 32.2; อพย 32.4; อพย 32.7; อพย 32.8; อพย 32.10; อพย 32.13; อพย 32.34; อพย 33.1; อพย 33.2; อพย 33.3; อพย 33.5; อพย 33.12; อพย 33.14; อพย 33.17; อพย 33.19; อพย 33.20; อพย 33.21; อพย 33.22; อพย 33.23; อพย 34.1; อพย 34.10; อพย 34.11; อพย 34.12; อพย 34.13; อพย 34.14; อพย 34.15; อพย 34.16; อพย 34.17; อพย 34.18; อพย 34.19; อพย 34.20; อพย 34.21; อพย 34.23; อพย 34.24; อพย 34.26; อพย 34.27; ลนต 2.11; ลนต 2.12; ลนต 2.13; ลนต 2.14; ลนต 2.15; ลนต 3.17; ลนต 5.15; ลนต 5.18; ลนต 6.6; ลนต 6.18; ลนต 7.23; ลนต 7.26; ลนต 7.32; ลนต 10.4; ลนต 10.9; ลนต 10.10; ลนต 10.11; ลนต 11.2; ลนต 11.3; ลนต 11.4; ลนต 11.5; ลนต 11.6; ลนต 11.7; ลนต 11.8; ลนต 11.9; ลนต 11.10; ลนต 11.11; ลนต 11.12; ลนต 11.13; ลนต 11.20; ลนต 11.21; ลนต 11.22; ลนต 11.23; ลนต 11.24; ลนต 11.26; ลนต 11.27; ลนต 11.28; ลนต 11.29; ลนต 11.31; ลนต 11.35; ลนต 11.38; ลนต 11.39; ลนต 11.42; ลนต 11.43; ลนต 11.44; ลนต 11.45; ลนต 13.55; ลนต 13.57; ลนต 14.34; ลนต 15.31; ลนต 16.2; ลนต 16.29; ลนต 16.30; ลนต 16.31; ลนต 16.34; ลนต 17.8; ลนต 17.10; ลนต 17.11; ลนต 17.12; ลนต 17.13; ลนต 17.14; ลนต 18.2; ลนต 18.3; ลนต 18.4; ลนต 18.5; ลนต 18.6; ลนต 18.7; ลนต 18.8; ลนต 18.9; ลนต 18.10; ลนต 18.11; ลนต 18.12; ลนต 18.13; ลนต 18.14; ลนต 18.15; ลนต 18.16; ลนต 18.17; ลนต 18.18; ลนต 18.19; ลนต 18.20; ลนต 18.21; ลนต 18.22; ลนต 18.23; ลนต 18.24; ลนต 18.26; ลนต 18.27; ลนต 18.28; ลนต 18.30; ลนต 19.2; ลนต 19.3; ลนต 19.4; ลนต 19.5; ลนต 19.6; ลนต 19.9; ลนต 19.10; ลนต 19.11; ลนต 19.12; ลนต 19.13; ลนต 19.14; ลนต 19.15; ลนต 19.17; ลนต 19.18; ลนต 19.19; ลนต 19.23; ลนต 19.25; ลนต 19.26; ลนต 19.27; ลนต 19.28; ลนต 19.30; ลนต 19.31; ลนต 19.32; ลนต 19.33; ลนต 19.34; ลนต 19.35; ลนต 19.36; ลนต 19.37; ลนต 20.7; ลนต 20.8; ลนต 20.14; ลนต 20.15; ลนต 20.16; ลนต 20.19; ลนต 20.22; ลนต 20.23; ลนต 20.24; ลนต 20.25; ลนต 20.26; ลนต 21.8; ลนต 21.17; ลนต 22.3; ลนต 22.19; ลนต 22.20; ลนต 22.22; ลนต 22.24; ลนต 22.25; ลนต 22.28; ลนต 22.29; ลนต 22.31; ลนต 22.32; ลนต 22.33; ลนต 23.2; ลนต 23.3; ลนต 23.4; ลนต 23.6; ลนต 23.7; ลนต 23.8; ลนต 23.10; ลนต 23.11; ลนต 23.12; ลนต 23.14; ลนต 23.15; ลนต 23.16; ลนต 23.17; ลนต 23.18; ลนต 23.19; ลนต 23.21; ลนต 23.22; ลนต 23.24; ลนต 23.25; ลนต 23.27; ลนต 23.28; ลนต 23.31; ลนต 23.32; ลนต 23.35; ลนต 23.36; ลนต 23.37; ลนต 23.38; ลนต 23.39; ลนต 23.40; ลนต 23.41; ลนต 23.42; ลนต 23.43; ลนต 24.2; ลนต 24.3; ลนต 24.5; ลนต 24.6; ลนต 24.7; ลนต 24.22; ลนต 25.2; ลนต 25.3; ลนต 25.4; ลนต 25.5; ลนต 25.6; ลนต 25.7; ลนต 25.8; ลนต 25.9; ลนต 25.10; ลนต 25.11; ลนต 25.12; ลนต 25.14; ลนต 25.15; ลนต 25.16; ลนต 25.17; ลนต 25.18; ลนต 25.19; ลนต 25.20; ลนต 25.21; ลนต 25.22; ลนต 25.23; ลนต 25.24; ลนต 25.25; ลนต 25.35; ลนต 25.36; ลนต 25.37; ลนต 25.38; ลนต 25.39; ลนต 25.40; ลนต 25.41; ลนต 25.43; ลนต 25.44; ลนต 25.45; ลนต 25.46; ลนต 25.47; ลนต 25.53; ลนต 25.55; ลนต 26.1; ลนต 26.2; ลนต 26.3; ลนต 26.4; ลนต 26.5; ลนต 26.6; ลนต 26.7; ลนต 26.8; ลนต 26.9; ลนต 26.10; ลนต 26.11; ลนต 26.12; ลนต 26.13; ลนต 26.14; ลนต 26.15; ลนต 26.16; ลนต 26.17; ลนต 26.18; ลนต 26.19; ลนต 26.20; ลนต 26.21; ลนต 26.22; ลนต 26.23; ลนต 26.24; ลนต 26.25; ลนต 26.26; ลนต 26.27; ลนต 26.28; ลนต 26.29; ลนต 26.30; ลนต 26.31; ลนต 26.32; ลนต 26.33; ลนต 26.34; ลนต 26.35; ลนต 26.36; ลนต 26.37; ลนต 26.38; ลนต 26.39; ลนต 27.3; ลนต 27.4; ลนต 27.5; ลนต 27.6; ลนต 27.7; ลนต 27.16; ลนต 27.17; ลนต 27.18; ลนต 27.27; กดว 1.2; กดว 1.3; กดว 1.4; กดว 1.5; กดว 1.49; กดว 1.50; กดว 3.10; กดว 3.41; กดว 3.47; กดว 4.23; กดว 4.27; กดว 4.29; กดว 4.30; กดว 4.32; กดว 5.3; กดว 5.19; กดว 5.20; กดว 5.21; กดว 5.22; กดว 8.7; กดว 8.8; กดว 8.10; กดว 8.12; กดว 8.13; กดว 8.14; กดว 8.15; กดว 8.26; กดว 9.3; กดว 9.10; กดว 9.14; กดว 10.2; กดว 10.3; กดว 10.4; กดว 10.8; กดว 10.9; กดว 10.10; กดว 10.29; กดว 11.12; กดว 11.16; กดว 11.17; กดว 11.23; กดว 12.4; กดว 12.6; กดว 12.8; กดว 14.12; กดว 14.20; กดว 14.25; กดว 14.28; กดว 14.29; กดว 14.30; กดว 14.31; กดว 14.32; กดว 14.33; กดว 14.34; กดว 15.2; กดว 15.5; กดว 15.6; กดว 15.7; กดว 15.8; กดว 15.14; กดว 15.15; กดว 15.16; กดว 15.18; กดว 15.19; กดว 15.20; กดว 15.21; กดว 15.22; กดว 15.23; กดว 15.29; กดว 15.39; กดว 15.40; กดว 15.41; กดว 16.37; กดว 17.4; กดว 17.5; กดว 17.10; กดว 18.1; กดว 18.2; กดว 18.3; กดว 18.4; กดว 18.5; กดว 18.6; กดว 18.7; กดว 18.8; กดว 18.9; กดว 18.10; กดว 18.11; กดว 18.12; กดว 18.13; กดว 18.14; กดว 18.15; กดว 18.16; กดว 18.17; กดว 18.18; กดว 18.19; กดว 18.20; กดว 18.23; กดว 18.26; กดว 18.27; กดว 18.28; กดว 18.29; กดว 18.30; กดว 18.31; กดว 18.32; กดว 19.3; กดว 20.8; กดว 20.10; กดว 20.12; กดว 20.20; กดว 20.24; กดว 21.29; กดว 21.34; กดว 22.9; กดว 22.12; กดว 22.20; กดว 22.29; กดว 22.32; กดว 22.33; กดว 22.35; กดว 24.22; กดว 25.18; กดว 27.7; กดว 27.8; กดว 27.9; กดว 27.10; กดว 27.11; กดว 27.13; กดว 27.14; กดว 27.18; กดว 27.19; กดว 27.20; กดว 28.2; กดว 28.3; กดว 28.4; กดว 28.7; กดว 28.8; กดว 28.11; กดว 28.18; กดว 28.20; กดว 28.22; กดว 28.23; กดว 28.24; กดว 28.25; กดว 28.26; กดว 28.30; กดว 28.31; กดว 29.1; กดว 29.2; กดว 29.5; กดว 29.7; กดว 29.8; กดว 29.12; กดว 29.13; กดว 29.32; กดว 29.35; กดว 29.36; กดว 29.39; กดว 31.2; กดว 31.3; กดว 31.4; กดว 31.23; กดว 31.26; กดว 31.30; กดว 33.51; กดว 33.52; กดว 33.53; กดว 33.54; กดว 33.55; กดว 33.56; กดว 34.2; กดว 34.3; กดว 34.4; กดว 34.6; กดว 34.7; กดว 34.8; กดว 34.9; กดว 34.10; กดว 34.12; กดว 34.13; กดว 34.17; กดว 35.4; กดว 35.5; กดว 35.6; กดว 35.7; กดว 35.8; กดว 35.10; กดว 35.11; กดว 35.13; กดว 35.14; กดว 35.29; กดว 35.31; กดว 35.32; กดว 35.33; กดว 35.34; พบญ 1.6; พบญ 1.7; พบญ 1.8; พบญ 1.35; พบญ 1.37; พบญ 1.38; พบญ 1.39; พบญ 1.40; พบญ 1.42; พบญ 2.3; พบญ 2.4; พบญ 2.5; พบญ 2.6; พบญ 2.7; พบญ 2.9; พบญ 2.13; พบญ 2.18; พบญ 2.19; พบญ 2.24; พบญ 2.25; พบญ 2.31; พบญ 3.2; พบญ 3.26; พบญ 3.27; พบญ 3.28; พบญ 5.6; พบญ 5.9; พบญ 5.11; พบญ 5.12; พบญ 5.13; พบญ 5.14; พบญ 5.15; พบญ 5.16; พบญ 5.28; พบญ 5.30; พบญ 5.31; พบญ 7.4; พบญ 9.12; พบญ 9.14; พบญ 9.23; พบญ 10.2; พบญ 10.17; พบญ 11.14; พบญ 11.15; พบญ 17.16; พบญ 18.18; พบญ 29.5; พบญ 29.6; พบญ 31.2; พบญ 31.14; พบญ 31.16; พบญ 31.19; พบญ 31.23; พบญ 32.15; พบญ 32.38; พบญ 32.50; พบญ 32.51; พบญ 32.52; พบญ 34.4; ยชว 1.2; ยชว 1.3; ยชว 1.4; ยชว 1.5; ยชว 1.6; ยชว 1.7; ยชว 1.8; ยชว 1.9; ยชว 2.3; ยชว 2.14; ยชว 2.17; ยชว 2.18; ยชว 2.19; ยชว 2.20; ยชว 3.7; ยชว 3.8; ยชว 5.9; ยชว 5.15; ยชว 6.2; ยชว 6.3; ยชว 6.4; ยชว 6.5; ยชว 7.10; ยชว 7.12; ยชว 7.13; ยชว 7.14; ยชว 7.19; ยชว 7.25; ยชว 8.1; ยชว 8.2; ยชว 8.18; ยชว 9.7; ยชว 9.8; ยชว 9.22; ยชว 9.23; ยชว 10.8; ยชว 10.12; ยชว 11.6; ยชว 13.1; ยชว 13.6; ยชว 15.18; ยชว 17.15; ยชว 20.2; ยชว 20.3; ยชว 22.24; ยชว 22.25; ยชว 22.27; ยชว 24.2; ยชว 24.3; ยชว 24.5; ยชว 24.6; ยชว 24.7; ยชว 24.8; ยชว 24.9; ยชว 24.10; ยชว 24.11; ยชว 24.12; ยชว 24.13; วนฉ 1.14; วนฉ 1.24; วนฉ 2.1; วนฉ 2.2; วนฉ 2.3; วนฉ 4.7; วนฉ 5.21; วนฉ 6.8; วนฉ 6.9; วนฉ 6.10; วนฉ 6.12; วนฉ 6.14; วนฉ 6.16; วนฉ 6.18; วนฉ 6.23; วนฉ 6.25; วนฉ 6.26; วนฉ 6.30; วนฉ 7.2; วนฉ 7.4; วนฉ 7.7; วนฉ 7.9; วนฉ 7.10; วนฉ 7.11; วนฉ 7.18; วนฉ 8.6; วนฉ 8.7; วนฉ 8.15; วนฉ 8.18; วนฉ 8.19; วนฉ 9.15; วนฉ 9.16; วนฉ 9.17; วนฉ 9.18; วนฉ 9.19; วนฉ 9.48; วนฉ 10.11; วนฉ 10.12; วนฉ 10.13; วนฉ 10.14; วนฉ 11.2; วนฉ 11.35; วนฉ 12.4; วนฉ 12.5; วนฉ 13.3; วนฉ 13.5; วนฉ 13.7; วนฉ 13.16; วนฉ 14.3; วนฉ 14.15; วนฉ 14.18; วนฉ 15.2; วนฉ 15.7; วนฉ 16.5; วนฉ 17.3; วนฉ 18.8; วนฉ 18.23; วนฉ 18.25; วนฉ 19.9; วนฉ 20.28; วนฉ 21.11; นรธ 1.8; นรธ 1.9; นรธ 1.11; นรธ 1.12; นรธ 1.13; นรธ 1.15; นรธ 2.4; นรธ 2.9; นรธ 2.11; นรธ 2.12; นรธ 2.21; นรธ 2.22; นรธ 3.1; นรธ 3.2; นรธ 3.4; นรธ 3.9; นรธ 3.10; นรธ 3.11; นรธ 3.13; นรธ 3.15; นรธ 3.17; นรธ 4.14; นรธ 4.15; 1ซมอ 1.15; 1ซมอ 1.17; 1ซมอ 2.3; 1ซมอ 2.15; 1ซมอ 2.16; 1ซมอ 2.23; 1ซมอ 2.27; 1ซมอ 2.28; 1ซมอ 2.29; 1ซมอ 2.30; 1ซมอ 2.31; 1ซมอ 2.32; 1ซมอ 2.33; 1ซมอ 2.34; 1ซมอ 2.36; 1ซมอ 3.5; 1ซมอ 3.6; 1ซมอ 3.9; 1ซมอ 3.17; 1ซมอ 4.9; 1ซมอ 4.20; 1ซมอ 8.7; 1ซมอ 8.8; 1ซมอ 8.11; 1ซมอ 8.13; 1ซมอ 8.14; 1ซมอ 9.3; 1ซมอ 9.16; 1ซมอ 9.17; 1ซมอ 10.14; 1ซมอ 10.15; 1ซมอ 10.18; 1ซมอ 11.2; 1ซมอ 14.9; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.33; 1ซมอ 14.43; 1ซมอ 14.44; 1ซมอ 16.1; 1ซมอ 16.2; 1ซมอ 16.3; 1ซมอ 17.8; 1ซมอ 17.9; 1ซมอ 17.17; 1ซมอ 17.18; 1ซมอ 17.25; 1ซมอ 17.28; 1ซมอ 17.33; 1ซมอ 17.37; 1ซมอ 17.43; 1ซมอ 17.44; 1ซมอ 17.56; 1ซมอ 17.58; 1ซมอ 18.25; 1ซมอ 19.17; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 20.22; 1ซมอ 20.30; 1ซมอ 20.31; 1ซมอ 21.2; 1ซมอ 21.14; 1ซมอ 21.15; 1ซมอ 22.7; 1ซมอ 22.8; 1ซมอ 22.13; 1ซมอ 22.16; 1ซมอ 22.18; 1ซมอ 23.4; 1ซมอ 23.12; 1ซมอ 24.4; 1ซมอ 24.16; 1ซมอ 24.17; 1ซมอ 24.18; 1ซมอ 24.19; 1ซมอ 24.20; 1ซมอ 24.21; 1ซมอ 25.19; 1ซมอ 25.32; 1ซมอ 25.33; 1ซมอ 25.34; 1ซมอ 25.35; 1ซมอ 26.17; 1ซมอ 26.21; 1ซมอ 26.25; 1ซมอ 28.10; 1ซมอ 28.13; 1ซมอ 30.8; 1ซมอ 30.13; 1ซมอ 30.15; 2ซมอ 1.3; 2ซมอ 1.5; 2ซมอ 1.8; 2ซมอ 1.13; 2ซมอ 1.14; 2ซมอ 1.16; 2ซมอ 1.21; 2ซมอ 1.24; 2ซมอ 2.22; 2ซมอ 4.11; 2ซมอ 5.2; 2ซมอ 5.19; 2ซมอ 5.23; 2ซมอ 5.24; 2ซมอ 6.21; 2ซมอ 6.22; 2ซมอ 7.5; 2ซมอ 7.7; 2ซมอ 7.8; 2ซมอ 7.9; 2ซมอ 7.11; 2ซมอ 7.12; 2ซมอ 7.15; 2ซมอ 7.16; 2ซมอ 7.23; 2ซมอ 7.27; 2ซมอ 9.2; 2ซมอ 9.9; 2ซมอ 9.10; 2ซมอ 10.11; 2ซมอ 11.8; 2ซมอ 11.10; 2ซมอ 11.12; 2ซมอ 11.19; 2ซมอ 11.20; 2ซมอ 11.21; 2ซมอ 11.25; 2ซมอ 12.7; 2ซมอ 12.8; 2ซมอ 12.9; 2ซมอ 12.10; 2ซมอ 12.11; 2ซมอ 12.12; 2ซมอ 13.7; 2ซมอ 13.20; 2ซมอ 13.25; 2ซมอ 13.26; 2ซมอ 13.28; 2ซมอ 14.5; 2ซมอ 14.8; 2ซมอ 14.10; 2ซมอ 14.11; 2ซมอ 14.18; 2ซมอ 14.19; 2ซมอ 15.2; 2ซมอ 15.3; 2ซมอ 15.19; 2ซมอ 15.20; 2ซมอ 15.26; 2ซมอ 15.33; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 15.35; 2ซมอ 16.2; 2ซมอ 16.3; 2ซมอ 16.4; 2ซมอ 16.7; 2ซมอ 16.8; 2ซมอ 16.10; 2ซมอ 18.11; 2ซมอ 18.14; 2ซมอ 18.22; 2ซมอ 18.33; 2ซมอ 19.10; 2ซมอ 19.23; 2ซมอ 24.12; 2ซมอ 24.16; 1พกษ 1.6; 1พกษ 1.13; 1พกษ 1.16; 1พกษ 1.17; 1พกษ 1.30; 1พกษ 1.33; 1พกษ 1.42; 1พกษ 2.2; 1พกษ 2.3; 1พกษ 2.4; 1พกษ 2.5; 1พกษ 2.6; 1พกษ 2.7; 1พกษ 2.8; 1พกษ 2.9; 1พกษ 2.13; 1พกษ 2.18; 1พกษ 2.26; 1พกษ 2.37; 1พกษ 3.5; 1พกษ 3.11; 1พกษ 3.12; 1พกษ 3.13; 1พกษ 3.14; 1พกษ 3.22; 1พกษ 3.23; 1พกษ 5.5; 1พกษ 6.12; 1พกษ 8.18; 1พกษ 8.19; 1พกษ 8.25; 1พกษ 9.3; 1พกษ 9.4; 1พกษ 9.5; 1พกษ 9.6; 1พกษ 11.2; 1พกษ 11.11; 1พกษ 11.12; 1พกษ 11.13; 1พกษ 11.31; 1พกษ 11.35; 1พกษ 11.37; 1พกษ 11.38; 1พกษ 12.24; 1พกษ 13.2; 1พกษ 13.9; 1พกษ 13.17; 1พกษ 13.18; 1พกษ 13.21; 1พกษ 13.22; 1พกษ 14.5; 1พกษ 14.7; 1พกษ 14.8; 1พกษ 14.9; 1พกษ 16.2; 1พกษ 16.3; 1พกษ 17.4; 1พกษ 17.9; 1พกษ 17.13; 1พกษ 17.19; 1พกษ 17.23; 1พกษ 18.1; 1พกษ 18.17; 1พกษ 18.31; 1พกษ 19.2; 1พกษ 19.9; 1พกษ 19.13; 1พกษ 19.15; 1พกษ 19.16; 1พกษ 20.13; 1พกษ 20.28; 1พกษ 20.40; 1พกษ 20.42; 1พกษ 21.2; 1พกษ 21.6; 1พกษ 21.10; 1พกษ 21.19; 1พกษ 21.20; 1พกษ 21.21; 1พกษ 21.22; 1พกษ 21.29; 1พกษ 22.11; 1พกษ 22.16; 1พกษ 22.22; 1พกษ 22.24; 1พกษ 22.25; 2พกษ 1.4; 2พกษ 1.5; 2พกษ 1.6; 2พกษ 1.7; 2พกษ 1.10; 2พกษ 1.12; 2พกษ 1.16; 2พกษ 3.17; 2พกษ 3.18; 2พกษ 3.19; 2พกษ 4.2; 2พกษ 4.3; 2พกษ 4.4; 2พกษ 4.7; 2พกษ 4.16; 2พกษ 4.29; 2พกษ 4.36; 2พกษ 5.25; 2พกษ 5.26; 2พกษ 5.27; 2พกษ 6.19; 2พกษ 6.27; 2พกษ 6.28; 2พกษ 6.29; 2พกษ 8.1; 2พกษ 8.14; 2พกษ 9.1; 2พกษ 9.2; 2พกษ 9.3; 2พกษ 9.6; 2พกษ 9.7; 2พกษ 9.12; 2พกษ 9.26; 2พกษ 10.24; 2พกษ 10.30; 2พกษ 14.9; 2พกษ 15.12; 2พกษ 17.12; 2พกษ 17.13; 2พกษ 17.27; 2พกษ 17.35; 2พกษ 17.36; 2พกษ 17.37; 2พกษ 17.38; 2พกษ 17.39; 2พกษ 18.23; 2พกษ 18.24; 2พกษ 18.27; 2พกษ 18.29; 2พกษ 18.30; 2พกษ 18.32; 2พกษ 19.6; 2พกษ 19.10; 2พกษ 19.20; 2พกษ 19.21; 2พกษ 19.22; 2พกษ 19.23; 2พกษ 19.25; 2พกษ 19.27; 2พกษ 19.28; 2พกษ 19.29; 2พกษ 20.1; 2พกษ 20.5; 2พกษ 20.6; 2พกษ 20.17; 2พกษ 20.18; 2พกษ 22.15; 2พกษ 22.18; 2พกษ 22.19; 2พกษ 22.20; 2พกษ 23.21; 1พศด 5.7; 1พศด 5.12; 1พศด 11.2; 1พศด 14.10; 1พศด 14.14; 1พศด 14.15; 1พศด 15.12; 1พศด 15.13; 1พศด 16.18; 1พศด 16.19; 1พศด 17.4; 1พศด 17.6; 1พศด 17.7; 1พศด 17.8; 1พศด 17.10; 1พศด 17.11; 1พศด 17.13; 1พศด 19.12; 1พศด 21.10; 1พศด 21.11; 1พศด 21.12; 1พศด 21.15; 1พศด 21.24; 1พศด 22.8; 1พศด 22.9; 1พศด 22.11; 1พศด 22.12; 1พศด 22.13; 1พศด 22.14; 1พศด 22.15; 1พศด 22.16; 1พศด 22.18; 1พศด 22.19; 1พศด 28.3; 1พศด 28.6; 1พศด 28.8; 1พศด 28.9; 1พศด 28.10; 1พศด 28.20; 1พศด 28.21; 2พศด 1.7; 2พศด 1.11; 2พศด 1.12; 2พศด 6.8; 2พศด 6.9; 2พศด 6.16; 2พศด 7.12; 2พศด 7.17; 2พศด 7.18; 2พศด 7.19; 2พศด 11.4; 2พศด 12.5; 2พศด 18.10; 2พศด 18.15; 2พศด 18.21; 2พศด 18.23; 2พศด 18.24; 2พศด 21.12; 2พศด 21.13; 2พศด 21.14; 2พศด 21.15; 2พศด 24.5; 2พศด 25.15; 2พศด 25.16; 2พศด 25.18; 2พศด 28.13; 2พศด 32.10; 2พศด 32.11; 2พศด 32.12; 2พศด 32.13; 2พศด 32.14; 2พศด 32.15; 2พศด 33.8; 2พศด 34.23; 2พศด 34.26; 2พศด 34.27; 2พศด 34.28; 2พศด 35.3; 2พศด 35.4; 2พศด 35.6; อสร 7.13; อสร 7.14; อสร 7.16; อสร 7.17; อสร 7.18; อสร 7.19; อสร 7.20; อสร 7.25; อสร 7.26; อสร 9.11; อสร 9.12; นหม 1.8; นหม 1.9; นหม 2.2; นหม 2.4; นหม 2.6; นหม 2.19; นหม 9.18; นหม 13.25; นหม 13.27; อสธ 1.22; โยบ 1.7; โยบ 1.8; โยบ 1.12; โยบ 2.2; โยบ 2.3; โยบ 2.6; โยบ 8.18; โยบ 17.14; โยบ 38.3; โยบ 38.4; โยบ 38.5; โยบ 38.11; โยบ 38.12; โยบ 38.16; โยบ 38.17; โยบ 38.18; โยบ 38.20; โยบ 38.21; โยบ 38.22; โยบ 38.31; โยบ 38.32; โยบ 38.33; โยบ 38.34; โยบ 38.35; โยบ 38.39; โยบ 39.1; โยบ 39.2; โยบ 39.9; โยบ 39.10; โยบ 39.11; โยบ 39.12; โยบ 39.13; โยบ 39.19; โยบ 39.20; โยบ 39.26; โยบ 39.27; โยบ 40.7; โยบ 40.8; โยบ 40.9; โยบ 40.11; โยบ 40.14; โยบ 40.15; โยบ 41.1; โยบ 41.2; โยบ 41.3; โยบ 41.4; โยบ 41.5; โยบ 41.7; โยบ 41.8; โยบ 42.4; โยบ 42.7; โยบ 42.8; สดด 2.7; สดด 2.8; สดด 2.9; สดด 2.12; สดด 6.8; สดด 9.6; สดด 14.6; สดด 16.2; สดด 24.7; สดด 24.9; สดด 32.8; สดด 32.9; สดด 34.11; สดด 34.13; สดด 35.3; สดด 37.1; สดด 42.3; สดด 42.5; สดด 42.10; สดด 42.11; สดด 43.5; สดด 50.7; สดด 50.8; สดด 50.9; สดด 50.12; สดด 50.14; สดด 50.15; สดด 50.16; สดด 50.17; สดด 50.18; สดด 50.19; สดด 50.20; สดด 50.21; สดด 50.22; สดด 52.1; สดด 52.2; สดด 52.3; สดด 52.4; สดด 52.5; สดด 53.5; สดด 58.9; สดด 62.3; สดด 68.23; สดด 75.5; สดด 76.7; สดด 81.7; สดด 81.8; สดด 81.9; สดด 81.10; สดด 81.16; สดด 89.4; สดด 94.1; สดด 94.8; สดด 105.11; สดด 110.1; สดด 110.4; สดด 114.5; สดด 114.6; สดด 116.7; สดด 118.13; สดด 119.115; สดด 120.3; สดด 132.11; สดด 132.12; สดด 135.9; สดด 136.3; สดด 137.8; สดด 137.9; สดด 148.7; สภษ 1.8; สภษ 1.9; สภษ 1.10; สภษ 1.15; สภษ 1.22; สภษ 1.23; สภษ 1.24; สภษ 1.25; สภษ 1.26; สภษ 1.27; สภษ 2.1; สภษ 2.2; สภษ 2.3; สภษ 2.4; สภษ 2.5; สภษ 2.9; สภษ 2.10; สภษ 2.11; สภษ 2.12; สภษ 2.16; สภษ 2.20; สภษ 3.1; สภษ 3.2; สภษ 3.3; สภษ 3.4; สภษ 3.5; สภษ 3.6; สภษ 3.8; สภษ 3.9; สภษ 3.10; สภษ 3.15; สภษ 3.21; สภษ 3.22; สภษ 3.23; สภษ 3.24; สภษ 3.26; สภษ 3.27; สภษ 3.28; สภษ 3.29; สภษ 3.30; สภษ 4.1; สภษ 4.2; สภษ 4.4; สภษ 4.6; สภษ 4.7; สภษ 4.8; สภษ 4.9; สภษ 4.10; สภษ 4.11; สภษ 4.12; สภษ 4.13; สภษ 4.20; สภษ 4.21; สภษ 4.23; สภษ 4.24; สภษ 4.25; สภษ 4.26; สภษ 4.27; สภษ 5.1; สภษ 5.2; สภษ 5.6; สภษ 5.8; สภษ 5.9; สภษ 5.10; สภษ 5.11; สภษ 5.12; สภษ 5.15; สภษ 5.16; สภษ 5.17; สภษ 5.18; สภษ 5.19; สภษ 5.20; สภษ 6.1; สภษ 6.2; สภษ 6.3; สภษ 6.4; สภษ 6.5; สภษ 6.9; สภษ 6.11; สภษ 6.20; สภษ 6.21; สภษ 6.22; สภษ 6.24; สภษ 6.25; สภษ 6.35; สภษ 7.1; สภษ 7.2; สภษ 7.3; สภษ 7.5; สภษ 7.25; สภษ 8.4; สภษ 8.11; สภษ 9.8; สภษ 9.11; สภษ 9.12; สภษ 14.7; สภษ 16.3; สภษ 18.9; สภษ 19.19; สภษ 19.20; สภษ 19.27; สภษ 20.13; สภษ 20.22; สภษ 22.17; สภษ 22.18; สภษ 22.19; สภษ 22.20; สภษ 22.21; สภษ 22.25; สภษ 22.27; สภษ 22.28; สภษ 22.29; สภษ 23.1; สภษ 23.2; สภษ 23.5; สภษ 23.7; สภษ 23.8; สภษ 23.9; สภษ 23.11; สภษ 23.12; สภษ 23.13; สภษ 23.14; สภษ 23.15; สภษ 23.16; สภษ 23.17; สภษ 23.18; สภษ 23.19; สภษ 23.22; สภษ 23.25; สภษ 23.26; สภษ 23.33; สภษ 23.34; สภษ 23.35; สภษ 24.6; สภษ 24.10; สภษ 24.11; สภษ 24.12; สภษ 24.14; สภษ 24.17; สภษ 24.19; สภษ 24.24; สภษ 24.27; สภษ 24.28; สภษ 24.34; สภษ 25.6; สภษ 25.7; สภษ 25.8; สภษ 25.9; สภษ 25.10; สภษ 25.16; สภษ 25.17; สภษ 25.21; สภษ 25.22; สภษ 26.4; สภษ 27.1; สภษ 27.2; สภษ 27.10; สภษ 27.22; สภษ 27.23; สภษ 27.26; สภษ 27.27; สภษ 29.17; สภษ 29.20; สภษ 29.22; สภษ 30.6; สภษ 30.10; สภษ 30.28; สภษ 30.32; สภษ 31.3; สภษ 31.8; สภษ 31.9; ปญจ 5.1; ปญจ 5.2; ปญจ 5.4; ปญจ 5.5; ปญจ 5.6; ปญจ 5.7; ปญจ 5.8; ปญจ 7.9; ปญจ 7.10; ปญจ 7.16; ปญจ 7.17; ปญจ 7.18; ปญจ 7.21; ปญจ 7.22; ปญจ 9.7; ปญจ 9.8; ปญจ 9.9; ปญจ 9.10; ปญจ 10.16; ปญจ 10.17; ปญจ 10.20; ปญจ 11.1; ปญจ 11.2; ปญจ 11.5; ปญจ 11.6; ปญจ 11.9; ปญจ 11.10; ปญจ 12.1; พซม 1.16; พซม 4.9; อสย 1.5; อสย 1.7; อสย 1.11; อสย 1.12; อสย 1.14; อสย 1.15; อสย 1.16; อสย 1.18; อสย 1.19; อสย 1.20; อสย 1.22; อสย 1.23; อสย 1.25; อสย 1.26; อสย 1.29; อสย 1.30; อสย 3.6; อสย 3.12; อสย 3.14; อสย 3.15; อสย 3.25; อสย 5.5; อสย 6.7; อสย 7.3; อสย 7.9; อสย 7.11; อสย 8.9; อสย 8.12; อสย 8.13; อสย 10.3; อสย 10.22; อสย 10.24; อสย 10.27; อสย 12.3; อสย 12.4; อสย 12.6; อสย 14.3; อสย 14.4; อสย 14.8; อสย 14.9; อสย 14.10; อสย 14.11; อสย 14.12; อสย 14.13; อสย 14.15; อสย 14.16; อสย 14.19; อสย 14.20; อสย 14.29; อสย 14.30; อสย 14.31; อสย 16.1; อสย 16.7; อสย 16.9; อสย 17.10; อสย 17.11; อสย 18.2; อสย 19.11; อสย 20.2; อสย 21.13; อสย 22.1; อสย 22.2; อสย 22.3; อสย 22.14; อสย 22.16; อสย 22.17; อสย 22.18; อสย 22.19; อสย 22.21; อสย 23.2; อสย 23.7; อสย 23.10; อสย 23.12; อสย 23.14; อสย 23.16; อสย 24.17; อสย 25.12; อสย 26.19; อสย 26.20; อสย 27.12; อสย 28.14; อสย 28.15; อสย 28.18; อสย 28.19; อสย 28.22; อสย 29.3; อสย 29.4; อสย 29.5; อสย 29.6; อสย 29.10; อสย 29.16; อสย 30.3; อสย 30.12; อสย 30.13; อสย 30.15; อสย 30.16; อสย 30.17; อสย 30.18; อสย 30.19; อสย 30.20; อสย 30.21; อสย 30.22; อสย 30.23; อสย 30.29; อสย 31.7; อสย 33.1; อสย 33.4; อสย 33.6; อสย 33.11; อสย 33.13; อสย 33.17; อสย 33.18; อสย 33.23; อสย 36.8; อสย 36.9; อสย 36.12; อสย 36.14; อสย 36.15; อสย 36.17; อสย 36.18; อสย 37.6; อสย 37.10; อสย 37.21; อสย 37.22; อสย 37.23; อสย 37.24; อสย 37.26; อสย 37.28; อสย 37.29; อสย 37.30; อสย 38.1; อสย 38.5; อสย 38.6; อสย 39.6; อสย 39.7; อสย 40.1; อสย 40.9; อสย 40.25; อสย 40.27; อสย 41.8; อสย 41.9; อสย 41.10; อสย 41.11; อสย 41.12; อสย 41.13; อสย 41.14; อสย 41.15; อสย 41.16; อสย 41.21; อสย 41.23; อสย 41.24; อสย 41.26; อสย 42.6; อสย 42.20; อสย 42.23; อสย 43.1; อสย 43.2; อสย 43.3; อสย 43.4; อสย 43.5; อสย 43.10; อสย 43.12; อสย 43.14; อสย 43.15; อสย 43.19; อสย 43.22; อสย 43.23; อสย 43.24; อสย 43.25; อสย 43.26; อสย 43.27; อสย 44.2; อสย 44.3; อสย 44.8; อสย 44.21; อสย 44.22; อสย 44.24; อสย 44.27; อสย 44.28; อสย 45.2; อสย 45.3; อสย 45.4; อสย 45.5; อสย 45.11; อสย 45.14; อสย 45.17; อสย 45.20; อสย 46.1; อสย 46.4; อสย 46.5; อสย 46.8; อสย 46.12; อสย 47.1; อสย 47.2; อสย 47.3; อสย 47.5; อสย 47.6; อสย 47.7; อสย 47.8; อสย 47.9; อสย 47.10; อสย 47.11; อสย 47.12; อสย 47.13; อสย 47.15; อสย 48.4; อสย 48.5; อสย 48.6; อสย 48.7; อสย 48.8; อสย 48.9; อสย 48.10; อสย 48.14; อสย 48.17; อสย 48.18; อสย 48.19; อสย 49.1; อสย 49.3; อสย 49.6; อสย 49.7; อสย 49.8; อสย 49.9; อสย 49.15; อสย 49.16; อสย 49.17; อสย 49.18; อสย 49.19; อสย 49.20; อสย 49.21; อสย 49.22; อสย 49.23; อสย 49.25; อสย 49.26; อสย 50.1; อสย 50.10; อสย 50.11; อสย 51.1; อสย 51.2; อสย 51.7; อสย 51.12; อสย 51.15; อสย 51.16; อสย 51.17; อสย 51.19; อสย 51.20; อสย 51.21; อสย 51.22; อสย 51.23; อสย 52.1; อสย 52.2; อสย 52.3; อสย 52.7; อสย 52.8; อสย 52.9; อสย 52.11; อสย 52.12; อสย 54.1; อสย 54.2; อสย 54.3; อสย 54.4; อสย 54.5; อสย 54.6; อสย 54.7; อสย 54.8; อสย 54.9; อสย 54.10; อสย 54.11; อสย 54.12; อสย 54.13; อสย 54.14; อสย 54.15; อสย 54.17; อสย 55.2; อสย 55.3; อสย 55.5; อสย 55.8; อสย 55.9; อสย 55.12; อสย 56.9; อสย 57.3; อสย 57.4; อสย 57.5; อสย 57.6; อสย 57.7; อสย 57.8; อสย 57.9; อสย 57.10; อสย 57.11; อสย 57.12; อสย 57.13; อสย 58.1; อสย 58.3; อสย 58.4; อสย 58.5; อสย 58.7; อสย 58.8; อสย 58.9; อสย 58.10; อสย 58.11; อสย 58.12; อสย 58.13; อสย 58.14; อสย 59.2; อสย 59.3; อสย 59.21; อสย 60.1; อสย 60.2; อสย 60.3; อสย 60.4; อสย 60.5; อสย 60.6; อสย 60.7; อสย 60.9; อสย 60.10; อสย 60.11; อสย 60.12; อสย 60.13; อสย 60.14; อสย 60.15; อสย 60.16; อสย 60.17; อสย 60.18; อสย 60.19; อสย 60.20; อสย 60.21; อสย 61.5; อสย 61.6; อสย 61.7; อสย 62.2; อสย 62.3; อสย 62.4; อสย 62.5; อสย 62.6; อสย 62.8; อสย 62.11; อสย 62.12; อสย 65.5; อสย 65.7; อสย 65.11; อสย 65.12; อสย 65.13; อสย 65.14; อสย 65.15; อสย 66.1; อสย 66.5; อสย 66.10; อสย 66.11; อสย 66.12; อสย 66.13; อสย 66.14; อสย 66.20; อสย 66.22; ยรม 1.5; ยรม 1.7; ยรม 1.8; ยรม 1.9; ยรม 1.10; ยรม 1.11; ยรม 1.12; ยรม 1.13; ยรม 1.17; ยรม 1.18; ยรม 1.19; ยรม 2.2; ยรม 2.5; ยรม 2.7; ยรม 2.9; ยรม 2.16; ยรม 2.17; ยรม 2.18; ยรม 2.19; ยรม 2.20; ยรม 2.21; ยรม 2.22; ยรม 2.23; ยรม 2.25; ยรม 2.28; ยรม 2.29; ยรม 2.30; ยรม 2.31; ยรม 2.33; ยรม 2.34; ยรม 2.35; ยรม 2.36; ยรม 2.37; ยรม 3.1; ยรม 3.2; ยรม 3.3; ยรม 3.4; ยรม 3.5; ยรม 3.6; ยรม 3.7; ยรม 3.12; ยรม 3.13; ยรม 3.14; ยรม 3.15; ยรม 3.16; ยรม 3.18; ยรม 3.19; ยรม 3.20; ยรม 3.22; ยรม 4.1; ยรม 4.2; ยรม 4.4; ยรม 4.7; ยรม 4.8; ยรม 4.10; ยรม 4.14; ยรม 4.18; ยรม 4.30; ยรม 5.7; ยรม 5.14; ยรม 5.15; ยรม 5.17; ยรม 5.18; ยรม 5.19; ยรม 5.22; ยรม 5.25; ยรม 5.31; ยรม 6.8; ยรม 6.17; ยรม 6.20; ยรม 6.23; ยรม 6.27; ยรม 7.2; ยรม 7.3; ยรม 7.5; ยรม 7.6; ยรม 7.7; ยรม 7.8; ยรม 7.9; ยรม 7.11; ยรม 7.13; ยรม 7.14; ยรม 7.15; ยรม 7.16; ยรม 7.17; ยรม 7.21; ยรม 7.22; ยรม 7.23; ยรม 7.25; ยรม 7.27; ยรม 7.28; ยรม 7.29; ยรม 8.4; ยรม 8.8; ยรม 8.17; ยรม 9.6; ยรม 9.20; ยรม 10.1; ยรม 10.11; ยรม 10.17; ยรม 11.2; ยรม 11.3; ยรม 11.4; ยรม 11.5; ยรม 11.7; ยรม 11.13; ยรม 11.14; ยรม 11.15; ยรม 11.16; ยรม 11.17; ยรม 11.21; ยรม 12.5; ยรม 12.6; ยรม 13.1; ยรม 13.4; ยรม 13.6; ยรม 13.12; ยรม 13.13; ยรม 13.16; ยรม 13.17; ยรม 13.20; ยรม 13.21; ยรม 13.22; ยรม 13.23; ยรม 13.25; ยรม 13.26; ยรม 13.27; ยรม 14.13; ยรม 14.14; ยรม 14.17; ยรม 15.2; ยรม 15.5; ยรม 15.6; ยรม 15.11; ยรม 15.13; ยรม 15.14; ยรม 15.19; ยรม 15.20; ยรม 15.21; ยรม 16.2; ยรม 16.8; ยรม 16.9; ยรม 16.10; ยรม 16.11; ยรม 16.12; ยรม 16.13; ยรม 17.3; ยรม 17.4; ยรม 17.21; ยรม 17.22; ยรม 17.24; ยรม 17.27; ยรม 18.2; ยรม 18.6; ยรม 18.11; ยรม 19.2; ยรม 19.3; ยรม 19.10; ยรม 20.4; ยรม 21.4; ยรม 21.5; ยรม 21.8; ยรม 21.12; ยรม 21.13; ยรม 21.14; ยรม 22.6; ยรม 22.7; ยรม 22.15; ยรม 22.17; ยรม 22.20; ยรม 22.21; ยรม 22.22; ยรม 22.23; ยรม 22.25; ยรม 22.26; ยรม 23.2; ยรม 23.17; ยรม 23.20; ยรม 23.33; ยรม 23.35; ยรม 23.36; ยรม 23.37; ยรม 23.38; ยรม 23.39; ยรม 23.40; ยรม 24.3; ยรม 25.5; ยรม 25.6; ยรม 25.7; ยรม 25.8; ยรม 25.10; ยรม 25.15; ยรม 25.27; ยรม 25.28; ยรม 25.29; ยรม 25.30; ยรม 25.34; ยรม 26.2; ยรม 26.4; ยรม 26.5; ยรม 26.8; ยรม 26.9; ยรม 27.2; ยรม 27.4; ยรม 27.9; ยรม 27.14; ยรม 27.15; ยรม 27.16; ยรม 28.13; ยรม 28.16; ยรม 29.5; ยรม 29.6; ยรม 29.7; ยรม 29.8; ยรม 29.9; ยรม 29.10; ยรม 29.11; ยรม 29.12; ยรม 29.13; ยรม 29.14; ยรม 29.15; ยรม 29.19; ยรม 29.20; ยรม 29.21; ยรม 29.22; ยรม 29.24; ยรม 29.25; ยรม 29.26; ยรม 29.27; ยรม 29.28; ยรม 29.31; ยรม 30.2; ยรม 30.8; ยรม 30.10; ยรม 30.11; ยรม 30.12; ยรม 30.13; ยรม 30.14; ยรม 30.15; ยรม 30.16; ยรม 30.17; ยรม 30.22; ยรม 30.24; ยรม 31.3; ยรม 31.4; ยรม 31.5; ยรม 31.16; ยรม 31.17; ยรม 31.21; ยรม 31.22; ยรม 31.23; ยรม 32.5; ยรม 32.7; ยรม 32.36; ยรม 32.43; ยรม 33.3; ยรม 33.10; ยรม 33.20; ยรม 33.24; ยรม 34.13; ยรม 34.14; ยรม 34.15; ยรม 34.16; ยรม 34.17; ยรม 34.21; ยรม 35.6; ยรม 35.7; ยรม 35.13; ยรม 35.14; ยรม 35.15; ยรม 35.18; ยรม 36.2; ยรม 36.6; ยรม 36.14; ยรม 36.17; ยรม 36.19; ยรม 36.29; ยรม 37.7; ยรม 37.9; ยรม 37.10; ยรม 38.10; ยรม 38.25; ยรม 39.16; ยรม 39.17; ยรม 39.18; ยรม 42.10; ยรม 42.11; ยรม 42.12; ยรม 42.13; ยรม 42.15; ยรม 42.16; ยรม 42.18; ยรม 44.2; ยรม 44.3; ยรม 44.4; ยรม 44.7; ยรม 44.8; ยรม 44.9; ยรม 44.10; ยรม 44.11; ยรม 44.25; ยรม 44.26; ยรม 44.29; ยรม 45.3; ยรม 45.4; ยรม 45.5; ยรม 46.4; ยรม 46.11; ยรม 46.12; ยรม 46.14; ยรม 46.15; ยรม 46.19; ยรม 46.27; ยรม 46.28; ยรม 47.5; ยรม 48.2; ยรม 48.7; ยรม 48.14; ยรม 48.18; ยรม 48.27; ยรม 48.32; ยรม 48.43; ยรม 48.46; ยรม 49.4; ยรม 49.5; ยรม 49.9; ยรม 49.11; ยรม 49.12; ยรม 49.14; ยรม 49.15; ยรม 49.16; ยรม 49.30; ยรม 50.11; ยรม 50.12; ยรม 50.14; ยรม 50.21; ยรม 50.24; ยรม 50.31; ยรม 50.42; ยรม 51.6; ยรม 51.13; ยรม 51.14; ยรม 51.20; ยรม 51.21; ยรม 51.22; ยรม 51.23; ยรม 51.24; ยรม 51.25; ยรม 51.26; ยรม 51.36; ยรม 51.46; ยรม 51.50; พคค 2.13; พคค 2.14; พคค 2.15; พคค 2.16; พคค 2.17; พคค 2.18; พคค 2.19; พคค 4.21; พคค 4.22; อสค 2.1; อสค 2.3; อสค 2.4; อสค 2.6; อสค 2.7; อสค 2.8; อสค 3.1; อสค 3.3; อสค 3.4; อสค 3.5; อสค 3.6; อสค 3.7; อสค 3.8; อสค 3.9; อสค 3.10; อสค 3.11; อสค 3.17; อสค 3.18; อสค 3.19; อสค 3.20; อสค 3.21; อสค 3.22; อสค 3.24; อสค 3.25; อสค 3.26; อสค 3.27; อสค 4.1; อสค 4.3; อสค 4.4; อสค 4.5; อสค 4.6; อสค 4.7; อสค 4.8; อสค 4.9; อสค 4.10; อสค 4.11; อสค 4.12; อสค 4.15; อสค 5.1; อสค 5.2; อสค 5.3; อสค 5.4; อสค 5.7; อสค 5.8; อสค 5.9; อสค 5.10; อสค 5.11; อสค 5.12; อสค 5.14; อสค 5.15; อสค 5.16; อสค 5.17; อสค 6.2; อสค 6.3; อสค 6.4; อสค 6.5; อสค 6.6; อสค 6.7; อสค 6.8; อสค 6.9; อสค 6.11; อสค 6.13; อสค 7.2; อสค 7.3; อสค 7.4; อสค 7.6; อสค 7.8; อสค 7.9; อสค 8.6; อสค 8.12; อสค 8.13; อสค 8.15; อสค 8.17; อสค 9.1; อสค 9.5; อสค 11.5; อสค 11.6; อสค 11.7; อสค 11.8; อสค 11.9; อสค 11.10; อสค 11.11; อสค 11.12; อสค 11.15; อสค 11.17; อสค 11.19; อสค 12.2; อสค 12.3; อสค 12.4; อสค 12.6; อสค 12.9; อสค 12.18; อสค 12.20; อสค 12.22; อสค 12.25; อสค 13.2; อสค 13.4; อสค 13.5; อสค 13.7; อสค 13.8; อสค 13.9; อสค 13.11; อสค 13.12; อสค 13.14; อสค 13.15; อสค 13.17; อสค 13.18; อสค 13.19; อสค 13.20; อสค 13.21; อสค 13.22; อสค 13.23; อสค 14.6; อสค 14.8; อสค 14.22; อสค 14.23; อสค 15.7; อสค 16.3; อสค 16.4; อสค 16.5; อสค 16.6; อสค 16.7; อสค 16.8; อสค 16.9; อสค 16.10; อสค 16.11; อสค 16.12; อสค 16.13; อสค 16.14; อสค 16.15; อสค 16.16; อสค 16.17; อสค 16.18; อสค 16.19; อสค 16.20; อสค 16.21; อสค 16.22; อสค 16.23; อสค 16.24; อสค 16.25; อสค 16.26; อสค 16.27; อสค 16.28; อสค 16.29; อสค 16.30; อสค 16.31; อสค 16.33; อสค 16.34; อสค 16.36; อสค 16.37; อสค 16.38; อสค 16.39; อสค 16.40; อสค 16.41; อสค 16.42; อสค 16.43; อสค 16.44; อสค 16.45; อสค 16.46; อสค 16.47; อสค 16.48; อสค 16.49; อสค 16.51; อสค 16.52; อสค 16.53; อสค 16.54; อสค 16.55; อสค 16.56; อสค 16.57; อสค 16.58; อสค 16.59; อสค 16.60; อสค 16.61; อสค 16.62; อสค 16.63; อสค 17.9; อสค 17.21; อสค 18.2; อสค 18.3; อสค 18.19; อสค 18.25; อสค 18.29; อสค 18.30; อสค 18.31; อสค 19.1; อสค 19.2; อสค 19.10; อสค 20.3; อสค 20.4; อสค 20.5; อสค 20.7; อสค 20.18; อสค 20.19; อสค 20.20; อสค 20.27; อสค 20.29; อสค 20.30; อสค 20.31; อสค 20.32; อสค 20.33; อสค 20.34; อสค 20.35; อสค 20.36; อสค 20.37; อสค 20.38; อสค 20.39; อสค 20.40; อสค 20.41; อสค 20.42; อสค 20.43; อสค 20.44; อสค 20.47; อสค 21.2; อสค 21.3; อสค 21.4; อสค 21.7; อสค 21.12; อสค 21.16; อสค 21.24; อสค 21.25; อสค 21.28; อสค 21.30; อสค 21.31; อสค 21.32; อสค 22.2; อสค 22.3; อสค 22.4; อสค 22.5; อสค 22.6; อสค 22.7; อสค 22.8; อสค 22.9; อสค 22.10; อสค 22.11; อสค 22.12; อสค 22.13; อสค 22.14; อสค 22.15; อสค 22.16; อสค 22.19; อสค 22.20; อสค 22.21; อสค 22.22; อสค 22.24; อสค 23.21; อสค 23.22; อสค 23.24; อสค 23.25; อสค 23.26; อสค 23.27; อสค 23.28; อสค 23.29; อสค 23.30; อสค 23.31; อสค 23.32; อสค 23.33; อสค 23.34; อสค 23.35; อสค 23.36; อสค 23.41; อสค 23.48; อสค 23.49; อสค 24.13; อสค 24.14; อสค 24.16; อสค 24.17; อสค 24.21; อสค 24.22; อสค 24.23; อสค 24.24; อสค 24.25; อสค 24.26; อสค 24.27; อสค 25.2; อสค 25.3; อสค 25.4; อสค 25.5; อสค 25.6; อสค 25.7; อสค 26.3; อสค 26.8; อสค 26.9; อสค 26.10; อสค 26.11; อสค 26.12; อสค 26.13; อสค 26.14; อสค 26.15; อสค 26.16; อสค 26.17; อสค 26.18; อสค 26.19; อสค 26.20; อสค 26.21; อสค 27.2; อสค 27.3; อสค 27.4; อสค 27.5; อสค 27.6; อสค 27.7; อสค 27.8; อสค 27.9; อสค 27.10; อสค 27.11; อสค 27.12; อสค 27.13; อสค 27.14; อสค 27.15; อสค 27.16; อสค 27.17; อสค 27.18; อสค 27.19; อสค 27.20; อสค 27.21; อสค 27.22; อสค 27.23; อสค 27.24; อสค 27.25; อสค 27.26; อสค 27.27; อสค 27.28; อสค 27.30; อสค 27.31; อสค 27.32; อสค 27.33; อสค 27.34; อสค 27.35; อสค 27.36; อสค 28.2; อสค 28.3; อสค 28.4; อสค 28.5; อสค 28.6; อสค 28.7; อสค 28.8; อสค 28.9; อสค 28.10; อสค 28.12; อสค 28.13; อสค 28.14; อสค 28.15; อสค 28.16; อสค 28.17; อสค 28.18; อสค 28.19; อสค 28.22; อสค 29.2; อสค 29.3; อสค 29.4; อสค 29.5; อสค 29.6; อสค 29.7; อสค 29.8; อสค 29.10; อสค 29.21; อสค 31.18; อสค 33.2; อสค 33.7; อสค 33.8; อสค 33.9; อสค 33.10; อสค 33.11; อสค 33.12; อสค 33.14; อสค 33.17; อสค 33.20; อสค 33.25; อสค 33.26; อสค 33.30; อสค 33.31; อสค 33.32; อสค 34.3; อสค 34.4; อสค 34.17; อสค 34.18; อสค 34.19; อสค 34.21; อสค 34.31; อสค 35.2; อสค 35.3; อสค 35.4; อสค 35.5; อสค 35.6; อสค 35.8; อสค 35.9; อสค 35.10; อสค 35.11; อสค 35.12; อสค 35.13; อสค 35.14; อสค 35.15; อสค 36.1; อสค 36.2; อสค 36.3; อสค 36.6; อสค 36.7; อสค 36.8; อสค 36.9; อสค 36.10; อสค 36.11; อสค 36.12; อสค 36.13; อสค 36.14; อสค 36.15; อสค 36.22; อสค 36.23; อสค 36.24; อสค 36.25; อสค 36.26; อสค 36.27; อสค 36.28; อสค 36.29; อสค 36.30; อสค 36.31; อสค 36.32; อสค 36.33; อสค 36.36; อสค 37.5; อสค 37.6; อสค 37.12; อสค 37.13; อสค 37.14; อสค 37.16; อสค 37.17; อสค 37.18; อสค 37.20; อสค 37.25; อสค 38.2; อสค 38.3; อสค 38.4; อสค 38.6; อสค 38.7; อสค 38.8; อสค 38.9; อสค 38.10; อสค 38.12; อสค 38.13; อสค 38.14; อสค 38.15; อสค 38.16; อสค 38.17; อสค 39.1; อสค 39.2; อสค 39.3; อสค 39.4; อสค 39.5; อสค 39.17; อสค 39.18; อสค 39.19; อสค 39.20; อสค 40.4; อสค 43.10; อสค 43.20; อสค 43.27; อสค 44.5; อสค 44.6; อสค 44.7; อสค 44.8; อสค 44.28; อสค 44.30; อสค 45.1; อสค 45.3; อสค 45.6; อสค 45.10; อสค 45.12; อสค 45.13; อสค 45.18; อสค 45.20; อสค 45.21; อสค 46.13; อสค 46.14; อสค 47.6; อสค 47.13; อสค 47.14; อสค 47.21; อสค 47.22; อสค 47.23; อสค 48.8; อสค 48.9; อสค 48.20; อสค 48.29; ดนล 1.10; ดนล 2.5; ดนล 2.6; ดนล 2.8; ดนล 2.9; ดนล 2.26; ดนล 3.14; ดนล 3.15; ดนล 4.31; ดนล 4.32; ดนล 10.21; ดนล 11.22; ดนล 12.4; ดนล 12.13; ฮชย 1.9; ฮชย 1.10; ฮชย 2.1; ฮชย 2.2; ฮชย 2.16; ฮชย 2.19; ฮชย 2.20; ฮชย 2.23; ฮชย 4.4; ฮชย 4.5; ฮชย 4.6; ฮชย 4.13; ฮชย 4.14; ฮชย 4.15; ฮชย 5.1; ฮชย 5.3; ฮชย 5.8; ฮชย 5.13; ฮชย 6.4; ฮชย 6.5; ฮชย 6.11; ฮชย 8.1; ฮชย 8.5; ฮชย 9.1; ฮชย 9.5; ฮชย 9.7; ฮชย 9.10; ฮชย 10.9; ฮชย 10.12; ฮชย 10.13; ฮชย 10.14; ฮชย 10.15; ฮชย 11.8; ฮชย 11.9; ฮชย 12.6; ฮชย 12.9; ฮชย 13.4; ฮชย 13.5; ฮชย 13.9; ฮชย 13.10; ฮชย 13.11; ฮชย 13.14; ฮชย 14.1; ฮชย 14.8; ยอล 1.5; ยอล 2.12; ยอล 2.13; ยอล 2.19; ยอล 2.20; ยอล 2.22; ยอล 2.23; ยอล 2.25; ยอล 2.26; ยอล 2.27; ยอล 2.28; ยอล 3.4; ยอล 3.5; ยอล 3.6; ยอล 3.7; ยอล 3.8; ยอล 3.10; ยอล 3.17; อมส 2.10; อมส 2.11; อมส 2.12; อมส 2.13; อมส 3.2; อมส 3.11; อมส 4.2; อมส 4.3; อมส 4.4; อมส 4.5; อมส 4.6; อมส 4.7; อมส 4.8; อมส 4.9; อมส 4.10; อมส 4.11; อมส 4.12; อมส 5.1; อมส 5.4; อมส 5.6; อมส 5.7; อมส 5.11; อมส 5.12; อมส 5.14; อมส 5.17; อมส 5.18; อมส 5.21; อมส 5.22; อมส 5.23; อมส 5.25; อมส 5.26; อมส 5.27; อมส 6.2; อมส 6.3; อมส 6.10; อมส 6.12; อมส 6.13; อมส 6.14; อมส 7.8; อมส 8.2; อมส 8.10; อมส 9.7; อมส 9.15; อบด 1.2; อบด 1.3; อบด 1.4; อบด 1.5; อบด 1.7; อบด 1.9; อบด 1.10; อบด 1.11; อบด 1.12; อบด 1.13; อบด 1.14; อบด 1.15; อบด 1.16; ยนา 1.6; ยนา 1.8; ยนา 3.2; ยนา 4.4; ยนา 4.9; ยนา 4.10; มคา 1.11; มคา 1.13; มคา 1.14; มคา 1.15; มคา 1.16; มคา 2.3; มคา 2.4; มคา 2.5; มคา 2.8; มคา 2.9; มคา 2.10; มคา 2.12; มคา 3.6; มคา 3.12; มคา 4.8; มคา 4.9; มคา 4.10; มคา 4.11; มคา 4.13; มคา 5.1; มคา 5.2; มคา 5.9; มคา 5.10; มคา 5.11; มคา 5.12; มคา 5.13; มคา 5.14; มคา 6.1; มคา 6.3; มคา 6.4; มคา 6.5; มคา 6.8; มคา 6.12; มคา 6.13; มคา 6.14; มคา 6.15; มคา 6.16; มคา 7.4; มคา 7.5; มคา 7.10; มคา 7.11; มคา 7.12; มคา 7.15; มคา 7.17; นฮม 1.9; นฮม 1.11; นฮม 1.12; นฮม 1.13; นฮม 1.14; นฮม 1.15; นฮม 2.1; นฮม 2.13; นฮม 3.5; นฮม 3.6; นฮม 3.7; นฮม 3.8; นฮม 3.11; นฮม 3.12; นฮม 3.13; นฮม 3.14; นฮม 3.15; นฮม 3.16; นฮม 3.17; นฮม 3.18; นฮม 3.19; ฮบก 1.5; ฮบก 2.7; ฮบก 2.8; ฮบก 2.10; ฮบก 2.16; ฮบก 2.17; ศฟย 2.2; ศฟย 2.3; ศฟย 2.5; ศฟย 2.12; ศฟย 3.11; ศฟย 3.12; ศฟย 3.14; ศฟย 3.15; ศฟย 3.16; ศฟย 3.17; ศฟย 3.18; ศฟย 3.19; ศฟย 3.20; ฮกก 1.4; ฮกก 1.5; ฮกก 1.6; ฮกก 1.7; ฮกก 1.9; ฮกก 1.10; ฮกก 1.13; ฮกก 2.4; ฮกก 2.5; ฮกก 2.17; ฮกก 2.19; ฮกก 2.23; ศคย 1.2; ศคย 1.3; ศคย 1.4; ศคย 1.5; ศคย 1.6; ศคย 1.9; ศคย 2.6; ศคย 2.7; ศคย 2.8; ศคย 2.9; ศคย 2.10; ศคย 2.11; ศคย 3.2; ศคย 3.4; ศคย 3.7; ศคย 3.8; ศคย 3.10; ศคย 4.2; ศคย 4.5; ศคย 4.7; ศคย 4.9; ศคย 4.13; ศคย 5.2; ศคย 7.5; ศคย 7.6; ศคย 7.7; ศคย 8.9; ศคย 8.13; ศคย 8.14; ศคย 8.16; ศคย 8.19; ศคย 9.11; ศคย 9.12; ศคย 9.13; ศคย 11.1; ศคย 11.7; ศคย 11.9; ศคย 13.3; ศคย 14.1; มลค 1.2; มลค 1.5; มลค 1.8; มลค 1.9; มลค 1.10; มลค 1.12; มลค 1.13; มลค 2.1; มลค 2.2; มลค 2.3; มลค 2.4; มลค 2.8; มลค 2.9; มลค 2.13; มลค 2.14; มลค 2.15; มลค 2.16; มลค 2.17; มลค 3.1; มลค 3.5; มลค 3.6; มลค 3.7; มลค 3.8; มลค 3.9; มลค 3.10; มลค 3.11; มลค 3.12; มลค 3.13; มลค 3.14; มลค 3.18; มลค 4.2; มลค 4.3; มลค 4.5; มธ 1.20; มธ 1.21; มธ 2.13; มธ 3.7; มธ 3.8; มธ 3.9; มธ 3.11; มธ 7.23; มธ 8.26; มธ 9.2; มธ 9.5; มธ 9.22; มธ 9.28; มธ 9.29; มธ 11.21; มธ 11.22; มธ 11.23; มธ 11.24; มธ 11.25; มธ 12.8; มธ 12.34; มธ 12.36; มธ 12.37; มธ 13.14; มธ 14.31; มธ 15.28; มธ 16.23; มธ 18.32; มธ 18.33; มธ 20.25; มธ 21.13; มธ 21.19; มธ 22.18; มธ 22.37; มธ 23.13; มธ 23.14; มธ 23.15; มธ 23.16; มธ 23.23; มธ 23.24; มธ 23.25; มธ 23.27; มธ 23.28; มธ 23.29; มธ 23.31; มธ 23.32; มธ 23.33; มธ 23.34; มธ 23.35; มธ 23.36; มธ 23.37; มธ 23.38; มธ 23.39; มธ 25.9; มธ 25.21; มธ 25.23; มธ 25.26; มธ 25.27; มธ 25.30; มธ 26.68; มธ 26.69; มธ 26.70; มธ 26.73; มธ 27.4; มธ 27.17; มธ 27.21; มธ 27.24; มธ 27.40; มธ 28.13; มธ 28.14; มก 1.8; มก 1.25; มก 1.41; มก 1.44; มก 2.5; มก 2.9; มก 2.11; มก 2.28; มก 5.9; มก 5.19; มก 5.34; มก 5.41; มก 7.6; มก 7.8; มก 7.9; มก 7.11; มก 7.12; มก 7.13; มก 7.29; มก 8.12; มก 8.33; มก 9.19; มก 9.25; มก 10.5; มก 10.42; มก 10.49; มก 10.51; มก 10.52; มก 11.14; มก 11.17; มก 14.67; มก 14.68; มก 14.70; มก 14.71; มก 15.29; มก 15.32; ลก 2.11; ลก 3.7; ลก 3.8; ลก 3.13; ลก 3.16; ลก 5.14; ลก 5.20; ลก 5.23; ลก 5.24; ลก 6.5; ลก 6.24; ลก 6.25; ลก 6.26; ลก 7.14; ลก 7.48; ลก 7.50; ลก 8.25; ลก 8.30; ลก 8.39; ลก 8.48; ลก 9.41; ลก 10.11; ลก 10.13; ลก 10.14; ลก 10.15; ลก 10.21; ลก 10.27; ลก 11.39; ลก 11.41; ลก 11.42; ลก 11.43; ลก 11.44; ลก 11.46; ลก 11.47; ลก 11.48; ลก 11.52; ลก 12.19; ลก 12.20; ลก 12.56; ลก 12.57; ลก 12.58; ลก 12.59; ลก 13.12; ลก 13.15; ลก 13.25; ลก 13.27; ลก 13.34; ลก 13.35; ลก 14.24; ลก 15.31; ลก 15.32; ลก 16.2; ลก 16.15; ลก 16.25; ลก 16.26; ลก 17.8; ลก 17.19; ลก 18.41; ลก 18.42; ลก 19.17; ลก 19.19; ลก 19.22; ลก 19.23; ลก 19.26; ลก 19.42; ลก 19.43; ลก 19.44; ลก 19.46; ลก 22.25; ลก 22.58; ลก 22.64; ลก 23.40; ลก 23.43; ลก 24.3; ยน 1.33; ยน 2.5; ยน 4.10; ยน 4.11; ยน 4.15; ยน 4.16; ยน 4.17; ยน 4.18; ยน 4.19; ยน 4.21; ยน 4.22; ยน 4.26; ยน 4.42; ยน 5.6; ยน 5.8; ยน 5.10; ยน 5.11; ยน 5.12; ยน 5.14; ยน 7.45; ยน 7.47; ยน 8.10; ยน 8.11; ยน 9.10; ยน 9.17; ยน 9.19; ยน 9.26; ยน 9.35; ยน 9.37; ยน 11.23; ยน 11.26; ยน 11.28; ยน 11.34; ยน 11.40; ยน 13.33; ยน 13.34; ยน 13.35; ยน 18.22; ยน 18.25; ยน 18.26; ยน 20.15; กจ 1.21; กจ 3.25; กจ 4.33; กจ 5.3; กจ 5.4; กจ 5.8; กจ 5.9; กจ 5.28; กจ 7.3; กจ 7.27; กจ 7.28; กจ 7.32; กจ 7.33; กจ 7.34; กจ 7.35; กจ 7.42; กจ 7.43; กจ 7.49; กจ 7.59; กจ 8.16; กจ 8.20; กจ 8.21; กจ 8.22; กจ 8.23; กจ 9.4; กจ 9.5; กจ 9.6; กจ 9.29; กจ 10.19; กจ 11.9; กจ 11.17; กจ 11.20; กจ 12.15; กจ 13.10; กจ 13.11; กจ 13.41; กจ 13.47; กจ 15.11; กจ 16.18; กจ 16.31; กจ 17.24; กจ 18.10; กจ 19.5; กจ 19.10; กจ 19.13; กจ 19.15; กจ 19.17; กจ 20.24; กจ 20.35; กจ 21.13; กจ 21.37; กจ 21.38; กจ 22.7; กจ 22.8; กจ 22.10; กจ 22.18; กจ 22.21; กจ 23.3; กจ 23.4; กจ 23.5; กจ 23.11; กจ 23.19; กจ 23.22; กจ 23.35; กจ 24.22; กจ 25.9; กจ 25.12; กจ 26.1; กจ 26.14; กจ 26.15; กจ 26.16; กจ 26.17; กจ 26.18; กจ 26.24; กจ 26.28; กจ 28.7; กจ 28.26; กจ 28.31; รม 1.7; รม 4.17; รม 4.18; รม 9.7; รม 9.17; รม 9.26; รม 10.19; รม 13.14; รม 14.14; รม 15.30; 1คร 1.3; 1คร 5.5; 1คร 6.11; 1คร 8.5; 1คร 8.6; 1คร 11.23; 1คร 12.21; 1คร 15.55; 1คร 16.22; 2คร 1.2; 2คร 1.14; 2คร 4.10; 2คร 4.14; 2คร 6.2; 2คร 6.17; 2คร 6.18; 2คร 12.9; 2คร 13.14; กท 3.8; กท 4.27; กท 6.17; อฟ 1.2; อฟ 1.15; อฟ 2.2; อฟ 6.2; อฟ 6.3; อฟ 6.23; ฟป 1.2; ฟป 2.19; ฟป 3.20; คส 1.2; คส 2.6; คส 3.17; คส 3.24; 1ธส 1.1; 1ธส 2.15; 1ธส 4.1; 1ธส 4.2; 2ธส 1.1; 2ธส 1.2; 2ธส 1.7; 2ธส 1.12; 1ทธ 1.1; 1ทธ 5.21; 2ทธ 4.1; 2ทธ 4.22; ทต 1.4; ฟม 1.3; ฟม 1.5; ฮบ 11.18; ยก 1.1; 2ยน 1.3; ยด 1.9; วว 1.19; วว 1.20; วว 2.2; วว 2.3; วว 2.4; วว 2.5; วว 2.6; วว 2.9; วว 2.10; วว 2.13; วว 2.14; วว 2.15; วว 2.16; วว 2.19; วว 2.20; วว 2.23; วว 2.24; วว 2.25; วว 3.1; วว 3.2; วว 3.3; วว 3.4; วว 3.8; วว 3.9; วว 3.10; วว 3.11; วว 3.15; วว 3.16; วว 3.17; วว 3.18; วว 4.1; วว 6.6; วว 10.9; วว 10.11; วว 11.4; วว 12.12; วว 18.10; วว 18.14; วว 18.22; วว 18.23; วว 22.20

เจ้ากรมคลัง ( 1 )
1พศด 27.25 อัสมาเวทบุตรชายอาดีเอลเป็นเจ้ากรมพระคลังนครหลวง และเยโฮนาธันบุตรชายของอุสซียาห์ เป็นเจ้ากรมคลังนอกนคร ในหัวเมือง ในชนบทและในป้อม

เจ้ากรมพระคลัง ( 1 )
1พศด 27.25 อัสมาเวทบุตรชายอาดีเอลเป็นเจ้ากรมพระคลังนครหลวง และเยโฮนาธันบุตรชายของอุสซียาห์ เป็นเจ้ากรมคลังนอกนคร ในหัวเมือง ในชนบทและในป้อม

เจ้ากรมวัง ( 1 )
1พกษ 4.6 อาหิชาร์เป็นเจ้ากรมวัง และอาโดนีรัมบุตรชายอับดาเป็นผู้ควบคุมคนที่ทำงานโยธา

เจ้ากรมสารบรรณ ( 9 )
2ซมอ 8.16 และโยอาบบุตรชายนางเศรุยาห์เป็นแม่ทัพ และเยโฮชาฟัทบุตรชายอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ
2ซมอ 20.24 และอาโดรัมดูแลคนงานโยธา เยโฮชาฟัทบุตรชายอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ
1พกษ 4.3 เอลีโฮเรฟและอาหิยาห์บุตรชายชิชา เป็นราชเลขา เยโฮชาฟัทบุตรชายอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ
2พกษ 18.18 และเมื่อเขาเรียกหากษัตริย์แล้ว เอลียาคิมบุตรชายฮิลคียาห์ ผู้บัญชาการราชสำนัก พร้อมกับเชบนาห์ราชเลขา และโยอาห์บุตรชายของอาสาฟเจ้ากรมสารบรรณ ก็ออกไปหาพวกเขา
2พกษ 18.37 แล้วเอลียาคิมบุตรชายฮิลคียาห์ ผู้บัญชาการราชสำนัก และเชบนาห์ราชเลขา และโยอาห์บุตรชายอาสาฟเจ้ากรมสารบรรณ ได้เข้าเฝ้าเฮเซคียาห์ด้วยเสื้อผ้าฉีกขาด และกราบทูลถ้อยคำของรับชาเคห์
1พศด 18.15 และโยอาบบุตรชายนางเศรุยาห์เป็นผู้บัญชาการกองทัพ และเยโฮชาฟัทบุตรชายอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ
2พศด 34.8 ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงกวาดล้างแผ่นดินและพระนิเวศแล้ว พระองค์ทรงใช้ชาฟานบุตรชายอาซาลิยาห์ และมาอาเสอาห์ผู้ว่าราชการนคร และโยอาห์บุตรชายโยอาฮาสเจ้ากรมสารบรรณ ให้ซ่อมแซมพระนิเวศของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์
อสย 36.3 เอลียาคิมบุตรชายฮิลคียาห์ก็ออกมาหาท่าน เอลียาคิมเป็นผู้บัญชาการราชสำนัก พร้อมกับเชบนาห์ราชเลขา และโยอาห์บุตรชายอาสาฟเจ้ากรมสารบรรณ
อสย 36.22 แล้วเอลียาคิมบุตรชายฮิลคียาห์ ผู้บัญชาการราชสำนัก และเชบนาห์ราชเลขา และโยอาห์บุตรชายอาสาฟ เจ้ากรมสารบรรณ ได้เข้าเฝ้าเฮเซคียาห์ด้วยเสื้อผ้าฉีกขาด และกราบทูลถ้อยคำของรับชาเคห์

เจ้าของ ( 51 )
ปฐก 14.19 ท่านก็อวยพรแก่อับรามว่า “ขอให้พระเจ้าผู้สูงสุดผู้ทรงเป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกโปรดให้อับรามได้รับพรเถิด
ปฐก 14.22 อับรามกล่าวแก่กษัตริย์เมืองโสโดมว่า “ข้าพเจ้าได้ยกมือของข้าพเจ้าต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงเป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
ปฐก 38.25 เมื่อเขากำลังพานางออกมา นางก็ส่งคนไปหาพ่อสามีบอกว่า “ข้าพเจ้ามีครรภ์กับคนที่เป็นเจ้าของสิ่งนี้” และนางว่า “ขอท่านพิจารณาดูแหวนตรา เชือก และไม้พลองเหล่านี้ว่าเป็นของผู้ใด”
อพย 21.28 ถ้าวัวขวิดชายหรือหญิงถึงตายจงเอาหินขว้างวัวนั้นให้ตายเป็นแน่ และอย่ากินเนื้อของมันเลย แต่เจ้าของวัวตัวนั้นไม่มีโทษ
อพย 21.29 แต่ถ้าวัวนั้นเคยขวิดคนมาก่อน และมีผู้มาเตือนให้เจ้าของทราบ แต่เจ้าของมิได้กักขังมันไว้ มันจึงได้ขวิดชายหรือหญิงถึงตาย ให้เอาหินขว้างวัวนั้นเสียให้ตายและให้ลงโทษเจ้าของถึงตายด้วย
อพย 21.32 ถ้าวัวนั้นขวิดทาสชายหญิงของผู้ใด เจ้าของวัวต้องให้เงินแก่นายของทาสนั้นสามสิบเชเขล แล้วต้องเอาหินขว้างวัวนั้นให้ตายเสียด้วย
อพย 21.34 เจ้าของบ่อต้องให้ค่าชดใช้เขา ต้องเสียเงินค่าสัตว์นั้นให้แก่เจ้าของ ซากสัตว์ที่ตายนั้นจะตกเป็นของเจ้าของบ่อ
อพย 21.36 หรือถ้ารู้แล้วว่าวัวนั้นเคยขวิดมาก่อน แต่เจ้าของมิได้กักขังไว้ เจ้าของต้องใช้วัวแทนวัว และวัวที่ตายนั้นก็ตกเป็นของตัว”
อพย 22.11 ต้องให้ผู้รับฝากนั้นปฏิญาณตัวต่อเพื่อนบ้านต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์เพื่อดูว่า มือของเขาลักของของเพื่อนบ้านนั้นจริงหรือไม่ แล้วเจ้าของนั้นจะต้องยินยอม ผู้รับฝากนั้นไม่ต้องให้ค่าชดใช้
อพย 22.12 แต่ถ้าสัตว์นั้นถูกลักไป ขณะเมื่อผู้รับฝากอยู่ด้วย ผู้รับฝากต้องให้ค่าชดใช้แก่เจ้าของ
อพย 22.14 ถ้าผู้ใดยืมสิ่งใดๆไปจากเพื่อนบ้านแล้วเกิดเป็นอันตราย หรือตายระหว่างเวลาที่เจ้าของไม่อยู่ ผู้ยืมต้องให้ค่าชดใช้เต็มตามจำนวนเป็นแน่
อพย 22.15 แต่ถ้าเจ้าของอยู่ด้วย ผู้ยืมไม่ต้องให้ค่าชดใช้ ถ้าเป็นของเช่า ให้คิดแต่ค่าเช่าเท่านั้น
อพย 23.4 ถ้าเจ้าพบวัวหรือลาของศัตรูหลงมา จงพาไปส่งคืนให้เจ้าของจงได้
ลนต 6.5 หรือสิ่งใดๆที่ได้ปฏิญาณเท็จไว้ เขาต้องคืนให้เต็มตามจำนวน และจงเพิ่มอีกหนึ่งในห้าและมอบให้แก่เจ้าของในวันที่เขาถวายเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
ลนต 25.31 แต่เรือนในชนบทที่ไม่มีกำแพงล้อมให้นับเข้าเป็นพวกเดียวกับท้องนาในประเทศนั้น คือไถ่ถอนคืนได้ และจะต้องคืนกลับให้เจ้าของเดิมในปีเสียงแตร
ลนต 25.50 จงให้ผู้ที่ขายตัวนับปีทั้งหลายที่ขายตัวกับผู้ที่ซื้อตัวเขาไป ว่าเขาได้ขายตัวกี่ปีจนถึงปีเสียงแตร ค่าตัวของเขาเป็นค่าตามจำนวนปีเหล่านั้น เวลาที่เขาอยู่กับเจ้าของตัวเขานั้นคิดตามเวลาของลูกจ้าง
ลนต 27.23 ปุโรหิตจะคำนวณค่านานับจนถึงปีเสียงแตร ในวันนั้นเจ้าของนาต้องถวายเงินเท่ากำหนดค่านาที่ตีไว้ เป็นสิ่งบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์
ลนต 27.24 พอถึงปีเสียงแตรนานั้นต้องกลับไปตกแก่ผู้ที่ขายให้เขาซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ตามมรดกที่ตกมาเป็นของเขา
กดว 5.7 ก็ให้ผู้นั้นสารภาพความผิดที่เขาได้กระทำ และให้เขาคืนสิ่งที่ละเมิดซึ่งเขาได้มานั้นเต็มตามเดิม ทั้งเพิ่มอีกหนึ่งในห้าส่วนให้แก่เจ้าของเดิมผู้ที่เขาได้กระทำการละเมิดต่อนั้น
กดว 17.2 “จงพูดกับคนอิสราเอลและเอาไม้เท้ามาจากเขา เรือนบรรพบุรุษละอันจากประมุขทุกคนตามเรือนบรรพบุรุษ เป็นไม้เท้าสิบสองอัน เขียนชื่อชายเจ้าของไม้ไว้บนไม้เท้าทุกอัน
กดว 21.28 เพราะว่ามีไฟออกไปจากเฮชโบน มีเปลวไฟออกไปจากเมืองแห่งสิโหน ได้ทำลายเมืองอาร์ของโมอับ เจ้าของแห่งปูชนียสถานสูงของแม่น้ำอารโนน
1พกษ 3.26 แล้วหญิงคนที่บุตรของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นทูลกษัตริย์ เพราะว่าจิตใจของเธออาลัยในบุตรชายของเธอ เธอว่า “โอ ข้าแต่เจ้านายของข้าพระองค์ ขอทรงมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้เขาไป และถึงอย่างไรก็ดีอย่าทรงฆ่าเสีย” แต่หญิงอีกคนหนึ่งว่า “อย่าให้ฉันเป็นเจ้าของหรือของฉัน ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ”
1พกษ 16.24 พระองค์ทรงซื้อภูเขาสะมาเรียจากเชเมอร์เงินสองตะลันต์ และพระองค์ทรงเสริมภูเขานั้นให้เป็นป้อม และทรงขนานนามเมืองที่พระองค์ทรงสร้างนั้นว่าสะมาเรีย ตามชื่อของเชเมอร์ผู้เป็นเจ้าของภูเขานั้น
โยบ 31.39 ถ้าข้ากินผลิตผลของมันด้วยมิได้เสียเงิน และกระทำให้เจ้าของที่ดินเดิมนั้นเสียชีวิต
สภษ 1.19 ทางของบรรดาผู้ที่หากำไรด้วยความทารุณโหดร้ายก็อย่างนี้แหละ คือมันย่อมคร่าเอาชีวิตของเจ้าของนั้นเอง
สภษ 8.22 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นเจ้าของเราในเมื่อพระองค์ทรงเริ่มงานของพระองค์ ก่อนบรรดาพระราชกิจโบราณของพระองค์
สภษ 17.8 ของกำนัลก็เป็นเหมือนเพชรพลอยในสายตาของเจ้าของ ไม่ว่ามันจะหันไปทางไหนก็เจริญรุ่งเรืองทางนั้น
ปญจ 5.11 เมื่อของดีเพิ่มพูนขึ้น คนกินก็มีคับคั่งขึ้น คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์จะได้ประโยชน์อะไร นอกจากจะได้ชมเล่นเป็นขวัญตาเท่านั้น
ปญจ 5.13 ยังมีสิ่งสามานย์อันน่าสลดใจอีกอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ คือทรัพย์สมบัติที่เจ้าของได้เก็บไว้จนเกิดเป็นภัยแก่ตน
อสย 1.3 วัวรู้จักเจ้าของของมัน และลาก็รู้จักรางหญ้าของนายมัน แต่อิสราเอลไม่รู้จัก ชนชาติของเราไม่พิจารณาเลย”
อสย 14.21 จงเตรียมสังหารลูกๆของเขาเถิด เพราะความชั่วช้าแห่งบิดาของเขา เกรงว่าเขาทั้งหลายจะลุกขึ้นเป็นเจ้าของแผ่นดิน และกระทำให้พื้นโลกเต็มไปด้วยหัวเมือง’”
ยรม 25.34 ท่านผู้เลี้ยงแกะทั้งหลายเอ๋ย จงคร่ำครวญและร้องเถิด ท่านเจ้าของฝูงแกะ จงกลิ้งเกลือกในขี้เถ้า เพราะวันเวลาของการสังหารเจ้าและที่เจ้าต้องกระจัดกระจายมาถึงแล้ว และเจ้าทั้งหลายจะล้มลงเหมือนภาชนะงาม
ยรม 25.35 ผู้เลี้ยงแกะจะไม่มีทางหนี หรือเจ้าของฝูงแกะไม่มีทางรอดหนีไป
ยรม 25.36 จะได้ฟังเสียงร้องของผู้เลี้ยงแกะ และเสียงคร่ำครวญของเจ้าของฝูงแกะ เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงทำลายลานหญ้าของเขาทั้งหลายเสียแล้ว
มธ 9.38 เหตุฉะนั้น พวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของการเก็บเกี่ยวนั้น ให้ส่งคนงานมาในการเก็บเกี่ยวของพระองค์”
มก 12.5 อีกครั้งหนึ่งเจ้าของใช้ผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง เขาก็ฆ่าผู้รับใช้นั้นเสีย แล้วยังใช้ผู้รับใช้ไปอีกหลายคน เขาก็เฆี่ยนตีบ้าง ฆ่าเสียบ้าง
ลก 10.2 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “การเก็บเกี่ยวนั้นเป็นการใหญ่นักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของการเก็บเกี่ยวนั้น ให้ส่งคนงานมาในการเก็บเกี่ยวของพระองค์
ลก 10.35 วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกเขาว่า ‘จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้’
ลก 19.33 เมื่อเขากำลังแก้ลูกลานั้น พวกเจ้าของก็ถามเขาว่า “ท่านแก้ลูกลาทำไม”
กจ 21.11 ครั้นมาถึงเราเขาก็เอาเครื่องคาดเอวของเปาโลผูกมือและเท้าของตนกล่าวว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสดังนี้ว่า ‘พวกยิวในกรุงเยรูซาเล็มจะผูกมัดคนที่เป็นเจ้าของเครื่องคาดเอวนี้ และจะมอบเขาไว้ในมือของคนต่างชาติ’”
กจ 27.11 แต่นายร้อยเชื่อกัปตันและเจ้าของกำปั่นมากกว่าเชื่อคำที่เปาโลกล่าวนั้น
กจ 27.23 เพราะว่า เมื่อคืนนี้เองทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้ปรนนิบัตินั้นได้มายืนอยู่ใกล้ข้าพเจ้า
1คร 6.19 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
กท 4.1 แล้วข้าพเจ้าขอพูดว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งปวง
ฮบ 2.10 ด้วยว่าในการที่พระเจ้าจะทรงพาบุตรเป็นอันมากถึงสง่าราศีนั้น ก็สมอยู่แล้วที่พระองค์ผู้เป็นเจ้าของสิ่งสารพัด และผู้ทรงบันดาลให้สิ่งสารพัดบังเกิดขึ้น จะให้ผู้ที่เป็นนายแห่งความรอดของเขานั้นได้ถึงที่สำเร็จโดยการทนทุกข์ทรมาน
ฮบ 13.20 บัดนี้ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าของเราเป็นขึ้นมาจากความตาย คือผู้ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ยิ่งใหญ่ โดยพระโลหิตแห่งพันธสัญญานิรันดร์นั้น

เจ้าของบ้าน ( 19 )
วนฉ 19.22 เมื่อเขากำลังทำให้จิตใจเบิกบาน ดูเถิด ชาวเมืองนั้นที่เป็นคนอันธพาลมาล้อมเรือนไว้ ทุบประตู ร้องบอกชายแก่ผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า “ส่งชายที่เข้ามาอยู่ในบ้านของแกมาให้เราสังวาส”
วนฉ 19.23 ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ออกไปพูดกับเขาว่า “อย่าเลย พี่น้องของข้าพเจ้า ขออย่ากระทำการร้ายเช่นนี้เลย เมื่อชายคนนี้มาอาศัยบ้านของข้าพเจ้าแล้ว ขออย่ากระทำสิ่งที่โง่เขลานี้เลย
1พกษ 17.17 และอยู่มาภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ บุตรชายของหญิงคนนั้นผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ล้มป่วย อาการป่วยนั้นก็สาหัส จนไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว
มธ 13.52 ฝ่ายพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เพราะฉะนั้นพวกธรรมาจารย์ทุกคนที่ได้รับการสั่งสอนถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”
มธ 20.1 “ด้วยว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าของบ้านคนหนึ่งออกไปจ้างคนทำงานในสวนองุ่นของตนแต่เวลาเช้าตรู่
มธ 20.3 พอเวลาประมาณสามโมงเช้า เจ้าของบ้านก็ออกไปอีก เห็นคนอื่นยืนอยู่เปล่าๆกลางตลาด
มธ 20.5 พอเวลาเที่ยงวันและเวลาบ่ายสามโมง เจ้าของบ้านก็ออกไปอีก ทำเหมือนก่อน
มธ 20.7 พวกเขาตอบเจ้าของบ้านว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างพวกข้าพเจ้า’ เจ้าของบ้านบอกพวกเขาว่า ‘ท่านทั้งหลายจงไปทำงานในสวนองุ่นด้วยเถิด และท่านจะได้รับค่าจ้างตามสมควร’
มธ 20.11 เมื่อเขารับเงินไปแล้วก็บ่นต่อว่าเจ้าของบ้าน
มธ 20.13 ฝ่ายเจ้าของบ้านก็ตอบแก่คนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘สหายเอ๋ย เรามิได้โกงท่านเลย ท่านได้ตกลงกับเราแล้ววันละหนึ่งเดนาริอันมิใช่หรือ
มธ 21.33 จงฟังคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า ยังมีเจ้าของบ้านผู้หนึ่งได้ทำสวนองุ่น แล้วล้อมรั้วต้นไม้ไว้รอบ เขาได้สกัดบ่อย่ำองุ่นในสวน และสร้างหอเฝ้า ให้พวกชาวสวนเช่าแล้วก็ไปเมืองไกล
มธ 21.38 แต่เมื่อบรรดาคนเช่าสวนเห็นบุตรชายเจ้าของบ้านก็พูดกันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท มาเถิด ให้เราฆ่าเขา แล้วให้เรายึดมรดกของเขาเสีย’
มธ 24.43 จงจำไว้อย่างนี้เถิดว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมายามใด เขาก็จะเฝ้าระวัง และไม่ยอมให้ทะลวงเรือนของเขาได้
มก 13.34 ด้วยว่าบุตรมนุษย์เปรียบเหมือนเจ้าของบ้านคนหนึ่งที่ออกจากบ้านไปทางไกล มอบสิทธิอำนาจให้แก่พวกผู้รับใช้ของเขา และให้รู้การงานของตนว่ามีหน้าที่อะไรและได้สั่งนายประตูให้เฝ้าบ้านอยู่
มก 13.35 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร จะมาเวลาค่ำ หรือเที่ยงคืน หรือเวลาไก่ขัน หรือรุ่งเช้า
ลก 12.39 ให้เข้าใจอย่างนี้เถอะว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะตื่นอยู่และระวังไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้
ลก 14.21 ผู้รับใช้นั้นจึงกลับมาเล่าเนื้อความให้เจ้านายฟัง นายเจ้าของบ้านก็โกรธ จึงสั่งผู้รับใช้ว่า ‘จงออกไปโดยเร็วตามถนนใหญ่และตรอกน้อยในเมือง พาคนจน คนพิการ คนง่อย และคนตาบอดเข้ามาที่นี่’
รม 16.23 กายอัสเจ้าของบ้านผู้เลี้ยงดูข้าพเจ้า และเป็นผู้บำรุงคริสตจักรทั้งหมดฝากความคิดถึงมายังท่าน เอรัสทัสสมุหบัญชีของเมือง และควารทัสซึ่งเป็นพี่น้องฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย

เจ้าของเรือน ( 5 )
อพย 22.8 ถ้าจับขโมยไม่ได้ จงนำเจ้าของเรือนมาถึงพวกผู้พิพากษาเพื่อจะดูว่ามือของตนเองได้ลักสิ่งของของเพื่อนบ้านนั้นหรือไม่
มก 14.14 เขาจะเข้าไปในที่ใด ท่านจงบอกเจ้าของเรือนนั้นว่า พระอาจารย์ถามว่า ‘ห้องที่เราจะกินปัสกากับเหล่าสาวกของเราได้นั้นอยู่ที่ไหน’
มก 14.15 เจ้าของเรือนจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละ จงจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเราเถิด”
ลก 22.11 จงพูดกับเจ้าของเรือนว่า ‘พระอาจารย์ให้ถามท่านว่า “ห้องที่เราจะกินปัสกากับเหล่าสาวกของเราได้นั้นอยู่ที่ไหน”’
ลก 22.12 เจ้าของเรือนจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละจงจัดเตรียมไว้เถิด”

เจ้าของสวน ( 4 )
มก 12.4 อีกครั้งหนึ่งเจ้าของสวนใช้ผู้รับใช้อีกคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน คนเช่าสวนนั้นก็เอาหินขว้างผู้รับใช้นั้นศีรษะแตก และไล่ให้กลับไปอย่างน่าอัปยศ
มก 12.6 เจ้าของสวนยังมีบุตรชายที่รักคนหนึ่ง จึงใช้บุตรคนนั้นไปเป็นครั้งสุดท้าย พูดว่า ‘พวกเขาคงจะเคารพบุตรชายของเรา’
ลก 20.11 แล้วเจ้าของสวนจึงใช้ผู้รับใช้อีกคนหนึ่ง แต่คนเช่าสวนได้เฆี่ยนตีและทำการน่าอัปยศต่างๆแก่ผู้รับใช้นั้นด้วย และได้ไล่ให้กลับไปมือเปล่า
ลก 20.12 แล้วเจ้าของสวนจึงใช้คนที่สามไปและคนเช่าสวนนั้นก็ทำให้เขาบาดเจ็บ แล้วผลักไสออกไป

เจ้าของสวนองุ่น ( 5 )
มธ 20.8 ครั้นถึงเวลาพลบค่ำเจ้าของสวนองุ่นจึงสั่งเจ้าพนักงานว่า ‘จงเรียกคนทำงานมาและให้ค่าจ้างแก่เขา ตั้งแต่คนมาทำงานสุดท้าย จนถึงคนที่มาแรก’
มธ 21.40 เหตุฉะนั้น เมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา เขาจะทำอะไรแก่คนเช่าสวนเหล่านั้น”
มก 12.9 เหตุฉะนั้น เจ้าของสวนองุ่นจะทำประการใด ท่านก็จะมาฆ่าคนเช่าสวนเหล่านั้นเสีย แล้วจะเอาสวนองุ่นนั้นให้ผู้อื่นเช่า
ลก 20.13 ฝ่ายเจ้าของสวนองุ่นจึงว่า ‘เราจะทำอย่างไรดี เราจะใช้บุตรชายที่รักของเราไป เมื่อเห็นบุตรนั้นพวกเขาคงจะเคารพนับถือ’
ลก 20.15 แล้วเขาก็ผลักบุตรนั้นออกไปนอกสวนองุ่นฆ่าเสีย เหตุฉะนั้นเจ้าของสวนองุ่นจะทำอย่างไรกับเขาเหล่านั้น

เจ้าข้า ( 214 )
ปฐก 22.7 อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาว่า “บิดาเจ้าข้า” และท่านตอบว่า “ลูกเอ๋ย พ่ออยู่ที่นี่” ลูกจึงว่า “นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน”
ปฐก 23.6 “นายเจ้าข้า โปรดฟังพวกเรา ท่านเป็นเจ้านายจากพระเจ้าท่ามกลางเรา ขอให้ฝังผู้ตายของท่านในอุโมงค์ฝังศพที่ดีที่สุดของเราเถิด ไม่มีผู้ใดในพวกเราที่จะหวงสุสานของเขาไว้ไม่ให้ท่าน หรือขัดขวางท่านมิให้ฝังผู้ตายของท่าน”
ปฐก 23.11 “อย่าเลย นายเจ้าข้า โปรดฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้นานั้นแก่ท่านและให้ถ้ำที่อยู่ในนานั้นแก่ท่าน ด้วยข้าพเจ้าให้แก่ท่านต่อหน้าลูกหลานประชาชนของข้าพเจ้า ขอเชิญฝังผู้ตายของท่านเถิด”
ปฐก 23.15 “นายเจ้าข้า ขอฟังข้าพเจ้าเถิด ที่ดินแปลงนี้มีราคาเป็นเงินสี่ร้อยเชเขล สำหรับท่านกับข้าพเจ้าก็ไม่เท่าไร ฝังผู้ตายของท่านเถิด”
ปฐก 24.18 นางตอบว่า “นายเจ้าข้า เชิญดื่มเถิด” แล้วนางก็รีบลดไหน้ำของนางลงมาถือไว้แล้วให้เขาดื่ม
ปฐก 27.18 เขาจึงเข้าไปหาบิดาของตนและพูดว่า “บิดาเจ้าข้า” และท่านว่า “พ่ออยู่นี่ ลูกเอ๋ย เจ้าคือใคร”
ปฐก 27.34 เมื่อเอซาวได้ยินคำกล่าวของบิดาก็ร้องออกมาเสียงดังด้วยความขมขื่น และพูดกับบิดาว่า “โอ บิดาเจ้าข้า ขออวยพรข้าพเจ้า ขออวยพรข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ปฐก 27.38 เอซาวพูดกับบิดาว่า “บิดาเจ้าข้า ท่านมีพรแต่เพียงพรเดียวเท่านั้นหรือ โอ บิดาเจ้าข้า ขออวยพรลูก ขออวยพรลูกด้วยเถิด” แล้วเอซาวก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้
ปฐก 42.10 พวกเขาจึงตอบท่านว่า “นายเจ้าข้า มิใช่เช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านมาซื้ออาหาร
ปฐก 43.20 และกล่าวว่า “โอ นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายลงมาครั้งก่อนเพื่อซื้ออาหาร
ปฐก 44.18 ยูดาห์จึงเข้าไปใกล้โยเซฟ เรียนว่า “โอ นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านขอกราบเรียนท่านสักคำหนึ่ง ขอท่านอย่าได้ถือโกรธข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านเลย เพราะท่านก็เป็นเหมือนฟาโรห์
พบญ 26.10 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์เจ้าข้า ดูเถิด บัดนี้ข้าพระองค์นำผลรุ่นแรกมาจากแผ่นดินนั้นซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์’ และท่านจงวางสิ่งของนั้นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และกราบนมัสการต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
วนฉ 4.18 ยาเอลจึงออกไปต้อนรับสิเสรา เรียนว่า “เจ้านายของดิฉันเจ้าข้า เชิญแวะเข้ามา เชิญแวะเข้ามาพักกับดิฉัน อย่ากลัวอะไรเลย” สิเสราจึงแวะเข้าไปในเต็นท์ และนางก็เอาผ้าห่มมาคลุมตัวให้
วนฉ 6.13 กิเดโอนจึงทูลท่านผู้นั้นว่า “โอ ท่านเจ้าข้า ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับพวกเราแล้ว ไฉนเหตุเหล่านี้จึงเกิดขึ้นแก่เราเล่า และการอัศจรรย์ทั้งหลายของพระองค์ซึ่งบรรพบุรุษเคยเล่าให้เราฟังว่า ‘พระเยโฮวาห์ทรงนำเราออกจากอียิปต์มิใช่หรือ’ แต่สมัยนี้พระเยโฮวาห์ทรงทอดทิ้งเราเสียแล้ว และทรงมอบเราไว้ในมือของพวกมีเดียน”
วนฉ 6.22 กิเดโอนก็ทราบว่าเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์จริง และกิเดโอนพูดว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าเจ้าข้า บัดนี้ข้าพระองค์ได้เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์ต่อหน้าต่อตา อนิจจาเอ๋ย”
1ซมอ 1.26 นางก็กล่าวว่า “โอ ท่านเจ้าข้า ท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ท่านเจ้าข้า ดิฉันเป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ที่นี่ต่อหน้าท่าน และอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์
1ซมอ 3.9 เพราะฉะนั้นเอลีจึงพูดกับซามูเอลว่า “จงไปนอนเสียเถิด ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้า เจ้าจงทูลว่า ‘พระเยโฮวาห์เจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่’” ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน
1ซมอ 25.24 นางกราบลงที่เท้าของดาวิดกล่าวว่า “เจ้านายของดิฉันเจ้าข้า ความชั่วช้านั้นอยู่ที่ดิฉันแต่ผู้เดียว ขอให้หญิงผู้รับใช้ของท่านได้พูดให้ท่านฟัง ขอท่านได้โปรดฟังเสียงหญิงผู้รับใช้ของท่าน
2ซมอ 22.3 เป็นพระเจ้าซึ่งทรงเป็นศิลาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์ พระองค์เป็นโล่และเป็นเขาแห่งความรอดของข้าพเจ้า เป็นที่กำบังเข้มแข็งและเป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า องค์พระผู้ช่วยของข้าพระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความทารุณ
1พกษ 17.18 นางจึงกล่าวแก่เอลียาห์ว่า “โอ คนของพระเจ้า เจ้าข้า ฉันมีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับท่าน ท่านได้มาหาฉันเพื่อฟื้นให้ทรงระลึกถึงความผิดของฉัน และกระทำให้บุตรชายของฉันตายหรือ”
1พกษ 19.4 แต่ตัวท่านเองก็เดินเข้าถิ่นทุรกันดารไปเป็นระยะทางวันหนึ่งมานั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้จำพวกสนจูนิเปอร์ และท่านทูลขอให้ตัวท่านตายเสียที ว่า “พอแล้วพระองค์เจ้าข้า โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ บัดนี้ขอเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะข้าพระองค์ก็ไม่ดีไปกว่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์”
โยบ 33.1 “ท่านโยบเจ้าข้า อย่างไรก็ตามขอฟังคำของข้าพเจ้า และฟังถ้อยคำทั้งสิ้นของข้าพเจ้า
โยบ 33.31 โอ ท่านโยบเจ้าข้า ขอตั้งใจฟังข้าพเจ้า ขอเงียบ และข้าพเจ้าจะพูด
โยบ 37.14 โอ ท่านโยบเจ้าข้า ขอฟังข้อนี้ จงนิ่งพิจารณาการกระทำอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า
สดด 130.3 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ถ้าพระองค์จะทรงหมายความชั่วช้าไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าข้า ผู้ใดจะยืนอยู่ได้
ยรม 34.5 ท่านจะตายด้วยความสงบ และเขาจะเผาเครื่องหอมเพื่อศพบรรพบุรุษของท่าน คือบรรดากษัตริย์ซึ่งอยู่ก่อนท่านฉันใด คนเขาก็จะเผาเครื่องหอมเพื่อท่านฉันนั้น และเขาจะคร่ำครวญเพื่อท่านว่า ‘อนิจจาเอ๋ย พระองค์เจ้าข้า’ เพราะเราได้ลั่นวาจาไว้แล้ว” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 47.6 โอ ดาบแห่งพระเยโฮวาห์ เจ้าข้า อีกนานเท่าไรท่านจึงจะสงบ จงสอดตัวเข้าไว้ในฝักเสียเถิด จงหยุดพักและอยู่นิ่งๆเสียที
อสค 11.13 อยู่มาเมื่อข้าพเจ้ากำลังพยากรณ์อยู่ เป-ลาทียาห์บุตรชายเบไนยาห์ก็สิ้นชีวิต แล้วข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดินร้องเสียงดังว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า เจ้าข้า พระองค์จะทรงกระทำให้คนอิสราเอลที่เหลืออยู่นั้นสิ้นสุดเลยทีเดียวหรือ พระเจ้าข้า”
อสค 20.49 แล้วข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า เจ้าข้า เขาทั้งหลายกำลังกล่าวถึงข้าพระองค์ว่า เขาไม่ใช่เป็นคนสร้างคำอุปมาดอกหรือ”
อสค 37.3 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้จะมีชีวิตได้ไหม” และข้าพเจ้าทูลตอบว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าเจ้าข้า พระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้ว”
ดนล 10.16 และดูเถิด มีท่านผู้หนึ่งสัณฐานคล้ายบุตรทั้งหลายของมนุษย์มาแตะริมฝีปากของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็อ้าปากขึ้นพูด ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านที่ยืนอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าว่า “โอ นายเจ้าข้า ด้วยเหตุนิมิตนั้นความเจ็บปวดจึงเกิดกับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็หมดแรง
ดนล 12.8 ข้าพเจ้าได้ยินแต่ไม่เข้าใจ แล้วข้าพเจ้าจึงพูดว่า “โอ นายเจ้าข้า สิ่งเหล่านี้จะลงเอยอย่างไร”
ฮชย 9.14 โอ พระเยโฮวาห์เจ้าข้า ขอประทานแก่เขา พระองค์จะประทานอะไรแก่เขา ขอประทานมดลูกที่แท้งบุตรและหัวนมที่เหี่ยวแห้งแก่เขาทั้งหลาย
ศคย 1.9 แล้วข้าพเจ้าจึงถามว่า ‘โอ นายเจ้าข้า เหล่านี้คืออะไร’ ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าบอกข้าพเจ้าว่า ‘เราจะสำแดงให้เจ้าทราบว่า เหล่านี้คืออะไร’
ศคย 4.4 และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า “เจ้านายเจ้าข้า นี่คืออะไร”
ศคย 4.5 ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าตอบข้าพเจ้าว่า “นี่คืออะไร เจ้าไม่ทราบหรือ” ข้าพเจ้าตอบว่า “เจ้านายเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
ศคย 4.13 ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าไม่ทราบหรือ เหล่านี้คืออะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “เจ้านายเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
ศคย 6.4 แล้วข้าพเจ้าจึงถามทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า “เจ้านายเจ้าข้า เหล่านี้คืออะไร”
มธ 7.21 มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
มธ 7.22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’
มธ 8.2 ดูเถิด มีคนโรคเรื้อนมานมัสการพระองค์แล้วทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้”
มธ 8.6 ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้รับใช้ของข้าพระองค์เป็นอัมพาตอยู่ที่บ้าน ทนทุกข์เวทนามาก”
มธ 8.8 นายร้อยผู้นั้นทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาของข้าพระองค์ ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายโรค
มธ 8.19 ขณะนั้นมีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาหาพระองค์ทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น”
มธ 8.21 อีกคนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน”
มธ 8.25 และพวกสาวกของพระองค์ได้มาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดช่วยพวกเราเถิด เรากำลังจะพินาศอยู่แล้ว”
มธ 9.27 ครั้นพระเยซูเสด็จไปจากที่นั่น ก็มีชายตาบอดสองคนตามพระองค์มาร้องว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอเมตตาข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด”
มธ 12.38 คราวนั้นมีบางคนในพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าอยากจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน”
มธ 13.27 พวกผู้รับใช้แห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน’
มธ 14.28 ฝ่ายเปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์”
มธ 14.30 แต่เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็กลัว และเมื่อกำลังจะจมก็ร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย”
มธ 15.22 ดูเถิด มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากเขตแดนนั้นร้องทูลพระองค์ว่า “โอ พระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์เถิด ลูกสาวของข้าพระองค์มีผีสิงอยู่เป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก”
มธ 15.25 ฝ่ายหญิงนั้นก็มานมัสการพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์เถิด”
มธ 15.27 ผู้หญิงนั้นทูลว่า “จริงพระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขนั้นย่อมกินเดนที่ตกจากโต๊ะนายของมัน”
มธ 16.22 ฝ่ายเปโตรเอามือจับพระองค์ เริ่มทูลท้วงพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ให้เหตุการณ์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด อย่าให้เป็นอย่างนั้นแก่พระองค์เลย”
มธ 17.4 ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ซึ่งพวกข้าพระองค์อยู่ที่นี่ก็ดี ถ้าพระองค์ต้องพระประสงค์ พวกข้าพระองค์จะทำพลับพลาสามหลังที่นี่ สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง”
มธ 17.15 “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาแก่บุตรชายของข้าพระองค์ ด้วยว่าเขาเป็นคนบ้า มีความทุกข์เวทนามาก เพราะเคยตกไฟตกน้ำบ่อยๆ
มธ 18.21 ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ”
มธ 20.30 และดูเถิด มีชายตาบอดสองคนนั่งอยู่ริมหนทาง เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูเสด็จผ่านมา จึงร้องว่า “โอ พระองค์ผู้เป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์เถิด”
มธ 20.31 ฝ่ายประชาชนก็ห้ามเขาให้นิ่งเสีย แต่เขายิ่งร้องขึ้นอีกว่า “โอ พระองค์ผู้เป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์เถิด”
มธ 20.33 พวกเขาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอให้ตาของข้าพระองค์มองเห็น”
มธ 22.16 พวกเขาจึงใช้พวกสาวกของตนกับพวกเฮโรดให้ไปทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์ และสั่งสอนทางของพระเจ้าด้วยความสัตย์จริง โดยมิได้เอาใจผู้ใด เพราะท่านมิได้เห็นแก่หน้าผู้ใด
มธ 22.24 “อาจารย์เจ้าข้า โมเสสสั่งว่า ‘ถ้าผู้ใดตายยังไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้ สืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’
มธ 22.36 “อาจารย์เจ้าข้า ในพระราชบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด”
มธ 25.11 ภายหลังหญิงพรหมจารีอีกพวกหนึ่งก็มาร้องว่า ‘ท่านเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย’
มธ 25.20 คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์’
มธ 25.22 คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์’
มธ 25.24 ฝ่ายคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้จักท่านว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย
มธ 25.37 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลพระองค์ว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร หรือทรงกระหายน้ำ และได้ถวายให้พระองค์ดื่มแต่เมื่อไร
มธ 25.44 เขาทั้งหลายจะทูลพระองค์ด้วยว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในคุก และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’
มธ 26.22 ฝ่ายพวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์นัก ต่างคนต่างเริ่มทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า คือข้าพระองค์หรือ”
มธ 26.25 ยูดาสที่ได้ทรยศพระองค์ทูลถามว่า “อาจารย์เจ้าข้า คือข้าพระองค์หรือ” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ท่านพูดเองแล้วนี่”
มธ 27.29 เมื่อพวกเขาเอาหนามสานเป็นมงกุฎ เขาก็สวมพระเศียรของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และเขาได้คุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระองค์ เยาะเย้ยพระองค์ว่า “กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ”
มก 4.38 ฝ่ายพระองค์บรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ เหล่าสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะพินาศอยู่แล้ว ท่านไม่ทรงเป็นห่วงบ้างหรือ”
มก 7.28 แต่นางทูลตอบพระองค์ว่า “จริงด้วย พระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นย่อมกินเดนอาหารของลูก”
มก 9.5 ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง”
มก 9.17 มีคนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พาบุตรชายของข้าพระองค์มาหาพระองค์เพราะผีใบ้เข้าสิง
มก 9.24 ทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องทูลด้วยน้ำตาไหลว่า “ข้าพระองค์เชื่อ พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ยังขาดความเชื่อนั้น ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยให้เชื่อเถิด”
มก 9.38 ยอห์นจึงทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ได้เห็นคนหนึ่งขับผีออกโดยพระนามของพระองค์ ซึ่งคนนั้นมิได้ตามพวกเรามา และพวกข้าพระองค์ได้ห้ามเขา เพราะเขามิได้ตามพวกเรามา”
มก 10.20 คนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็กมา”
มก 10.35 ฝ่ายยากอบกับยอห์น บุตรชายของเศเบดี เข้ามาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาจะขอให้พระองค์ทรงกระทำตามคำขอของข้าพระองค์”
มก 10.47 เมื่อคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมา จึงเริ่มร้องเสียงดังว่า “ท่านเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด”
มก 10.48 มีหลายคนห้ามเขาให้เขานิ่งเสีย แต่เขายิ่งร้องเสียงดังขึ้นว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด”
มก 10.51 พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า “เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรแก่เจ้า” คนตาบอดนั้นทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ขอโปรดให้ตาข้าพระองค์เห็นได้”
มก 11.21 ฝ่ายเปโตรระลึกขึ้นได้จึงทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ดูเถิด ต้นมะเดื่อที่พระองค์ได้สาปไว้นั้นก็เหี่ยวแห้งไปแล้ว”
มก 12.14 ครั้นมาถึงแล้วก็ทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่า ท่านเป็นคนซื่อสัตย์และมิได้เอาใจผู้ใด เพราะท่านมิได้เห็นแก่หน้าผู้ใด แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆ การที่จะส่งส่วยให้แก่ซีซาร์นั้นถูกต้องตามพระราชบัญญัติหรือไม่
มก 12.19 “อาจารย์เจ้าข้า โมเสสได้เขียนสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ว่า ‘ถ้าชายผู้ใดตายและภรรยายังอยู่ แต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้นั้นไว้เป็นภรรยาของตน เพื่อสืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’
มก 12.32 ฝ่ายธรรมาจารย์คนนั้นทูลพระองค์ว่า “ดีแล้วอาจารย์เจ้าข้า ท่านกล่าวถูกจริงว่าพระเจ้ามีแต่พระองค์เดียว และนอกจากพระองค์แล้วพระเจ้าอื่นไม่มีเลย
มก 13.1 เมื่อพระองค์เสด็จออกจากพระวิหาร มีสาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ดูเถิด ศิลาและตึกเหล่านี้ใหญ่จริง”
มก 14.36 พระองค์ทูลว่า “อับบา พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ทรงสามารถกระทำสิ่งทั้งปวงได้ ขอเอาถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่ว่าอย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
มก 14.45 และทันทีที่ยูดาสมาถึง เขาตรงเข้ามาหาพระองค์ทูลว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า พระอาจารย์เจ้าข้า” แล้วจุบพระองค์
มก 15.18 แล้วเริ่มคำนับพระองค์พูดว่า “กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ”
ลก 3.12 พวกเก็บภาษีก็มาขอรับบัพติศมาด้วย และถามท่านว่า “อาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าต้องทำประการใด”
ลก 5.5 ซีโมนทูลตอบพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายทอดอวนคืนยังรุ่ง ไม่ได้อะไรเลย แต่ข้าพระองค์จะหย่อนอวนลงตามพระดำรัสของพระองค์”
ลก 5.8 ฝ่ายซีโมนเปโตรเมื่อเห็นดังนั้น ก็กราบลงที่พระชานุของพระเยซูทูลว่า “โอ พระองค์เจ้าข้า ขอเสด็จไปให้ห่างจากข้าพระองค์เถิด เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป”
ลก 5.12 ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงอยู่ในเมืองหนึ่ง ดูเถิด มีคนเป็นโรคเรื้อนเต็มทั้งตัว เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ซบหน้าลงถึงดินอ้อนวอนทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้”
ลก 6.46 เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงเรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ แต่ไม่กระทำตามที่เราบอกนั้น
ลก 7.6 พระเยซูจึงเสด็จไปกับเขา เมื่อพระองค์ไปเกือบจะถึงบ้านแล้ว นายร้อยจึงใช้เพื่อนฝูงไปหาพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากเลย เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาของข้าพระองค์
ลก 7.40 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนเอ๋ย เรามีอะไรจะพูดกับท่านบ้าง” เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์เจ้าข้า เชิญพูดไปเถิด”
ลก 8.24 เขาจึงมาปลุกพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะพินาศอยู่แล้ว” พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น แล้วคลื่นลมก็หยุดเงียบสงบทีเดียว
ลก 8.45 พระเยซูจึงตรัสถามว่า “ใครได้ถูกต้องเรา” เมื่อคนทั้งหลายได้ปฏิเสธ เปโตรกับคนที่อยู่ด้วยกันจึงทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า ก็เป็นเพราะประชาชนเบียดเสียดพระองค์ และพระองค์ยังทรงถามอีกหรือว่า ‘ใครได้ถูกต้องเรา’”
ลก 9.33 ต่อมาเมื่อสองคนนั้นกำลังลาไปจากพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่เข้าใจว่าตัวได้พูดอะไร
ลก 9.38 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้นร้องว่า “อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดทอดพระเนตรบุตรชายของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว
ลก 9.49 ฝ่ายยอห์นทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เห็นผู้หนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์ และข้าพระองค์ได้ห้ามเขาเสีย เพราะเขาไม่ตามพวกเรามา”
ลก 9.54 และเมื่อสาวกของพระองค์ คือยากอบและยอห์นได้เห็นดังนั้น เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์พอพระทัยจะให้ข้าพระองค์ขอไฟลงมาจากสวรรค์ เผาผลาญเขาเสียอย่างเอลียาห์ได้กระทำนั้นหรือ”
ลก 9.57 ต่อมาเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกกำลังเดินทางไป มีคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เสด็จไปทางไหน ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไปทางนั้น”
ลก 9.59 พระองค์ตรัสแก่อีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่คนนั้นทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน”
ลก 9.61 อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลาคนที่อยู่ในบ้านของข้าพระองค์ก่อน”
ลก 10.17 ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นกลับมาด้วยความปรีดีทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์”
ลก 10.25 ดูเถิด มีนักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทดลองพระองค์ทูลถามว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก”
ลก 10.40 แต่มารธายุ่งในการปรนนิบัติมากจึงมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ ซึ่งน้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ทำการปรนนิบัติแต่คนเดียว ขอพระองค์สั่งเขาให้มาช่วยข้าพระองค์เถิด”
ลก 11.1 ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง พอจบแล้วสาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอสอนพวกข้าพระองค์ให้อธิษฐาน เหมือนยอห์นได้สอนพวกศิษย์ของตน”
ลก 11.45 นักกฎหมายคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ซึ่งท่านว่าอย่างนั้น ท่านก็ติเตียนพวกเราด้วย”
ลก 12.13 และมีผู้หนึ่งในหมู่คนทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ขอสั่งพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้กับข้าพเจ้า”
ลก 12.41 ฝ่ายเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ได้ตรัสคำอุปมานั้นแก่พวกข้าพระองค์หรือ หรือตรัสแก่คนทั้งปวง”
ลก 13.8 แต่ผู้รักษาสวนองุ่นตอบเขาว่า ‘นายเจ้าข้า ขอเอาไว้ปีนี้อีก ให้ข้าพเจ้าพรวนดินเอาปุ๋ยใส่
ลก 13.23 มีคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า คนที่รอดนั้นน้อยหรือ” พระองค์ตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า
ลก 13.25 เมื่อเจ้าบ้านลุกขึ้นปิดประตูแล้ว และท่านทั้งหลายเริ่มยืนอยู่ภายนอกเคาะที่ประตูว่า ‘นายเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเถิด’ และเจ้าบ้านนั้นจะตอบท่านทั้งหลายว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าว่าเจ้ามาจากไหน’
ลก 14.22 แล้วผู้รับใช้จึงบอกว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้กระทำตามท่านสั่งแล้ว และยังมีที่ว่างอยู่’
ลก 15.12 บุตรคนน้อยพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอทรัพย์ที่ตกเป็นส่วนของข้าพเจ้าเถิด’ บิดาจึงแบ่งสมบัติให้แก่บุตรทั้งสอง
ลก 15.18 จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อสวรรค์และทำผิดต่อหน้าท่านด้วย
ลก 15.21 ฝ่ายบุตรนั้นจึงกล่าวแก่บิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อสวรรค์และต่อสายตาของท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านอีกต่อไป’
ลก 16.24 เศรษฐีจึงร้องว่า ‘อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้’
ลก 16.27 เศรษฐีนั้นจึงว่า ‘บิดาเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นขอท่านใช้ลาซารัสไปยังบ้านบิดาของข้าพเจ้า
ลก 16.30 เศรษฐีนั้นจึงว่า ‘มิได้ อับราฮัมบิดาเจ้าข้า แต่ถ้าคนหนึ่งจากหมู่คนตายไปหาเขา เขาจะกลับใจเสียใหม่’
ลก 17.13 และส่งเสียงร้องว่า “เยซูนายเจ้าข้า โปรดได้เมตตาข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด”
ลก 17.37 เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “จะเกิดขึ้นที่ไหน พระองค์เจ้าข้า” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงนกอินทรีจะตอมกันอยู่ที่นั่น”
ลก 18.38 คนตาบอดนั้นจึงร้องว่า “ท่านเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด”
ลก 18.39 คนที่เดินไปข้างหน้านั้นจึงห้ามเขาให้นิ่ง แต่เขายิ่งร้องขึ้นว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด”
ลก 18.41 ว่า “เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า” เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดให้ข้าพระองค์เห็นได้”
ลก 19.8 ฝ่ายศักเคียสยืนทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ดูเถิด พระองค์เจ้าข้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนอนาถาครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ข้าพระองค์ยอมคืนให้เขาสี่เท่า”
ลก 19.16 ฝ่ายคนแรกมาบอกว่า ‘ท่านเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของท่านได้กำไรสิบมินา’
ลก 19.18 คนที่สองมาบอกว่า ‘ท่านเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของท่านได้กำไรห้ามินา’
ลก 19.20 อีกคนหนึ่งมาบอกว่า ‘ท่านเจ้าข้า ดูเถิด นี่เงินมินาหนึ่งของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าได้เอาผ้าห่อเก็บไว้
ลก 19.25 (คนเหล่านั้นบอกท่านว่า ‘ท่านเจ้าข้า เขามีสิบมินาแล้ว’)
ลก 19.39 ฝ่ายฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนนั้นทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า จงห้ามเหล่าสาวกของท่าน”
ลก 20.21 คนเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่า ท่านกล่าวและสั่งสอนล้วนแต่ความจริงและมิได้เลือกหน้าผู้ใด แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆ
ลก 20.28 ว่า “อาจารย์เจ้าข้า โมเสสได้เขียนสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ว่า ‘ถ้าชายผู้ใดตายและมีภรรยา แต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้นั้นไว้เป็นภรรยาของตน เพื่อสืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’
ลก 20.39 ธรรมาจารย์บางคนจึงทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า ท่านพูดดีแล้ว”
ลก 21.7 เขาทั้งหลายทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าการณ์ทั้งปวงนี้จวนจะบังเกิดขึ้น”
ลก 22.33 ฝ่ายเขาจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ ถึงจะต้องติดคุกและถึงความตายก็ดี”
ลก 22.38 เขาทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด มีดาบสองเล่ม” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “พอเสียทีเถอะ”
ลก 22.42 ว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด”
ลก 22.49 เมื่อคนทั้งปวงที่อยู่รอบพระองค์เห็นว่าจะเกิดเหตุอะไรต่อไป เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ให้เราเอาดาบฟันเขาหรือ”
ลก 23.42 แล้วคนนั้นจึงทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในอาณาจักรของพระองค์”
ลก 23.46 พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสอย่างนั้นแล้ว จึงทรงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป
ยน 4.31 ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เชิญรับประทานเถิด”
ยน 4.49 ขุนนางผู้นั้นทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพระองค์จะตาย”
ยน 5.7 คนป่วยนั้นทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีผู้ใดที่จะเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ และเมื่อข้าพเจ้ากำลังไป คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว”
ยน 6.34 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด”
ยน 6.68 ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า พระองค์มีถ้อยคำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์
ยน 8.4 เขาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่
ยน 8.11 นางนั้นทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย” และพระเยซูตรัสกับนางว่า “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีก”
ยน 9.2 และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด”
ยน 9.36 ชายคนนั้นทูลตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ผู้ใดเป็นพระบุตรนั้น ซึ่งข้าพเจ้าจะเชื่อในพระองค์ได้”
ยน 9.38 เขาจึงทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อ” แล้วเขาก็นมัสการพระองค์
ยน 11.3 ดังนั้นพี่สาวทั้งสองนั้นจึงให้คนไปเฝ้าพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด ผู้ที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่”
ยน 11.8 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เมื่อเร็วๆนี้พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย แล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีกหรือ”
ยน 11.12 พวกสาวกของพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเขาหลับอยู่เขาก็จะสบายดี”
ยน 11.21 มารธาจึงทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย
ยน 11.27 มารธาทูลพระองค์ว่า “เชื่อ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่จะเสด็จมาในโลก”
ยน 11.32 ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ประทับอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย”
ยน 11.34 และตรัสถามว่า “พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้ที่ไหน” เขาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด”
ยน 11.39 พระเยซูตรัสว่า “จงเอาศิลาออกเสีย” มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ป่านนี้ศพมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าเขาตายมาสี่วันแล้ว”
ยน 12.21 พวกกรีกนั้นจึงไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดกับท่านว่า “ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าใคร่จะเห็นพระเยซู”
ยน 12.38 เพื่อคำของอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์จะสำเร็จซึ่งว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด’
ยน 13.6 แล้วพระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร และเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ”
ยน 13.9 ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า มิใช่แต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอทรงโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย”
ยน 13.25 ขณะที่ยังเอนกายอยู่ที่พระทรวงของพระเยซู สาวกคนนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า คนนั้นคือใคร”
ยน 13.36 ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ที่ซึ่งเราจะไปนั้นท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ภายหลังท่านจะตามเราไป”
ยน 13.37 เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เหตุใดข้าพระองค์จึงตามพระองค์ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์”
ยน 14.5 โธมัสทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร”
ยน 14.8 ฟีลิปทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็นและพวกข้าพระองค์จะพอใจ”
ยน 14.22 ยูดาส มิใช่อิสคาริโอท ทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เหตุใดพระองค์จึงจะสำแดงพระองค์แก่พวกข้าพระองค์ และไม่ทรงสำแดงแก่โลก”
ยน 17.1 พระเยซูตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นดูฟ้าและตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถึงเวลาแล้ว ขอทรงโปรดให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติ เพื่อพระบุตรจะได้ถวายเกียรติแด่พระองค์
ยน 17.5 บัดนี้ โอ พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติซึ่งข้าพระองค์ได้มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา
ยน 17.24 พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่นั้นด้วย เพื่อเขาจะได้เห็นสง่าราศีของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่จะทรงสร้างโลก
ยน 20.15 พระเยซูตรัสถามเธอว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม เจ้าตามหาผู้ใด” มารีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบพระองค์ว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านได้เอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน และดิฉันจะรับพระองค์ไป”
ยน 21.15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วพระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกเหล่านี้หรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ถูกแล้ว พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด”
ยน 21.16 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองอีกว่า “ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเราหรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ถูกแล้ว พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด”
ยน 21.17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเราหรือ” เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ” และเขาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด
ยน 21.20 เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่พระเยซูทรงรักตามมา คือสาวกที่เอนตัวลงที่พระทรวงของพระองค์เมื่อรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น และทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้ที่จะทรยศพระองค์คือใคร”
ยน 21.21 เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า คนนี้จะเป็นอย่างไร”
กจ 1.6 เมื่อเขาทั้งหลายได้ประชุมพร้อมกัน เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ให้แก่อิสราเอลในครั้งนี้หรือ”
กจ 1.24 แล้วพวกสาวกจึงอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้ทรงทราบใจของมนุษย์ทั้งปวง ขอทรงสำแดงว่าในสองคนนี้พระองค์ทรงเลือกคนไหน
กจ 4.24 เมื่อเขาทั้งหลายได้ฟังจึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้เป็นพระเจ้าซึ่งได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้น
กจ 4.29 บัดนี้พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดทอดพระเนตรการขู่ของเขา และโปรดประทานให้ผู้รับใช้ของพระองค์กล่าวถ้อยคำของพระองค์ด้วยใจกล้า
กจ 7.60 สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงหลับไป
กจ 9.5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก”
กจ 9.6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าจะต้องทำประการใด จะมีคนบอกให้รู้”
กจ 9.10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” อานาเนียจึงทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”
กจ 9.13 แต่อานาเนียทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มมาก
กจ 10.4 และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตสวรรค์องค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า “นี่เป็นประการใด พระองค์เจ้าข้า” ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า “คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นที่ระลึกถึงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
กจ 10.14 ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า “มิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้ามหรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยได้รับประทานเลย”
กจ 11.8 แต่ข้าพเจ้าทูลว่า ‘หามิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งของซึ่งต้องห้ามหรือซึ่งเป็นมลทินยังไม่ได้เข้าปากข้าพระองค์เลย’
กจ 16.30 และพาท่านทั้งสองออกมาแล้วว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะรอดได้”
กจ 22.8 ข้าพเจ้าจึงทูลตอบว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด’ พระองค์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งเจ้าข่มเหงนั้น’
กจ 22.10 ข้าพเจ้าจึงทูลถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด’ องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมืองดามัสกัส และที่นั่นเขาจะบอกเจ้าให้รู้ถึงการทุกสิ่งซึ่งได้กำหนดไว้ให้เจ้าทำนั้น’
กจ 22.19 ข้าพเจ้าจึงทูลว่า ‘พระองค์เจ้าข้า คนเหล่านั้นทราบอยู่ว่า ข้าพระองค์ได้จับคนทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ไปใส่คุกและเฆี่ยนตีตามธรรมศาลาทุกแห่ง
กจ 24.2 ครั้นเรียกเปาโลเข้ามาแล้ว เทอร์ทูลลัสจึงเริ่มฟ้องว่า “ท่านเจ้าคุณเฟลิกส์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้มีความสงบสุขยิ่งนัก เพราะท่านให้มีการปรับปรุงอันเป็นคุณประโยชน์แก่ชาตินี้โดยการคุ้มครองของท่าน
กจ 26.2 “ท่านกษัตริย์อากริปปาเจ้าข้า ข้าพระองค์ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้แก้คดีต่อพระพักตร์พระองค์วันนี้ ในเรื่องข้อคดีทั้งปวงซึ่งพวกยิวกล่าวหาข้าพระองค์นั้น
กจ 26.15 ข้าพระองค์ทูลถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด’ พระองค์จึงตรัสว่า ‘เราคือเยซูซึ่งเจ้าข่มเหง
กจ 26.25 แต่เปาโลกล่าวว่า “ท่านเฟสทัสเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่คลั่งเลย แต่ว่าได้พูดคำแห่งความจริงและคำที่ปกติชนจะพูด
รม 10.16 แต่มิใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย’
รม 11.3 ‘พระองค์เจ้าข้า พวกเขาได้ฆ่าพวกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ แท่นบูชาของพระองค์เขาก็ได้ขุดทำลายลงเสีย เหลืออยู่แต่ข้าพระองค์คนเดียวและเขาแสวงหาช่องทางที่จะประหารชีวิตของข้าพระองค์’
ฮบ 1.10 และ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าข้า เมื่อเดิมพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์
วว 7.14 ข้าพเจ้าตอบท่านว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านก็ทราบอยู่แล้ว” ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดกจนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด

เจ้าคุณ ( 3 )
มธ 27.63 เรียนว่า “เจ้าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้ว่า คนล่อลวงผู้นั้น เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’
กจ 23.26 “คลาวดิอัสลีเซียสเรียนเจ้าคุณเฟลิกส์ ท่านผู้ว่าราชการทราบ
กจ 24.2 ครั้นเรียกเปาโลเข้ามาแล้ว เทอร์ทูลลัสจึงเริ่มฟ้องว่า “ท่านเจ้าคุณเฟลิกส์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้มีความสงบสุขยิ่งนัก เพราะท่านให้มีการปรับปรุงอันเป็นคุณประโยชน์แก่ชาตินี้โดยการคุ้มครองของท่าน

เจ้าชาย ( 3 )
ปฐก 32.28 บุรุษนั้นจึงว่า “เขาจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคบต่อไป แต่จะเรียกว่า อิสราเอล เพราะเจ้าเหมือนเจ้าชายได้สู้กับพระเจ้าและมนุษย์ และได้ชัยชนะ”
โยบ 12.19 พระองค์ทรงนำเจ้าชายตัวล่อนจ้อนไป และทรงคว่ำผู้มีกำลังเสีย
กจ 5.31 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ด้วยพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ให้เป็นเจ้าชาย และองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความผิดบาปของเขา

เจ้าชีวิต ( 1 )
กจ 3.15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราเป็นพยานในเรื่องนี้

เจ้านาย ( 542 )
ปฐก 12.15; ปฐก 17.20; ปฐก 18.3; ปฐก 19.2; ปฐก 19.18; ปฐก 23.6; ปฐก 25.16; ปฐก 27.29; ปฐก 36.15; ปฐก 36.16; ปฐก 36.17; ปฐก 36.18; ปฐก 36.19; ปฐก 36.21; ปฐก 36.29; ปฐก 36.30; ปฐก 36.40; ปฐก 36.41; ปฐก 36.42; ปฐก 36.43; ปฐก 40.1; ปฐก 42.30; ปฐก 43.5; ปฐก 43.7; ปฐก 44.5; ปฐก 44.7; ปฐก 44.9; อพย 2.14; อพย 15.15; อพย 32.22; กดว 11.28; กดว 12.11; กดว 16.2; กดว 16.13; กดว 21.18; กดว 22.13; กดว 22.14; กดว 22.15; กดว 22.21; กดว 22.35; กดว 22.40; กดว 23.6; กดว 23.17; กดว 25.14; กดว 25.18; กดว 32.25; กดว 32.27; กดว 36.2; ยชว 5.14; ยชว 13.21; วนฉ 3.3; วนฉ 3.25; วนฉ 4.18; วนฉ 5.3; วนฉ 5.15; วนฉ 7.25; วนฉ 8.3; วนฉ 8.6; วนฉ 8.14; วนฉ 16.5; วนฉ 16.8; วนฉ 16.18; วนฉ 16.23; วนฉ 16.27; วนฉ 16.30; นรธ 2.13; 1ซมอ 2.8; 1ซมอ 5.8; 1ซมอ 5.11; 1ซมอ 6.4; 1ซมอ 6.12; 1ซมอ 6.16; 1ซมอ 6.18; 1ซมอ 7.7; 1ซมอ 10.1; 1ซมอ 13.14; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 18.30; 1ซมอ 22.12; 1ซมอ 24.6; 1ซมอ 24.8; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 25.24; 1ซมอ 25.25; 1ซมอ 25.26; 1ซมอ 25.27; 1ซมอ 25.28; 1ซมอ 25.29; 1ซมอ 25.30; 1ซมอ 25.31; 1ซมอ 25.41; 1ซมอ 26.15; 1ซมอ 26.16; 1ซมอ 26.17; 1ซมอ 26.18; 1ซมอ 26.19; 1ซมอ 29.2; 1ซมอ 29.3; 1ซมอ 29.4; 1ซมอ 29.6; 1ซมอ 29.7; 1ซมอ 29.8; 1ซมอ 29.9; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 2.5; 2ซมอ 2.7; 2ซมอ 3.21; 2ซมอ 3.38; 2ซมอ 4.8; 2ซมอ 9.9; 2ซมอ 9.10; 2ซมอ 9.11; 2ซมอ 10.3; 2ซมอ 11.9; 2ซมอ 11.11; 2ซมอ 11.13; 2ซมอ 12.8; 2ซมอ 13.32; 2ซมอ 13.33; 2ซมอ 14.9; 2ซมอ 14.12; 2ซมอ 14.15; 2ซมอ 14.17; 2ซมอ 14.18; 2ซมอ 14.19; 2ซมอ 14.20; 2ซมอ 14.22; 2ซมอ 15.15; 2ซมอ 15.21; 2ซมอ 16.3; 2ซมอ 16.4; 2ซมอ 16.9; 2ซมอ 18.28; 2ซมอ 18.31; 2ซมอ 18.32; 2ซมอ 19.19; 2ซมอ 19.20; 2ซมอ 19.26; 2ซมอ 19.27; 2ซมอ 19.28; 2ซมอ 19.30; 2ซมอ 19.35; 2ซมอ 19.37; 2ซมอ 20.6; 2ซมอ 24.3; 2ซมอ 24.21; 2ซมอ 24.22; 1พกษ 1.2; 1พกษ 1.11; 1พกษ 1.13; 1พกษ 1.17; 1พกษ 1.18; 1พกษ 1.20; 1พกษ 1.21; 1พกษ 1.24; 1พกษ 1.27; 1พกษ 1.31; 1พกษ 1.33; 1พกษ 1.36; 1พกษ 1.37; 1พกษ 1.43; 1พกษ 1.47; 1พกษ 2.38; 1พกษ 3.17; 1พกษ 3.26; 1พกษ 11.23; 1พกษ 12.27; 1พกษ 18.7; 1พกษ 18.8; 1พกษ 18.10; 1พกษ 18.11; 1พกษ 18.13; 1พกษ 18.14; 1พกษ 20.4; 1พกษ 20.9; 1พกษ 20.14; 1พกษ 20.15; 1พกษ 20.17; 1พกษ 20.19; 2พกษ 2.19; 2พกษ 4.16; 2พกษ 4.28; 2พกษ 5.3; 2พกษ 5.4; 2พกษ 6.12; 2พกษ 6.22; 2พกษ 6.23; 2พกษ 6.26; 2พกษ 8.5; 2พกษ 8.12; 2พกษ 9.11; 2พกษ 20.5; 2พกษ 24.12; 2พกษ 24.14; 1พศด 1.51; 1พศด 1.52; 1พศด 1.53; 1พศด 1.54; 1พศด 2.10; 1พศด 4.38; 1พศด 5.2; 1พศด 5.6; 1พศด 5.15; 1พศด 7.40; 1พศด 19.3; 1พศด 21.3; 1พศด 21.23; 1พศด 23.2; 1พศด 24.6; 1พศด 28.1; 1พศด 29.6; 1พศด 29.22; 2พศด 1.2; 2พศด 2.14; 2พศด 2.15; 2พศด 6.5; 2พศด 12.5; 2พศด 12.6; 2พศด 13.6; 2พศด 17.7; 2พศด 19.11; 2พศด 21.4; 2พศด 21.9; 2พศด 22.8; 2พศด 24.10; 2พศด 24.17; 2พศด 24.23; 2พศด 28.14; 2พศด 28.21; 2พศด 29.20; 2พศด 29.30; 2พศด 30.2; 2พศด 30.6; 2พศด 30.12; 2พศด 30.24; 2พศด 31.8; 2พศด 32.3; 2พศด 32.31; 2พศด 35.8; 2พศด 36.18; อสร 1.8; อสร 4.10; อสร 7.28; อสร 8.25; อสร 9.1; อสร 10.3; นหม 9.32; นหม 9.34; นหม 9.38; นหม 12.31; นหม 12.32; อสธ 1.3; อสธ 1.11; อสธ 1.14; อสธ 1.16; อสธ 1.18; อสธ 1.21; อสธ 2.18; อสธ 3.1; อสธ 3.12; อสธ 5.11; อสธ 6.9; อสธ 9.3; โยบ 3.15; โยบ 12.21; โยบ 21.28; โยบ 29.9; โยบ 31.37; โยบ 34.18; โยบ 34.19; สดด 45.11; สดด 45.16; สดด 47.9; สดด 68.27; สดด 68.31; สดด 82.7; สดด 83.11; สดด 105.21; สดด 105.22; สดด 107.40; สดด 113.8; สดด 118.9; สดด 119.23; สดด 119.161; สดด 146.3; สดด 148.11; สภษ 8.16; สภษ 14.28; สภษ 17.7; สภษ 17.26; สภษ 19.6; สภษ 19.10; สภษ 25.7; ปญจ 10.4; ปญจ 10.7; ปญจ 10.16; ปญจ 10.17; อสย 1.23; อสย 3.4; อสย 3.14; อสย 16.8; อสย 19.11; อสย 19.13; อสย 21.5; อสย 23.8; อสย 26.13; อสย 29.10; อสย 31.9; อสย 32.1; อสย 34.12; อสย 40.23; อสย 43.28; อสย 49.7; ยรม 1.18; ยรม 2.26; ยรม 2.31; ยรม 4.9; ยรม 8.1; ยรม 17.25; ยรม 24.1; ยรม 24.8; ยรม 25.18; ยรม 25.19; ยรม 26.10; ยรม 26.11; ยรม 26.12; ยรม 26.16; ยรม 26.21; ยรม 29.2; ยรม 32.32; ยรม 34.10; ยรม 34.19; ยรม 34.21; ยรม 35.4; ยรม 36.12; ยรม 36.14; ยรม 36.19; ยรม 36.21; ยรม 37.14; ยรม 37.15; ยรม 38.4; ยรม 38.17; ยรม 38.18; ยรม 38.22; ยรม 38.25; ยรม 38.27; ยรม 39.3; ยรม 39.13; ยรม 41.1; ยรม 44.17; ยรม 44.21; ยรม 48.7; ยรม 49.3; ยรม 49.38; ยรม 50.35; ยรม 51.57; ยรม 52.10; พคค 1.6; พคค 2.2; พคค 2.9; พคค 5.12; อสค 7.27; อสค 11.1; อสค 12.10; อสค 12.12; อสค 17.12; อสค 19.1; อสค 21.12; อสค 21.25; อสค 22.6; อสค 22.27; อสค 26.16; อสค 27.21; อสค 32.29; อสค 32.30; อสค 34.24; อสค 39.18; อสค 44.3; อสค 45.7; อสค 45.8; อสค 45.9; อสค 45.16; อสค 45.17; อสค 45.22; อสค 45.23; อสค 45.24; อสค 46.2; อสค 46.4; อสค 46.8; อสค 46.10; อสค 46.12; อสค 46.16; อสค 46.17; อสค 46.18; อสค 48.21; อสค 48.22; ดนล 1.3; ดนล 1.10; ดนล 2.10; ดนล 4.19; ดนล 4.24; ดนล 5.1; ดนล 5.2; ดนล 5.3; ดนล 5.9; ดนล 5.10; ดนล 5.23; ดนล 6.17; ดนล 9.6; ดนล 9.8; ดนล 10.17; ดนล 10.19; ดนล 11.5; ดนล 11.8; ฮชย 3.4; ฮชย 5.10; ฮชย 7.3; ฮชย 7.5; ฮชย 7.16; ฮชย 8.4; ฮชย 9.15; ฮชย 13.10; อมส 1.15; อมส 2.3; มคา 5.5; มคา 7.3; นฮม 3.17; ฮบก 1.10; ศฟย 1.8; ศฟย 3.3; ศคย 4.4; ศคย 4.5; ศคย 4.13; ศคย 6.4; มธ 2.6; มธ 18.25; มธ 18.27; มธ 18.31; มธ 18.32; มธ 18.34; ลก 1.52; ลก 14.21; ลก 14.23; ลก 19.12; กจ 16.16; กจ 19.31; กจ 25.26; 1ทธ 6.15; 1ปต 5.3; วว 17.14; วว 19.16

เจ้าบ้าน ( 5 )
มธ 10.25 ซึ่งศิษย์จะได้เป็นเสมอครูของตน และทาสเสมอนายของตนก็พออยู่แล้ว ถ้าเขาได้เรียกเจ้าบ้านว่าเบเอลเซบูล เขาจะเรียกลูกบ้านของเขามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
มธ 13.27 พวกผู้รับใช้แห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน’
ลก 13.25 เมื่อเจ้าบ้านลุกขึ้นปิดประตูแล้ว และท่านทั้งหลายเริ่มยืนอยู่ภายนอกเคาะที่ประตูว่า ‘นายเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเถิด’ และเจ้าบ้านนั้นจะตอบท่านทั้งหลายว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าว่าเจ้ามาจากไหน’
ลก 13.27 เจ้าบ้านนั้นจะว่า ‘เราบอกเจ้าทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักเจ้าว่าเจ้ามาจากไหน เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’

เจ้าบ่าว ( 28 )
สดด 19.5 ซึ่งออกมาอย่างเจ้าบ่าวออกมาจากห้องโถงของเขา และวิ่งไปตามวิถีด้วยความชื่นบานอย่างชายฉกรรจ์
อสย 61.10 ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในพระเยโฮวาห์ จิตใจของข้าพเจ้าจะลิงโลดในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ได้ทรงสวมข้าพเจ้าด้วยเสื้อผ้าแห่งความรอด พระองค์ทรงคลุมข้าพเจ้าด้วยเสื้อแห่งความชอบธรรม อย่างเจ้าบ่าวประดับตัวด้วยเครื่องประดับ และอย่างเจ้าสาวตกแต่งตัวด้วยเพชรนิลจินดา
อสย 62.5 เพราะชายหนุ่มแต่งงานกับหญิงพรหมจารีฉันใด บุตรชายทั้งหลายของเจ้าจะแต่งกับเจ้าฉันนั้น และเจ้าบ่าวเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าสาวฉันใด พระเจ้าของเจ้าจะเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าฉันนั้น
ยรม 7.34 เราจะกระทำให้เสียงรื่นเริงและเสียงยินดี เสียงของเจ้าบ่าวและเสียงของเจ้าสาว ขาดหายไปจากหัวเมืองของยูดาห์ และจากถนนหนทางแห่งกรุงเยรูซาเล็ม เพราะว่าแผ่นดินนั้นจะต้องรกร้างไป”
ยรม 16.9 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้เสียงบันเทิงและเสียงรื่นเริง เสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว ขาดจากสถานที่นี้ต่อสายตาของเจ้าทั้งหลายและในวันของเจ้า
ยรม 25.10 ยิ่งกว่านั้นอีก เราจะกำจัดเสียงบันเทิงและเสียงร่าเริง เสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว เสียงหินโม่และแสงตะเกียงเสียจากเจ้า
ยรม 33.11 ที่นั่นจะได้ยินเสียงบันเทิงและเสียงรื่นเริง และเสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว และเสียงบรรดาคนเหล่านั้นที่ร้องเพลงอีก ขณะที่เขานำเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญมายังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ว่า ‘จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์จอมโยธา เพราะพระเยโฮวาห์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์’ เพราะเราจะให้พวกเชลยแห่งแผ่นดินนั้นกลับสู่สภาพเดิม พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยอล 2.16 จงรวบรวมบรรดาประชาชน จงชำระชุมนุมชนให้บริสุทธิ์ จงประชุมบรรดาผู้ใหญ่ จงรวบรวมเด็กๆ แม้ว่าเด็กที่ยังกินนม จงให้เจ้าบ่าวออกจากเรือนหอ และเจ้าสาวออกจากห้องของตน
มธ 9.15 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “สหายของเจ้าบ่าวเป็นทุกข์โศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขาได้หรือ แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากเขาไป เมื่อนั้นเขาจะถืออดอาหาร
มธ 25.1 “เมื่อถึงวันนั้น อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว
มธ 25.5 เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ พวกเธอทุกคนก็พากันง่วงเหงาและหลับไป
มธ 25.6 ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า ‘ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’
มธ 25.10 เมื่อพวกเธอกำลังไปซื้อนั้นเจ้าบ่าวก็มาถึง ผู้ที่พร้อมอยู่แล้วก็ได้เข้าไปกับท่านในพิธีสมรสนั้น แล้วประตูก็ปิด
มก 2.19 พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวถืออดอาหารเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ เจ้าบ่าวอยู่ด้วยนานเท่าใด สหายก็ถืออดอาหารไม่ได้นานเท่านั้น
มก 2.20 แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไป ในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร
ลก 5.34 ฝ่ายพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวอดอาหารเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ
ลก 5.35 แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไป ในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร”
ยน 2.9 เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นน้ำองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา
ยน 3.29 ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว แต่สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าว ก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยมแล้ว
วว 18.23 และในเจ้าจะไม่มีแสงประทีปส่องสว่างอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวในเจ้าอีกต่อไป เพราะว่าบรรดาพ่อค้าของเจ้าได้เป็นคนใหญ่โตแห่งแผ่นดินโลกแล้ว และโดยวิทยาคมของเจ้าได้ล่อลวงบรรดาประชาชาติให้ลุ่มหลง

เจ้าบุญนายคุณ ( 1 )
ลก 22.25 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ที่มีอำนาจเหนือเขานั้น เขาเรียกว่าเจ้าบุญนายคุณ

เจ้าผู้พิทักษ์ ( 6 )
ดนล 10.13 เจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซียได้ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ถึงยี่สิบเอ็ดวัน ข้าพเจ้าจึงยังอยู่ที่นั่นกับกษัตริย์ทั้งหลายของเปอร์เซีย แต่ดูเถิด มีคาเอลเจ้าผู้พิทักษ์ชั้นหัวหน้าผู้หนึ่งมาช่วยข้าพเจ้า
ดนล 10.20 แล้วท่านจึงกล่าวว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าพเจ้ามาหาท่านทำไม แต่บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปต่อสู้กับเจ้าผู้พิทักษ์แห่งเปอร์เซีย และเมื่อข้าพเจ้าเสร็จธุระกับเขาแล้ว ดูเถิด เจ้าผู้พิทักษ์แห่งกรีกจะมา
ดนล 10.21 แต่ข้าพเจ้าจะบอกท่านตามสิ่งซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือแห่งความจริง ไม่มีผู้ใดร่วมแรงกับข้าพเจ้าต่อสู้เจ้าเหล่านี้เลย นอกจากมีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ของท่าน”
ดนล 12.1 “ในครั้งนั้น มีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น และจะมีเวลายากลำบากอย่างไม่เคยมีมาตั้งแต่ครั้งมีประชาชาติจนถึงสมัยนั้น แต่ในครั้งนั้นชนชาติของท่านจะรับการช่วยให้พ้น คือทุกคนที่มีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือ

เจ้าพนักงาน ( 6 )
2พศด 24.11 และต่อมาเมื่อคนเลวีนำหีบเข้ามายังเจ้าพนักงานของกษัตริย์เมื่อไร และเมื่อเขาทั้งหลายเห็นว่ามีเงินมาก ราชเลขาและเจ้าหน้าที่ของมหาปุโรหิตจะเข้ามาเทหีบออกและนำหีบกลับไปยังที่เดิม เขาทั้งหลายทำอย่างนี้วันแล้ววันเล่า และเก็บเงินได้เป็นอันมาก
นหม 2.8 และพระราชสารถึงอาสาฟเจ้าพนักงานผู้ดูแลป่าไม้หลวง เพื่อเขาจะได้ให้ไม้แก่ข้าพระองค์ เพื่อทำคานประตูพระราชวังของพระนิเวศ และทำกำแพงเมือง และเพื่อทำบ้านที่ข้าพระองค์จะได้เข้าอาศัย” กษัตริย์ก็ทรงพระราชทานให้ตามพระหัตถ์อันประเสริฐของพระเจ้าของข้าพเจ้าที่อยู่เหนือข้าพเจ้า
ดนล 11.20 แล้วจะมีผู้หนึ่งขึ้นมาแทนที่ของท่าน ผู้นี้จะส่งเจ้าพนักงานเก็บส่วยให้ไปตลอดทั่วราชอาณาจักรอันรุ่งโรจน์ แต่ไม่กี่วันเขาก็ประสบหายนะ มิใช่ด้วยความโกรธหรือสงคราม
มธ 20.8 ครั้นถึงเวลาพลบค่ำเจ้าของสวนองุ่นจึงสั่งเจ้าพนักงานว่า ‘จงเรียกคนทำงานมาและให้ค่าจ้างแก่เขา ตั้งแต่คนมาทำงานสุดท้าย จนถึงคนที่มาแรก’
กจ 5.22 แต่เมื่อเจ้าพนักงานไปถึงก็ไม่พบพวกอัครสาวกในคุก จึงกลับมารายงาน
กจ 5.26 แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงานจึงได้ไปพาพวกอัครสาวกมาโดยดี เพราะกลัวว่าคนทั้งปวงจะเอาหินขว้าง

เจ้าพ่อทัมมุส ( 1 )
อสค 8.14 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงทางเข้าประตูพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ด้านเหนือ และดูเถิด ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนนั่งร้องไห้อาลัยเจ้าพ่อทัมมุส

เจ้าภาพ ( 5 )
ลก 14.9 และเจ้าภาพที่ได้เชิญท่านทั้งสองนั้นจะมาพูดกับท่านว่า ‘จงให้ที่นั่งแก่ท่านผู้นี้เถิด’ แล้วเมื่อนั้นท่านจะต้องเลื่อนลงมาที่ต่ำได้รับความอดสู
ลก 14.10 แต่เมื่อท่านได้รับเชิญแล้ว จงไปเอนกายลงในที่ต่ำก่อน เพื่อว่าเมื่อเจ้าภาพที่ได้เชิญท่านมาพูดกับท่านว่า ‘สหายเอ๋ย เชิญเลื่อนไปนั่งที่อันมีเกียรติ’ แล้วท่านจะได้เกียรติต่อหน้าคนทั้งหลายที่เอนกายลงรับประทานด้วยกันนั้น
ยน 2.8 แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” เขาก็เอาไปให้
ยน 2.9 เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นน้ำองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา

เจ้าเมือง ( 48 )
ปฐก 34.2 เมื่อเชเคมบุตรชายฮาโมร์คนฮีไวต์ผู้เป็นเจ้าเมืองเห็นนางสาวดีนาห์ เขาก็เอานางไปหลับนอนและทำอนาจารต่อนาง
กดว 22.8 บาลาอัมกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “คืนนี้จงค้างที่นี่ก่อน เมื่อพระเยโฮวาห์ตรัสอย่างไรแก่ข้าแล้ว ข้าจึงจะนำคำนั้นมาแจ้งแก่ท่านทั้งหลาย” ดังนั้นเจ้าเมืองแห่งโมอับจึงยับยั้งอยู่กับบาลาอัม
วนฉ 5.9 จิตใจของข้าพเจ้านิยมชมชอบในบรรดาเจ้าเมืองของอิสราเอล ผู้อาสาสมัครท่ามกลางประชาชน จงถวายสาธุการแด่พระเยโฮวาห์
วนฉ 9.30 พอเศบุลเจ้าเมืองได้ยินถ้อยคำของกาอัลบุตรชายเอเบดก็โกรธ
1พกษ 10.15 นอกเหนือจากทองคำซึ่งมาจากพ่อค้า และจากการค้าของพวกพ่อค้า และจากกษัตริย์ทั้งปวงของประเทศอาระเบีย และจากบรรดาเจ้าเมืองแห่งแผ่นดิน
2พกษ 25.22 พระองค์ทรงตั้งเกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัมบุตรชายชาฟานให้เป็นเจ้าเมืองเหนือประชาชนผู้เหลืออยู่ในแผ่นดินยูดาห์ ผู้ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนได้ทรงเหลือไว้
2พกษ 25.23 เมื่อบรรดาผู้บังคับบัญชาพลรบ ทั้งตัวเขาทั้งหลายและคนของเขาได้ยินว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งเกดาลิยาห์ให้เป็นเจ้าเมือง เขาก็มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ คืออิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ และโยฮานันบุตรชายคาเรอาห์ และเสไรอาห์บุตรชายทันหุเมทชาวเนโทฟาห์ และยาอาซันยาห์บุตรชายคนมาอาคาห์ ทั้งเขาทั้งหลายและคนของเขา
2พศด 9.14 นอกเหนือจากทองคำซึ่งนักการค้าและพ่อค้าได้นำมา และกษัตริย์ทั้งปวงของประเทศอาระเบีย และบรรดาเจ้าเมืองแห่งแผ่นดินได้นำทองคำและเงินมายังซาโลมอน
นหม 3.7 และถัดเขาไป คือ เมลาติยาห์ชาวกิเบโอน และยาโดนชาวเมโรโนท คนเมืองกิเบโอนและเมืองมิสปาห์ได้ซ่อมแซม ซึ่งอยู่ใต้ปกครองของเจ้าเมืองฟากแม่น้ำข้างนี้
อสธ 3.12 แล้วทรงเรียกราชอาลักษณ์เข้ามาในวันที่สิบสามเดือนต้น ให้เขียนกฤษฎีกาตามที่ฮามานบัญชาไว้ทุกประการ ส่งไปยังสมุหเทศาภิบาลของกษัตริย์และของเจ้าเมืองมณฑลทั้งปวงและถึงเจ้านายแห่งชนชาติทั้งปวง ถึงทุกมณฑลเป็นอักขระของมณฑลนั้น และถึงชนทุกชาติเป็นภาษาของเขา เขียนในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัส และประทับตราด้วยพระธำมรงค์ของกษัตริย์
ยรม 51.23 เราจะทุบผู้เลี้ยงแกะและฝูงแกะเป็นชิ้นๆด้วยเจ้า เราจะทุบชาวนาและวัวคู่แอกของเขาเป็นชิ้นๆด้วยเจ้า เราจะทุบเจ้าเมืองและปลัดเมืองเป็นชิ้นๆด้วยเจ้า
ยรม 51.28 จงเตรียมบรรดาประชาชาติมาทำสงครามกับเธอ คือเตรียมบรรดากษัตริย์แห่งมีเดีย พร้อมทั้งเจ้าเมืองและปลัดเมืองทั้งหลาย และทุกแผ่นดินที่ขึ้นแก่มีเดีย
ยรม 51.57 เราจะกระทำให้เจ้านายของเธอและนักปราชญ์ของเธอ เจ้าเมืองของเธอ ผู้บังคับบัญชาของเธอ และนักรบของเธอมึนเมา จนเขาทั้งหลายจะนอนหลับอยู่ชั่วกาลนาน ไม่ตื่นเลย พระบรมมหากษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้
อสค 23.6 ซึ่งแต่งกายสีม่วง และเป็นเจ้าเมืองและผู้บังคับบัญชา ทุกคนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา พลม้าขี่ม้า
อสค 23.12 เธอลุ่มหลงอัสซีเรียเพื่อนบ้านของเธอ เจ้าเมืองและผู้บังคับบัญชา ซึ่งแต่งเกราะเต็ม พลม้าขี่ม้า ทุกคนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา
อสค 23.23 มีคนบาบิโลน และคนเคลเดียทั้งสิ้น เปโขดและโชอา และโคอา ทั้งคนอัสซีเรียทั้งสิ้นด้วย เป็นคนหนุ่มที่พึงปรารถนา เจ้าเมือง ผู้บังคับบัญชาทั้งสิ้น เป็นนายทหารและผู้มีชื่อเสียง ทุกคนขี่ม้า
อสค 28.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวแก่เจ้าเมืองไทระว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะใจของเจ้าผยองขึ้นและเจ้าได้กล่าวว่า ‘ข้าเป็นพระเจ้า ข้านั่งอยู่ในที่นั่งแห่งพระเจ้าในท้องทะเล’ แต่เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ มิใช่พระเจ้า แม้เจ้าจะยึดถือใจของเจ้าว่าเป็นใจของพระเจ้า
มลค 1.8 เมื่อเจ้านำสัตว์ตาบอดมาเป็นสัตวบูชา กระทำเช่นนั้นไม่ชั่วหรือ และเมื่อเจ้าถวายสัตว์ที่พิการหรือป่วย กระทำเช่นนั้นไม่ชั่วหรือ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงนำของอย่างนั้นไปกำนัลเจ้าเมืองของเจ้าดู เขาจะพอใจเจ้าหรือ จะแสดงความชอบพอต่อเจ้าไหม
มธ 10.18 และท่านจะถูกนำตัวไปอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะเห็นแก่เรา เพื่อท่านจะได้เป็นพยานต่อเขาและต่อคนต่างชาติ
มธ 14.1 ครั้งนั้นเฮโรดเจ้าเมืองได้ยินกิตติศัพท์ของพระเยซู
มธ 27.2 เขาจึงมัดพระองค์พาไปมอบไว้แก่ปอนทิอัสปีลาตเจ้าเมือง
มธ 27.11 เมื่อพระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมือง เจ้าเมืองจึงถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ” พระเยซูตรัสกับท่านว่า “ก็ท่านว่าแล้วนี่”
มธ 27.14 แต่พระองค์ก็มิได้ตรัสตอบท่านสักคำเดียว เจ้าเมืองจึงอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
มธ 27.15 ในเทศกาลเลี้ยงนั้น เจ้าเมืองเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้แก่หมู่ชนตามใจชอบ
มธ 27.21 เจ้าเมืองจึงถามเขาว่า “ในสองคนนี้เจ้าจะให้เราปล่อยคนไหนให้แก่เจ้า” เขาตอบว่า “บารับบัส”
มธ 27.23 เจ้าเมืองถามว่า “ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดประการใด” แต่เขาทั้งหลายยิ่งร้องว่า “ให้ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด”
มธ 27.27 พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในศาลาปรีโทเรียม แล้วก็รวมทหารทั้งกองล้อมพระองค์ไว้
มธ 28.14 ถ้าความนี้ทราบถึงหูเจ้าเมือง เราจะพูดแก้ไขให้พวกเจ้าพ้นโทษ”
มก 13.9 แต่จงระวังตัวให้ดี เพราะคนเขาจะมอบท่านทั้งหลายไว้กับศาล และจะเฆี่ยนท่านในธรรมศาลา และท่านจะต้องยืนต่อหน้าเจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะเห็นแก่เรา เพื่อจะได้เป็นพยานแก่เขา
ลก 2.2 (นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จดทะเบียนสำมะโนครัว เมื่อคีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย)
ลก 3.1 เมื่อปีที่สิบห้าในรัชกาลทิเบริอัส ซีซาร์ ปอนทิอัสปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูเดีย เฮโรดเป็นเจ้าเมืองกาลิลี ฟีลิปน้องชายของเฮโรดเป็นเจ้าเมืองอิทูเรียกับบริเวณแคว้นตราโคนิติส ลีซาเนียสเป็นเจ้าเมืองอาบีเลน
ลก 3.19 ฝ่ายเฮโรดเจ้าเมือง เมื่อถูกยอห์นว่าติเตียนเพราะเรื่องนางเฮโรเดียสภรรยาของน้องชายชื่อฟีลิป และเพราะการชั่วทั้งหมดที่เฮโรดได้กระทำนั้น
ลก 9.7 ฝ่ายเฮโรดเจ้าเมืองได้ยินเรื่องเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำนั้น จึงคิดสงสัยมาก เพราะบางคนว่ายอห์นเป็นขึ้นมาจากความตาย
ลก 12.11 เมื่อเขาพาพวกท่านเข้าในธรรมศาลา หรือต่อหน้าเจ้าเมือง และผู้ที่มีอำนาจ อย่ากระวนกระวายว่าจะตอบอย่างไรหรืออะไร หรือจะกล่าวอะไร
ลก 20.20 เขาจึงตามดูพระองค์ และใช้คนให้ปลอมเป็นเหมือนคนชอบธรรมไปสอดแนม หวังจะจับผิดในพระดำรัสของพระองค์ เพื่อจะมอบพระองค์ไว้ในอำนาจและอาชญาของเจ้าเมือง
ลก 21.12 แต่ก่อนเหตุการณ์เหล่านั้นเขาจะจับท่านไว้ และจะข่มเหงท่านและมอบท่านไว้ในธรรมศาลาและในคุก และพาท่านไปต่อหน้ากษัตริย์และเจ้าเมืองเพราะเหตุนามของเรา
กจ 13.1 คราวนั้นในคริสตจักรที่อยู่ในเมืองอันทิโอก มีบางคนที่เป็นผู้พยากรณ์และอาจารย์ มีบารนาบัส สิเมโอนที่เรียกว่านิเกอร์ กับลูสิอัสชาวเมืองไซรีน มานาเอน ผู้ได้รับการเลี้ยงดูเติบโตขึ้นด้วยกันกับเฮโรดเจ้าเมือง และเซาโล
กจ 16.20 เมื่อนำมาถึงเจ้าเมืองแล้วจึงกล่าวว่า “คนเหล่านี้เป็นพวกยิว ก่อการวุ่นวายมากในเมืองของเรา
กจ 16.22 ประชาชนก็ได้ฮือกันขึ้นต่อสู้เปาโลและสิลาส เจ้าเมืองได้กระชากเสื้อของท่านทั้งสองออก แล้วสั่งให้โบยด้วยไม้เรียว
กจ 16.35 ครั้นเวลาเช้าเจ้าเมืองจึงใช้พวกนักการไป สั่งว่า “จงปล่อยคนทั้งสองนั้นเสีย”
กจ 16.36 นายคุกจึงบอกเปาโลว่า “เจ้าเมืองได้ใช้คนมาบอกให้ปล่อยท่านทั้งสอง ฉะนั้นบัดนี้เชิญท่านออกไปตามสบายเถิด”
กจ 16.38 พวกนักการจึงนำความไปแจ้งแก่เจ้าเมือง เมื่อเจ้าเมืองได้ยินว่าท่านทั้งสองเป็นคนสัญชาติโรมก็ตกใจกลัว
1ปต 2.14 หรือจะเป็นเจ้าเมืองผู้ที่ได้รับคำสั่งจากกษัตริย์นั้น ให้ลงโทษผู้กระทำชั่ว และยกย่องคนที่ประพฤติดี

เจ้าแม่ ( 5 )
ยรม 7.18 พวกเด็กๆก็เก็บฟืน พวกพ่อก็ก่อไฟ พวกผู้หญิงก็นวดแป้ง เพื่อทำขนมถวายแด่เจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเขาเทเครื่องดื่มบูชาถวายแด่พระอื่นๆ เพื่อยั่วยุให้เราโกรธ”
ยรม 44.17 แต่เราจะกระทำทุกสิ่งที่เราได้พูดไว้ คือเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้าดังที่เราได้กระทำ ทั้งพวกเราและบรรพบุรุษของเรา บรรดากษัตริย์และเจ้านายของเรา ในหัวเมืองยูดาห์และในถนนหนทางกรุงเยรูซาเล็ม ทำอย่างนั้นแล้วเราจึงมีอาหารบริบูรณ์และอยู่เย็นเป็นสุข และไม่เห็นเหตุร้ายอย่างใด
ยรม 44.18 ตั้งแต่เรางดการเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า เราก็ขัดสนทุกอย่าง และถูกผลาญด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร
ยรม 44.19 เมื่อเราเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า ที่เราได้ทำขนมถวายเพื่อนมัสการพระนางเจ้า และที่ได้เทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้านั้น เรากระทำนอกเหนือความเห็นชอบของสามีของเราหรือ”
ยรม 44.25 พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ตัวเจ้าและภรรยาของเจ้าได้ยืนยันด้วยปากของเจ้าทั้งหลายเอง และได้กระทำด้วยมือของเจ้าทั้งหลายให้สำเร็จกล่าวว่า ‘เราจะทำตามการปฏิญาณของเราซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้แน่นอน คือเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า’ แล้วก็ดำรงการปฏิญาณของเจ้าและทำตามการปฏิญาณของเจ้าแน่นอน

เจ้าเล่ห์ ( 2 )
โยบ 5.12 พระองค์ทรงขัดขวางอุบายของเจ้าเล่ห์ เพื่อมือของเขาจะได้ทำไม่สำเร็จ
สภษ 7.10 และดูเถิด หญิงคนหนึ่งมาพบเขาแต่งตัวอย่างหญิงแพศยาหัวใจเจ้าเล่ห์

เจ้าสาว ( 22 )
พซม 4.8 จงจากเลบานอนไปกับฉันเถิด เจ้าสาวของฉันจ๋า จงจากเลบานอนไปกับฉันนะ ให้มองลงจากยอดเขาอามานา จากยอดเขาเสนีร์ และยอดเขาเฮอร์โมน จากถ้ำราชสีห์ จากเขาเสือดาว
พซม 4.9 น้องสาวของฉันจ๋า น้องได้ปล้นเอาดวงใจของพี่ไปเสียแล้วละ เจ้าสาวของฉันเอ๋ย เจ้าได้ปล้นเอาดวงใจของฉันไปด้วยการชายตาเพียงแวบเดียวเท่านั้น ด้วยสร้อยคอสายเดียวของเจ้า
พซม 4.10 น้องสาวของฉันจ๊ะ เจ้าสาวของฉันจ๋า ความรักของเธอช่างหวานเสียนี่กระไร ความรักของเธอนั้นช่างหวานกว่าน้ำองุ่น และกลิ่นน้ำมันของเธอช่างหอมกว่าเครื่องเทศทั้งหลาย
พซม 4.11 โอ เจ้าสาวของฉันจ๋า ริมฝีปากของเธอเสมือนน้ำผึ้งกำลังจะหยดย้อย น้ำผึ้งและน้ำนมอยู่ใต้ลิ้นของเธอ กลิ่นเสื้อผ้าของเธอหอมดุจกลิ่นมาจากเลบานอน
พซม 4.12 เจ้าสาวของฉันเอ๋ย น้องสาวของฉันเปรียบประดุจสวนสงวน ดุจอุทยานที่หวงห้ามไว้ และดุจน้ำพุที่ถูกประทับตราไว้
พซม 5.1 น้องสาวของฉันจ๊ะ เจ้าสาวของฉันจ๋า ฉันเข้ามาในสวนของฉันแล้วนะ ฉันมาเก็บเอามดยอบของฉันพร้อมกับไม้สีเสียดของฉันแล้ว ฉันรับประทานรวงผึ้งกับน้ำผึ้งของฉันแล้ว ฉันดื่มน้ำองุ่นกับน้ำนมของฉันแล้ว โอ สหายทั้งหลาย จงรับประทานและจงดื่มเถิด โอ ท่านผู้เป็นที่รักเอ๋ย จงดื่มให้อิ่มหนำเถิด
อสย 49.18 จงเงยหน้าเงยตาขึ้นดูรอบๆ เขาทั้งหลายชุมนุมกัน เขาทั้งหลายมาหาเจ้า” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เรามีชีวิตอยู่ตราบใด เจ้าจะสวมเขาทั้งหลายไว้หมดอย่างเครื่องอาภรณ์ เจ้าจะผูกเขาไว้อย่างเจ้าสาวประดับอาภรณ์
อสย 61.10 ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในพระเยโฮวาห์ จิตใจของข้าพเจ้าจะลิงโลดในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ได้ทรงสวมข้าพเจ้าด้วยเสื้อผ้าแห่งความรอด พระองค์ทรงคลุมข้าพเจ้าด้วยเสื้อแห่งความชอบธรรม อย่างเจ้าบ่าวประดับตัวด้วยเครื่องประดับ และอย่างเจ้าสาวตกแต่งตัวด้วยเพชรนิลจินดา
อสย 62.5 เพราะชายหนุ่มแต่งงานกับหญิงพรหมจารีฉันใด บุตรชายทั้งหลายของเจ้าจะแต่งกับเจ้าฉันนั้น และเจ้าบ่าวเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าสาวฉันใด พระเจ้าของเจ้าจะเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าฉันนั้น
ยรม 2.32 สาวพรหมจารีจะลืมอาภรณ์ของเธอได้หรือ เจ้าสาวจะลืมเครื่องพันกายของตนได้หรือ แต่ประชาชนของเราได้ลืมเรา เป็นเวลากี่วันก็นับไม่ไหวแล้ว
ยรม 7.34 เราจะกระทำให้เสียงรื่นเริงและเสียงยินดี เสียงของเจ้าบ่าวและเสียงของเจ้าสาว ขาดหายไปจากหัวเมืองของยูดาห์ และจากถนนหนทางแห่งกรุงเยรูซาเล็ม เพราะว่าแผ่นดินนั้นจะต้องรกร้างไป”
ยรม 16.9 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้เสียงบันเทิงและเสียงรื่นเริง เสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว ขาดจากสถานที่นี้ต่อสายตาของเจ้าทั้งหลายและในวันของเจ้า
ยรม 25.10 ยิ่งกว่านั้นอีก เราจะกำจัดเสียงบันเทิงและเสียงร่าเริง เสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว เสียงหินโม่และแสงตะเกียงเสียจากเจ้า
ยรม 33.11 ที่นั่นจะได้ยินเสียงบันเทิงและเสียงรื่นเริง และเสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว และเสียงบรรดาคนเหล่านั้นที่ร้องเพลงอีก ขณะที่เขานำเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญมายังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ว่า ‘จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์จอมโยธา เพราะพระเยโฮวาห์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์’ เพราะเราจะให้พวกเชลยแห่งแผ่นดินนั้นกลับสู่สภาพเดิม พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ฮชย 4.13 เขาถวายสัตวบูชาอยู่ที่ยอดภูเขาและทำสักการบูชาเผาอยู่ที่เนินเขา ใต้ต้นโอ๊ก ต้นไค้และต้นเอ็ลม์ เพราะว่าร่มไม้เหล่านี้เย็นดี เพราะฉะนั้นธิดาทั้งหลายของเจ้าจึงจะเล่นชู้และเจ้าสาวทั้งหลายจึงจะล่วงประเวณี
ฮชย 4.14 เมื่อธิดาทั้งหลายของเจ้าเล่นชู้ เราก็ไม่ลงโทษ หรือเมื่อเจ้าสาวของเจ้าล่วงประเวณี เราก็ไม่ลงทัณฑ์ เพราะผู้ชายเองก็หลงไปกับหญิงแพศยา และทำสักการบูชากับหญิงโสเภณี ดังนั้นชนชาติที่ไม่มีความเข้าใจจะมาถึงความพินาศ
ยอล 2.16 จงรวบรวมบรรดาประชาชน จงชำระชุมนุมชนให้บริสุทธิ์ จงประชุมบรรดาผู้ใหญ่ จงรวบรวมเด็กๆ แม้ว่าเด็กที่ยังกินนม จงให้เจ้าบ่าวออกจากเรือนหอ และเจ้าสาวออกจากห้องของตน
ยน 3.29 ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว แต่สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าว ก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยมแล้ว
วว 18.23 และในเจ้าจะไม่มีแสงประทีปส่องสว่างอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวในเจ้าอีกต่อไป เพราะว่าบรรดาพ่อค้าของเจ้าได้เป็นคนใหญ่โตแห่งแผ่นดินโลกแล้ว และโดยวิทยาคมของเจ้าได้ล่อลวงบรรดาประชาชาติให้ลุ่มหลง
วว 21.2 ข้าพเจ้า คือยอห์น ได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากพระเจ้าและจากสวรรค์ กรุงนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี
วว 21.9 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบ อันเต็มด้วยภัยพิบัติสุดท้ายทั้งเจ็ดประการนั้น ได้มาพูดกับข้าพเจ้าว่า “เชิญมานี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูเจ้าสาวที่เป็นมเหสีของพระเมษโปดก”
วว 22.17 พระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่ได้ยินกล่าวว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย

เจ้าหญิง ( 3 )
1พกษ 11.3 พระองค์ทรงมีมเหสีเจ็ดร้อยคือเจ้าหญิง และนางห้ามสามร้อย และบรรดามเหสีของพระองค์ก็ทรงหันพระทัยของพระองค์ไปเสีย
สดด 45.13 เจ้าหญิงประดับพระกายในห้องของพระนางเธอด้วยเสื้อผ้ายกทองคำ
พคค 1.1 กรุงที่คับคั่งด้วยพลเมืองมาอ้างว้างอยู่ได้หนอ กรุงที่รุ่งเรืองอยู่ท่ามกลางประชาชาติมากลายเป็นดั่งหญิงม่ายหนอ กรุงที่เป็นดั่งเจ้าหญิงท่ามกลางเมืองทั้งหลายก็กลับเป็นเมืองขึ้นเขาไป

เจ้าหน้าที่ ( 63 )
กดว 11.16 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงรวบรวมพวกผู้ใหญ่ในอิสราเอลให้เราเจ็ดสิบคน เป็นคนที่เจ้าทราบว่าเป็นคนผู้ใหญ่ในประชาชนและเป็นเจ้าหน้าที่เหนือเขาทั้งหลาย จงพาเขามาที่พลับพลาแห่งชุมนุมให้เขายืนอยู่พร้อมกับเจ้าที่นั่น
พบญ 16.18 ท่านทั้งหลายจงเลือกตั้งผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ตามบรรดาประตูเมืองของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ตามตระกูลคนของท่าน ให้เขาพิพากษาประชาชนตามความยุติธรรม
พบญ 29.10 ในวันนี้ท่านทั้งหลายทุกคนยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน คือบรรดาผู้หัวหน้าตระกูลทั้งหลาย พวกผู้ใหญ่ของท่าน และเจ้าหน้าที่ของท่าน บรรดาผู้ชายของอิสราเอล
พบญ 31.28 ท่านจงเรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ของทุกตระกูล และเจ้าหน้าที่ทั้งหมด เพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ให้เขาฟัง และอัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานปรักปรำเขา
ยชว 1.10 แล้วโยชูวาบัญชาเจ้าหน้าที่ทั้งปวงของประชาชนว่า
ยชว 3.2 ครั้นล่วงมาได้สามวัน พวกเจ้าหน้าที่ก็ไปทั่วค่าย
ยชว 8.33 คนอิสราเอลทั้งหมด ทั้งคนต่างด้าวและคนที่เกิดในอิสราเอล พร้อมทั้งพวกผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่ และผู้พิพากษา ยืนอยู่ทั้งสองข้างของหีบต่อหน้าคนเลวีที่เป็นปุโรหิต ผู้ที่หามหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ ครึ่งหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าภูเขาเกริซิม อีกครึ่งหนึ่งข้างหน้าภูเขาเอบาล ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้บัญชาไว้ในครั้งแรกให้เขาทั้งหลายอวยพรแก่คนอิสราเอล
ยชว 23.2 โยชูวาก็เรียกบรรดาคนอิสราเอล ทั้งพวกผู้ใหญ่ ผู้หัวหน้า ผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่และกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ข้าพเจ้าแก่และมีอายุมากแล้ว
ยชว 24.1 แล้วโยชูวาก็รวบรวมบรรดาตระกูลคนอิสราเอลมาที่เชเคม แล้วเรียกพวกผู้ใหญ่ ผู้หัวหน้า ผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่ของอิสราเอล แล้วเขาก็มาปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระเจ้า
วนฉ 9.28 กาอัลบุตรชายเอเบดจึงกล่าวว่า “อาบีเมเลคคือใคร และเราชาวเชเคมเป็นใครกันจึงต้องมาปรนนิบัติเขา เขาเป็นบุตรชายของเยรุบบาอัลมิใช่หรือ และเศบุลเป็นเจ้าหน้าที่ของเขามิใช่หรือ จงปรนนิบัติคนฮาโมร์บิดาของเชเคมเถิด เราจะปรนนิบัติอาบีเมเลคทำไมเล่า
1พกษ 9.23 เหล่านี้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เหนือพระราชกิจของซาโลมอนจำนวนห้าร้อยห้าสิบคน เป็นผู้ดูแลประชาชนที่ทำงาน
2พกษ 8.6 และเมื่อกษัตริย์ตรัสถามหญิงคนนั้น นางก็ทูลเรื่องถวายพระองค์ กษัตริย์จึงทรงตั้งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งให้แก่นางรับสั่งว่า “จงจัดการคืนทุกสิ่งที่เป็นของของนาง พร้อมทั้งพืชผลของนานั้น ตั้งแต่วันที่นางออกจากแผ่นดินมาจนถึงบัดนี้”
1พศด 9.11 และอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายฮิลคียาห์ ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายศาโดก ผู้เป็นบุตรชายเมราโยท ผู้เป็นบุตรชายอาหิทูบ เจ้าหน้าที่ปกครองของพระนิเวศแห่งพระเจ้า
1พศด 18.17 และเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดาอยู่เหนือคนเคเรธีและคนเปเลธ และบรรดาโอรสของดาวิดก็เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นหัวหน้าในราชการของกษัตริย์
1พศด 23.4 ดาวิดตรัสว่า “จากพวกนี้ สองหมื่นสี่พันคนจะต้องดูแลการงานในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และหกพันคนเป็นเจ้าหน้าที่และผู้วินิจฉัย
1พศด 24.5 เขาทั้งหลายจัดแบ่งด้วยสลาก เหมือนกันหมด เพราะมีเจ้าหน้าที่ของสถานบริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เป็นบุตรชายของเอเลอาซาร์กับบุตรชายของอิธามาร์ทั้งสองฝ่าย
1พศด 26.29 จากคนอิสฮาร์ เคนานิยาห์และบุตรชายของเขาได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ภายนอกสำหรับอิสราเอล ให้เป็นเจ้าหน้าที่และเป็นผู้วินิจฉัย
1พศด 27.1 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อประชาชนอิสราเอลตามจำนวน คือ บรรดาหัวหน้า บรรดานายพันนายร้อย และบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้รับใช้กษัตริย์ในราชการทุกอย่างที่เกี่ยวกับกองเวรที่เข้ามาและออกไป เดือนแล้วเดือนเล่าตลอดปี กองเวรหนึ่งๆมีจำนวนสองหมื่นสี่พันคน
2พศด 8.10 และคนต่อไปนี้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของกษัตริย์ซาโลมอน มีสองร้อยห้าสิบคน เป็นผู้ปกครองประชาชน
2พศด 19.11 และดูเถิด อามาริยาห์ปุโรหิตใหญ่ก็อยู่เหนือท่านในสรรพกิจของพระเยโฮวาห์ และเศบาดิยาห์บุตรชายอิชมาเอลเจ้านายของวงศ์วานยูดาห์ก็อยู่เหนือท่านในสรรพกิจของกษัตริย์ และเลวีจะเป็นเจ้าหน้าที่ปรนนิบัติท่าน จงประกอบกิจอย่างแกล้วกล้า และขอพระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับผู้เที่ยงธรรม”
2พศด 24.11 และต่อมาเมื่อคนเลวีนำหีบเข้ามายังเจ้าพนักงานของกษัตริย์เมื่อไร และเมื่อเขาทั้งหลายเห็นว่ามีเงินมาก ราชเลขาและเจ้าหน้าที่ของมหาปุโรหิตจะเข้ามาเทหีบออกและนำหีบกลับไปยังที่เดิม เขาทั้งหลายทำอย่างนี้วันแล้ววันเล่า และเก็บเงินได้เป็นอันมาก
2พศด 26.11 ยิ่งกว่านั้นอีกอุสซียาห์ทรงมีกองทหาร ซึ่งออกไปทำศึกเป็นกองๆตามจำนวนที่เยอีเอลราชเลขาได้รวบรวมไว้ด้วยกันกับมาอาเสอาห์เจ้าหน้าที่ภายใต้การควบคุมของฮานันยาห์ ผู้บังคับกองพลคนหนึ่งของกษัตริย์
2พศด 31.12 และเขาทั้งหลายนำสิ่งบริจาคเข้ามาอย่างสัตย์ซื่อทั้งสิบชักหนึ่งและของมอบถวาย หัวหน้าเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคือโคนานิยาห์คนเลวีกับชิเมอีน้องชายเป็นคนรอง
2พศด 31.13 เยฮีเอล อาซาซิยาห์ นาหัท อาสาเฮล เยรีโมท โยซาบาด เอลีเอล อิสมาคิยาห์ มาฮาท และเบไนยาห์ เป็นผู้ควบคุมช่วยเหลือโคนานิยาห์ และชิเมอีน้องชายของเขา โดยการแต่งตั้งของกษัตริย์เฮเซคียาห์ และอาซาริยาห์เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของพระนิเวศของพระเจ้า
2พศด 34.13 เป็นผู้ดูแลคนหาบหาม และบรรดาคนที่ทำงานปรนนิบัติทุกอย่าง คนเลวีบางคนเป็นอาลักษณ์ เป็นเจ้าหน้าที่และเป็นนายประตู
2พศด 35.8 และเจ้านายของพระองค์บริจาคด้วยความเต็มใจแก่ประชาชน แก่ปุโรหิต และแก่คนเลวี ฮิลคียาห์ เศคาริยาห์และเยฮีเอล เจ้าหน้าที่ชั้นหัวหน้าของพระนิเวศแห่งพระเจ้า ได้มอบลูกแกะและลูกแพะสองพันหกร้อยตัวกับวัวผู้สามร้อยตัวแก่ปุโรหิตเป็นเครื่องปัสกาบูชา
อสร 9.2 เพราะเขารับบุตรสาวของชนเหล่านี้เป็นภรรยาของเขาเอง และของบุตรชายของเขา ดังนั้นเชื้อสายบริสุทธิ์ได้ปะปนกับชนชาติทั้งหลายของแผ่นดินเหล่านั้น นี่แหละในการละเมิดข้อนี้ มือของเจ้าหน้าที่ชั้นหัวหน้าและผู้ครองเมืองได้เด่นที่สุด”
อสร 10.8 และถ้าผู้ใดไม่มาภายในสามวัน ตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่และพวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย จะต้องริบทรัพย์สมบัติของเขาเสียทั้งสิ้น และผู้นั้นต้องขาดจากชุมนุมชนของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย
อสร 10.14 ขอให้เจ้าหน้าที่ของเราทำการแทนชุมนุมชนทั้งสิ้น และให้บรรดาคนในหัวเมืองของเราที่ได้รับภรรยาต่างชาติมาตามเวลากำหนด พร้อมกับพวกผู้ใหญ่และผู้วินิจฉัยของทุกเมืองจนกว่าพระพิโรธอันแรงกล้าของพระเจ้าของเรา ที่ทรงมีในเรื่องนี้หันเหไปจากเราทั้งหลาย”
นหม 2.16 ส่วนพวกเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าไปไหน หรือข้าพเจ้าทำอะไร และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้บอกพวกยิว บรรดาปุโรหิต พวกขุนนาง พวกเจ้าหน้าที่ และคนอื่นๆที่จะรับผิดชอบการงาน
นหม 4.14 ข้าพเจ้ามองดู แล้วลุกขึ้นพูดกับขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย กับคนนอกนั้นว่า “อย่ากลัวเขาเลย จงระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและน่าเกรงกลัว และต่อสู้เพื่อพี่น้องของท่าน บุตรชายบุตรสาวของท่าน ภรรยาและเรือนของท่าน”
นหม 4.19 ข้าพเจ้าพูดกับขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งปวงกับคนนอกนั้นว่า “การงานก็ใหญ่โตและกระจายกันไปมาก เพราะเราแยกกันอยู่บนกำแพงห่างจากกัน
นหม 5.7 ข้าพเจ้าตรึกตรองแล้วก็นำความนี้ไปกล่าวหาพวกขุนนางและเจ้าหน้าที่ ข้าพเจ้าพูดกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายต่างคนต่างได้ให้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยจากพี่น้องของตน” และข้าพเจ้าก็เรียกชุมนุมใหญ่มาสู้กับเขา
นหม 5.17 ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้ามีคนหนึ่งร้อยห้าสิบร่วมสำรับกับข้าพเจ้า คือพวกยิวและเจ้าหน้าที่ นอกเหนือจากบรรดาผู้ที่มาอยู่กับเราทั้งหลายจากประชาชาติผู้ซึ่งอยู่รอบเรา
นหม 7.5 แล้วพระเจ้าทรงดลใจข้าพเจ้าให้เรียกชุมนุมพวกขุนนาง และเจ้าหน้าที่และประชาชนเพื่อจะขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวเชื้อสาย ข้าพเจ้าพบหนังสือสำมะโนครัวเชื้อสายของคนที่ขึ้นมาครั้งก่อน ข้าพเจ้าเห็นเขียนไว้ว่า
นหม 12.40 คณะทั้งสองผู้กล่าวคำโมทนาได้มายืนอยู่ที่พระนิเวศของพระเจ้า ทั้งข้าพเจ้าและเจ้าหน้าที่ครึ่งหนึ่งอยู่กับข้าพเจ้า
นหม 13.11 ข้าพเจ้าจึงต่อว่าเจ้าหน้าที่และพูดว่า “ทำไมจึงทอดทิ้งพระนิเวศของพระเจ้าเสีย” ข้าพเจ้าจึงรวบรวมเขากลับมา และตั้งเขาไว้ตามตำแหน่งของเขาอีก
อสธ 2.3 และขอกษัตริย์ทรงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทุกมณฑลแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ เพื่อให้คนเหล่านี้รวบรวมหญิงสาวพรหมจารีงดงามทั้งหลายมายังฮาเร็มในสุสาปราสาท ให้อยู่ในอารักขาของเฮกัยข้าราชบริพารในพระราชสำนักของกษัตริย์ ผู้ดูแลสตรี และขอประทานเครื่องชำระล้างและประเทืองผิวสำหรับหญิงเหล่านั้น
อสธ 8.9 แล้วพระองค์ทรงเรียกราชอาลักษณ์เข้ามาในเวลานั้นในเดือนที่สามซึ่งเป็นเดือนสิวัน ณ วันที่ยี่สิบสาม และให้เขียนกฤษฎีกาตามที่โมรเดคัยบัญชาทุกอย่างเกี่ยวกับพวกยิว ถึงบรรดาสมุหเทศาภิบาล และผู้ว่าราชการ และเจ้าหน้าที่ของมณฑล ตั้งแต่อินเดียถึงเอธิโอเปีย ร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑล ไปถึงทุกมณฑลเป็นอักขระของมณฑลนั้น และถึงชนทุกชาติเป็นภาษาของเขา และถึงพวกยิวเป็นอักขระและในภาษาของเขา
อสธ 9.3 บรรดาเจ้านายทั้งปวงของมณฑล และสมุหเทศาภิบาล และผู้ว่าราชการเมือง และเจ้าหน้าที่ราชการก็ช่วยพวกยิวด้วย เพราะความกลัวโมรเดคัยครอบงำเขา
ปญจ 5.8 ถ้าเจ้าเห็นคนจนในเมืองถูกข่มเหงก็ดี เห็นความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมเอาไปเสียก็ดี เจ้าอย่าประหลาดใจในเรื่องนั้น ด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่คอยจับตาเจ้าหน้าที่อยู่ แล้วยังมีผู้สูงกว่าอีกชั้นหนึ่งจับตาอยู่เหนือพวกเขาทั้งสิ้น
ยรม 29.26 ‘พระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำเจ้าให้เป็นปุโรหิตแทนเยโฮยาดาปุโรหิต ให้เป็นเจ้าหน้าที่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ควบคุมคนบ้าทุกคนที่ตั้งตัวเองเป็นผู้พยากรณ์ ให้จับเขาใส่คุกและใส่คา’
ดนล 3.2 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รับสั่งให้ประชุมอุปราช ข้าหลวงภาค ผู้ว่าราชการเมือง ผู้พิพากษา นายคลัง มนตรี ตุลาการ และบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของหัวเมือง ให้เข้ามาในงานฉลองปฏิมากรซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งขึ้น
ดนล 3.3 แล้วอุปราช ข้าหลวงภาค ผู้ว่าราชการเมือง ผู้พิพากษา นายคลัง มนตรี ตุลาการ และบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของหัวเมืองได้เข้ามาประชุมเพื่องานฉลองปฏิมากร ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งขึ้น และเขาทั้งหลายก็มายืนอยู่หน้าปฏิมากรซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งขึ้น
มธ 18.34 แล้วเจ้านายของเขาก็กริ้วจึงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้หมด
ลก 4.20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลงและตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์
ยน 7.32 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องพระองค์อย่างนั้น พวกฟาริสีกับพวกปุโรหิตใหญ่จึงได้ใช้เจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์
ยน 7.45 เจ้าหน้าที่จึงกลับไปหาพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสี และพวกนั้นกล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมเจ้าจึงไม่จับเขามา”
ยน 7.46 เจ้าหน้าที่ตอบว่า “ไม่เคยมีผู้ใดพูดเหมือนคนนั้นเลย”
ยน 18.3 ยูดาสจึงพาพวกทหารกับเจ้าหน้าที่มาจากพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสี ถือโคมถือไต้และเครื่องอาวุธไปที่นั่น
ยน 18.12 พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้
ยน 18.18 พวกผู้รับใช้กับเจ้าหน้าที่ก็ยืนอยู่ที่นั่นเอาถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วก็ยืนผิงไฟกัน เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย
ยน 18.22 เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นได้ตบพระเยซูด้วยฝ่ามือของเขาแล้วพูดว่า “เจ้าตอบมหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ”
ยน 19.6 ฉะนั้นเมื่อพวกปุโรหิตใหญ่และพวกเจ้าหน้าที่ได้เห็นพระองค์ เขาทั้งหลายร้องอึงว่า “ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย” ปีลาตกล่าวแก่เขาว่า “พวกท่านเอาเขาไปตรึงเองเถิด เพราะเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดเลย”
กจ 16.19 ส่วนพวกนายของเขาเมื่อเห็นว่าหมดหวังที่จะได้เงินแล้ว เขาจึงจับเปาโลและสิลาสลากมาถึงพวกเจ้าหน้าที่ยังที่ว่าการเมือง
กจ 17.6 ครั้นไม่พบจึงฉุดลากยาโสนกับพวกพี่น้องบางคนไปหาเจ้าหน้าที่ผู้ครองเมืองร้องว่า “คนเหล่านั้นที่เป็นพวกคว่ำแผ่นดินได้มาที่นี่ด้วย
กจ 17.8 เมื่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ครองเมืองได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจ
กจ 19.35 เมื่อเจ้าหน้าที่ทะเบียนของเมืองนั้นยอมคล้อยตามจนประชาชนสงบลงแล้วเขาก็กล่าวว่า “ท่านชาวเอเฟซัสทั้งหลาย มีผู้ใดบ้างซึ่งไม่ทราบว่า เมืองเอเฟซัสนี้เป็นเมืองที่นมัสการพระแม่เจ้าอารเทมิสผู้ยิ่งใหญ่ และนมัสการรูปจำลองซึ่งตกลงมาจากดาวพฤหัสบดี
1ปต 4.10 ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานแล้ว ก็ให้เจือจานของประทานนั้นแก่กันและกัน เหมือนอย่างเจ้าหน้าที่อันดีสำหรับพระคุณต่างๆของพระเจ้า

เจ้าหนี้ ( 8 )
อพย 22.25 ถ้าเจ้าให้พลไพร่ของเราคนใดที่เป็นคนจนและอยู่กับเจ้ายืมเงินไป อย่าถือว่าตนเป็นเจ้าหนี้ และอย่าคิดดอกเบี้ยจากเขา
พบญ 15.2 ให้กระทำการปลดปล่อยดังนี้ เจ้าหนี้ทุกคนจะต้องยกสิ่งที่ตนให้เพื่อนบ้านยืมไปนั้นเสีย อย่าทวงสิ่งนั้นคืนจากเพื่อนบ้านหรือพี่น้องของตนเลย เพราะว่าได้ประกาศการปลดปล่อยของพระเยโฮวาห์แล้ว
2พกษ 4.1 ภรรยาของคนหนึ่งในเหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์ร้องต่อเอลีชาว่า “ผู้รับใช้ของท่าน คือสามีของดิฉันสิ้นชีวิตเสียแล้ว และท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าผู้รับใช้ของท่านเกรงกลัวพระเยโฮวาห์ แต่เจ้าหนี้ได้มาเพื่อนำเอาบุตรชายสองคนของดิฉันไปเป็นทาสของเขา”
สดด 109.11 ขอให้เจ้าหนี้มายึดของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ ขอคนต่างถิ่นมาปล้นผลงานของเขาไป
อสย 50.1 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “หนังสือหย่าของแม่เจ้า ผู้ซึ่งเราได้ไล่ไปเสียนั้น อยู่ที่ไหนเล่า หรือเจ้าหนี้ของเราคนไหนเล่าที่เราได้ขายตัวเจ้าไป ดูเถิด เพราะความชั่วช้าของเจ้า เจ้าจึงถูกขาย และเพราะความละเมิดของเจ้า แม่ของเจ้าจึงถูกไล่ไป
ลก 7.41 พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าสิบเหรียญ
ลก 7.42 เมื่อเขาไม่มีอะไรจะใช้หนี้แล้ว ท่านจึงโปรดยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน เพราะฉะนั้นจงบอกเราว่า ในสองคนนั้น คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่า”
ลก 7.43 ซีโมนจึงทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่า คนที่เจ้าหนี้ได้โปรดยกหนี้ให้มากกว่า” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านคิดเห็นถูกแล้ว”

เจาะ ( 11 )
อพย 21.6 ให้นายพาทาสนั้นไปถึงพวกผู้พิพากษา พาเขาไปที่ประตูหรือไม้วงกบประตู แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด เขาก็จะอยู่ปรนนิบัตินายต่อไปจนชีวิตหาไม่
กดว 21.18 เป็นบ่อน้ำที่เจ้านายได้ขุดไว้ เป็นบ่อที่ขุนนางของประชาชนเจาะไว้ ด้วยคทาและไม้เท้าของผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติ” และจากถิ่นทุรกันดารนั้นไป เขาก็มาถึงมัทธานาห์
2พกษ 12.9 แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตนำหีบมาใบหนึ่ง เจาะรูๆหนึ่งที่ฝาหีบนั้น และตั้งไว้ที่ข้างๆแท่นบูชาด้านขวาเมื่อเข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และพวกปุโรหิตผู้ที่เฝ้าอยู่ที่ธรณีประตูก็นำเงินทั้งหมดซึ่งเขานำมาในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ใส่ไว้ในหีบนั้น
โยบ 41.2 เจ้าเอาเชือกสนตะพายมันได้หรือ หรือเอาหนามเจาะคางมันได้
ยรม 22.14 ผู้กล่าวว่า ‘เราจะสร้างวังใหญ่อยู่เอง กับมีห้องชั้นบนกว้างขวาง และเจาะหน้าต่างให้ห้องนั้น และบุฝาผนังด้วยไม้สนสีดาร์และทาด้วยสีแดงเข้ม’
อสค 8.8 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเจาะเข้าไปในกำแพง” และเมื่อข้าพเจ้าได้เจาะเข้าไปในกำแพงแล้ว ดูเถิด มีประตูอยู่ประตูหนึ่ง
อสค 12.5 จงเจาะกำแพงท่ามกลางสายตาของเขา แล้วออกไปตามรูกำแพงนั้น
อสค 12.7 ข้าพเจ้าก็กระทำตามที่ข้าพเจ้ารับบัญชามา ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาในเวลากลางวัน เหมือนข้าวของเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย ในเวลาเย็นข้าพเจ้าก็เจาะกำแพงด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าออกไปในเวลามืด แบกสัมภาระของข้าพเจ้าไปท่ามกลางสายตาของเขา
อสค 12.12 และเจ้านายคนนั้นผู้อยู่ท่ามกลางเขา จะยกข้าวของขึ้นใส่บ่าในเวลามืดและออกไป เขาทั้งหลายจะเจาะกำแพงและนำออกไปทางนั้น ท่านจะคลุมหน้าของท่าน เพื่อว่าท่านจะไม่แลเห็นแผ่นดินด้วยตาของท่านเอง
ลก 23.53 เมื่อเชิญพระศพลงแล้ว เขาจึงเอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ ซึ่งเจาะไว้ในศิลาที่ยังมิได้วางศพผู้ใดเลย

เจาะจง ( 1 )
พซม 7.10 ตัวดิฉันเป็นกรรมสิทธิ์ของที่รักของดิฉัน และความปรารถนาของเขาก็เจาะจงเอาตัวดิฉัน

เจิ่น ( 18 )
สดด 14.3 เขาทั้งหลายก็หลงเจิ่นไปหมด เขาทั้งหลายก็เลวทรามลงเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย
สดด 40.4 คนใดที่วางใจในพระเยโฮวาห์ก็เป็นสุข ผู้มิได้หันไปหาคนจองหองหรือไปหาบรรดาผู้ที่หลงเจิ่นไปตามความเท็จ
สดด 58.3 คนชั่วหลงเจิ่นไปตั้งแต่จากครรภ์ เขาหลงทางไปตั้งแต่เกิด คือพูดมุสา
สดด 119.67 ก่อนที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก ข้าพระองค์หลงเจิ่น แต่บัดนี้ข้าพระองค์รักษาพระวจนะของพระองค์ไว้
สดด 119.110 คนชั่ววางกับดักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่หลงเจิ่นจากข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.118 พระองค์ทรงตะเพิดบรรดาคนที่หลงเจิ่นจากกฎเกณฑ์ของพระองค์ พระเจ้าข้า อุบายหลอกลวงของเขาคือความเท็จ
สดด 119.176 ข้าพระองค์หลงเจิ่นดังแกะที่หายไป ขอทรงเสาะหาผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์ไม่ลืมพระบัญญัติของพระองค์
สภษ 5.23 เขาจะตายปราศจากคำสั่งสอน และเพราะความโง่อย่างยิ่งของเขา เขาจึงจะหลงเจิ่นไป
สภษ 10.17 เขาผู้รักษาคำสั่งสอนก็อยู่ในวิถีแห่งชีวิต แต่เขาผู้ปฏิเสธคำเตือนสติก็หลงเจิ่นไป
สภษ 27.8 คนที่เจิ่นไปจากบ้านของตนก็เหมือนนกที่เจิ่นไปจากรังของมัน
อสย 44.20 เขากินขี้เถ้า ใจที่หลอกลวงนำเขาให้เจิ่น เขาช่วยจิตใจตัวเขาเองให้พ้นหรือพูดว่า “ไม่มีความมุสาอยู่ในมือข้างขวาของข้าหรือ” ก็ไม่ได้
อสย 47.10 ด้วยว่าเจ้ารู้สึกมั่นอยู่ในความชั่วของเจ้า เจ้าว่า “ไม่มีผู้ใดเห็นข้า” สติปัญญาของเจ้าและความรู้ของเจ้าทำให้เจ้าเจิ่นไป และเจ้าจึงว่าในใจของเจ้าว่า “ข้านี่แหละ และไม่มีผู้ใดอื่นอีก”
อสย 53.6 เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง และพระเยโฮวาห์ทรงวางลงบนท่านซึ่งความชั่วช้าของเราทุกคน
ยรม 42.20 ว่าท่านทั้งหลายได้หลงเจิ่นไปในใจของท่านเอง เพราะท่านได้ใช้ข้าพเจ้าไปหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า ‘ขออธิษฐานเพื่อเราต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราจะตรัสประการใด ขอบอกแก่เรา และเราจะกระทำตาม’
อสค 14.11 เพื่อว่าวงศ์วานอิสราเอลจะไม่หลงเจิ่นไปจากเราอีก หรือไม่กระทำตัวให้มลทินด้วยการละเมิดทั้งหลายของตนอีก แต่เขาทั้งหลายจะเป็นประชาชนของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้”
ฮชย 7.13 วิบัติแก่เขา เพราะเขาได้หลงเจิ่นไปจากเรา ความพินาศจงมีแก่เขา เพราะเขาได้ละเมิดต่อเรา แม้ว่าเราได้ไถ่เขาไว้แล้ว เขาก็ยังพูดมุสาเรื่องเรา
อมส 2.4 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เพราะเหตุการละเมิดของยูดาห์ สามครั้งและสี่ครั้ง เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์ เพราะว่าเขาปฏิเสธไม่รับพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์ และมิได้รักษาพระบัญญัติของพระองค์ และการมุสาของเขาได้พาให้เขาหลงเจิ่นไป ตามเยี่ยงที่บิดาของเขาได้ดำเนินมาแล้ว

เจิม ( 115 )
ปฐก 31.13 เราเป็นพระเจ้าแห่งเบธเอลที่เจ้าเจิมเสาสำคัญไว้และปฏิญาณต่อเรา บัดนี้จงลุกขึ้นออกจากแผ่นดินนี้ และกลับไปยังแผ่นดินพี่น้องของเจ้า’”
อพย 25.6 น้ำมันเติมประทีป เครื่องเทศปรุงน้ำมันสำหรับเจิม และปรุงเครื่องหอม
อพย 28.41 จงแต่งอาโรนพี่ชายของเจ้าและบุตรชายทั้งหลายของเขาด้วยเครื่องยศ แล้วเจิมและสถาปนาและชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อจะให้ปรนนิบัติเราในตำแหน่งปุโรหิต
อพย 29.7 จงเอาน้ำมันเจิมเทลงบนศีรษะของเขา และเจิมตั้งเขาไว้
อพย 29.20 แล้วท่านจงฆ่าแกะตัวนั้นเสีย เอาเลือดส่วนหนึ่งเจิมที่ปลายใบหูข้างขวาของอาโรน และที่ปลายใบหูข้างขวาของบุตรชายของเขาทุกคน และที่หัวแม่มือข้างขวา และที่หัวแม่เท้าข้างขวาของเขาบ้าง แล้วจงเอาเลือดที่เหลือพรมรอบๆแท่นบูชา
อพย 29.21 จงเอาเลือดส่วนหนึ่งที่อยู่บนแท่นและน้ำมันเจิมนั้นพรมอาโรนและเครื่องยศของเขา จงพรมบุตรชายทั้งหลายของเขา และเครื่องยศของบุตรชายเหล่านั้นด้วย อาโรนและเครื่องยศของเขาจะบริสุทธิ์รวมทั้งบุตรชายของเขาและเครื่องยศของเขาด้วย
อพย 29.36 จงนำวัวผู้ตัวหนึ่งมาถวายทุกๆวัน เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อทำการลบมลทินและจงชำระแท่นบูชา ด้วยทำการลบมลทินของแท่นนั้น จงเจิมแท่นนั้นเพื่อจะชำระให้บริสุทธิ์
อพย 30.25 เจ้าจงเอาสิ่งเหล่านี้มาทำเป็นน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์ เป็นน้ำหอมปรุงตามศิลปช่างปรุงน้ำมันนั้น จะเป็นน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์
อพย 30.26 แล้วจงเอาน้ำมันเจิมพลับพลาแห่งชุมนุมและหีบพระโอวาทด้วย
อพย 30.30 อนึ่งจงเจิมอาโรนและบุตรชายเขา และสถาปนาเขาไว้ให้ปรนนิบัติเราในตำแหน่งปุโรหิต
อพย 30.31 ท่านจงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘นี่แหละ เป็นน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์สำหรับเราตลอดชั่วอายุของเจ้า
อพย 30.32 น้ำมันนี่อย่าให้เจิมคนสามัญเลย และอย่าผสมทำน้ำมันอื่นเหมือนอย่างน้ำมันนี้ น้ำมันนี้เป็นน้ำมันบริสุทธิ์ เจ้าทั้งหลายจงถือไว้เป็นบริสุทธิ์
อพย 31.11 และน้ำมันเจิมกับเครื่องหอมสำหรับที่บริสุทธิ์ ที่เราบัญชาเจ้านั้นให้เขากระทำตามทุกประการ”
อพย 35.8 น้ำมันเติมตะเกียง เครื่องเทศสำหรับเจือน้ำมันเจิม และปรุงเครื่องหอมสำหรับการเผาถวาย
อพย 35.15 แท่นเผาเครื่องหอมกับไม้คานหามแท่นนั้น น้ำมันเจิม และเครื่องหอมสำหรับเผาถวาย และม่านบังตาสำหรับประตูที่ประตูพลับพลา
อพย 35.28 กับเครื่องเทศและน้ำมันเติมตะเกียง น้ำมันเจิม และน้ำมันปรุงเครื่องหอมสำหรับเผาบูชา
อพย 37.29 เขาปรุงน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์ และปรุงเครื่องหอมบริสุทธิ์ด้วยเครื่องเทศตามศิลปของช่างปรุง
อพย 39.38 แท่นทองคำ น้ำมันเจิม เครื่องหอมสำหรับเผาบูชา และผ้าบังตาสำหรับประตูพลับพลา
อพย 40.9 จงเอาน้ำมันเจิม เจิมพลับพลากับสิ่งสารพัดซึ่งอยู่ในพลับพลานั้น และชำระพลับพลากับเครื่องใช้ทั้งหมดให้บริสุทธิ์ แล้วพลับพลานั้นจะบริสุทธิ์
อพย 40.10 จงเจิมแท่นสำหรับเครื่องเผาบูชาด้วย และเครื่องใช้ทั้งหมดบนแท่นนั้น และชำระแท่นนั้นให้บริสุทธิ์ แท่นนั้นจะบริสุทธิ์ที่สุด
อพย 40.11 จงเจิมขันทั้งพานรองขันด้วย และชำระให้บริสุทธิ์
อพย 40.13 จงนำเสื้อผ้ายศบริสุทธิ์สวมให้อาโรน แล้วเจิมและชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะปรนนิบัติเราในตำแหน่งปุโรหิต
อพย 40.15 จงเจิมเขาเช่นเจิมบิดาของเขา เพื่อเขาจะปรนนิบัติเราในตำแหน่งปุโรหิต การเจิมนั้นจะเป็นการเจิมแต่งตั้งเขาไว้เป็นปุโรหิตเนืองนิตย์ตลอดชั่วอายุของเขา”
ลนต 4.7 และปุโรหิตจะเอาเลือดเล็กน้อยเจิมที่เชิงงอนของแท่นเผาเครื่องหอมซึ่งอยู่ในพลับพลาแห่งชุมนุมต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ส่วนเลือดวัวที่เหลืออยู่นั้นเขาจะเทลงที่ฐานแท่นเผาเครื่องเผาบูชาซึ่งอยู่ที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
ลนต 4.18 และปุโรหิตจะเอาเลือดสักหน่อยเจิมที่เชิงงอนของแท่นบูชาซึ่งอยู่ในพลับพลาแห่งชุมนุมต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ส่วนเลือดที่เหลืออยู่นั้น เขาจะเทลงที่ฐานแท่นเครื่องเผาบูชาซึ่งอยู่ที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
ลนต 4.25 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดเครื่องบูชาไถ่บาปบ้าง นำไปเจิมที่เชิงงอนบนแท่นเครื่องเผาบูชา และเทเลือดที่เหลืออยู่นั้นที่ฐานของแท่นเครื่องเผาบูชา
ลนต 4.30 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดแพะนั้นไปเจิมที่เชิงงอนของแท่นเครื่องเผาบูชา และเทเลือดส่วนที่เหลือลงที่ฐานของแท่นนั้น
ลนต 4.34 และปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดเครื่องบูชาไถ่บาปนั้นบ้าง นำไปเจิมที่เชิงงอนของแท่นเครื่องเผาบูชา และเทเลือดที่เหลือนั้นลงที่ฐานของแท่น
ลนต 8.2 “จงนำอาโรนและบุตรชายของเขามาพร้อมกับเสื้อยศ น้ำมันเจิม วัวอันเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป แกะผู้สองตัว กระบุงขนมปังไร้เชื้อ
ลนต 8.10 แล้วโมเสสนำน้ำมันเจิมมาเจิมพลับพลาและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น ชำระให้เป็นของบริสุทธิ์
ลนต 8.11 และท่านเอาน้ำมันเจิมประพรมบนแท่นเจ็ดครั้ง เจิมแท่นและเจิมภาชนะประจำแท่นทั้งหมด เจิมขันและพานรองขันเพื่อชำระให้เป็นของบริสุทธิ์
ลนต 8.12 และท่านเทน้ำมันเจิมลงบนศีรษะของอาโรนบ้าง แล้วเจิมเขาไว้เพื่อชำระให้บริสุทธิ์
ลนต 8.15 โมเสสก็ฆ่าวัวตัวนั้นเสีย เอานิ้วจุ่มเลือดไปเจิมที่เชิงงอนรอบแท่น ชำระแท่นให้บริสุทธิ์แล้วเทเลือดที่ฐานของแท่น ถวายแท่นไว้เป็นสิ่งบริสุทธิ์ เพื่อทำการลบมลทินของแท่นนั้น
ลนต 8.23 โมเสสก็ฆ่าแกะนั้นเสีย เอาเลือดเจิมที่ปลายหูข้างขวาของอาโรน และที่นิ้วหัวแม่มือขวาของเขา และที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 8.24 แล้วนำบุตรชายทั้งหลายของอาโรนเข้ามา และโมเสสเอาเลือดเจิมที่ปลายหูข้างขวา ที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวา ที่นิ้วหัวแม่เท้าข้างขวาของเขา และโมเสสเอาเลือดประพรมที่แท่นและรอบแท่น
ลนต 8.30 แล้วโมเสสนำน้ำมันเจิมและเลือดซึ่งอยู่บนแท่น ประพรมบนอาโรนและเครื่องยศของเขา และบนบุตรชายทั้งหลาย กับบนเครื่องยศของบุตรชายทั้งหลายของเขา ดังนี้แหละท่านก็ชำระอาโรนกับเครื่องยศของเขาให้บริสุทธิ์ บุตรชายทั้งหลายของเขากับเครื่องยศของบุตรชายนั้นด้วย
ลนต 9.9 และบุตรชายอาโรนก็นำเลือดมาให้เขา เขาก็เอานิ้วจุ่มเลือดไปเจิมเชิงงอนของแท่น และเทเลือดลงที่ฐานแท่น
ลนต 10.7 และอย่าออกไปจากประตูพลับพลาแห่งชุมนุม เกลือกว่าท่านต้องตาย เพราะว่าน้ำมันเจิมแห่งพระเยโฮวาห์อยู่เหนือท่านทั้งหลาย” และเขาทั้งหลายก็กระทำตามคำของโมเสส
ลนต 14.14 ปุโรหิตจะนำเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาบ้าง และปุโรหิตจะเจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้ที่รับการชำระ และเจิมที่นิ้วหัวแม่มือขวาและที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 14.17 ส่วนน้ำมันที่เหลืออยู่ในมือนั้น ปุโรหิตจะเอามาบ้าง เจิมที่ปลายหูขวาของผู้ที่รับการชำระ และที่นิ้วหัวแม่มือขวาและที่นิ้วหัวแม่เท้าขวา ทับบนเลือดเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
ลนต 14.18 ส่วนน้ำมันที่ยังเหลืออยู่ในมือของปุโรหิตนั้น เขาจะเจิมศีรษะของผู้รับการชำระ แล้วปุโรหิตจะทำการลบมลทินของเขาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 14.25 และเขาจะฆ่าลูกแกะเครื่องบูชาไถ่การละเมิด และปุโรหิตจะเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาบ้าง เจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้รับการชำระ และที่นิ้วหัวแม่มือขวา กับที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 14.28 และปุโรหิตจะเอาน้ำมันที่อยู่ในมือเจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้รับการชำระ และที่หัวแม่มือขวากับหัวแม่เท้าขวาของเขา ตรงที่ที่เจิมด้วยเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
ลนต 14.29 น้ำมันที่เหลืออยู่ในมือของปุโรหิตนั้น เขาจะเจิมศีรษะของผู้ที่รับการชำระ ทำการลบมลทินของเขาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 16.18 และอาโรนจะออกไปยังแท่นซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และทำการลบมลทินแท่นนั้น เขาจะเอาเลือดวัวเลือดแพะเจิมที่เชิงงอนของแท่นโดยรอบ
ลนต 16.32 ปุโรหิตผู้ที่ถูกเจิม และถูกสถาปนาให้ปรนนิบัติในตำแหน่งปุโรหิตแทนบิดาของตน จะต้องทำการลบมลทินโดยสวมเสื้อป่าน คือเครื่องยศอันบริสุทธิ์
ลนต 21.10 และผู้ที่เป็นมหาปุโรหิตในหมู่พวกพี่น้อง ผู้ถูกเจิมที่ศีรษะด้วยน้ำมัน และผู้ที่ได้รับการสถาปนาที่จะสวมเสื้อยศ อย่าปล่อยผม หรือฉีกเสื้อผ้าของตน
ลนต 21.12 อย่าให้เขาออกไปจากสถานบริสุทธิ์ หรือกระทำสถานบริสุทธิ์ของพระเจ้าให้เป็นมลทิน เพราะว่าการสถาปนาด้วยน้ำมันเจิมของพระเจ้าอยู่บนตัวเขา เราคือพระเยโฮวาห์
กดว 3.3 นี่แหละเป็นชื่อบุตรชายของอาโรนที่ได้เจิมไว้เป็นปุโรหิต เป็นผู้ที่ท่านสถาปนาไว้ให้ปฏิบัติในตำแหน่งปุโรหิต
กดว 4.16 แล้วเอเลอาซาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิตจะต้องดูแลน้ำมันสำหรับตะเกียง เครื่องหอม เครื่องธัญญบูชาประจำวัน และน้ำมันเจิม และดูแลพลับพลาทั้งหมดกับบรรดาสิ่งของในพลับพลานั้น คือสถานบริสุทธิ์และเครื่องประกอบด้วย”
กดว 7.1 เมื่อวันที่โมเสสจัดตั้งพลับพลาเสร็จ และได้เจิมและได้ชำระพลับพลากับบรรดาเครื่องใช้สอยประจำพลับพลาให้บริสุทธิ์ และได้เจิมและชำระแท่นบูชากับภาชนะประจำทั้งหมดให้บริสุทธิ์แล้ว
กดว 7.10 และบรรดาประมุขก็นำของบูชามาเพื่อแก่งานมอบถวายแท่นบูชาในวันที่ทำพิธีเจิมแท่นบูชานั้น และพวกประมุขต่างก็ถวายเครื่องบูชาของตนหน้าแท่นบูชา
กดว 7.84 ต่อไปนี้เป็นของถวายในงานมอบถวายแท่นบูชาจากประมุขของคนอิสราเอล ในวันที่มีพิธีเจิมแท่นบูชานั้นคือจานเงินสิบสองลูก ชามเงินสิบสองลูก ช้อนทองคำสิบสองลูก
กดว 35.25 ให้ชุมนุมชนช่วยผู้ฆ่าให้พ้นจากมือผู้อาฆาตโลหิต ให้ชุมนุมชนพาตัวเขากลับไปถึงเมืองลี้ภัยซึ่งเขาได้หนีไปอยู่นั้น ให้เขาอยู่ที่นั่นจนกว่ามหาปุโรหิตผู้ได้ถูกเจิมไว้ด้วยน้ำมันบริสุทธิ์ถึงแก่ความตาย
1ซมอ 2.10 ศัตรูของพระเยโฮวาห์จะแตกเป็นชิ้นๆ พระองค์จะทรงเอาฟ้าร้องในสวรรค์ต่อสู้เขา พระเยโฮวาห์จะทรงพิพากษาที่สุดปลายพิภพ พระองค์จะทรงประทานกำลังแก่กษัตริย์ของพระองค์ และจะทรงยกย่องเขาของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้”
1ซมอ 2.35 และเราจะให้ปุโรหิตผู้สัตย์ซื่อของเราเกิดขึ้นมา ซึ่งจะกระทำตามสิ่งที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา และเราจะสร้างวงศ์วานมั่นคงให้เขา และเขาจะดำเนินอยู่ต่อหน้าผู้ที่เราเจิมไว้เป็นนิตย์
1ซมอ 9.16 “พรุ่งนี้เวลาประมาณเท่านี้ เราจะส่งชายผู้หนึ่งซึ่งมาจากดินแดนเบนยามิน เจ้าจงเจิมเขาให้เป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา เขาจะช่วยประชาชนของเราให้พ้นจากมือคนฟีลิสเตีย เพราะเราได้มองดูประชาชนของเราแล้ว ด้วยเสียงร้องทุกข์ของเขามาถึงเรา”
1ซมอ 10.1 แล้วซามูเอลก็หยิบขวดน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล และจุบท่านแล้วกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงเจิมท่านไว้ให้เป็นเจ้านายเหนือมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ
1ซมอ 12.3 ดูเถิด ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอท่านเป็นพยานปรักปรำข้าพเจ้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และต่อหน้าท่านที่พระองค์ทรงเจิมไว้ ข้าพเจ้าได้ริบวัวของผู้ใดบ้างหรือ หรือข้าพเจ้าเอาลาของผู้ใดไปบ้าง หรือข้าพเจ้าได้ฉ้อผู้ใด ข้าพเจ้าได้บีบบังคับใครบ้าง ข้าพเจ้าได้รับสินบนจากมือของผู้ใดซึ่งจะกระทำให้ตาของข้าพเจ้าบอดไป ขอกล่าวมาและข้าพเจ้าจะคืนให้แก่ท่าน”
1ซมอ 12.5 ท่านก็กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “พระเยโฮวาห์ทรงเป็นพยานต่อท่าน และท่านที่พระองค์ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ว่า ท่านไม่พบสิ่งใดในมือของข้าพเจ้า” และเขาทั้งหลายกล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพยานแล้ว”
1ซมอ 15.1 ซามูเอลก็เรียนซาอูลว่า “พระเยโฮวาห์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเจิมท่านเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลประชาชนของพระองค์ เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอท่านฟังเสียงพระวจนะของพระเยโฮวาห์
1ซมอ 15.17 และซามูเอลเรียนว่า “แม้ท่านเป็นแต่ผู้เล็กน้อยในสายตาของท่านเอง ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประมุขของบรรดาตระกูลอิสราเอล และพระเยโฮวาห์ก็ทรงเจิมท่านไว้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลมิใช่หรือ
1ซมอ 16.3 จงเชิญเจสซีมาที่การถวายสัตวบูชานั้น แล้วเราจะสำแดงให้เจ้ารู้ว่าเจ้าควรจะกระทำประการใด เจ้าจงเจิมให้เราผู้ซึ่งเราจะบอกชื่อแก่เจ้า”
1ซมอ 16.6 อยู่มาเมื่อเขาทั้งหลายมาแล้วท่านก็มองเห็นเอลีอับจึงคิดว่า “ผู้ที่พระองค์ทรงให้เจิมไว้ก็อยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์แน่แล้ว”
1ซมอ 24.6 ท่านว่าแก่คนของท่านว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงห้ามข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมตั้งไว้ คือที่จะเหยียดมือออกต่อสู้กับท่าน ด้วยว่าท่านเป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้”
1ซมอ 24.10 ดูเถิด วันนี้พระเนตรของพระองค์ประจักษ์แล้วว่า พระเยโฮวาห์ทรงมอบพระองค์ในวันนี้ไว้ในมือของข้าพระองค์ที่ในถ้ำ และบางคนได้ขอให้ข้าพระองค์ประหารพระองค์เสีย แต่ข้าพระองค์ก็ได้ไว้พระชนม์ของพระองค์ ข้าพระองค์พูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำร้ายเจ้านายของข้าพเจ้า เพราะพระองค์เป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้’
1ซมอ 26.9 แต่ดาวิดบอกอาบีชัยว่า “ขออย่าทำลายพระองค์เลย เพราะผู้ใดเล่าจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้ และจะไม่มีความผิด”
1ซมอ 26.11 ขอพระเยโฮวาห์ทรงห้ามปรามข้าพเจ้าไม่ให้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้ บัดนี้จงเอาหอกที่อยู่ตรงพระเศียรกับเหยือกน้ำ และให้เราไปกันเถิด”
1ซมอ 26.16 ที่ท่านกระทำเช่นนี้ไม่ดีแน่ พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ท่านสมควรตายเพราะท่านมิได้เฝ้าเจ้านายของท่านไว้ให้ดี ผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้ บัดนี้ตรวจดูทีว่า หอกของกษัตริย์อยู่ที่ไหน และเหยือกน้ำที่ตรงพระเศียรนั้นอยู่ที่ไหน”
1ซมอ 26.23 พระเยโฮวาห์ทรงประทานรางวัลแก่ทุกคนตามความชอบธรรมและความสัตย์ซื่อของเขา เพราะในวันนี้พระเยโฮวาห์ทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพระองค์แล้ว แต่ข้าพระองค์มิได้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้
2ซมอ 1.14 ดาวิดถามเขาว่า “ทำไมเจ้ามิได้เกรงกลัวในการที่ยื่นมือออกทำลายผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้”
2ซมอ 1.16 ดาวิดกล่าวแก่ชายนั้นว่า “ให้โลหิตของเจ้าตกบนศีรษะของเจ้าเอง เพราะปากของเจ้าเป็นพยานปรักปรำตัวเจ้าเองว่า ‘ข้าพเจ้าได้ฆ่าผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้’”
2ซมอ 1.21 เทือกเขากิลโบอาเอ๋ย ขออย่ามีน้ำค้างหรือฝนบนเจ้าหรือทุ่งนาที่ให้ของถวาย เพราะว่าที่นั่นโล่ของวีรบุรุษถูกทอดทิ้งแล้ว โล่ของซาอูลเหมือนกับว่าพระองค์มิได้เจิมไว้ด้วยน้ำมัน
2ซมอ 22.51 พระองค์ทรงเป็นป้อมแห่งความรอดแก่กษัตริย์ของพระองค์ และทรงสำแดงความเมตตาแก่ผู้ที่ทรงเจิมของพระองค์ แก่ดาวิดและเชื้อสายของท่านเป็นนิตย์”
1พกษ 19.15 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านว่า “ไปเถอะ จงกลับไปตามทางของเจ้าถึงถิ่นทุรกันดารดามัสกัส และเมื่อเจ้าไปถึงแล้ว เจ้าจงเจิมฮาซาเอลไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือประเทศซีเรีย
1พกษ 19.16 และเยฮูบุตรนิมซีนั้น เจ้าจงเจิมให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และเอลีชาบุตรชาฟัทชาวอาเบลเมโฮลาห์ เจ้าจงเจิมตั้งไว้ให้เป็นผู้พยากรณ์แทนเจ้า
2พกษ 11.12 แล้วท่านก็นำโอรสของกษัตริย์ออกมาสวมมงกุฎให้ และมอบพระโอวาทให้ และเขาทั้งหลายตั้งท่านไว้เป็นกษัตริย์ และได้เจิมท่าน และเขาทั้งหลายก็ตบมือ พูดว่า “ขอกษัตริย์ทรงพระเจริญ”
2พกษ 23.30 ข้าราชการของพระองค์ก็นำพระศพใส่รถรบไปจากเมืองเมกิดโด และนำมายังกรุงเยรูซาเล็ม และฝังไว้ในอุโมงค์ของพระองค์ และประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นก็รับเยโฮอาหาสโอรสโยสิยาห์เจิมท่านไว้ และตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์แทนราชบิดาของท่าน
1พศด 16.22 ว่า ‘อย่าแตะต้องบรรดาผู้ที่เราเจิมไว้ อย่าทำอันตรายแก่ผู้พยากรณ์ทั้งหลายของเรา’
1พศด 29.22 และเขาทั้งหลายได้กินได้ดื่มต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ในวันนั้นด้วยความยินดียิ่ง และเขาทั้งหลายได้ตั้งซาโลมอนโอรสของดาวิดเป็นกษัตริย์เป็นคำรบสอง และเขาทั้งหลายได้เจิมท่านไว้ให้เป็นเจ้านายเพื่อพระเยโฮวาห์ และศาโดกให้เป็นปุโรหิต
2พศด 6.42 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า ขออย่าทรงหันหน้าของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้นั้นไปเสีย ขอพระองค์ทรงระลึกถึงความเมตตาของพระองค์อันมีอยู่ต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์”
2พศด 23.11 แล้วเขานำโอรสของกษัตริย์ออกมา และสวมมงกุฎให้ท่าน มอบพระโอวาทให้แก่ท่าน และเขาทั้งหลายตั้งท่านไว้เป็นกษัตริย์ เยโฮยาดากับบุตรชายของท่านก็เจิมพระองค์ และเขาทั้งหลายร้องว่า “ขอกษัตริย์ทรงพระเจริญ”
สดด 18.50 พระองค์ประทานชัยชนะอันยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์ และทรงสำแดงความเมตตาแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้นั้น คือดาวิด และแก่เชื้อพระวงศ์ของท่านเป็นนิตย์
สดด 20.6 บัดนี้ ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยโฮวาห์จะทรงช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ พระองค์จะทรงฟังเขาจากฟ้าสวรรค์อันบริสุทธิ์ของพระองค์ และโดยชัยชนะอันทรงอานุภาพด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
สดด 23.5 พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่
สดด 45.7 พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและทรงเกลียดชังความชั่วช้า ฉะนั้นพระเจ้าคือพระเจ้าของพระองค์ท่านได้ทรงเจิมพระองค์ท่านไว้ ด้วยน้ำมันแห่งความยินดียิ่งกว่าพระสหายทั้งปวงของพระองค์ท่าน
สดด 89.20 เราได้พบดาวิดผู้รับใช้ของเรา ด้วยน้ำมันบริสุทธิ์ของเรา เราได้เจิมเขาไว้แล้ว
สดด 89.38 แต่พระองค์ทรงได้เหวี่ยงออกไปและเกลียดชัง พระองค์ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่เจิมไว้ของพระองค์
สดด 89.51 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ นั่นแหละศัตรูของพระองค์ได้เย้ยหยัน นั่นแหละเขาเย้ยรอยเท้าของผู้ที่เจิมไว้ของพระองค์
สดด 92.10 แต่พระองค์ทรงเชิดชูเขาของข้าพระองค์อย่างกับเขาม้ายูนิคอน ข้าพระองค์จะถูกเจิมด้วยน้ำมันใหม่
สดด 105.15 ว่า “อย่าแตะต้องบรรดาผู้ที่เราเจิมไว้ อย่าทำอันตรายแก่ผู้พยากรณ์ทั้งหลายของเรา”
สดด 132.10 เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ขออย่าทรงเมินพระพักตร์หนีจากผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้นั้น
พซม 1.3 เพราะน้ำมันเจิมของเธอนั้นหอมฟุ้ง นามของเธอจึงหอมเหมือนน้ำมันที่เทออกแล้ว เพราะฉะนั้นพวกหญิงพรหมจารีจึงรักเธอ
อสย 45.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้คือไซรัส ผู้ซึ่งเราได้จับมือขวาไว้ เพื่อปราบหลายประชาชาติให้อยู่ข้างหน้าท่าน และให้ปลดรัดประคดจากบั้นเอวของบรรดากษัตริย์ ให้เปิดประตูทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าท่านและมิให้ประตูเมืองปิด ดังนี้ว่า
พคค 4.20 ลมปราณทางจมูกของพวกข้าพเจ้า คือผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้นั้น ก็ตกหลุมพรางของเขาทั้งหลายแล้ว คือพวกเรากล่าวถึงพระองค์ท่านว่า “เราจะดำรงชีวิตของเราท่ามกลางประชาชาติได้ ก็ด้วยอาศัยร่มเงาของพระองค์ท่าน”
อสค 16.9 และเราก็เอาเจ้าอาบน้ำ ล้างโลหิตเสียจากเจ้า และเจิมเจ้าด้วยน้ำมัน
ดนล 9.24 มีเจ็ดสิบสัปดาห์กำหนดไว้สำหรับชนชาติของท่าน และนครบริสุทธิ์ของท่าน เพื่อให้เสร็จสิ้นการละเมิด ให้บาปจบสิ้น และให้ลบความชั่วช้าเพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามา เพื่อประทับตราทั้งนิมิตและคำพยากรณ์ไว้ และเพื่อจะเจิมสถานบริสุทธิ์ที่สุด
ฮบก 3.13 พระองค์เสด็จออกไปเพื่อช่วยประชาชนของพระองค์ให้รอด เพื่อช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ให้รอด พระองค์ทรงทำให้ศีรษะแห่งเรือนของคนชั่วได้รับบาดเจ็บ โดยการเผยให้เห็นตั้งแต่รากฐานถึงช่วงคอ เซลาห์
กจ 4.27 ความจริงทั้งเฮโรดและปอนทิอัสปีลาต กับพวกต่างประเทศ และชนชาติอิสราเอลได้ชุมนุมกันต่อสู้พระเยซูพระบุตรผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ ซึ่งทรงเจิมไว้แล้ว
กจ 10.38 คือเรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธว่า พระเจ้าได้ทรงเจิมพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และพระเยซูเสด็จไปกระทำคุณประโยชน์และรักษาบรรดาคนซึ่งถูกพญามารเบียดเบียน ด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงสถิตกับพระองค์
2คร 1.21 บัดนี้ผู้ซึ่งทรงตั้งเรากับท่านทั้งหลายไว้ในพระคริสต์ และได้ทรงเจิมเราไว้นั้น ก็คือพระเจ้า
1ทธ 5.22 อย่าด่วนวางมือเจิมผู้ใด และอย่ามีส่วนร่วมในการกระทำบาปของผู้อื่นเลย จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์
ฮบ 1.9 พระองค์ทรงรักความชอบธรรม และทรงเกลียดชังความชั่วช้า ฉะนั้นพระเจ้า คือ พระเจ้าของพระองค์ ได้ทรงเจิมพระองค์ไว้ด้วยน้ำมันแห่งความยินดียิ่งกว่าพระสหายทั้งปวงของพระองค์’
ยก 5.14 มีผู้ใดในพวกท่านเจ็บป่วยหรือ จงให้ผู้นั้นเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมา และให้ท่านเหล่านั้นอธิษฐานเพื่อเขา และเจิมเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เจิมตั้ง ( 26 )
อพย 29.7 จงเอาน้ำมันเจิมเทลงบนศีรษะของเขา และเจิมตั้งเขาไว้
วนฉ 9.8 ครั้งหนึ่งต้นไม้ต่างๆได้ออกไปเจิมตั้งต้นไม้ต้นหนึ่งไว้เป็นกษัตริย์ เขาจึงไปเชิญต้นมะกอกเทศว่า ‘เชิญท่านปกครองเราเถิด’
วนฉ 9.15 ต้นหนามจึงตอบต้นไม้เหล่านั้นว่า ‘ถ้าแม้ท่านทั้งหลายจะเจิมตั้งเราให้เป็นกษัตริย์ของเจ้าทั้งหลายจริงๆ จงมาอาศัยใต้ร่มของเราเถิด มิฉะนั้นก็ให้ไฟเกิดจากต้นหนามเผาผลาญต้นสนสีดาร์เลบานอนเสีย’
1ซมอ 16.12 เจสซีก็ใช้คนไปนำเขามา ฝ่ายเขาเป็นคนผิวแดงๆ มีใบหน้าสวยและรูปร่างงามน่าดู และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเจิมตั้งเขาไว้ เพราะเป็นคนนี้แหละ”
1ซมอ 16.13 ซามูเอลจึงนำขวดเขาน้ำมันและเจิมตั้งเขาไว้ท่ามกลางพี่ชายของเขา และพระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ก็สวมทับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป และซามูเอลก็ลุกขึ้นกลับไปยังรามาห์
1ซมอ 24.6 ท่านว่าแก่คนของท่านว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงห้ามข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมตั้งไว้ คือที่จะเหยียดมือออกต่อสู้กับท่าน ด้วยว่าท่านเป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้”
2ซมอ 2.4 และคนยูดาห์ก็พากันมาเจิมตั้งดาวิดไว้เป็นกษัตริย์เหนือวงศ์วานยูดาห์ เมื่อมีคนมาทูลดาวิดว่า “ชาวยาเบชกิเลอาดเป็นผู้ที่ฝังพระศพซาอูลไว้”
2ซมอ 2.7 เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอให้มือของท่านทั้งหลายเข้มแข็ง และขอให้ท่านกล้าหาญเถิด เพราะว่าซาอูลเจ้านายของท่านสิ้นพระชนม์เสียแล้ว และวงศ์วานยูดาห์ได้เจิมตั้งข้าพเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือเขาทั้งหลาย”
2ซมอ 5.3 ดังนั้นพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลก็มาเฝ้ากษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน และกษัตริย์ดาวิดทรงกระทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลายที่เมืองเฮโบรนต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และเขาทั้งหลายก็เจิมตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล
2ซมอ 12.7 นาธันจึงทูลดาวิดว่า “พระองค์นั่นแหละคือชายคนนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และเราช่วยเจ้าให้พ้นจากมือของซาอูล
2ซมอ 19.10 แต่อับซาโลมผู้ที่เราเจิมตั้งไว้เหนือเรานั้นก็สิ้นชีวิตเสียแล้วในสงคราม ฉะนั้นบัดนี้ ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรบ้างเลยในเรื่องที่จะเชิญกษัตริย์ให้เสด็จกลับ”
2ซมอ 19.21 อาบีชัยบุตรชายนางเศรุยาห์จึงตอบว่า “ที่ชิเมอีกระทำเช่นนี้ไม่ควรจะถึงที่ตายดอกหรือ เพราะเขาได้ด่าผู้ที่เจิมตั้งของพระเยโฮวาห์”
2ซมอ 23.1 ต่อไปนี้เป็นวาทะสุดท้ายของดาวิด ดาวิดบุตรชายเจสซีได้กล่าวและชายที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นให้สูงได้กล่าว คือผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ของพระเจ้าแห่งยาโคบ นักแต่งสดุดีอย่างไพเราะของอิสราเอล ได้กล่าวดังนี้ว่า
1พกษ 1.34 และให้ศาโดกปุโรหิต และนาธันผู้พยากรณ์เจิมตั้งเขาไว้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลที่นั่น แล้วท่านทั้งหลายจงเป่าแตร และประกาศว่า ‘ขอกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระเจริญ’
1พกษ 1.39 แล้วศาโดกปุโรหิตได้นำเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมันมาจากพลับพลา และเจิมตั้งซาโลมอนไว้ และเขาทั้งหลายก็เป่าแตร และประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า “ขอกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระเจริญ”
1พกษ 1.45 และศาโดกปุโรหิต กับนาธันผู้พยากรณ์ได้เจิมตั้งท่านไว้ให้เป็นกษัตริย์ ณ กีโฮน และเขาทั้งหลายก็ขึ้นมาจากที่นั่นด้วยความเปรมปรีดิ์ เพราะฉะนั้นในกรุงจึงอึกทึกครึกโครม นี่เป็นเสียงที่ท่านทั้งหลายได้ยิน
1พกษ 5.1 ฝ่ายฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งข้าราชการของท่านมาเฝ้าซาโลมอน เมื่อท่านได้ยินว่าเขาได้เจิมตั้งพระองค์ไว้เป็นกษัตริย์แทนราชบิดาของพระองค์ เพราะฮีรามรักดาวิดอยู่เสมอ
1พกษ 19.16 และเยฮูบุตรนิมซีนั้น เจ้าจงเจิมให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และเอลีชาบุตรชาฟัทชาวอาเบลเมโฮลาห์ เจ้าจงเจิมตั้งไว้ให้เป็นผู้พยากรณ์แทนเจ้า
2พกษ 9.3 แล้วจงเอาน้ำมันในขวดเทลงบนศีรษะของเขา และกล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล’ แล้วจงเปิดประตูออกหนีไป อย่ารอช้าอยู่”
2พกษ 9.6 ท่านก็ลุกขึ้นเข้าไปในเรือน และคนหนุ่มนั้นก็เทน้ำมันบนศีรษะของท่าน กล่าวว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนของพระเยโฮวาห์คือเหนืออิสราเอล
2พกษ 9.12 และเขาทั้งหลายว่า “นั่นไม่เป็นความจริง ขอบอกเรามาเถิด” และท่านว่า “เขาพูดอย่างนี้กับข้าพเจ้าว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล’”
1พศด 11.3 ดังนั้นพวกผู้ใหญ่ทั้งสิ้นของคนอิสราเอลก็มาเฝ้ากษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน และดาวิดทรงกระทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลายที่เมืองเฮโบรนต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และเขาทั้งหลายก็เจิมตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์โดยซามูเอล
2พศด 22.7 แต่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เสียแล้วว่า ความล่มจมของอาหัสยาห์จะมาโดยที่พระองค์เสด็จลงไปเยี่ยมโยรัม เพราะเมื่อพระองค์เสด็จไปที่นั่น พระองค์เสด็จออกไปกับเยโฮรัมเพื่อจะปะทะกับเยฮูบุตรชายนิมซี ผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงเจิมตั้งให้ตัดราชวงศ์ของอาหับออกเสีย
อสย 61.1 “พระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าสถิตอยู่บนข้าพเจ้า เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐมายังผู้ที่ถ่อมใจ พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ ให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย และบอกการเปิดเรือนจำออกให้แก่ผู้ที่ถูกจองจำ
อสค 28.14 เจ้าเป็นเครูบผู้พิทักษ์ที่ได้เจิมตั้งไว้ เราได้ตั้งเจ้าไว้ เจ้าเคยอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้า และเจ้าเคยเดินอยู่ท่ามกลางศิลาเพลิง
ลก 4.18 ‘พระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่บนข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ ให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ฟกช้ำเป็นอิสระ

เจียน ( 1 )
อสค 30.24 และเราจะเสริมกำลังแขนของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเอาดาบของเราใส่มือให้ แต่เราจะหักแขนของฟาโรห์ และเขาจะคร่ำครวญต่อหน้าท่านอย่างคนถูกบาดเจ็บเจียนจะตาย

เจียระไน ( 3 )
อพย 31.5 เจียระไนพลอยต่างๆสำหรับฝังในกระเปาะและแกะสลักไม้ได้ คือประกอบวิชาการทุกอย่าง
อพย 35.33 และเจียระไนพลอยต่างๆสำหรับฝังในกระเปาะ และการแกะสลักไม้ คือให้มีฝีมือดีเลิศทุกอย่าง
พซม 7.1 โอ แม่ธิดาของจ้าว เท้าสวมรองเท้าผูกของเธอนั้นนวยนาดนี่กระไร ตะโพกของเธอกลมดิกราวกับเม็ดเพชรที่มือช่างผู้ชำนาญได้เจียระไนไว้

เจือ ( 5 )
อพย 30.35 จงผสมเครื่องหอมปรุงตามศิลปช่างปรุงเจือด้วยเกลือให้เป็นของบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์
อพย 35.8 น้ำมันเติมตะเกียง เครื่องเทศสำหรับเจือน้ำมันเจิม และปรุงเครื่องหอมสำหรับการเผาถวาย
สดด 102.9 เพราะข้าพระองค์กินขี้เถ้าต่างอาหาร และเจือน้ำตาเข้ากับเครื่องดื่ม
มธ 13.33 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด”
ลก 13.21 ก็เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอาเจือลงในแป้งสามถังจนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด”

เจือจาน ( 3 )
2คร 11.9 และเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านและกำลังขาดแคลนนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้เป็นภาระแก่ผู้ใด เพราะว่า พี่น้องที่มาจากแคว้นมาซิโดเนียได้เจือจานให้พอแก่ความต้องการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าระวังตัวไม่ให้เป็นภาระแก่พวกท่านในทางหนึ่งทางใดทุกประการ และข้าพเจ้าจะระวังตัวเช่นนั้นต่อไป
1ธส 2.8 เมื่อเรารักท่านอย่างนี้แล้ว เราก็มีใจพร้อมที่จะเผื่อแผ่เจือจาน มิใช่แต่เพียงข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น แต่อุทิศจิตใจเราให้แก่ท่านด้วย เพราะท่านเป็นที่รักยิ่งของเรา
1ปต 4.10 ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานแล้ว ก็ให้เจือจานของประทานนั้นแก่กันและกัน เหมือนอย่างเจ้าหน้าที่อันดีสำหรับพระคุณต่างๆของพระเจ้า

เจือปน ( 1 )
อสย 1.25 เราจะหันมือของเรามาสู้เจ้าและจะถลุงไล่ขี้แร่ของเจ้าออกเสียอย่างกับล้างด้วยน้ำด่าง และเอาของเจือปนของเจ้าออกให้หมด

แจก ( 27 )
2ซมอ 6.19 และทรงแจกขนมปังคนละแผ่น เนื้อคนละก้อน และขนมองุ่นแห้งคนละแผ่นแก่ประชาชนทั้งปวง คือประชาชนอิสราเอลทั้งหมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย แล้วประชาชนทั้งหลายต่างก็กลับไปยังบ้านของตน
1พศด 16.3 และทรงแจกขนมปังคนละก้อน เนื้อคนละส่วน และขนมองุ่นแห้งคนละอัน แก่บรรดาประชาชนอิสราเอลทั้งชายและหญิง
2พศด 31.14 โคเร บุตรชายอิมนาห์คนเลวี ผู้เฝ้าประตูตะวันออก เป็นผู้ดูแลของบูชาที่ถวายตามใจสมัครแก่พระเจ้า แจกส่วนบริจาคที่สงวนไว้สำหรับพระเยโฮวาห์และสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด
2พศด 31.15 เอเดน มินยามิน เยชูอา เชไมอาห์ อามาริยาห์ เชคานิยาห์ได้ช่วยเขาในตำแหน่งหน้าที่ในหัวเมืองของปุโรหิต ให้แจกแก่พี่น้องของเขาทั้งหลาย ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยเหมือนกันตามกองเวร
ดนล 11.24 เขาจะยกมาอย่างสงบในส่วนของประเทศที่อุดมที่สุด และเขาจะกระทำสิ่งที่ปู่ทวดหรือบรรพบุรุษของเขาไม่กระทำ เขาจะเอาทรัพย์ที่ปล้นมา ของที่ริบมาได้ และทรัพย์สมบัติมาแจกกัน เขาจะออกอุบายต่อสู้กับที่กำบังเข้มแข็ง แต่ก็ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น
มธ 14.19 แล้วพระองค์ทรงสั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลงที่หญ้า เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็ทรงแหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุณ และหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก เหล่าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง
มธ 15.36 แล้วพระองค์ทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนและปลาเหล่านั้นมาขอบพระคุณ แล้วจึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกของพระองค์ เหล่าสาวกก็แจกให้ประชาชน
มธ 24.45 ใครเป็นผู้รับใช้สัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกผู้รับใช้สำหรับแจกอาหารตามเวลา
มธ 26.9 ด้วยน้ำมันนี้ถ้าขายก็ได้เงินมาก แล้วจะแจกให้คนจนก็ได้”
มธ 28.12 เมื่อพวกปุโรหิตใหญ่ประชุมปรึกษากันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ก็แจกเงินเป็นอันมากให้แก่พวกทหาร
มก 6.41 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ขอบพระคุณ แล้วหักขนมปังนั้นให้เหล่าสาวกให้เขาแจกแก่คนทั้งปวง และปลาสองตัวนั้นพระองค์ทรงแบ่งให้ทั่วกันด้วย
มก 8.6 พระองค์จึงตรัสสั่งประชาชนให้นั่งลงที่พื้นดิน แล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนนั้น ทรงขอบพระคุณ แล้วจึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกให้เขาแจก เหล่าสาวกจึงแจกให้ประชาชน
มก 8.7 และเขามีปลาเล็กๆอยู่บ้าง พระองค์จึงขอบพระคุณ แล้วสั่งให้เอาปลานั้นแจกด้วย
มก 8.20 “เมื่อแจกขนมปังเจ็ดก้อนให้แก่คนสี่พันคนนั้น ท่านทั้งหลายเก็บเศษที่เหลือได้กี่กระบุง” เขาทูลตอบว่า “ได้เจ็ดกระบุง”
มก 14.5 เพราะว่าน้ำมันนี้ ถ้าขายก็คงได้เงินกว่าสามร้อยเหรียญเดนาริอัน แล้วจะแจกให้คนจนก็ได้” เขาจึงบ่นว่าผู้หญิงนั้น
ลก 9.16 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวก ให้เขาแจกแก่ประชาชน
ลก 12.42 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ใครเป็นคนต้นเรือนสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกคนใช้สำหรับแจกอาหารตามเวลา
ยน 6.11 แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปังนั้น และเมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็ทรงแจกแก่พวกสาวก และพวกสาวกแจกแก่บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาปรารถนา
ยน 12.5 “เหตุไฉนจึงไม่ขายน้ำมันนั้นเป็นเงินสักสามร้อยเดนาริอัน แล้วแจกให้แก่คนจน”
ยน 21.13 พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้เขาและทรงหยิบปลาแจกด้วย
กจ 6.1 ในคราวนั้น เมื่อศิษย์กำลังทวีมากขึ้น พวกกรีกบ่นติเตียนพวกฮีบรูเพราะในการแจกทานทุกๆวันนั้น เขาเว้นไม่ได้แจกให้พวกแม่ม่ายชาวกรีก
กจ 6.2 ฝ่ายอัครสาวกทั้งสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์ให้มาหาเขาแล้วกล่าวว่า “ซึ่งเราจะละเลยพระวจนะของพระเจ้ามัวไปแจกอาหารก็หาควรไม่
2คร 8.20 เราเจตนาจะไม่ให้คนหนึ่งคนใดติเตียนเราได้ ในเรื่องของถวายเป็นอันมากซึ่งเรารับมาแจกนั้น
อฟ 4.28 คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดีๆกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆแจกให้แก่คนที่ขัดสน

แจกจ่าย ( 16 )
ยชว 14.1 ต่อไปนี้เป็นดินแดนต่างๆซึ่งประชาชนอิสราเอลได้รับเป็นมรดกในแผ่นดินคานาอัน ซึ่งเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรชายนูน และหัวหน้าบรรพบุรุษของตระกูลต่างๆแห่งคนอิสราเอลได้แจกจ่ายให้เป็นมรดกแก่เขา
2พศด 11.23 และพระองค์ทรงจัดการอย่างฉลาด และแจกจ่ายบรรดาโอรสของพระองค์ไปทั่วแผ่นดินทั้งสิ้นของยูดาห์และของเบนยามิน ในหัวเมืองที่มีป้อมทั้งสิ้น และพระองค์ประทานเสบียงอาหารให้อย่างอุดม และพระองค์ทรงประสงค์มเหสีมากมาย
2พศด 31.19 สำหรับลูกหลานของอาโรนคือพวกปุโรหิต ผู้อยู่ในทุ่งนารวมรอบหัวเมืองของเขานั้น มีผู้ชายในหัวเมืองต่างๆ ผู้ถูกระบุชื่อให้แจกจ่ายส่วนแบ่งแก่ผู้ชายทุกคนในพวกปุโรหิต และทุกคนในพวกคนเลวีผู้ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนไว้
2พศด 35.12 แล้วเขาก็แยกส่วนที่เป็นเครื่องเผาบูชาไว้ต่างหากเพื่อแจกจ่ายได้ตามพวกต่างๆ ผู้เป็นประชาชนที่แบ่งเป็นแต่ละครอบครัว ให้ถวายแด่พระเยโฮวาห์ ดังที่บันทึกไว้ในหนังสือของโมเสส และเขากระทำกับวัวผู้ทำนองเดียวกัน
นหม 13.13 ข้าพเจ้าได้แต่งตั้งคนให้ดูแลเรือนพัสดุคือ เชเลมิยาห์ปุโรหิต ศาโดกธรรมาจารย์ และเปดายาห์แห่งคนเลวี และผู้ช่วยของเขาคือ ฮานันบุตรชายศักเกอร์ ผู้เป็นบุตรชายมัทธานิยาห์ เพราะนับได้ว่าเขาสัตย์ซื่อ และหน้าที่ของเขาคือแจกจ่ายแก่พวกพี่น้อง
โยบ 21.17 ตะเกียงของคนชั่วดับบ่อยเท่าใด ความยากลำบากมาเหนือเขาบ่อยเท่าใด พระเจ้าทรงแจกจ่ายความเศร้าโศกด้วยพระพิโรธของพระองค์
โยบ 38.24 ทางที่จะไปสู่ที่ซึ่งความสว่างแจกจ่ายออกไปนั้นอยู่ที่ไหน หรือที่ซึ่งลมตะวันออกกระจายไปบนแผ่นดินโลกอยู่ที่ไหน
สดด 37.21 คนชั่วขอยืมและไม่จ่ายคืน แต่คนชอบธรรมนั้นแสดงความเมตตาและแจกจ่าย
สดด 112.9 เขาแจกจ่าย เขาได้ให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงเป็นนิตย์ เขาของเขาจะถูกเชิดชูขึ้นด้วยเกียรติ
มธ 19.21 พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “ถ้าท่านปรารถนาเป็นผู้ที่ทำจนครบถ้วน จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา”
มก 10.21 พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขา แล้วตรัสแก่เขาว่า “ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่ แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงแบกกางเขน และตามเรามา”
ลก 18.22 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินอย่างนั้นพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่และแจกจ่ายให้คนอนาถา ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา”
กจ 4.35 วางไว้ที่เท้าของอัครสาวก อัครสาวกจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามที่ต้องการ
2คร 9.9 (ตามที่เขียนไว้ว่า ‘เขาแจกจ่าย เขาได้ให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงเป็นนิตย์’
2คร 9.11 โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้น เพื่อให้ท่านมีแจกจ่ายอย่างใจกว้างขวาง ซึ่งจะให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า
2คร 9.13 และเนื่องจากผลแห่งการรับใช้นั้น เขาจึงถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า โดยเหตุที่ท่านทั้งหลายยอมฟังและตั้งใจอยู่ในอำนาจข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเพราะเหตุท่านได้แจกจ่ายแก่เขาและแก่คนทั้งปวงด้วยใจกว้างขวาง

แจ้ง ( 109 )
ปฐก 45.1 โยเซฟอดกลั้นต่อหน้าบรรดาผู้ที่ยืนอยู่ต่อไปอีกมิได้ ท่านก็ร้องสั่งว่า “ให้ทุกคนออกไปเสียเถิด” จึงไม่มีผู้ใดยืนอยู่กับท่านด้วย ขณะที่โยเซฟแจ้งให้พี่น้องรู้จักตัวท่าน
อพย 6.13 พระเยโฮวาห์จึงตรัสแก่โมเสสและอาโรน ให้แจ้งแก่ชนชาติอิสราเอลและฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ว่า ให้พาชนชาติอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์
อพย 18.22 ให้เขาพิพากษาความของพลไพร่อยู่เสมอ ส่วนคดีใหญ่ๆก็ให้เขานำมาแจ้งต่อท่าน แต่คดีเล็กๆน้อยๆให้เขาตัดสินเอง การงานของท่านจะเบาลง และพวกเขาจะแบกภาระร่วมกับท่าน
อพย 18.26 คนเหล่านั้นพิพากษาความของพลไพร่อยู่เสมอ แต่คดียากๆเขานำไปแจ้งโมเสส ส่วนคดีเล็กๆน้อยๆเขาตัดสินเอง
อพย 25.9 แบบอย่างพลับพลาและเครื่องทั้งปวงของพลับพลานั้น เจ้าจงทำตามที่เราแจ้งไว้แก่เจ้านี้ทุกประการ
อพย 25.40 จงระวังทำสิ่งเหล่านี้ตามแบบอย่างที่เราแจ้งแก่เจ้าบนภูเขา”
อพย 26.30 พลับพลานั้น เจ้าจงจัดตั้งไว้ตามแบบอย่างที่เราได้แจ้งแก่เจ้าแล้วที่บนภูเขา
อพย 27.8 แท่นนั้นทำด้วยไม้กระดาน แต่ข้างในแท่นกลวงตามแบบที่แจ้งแก่เจ้าแล้วที่ภูเขา จงให้เขาทำอย่างนั้น
อพย 33.12 โมเสสกราบทูลพระเยโฮวาห์ว่า “ดูเถิด พระองค์ได้ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า ‘จงนำพลไพร่นี้ขึ้นไป’ แต่พระองค์มิได้แจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า จะใช้ผู้ใดขึ้นไปกับข้าพระองค์ แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘เรารู้จักเจ้าตามชื่อของเจ้า และเจ้าก็ได้รับความกรุณาในสายตาของเราด้วย’
ลนต 4.13 ถ้าชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดกระทำผิดโดยไม่รู้ตัวและความผิดนั้นยังไม่ปรากฏแจ้งแก่ที่ประชุม และเขาได้กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเยโฮวาห์บัญชามิให้กระทำ เขาก็มีความผิด
กดว 15.34 เขาจึงจำคนนั้นไว้ เพราะยังไม่แจ้งว่าจะกระทำอย่างไรแก่เขา
กดว 22.8 บาลาอัมกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “คืนนี้จงค้างที่นี่ก่อน เมื่อพระเยโฮวาห์ตรัสอย่างไรแก่ข้าแล้ว ข้าจึงจะนำคำนั้นมาแจ้งแก่ท่านทั้งหลาย” ดังนั้นเจ้าเมืองแห่งโมอับจึงยับยั้งอยู่กับบาลาอัม
กดว 22.10 บาลาอัมทูลพระเจ้าว่า “บาลาคบุตรชายศิปโปร์กษัตริย์เมืองโมอับได้ใช้เขาทั้งหลายมาแจ้งแก่ข้าพระองค์ว่า
กดว 24.3 เขาจึงกล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า “คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรชายเบโอร์ คำพยากรณ์ของชายที่หูตาแจ้ง
กดว 24.15 เขาก็กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า “คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรชายเบโอร์ คำพยากรณ์ของชายผู้ที่หูตาแจ้ง
ยชว 14.7 เมื่อโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ใช้ให้ข้าพเจ้าไปจากคาเดชบารเนีย เพื่อสอดแนมดูแผ่นดิน ข้าพเจ้ามีอายุสี่สิบปี ข้าพเจ้าได้นำข่าวมาแจ้งแก่ท่านตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า
ยชว 22.32 แล้วฟีเนหัสบุตรชายเอเลอาซาร์ปุโรหิต และประมุขทั้งหลายก็กลับจากคนรูเบน และคนกาด จากแผ่นดินกิเลอาดไปยังแผ่นดินคานาอัน ไปหาคนอิสราเอลแจ้งข่าวให้เขาทราบ
วนฉ 4.12 เมื่อมีคนไปแจ้งแก่สิเสราว่าบาราคบุตรชายอาบีโนอัมขึ้นไปที่ภูเขาทาโบร์แล้ว
วนฉ 16.9 นางจัดคนให้ซุ่มอยู่ที่ห้องชั้นในกับนาง นางก็บอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว” แซมสันก็ดึงสายธนูที่มัดนั้นขาดเหมือนเชือกป่านขาดเมื่อได้กลิ่นไฟ เรื่องกำลังของท่านจึงยังไม่แจ้ง
วนฉ 19.26 พอแจ้งผู้หญิงนั้นก็กลับมาล้มลงที่ประตูบ้านซึ่งนายของตนพักอยู่ จนสว่างดี
วนฉ 20.31 คนเบนยามินก็ยกออกมาสู้รบกับประชาชน ถูกลวงให้ห่างออกไปจากตัวเมือง เขาก็เริ่มฆ่าฟันประชาชนอย่างคราวก่อน คือตามถนนซึ่งสายหนึ่งไปยังพระนิเวศของพระเจ้า อีกสายหนึ่งไปกิเบอาห์ และที่กลางทุ่งแจ้ง อิสราเอลล้มตายประมาณสามสิบคน
1ซมอ 2.27 ครั้งนั้นมีบุรุษของพระเจ้ามาหาเอลี กล่าวแก่ท่านว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เผยเราเองให้แจ้งแก่เรือนบรรพบุรุษเจ้า เมื่อเขาทั้งหลายอยู่ในอียิปต์ใต้บังคับวงศ์วานของฟาโรห์
1ซมอ 9.27 เมื่อเขาทั้งหลายกำลังลงมาที่ชานเมือง ซามูเอลจึงพูดกับซาอูลว่า “จงบอกคนใช้ให้เดินล่วงหน้าเราไปก่อน (และเขาก็เดินพ้นไป) ท่านจงหยุดที่นี่ก่อน เพื่อฉันจะได้แจ้งพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่านทราบ”
1ซมอ 14.12 และคนที่กองทหารรักษาการจึงร้องบอกโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “จงขึ้นมาหาเรา แล้วเราจะแจ้งให้เจ้าทราบสักเรื่องหนึ่ง” และโยนาธานบอกผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “จงตามข้าขึ้นมา เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอลแล้ว”
1ซมอ 19.7 และโยนาธานก็เรียกดาวิด และโยนาธานแจ้งให้เธอทราบถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น และโยนาธานนำดาวิดเข้าเฝ้าซาอูล และดาวิดได้เข้าเฝ้าซาอูลอย่างแต่ก่อน
1ซมอ 22.8 เจ้าทั้งหลายจึงได้คิดกบฏต่อเรา ไม่มีใครแจ้งแก่เราเลย เมื่อลูกของเราทำพันธไมตรีกับบุตรของเจสซีนั้น ไม่มีผู้ใดร่วมทุกข์กับเรา หรือแจ้งแก่เราว่า ลูกของเราปลุกปั่นผู้รับใช้ของเราให้ต่อสู้เรา คอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้”
1ซมอ 22.17 และกษัตริย์ก็รับสั่งแก่ทหารราบผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า “จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเยโฮวาห์เสีย เพราะว่ามือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้” แต่ข้าราชการผู้รับใช้ของกษัตริย์ไม่ยอมลงมือฟันปุโรหิตของพระเยโฮวาห์
1ซมอ 28.15 แล้วซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้นมาทำไม” ซาอูลทรงตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะคนฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้าทรงหันจากข้าพเจ้าเสียแล้ว มิได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าโดยผู้พยากรณ์ หรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอเรียกท่านขึ้นมาเพื่อท่านจะได้แจ้งว่า ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดดี”
2ซมอ 22.16 แล้วก็เห็นท้องธาร รากฐานของพิภพก็ปรากฏแจ้งตามการขนาบของพระเยโฮวาห์ ตามที่ลมพวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์
1พศด 16.8 “จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ จงร้องทูลออกพระนามพระองค์ จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย
อสร 7.24 เราขอแจ้งแก่ท่านทั้งหลายด้วยว่า ไม่เป็นการถูกต้องตามกฎหมายที่จะเอาบรรณาการ ค่าธรรมเนียม หรือส่วยจากคนหนึ่งคนใดในบรรดาปุโรหิต คนเลวี นักร้อง คนเฝ้าประตู คนใช้ประจำพระวิหาร หรือผู้รับใช้อื่นๆของพระนิเวศของพระเจ้านี้
โยบ 6.28 ฉะนั้นบัดนี้ ขอมองดูข้าด้วยความพอใจเถิด เพราะถ้าข้ามุสา ก็จะปรากฏแจ้งแก่ท่าน
โยบ 21.31 ใครแจ้งวิธีการของเขาต่อหน้าเขา และผู้ใดสนองเขาในสิ่งที่เขาได้กระทำ
โยบ 28.11 เขากันตาน้ำไว้ เพื่อมิให้มีน้ำย้อย และสิ่งที่ปิดบังไว้ เขานำมาให้แจ้ง
โยบ 31.37 ข้าจะแจ้งจำนวนฝีก้าวของข้าแก่พระองค์ ข้าจะเข้าไปเฝ้าพระองค์อย่างเป็นเจ้านาย
สดด 9.16 พระเยโฮวาห์ทรงเผยพระองค์ให้ปรากฏแจ้งด้วยการพิพากษาซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ คนชั่วถูกดักด้วยกิจการที่ทำด้วยมือของเขาเอง ฮิกเกอัน เซลาห์
สดด 18.15 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แล้วก็เห็นก้นทะเลตลอดจนรากฐานของพิภพก็ปรากฏแจ้ง เมื่อพระองค์ทรงขนาบทะเลด้วยลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์
สดด 19.2 วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน
สดด 25.14 ความลึกลับของพระเยโฮวาห์มีอยู่แก่คนที่ยำเกรงพระองค์ และพระองค์จะทรงแจ้งพันธสัญญาของพระองค์แก่เขาเหล่านั้น
สดด 37.6 พระองค์จะทรงให้ความชอบธรรมของท่านกระจ่างอย่างความสว่าง และให้ความยุติธรรมของท่านแจ้งอย่างเที่ยงวัน
สดด 38.9 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความปรารถนาทั้งสิ้นของข้าพระองค์ก็แจ้งอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ การถอนหายใจของข้าพระองค์ก็ไม่พ้นที่พระองค์ทรงทราบ
สดด 78.5 เพราะพระองค์ทรงสถาปนาพระโอวาทไว้ในยาโคบ และทรงแต่งตั้งพระราชบัญญัติไว้ในอิสราเอล ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาแก่บรรพบุรุษของเรา ว่าให้แจ้งเรื่องราวเหล่านั้นแก่ลูกหลานของเขา
สดด 97.11 ความสว่างแจ้งขึ้นแก่คนชอบธรรม และความชื่นบานมีขึ้นแก่คนใจเที่ยงธรรม
สดด 105.1 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ จงร้องทูลออกพระนามพระองค์ จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย
สดด 139.12 สำหรับพระองค์ แม้ความมืดก็มิได้ซ่อนอะไรไว้จากพระองค์ กลางคืนก็แจ้งอย่างกลางวัน ความมืดเป็นอย่างความสว่าง
สดด 145.12 เพื่อให้กิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์ และสง่าราศีอันรุ่งโรจน์แห่งราชอาณาจักรของพระองค์แจ้งแก่บุตรทั้งหลายของมนุษย์
สภษ 1.23 จงหันกลับเพราะคำตักเตือนของเรา ดูเถิด เราจะเทวิญญาณของเราให้เจ้า เราจะให้ถ้อยคำของเราแจ้งแก่เจ้า
สภษ 10.9 ผู้ใดที่ดำเนินในความเที่ยงธรรมก็ดำเนินอย่างมั่นคงดี แต่ผู้ที่ทำทางของตนให้ชั่วก็จะปรากฏแจ้งแก่คนอื่น
สภษ 15.11 นรกและแดนพินาศก็ประจักษ์แจ้งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ใจแห่งบุตรทั้งหลายของมนุษย์จะแจ้งเฉพาะพระองค์ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
สภษ 22.19 เพื่อความไว้วางใจของเจ้าจะอยู่ในพระเยโฮวาห์ เราให้แจ้งประจักษ์แก่เจ้าในวันนี้แม้แก่ตัวเจ้าเอง
ปญจ 7.22 ด้วยว่าเจ้าก็แจ้งอยู่กับใจของเจ้าเองหลายครั้งหลายหนแล้วว่า ตัวเจ้าเองได้แช่งด่าคนอื่นเหมือนกัน
อสย 19.12 พวกท่านอยู่ที่ไหน นักปราชญ์ของท่านอยู่ที่ไหน ให้เขาบอกท่านและให้เขาทำให้แจ้งซิว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธามีพระประสงค์อะไรกับอียิปต์
อสย 41.22 ให้เขานำมา และแจ้งแก่เราว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงแจ้งสิ่งล่วงแล้วให้เราทราบว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเราจะพิจารณา เพื่อเราจะทราบถึงอวสานของสิ่งเหล่านั้น หรือจงเล่าให้เราฟังถึงสิ่งที่จะบังเกิดมา
อสย 41.23 จงแจ้งแก่เราว่าต่อไปนี้อะไรจะเกิดขึ้น เพื่อเราจะรู้ว่าเจ้าเป็นพระ เออ จงทำดีหรือจงทำร้าย เพื่อเราจะได้ขยาดและดูกัน
อสย 41.26 ใครแจ้งไว้ตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะทราบ และล่วงหน้าเพื่อเราจะพูดว่า “เขาชอบธรรม” เออ ไม่มีผู้ใดได้แจ้งให้ทราบ เออ ไม่มีผู้ใดได้เล่าให้ฟัง เออ ไม่มีผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเจ้า
อสย 42.9 ดูเถิด สิ่งล่วงแล้วนั้นก็สำเร็จแล้ว และเราก็แจ้งสิ่งใหม่ๆ ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเราก็ได้เล่าให้ฟังแล้ว”
อสย 43.9 ให้บรรดาประชาชาติประชุมพร้อมกัน และให้ชนชาติทั้งหลายชุมนุมกัน ในท่ามกลางเขามีผู้ที่แจ้งอย่างนี้ได้ และเล่าสิ่งล่วงแล้วให้เราฟังได้ ให้เขาทั้งหลายนำพยานของเขามาพิสูจน์ตัวเขา และให้เขาได้ยินและกล่าวว่า “จริงแล้ว”
อสย 43.12 เมื่อไม่มีพระอื่นในหมู่พวกเจ้า เราแจ้งให้ทราบและช่วยให้รอดและพิสูจน์ให้เห็น ฉะนั้นเจ้าทั้งหลายเป็นพยานของเราว่าเราเป็นพระเจ้า” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อสย 44.7 ใครเหมือนเราจะป่าวร้องได้ ให้เขาแจ้งให้ทราบ และให้เขาลำดับเรื่องต่อหน้าเราตั้งแต่เราได้สถาปนาประชาชนโบราณ และให้เขาบอกแก่เขาทั้งหลายถึงสิ่งต่างๆที่จะเป็นมาและอะไรจะเกิดขึ้นนั้น
อสย 44.8 อย่ากลัวเลย และอย่าขามเลย เรามิได้เล่าให้เจ้าฟังตั้งแต่ดึกดำบรรพ์และแจ้งให้ทราบแล้วหรือ และเจ้าเป็นพยานทั้งหลายของเรา มีพระเจ้านอกเหนือเราหรือ เออ ไม่มีพระเจ้า เราไม่รู้จักเลย”
อสย 45.19 เรามิได้พูดในที่ลี้ลับ ในที่มืดแห่งแผ่นดินโลก เรามิได้กล่าวแก่เชื้อสายของยาโคบว่า ‘จงแสวงหาเราในที่ยุ่งเหยิง’ เราคือพระเยโฮวาห์พูดความชอบธรรม เราแจ้งสิ่งที่ถูกต้องให้ทราบ
อสย 45.21 จงแจ้งเรื่องและนำเข้ามาใกล้ เออ ให้เขาทั้งหลายปรึกษาหารือกัน ใครเล่าสิ่งนี้ให้ฟังนมนานแล้ว ใครแจ้งให้ทราบมาตั้งแต่เก่าก่อน ไม่ใช่เราหรือ คือพระเยโฮวาห์ นอกจากเราไม่มีพระเจ้าอื่นเลย พระเจ้าผู้ชอบธรรมและพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีอื่นใดนอกเหนือเรา
อสย 46.10 ผู้แจ้งตอนจบให้ทราบตั้งแต่เริ่มต้น และแจ้งถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำเลยให้ทราบตั้งแต่กาลโบราณ กล่าวว่า ‘แผนงานของเราจะยั่งยืน และเราจะกระทำให้ความประสงค์ของเราสำเร็จทั้งสิ้น’
อสย 48.3 “สิ่งล่วงแล้วเราได้แจ้งให้ทราบแต่เก่าก่อน เออ มันไปจากปากของเรา และเราได้เล่าให้ฟังทั่วแล้ว ในทันใดนั้นเราก็ได้กระทำและก็เป็นไปตามนั้น
อสย 48.5 เราก็แจ้งเรื่องเหล่านั้นแก่เจ้าให้ทราบตั้งแต่เก่าก่อน ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นเราก็ได้ว่าให้เจ้าฟังแล้ว เกรงเจ้าจะว่า ‘รูปเคารพของข้ากระทำเอง รูปเคารพสลักและรูปเคารพหล่อของข้าบัญชามันมา’
อสย 48.6 เจ้าได้ยินแล้ว จงคอยดูสิ่งทั้งปวงนี้ และเจ้าจะไม่แจ้งให้ทราบหรือ ตั้งแต่เวลานี้ไปเราเล่าสิ่งใหม่ให้เจ้าฟัง เป็นสิ่งที่ปิดซ่อนไว้ซึ่งเจ้าไม่รู้
อสย 58.1 “จงร้องดังๆ อย่าออมไว้ จงเปล่งเสียงของเจ้าเหมือนเป่าแตร จงแจ้งแก่ชนชาติของเราให้ทราบถึงเรื่องการละเมิดของเขา แก่วงศ์วานของยาโคบเรื่องบาปของเขา
ดนล 2.17 แล้วดาเนียลก็กลับไปเรือนของท่าน และแจ้งเรื่องให้ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์สหายของท่านฟัง
ดนล 2.23 โอ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอโมทนาและสรรเสริญพระองค์ ผู้ทรงประทานปัญญาและกำลังแก่ข้าพระองค์ สิ่งนั้นที่พวกข้าพระองค์ทูลขอ พระองค์ก็ทรงให้ข้าพระองค์รู้แล้ว เพราะพระองค์ได้ทรงสำแดงเรื่องของกษัตริย์ให้แจ้งแก่พวกข้าพระองค์”
ฮชย 4.12 ประชาชนของเราไปขอความเห็นจากสิ่งที่ทำด้วยไม้ และไม้ติ้วก็แจ้งแก่เขาอย่างเปิดเผย เพราะจิตใจที่ชอบเล่นชู้นำให้เขาหลงไป และเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระเจ้าของเขาเสียเพื่อไปเล่นชู้
ฮบก 3.2 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ แล้วข้าพระองค์ยำเกรง โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พอถึงกลางยุคขอทรงรื้อฟื้นพระราชกิจของพระองค์ขึ้นใหม่ พอถึงกลางยุคขอทรงแจ้งให้ทราบทั่วกัน เมื่อทรงกริ้ว ขอทรงระลึกถึงความกรุณา
มธ 2.8 และท่านได้ให้พวกนักปราชญ์ไปยังบ้านเบธเลเฮมสั่งว่า “จงไปค้นหากุมารนั้นอย่างถี่ถ้วนกันเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เรา เพื่อเราจะได้ไปนมัสการท่านด้วย”
มธ 7.23 เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นจากเรา’
มธ 11.4 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “จงไปแจ้งแก่ยอห์นอีกครั้งถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น
มธ 13.27 พวกผู้รับใช้แห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน’
มธ 16.17 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะว่าเนื้อหนังและโลหิตมิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ
มธ 18.15 หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำการละเมิดต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา
มก 4.11 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ฝ่ายคนนอกนั้นบรรดาข้อความเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทุกอย่าง
มก 4.22 เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ ซึ่งจะไม่ต้องแพร่งพราย
ลก 1.4 เพื่อท่านจะได้รู้แน่นอนอันเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งมีผู้แจ้งให้ท่านทราบแล้ว
ลก 1.19 ฝ่ายทูตสวรรค์นั้นจึงตอบท่านว่า “เราคือกาเบรียลซึ่งยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และทรงใช้ให้มาพูดและนำข่าวดีนี้มาแจ้งกับท่าน
ลก 2.15 ต่อมาเมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่า “บัดนี้ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮม ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา”
ลก 2.35 เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะได้ปรากฏแจ้ง (เออ ถึงจิตใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย)”
ลก 6.47 ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเรา และกระทำตามคำนั้น เราจะแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า เขาเปรียบเหมือนผู้ใด
ลก 7.22 แล้วพระเยซูตรัสตอบศิษย์สองคนนั้นว่า “จงไปแจ้งแก่ยอห์นตามซึ่งท่านได้เห็นและได้ยินคือว่า คนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา
ลก 8.17 ด้วยว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ซึ่งจะไม่รู้จะไม่ต้องแพร่งพราย
ลก 10.9 และจงรักษาคนป่วยในเมืองนั้นให้หาย และแจ้งแก่เขาว่า ‘อาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว’
ยน 16.13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น
กจ 3.20 และเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเมื่อก่อนนั้นได้แจ้งไว้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว
กจ 13.32 เรานำข่าวประเสริฐนี้มาแจ้งแก่ท่านทั้งหลายว่า พระสัญญาซึ่งทรงประทานแก่บรรพบุรุษของเรา
กจ 16.38 พวกนักการจึงนำความไปแจ้งแก่เจ้าเมือง เมื่อเจ้าเมืองได้ยินว่าท่านทั้งสองเป็นคนสัญชาติโรมก็ตกใจกลัว
กจ 23.17 เปาโลจึงเรียกนายร้อยคนหนึ่งมากล่าวว่า “ขอพาชายหนุ่มคนนี้ไปหานายพันด้วย เพราะเขามีเรื่องที่จะแจ้งให้ทราบ”
กจ 23.18 เหตุฉะนั้นนายร้อยจึงรับตัวชายหนุ่มคนนั้นไปหานายพันกล่าวว่า “เปาโลผู้ถูกขังอยู่นั้นเรียกข้าพเจ้า ขอให้พาชายหนุ่มคนนี้มาหาท่าน เพราะเขามีเรื่องที่จะแจ้งให้ท่านทราบ”
รม 1.19 เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว
รม 16.26 แต่มาบัดนี้ได้เปิดเผยให้ปรากฏแล้ว และโดยพระคัมภีร์ของพวกศาสดาพยากรณ์ ตามซึ่งพระเจ้าผู้ทรงดำรงถาวรได้ทรงบัญญัติไว้ ได้เปิดเผยออกให้ประชาชาติทั้งปวงเห็นแจ้งเพื่อเขาจะได้เชื่อ
1คร 3.5 เปาโลคือผู้ใด อปอลโลคือผู้ใด เขาเป็นผู้รับใช้มาแจ้งให้ท่านทั้งหลายเชื่อ ตามซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ทุกคน
1คร 13.12 เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆเหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นหน้ากันชัดเจน เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้แต่ส่วนหนึ่ง แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนได้รู้จักข้าพเจ้าแล้วด้วย
อฟ 5.13 แต่สิ่งสารพัดที่ถูกติเตียนแล้ว ก็จะปรากฏแจ้งโดยความสว่าง เพราะว่าทุกๆสิ่งที่ให้ปรากฏแจ้งก็คือความสว่าง
1ทธ 4.15 จงเอาใจใส่ในข้อความเหล่านี้ ฝังตัวท่านไว้ในการนี้ทีเดียว เพื่อความจำเริญของท่านจะได้ปรากฏแจ้งแก่คนทั้งปวง
ฮบ 4.13 ไม่มีสิ่งเนรมิตสร้างใดๆ ที่ไม่ได้ปรากฏในสายพระเนตรของพระองค์ แต่สิ่งสารพัดก็เปลือยเปล่าและปรากฏแจ้งต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องเกี่ยวข้องด้วย
ฮบ 8.5 ปุโรหิตเหล่านั้นปฏิบัติตามแบบและเงาแห่งสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ในสวรรค์ เหมือนพระเจ้าได้ทรงสั่งแก่โมเสสครั้นเมื่อท่านจะสร้างพลับพลานั้นว่า ‘ดูเถิด จงทำทุกสิ่งตามแบบอย่างที่เราแจ้งแก่ท่านบนภูเขา’
ฮบ 9.8 อย่างนั้นแหละ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสำแดงว่า ทางซึ่งจะเข้าไปในที่บริสุทธิ์ที่สุดนั้นไม่ได้ปรากฏแจ้ง คราวเมื่อพลับพลาเดิมยังตั้งอยู่
วว 15.4 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มีผู้ใดบ้างที่จะไม่ยำเกรงพระองค์ และไม่ถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ผู้เดียวทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ ประชาชาติทั้งปวงจะมานมัสการจำเพาะพระพักตร์พระองค์ เพราะว่าการพิพากษาของพระองค์ปรากฏแจ้งแล้ว”

แจ้งความ ( 5 )
มธ 16.17 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะว่าเนื้อหนังและโลหิตมิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ
มธ 18.17 ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งความต่อคริสตจักร แต่ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีกก็ให้ถือเสียว่า เขาเป็นเหมือนคนต่างชาติและคนเก็บภาษี
มก 7.36 พระองค์ทรงห้ามปรามคนทั้งหลายมิให้แจ้งความนี้แก่ผู้ใดเลย แต่พระองค์ยิ่งทรงห้ามปรามพวกเขา เขาก็ยิ่งเล่าลือไปมาก
กจ 23.19 นายพันจึงจูงมือชายนั้นไปแต่ลำพัง แล้วถามว่า “เจ้าจะแจ้งความอะไรแก่เรา”
กจ 23.22 นายพันจึงให้ชายหนุ่มนั้นไป กำชับว่า “อย่าบอกผู้ใดให้รู้ว่า เจ้าได้แจ้งความเรื่องนี้แก่เรา”

แจ่ม ( 2 )
อสร 9.8 แต่บัดนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงสำแดงพระกรุณา พอพระทัยชั่วครู่หนึ่งสั้นๆ และได้ทรงประทานให้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีคนที่เหลืออยู่และมีที่ยึดมั่นในที่บริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อว่าพระเจ้าของข้าพระองค์จะได้ทรงให้ตาของข้าพระองค์ทั้งหลายแจ่มขึ้น และทรงประสาทความฟื้นคืนมาเล็กน้อยจากการเป็นทาสของข้าพระองค์ทั้งหลาย
พซม 6.10 “แม่สาวคนนี้เป็นผู้ใดหนอ เมื่อมองลงก็ดังอรุโณทัย แจ่มจรัสดังดวงจันทร์ กระจ่างจ้าดังดวงสุริยัน สง่าน่าเกรงขามดังกองทัพมีธงประจำ”

แจ่มกระจ่าง ( 2 )
กจ 10.3 เวลาประมาณบ่ายสามโมงนายร้อยนั้นเห็นนิมิตแจ่มกระจ่าง คือเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า เข้ามาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า “โครเนลิอัสเอ๋ย”
1คร 4.5 เหตุฉะนั้นท่านอย่าตัดสินสิ่งใดก่อนที่จะถึงเวลาจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มกระจ่าง และจะทรงเผยความในใจของคนทั้งปวงด้วย เมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า

แจ่มแจ้ง ( 7 )
1ซมอ 10.16 และซาอูลตอบลุงของท่านว่า “เขาบอกเราแจ่มแจ้งว่าพบลาแล้ว” แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลกล่าวถึงนั้นท่านไม่ได้บอกสิ่งใดเลย
1ซมอ 14.29 แล้วโยนาธานจึงกล่าวว่า “บิดาของข้ากระทำให้แผ่นดินลำบาก ดูซิว่าตาของข้าแจ่มแจ้งเพียงไร เพราะข้าได้รับประทานน้ำผึ้งนี้แต่เล็กน้อย
โยบ 33.30 เพื่อจะนำจิตวิญญาณของเขามาจากปากแดนคนตาย เพื่อให้เขาแจ่มแจ้งขึ้นด้วยความสว่างแห่งผู้ทรงมีชีวิต
สภษ 28.11 คนมั่งคั่งก็ฉลาดตามการล่อลวงของเขาเอง แต่คนยากจนที่มีความเข้าใจก็รู้จักเขาอย่างแจ่มแจ้ง
ยรม 23.20 ความกริ้วของพระเยโฮวาห์จะไม่หันกลับ จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ และจนกว่าพระองค์ทรงกระทำตามพระเจตนาแห่งพระหฤทัยของพระองค์ ในวันหลังๆเจ้าทั้งหลายจะเข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้ง
ยน 16.25 เราพูดเรื่องนี้กับท่านเป็นคำอุปมา แต่วันหนึ่งเราจะไม่พูดกับท่านเป็นคำอุปมาอีก แต่จะบอกท่านถึงเรื่องพระบิดาอย่างแจ่มแจ้ง
ยน 16.29 เหล่าสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด บัดนี้พระองค์ตรัสอย่างแจ่มแจ้งแล้ว มิได้ตรัสเป็นคำอุปมา

แจ่มใส ( 4 )
1ซมอ 14.27 แต่โยนาธานไม่ได้ยินคำปฏิญาณของพระราชบิดาที่ทรงให้ประชาชนปฏิญาณ จึงเอาปลายไม้ที่ถืออยู่แหย่ที่รังผึ้ง แล้วก็เอามือของท่านใส่ปาก ตาก็แจ่มใสขึ้น
สภษ 15.13 ใจที่ร่าเริงกระทำให้สีหน้าแจ่มใส แต่โดยความเศร้าในใจดวงจิตก็แหลกสลายไป
ศคย 14.6 ต่อมาในวันนั้นแสงสว่างจะไม่แจ่มใสหรือจะไม่มืดมัว
รม 15.32 เพื่อข้าพเจ้าจะได้มาหาท่านตามชอบพระทัยพระเจ้า ด้วยความชื่นชมยินดีและมีความเบิกบานแจ่มใสที่ได้พบท่าน

โจทก์ ( 6 )
ลก 12.58 เพราะเมื่อเจ้ากับโจทก์พากันไปหาผู้พิพากษา จงอุตส่าห์หาช่องที่จะปรองดองกับเขาเมื่อยังอยู่กลางทาง เกลือกว่าเขาจะฉุดลากเจ้าเข้าไปถึงผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบเจ้าไว้กับผู้คุม และผู้คุมจะขังเจ้าไว้ในเรือนจำ
กจ 23.30 เมื่อมีคนบอกข้าพเจ้าให้ทราบว่าพวกยิวมีการปองร้ายคนนี้ ข้าพเจ้าจึงส่งเขามาหาท่านทีเดียว แล้วได้สั่งให้พวกโจทก์ไปว่าความกับเขาต่อหน้าท่าน สวัสดี”
กจ 23.35 ท่านจึงกล่าวว่า “เมื่อพวกโจทก์มาพร้อมกันแล้ว เราจะฟังคำให้การของเจ้า” ท่านจึงสั่งให้คุมเปาโลไปไว้ที่ศาลปรีโทเรียมของเฮโรด
กจ 24.8 และสั่งให้โจทก์มาฟ้องเขาต่อหน้าท่าน ถ้าท่านเองจะไต่ถามเขา ท่านจะทราบได้ว่า ข้อกล่าวหาของพวกข้าพเจ้าจริงหรือไม่”
กจ 25.16 ข้าพเจ้าจึงตอบพวกเขาว่า ไม่ใช่ธรรมเนียมของชาวโรมที่จะมอบตัวจำเลยให้ตายก่อนที่โจทก์กับจำเลยมาพร้อมหน้ากัน และให้จำเลยมีโอกาสแก้คดีในข้อหานั้น
กจ 25.18 เมื่อพวกโจทก์ยืนขึ้น เขามิได้กล่าวหาจำเลยเหมือนที่ข้าพเจ้าคาดไว้นั้น

โจน ( 4 )
ยรม 49.19 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ยรม 50.44 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
มธ 4.6 แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระองค์จะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเท้าของท่านจะกระแทกหิน’”
ลก 4.9 แล้วมารจึงนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ประทับอยู่ที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรพระเจ้า จงโจนลงไปจากที่นี่เถิด

โจมตี ( 85 )
พบญ 25.18 เขาได้ออกมาพบท่านตามทาง และโจมตีพวกที่อยู่รั้งท้าย คือบรรดาคนที่อ่อนกำลังที่อยู่รั้งท้าย เมื่อท่านอ่อนเพลียเมื่อยล้า เขามิได้ยำเกรงพระเจ้า
ยชว 8.21 และเมื่อโยชูวากับบรรดาอิสราเอลเห็นว่ากองซุ่มยึดเมืองได้แล้ว และควันไฟที่ไหม้เมืองพลุ่งขึ้น เขาก็หันกลับมาโจมตีชาวเมืองอัย
ยชว 8.22 คนอื่นๆก็ออกมาจากเมืองสู้รบกับเขา กระทำให้เขาอยู่ระหว่างกลางอิสราเอล ผู้อยู่ข้างนี้บ้างข้างโน้นบ้าง และคนอิสราเอลก็โจมตีเขาจนไม่มีสักคนหนึ่งรอดชีวิตหรือหนีไปได้
ยชว 8.24 ต่อมาเมื่ออิสราเอลไล่ฆ่าฟันชาวเมืองอัยทั้งหมดในทุ่งในถิ่นทุรกันดารที่เขาไล่ตามไปนั้น และคนเหล่านั้นล้มตายหมดด้วยคมดาบจนคนสุดท้าย บรรดาคนอิสราเอลก็กลับเข้าเมืองอัยโจมตีคนในเมืองด้วยคมดาบ
ยชว 10.9 เหตุฉะนั้นโยชูวายกเข้าโจมตีพวกนั้นทันที โดยขึ้นไปตลอดคืนจากกิลกาล
ยชว 10.19 แต่ท่านทั้งหลายอย่าคอยอยู่เลย จงติดตามศัตรูของท่านเถิด จงเข้าโจมตีกองระวังหลัง อย่าให้กลับเข้าในเมืองของเขาได้ เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้มอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของท่านแล้ว”
ยชว 10.31 และโยชูวาออกจากเมืองลิบนาห์พร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดไปยังลาคีช แล้วล้อมเมืองไว้และเข้าโจมตีเมืองนั้น
ยชว 10.34 โยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงได้ยกออกจากลาคีชไปยังเมืองเอกโลน ได้เข้าล้อมและโจมตีเมืองนั้น
ยชว 10.36 โยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงก็ขึ้นจากเมืองเอกโลนไปยังเมืองเฮโบรน เข้าโจมตีเมืองนั้น
ยชว 10.38 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงกลับมายังเมืองเดบีร์ เข้าโจมตีเมืองนั้น
ยชว 11.7 ฝ่ายโยชูวาก็ยกพลทั้งหลายเข้าโจมตีเขาทันทีที่ห้วยน้ำเมโรม
ยชว 15.16 และคาเลบกล่าวว่า “ผู้ใดโจมตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์และยึดได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา”
วนฉ 1.8 และคนยูดาห์ได้เข้าโจมตีเมืองเยรูซาเล็มและยึดเมืองได้ จึงฆ่าฟันชาวเมืองเสียด้วยคมดาบ และเอาไฟเผาเมืองเสีย
วนฉ 1.12 และคาเลบกล่าวว่า “ใครโจมตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์และยึดได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา”
วนฉ 3.13 ท่านจึงได้ให้คนอัมโมนและคนอามาเลขมาสมทบ ยกไปโจมตีอิสราเอล และได้ยึดเมืองดงอินทผลัมไว้
วนฉ 6.16 พระเยโฮวาห์ตรัสกับเขาว่า “แต่เราจะอยู่กับเจ้าแน่ และเจ้าจะได้โจมตีคนมีเดียนอย่างกับตีคนคนเดียว”
วนฉ 8.11 กิเดโอนขึ้นไปตามทางสัญจรของคนที่อาศัยในเต็นท์ ทิศตะวันออกของเมืองโนบาห์และเมืองโยกเบฮาห์เข้าโจมตีกองทัพได้แล้ว เพราะว่ากองทัพคิดว่าพ้นภัย
วนฉ 9.44 ส่วนอาบีเมเลคกับทหารที่อยู่ด้วยก็รุกไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง ฝ่ายทหารอีกสองกองก็รุกเข้าโจมตีคนทั้งหมดที่ในทุ่งนาประหารเสีย
วนฉ 9.45 อาบีเมเลคโจมตีเมืองนั้นตลอดวันยังค่ำ ยึดเมืองนั้นได้ และฆ่าฟันประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นเสีย ทั้งทำลายเมืองนั้นเสียด้วย แล้วก็หว่านเกลือลงไป
วนฉ 11.21 และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลทรงมอบสิโหนและประชาชนทั้งหมดของท่านไว้ในมืออิสราเอล คนอิสราเอลก็โจมตีเขา อิสราเอลจึงยึดครองแผ่นดินทั้งสิ้นของคนอาโมไรต์ผู้ซึ่งเป็นชาวเมืองนั้น
วนฉ 15.9 ฝ่ายคนฟีลิสเตียก็ขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ในเขตยูดาห์ และกระจายกันเข้าโจมตีเมืองเลฮี
1ซมอ 14.48 พระองค์ทรงรวบรวมกองทัพ และทรงโจมตีพวกอามาเลข และทรงช่วยคนอิสราเอลให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา
1ซมอ 15.3 บัดนี้ท่านจงไปโจมตีอามาเลข และทำลายบรรดาที่เขามีนั้นเสียให้สิ้นเชิง อย่าปรานีเขาเลย จงฆ่าเสียทั้งผู้ชายผู้หญิง ทั้งทารกและเด็กที่ยังดูดนม ทั้งวัว แกะ อูฐและลา’”
1ซมอ 27.9 ดาวิดก็โจมตีแผ่นดินนั้น ไม่ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ริบแกะ วัว ลา อูฐ และเสื้อผ้า แล้วกลับมาหาอาคีช
2ซมอ 5.8 ในวันนั้นดาวิดตรัสว่า “ผู้ใดจะขึ้นไปตามทางน้ำไหลและโจมตีคนเยบุส คนง่อยและคนตาบอด ผู้ซึ่งจิตใจของดาวิดเกลียดชัง ผู้นั้นจะเป็นผู้บัญชาการทหาร” เพราะฉะนั้นเขาจึงว่ากันว่า “อย่าให้คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาในพระนิเวศ”
2ซมอ 5.23 และเมื่อดาวิดทูลถามพระเยโฮวาห์ พระองค์ตรัสว่า “เจ้าอย่าขึ้น จงอ้อมไปข้างหลังของเขา และโจมตีเขาตรงข้ามกับหมู่ต้นหม่อน
2ซมอ 5.24 และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพเดินอยู่ที่ยอดหมู่ต้นหม่อนเจ้าจงรีบรุกไป เพราะพระเยโฮวาห์เสด็จไปข้างหน้าเพื่อจะโจมตีกองทัพของคนฟีลิสเตีย”
2ซมอ 5.25 และดาวิดทรงกระทำตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาไว้ และได้โจมตีคนฟีลิสเตียจากเกบาถึงเกเซอร์
2ซมอ 8.1 อยู่มาภายหลัง ดาวิดทรงโจมตีคนฟีลิสเตีย และปราบปรามได้ และดาวิดทรงยึดเมืองเมเธกฮัมมาห์ได้จากมือคนฟีลิสเตีย
2ซมอ 11.15 ในลายพระหัตถ์นั้นว่า “จงตั้งอุรีอาห์ให้เป็นกองหน้าเข้าสู้รบตรงที่ดุเดือดที่สุดแล้วล่าทัพกลับเสียเพื่อให้เขาถูกโจมตีให้ตาย”
2ซมอ 17.12 เราทั้งหลายจะเข้ารบกับท่าน ณ ที่หนึ่งที่ใดที่พบกัน และเราจะเข้าโจมตีเหมือนน้ำค้างตกใส่พื้นดิน ตัวท่านและบรรดาคนที่อยู่กับท่านก็จะไม่มีเหลือสักคนหนึ่ง
1พกษ 2.32 พระเยโฮวาห์ทรงทำให้โลหิตของเขากลับมาตกบนศีรษะของเขาเอง เพราะว่าเขาได้โจมตีและฆ่าชายสองคนที่ชอบธรรมและดีกว่าตัวเขาด้วยดาบ โดยที่ดาวิดราชบิดาของเราหาทรงทราบไม่ คืออับเนอร์บุตรเนอร์ผู้บัญชาการกองทัพของอิสราเอล และอามาสาบุตรเยเธอร์ผู้บัญชาการกองทัพของยูดาห์
1พกษ 15.20 แล้วเบนฮาดัดก็ทรงฟังกษัตริย์อาสาและส่งผู้บังคับบัญชาทหารของพระองค์ไปรบหัวเมืองอิสราเอล และได้โจมตีเมืองอิโยน ดาน อาเบลเบธมาอาคาห์ และหมดท้องถิ่นคินเนโรท และหมดดินแดนนัฟทาลี
1พกษ 20.21 กษัตริย์แห่งอิสราเอลก็ออกไปโจมตีม้าและรถรบ และประหารชนซีเรียเสียอย่างใหญ่โต
2พกษ 3.19 เจ้าจะโจมตีเมืองที่มีป้อมทุกเมือง และเมืองเอกทุกเมือง และจะโค่นต้นไม้ลงทุกต้น และจะจุกน้ำพุทุกแห่งเสีย และทำไร่นาที่ดีทุกแปลงให้เสียด้วยหิน”
2พกษ 3.25 เขาทั้งหลายได้ทลายหัวเมือง และต่างคนก็ต่างโยนหินเข้าไปในไร่นาที่ดีทุกแปลงจนเต็ม เขาจุกน้ำพุเสียทุกแห่ง และโค่นต้นไม้ดีๆเสียหมด จนในคีร์หะเรเชทมีแต่หินของเมืองเหลืออยู่ บรรดานักสลิงได้ล้อมเมืองไว้และโจมตีได้
2พกษ 8.21 แล้วโยรัมก็เสด็จพร้อมกับบรรดารถรบของพระองค์ผ่านไปถึงศาอีร์ พอกลางคืนพระองค์ก็ลุกขึ้นโจมตีคนเอโดมซึ่งมาล้อมพระองค์นั้น พร้อมกับผู้บัญชาการรถรบ แล้วกองทัพได้หนีกลับเต็นท์เสีย
2พกษ 14.10 จริงอยู่ ท่านได้โจมตีเอโดม และพระทัยของท่านก็ทำให้ท่านผยองขึ้น จงพอใจในสง่าราศีของท่านเถิด และอยู่กับบ้าน เพราะไฉนท่านจึงเร้าใจตนเองให้ต่อสู้และรับอันตราย อันจะให้ท่านล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์ด้วย”
2พกษ 15.16 ในคราวนั้นเมนาเฮมเข้าปล้นทิฟสาห์และบรรดาผู้ที่อยู่ในเมืองนั้น และดินแดนของเมืองนั้นตั้งแต่ทีรซาห์ไป เพราะเขามิได้เปิดให้แก่ท่าน ท่านจึงโจมตีเมืองนั้น และท่านได้ผ่าท้องหญิงมีครรภ์ในเมืองนั้นเสียทุกคน
2พกษ 18.8 พระองค์ทรงโจมตีคนฟีลิสเตียไกลไปจนถึงเมืองกาซาและดินแดนเมืองนั้น ตั้งแต่ที่ที่มีหอคอยเหตุกระทั่งถึงเมืองที่มีป้อม
2พกษ 19.24 ข้าขุดบ่อและดื่มน้ำต่างด้าว ข้าเอาฝ่าเท้าของข้ากวาดธารน้ำทั้งสิ้นของสถานที่ที่ถูกล้อมโจมตีให้แห้งไป”
2พกษ 25.25 แต่อยู่มาในเดือนที่เจ็ดอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์บุตรชายเอลีชามาผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ ได้เข้ามาพร้อมกับชายสิบคน ได้โจมตีและฆ่าเกดาลิยาห์และพวกยิวกับคนเคลเดียผู้อยู่กับท่านที่มิสปาห์เสีย
1พศด 4.41 แล้วคนเหล่านี้ซึ่งมีชื่อในสำมะโนครัวได้เข้ามาในสมัยของเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และโจมตีเต็นท์ของเขา และที่อยู่อาศัยทั้งหลายที่พบอยู่ที่นั่น และกวาดล้างเขาเสียจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในที่ของเขา เพราะที่นั่นมีทุ่งหญ้าให้ฝูงแพะแกะของเขา
1พศด 4.43 และเขาได้โจมตีคนอามาเลขส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งหนีรอดไป แล้วเขาทั้งหลายก็อาศัยอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
1พศด 11.6 ดาวิดรับสั่งว่า “ผู้ใดที่โจมตีคนเยบุสได้ก่อนจะได้เป็นหัวหน้าและผู้บังคับบัญชา” และโยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ได้ยกขึ้นไปก่อน ท่านจึงได้เป็นหัวหน้า
1พศด 14.14 และเมื่อดาวิดทูลถามพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าตรัสตอบพระองค์ว่า “เจ้าอย่าขึ้นไปตามเขา จงอ้อมไปและโจมตีเขาที่ตรงข้ามกับหมู่ต้นหม่อน
1พศด 14.15 และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพอยู่ที่ยอดหมู่ต้นหม่อนแล้ว จงออกไปทำศึก เพราะว่าพระเจ้าได้เสด็จออกไปข้างหน้าเพื่อโจมตีกองทัพของคนฟีลิสเตีย”
1พศด 14.16 และดาวิดทรงกระทำตามที่พระเจ้าบัญชาแก่พระองค์ และเขาทั้งหลายโจมตีกองทัพคนฟีลิสเตียตั้งแต่เมืองกิเบโอนถึงเมืองเกเซอร์
1พศด 18.1 และอยู่ต่อมาดาวิดทรงโจมตีคนฟีลิสเตียและทรงปราบปรามเขาเสีย ทรงยึดเมืองกัทและชนบทของเมืองนั้นจากมือคนฟีลิสเตีย
1พศด 18.2 และพระองค์ทรงโจมตีโมอับ และคนโมอับก็เป็นผู้รับใช้ของดาวิดและนำบรรณาการมาถวาย
1พศด 18.3 ดาวิดทรงโจมตีฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์ของเมืองโศบาห์ด้วยตรงไปยังเมืองฮามัท ขณะเมื่อพระองค์เสด็จไปตั้งอำนาจการปกครองของพระองค์ที่แม่น้ำยูเฟรติส
1พศด 18.9 เมื่อโทอูกษัตริย์แห่งเมืองฮามัทได้ยินว่าดาวิดทรงโจมตีกองทัพทั้งสิ้นของฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์แห่งเมืองโศบาห์แล้ว
1พศด 20.1 และอยู่มาพอสิ้นปีแล้วเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบ โยอาบก็นำกำลังกองทัพไปกวาดล้างแผ่นดินของคนอัมโมน และมาล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม และโยอาบก็โจมตีเมืองรับบาห์ และคว่ำเมืองนั้นเสีย
2พศด 14.14 และเขาก็โจมตีบรรดาหัวเมืองรอบเมืองเก-ราร์ เพราะว่าความกลัวพระเยโฮวาห์นั้นมาครอบเขาทั้งหลาย เขาได้ปล้นหัวเมืองทั้งสิ้น เพราะมีของที่ริบได้ในนั้นมาก
2พศด 14.15 และเขาได้โจมตีเต็นท์ของผู้ที่มีวัว และเอาแกะไปมากมายและอูฐด้วย แล้วเขาก็กลับไปยังเยรูซาเล็ม
2พศด 16.4 และเบนฮาดัดทรงเชื่อฟังกษัตริย์อาสา และส่งผู้บังคับบัญชากองทัพของพระองค์ไปต่อสู้กับหัวเมืองของอิสราเอล และเขาทั้งหลายโจมตีเมืองอิโยน ดาน เอเบลมาอิม และหัวเมืองคลังหลวงทั้งสิ้นของนัฟทาลี
2พศด 21.9 แล้วเยโฮรัมก็เสด็จออกไปพร้อมกับบรรดาเจ้านายและรถรบทั้งสิ้นของพระองค์ และพระองค์ทรงลุกขึ้นในกลางคืนโจมตีคนเอโดม ซึ่งมาล้อมพระองค์และผู้บังคับบัญชารถรบไว้
2พศด 25.11 แต่อามาซิยาห์ทรงกล้าแข็งขึ้น และทรงนำพลของพระองค์ออกไปยังหุบเขาเกลือและโจมตีคนเสอีร์หนึ่งหมื่นคน
2พศด 25.13 แต่คนของกองทัพซึ่งอามาซิยาห์ทรงปลดให้กลับไป และไม่ให้เขาไปรบด้วยนั้น เขาตลบเข้าโจมตีหัวเมืองของยูดาห์ ตั้งแต่สะมาเรียถึงเบธโฮโรน และฆ่าประชาชนเสียสามพันคน และริบข้าวของไปเป็นอันมาก
2พศด 25.19 ท่านว่า ‘ดูซิ ข้าพเจ้าได้โจมตีเอโดม’ และจิตใจของท่านก็ผยองขึ้นในความโอ้อวด แต่จงอยู่กับบ้านเถิด เพราะไฉนท่านจึงเร้าใจตนเองให้ต่อสู้และรับอันตราย อันจะให้ท่านล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์กับท่าน”
2พศด 28.17 เพราะคนเอโดมได้บุกรุกเข้ามาอีก และโจมตียูดาห์ และจับไปเป็นเชลยบ้าง
อสธ 9.5 พวกยิวจึงโจมตีศัตรูทั้งหมดของตนด้วยฟันดาบ สังหารและทำลายเขา และทำแก่ผู้ที่เกลียดชังเขาตามใจชอบ
โยบ 1.15 และคนเสบามาโจมตีเอามันไป และฆ่าคนใช้เสียด้วยคมดาบ และข้าพเจ้าผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน”
สดด 109.3 เขาทั้งหลายล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยถ้อยคำเกลียดชัง และโจมตีข้าพระองค์อย่างไร้เหตุ
สดด 121.6 ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน
อสย 10.26 และพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงเหวี่ยงแส้มาสู้เขา ดังที่พระองค์ทรงโจมตีคนมีเดียน ณ ศิลาโอเรบ และไม้พลองของพระองค์ที่เคยอยู่เหนือทะเล พระองค์จะทรงยกขึ้นอย่างที่ในอียิปต์
อสย 19.22 และพระเยโฮวาห์จะโจมตีอียิปต์ ทรงโจมตีพลาง ทรงรักษาพลาง และเขาทั้งหลายจะหันกลับมาหาพระเยโฮวาห์ และพระองค์จะทรงฟังคำวิงวอนของเขา และทรงรักษาเขา
อสย 37.25 ข้าขุดบ่อและดื่มน้ำ ข้าได้เอาฝ่าเท้าของข้ากวาดธารน้ำทั้งสิ้นของสถานที่ที่ถูกล้อมโจมตีให้แห้งไป”
ยรม 6.4 “จงเตรียมทำสงครามกับเธอ ลุกขึ้น ให้เราโจมตีเวลาเที่ยงวัน” “วิบัติแก่พวกเรา เพราะว่ากลางวันคล้อยเสียแล้ว เงาของเวลาเย็นก็ยาวออกไป”
ยรม 18.18 แล้วเขากล่าวว่า “มาเถิด ให้เราปองร้ายเยเรมีย์ เพราะว่าพระราชบัญญัติจะไม่พินาศไปจากบรรดาปุโรหิต หรือคำปรึกษาย่อมไม่ขาดจากนักปราชญ์ หรือถ้อยคำไม่ขาดจากผู้พยากรณ์ มาเถิด ให้เราโจมตีเขาด้วยลิ้น และอย่าให้เราฟังคำของเขาเลย”
ยรม 21.6 และเราจะโจมตีชาวกรุงนี้ ทั้งคนและสัตว์ แล้วก็จะตายลงด้วยโรคระบาดขนาดหนัก
ยรม 43.11 เมื่อท่านมาถึง ท่านจะโจมตีแผ่นดินอียิปต์มอบผู้ที่กำหนดให้ถึงความตายจะไปหาความตาย ผู้ถูกกำหนดให้เป็นเชลยแก่การเป็นเชลย และผู้ที่ถูกกำหนดให้ถูกดาบให้แก่ดาบ
ยรม 46.2 เรื่องอียิปต์ เกี่ยวด้วยกองทัพของฟาโรห์เนโค กษัตริย์แห่งอียิปต์ ซึ่งอยู่ที่ริมแม่น้ำยูเฟรติส ที่เมืองคารเคมิช และซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้โจมตีแตกในปีที่สี่แห่งรัชกาลเยโฮยาคิมราชบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า
ยรม 46.13 พระวจนะซึ่งพระเยโฮวาห์ตรัสกับเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ เรื่องการมาของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เพื่อจะโจมตีแผ่นดินอียิปต์ ว่า
ยรม 47.1 พระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งมายังเยเรมีย์ผู้พยากรณ์เกี่ยวด้วยเรื่องฟีลิสเตียก่อนที่ฟาโรห์โจมตีเมืองกาซา
ยรม 48.32 โอ เถาองุ่นแห่งสิบมาห์เอ๋ย เราจะร้องไห้เพื่อเจ้ามากกว่าเพื่อยาเซอร์ กิ่งทั้งหลายของเจ้ายื่นข้ามทะเลจนถึงทะเลของยาเซอร์ ผู้ทำลายได้โจมตีผลไม้ฤดูร้อนและการเก็บองุ่นของเจ้า
ยรม 49.28 เกี่ยวด้วยเรื่องคนเคดาร์และราชอาณาจักรฮาโซร์ ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะโจมตี พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า จงลุกขึ้น รุดเข้าไปสู้คนเคดาร์ จงทำลายประชาชนแห่งตะวันออกเสีย
อสค 38.11 และจะกล่าวว่า ‘เราจะยกกองทัพไปยังแผ่นดินที่ชนบทไม่มีกำแพงล้อม เราจะโจมตีประชาชนที่สงบซึ่งอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย ทุกคนอาศัยอยู่โดยไม่มีกำแพง ไม่มีดาล ไม่มีประตู’
อมส 3.15 เราจะโจมตีเรือนพักฤดูหนาวพร้อมกับเรือนพักฤดูร้อน และเรือนที่ทำด้วยงาช้างจะพินาศ และเรือนใหญ่ๆทั้งสิ้นจะสูญสิ้นไป” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อมส 4.9 “เราโจมตีเจ้าด้วยให้ข้าวม้านและขึ้นรา เมื่อบรรดาสวนของเจ้าและสวนองุ่นของเจ้า พร้อมต้นมะเดื่อและต้นมะกอกเทศของเจ้าผลิตผล ตั๊กแตนก็มากิน เจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ฮกก 2.17 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราได้โจมตีเจ้าและผลงานทั้งสิ้นจากมือของเจ้าด้วยให้ข้าวม้าน และขึ้นรา และด้วยลูกเห็บ แต่เจ้าทั้งหลายก็ยังไม่หันมาหาเรา
ศคย 14.12 ต่อไปนี้เป็นภัยพิบัติซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงใช้โจมตีบรรดาชนชาติทั้งหลายที่ทำสงครามกับเยรูซาเล็ม คือเนื้อของเขาจะเน่าไปเมื่อเขายังยืนอยู่ได้ ตาของเขาจะเน่าคาเบ้าตา และลิ้นของเขาจะเน่าคาปาก
ศคย 14.18 และถ้าครอบครัวแห่งอียิปต์ ซึ่งขาดฝนแล้ว ไม่ขึ้นไปปรากฏตัวที่นั่น ก็จะบังเกิดภัยพิบัติด้วย ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงใช้โจมตีประชาชาติอื่นๆซึ่งไม่ขึ้นไปถือเทศกาลอยู่เพิง
มลค 4.6 และท่านผู้นั้นจะกระทำให้จิตใจของพ่อหันไปหาลูก และจิตใจของลูกหันไปหาพ่อ หาไม่ เราจะมาโจมตีแผ่นดินนั้นด้วยคำสาปแช่ง”

โจร ( 28 )
2พกษ 13.21 อยู่มาเมื่อเขากำลังส่งศพคนหนึ่งไป ดูเถิด เขาเห็นโจรหมู่หนึ่ง เขาจึงโยนศพชายคนนั้นลงไปในอุโมงค์ของเอลีชา พอศพชายคนนั้นลงไปแตะต้องกระดูกของเอลีชา เขาก็คืนชีวิตลุกขึ้นยืน
โยบ 12.6 เต็นท์ของโจรก็มั่งคั่ง และบุคคลที่ยั่วเย้าพระเจ้าก็มั่นคง พระเจ้าทรงนำของมากมายมาสู่มือของเขา
โยบ 30.5 เขาถูกขับไล่ออกไปจากท่ามกลางคน (มีคนตะโกนตามเขาไปอย่างตามโจร)
สดด 50.18 เมื่อเจ้าเห็นโจร เจ้าก็คบเขา และเจ้าเข้าสังคมกับคนล่วงประเวณี
อสย 1.23 เจ้านายของเจ้าเป็นพวกกบฏและเป็นเพื่อนของโจร ทุกคนรักสินบนและวิ่งตามของกำนัล เขามิได้ป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ และคดีของหญิงม่ายก็ไม่มาถึงเขา
ยรม 2.26 เมื่อโจรถูกจับมีความละอายฉันใด วงศ์วานของอิสราเอลก็จะละอายฉันนั้น ทั้งตัวเขา กษัตริย์ เจ้านาย ปุโรหิตและผู้พยากรณ์ทั้งหลายของเขา
ยรม 7.11 นิเวศนี้ซึ่งเรียกตามนามของเรา ในสายตาของเจ้าได้กลายเป็นที่ซ่องสุมของพวกโจรไปแล้วหรือ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ดูเถิด แม้แต่เราก็ได้เห็นเองแล้ว
ยรม 48.27 อิสราเอลไม่ถูกเจ้าเยาะเย้ยหรือ ไปพบเขาท่ามกลางโจรหรือ เมื่อเจ้าพูดถึงเขา เจ้าจึงกระโดดขึ้นด้วยความปีติยินดี
อสค 7.22 เราจะหันหน้าของเราไปเสียจากเขาด้วย แล้วเขาจึงจะกระทำสถานที่ลับของเราให้มัวหมอง โจรจะเข้ามาในสถานที่ลับนั้นและกระทำให้เป็นมลทิน
อสค 18.10 ถ้าเขามีบุตรชายเป็นโจร ผู้กระทำให้โลหิตตก ผู้ได้กระทำสิ่งเหล่านี้สิ่งเดียวแก่พี่น้อง
ยอล 2.9 มันจะกระโดดเข้าในเมือง มันจะวิ่งอยู่บนกำแพงเมือง มันจะปีนเข้าไปในบ้านเรือน มันจะเข้าไปทางหน้าต่างเหมือนกับโจร
ศคย 5.4 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เราส่งคำสาปนั้นออกไป และคำนั้นจะเข้าไปในเรือนของโจร และในเรือนของคนที่ปฏิญาณเท็จโดยออกนามของเรา และคำนี้จะค้างคืนอยู่ในเรือน ผลาญเรือนนั้นเสียทั้งตัวไม้และศิลา”
มธ 21.13 และตรัสกับเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า ‘นิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน’ แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ‘ถ้ำของพวกโจร’”
มธ 26.55 ขณะนั้นพระเยซูตรัสกับหมู่ชนว่า “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบ ถือตะบองออกมาจับเรา เราได้นั่งกับท่านทั้งหลายสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน ท่านก็หาได้จับเราไม่
มธ 27.38 คราวนั้นมีโจรสองคนถูกตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง ข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง
มธ 27.44 ถึงโจรที่ถูกตรึงไว้กับพระองค์ก็ยังกล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์เหมือนกัน
มก 11.17 พระองค์ตรัสสอนเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้มิใช่หรือว่า ‘นิเวศของเราประชาชาติทั้งหลายจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน’ แต่เจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เป็น ‘ถ้ำของพวกโจร’”
มก 14.48 พระเยซูจึงตรัสถามพวกเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบ ถือตะบองออกมาจับเรา
มก 15.27 เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง
ลก 10.30 พระเยซูตรัสตอบว่า “มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น โจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตี แล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว
ลก 10.36 ในสามคนนั้น ท่านคิดเห็นว่า คนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกพวกโจรปล้น”
ลก 19.46 ตรัสแก่เขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า ‘นิเวศของเราเป็นนิเวศสำหรับอธิษฐาน’ แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ‘ถ้ำของพวกโจร’”
ลก 22.52 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่พวกปุโรหิตใหญ่ พวกนายทหารรักษาพระวิหาร และพวกผู้ใหญ่ที่ออกมาจับพระองค์นั้นว่า “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบถือตะบองออกมา
ยน 10.1 “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ที่มิได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร
ยน 10.8 บรรดาผู้ที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะก็มิได้ฟังเขา
ยน 18.40 คนทั้งหลายจึงร้องขึ้นอีกว่า “อย่าปล่อยคนนี้ แต่จงปล่อยบารับบัส” บารับบัสนั้นเป็นโจร
2คร 11.26 ข้าพเจ้าต้องเดินทางบ่อยๆ เผชิญภัยอันน่ากลัวในแม่น้ำ เผชิญโจรภัย เผชิญภัยจากชนชาติของข้าพเจ้าเอง เผชิญภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในนคร เผชิญภัยในป่า เผชิญภัยในทะเล เผชิญภัยจากพี่น้องเทียม

โจรกรรม ( 2 )
อสค 22.29 ประชาชนแห่งแผ่นดินกระทำการบีบคั้นและกระทำโจรกรรม เออ เขาบีบบังคับคนยากจนและคนขัดสน และบีบคั้นคนต่างด้าวอย่างอยุติธรรม
มธ 23.25 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยโจรกรรมและการมัวเมากิเลส

ใจ ( 498 )
ปฐก 6.5 และพระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วของมนุษย์มีมากบนแผ่นดินโลก และเจตนาทุกอย่างแห่งความคิดทั้งหลายในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายอย่างเดียวเสมอไป
ปฐก 8.21 พระเยโฮวาห์ได้ดมกลิ่นหอมหวาน และพระเยโฮวาห์ทรงดำริในพระทัยว่า “เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดินอีกเพราะเหตุมนุษย์ ด้วยว่าเจตนาในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายตั้งแต่เด็กมา เราจะไม่ประหารสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตอีกเหมือนอย่างที่เราได้กระทำแล้วนั้น
ปฐก 16.4 ท่านเข้าไปหานางฮาการ์ นางก็ตั้งครรภ์ เมื่อนางรู้ว่านางตั้งครรภ์แล้ว นางก็ดูหมิ่นนายผู้หญิงของนางในใจ
ปฐก 16.5 นางซารายจึงพูดกับอับรามว่า “ให้ความผิดของข้าพเจ้าตกอยู่กับท่านเถิด ข้าพเจ้าให้สาวใช้ของข้าพเจ้าไว้ในอ้อมอกของท่าน เมื่อนางรู้ว่านางตั้งครรภ์แล้วนางก็ดูหมิ่นข้าพเจ้าในใจของนาง ขอพระเยโฮวาห์ทรงพิพากษาระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน”
ปฐก 17.17 ดังนั้นอับราฮัมจึงซบหน้าลงหัวเราะคิดในใจของท่านว่า “ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีจะให้กำเนิดบุตรได้หรือ ซาราห์ผู้มีอายุได้เก้าสิบปีแล้วจะคลอดบุตรหรือ”
ปฐก 18.12 ฉะนั้นนางซาราห์จึงหัวเราะในใจพูดว่า “ข้าพเจ้าแก่แล้ว นายของข้าพเจ้าก็แก่ด้วย ข้าพเจ้าจะมีความยินดีอีกหรือ”
ปฐก 24.45 เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานในใจไม่ทันขาดคำ ดูเถิด นางเรเบคาห์แบกไหน้ำของนางเดินออกมา นางลงไปตักน้ำที่บ่อน้ำ ข้าพเจ้าพูดกับนางว่า ‘ขอน้ำให้ข้าพเจ้าดื่มหน่อย’
ปฐก 26.35 หญิงเหล่านั้นทำให้อิสอัคและเรเบคาห์มีใจโศกเศร้า
ปฐก 27.41 ฝ่ายเอซาวก็เกลียดชังยาโคบเพราะเหตุพรที่บิดาได้ให้แก่เขานั้น เอซาวรำพึงในใจว่า “วันไว้ทุกข์พ่อใกล้เข้ามาแล้ว หลังจากนั้นข้าจะฆ่ายาโคบน้องชายของข้าเสีย”
ปฐก 37.11 พวกพี่ชายอิจฉาโยเซฟ บิดาก็นิ่งตรองเรื่องนี้อยู่แต่ในใจ
อพย 4.21 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ จงกระทำมหัศจรรย์ต่างๆซึ่งเรามอบไว้ในมือของเจ้าแล้วนั้นต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง เพื่อเขาจะไม่ยอมให้พลไพร่ไป
อพย 7.3 เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้างไป และเราจะกระทำหมายสำคัญและมหัศจรรย์ของเราให้ทวีมากขึ้นในประเทศอียิปต์
อพย 7.14 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง ไม่ยอมปล่อยให้พลไพร่ไป
อพย 10.1 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำให้ใจของฟาโรห์ และใจของข้าราชการแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงหมายสำคัญเหล่านี้ของเราต่อหน้าพวกเขา
อพย 14.4 เราจะบันดาลให้ใจฟาโรห์แข็งกระด้างไป ฟาโรห์จะไล่ตามมา แล้วเราจะได้รับเกียรติยศเพราะฟาโรห์และบรรดาพลโยธาของเขา แล้วชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์” เขาทั้งหลายก็กระทำตามรับสั่งนั้น
อพย 14.17 ดูเถิด ส่วนเราก็จะบันดาลให้ใจชาวอียิปต์แข็งกระด้างไล่ตามมา แล้วเราจะได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ พลโยธา รถรบ และพลม้าทั้งหมดของเขา
อพย 15.16 ความรู้สึกเสียวสยอง และความตกใจกลัวจะอุบัติขึ้นในใจของเขา เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของพระองค์ เขาจะหยุดนิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ จนพลไพร่ของพระองค์ผ่านพ้นไป จนชนชาติซึ่งพระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วผ่านไป
อพย 23.9 เจ้าอย่าข่มเหงคนต่างด้าวเพราะเจ้ารู้จักใจคนต่างด้าวแล้ว เพราะว่าเจ้าทั้งหลายก็เคยเป็นคนต่างด้าวในประเทศอียิปต์มาก่อน
อพย 36.2 โมเสสจึงเรียกเบซาเลลและโอโฮลีอับ กับคนทั้งปวงที่เฉลียวฉลาดซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงประทานสติปัญญาให้แก่จิตใจของเขา และใจของเขาปรารถนาให้มาทำงาน
ลนต 19.17 อย่าเกลียดชังพี่น้องของเจ้าอยู่ในใจ แต่เจ้าจงตักเตือนเพื่อนบ้านของเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องรับโทษเพราะเขา
ลนต 26.15 ถ้าเจ้าปฏิเสธกฎเกณฑ์ของเรา และใจของเจ้าเกลียดชังต่อคำตัดสินของเรา เจ้าจึงไม่กระทำตามบัญญัติทั้งสิ้นของเรา แต่ทำลายพันธสัญญาของเรา
พบญ 2.30 แต่สิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบน ไม่ยอมให้เราทั้งหลายข้ามประเทศของท่าน เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงกระทำจิตใจของสิโหนให้กระด้าง กระทำใจของท่านให้แข็งไป เพื่อจะได้ทรงมอบเขาไว้ในมือของพวกท่าน ดังเป็นอยู่ทุกวันนี้
พบญ 4.9 แต่จงระวังตัว และรักษาจิตวิญญาณของตัวให้ดี เกรงว่าพวกท่านจะลืมสิ่งซึ่งนัยน์ตาได้เห็นนั้น และเกรงว่าสิ่งเหล่านั้นจะหันไปเสียจากใจของท่านตลอดวันคืนแห่งชีวิตของพวกท่าน จงสอนเรื่องเหล่านี้ให้แก่ลูกของพวกท่านและหลานของพวกท่านว่า
พบญ 4.39 เหตุฉะนั้นจงทราบเสียในวันนี้และตรึกตรองอยู่ในใจว่า พระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าในฟ้าสวรรค์เบื้องบนและบนแผ่นดินเบื้องล่าง หามีพระเจ้าอื่นใดอีกไม่เลย
พบญ 6.6 และจงให้ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน
พบญ 7.17 ถ้าท่านทั้งหลายจะนึกในใจว่า ‘ประชาชาติเหล่านี้โตกว่าเรา เราจะขับไล่เขาอย่างไรได้’
พบญ 8.3 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และปล่อยท่านให้หิว และเลี้ยงท่านด้วยมานา ซึ่งท่านเองหรือบรรพบุรุษของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านตระหนักแก่ใจว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์
พบญ 8.5 ท่านทั้งหลายจงพิจารณาอยู่ในใจเถอะว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงตีสอนท่าน เหมือนกับบิดาตีสอนบุตรของตนเช่นกัน
พบญ 8.17 เกรงว่าท่านจะนึกในใจว่า ‘กำลังและเรี่ยวแรงของข้านำทรัพย์มีค่านี้มาให้’
พบญ 9.4 เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ขับไล่เขาออกไปต่อหน้าท่านทั้งหลายแล้ว ท่านทั้งหลายอย่านึกในใจว่า ‘เพราะความชอบธรรมของข้าพระเยโฮวาห์จึงทรงนำข้ามาให้ยึดครองแผ่นดินนี้’ แต่เพราะความชั่วของประชาชาติเหล่านี้ พระเยโฮวาห์จึงทรงขับไล่เขาออกไปต่อหน้าท่าน
พบญ 9.5 ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังเข้าไปยึดครองแผ่นดินนี้นั้น มิใช่เพราะความชอบธรรมของท่านหรือความสัตย์ธรรมในใจของท่าน แต่เป็นเพราะความชั่วของประชาชาตินี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านต้องขับไล่เขาออกเสียต่อหน้าท่านทั้งหลาย และเพื่อว่าพระองค์จะทรงให้เป็นจริงตามพระวจนะซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน คือต่ออับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ
พบญ 11.18 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงจดจำถ้อยคำเหล่านี้ของข้าพเจ้าไว้ในจิตในใจของท่านทั้งหลาย จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ จงเป็นดังเครื่องหมายระหว่างนัยน์ตาของท่าน
พบญ 12.21 ถ้าสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ เพื่อสถาปนาพระนามของพระองค์ที่นั่นนั้นห่างจากท่านเกินไป ท่านจงฆ่าสัตว์จากฝูงวัวฝูงแพะแกะของท่านเถอะ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงประทานแก่ท่าน ดังที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้แล้วนั้น ท่านจงรับประทานในประตูเมืองของท่านตามที่ใจของท่านปรารถนาเถิด
พบญ 18.21 และถ้าท่านนึกในใจว่า ‘ทำอย่างไรเราจึงจะรู้พระวจนะที่พระเยโฮวาห์ยังมิได้ตรัสนั้นได้’
พบญ 20.3 และจะกล่าวว่า ‘โอ อิสราเอล จงฟังเถิด วันนี้ท่านมาใกล้ จะสู้รบกับศัตรูของท่าน อย่าให้ใจของท่านทั้งหลายวิตก อย่ากลัวหรือหวาดหวั่น หรือครั่นคร้ามต่อศัตรูเลย
พบญ 29.19 และต่อมาเมื่อคนนั้นได้ยินถ้อยคำแห่งคำสาปแช่งนี้ จะนึกอวยพรตัวเองในใจว่า ‘แม้ข้าจะเดินด้วยความดื้อดึงตามใจของข้า ข้าก็จะเป็นสุข ไม่ว่าจะเอาการเมาเหล้าซ้อนความกระหายน้ำ’
พบญ 30.6 แล้วพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงตัดใจของท่าน และใจของเชื้อสายของท่าน เพื่อท่านจะได้รักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน เพื่อท่านทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่ได้
พบญ 30.14 แต่ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายมาก อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน ฉะนั้นท่านจึงกระทำตามได้
พบญ 30.17 แต่ถ้าใจของท่านหันเหไป และท่านมิได้ฟัง แต่ถูกลวงให้ไปนมัสการพระอื่นและปรนนิบัติพระนั้น
วนฉ 16.17 จึงบอกความจริงในใจของท่านแก่นางจนสิ้นว่า “มีดโกนยังไม่เคยถูกศีรษะของฉัน เพราะฉันเป็นพวกนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา ถ้าโกนผมฉันเสีย กำลังก็จะหมดไปจากฉัน ฉันก็จะอ่อนเพลียเหมือนชายอื่น”
วนฉ 16.18 เมื่อเดลิลาห์เห็นว่าท่านบอกความจริงในใจแก่นางจนสิ้นแล้ว นางจึงใช้คนไปเรียกเจ้านายฟีลิสเตียว่า “ขอจงขึ้นมาอีกครั้งเดียว เพราะเขาบอกความจริงในใจแก่ฉันจนสิ้นแล้ว” แล้วเจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นมาหานางถือเงินมาด้วย
วนฉ 18.20 ใจของปุโรหิตก็ยินดี เขาจึงเอารูปเอโฟด รูปพระ และรูปแกะสลัก เดินไปในหมู่ประชาชน
วนฉ 19.9 เมื่อชายคนนั้นและภรรยาน้อยกับคนใช้ลุกขึ้นจะออกเดิน พ่อตาของเขาคือบิดาของผู้หญิงก็บอกเขาว่า “ดูเถิด นี่ก็บ่ายใกล้ค่ำแล้ว ขอค้างอยู่อีกคืนหนึ่งเถิด ดูเถิด จะสิ้นวันอยู่แล้ว พักนอนที่นี่เถิด เพื่อใจของเจ้าจะเบิกบาน พรุ่งนี้เช้าขอเจ้าตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทาง เจ้าจะได้ไปบ้าน”
1ซมอ 1.13 ฝ่ายฮันนาห์นั้นนางพูดแต่ในใจ ริมฝีปากของนางมุบมิบเท่านั้น ไม่ได้ยินเสียงของนาง เพราะเหตุนี้เอลีจึงสำคัญว่านางมึนเมา
1ซมอ 1.15 แต่ฮันนาห์ตอบว่า “มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ดิฉันเป็นหญิงที่มีทุกข์หนัก ดิฉันมิได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย แต่ดิฉันระบายความในใจของดิฉันออกต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
1ซมอ 2.33 คนของเจ้าซึ่งเรามิได้ตัดขาดเสียจากแท่นบูชาของเรานั้น จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำร้ายดวงตาของเจ้า และทำให้ใจของเจ้าเศร้าโศก และบรรดาผลอันเพิ่มพูนในวงศ์วานของเจ้าจะตายในวัยอันเบ่งบานของเขา
1ซมอ 2.35 และเราจะให้ปุโรหิตผู้สัตย์ซื่อของเราเกิดขึ้นมา ซึ่งจะกระทำตามสิ่งที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา และเราจะสร้างวงศ์วานมั่นคงให้เขา และเขาจะดำเนินอยู่ต่อหน้าผู้ที่เราเจิมไว้เป็นนิตย์
1ซมอ 9.19 ซามูเอลตอบซาอูลว่า “ฉันเป็นผู้ทำนาย จงเดินขึ้นหน้าฉันไปยังปูชนียสถานสูงนั้น เพราะในวันนี้ท่านจะรับประทานอาหารกับฉัน และพรุ่งนี้เช้าฉันจึงจะให้ท่านไป และฉันจะบอกทุกอย่างที่ข้องอยู่ในใจของท่านแก่ท่าน
1ซมอ 21.12 และดาวิดก็จำถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจและกลัวอาคีชกษัตริย์เมืองกัทอย่างมาก
1ซมอ 24.5 ต่อมาภายหลังใจของดาวิดก็ตำหนิตัวท่านเอง เพราะท่านได้ตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล
1ซมอ 27.1 ดาวิดนึกในใจว่า “ข้าคงจะพินาศสักวันหนึ่งด้วยมือของซาอูล ไม่มีสิ่งใดดีกว่าที่ข้าจะหนีไปอยู่ที่แผ่นดินคนฟีลิสเตีย แล้วซาอูลก็จะทรงเลิกไม่ติดตามข้าอีกภายในพรมแดนอิสราเอล และข้าจะรอดพ้นจากมือของท่านได้”
2ซมอ 6.16 และขณะเมื่อหีบของพระเยโฮวาห์เข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นกษัตริย์ดาวิดกระโดดโลดเต้นรำถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และนางก็มีใจหมิ่นประมาท
2ซมอ 15.13 ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาเฝ้าดาวิดกราบทูลว่า “ใจของคนอิสราเอลได้คล้อยตามอับซาโลมไปแล้ว”
2ซมอ 19.7 ฉะนั้น ขอพระองค์ทรงลุกขึ้น ณ บัดนี้ขอเสด็จออกไปตรัสให้ถึงใจข้าราชการทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ได้ปฏิญาณในพระนามพระเยโฮวาห์ว่า ถ้าพระองค์ไม่เสด็จจะไม่มีชายสักคนหนึ่งอยู่กับพระองค์ในคืนนี้ เรื่องนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุร้ายอื่นๆทั้งสิ้นซึ่งบังเกิดแก่พระองค์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนบัดนี้”
1พกษ 2.44 กษัตริย์ตรัสกับชิเมอีว่า “ท่านเองรู้เรื่องเหตุร้ายทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในใจของท่าน ซึ่งท่านได้กระทำต่อดาวิดราชบิดาของเรา เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จะทรงนำเหตุร้ายมาสนองเหนือศีรษะของท่านเอง
1พกษ 8.47 แต่ถ้าเขาสำนึกผิดในใจในแผ่นดินซึ่งเขาได้ถูกจับไปเป็นเชลยและได้กลับใจ และได้ทำการวิงวอนต่อพระองค์ในแผ่นดินของผู้จับเขาไปเป็นเชลย ทูลว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาป และได้ประพฤติชั่วร้ายและได้กระทำความชั่ว’
1พกษ 9.3 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าและคำวิงวอนของเจ้าซึ่งเจ้าได้กระทำต่อเรานั้นแล้ว เราได้รับพระนิเวศซึ่งเจ้าได้สร้างนี้ไว้เป็นสถานบริสุทธิ์และได้ประดิษฐานนามของเราไว้ที่นั่นเป็นนิตย์ ตาของเราและใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดไป
1พกษ 10.24 และทั่วทั้งโลกก็แสวงหาที่จะเข้าเฝ้าซาโลมอน เพื่อจะฟังพระสติปัญญาซึ่งพระเจ้าพระราชทานไว้ในใจของท่าน
1พกษ 12.26 และเยโรโบอัมรำพึงในใจว่า “คราวนี้ราชอาณาจักรจะหันกลับไปยังราชวงศ์ของดาวิด
2พกษ 10.30 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับเยฮูว่า “เพราะเจ้าได้ทำดีในการที่กระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา และได้กระทำต่อราชวงศ์อาหับตามทุกอย่างที่อยู่ในใจของเรา ลูกหลานของเจ้าชั่วอายุที่สี่จะได้นั่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล”
2พกษ 20.3 “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ขอวิงวอนต่อพระองค์ ขอทรงระลึกว่า ข้าพระองค์ดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ด้วยความจริงและด้วยใจที่เพียบพร้อม และได้กระทำสิ่งที่ประเสริฐในสายพระเนตรของพระองค์มาอย่างไร” และเฮเซคียาห์ทรงกันแสงอย่างปวดร้าว
1พศด 22.7 ดาวิดรับสั่งซาโลมอนว่า “ลูกเอ๋ย เรามีใจประสงค์ที่จะสร้างพระนิเวศถวายพระนามแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา
1พศด 28.2 แล้วกษัตริย์ดาวิดทรงลุกขึ้นประทับยืน และตรัสว่า “พี่น้องของข้าพเจ้า และประชาชนของข้าพเจ้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีใจประสงค์ที่จะสร้างพระนิเวศอันเป็นที่พักของหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และเพื่อเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้าของเรา และข้าพเจ้าได้จัดเตรียมการก่อสร้างไว้เสร็จแล้ว
1พศด 29.18 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอลบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์ทรงรักษาความประสงค์แห่งความคิดในใจของประชาชนของพระองค์ให้เป็นเช่นนี้เสมอไป และขอทรงตั้งจิตใจของเขาทั้งหลายให้มั่นในพระองค์
2พศด 6.26 เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดอยู่และไม่มีฝน เพราะเขาทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์ ถ้าเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหันกลับเสียจากบาปของเขาทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงให้ใจเขาทั้งหลายรับความทุกข์ใจ
2พศด 6.37 แต่ถ้าเขาสำนึกผิดในใจในแผ่นดินซึ่งเขาได้ถูกจับไปเป็นเชลย และได้กลับใจและได้อธิษฐานต่อพระองค์ในแผ่นดินที่เขาไปเป็นเชลย ทูลว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาป และได้ประพฤติชั่วร้ายและได้กระทำความชั่ว’
2พศด 7.16 เพราะบัดนี้เราได้เลือกสรรและกระทำให้นิเวศนี้เป็นที่บริสุทธิ์เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่นเป็นนิตย์ ตาของเราและใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา
2พศด 9.1 เมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินกิตติศัพท์แห่งซาโลมอน พระนางก็เสด็จมายังเยรูซาเล็ม เพื่อทดลองพระองค์ด้วยปัญหายุ่งยากต่างๆ พร้อมด้วยข้าราชบริพารมากมาย กับอูฐบรรทุกเครื่องเทศและทองคำเป็นอันมาก และเพชรพลอยต่างๆ และเมื่อพระนางเสด็จมาถึงซาโลมอนแล้ว พระนางทูลเรื่องในใจของพระนางทุกประการ
2พศด 9.23 และกษัตริย์ทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกก็แสวงหาที่จะเข้าเฝ้าซาโลมอน เพื่อจะฟังพระสติปัญญาซึ่งพระเจ้าพระราชทานไว้ในใจของท่าน
2พศด 29.10 บัดนี้เรามีใจประสงค์ที่จะกระทำพันธสัญญากับพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพื่อว่าพระพิโรธอันแรงกล้าของพระองค์จะหันไปเสียจากเรา
2พศด 30.19 ผู้ปักใจเสาะหาพระเจ้า คือพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ชำระตัวตามกฎของความบริสุทธิ์แห่งสถานบริสุทธิ์นี้”
อสธ 6.6 ฮามานจึงเข้ามา กษัตริย์ตรัสกับท่านว่า “หากกษัตริย์มีพระประสงค์จะประทานเกียรติยศแก่บุคคลผู้ใดแล้ว กษัตริย์ควรจะทำแก่เขาประการใด” และฮามานรำพึงในใจว่า “ผู้ใดเล่าที่กษัตริย์พอพระทัยจะประทานเกียรติยศมากกว่าข้า”
โยบ 1.5 และเมื่อการเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะใช้ให้ไปทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องเผาบูชาตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า “ชะรอยบุตรชายของข้าพเจ้าได้กระทำบาป และแช่งพระเจ้าอยู่ในใจของเขา” โยบกระทำดังนี้เรื่อยมา
โยบ 6.10 นี่จะเป็นการปลอบโยนใจของข้า ข้าจะเสริมกำลังในความทุกข์ ขออย่าให้พระองค์แสดงพระเมตตา เพราะข้ามิได้ปกปิดพระวจนะขององค์ผู้บริสุทธิ์นั้น
โยบ 8.10 เขาจะไม่สอนท่านและบอกท่าน และกล่าวคำจากใจของเขาหรือ
โยบ 17.4 เพราะพระองค์ทรงปิดใจของเขาทั้งหลายไว้จากความเข้าใจ ฉะนั้นพระองค์จะไม่ทรงยกย่องเขา’
โยบ 17.11 วันของข้าก็ผ่านพ้นไป แผนงานของข้าก็แตกหัก คือความคิดในใจของข้านั้น
โยบ 21.4 ส่วนข้านี้ จะต่อว่ามนุษย์หรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมใจข้าจึงไม่ควรเป็นทุกข์
โยบ 22.22 ขอจงรับพระราชบัญญัติจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และเก็บพระวจนะของพระองค์ไว้ในใจของท่าน
โยบ 23.16 พระเจ้าทรงกระทำให้ใจของข้าอ่อนเปลี้ย องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้กระทำให้ข้าสะทกสะท้าน
โยบ 27.2 “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือพระองค์ผู้ทรงนำความยุติธรรมอันควรตกแก่ข้าไปเสีย และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือผู้ทรงทำใจข้าให้ขมขื่น
โยบ 31.9 ถ้าใจของข้าถูกล่อชวนไปหาผู้หญิง และข้าได้ซุ่มอยู่ที่ประตูเพื่อนบ้านของข้า
โยบ 37.24 เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงยำเกรงพระองค์ พระองค์ไม่ทรงนับถือผู้ใดที่มีใจประกอบด้วยสติปัญญา”
สดด 4.4 โกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป จงคำนึงในใจเวลาอยู่บนที่นอนและสงบอยู่ เซลาห์
สดด 10.3 เพราะคนชั่วอวดถึงสิ่งที่ใจเขาอยากได้นั้น และอวยพรคนที่โลภ ผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเกลียดชัง
สดด 10.6 โดยคิดในใจของเขาว่า “ข้าจะไม่หวั่นไหว เพราะข้าจะไม่พบความยากลำบากเลย”
สดด 10.11 เขาคิดในใจว่า “พระเจ้าลืมแล้ว พระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์และจะไม่ทรงเห็นเลย”
สดด 10.13 ไฉนคนชั่วจึงประณามพระเจ้า และกล่าวในใจของตนเองว่า “พระองค์จะไม่ทรงเอาเรื่องเอาราว”
สดด 13.2 ข้าพระองค์จะต้องตรึกตรองในใจของข้าพระองค์ และมีความทุกข์โศกอยู่ในใจทุกวันนานเท่าใด ศัตรูของข้าพระองค์จะเหนือข้าพระองค์นานเท่าใด
สดด 14.1 คนโง่รำพึงในใจของตนว่า “ไม่มีพระเจ้า” เขาทั้งหลายก็เลวทรามลง เขากระทำกิจการที่น่าสะอิดสะเอียน ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี
สดด 15.2 คือผู้ที่ดำเนินในความเที่ยงธรรม และประพฤติตามความชอบธรรม และพูดความจริงจากใจของตน
สดด 17.10 เขาปิดใจของเขาไว้เพราะเหตุความมั่งคั่งของตน ปากของเขาพูดคำหยิ่งยโส
สดด 18.6 ในยามทุกข์ระทมใจ ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ ข้าพเจ้าร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้าจากพระวิหารของพระองค์ และเสียงร้องของข้าพเจ้าได้ยินต่อพระพักตร์พระองค์ ไปถึงพระกรรณของพระองค์
สดด 25.17 ความยากลำบากในใจของข้าพระองค์ก็ขยายกว้างออกไป โอ ขอทรงนำข้าพระองค์ออกจากความทุกข์ใจของข้าพระองค์
สดด 26.2 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอพิสูจน์ข้าพระองค์ และลองข้าพระองค์เถิด ทดสอบใจและจิตของข้าพระองค์เถิด
สดด 28.3 ขออย่าทรงกวาดข้าพระองค์ไปพร้อมกับคนชั่ว กับบรรดาคนที่กระทำความชั่วช้า ผู้พูดอย่างสันติกับเพื่อนบ้านของตน แต่การปองร้ายอยู่ในใจของเขาทั้งหลาย
สดด 31.24 จงเข้มแข็ง และพระองค์จะให้ใจของท่านกล้าหาญเถิด ท่านทั้งปวงผู้หวังใจในพระเยโฮวาห์
สดด 32.2 บุคคลซึ่งพระเยโฮวาห์มิได้ทรงถือโทษความชั่วช้าก็เป็นสุข คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในใจของเขา
สดด 35.25 อย่าให้เขาทั้งหลายรำพึงในใจว่า “เอ้อเฮอ เราได้ตามใจปรารถนาของเรา” อย่าให้เขากล่าวได้ว่า “เราได้กลืนเขาเสียแล้ว”
สดด 36.1 การละเมิดของคนชั่วล้วงลึกเข้าไปในใจของข้าพเจ้าว่า “ในแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า”
สดด 37.7 จงสงบอยู่ต่อพระเยโฮวาห์ และเพียรรอคอยพระองค์อยู่ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อนเพราะเหตุผู้ที่เจริญตามทางของเขา หรือเพราะเหตุผู้ที่กระทำตามอุบายชั่ว
สดด 37.15 ดาบของเขาจะเข้าไปในใจของเขาเอง และคันธนูของเขาจะหัก
สดด 38.8 ข้าพระองค์ร่วงโรยและฟกช้ำทีเดียว ข้าพระองค์ครวญครางเพราะใจข้าพระองค์ไม่สงบ
สดด 41.6 ถ้าคนหนึ่งคนใดมาเห็นข้าพระองค์ เขาจะพูดเรื่องไร้สาระ ขณะที่ใจของเขาเก็บเรื่องความชั่วช้า เมื่อเขาออกไปเขาก็ป่าวร้องไป
สดด 42.4 เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็ระบายความในใจออกมาได้ เพราะข้าพเจ้าไปกับประชาชน คือไปกับพวกเขาถึงพระนิเวศของพระเจ้า ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงเพลงโมทนา คือมวลชนกำลังมีเทศกาลฉลอง
สดด 51.10 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์ และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์
สดด 53.1 คนโง่รำพึงในใจของตนว่า “ไม่มีพระเจ้า” เขาทั้งหลายก็เลวทรามลง และกระทำความชั่วช้าที่น่าสะอิดสะเอียน ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี
สดด 55.21 คำพูดจากปากของเขาเรียบลื่นยิ่งกว่าเนย แต่สงครามอยู่ภายในใจของเขา ถ้อยคำของเขาอ่อนนุ่มยิ่งกว่าน้ำมัน แต่ทว่าเป็นดาบที่ชักออกมาแล้ว
สดด 58.2 เปล่าเลย ในใจของท่าน ท่านประดิษฐ์ความผิด ท่านชั่งความทารุณแห่งมือของท่านในแผ่นดินโลก
สดด 62.4 เขาคิดแต่เพียงจะผลักท่านลงมาจากยศของท่าน เขาพอใจในความเท็จ เขาอวยพรด้วยปากของเขา แต่เขาแช่งอยู่ในใจ เซลาห์
สดด 62.8 ประชาชนเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ตลอดเวลา จงระบายความในใจของท่านต่อพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา เซลาห์
สดด 66.18 ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วช้าไว้ในใจข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงสดับ
สดด 69.32 บรรดาผู้ถ่อมใจจะเห็นและยินดี ท่านผู้เสาะหาพระเจ้า ขอให้ใจของท่านฟื้นชื่นขึ้น
สดด 73.13 แท้จริง ข้าพเจ้าชำระใจให้สะอาด และชำระมือด้วยความบริสุทธิ์ก็เปล่าประโยชน์
สดด 74.8 เขารำพึงในใจว่า “เราจงทำลายเขาทั้งหลายให้สิ้นเชิง” เขาเผาบรรดาสถานประชุมของพระเจ้าที่ในแผ่นดินหมด
สดด 76.5 ด้วยว่าคนใจเข้มแข็งถูกริบข้าวของ เขาหลับไป ชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นไม่สามารถใช้มือของเขาได้อีกแล้ว
สดด 78.18 เขาทดลองพระเจ้าอยู่ในใจของเขาโดยเรียกร้องอาหารที่เขาอยาก
สดด 84.2 วิญญาณของข้าพระองค์ปรารถนา เออ อาลัยหาบริเวณพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ใจกายของข้าพระองค์โห่ร้องถวายพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
สดด 84.5 ความสุขเป็นของบุคคลที่กำลังของเขาอยู่ในพระองค์ คือคนที่ในใจของเขาเป็นทางทั้งหลายของพระองค์
สดด 86.11 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงสอนพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะดำเนินในความจริงของพระองค์ ขอทรงสำรวมใจของข้าพระองค์ให้ยำเกรงพระนามของพระองค์
สดด 94.15 เพราะความยุติธรรมจะกลับไปหาความชอบธรรม และบรรดาคนเที่ยงธรรมในใจจะติดตามไป
สดด 94.19 เมื่อความกังวลในใจของข้าพระองค์มีมาก การเล้าโลมของพระองค์ก็หนุนจิตใจของข้าพระองค์ให้ชื่นบาน
สดด 95.10 เราจึงเคืองคนชั่วอายุนั้นอยู่สี่สิบปีและว่า “เขาเป็นชนชาติที่มีใจมักหลงผิด เขาไม่รู้จักทางทั้งหลายของเรา”
สดด 101.5 บุคคลใดก็ตามใส่ร้ายเพื่อนบ้านของเขาอย่างลับๆ ข้าพระองค์จะขจัดเขาออกเสีย คนที่มีตายโสและใจที่จองหองข้าพระองค์จะไม่ยอมทนด้วย
สดด 104.15 และน้ำองุ่นซึ่งให้ใจมนุษย์ยินดี น้ำมันเพื่อทำให้หน้าของเขาทอแสง และขนมปังซึ่งเสริมกำลังใจมนุษย์
สดด 105.25 พระองค์ทรงหันใจเขาเหล่านั้นให้เกลียดประชาชนของพระองค์ ให้ใช้กลอุบายแก่ผู้รับใช้ของพระองค์
สดด 107.26 คนเหล่านั้นถูกซัดขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและลงไปสู่ที่ลึก ใจของเขาละลายไปเพราะเหตุความยากลำบาก
สดด 119.11 ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์
สดด 119.36 ขอทรงโน้มใจข้าพระองค์ในบรรดาพระโอวาทของพระองค์และมิใช่ในทางโลภกำไร
สดด 119.111 บรรดาพระโอวาทของพระองค์ ข้าพระองค์รับไว้เป็นมรดกเป็นนิตย์ พระเจ้าข้า เป็นความชื่นบานแก่ใจข้าพระองค์
สภษ 2.2 กระทำหูของเจ้าให้ผึ่งเพื่อรับปัญญา และเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ
สภษ 2.10 เมื่อปัญญาจะเข้ามาในใจของเจ้า และความรู้จะเป็นที่ร่มรื่นแก่จิตใจของเจ้า
สภษ 3.1 บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าลืมกฎเกณฑ์ของเรา แต่ให้ใจของเจ้ารักษาบัญญัติของเรา
สภษ 4.4 บิดาสอนเรา และพูดกับเราว่า “ให้ใจของเจ้ายึดคำสอนของเราไว้ให้มั่น จงรักษาบัญญัติของเรา และมีชีวิตอยู่
สภษ 4.21 อย่าให้มันหนีไปจากสายตาของเจ้า จงรักษามันไว้ภายในใจของเจ้า
สภษ 4.23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะแหล่งแห่งชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ
สภษ 6.21 มัดมันติดไว้บนใจของเจ้าเสมอ ผูกมันไว้ที่คอของเจ้า
สภษ 6.25 อย่าปรารถนาความงามของนางอยู่ในใจของเจ้า อย่าให้นางจับเจ้าด้วยหนังตาของนาง
สภษ 7.3 มัดมันไว้ที่นิ้วมือของเจ้า เขียนมันไว้บนแผ่นจารึกแห่งใจของเจ้า
สภษ 7.25 อย่าให้ใจของเจ้าหันไปตามทางของนาง อย่าหลงทางไปในวิถีของนางนั้น
สภษ 8.5 โอ คนเขลา จงเข้าใจสติปัญญา คนโง่ทั้งหลาย จงมีใจที่เข้าใจ
สภษ 10.8 ผู้ที่มีใจประกอบด้วยปัญญาจะยอมรับบัญญัติ แต่คนที่พูดโง่ๆจะล้มลง
สภษ 12.20 ความหลอกลวงอยู่ในใจของบรรดาผู้คิดแผนการชั่วร้าย แต่บรรดาผู้กะแผนงานแห่งสันติภาพมีความชื่นบาน
สภษ 12.23 คนที่หยั่งรู้ย่อมเก็บความรู้ไว้ แต่ใจคนโง่ป่าวร้องความโง่เขลา
สภษ 12.25 ความกระวนกระวายในใจของมนุษย์ถ่วงเขาลง แต่ถ้อยคำที่ดีกระทำให้เขาชื่นชม
สภษ 13.12 ความหวังที่ถูกหน่วงไว้ทำให้ใจเจ็บช้ำ แต่ความปรารถนาที่สำเร็จแล้วเป็นต้นไม้แห่งชีวิต
สภษ 14.10 จิตใจรู้ความขมขื่นของใจเอง และไม่มีใครอื่นมาเข้าส่วนความชื่นบานของมัน
สภษ 14.13 แม้ใจของคนที่หัวเราะก็เศร้า และที่สุดของความชื่นบานนั้นคือความโศกสลด
สภษ 14.30 ใจที่สงบให้ชีวิตแก่เนื้อหนัง แต่ความริษยากระทำให้กระดูกผุ
สภษ 14.33 ปัญญาอาศัยอยู่ในใจของคนที่มีความเข้าใจ แต่สิ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางบรรดาคนโง่ก็ปรากฏตัว
สภษ 15.11 นรกและแดนพินาศก็ประจักษ์แจ้งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ใจแห่งบุตรทั้งหลายของมนุษย์จะแจ้งเฉพาะพระองค์ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
สภษ 15.13 ใจที่ร่าเริงกระทำให้สีหน้าแจ่มใส แต่โดยความเศร้าในใจดวงจิตก็แหลกสลายไป
สภษ 15.14 ใจของบุคคลผู้มีความเข้าใจก็แสวงหาความรู้ แต่ปากของคนโง่กินความโง่เป็นอาหาร
สภษ 15.28 ใจของคนชอบธรรมรำพึงว่าจะตอบอย่างไร แต่ปากของคนชั่วร้ายเทสิ่งชั่วร้ายออก
สภษ 15.30 สว่างของตาทำให้ใจเปรมปรีดิ์ และข่าวดีกระทำให้กระดูกสดชื่น
สภษ 16.5 ทุกคนที่มีความเย่อหยิ่งในใจก็เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเยโฮวาห์ ถึงแม้มือประสานมือช่วยกัน เขาจะพ้นโทษก็หามิได้
สภษ 16.9 ใจของมนุษย์กะแผนงานทางของเขา แต่พระเยโฮวาห์ทรงนำย่างเท้าของเขา
สภษ 16.19 ที่จะเป็นคนมีใจถ่อมอยู่กับคนยากจนก็ดีกว่าแบ่งของริบมาได้กับคนเย่อหยิ่ง
สภษ 16.23 ใจของปราชญ์กระทำให้ปากของเขาสุขุม และเพิ่มการเรียนรู้แก่ริมฝีปากของเขา
สภษ 17.3 เบ้ามีไว้สำหรับเงิน และเตาถลุงมีไว้สำหรับทองคำ และพระเยโฮวาห์ทรงทดลองใจ
สภษ 18.12 ใจของคนก็จองหองก่อนถึงการถูกทำลาย แต่ความถ่อมใจเดินอยู่หน้าเกียรติ
สภษ 18.15 ใจของคนหยั่งรู้ย่อมหาความรู้ และหูของปราชญ์แสวงความรู้
สภษ 19.3 ความโง่ของคนใดนำความพินาศมาถึงเขา และใจของเขาเกรี้ยวกราดต่อพระเยโฮวาห์
สภษ 19.21 ในใจของมนุษย์มีแผนงานเป็นอันมาก แต่คำปรึกษาของพระเยโฮวาห์นั่นแหละ จะดำรงอยู่ได้
สภษ 20.5 คำปรึกษาในใจของคนเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะสามารถโพงมันออกมาได้
สภษ 20.9 ผู้ใดจะกล่าวได้ว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำใจของข้าพเจ้าให้สะอาดแล้ว ข้าพเจ้าบริสุทธิ์พ้นบาปของข้าพเจ้า”
สภษ 21.4 ตายโส ใจเย่อหยิ่งและการไถนาของคนชั่วร้ายเป็นบาป
สภษ 21.27 เครื่องสักการบูชาของคนชั่วร้ายเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน เมื่อเขานำมาด้วยใจที่ชั่วร้ายจะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
สภษ 22.15 ความโง่ถูกผูกมัดอยู่ในใจของเด็ก แต่ไม้เรียวที่ตีสอนก็ขับมันให้ห่างไปจากเขา
สภษ 23.7 เพราะเขาคิดในใจอย่างไร เขาก็เป็นอย่างนั้น เขาพูดกับเจ้าว่า “จงกินและดื่มเถิด” แต่ใจของเขามิได้อยู่กับเจ้า
สภษ 23.15 บุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าใจของเจ้าฉลาด ใจของเราเองก็จะยินดี
สภษ 23.17 อย่าให้ใจของเจ้าริษยาคนบาป แต่จงยำเกรงพระเยโฮวาห์วันยังค่ำ
สภษ 23.19 บุตรชายของเราเอ๋ย จงฟัง และจงฉลาดเถิด และนำใจของเจ้าไปในทางนั้น
สภษ 23.26 บุตรชายของเราเอ๋ย ขอใจของเจ้าให้เราเถอะ และให้ตาของเจ้าสังเกตดูทางทั้งหลายของเรา
สภษ 23.33 ตาของเจ้าจะมองดูหญิงชั่ว และใจของเจ้าจะพูดตลบตะแลง
สภษ 24.2 เพราะว่าใจของเขาคิดประกอบการทำลาย และริมฝีปากของเขาพูดการประทุษร้าย
สภษ 24.12 ถ้าเจ้าจะว่า “ดูเถิด เราไม่รู้เรื่องนี้เลย” พระองค์ผู้ทรงชั่งใจจะไม่ทรงเพ่งเล็งเห็นหรือ พระองค์ผู้ทรงเฝ้าวิญญาณอยู่เหนือเจ้าจะไม่ทราบหรือ และพระองค์จะไม่ทรงเรียกเอาจากทุกคนตามการกระทำของเขาหรือ
สภษ 24.17 อย่าเปรมปรีดิ์เมื่อศัตรูของเจ้าล้ม และอย่าให้ใจของเจ้ายินดีเมื่อเขาสะดุด
สภษ 24.19 เจ้าอย่ากระวนกระวายเพราะคนชั่ว และอย่ามีใจริษยาคนชั่วร้าย
สภษ 26.23 ริมฝีปากที่ร้อนรนกับใจที่ชั่วร้ายก็เหมือนขี้เงินอยู่บนภาชนะดิน
สภษ 26.24 บุคคลที่เกลียดผู้อื่นก็สอพลอด้วยริมฝีปากของตน และเก็บความหลอกลวงไว้ในใจ
สภษ 26.25 เมื่อเขาพูดจาไพเราะน่าฟังอย่าเชื่อเขา เพราะมีสิ่งน่าเกลียดน่าชังเจ็ดอย่างอยู่ในใจของเขา
สภษ 27.11 บุตรชายของเราเอ๋ย จงฉลาดและกระทำใจของเราให้ยินดี เพื่อเราจะตอบบุคคลที่ตำหนิเราได้
สภษ 28.14 คนที่เกรงกลัวอยู่เสมอก็เป็นสุข แต่บุคคลที่ทำใจตนให้กระด้างจะตกในความลำบากยากเย็น
สภษ 29.17 จงฝึกสอนบุตรชายของเจ้า และเขาจะให้เจ้าได้หยุดพัก เออ เขาจะให้ความปีติยินดีแก่ใจของเจ้า
ปญจ 1.16 ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าได้มาถึงฐานะที่สูงส่ง และได้มีสติปัญญามากกว่าใครๆที่เคยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้า เออ ใจข้าพเจ้าก็เจนจัดในสติปัญญาและความรู้อย่างยิ่ง”
ปญจ 2.1 ข้าพเจ้ารำพึงในใจว่า “มาเถอะ มาลองสนุกสนานกันดู เอ้า จงสนุกสบายใจไป” แต่ดูเถิด เรื่องนี้ก็อนิจจังเช่นกัน
ปญจ 2.3 ข้าพเจ้าครุ่นคิดในใจว่าจะทำอย่างไรกายจึงจะคึกคักด้วยเหล้าองุ่น และใจยังคงแนะนำข้าพเจ้าด้วยสติปัญญา และจะยึดความเขลาไว้อย่างไร จนข้าพเจ้าจะเห็นได้ว่า อะไรจะดีสำหรับให้บุตรทั้งหลายของมนุษย์กระทำภายใต้ท้องฟ้าตลอดชีวิตของเขา
ปญจ 2.10 สิ่งใดๆที่นัยน์ตาของข้าพเจ้าอยากเห็น ข้าพเจ้าก็ไม่ปิดบัง ข้าพเจ้ามิได้ห้ามใจจากความสนุกสนานใดๆ เพราะใจข้าพเจ้าพบความเพลิดเพลินในบรรดางานของข้าพเจ้า และนี่เป็นส่วนของข้าพเจ้าจากการงานทั้งสิ้นของข้าพเจ้า
ปญจ 2.15 ข้าพเจ้าจึงรำพึงในใจว่า “เหตุการณ์อันใดเกิดแก่คนเขลาฉันใด ก็จะเกิดกับตัวข้าพเจ้าฉันนั้น ถ้ากระนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายทำไมเล่า” ข้าพเจ้าจึงรำพึงในใจว่า เรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน
ปญจ 2.22 เพราะว่าเขาได้อะไรจากบรรดาการงานและความเคร่งเครียดในใจที่เขาต้องตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์เล่า
ปญจ 3.17 ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าว่า “พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนชอบธรรมและคนชั่วร้าย เพราะมีกาลกำหนดไว้สำหรับทุกเรื่อง และสำหรับการงานทุกอย่าง”
ปญจ 3.18 ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าเกี่ยวกับสภาพของบุตรทั้งหลายของมนุษย์ว่า “พระเจ้าทรงทดสอบเขาเพื่อจะสำแดงว่าเขาเป็นเพียงสัตว์”
ปญจ 5.2 อย่าให้ใจของเจ้าเร็วและอย่าให้ปากของเจ้าพูดโพล่งๆต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตในสวรรค์ และเจ้าอยู่บนแผ่นดินโลก เหตุฉะนั้นเจ้าจงพูดน้อยคำ
ปญจ 5.20 เขาจะได้ไม่ต้องนึกถึงปีเดือนแห่งชีวิตของตนมาก เพราะพระเจ้าทรงตอบเขาในสิ่งที่ให้ใจเขาปีติยินดี
ปญจ 7.2 ไปยังเรือนที่มีการไว้ทุกข์ก็ดีกว่าไปยังเรือนที่มีการเลี้ยงกัน เพราะนั่นเป็นวาระสุดท้ายของมนุษย์ทั้งปวง และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จะเอาเหตุการณ์นั้นใส่ไว้ในใจ
ปญจ 7.9 อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว เพราะความโกรธมีประจำอยู่ในทรวงอกของคนเขลา
ปญจ 7.22 ด้วยว่าเจ้าก็แจ้งอยู่กับใจของเจ้าเองหลายครั้งหลายหนแล้วว่า ตัวเจ้าเองได้แช่งด่าคนอื่นเหมือนกัน
ปญจ 7.25 ใจข้าพเจ้าหวนกลับมาเรียนรู้และเสาะแสวงหาสติปัญญา และมูลเหตุของสิ่งต่างๆ เพื่อให้รู้ความชั่วร้ายแห่งความเขลา คือความเขลาและความบ้าบอ
ปญจ 7.26 ข้าพเจ้าได้พบอีกสิ่งหนึ่งซึ่งขมขื่นยิ่งกว่าความตาย คือผู้หญิงที่มีใจเป็นบ่วงแร้วและข่าย มือของนางเป็นโซ่ตรวน คนใดเป็นคนที่พอพระทัยพระเจ้า คนนั้นจะหนีพ้นนาง แต่คนบาปจะถูกผู้หญิงคนนั้นจับเอาไป
ปญจ 8.11 เพราะการตัดสินการกระทำชั่วนั้น เขาไม่ได้ลงโทษโดยเร็ว เหตุฉะนั้นใจบุตรทั้งหลายของมนุษย์จึงเจตนามุ่งที่จะกระทำความชั่ว
ปญจ 9.3 นี่แหละเป็นสิ่งสามานย์ที่มีอยู่ในบรรดาการที่บังเกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ คือว่ามีเหตุการณ์อันเดียวกันที่ตกแก่คนทั้งปวง เออ จิตใจของบุตรทั้งหลายของมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความชั่ว และความบ้าบออยู่ในใจของเขาเมื่อมีชีวิตและต่อจากนั้นเขาก็ไปอยู่กับคนตาย
ปญจ 10.4 ถ้าใจของเจ้านายเกิดโมโหขึ้นต่อท่าน อย่าออกเสียจากที่ของท่าน เพราะว่าอารมณ์เย็นย่อมระงับความผิดใหญ่หลวงไว้ได้
ปญจ 10.20 อย่าแช่งด่ากษัตริย์ เออ แม้แต่คิดแช่งด่าในใจก็อย่าเลย และอย่าแช่งคนมั่งมีที่ในห้องนอนของเจ้า เพราะนกในอากาศจะคาบเสียงของเจ้าไป หรือตัวที่มีปีกจะเล่าเรื่องนั้น
ปญจ 11.9 โอ เยาวชน จงเปรมปรีดิ์ในปฐมวัยของเจ้า และให้จิตใจของเจ้ากระทำตัวเจ้าให้ร่าเริงในปีเดือนแห่งปฐมวัยของเจ้า เจ้าจงดำเนินในทางแห่งใจของเจ้าและตามสายตาของเจ้า แต่จงทราบว่าเนื่องด้วยกิจการงานทั้งปวงเหล่านี้พระเจ้าจะทรงนำเจ้าเข้ามาถึงการพิพากษา
ปญจ 11.10 ฉะนั้นจงตัดความเศร้าหมองเสียจากใจของเจ้า และจงสลัดความชั่วร้ายเสียจากเนื้อหนังของเจ้า เพราะความหนุ่มสาวและวัยฉกรรจ์นั้นเป็นอนิจจัง
พซม 5.2 ดิฉันหลับแล้ว แต่ใจของดิฉันยังตื่นอยู่ คือมีเสียงเคาะของที่รักของดิฉันพูดว่า “น้องสาวจ๋า ที่รักของฉันจ๋า เปิดประตูให้ฉันซิจ๊ะ แม่นกเขาของฉันจ๊ะ แม่คนงามหมดจดของฉันจ๋า เพราะศีรษะของฉันก็ถูกน้ำค้างชื้น และเส้นผมของฉันก็ชุ่มด้วยละอองน้ำฟ้าแห่งราตรีกาล”
พซม 5.4 ที่รักของดิฉันสอดมือของเขาเข้ามาทางรูประตู และใจดิฉันก็กระสันถึงเขา
พซม 8.6 จงแนบดิฉันไว้ดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความริษยาก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย และประกายแห่งความริษยานั้นก็คือประกายเพลิง คือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง
อสย 1.14 ใจของเราเกลียดวันข้างขึ้นของเจ้าและวันเทศกาลตามกำหนดของเจ้า มันกลายเป็นภาระแก่เรา เราแบกเหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว
อสย 10.7 แต่เขามิได้ตั้งใจอย่างนั้น และจิตใจของเขาก็มิได้คิดอย่างนั้น แต่ในใจของเขาคิดจะทำลาย และตัดประชาชาติเสียมิใช่น้อย
อสย 14.13 เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า ‘ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า ข้าจะนั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน ณ ด้านทิศเหนือ
อสย 16.11 ฉะนั้นจิตของข้าพเจ้าจึงจะร่ำไห้เหมือนพิณเขาคู่เพื่อโมอับ และใจของข้าพเจ้าร่ำไห้เพื่อคีร์เฮเรส
อสย 19.1 ภาระเกี่ยวกับอียิปต์ ดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงเมฆอันรวดเร็วและจะเสด็จมายังอียิปต์ ต่อพระพักตร์พระองค์ รูปเคารพแห่งอียิปต์จะสั่นสะเทือน และใจของคนอียิปต์จะละลายไปภายในตัวเขา
อสย 26.3 ใจแน่วแน่ในพระองค์นั้น พระองค์ทรงรักษาไว้ในสันติภาพอันสมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์
อสย 32.6 เพราะคนเลวทรามจะพูดอย่างเลวทราม และใจของเขาก็ปองความชั่วช้า เพื่อประกอบความหน้าซื่อใจคด เพื่อออกปากพูดความผิดเกี่ยวกับพระเยโฮวาห์ เพื่อทำจิตใจของคนหิวให้อดอยากและจะไม่ให้คนกระหายได้ดื่ม
อสย 38.3 ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ขอวิงวอนต่อพระองค์ ขอทรงระลึกว่า ข้าพระองค์ดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ด้วยความจริงและด้วยใจที่เพียบพร้อม และได้กระทำสิ่งที่ประเสริฐในสายพระเนตรของพระองค์มาอย่างไร” และเฮเซคียาห์ทรงกันแสงอย่างปวดร้าว
อสย 42.1 จงดูผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งเราเชิดชู ผู้เลือกสรรของเรา ผู้ซึ่งใจเราปีติยินดี เราได้เอาวิญญาณของเราสวมท่านไว้แล้ว ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปให้แก่บรรดาประชาชาติ
อสย 44.19 ไม่มีใครพินิจพิเคราะห์ในใจของตนเลย และไม่มีความรู้หรือความเข้าใจ ที่จะกล่าวว่า “ข้าได้เผามันเสียส่วนหนึ่งในกองไฟ และข้าก็เอาถ่านมันมาปิ้งขนมปัง ข้าย่างเนื้อกินแล้ว และควรหรือที่ข้าจะทำส่วนที่เหลือให้เป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชัง ควรหรือที่ข้าจะกราบลงต่อท่อนไม้ท่อนหนึ่ง”
อสย 44.20 เขากินขี้เถ้า ใจที่หลอกลวงนำเขาให้เจิ่น เขาช่วยจิตใจตัวเขาเองให้พ้นหรือพูดว่า “ไม่มีความมุสาอยู่ในมือข้างขวาของข้าหรือ” ก็ไม่ได้
อสย 46.8 จำข้อนี้ไว้และจงเป็นลูกผู้ชายแท้ โอ เจ้าผู้ละเมิดทั้งหลาย จงนึกไว้ในใจ
อสย 47.8 ฉะนั้น เจ้าผู้รักความเพลิดเพลิน จงฟังเรื่องนี้ คือผู้นั่งอย่างไร้กังวล ผู้คิดในใจของตนว่า “ข้านี่แหละ และไม่มีผู้ใดอื่นอีก ข้าจะไม่นั่งอยู่เป็นแม่ม่าย หรือรู้จักที่จะพรากจากลูก”
อสย 47.10 ด้วยว่าเจ้ารู้สึกมั่นอยู่ในความชั่วของเจ้า เจ้าว่า “ไม่มีผู้ใดเห็นข้า” สติปัญญาของเจ้าและความรู้ของเจ้าทำให้เจ้าเจิ่นไป และเจ้าจึงว่าในใจของเจ้าว่า “ข้านี่แหละ และไม่มีผู้ใดอื่นอีก”
อสย 49.21 แล้วเจ้าจะกล่าวในใจของเจ้าว่า ‘ใครหนอได้ให้กำเนิดคนเหล่านี้แก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าสูญเสียลูกๆไปแล้ว และข้าพเจ้าก็โดดเดี่ยว ถูกกวาดไปเป็นเชลยและย้ายไปโน่นมานี่ แต่ใครหนอชุบเลี้ยงคนเหล่านี้ ดูเถิด ข้าพเจ้าถูกทิ้งอยู่ตามลำพัง แล้วคนเหล่านี้มาจากไหนกัน’”
อสย 51.7 จงฟังเรา เจ้าทั้งหลายผู้รู้ถึงความชอบธรรม ชนชาติซึ่งราชบัญญัติของเราอยู่ในใจ อย่ากลัวการตำหนิของมนุษย์ และอย่าวิตกต่อการกล่าวหยาบช้าของเขา
อสย 54.6 เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงเรียกเจ้า ดังภรรยาผู้ถูกละทิ้งและโทมนัสในใจ เหมือนภรรยาสาวเมื่อนางถูกทิ้ง” พระเจ้าของเจ้าตรัสดังนี้
อสย 57.15 องค์ผู้สูงเด่นคือผู้อยู่ในนิรันดร์กาล ผู้ทรงพระนามว่าบริสุทธิ์ ตรัสดังนี้ว่า “เราอยู่ในที่ที่สูงและบริสุทธิ์ และอยู่กับผู้ที่มีจิตใจสำนึกผิดและถ่อม เพื่อจะรื้อฟื้นจิตใจของผู้ใจถ่อม และรื้อฟื้นใจของผู้สำนึกผิด
อสย 59.13 คือการละเมิด การปฏิเสธพระเยโฮวาห์ การหันไปจากการติดตามพระเจ้าของเรา การพูดที่เป็นการบีบบังคับและการกบฏ การก่อและการกล่าวคำเท็จจากใจ
อสย 60.5 แล้วเจ้าจะเห็นและโชติช่วงด้วยกัน ใจของเจ้าจะเกรงกลัวและใจกว้างขึ้น เพราะความอุดมสมบูรณ์ของทะเลจะหันมาหาเจ้า ความมั่งคั่งของบรรดาประชาชาติจะมายังเจ้า
อสย 63.4 เพราะวันแก้แค้นอยู่ในใจของเรา และปีแห่งการไถ่ของเราได้มาถึง
อสย 63.17 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ไฉนพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายผิดไปจากพระมรรคาของพระองค์ และกระทำใจของข้าพระองค์ให้แข็งกระด้างจนข้าพระองค์ไม่ยำเกรงพระองค์ ขอพระองค์ทรงกลับมาเพื่อเห็นแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์คือ ตระกูลทั้งหลายอันเป็นมรดกของพระองค์
อสย 66.2 สิ่งเหล่านี้มือของเราได้กระทำทั้งสิ้น บรรดาสิ่งเหล่านั้นจึงเป็นขึ้นมา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ “แต่คนนี้ต่างหากที่เราจะมอง คือเขาผู้ที่ถ่อมและสำนึกผิดในใจ และตัวสั่นเพราะคำของเรา
อสย 66.14 เมื่อเจ้าเห็นอย่างนี้ ใจของเจ้าจะเปรมปรีดิ์ กระดูกของเจ้าจะกระชุ่มกระชวยอย่างผักหญ้า และเขาจะรู้กันว่าหัตถ์ของพระเยโฮวาห์อยู่กับผู้รับใช้ของพระองค์ และความพิโรธต่อสู้ศัตรูของพระองค์
ยรม 3.16 และต่อมาเมื่อเจ้าทวีและเพิ่มขึ้นในแผ่นดินนั้น ในครั้งนั้น” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เขาทั้งหลายจะไม่กล่าวอีกว่า ‘หีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์’ เรื่องนี้จะไม่มีขึ้นในใจ ไม่มีใครระลึกถึง ไม่มีใครนึกถึง จะไม่ทำกันขึ้นอีกเลย
ยรม 3.17 ในครั้งนั้นเขาจะเรียกกรุงเยรูซาเล็มว่า เป็นพระที่นั่งของพระเยโฮวาห์ และบรรดาประชาชาติจะรวบรวมกันเข้ามาหายังพระนามของพระเยโฮวาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะไม่ติดตามใจอันชั่วของเขาอย่างดื้อกระด้างอีกต่อไป
ยรม 4.14 โอ กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงล้างจิตใจของเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้าย เพื่อเจ้าจะรอดได้ ความคิดชั่วร้ายของเจ้านั้นจะสิงอยู่ในใจของเจ้านานสักเท่าใด
ยรม 5.24 ข้อความนี้เขาไม่มุ่งอยู่ในใจของเขาทั้งหลายว่า ‘บัดนี้ให้เรายำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ผู้ทรงประทานฝนตามฤดูของมันคือฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู และทรงรักษาสัปดาห์ที่กำหนดการเกี่ยวข้าวไว้ให้แก่เรา’
ยรม 7.31 และได้สร้างปูชนียสถานสูงของโทเฟท ซึ่งอยู่ในหุบเขาแห่งบุตรชายของฮินโนม เพื่อจะเผาบุตรชายและบุตรสาวของเขาทั้งหลายเสียด้วยไฟ ซึ่งเรามิได้บัญชา และไม่เคยมีขึ้นในใจของเรา
ยรม 9.8 ลิ้นของเขาเป็นลูกศรมฤตยู มันพูดมารยา เขาพูดอย่างสันติกับเพื่อนบ้านของเขาด้วยปาก แต่ในใจของเขา เขาวางแผนการคอยดักเขาอยู่”
ยรม 9.26 อียิปต์ ยูดาห์ เอโดม และคนอัมโมน โมอับและบรรดาคนที่อยู่ในมุมที่ไกลที่สุด ทุกคนที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เพราะบรรดาประชาชาติเหล่านี้มิได้รับพิธีเข้าสุหนัต และบรรดาวงศ์วานอิสราเอลก็มิได้รับพิธีเข้าสุหนัตทางใจ”
ยรม 11.20 แต่ว่า โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม ผู้ทรงทดลองดูทั้งใจและจิต ขอให้ข้าพระองค์แลเห็นการแก้แค้นของพระองค์ตกแก่เขา เพราะข้าพระองค์ได้มอบเรื่องของข้าพระองค์ไว้กับพระองค์แล้ว
ยรม 12.2 พระองค์ทรงปลูกเขาทั้งหลาย และเขาทั้งหลายก็หยั่งรากลง เขาทั้งหลายงอกงามขึ้นและบังเกิดผล พระองค์ทรงอยู่ใกล้ที่ปากของเขา แต่ไกลจากใจของเขา
ยรม 12.3 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แต่พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ พระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์และทรงทดลองใจของข้าพระองค์ที่มีต่อพระองค์ ขอทรงฉุดเขาออกมาเหมือนแกะสำหรับการฆ่า และตั้งเขาทั้งหลายไว้ต่างหากเพื่อวันฆ่า
ยรม 13.22 และถ้าเจ้าว่าในใจของเจ้าว่า ‘ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดกับข้า’ ก็เพราะความชั่วช้าที่มากมายใหญ่โตของเจ้า เสื้อของเจ้าจึงต้องถูกถลกขึ้น และส้นเท้าของเจ้าจึงไม่ปิดบัง
ยรม 17.5 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “คนที่วางใจในมนุษย์และให้เนื้อหนังเป็นแขนของเขา และใจของเขาหันออกจากพระเยโฮวาห์ คนนั้นก็เป็นที่สาปแช่ง
ยรม 17.9 จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า
ยรม 17.10 “เราคือพระเยโฮวาห์ตรวจค้นดูจิต และทดลองดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของเขา”
ยรม 19.5 และได้สร้างปูชนียสถานสูงสำหรับพระบาอัล เพื่อจะเผาบุตรชายของเขาเสียในไฟ เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระบาอัล ซึ่งเรามิได้บัญชาหรือให้ประกาศิต หรือได้นึกในใจของเรา
ยรม 20.9 แล้วข้าพระองค์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะไม่อ้างถึงพระองค์หรือกล่าวในพระนามของพระองค์อีก” แต่พระวจนะของพระองค์อยู่ในใจของข้าพระองค์เหมือนไฟไหม้ อัดอยู่ในกระดูกของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็อ่อนเปลี้ยที่ต้องอัดไว้ และข้าพระองค์ก็อัดไว้ไม่ไหว
ยรม 20.12 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ทรงทดลองคนชอบธรรม ผู้ทอดพระเนตรทั้งใจและจิต ขอให้ข้าพระองค์ได้เห็นการแก้แค้นของพระองค์เหนือเขาทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ได้ทูลเสนอคดีของข้าพระองค์แล้ว
ยรม 22.17 “แต่เจ้ามีตาและใจไว้เพื่อความโลภ เพื่อหลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตาย และเพื่อปฏิบัติการบีบบังคับและความทารุณ”
ยรม 23.9 เกี่ยวกับเรื่องบรรดาผู้พยากรณ์มีว่า ใจของข้าเป็นทุกข์อยู่ภายในข้า และกระดูกทั้งสิ้นของข้าก็สั่น ข้าเป็นเหมือนคนเมา ข้าเป็นเหมือนคนหงำด้วยเหล้าองุ่น เนื่องด้วยพระเยโฮวาห์ และเนื่องด้วยพระวจนะแห่งความบริสุทธิ์ของพระองค์
ยรม 23.16 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “อย่าฟังถ้อยคำของผู้พยากรณ์ที่พยากรณ์ให้ท่านฟัง เขากระทำให้ท่านไร้สาระ เขากล่าวถึงนิมิตแห่งใจของเขาเอง มิใช่จากพระโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์
ยรม 23.26 นานสักเท่าใดที่คำมุสาจะอยู่ในใจของผู้พยากรณ์ ซึ่งพยากรณ์เรื่องเท็จ และผู้พยากรณ์ตามการหลอกลวงแห่งจิตใจของเขาเอง
ยรม 32.39 เราจะให้ใจเดียวและทางเดียวแก่เขา เพื่อเขาจะยำเกรงเราอยู่เป็นนิตย์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่เขา และแก่ลูกหลานของเขาที่ตามเขามา
ยรม 32.40 เราจะกระทำพันธสัญญานิรันดร์กับเขาทั้งหลายอันว่า เราจะไม่หันจากการกระทำความดีแก่เขาทั้งหลาย และเราจะบรรจุความยำเกรงเราไว้ในใจของเขาทั้งหลาย เพื่อว่าเขาจะมิได้หันไปจากเรา
ยรม 42.20 ว่าท่านทั้งหลายได้หลงเจิ่นไปในใจของท่านเอง เพราะท่านได้ใช้ข้าพเจ้าไปหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า ‘ขออธิษฐานเพื่อเราต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราจะตรัสประการใด ขอบอกแก่เรา และเราจะกระทำตาม’
ยรม 48.29 เราได้ยินถึงความเห่อเหิมของโมอับ (เขาเห่อเหิมมาก) ได้ยินถึงความยโส ความจองหองของเขา และความเห่อเหิมของเขา และถึงความยกตนข่มท่านในใจของเขา
ยรม 48.31 เพราะฉะนั้น เราจะคร่ำครวญเพื่อโมอับ เราจะร้องร่ำไรเพื่อโมอับทั้งมวล ใจของเราจะโอดครวญเพื่อคนของคีร์เฮเรส
ยรม 48.36 เพราะฉะนั้นใจของเราจะโอดครวญเพื่อโมอับเหมือนอย่างปี่ และใจของเราจะโอดครวญเหมือนปี่เพื่อคนเมืองคีร์เฮเรส เพราะทรัพย์สมบัติที่เขาได้มาก็ได้พินาศ
ยรม 49.16 เพราะความหวาดเสียวของเจ้าได้หลอกลวงเจ้า ทั้งความเห่อเหิมแห่งใจของเจ้า โอ เจ้าผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในซอกหิน ผู้ยึดยอดภูเขาไว้เอ๋ย แม้เจ้าทำรังของเจ้าสูงเหมือนอย่างรังนกอินทรี เราจะฉุดเจ้าลงมาจากที่นั่น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 51.46 อย่าให้ใจของเจ้าวิตก และอย่าให้กลัวต่อข่าวลือซึ่งได้ยินในแผ่นดินนั้น จะมีข่าวลือเรื่องหนึ่งมาในปีหนึ่ง และหลังจากนั้นอีกปีหนึ่งก็มีข่าวลือเรื่องหนึ่งมา และความทารุณก็มีอยู่ในแผ่นดินและผู้ครอบครองก็ต่อสู้กับผู้ครอบครอง
พคค 2.19 จงลุกขึ้นร้องไห้ในกลางคืน ในต้นยามจงระบายความในใจของเจ้าออกอย่างน้ำตรงพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า จงชูมือทั้งสองของเจ้าขึ้นตรงไปยังพระองค์เพื่อขอชีวิตของบรรดาลูกเล็กเด็กแดงของเจ้า ที่หิวจนเป็นลมสลบไป ตามหัวถนนหนทางทุกแห่ง
พคค 3.51 นัยน์ตาของข้าพระองค์ทำให้ใจข้าพระองค์ระทมเพราะเหตุบรรดาบุตรสาวแห่งกรุงข้าพระองค์
พคค 3.65 ขอพระองค์ทรงกระทำให้ใจของเขาทั้งปวงโศกเศร้า ขอให้คำสาปของพระองค์ตกเหนือเขา
พคค 5.15 ความปลาบปลื้มก็ประลาตไปจากใจของพวกข้าพระองค์สิ้น การเต้นรำของพวกข้าพระองค์กลายเป็นการร่ำไห้
พคค 5.17 เหตุนี้เองใจพวกข้าพระองค์จึงอ่อนกำลัง เพราะการเหล่านี้เองนัยน์ตาข้าพระองค์จึงมัวไป
อสค 3.10 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงรับถ้อยคำทั้งสิ้นของเราที่พูดกับเจ้าไว้ในใจของเจ้า และจงฟังไว้ด้วยหูของเจ้า
อสค 3.14 พระวิญญาณก็ยกข้าพเจ้าขึ้นและพาข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าก็ไปด้วยความขมขื่น ใจข้าพเจ้าเดือดร้อน พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ก็หนักอยู่บนข้าพเจ้า
อสค 6.9 แล้วคนในพวกเจ้าที่หนีไปได้นั้น จะระลึกถึงเราท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งเขาถูกกวาดไปเป็นเชลยนั้น เพราะใจของเราแหลกสลายเนื่องด้วยใจแพศยาของเขาซึ่งได้พรากจากเราไป และเนื่องด้วยตาของเขาที่มองดูรูปเคารพด้วยใจแพศยานั้น และเขาจะเกลียดตัวเองเนื่องจากความชั่วร้ายซึ่งเขาได้กระทำในสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเขาด้วย
อสค 11.5 พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ลงมาประทับบนข้าพเจ้า และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงกล่าวเถิดว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้าคิดดังนั้น และเรารู้สิ่งทั้งหลายที่เข้ามาในใจของเจ้า
อสค 11.19 และเราจะให้จิตใจเดียวแก่เขา และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเขา และจะให้ใจเนื้อแก่เขา
อสค 11.21 แต่คนเหล่านั้นที่ใจของเขาดำเนินตามจิตใจแห่งสิ่งที่น่ารังเกียจของเขาและสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเขา เราจะตอบสนองต่อวิถีทางของเขาเหนือศีรษะของเขาเอง องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อสค 14.3 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย คนเหล่านี้ได้ยึดเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำความชั่วช้าไว้ข้างหน้าเขา ควรที่เราจะยอมตัวให้เขาถามเราหรือ
อสค 14.4 เพราะฉะนั้นจงพูดกับเขาและกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า คนใดในวงศ์วานอิสราเอลเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำความชั่วช้าไว้ข้างหน้าเขาและยังมาหาผู้พยากรณ์ เราคือพระเยโฮวาห์จะตอบเขาเองด้วยเรื่องรูปเคารพมากมายของเขานั้น
อสค 14.7 เพราะว่าคนใดในวงศ์วานอิสราเอล หรือคนต่างด้าวคนใดที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล ผู้ซึ่งแยกตัวเขาจากเรา ยึดเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจของเขา และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำความชั่วช้าไว้ตรงหน้าของเขา แล้วยังจะมาหาผู้พยากรณ์เพื่อขอถามเขาเกี่ยวกับเรา เราคือพระเยโฮวาห์จะตอบเขาเอง
อสค 16.30 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า แหมใจของเจ้าเป็นโรครักเสียจริงๆในเมื่อเจ้ากระทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นการกระทำของหญิงแพศยาไพร่ๆ
อสค 20.28 เพราะว่าเมื่อเราได้นำเขาเข้ามาในแผ่นดินที่เราปฏิญาณว่าจะให้เขานั้นแล้ว เมื่อเขาเห็นเนินเขาสูง ณ ที่ใด หรือเห็นต้นไม้ใบดกที่ไหน เขาก็ถวายเครื่องบูชาอันเป็นที่ให้เคืองใจเรา ณ ที่นั่น เขาถวายกลิ่นที่พึงใจ และเขาเทเครื่องดื่มบูชาออกที่นั่น
อสค 20.32 อะไรอยู่ในใจของเจ้าจะไม่เกิดขึ้นได้เลย คือความคิดที่ว่า ‘ให้เราเป็นเหมือนประชาชาติทั้งหลาย ให้เป็นเหมือนครอบครัวต่างๆในประเทศทั่วไป คือให้เราปรนนิบัติไม้และศิลา’
อสค 21.15 เพื่อว่าใจของเขาจะละลาย และเพื่อซากปรักหักพังของเขาจะทวีคูณขึ้นอีก เราได้จ่อดาบนั้นไปที่ประตูเมืองทั้งหลายของเขาแล้ว เออ ทำเสียเหมือนอย่างกับฟ้าแลบ เขาขัดมันเพื่อจะเข่นฆ่า
อสค 22.14 ใจเจ้าจะทนได้หรือ และมือของเจ้าจะแข็งแรงอยู่หรือ ในวันที่เราจะเอาเรื่องกับเจ้า เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว และเราจะกระทำ
อสค 24.25 และเจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ในวันที่เราเอาที่กำบังเข้มแข็งของเขาทั้งหลายออกไป อันเป็นความร่าเริงและเป็นสง่าราศีของเขา สิ่งที่พอตาของเขาทั้งหลาย และสิ่งที่ใจของเขาปรารถนา ทั้งบุตรชายและบุตรสาวของเขา
อสค 25.6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้าได้ตบมือและกระทืบเท้าและปีติด้วยใจคิดร้ายต่อแผ่นดินอิสราเอล
อสค 25.15 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าคนฟีลิสเตียได้กระทำอย่างแก้แค้น และทำการแก้แค้นด้วยใจคิดร้ายหมายทำลาย เพราะเกลียดชังแต่หนหลัง
อสค 28.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวแก่เจ้าเมืองไทระว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะใจของเจ้าผยองขึ้นและเจ้าได้กล่าวว่า ‘ข้าเป็นพระเจ้า ข้านั่งอยู่ในที่นั่งแห่งพระเจ้าในท้องทะเล’ แต่เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ มิใช่พระเจ้า แม้เจ้าจะยึดถือใจของเจ้าว่าเป็นใจของพระเจ้า
อสค 28.6 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้ายึดถือใจของเจ้าว่าเป็นใจของพระเจ้า
อสค 36.5 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ด้วยความหวงแหนอย่างเดือดดาลของเรา เราพูดกล่าวโทษประชาชาติที่เหลืออยู่ และแก่เอโดมทั้งสิ้นผู้ที่มอบแผ่นดินของเราให้แก่ตนเองให้เป็นกรรมสิทธิ์ ด้วยความร่าเริงอย่างเต็มใจ และใจประมาทหมิ่นอย่างที่สุด เพื่อเขาจะได้ไล่คนแผ่นดินนั้นออกไป เพื่อจะได้ปล้นเอาไปเสีย
อสค 36.26 เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และจะให้ใจเนื้อแก่เจ้า
อสค 38.10 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ต่อมาในเวลานั้นจะบังเกิดความคิดในใจของเจ้า และเจ้าจะคิดแผนการชั่ว
ดนล 3.8 เพราะฉะนั้น ในครั้งนั้นพวกเคลเดียบางคนมาเข้าเฝ้า และฟ้องพวกยิวด้วยใจคิดร้าย
ดนล 4.16 ให้จิตใจของเขาเปลี่ยนเสียจากจิตใจมนุษย์ แล้วมอบใจสัตว์ป่าให้แก่เขา และปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนั้นจนครบเจ็ดวาระ
ดนล 5.21 พระเจ้าทรงขับไล่เนบูคัดเนสซาร์ไปจากบุตรทั้งหลายของมนุษย์ และทรงกระทำให้พระทัยของพระองค์ท่านเป็นเหมือนใจสัตว์ป่า และทรงให้อยู่กับลาป่า ทรงให้หญ้าเสวยเหมือนวัว และพระกายของพระองค์ท่านก็เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกว่าพระองค์รู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงปกครองราชอาณาจักรของมนุษย์ และทรงแต่งตั้งผู้ที่พระองค์จะทรงปรารถนาให้ปกครอง
ดนล 7.4 ตัวแรกเหมือนสิงโต มีปีกนกอินทรี เมื่อข้าพเจ้ามองดูนั้น ขนปีกก็ถูกถอนออกไป และมันถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน และให้ยืนสองเท้าเหมือนคน และมอบใจของมนุษย์ให้แก่มัน
ดนล 7.28 เรื่องราวก็สิ้นสุดลงเพียงนี้ ส่วนข้าพเจ้าคือดาเนียล ความคิดของข้าพเจ้าก็ทำให้ข้าพเจ้าตกใจมาก และสีหน้าของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไป แต่ข้าพเจ้าก็เก็บเรื่องราวนี้ไว้ในใจ”
ดนล 8.25 ด้วยความฉลาดของท่าน ท่านจะกระทำให้การล่อลวงแพร่หลายขึ้นด้วยน้ำมือของท่าน ท่านจะพองตัวของท่านในใจของท่านเอง ท่านจะทำลายคนมากหลายโดยความสงบ แล้วจะลุกขึ้นต่อสู้กับจอมเจ้านาย แต่ท่านจะต้องถูกหักทำลาย ไม่ใช่ด้วยมือเลย
ฮชย 7.2 แต่เขามิได้พิจารณาในใจว่า เราจดจำการกระทำที่ชั่วทั้งหมดของเขาได้ บัดนี้การกระทำของเขาห้อมล้อมเขาไว้แล้ว การเหล่านั้นอยู่ต่อหน้าเรา
ฮชย 7.6 ใจของเขาก็ร้อนด้วยการซุ่มดักทำร้ายเหมือนเตาอบ ตลอดคืนช่างทำขนมของเขาก็หลับอยู่ พอถึงรุ่งเช้าก็พลุ่งออกมาอย่างกับเปลวเพลิง
ยอล 2.13 จงฉีกใจของเจ้า มิใช่ฉีกเสื้อผ้าของเจ้า” จงหันกลับมาหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงกอปรด้วยพระคุณและทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความเมตตา และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ
อบด 1.3 ความเห่อเหิมแห่งใจของเจ้าได้ล่อลวงเจ้าเอง เจ้าผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในซอกหิน ที่อาศัยของเจ้าอยู่สูง เจ้ารำพึงอยู่ในใจว่า “ผู้ใดจะให้เราลงมายังพื้นดิน”
ยนา 4.8 ต่อมาเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่านอ่อนเพลียไป และท่านนึกปรารถนาในใจที่จะตายเสีย จึงทูลขอว่า “ให้ข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่”
นฮม 2.7 ฮัสซาปจะถูกนำไปเป็นเชลย นางจะถูกนำขึ้นไป บรรดาสาวใช้จะนำหน้านางไปด้วยเสียงนกเขา ตีอกชกใจของตน
ฮบก 1.11 แล้วใจของเขาก็จะเปลี่ยนไป เขาจะผ่านไปและกระทำผิด เขาจะให้อำนาจของเขานี้แก่พระของเขา
ศฟย 1.12 ต่อมาคราวนั้นเราจะเอาตะเกียงส่องดูเยรูซาเล็ม และเราจะลงโทษคนที่ตกตะกอน ผู้ที่กล่าวในใจของตนว่า ‘พระเยโฮวาห์จะไม่ทรงกระทำการดี และพระองค์ก็จะไม่ทรงกระทำการชั่ว’
ศฟย 2.15 นี่เป็นเมืองที่สนุกสนานที่อยู่ได้อย่างไร้กังวล เป็นเมืองที่คิดในใจของตนว่า “ข้านี่แหละ และไม่มีเมืองอื่นใดนอกเหนือจากข้าอีก” มันกลายเป็นเมืองรกร้างเสียจริงๆ เป็นที่อาศัยนอนของสัตว์ป่า ทุกคนที่ผ่านเมืองนี้ไปจะเย้ยหยันและส่ายมือของเขา
ศคย 7.10 อย่าบีบบังคับหญิงม่าย ลูกกำพร้าพ่อ คนต่างด้าวหรือคนยากจน และอย่าคิดอุบายชั่วในใจต่อพี่น้องของตน”
ศคย 7.12 เออ เขาได้กระทำใจของเขาเหมือนก้อนหินแข็ง เกรงว่าเขาจะได้ยินพระราชบัญญัติและพระวจนะ ซึ่งพระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงส่งไปทางผู้พยากรณ์รุ่นก่อนโดยพระวิญญาณของพระองค์ เหตุฉะนั้นพระพิโรธอันยิ่งใหญ่จึงได้มาจากพระเยโฮวาห์จอมโยธา
ศคย 8.17 อย่าคิดอุบายชั่วในใจต่อเพื่อนบ้าน อย่ารักคำปฏิญาณเท็จ สิ่งทั้งปวงเหล่านี้เราเกลียดชัง” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ศคย 12.5 แล้วหัวหน้าคนยูดาห์จะรำพึงในใจว่า ‘ชาวเยรูซาเล็มจะเป็นกำลังของเรา เนื่องจากพระเยโฮวาห์จอมโยธาพระเจ้าของเขา’
มลค 2.2 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ถ้าเจ้าไม่ฟัง และถ้าเจ้าไม่จำใส่ไว้ในใจที่จะถวายสง่าราศีแด่นามของเรา เราจะส่งคำแช่งมาเหนือเจ้า และเราจะสาปแช่งผลพระพรซึ่งมาถึงเจ้า เราได้สาปแช่งคำอวยพรของเจ้าแล้วนะ เพราะเจ้ามิได้จำใส่ใจไว้
มธ 3.9 อย่านึกเหมาเอาในใจว่า เรามีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้
มธ 5.5 บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
มธ 5.7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณา
มธ 5.28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว
มธ 6.21 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย
มธ 9.3 ดูเถิด พวกธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาท”
มธ 9.4 ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายคิดชั่วอยู่ในใจเล่า
มธ 9.21 เพราะนางคิดในใจว่า “ถ้าเราได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้น เราก็จะหายโรค”
มธ 11.29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง และท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน
มธ 12.34 โอ ชาติงูร้าย เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากย่อมพูดจากสิ่งที่เต็มอยู่ในใจ
มธ 12.35 คนดีก็เอาของดีมาจากคลังดีแห่งใจนั้น คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังชั่ว
มธ 13.15 เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขาเขาก็ปิด เกรงว่าในเวลาใดเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย’
มธ 13.19 เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจักรนั้นแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่ผู้ซึ่งรับเมล็ดริมหนทาง
มธ 15.8 ‘ประชาชนนี้เข้ามาใกล้เราด้วยปากของเขา และให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา
มธ 15.12 ขณะนั้นพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์ทรงทราบแล้วหรือว่า เมื่อพวกฟาริสีได้ยินคำตรัสนั้น เขาแค้นเคืองใจนัก”
มธ 15.18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
มธ 15.19 ความคิดชั่วร้าย การฆาตกรรม การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การพูดหมิ่นประมาท ก็ออกมาจากใจ
มธ 19.8 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “โมเสสได้ยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยาของตน เพราะใจท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง แต่เมื่อเดิมมิได้เป็นอย่างนั้น
มธ 24.48 แต่ถ้าผู้รับใช้ชั่วนั้นจะคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงมาช้า’
มธ 26.38 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด”
มก 2.6 แต่มีพวกธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ที่นั่น และเขาคิดในใจว่า
มก 2.8 และในทันใดนั้นเมื่อพระเยซูทรงทราบในพระทัยว่าเขาคิดในใจอย่างนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้เล่า
มก 3.5 พระองค์มีพระทัยเป็นทุกข์เพราะใจเขาแข็งกระด้างนัก และได้ทอดพระเนตรดูรอบด้วยพระพิโรธ และพระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนกับมืออีกข้างหนึ่ง
มก 4.15 ซึ่งตกริมหนทางนั้นได้แก่พระวจนะที่หว่านแล้ว และเมื่อบุคคลใดได้ฟัง ในทันใดนั้นซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย
มก 6.52 ด้วยว่าการอัศจรรย์เรื่องขนมปังนั้นเขายังไม่เข้าใจ เพราะใจเขายังแข็งกระด้าง
มก 7.6 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดก็ถูก ตามที่ได้เขียนไว้ว่า ‘ประชาชนนี้ให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา
มก 7.19 เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป ทำให้อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน”
มก 7.21 เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การผิดผัวผิดเมีย การฆาตกรรม
มก 8.17 เมื่อพระเยซูทรงทราบจึงตรัสแก่เขาว่า “เหตุไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่มีขนมปัง ท่านยังไม่รู้และไม่เข้าใจหรือ ใจของท่านยังแข็งกระด้างหรือ
มก 10.5 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “โมเสสได้เขียนข้อบังคับนั้นเพราะเหตุใจพวกเจ้าแข็งกระด้าง
มก 11.23 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดๆจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงลอยไปลงทะเล’ และมิได้สงสัยในใจ แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นไปตามคำสั่งนั้นจริง
มก 14.34 จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ใจเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่ที่นี่เถิด”
ลก 1.66 บรรดาคนที่ได้ยินก็จดจำไว้ในใจและว่า “ทารกนั้นจะเป็นอย่างไรหนอ” และพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา
ลก 2.19 ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจ และรำพึงอยู่
ลก 2.35 เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะได้ปรากฏแจ้ง (เออ ถึงจิตใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย)”
ลก 2.51 แล้วพระกุมารก็ลงไปกับเขาไปยังเมืองนาซาเร็ธ อยู่ใต้ความปกครองของเขา มารดาก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ
ลก 3.8 เหตุฉะนั้น จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถจะให้บุตรเกิดขึ้นกับอับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้
ลก 5.21 ฝ่ายพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีเริ่มคิดในใจว่า “คนนี้ที่พูดหมิ่นประมาทเป็นผู้ใดเล่า ใครจะยกความผิดบาปได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น”
ลก 5.22 แต่เมื่อพระเยซูทรงทราบความคิดของเขา พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ไฉนท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้
ลก 6.45 คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วออกจากคลังชั่วแห่งใจของตน ด้วยใจเต็มด้วยอะไร ปากก็พูดออกมาอย่างนั้น
ลก 7.39 ฝ่ายคนฟาริสีที่ได้เชิญพระองค์เมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า “ถ้าท่านนี้เป็นศาสดาพยากรณ์ก็จะรู้ว่า หญิงผู้นี้ที่ถูกต้องกายของท่านเป็นผู้ใดและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนชั่ว”
ลก 7.49 ฝ่ายคนทั้งหลายที่เอนกายอยู่ด้วยกันกับพระองค์ เริ่มนึกในใจว่า “คนนี้เป็นใครแม้ความผิดบาปก็ยกให้ได้”
ลก 8.12 ที่ตกตามหนทางได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยิน แล้วพญามารมาชิงเอาพระวจนะจากใจของเขา เพื่อไม่ให้เขาเชื่อและรอดได้
ลก 8.15 และซึ่งตกที่ดินดีนั้น ได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะด้วยใจซื่อสัตย์และใจที่ดีแล้วก็จดจำไว้ จึงเกิดผลด้วยความเพียร
ลก 9.47 ฝ่ายพระเยซูทรงหยั่งรู้ความคิดในใจของเขา จึงให้เด็กคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้พระองค์
ลก 12.17 เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า ‘เราจะทำอย่างไรดี เพราะว่าเราไม่มีที่ที่จะเก็บผลของเรา’
ลก 12.29 ท่านทั้งหลายอย่าเสาะหาว่าจะกินอะไรดีหรือจะดื่มอะไรและอย่ามีใจสงสัยเลย
ลก 12.34 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย
ลก 12.45 แต่ถ้าผู้รับใช้นั้นจะคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ แล้วจะตั้งต้นโบยตีผู้รับใช้ชายหญิงและกินดื่มเมาไป
ลก 13.14 แต่นายธรรมศาลาก็เคืองใจ เพราะพระเยซูได้ทรงรักษาโรคในวันสะบาโต จึงว่าแก่ประชาชนว่า “มีหกวันที่ควรจะทำงาน เหตุฉะนั้นในหกวันนั้นจงมาให้รักษาโรคเถิด แต่ในวันสะบาโตนั้นอย่าเลย”
ลก 16.3 คนต้นเรือนนั้นคิดในใจว่า ‘เราจะทำอะไรดี เพราะนายจะถอดเราเสียจากหน้าที่ต้นเรือน จะขุดดินก็ไม่มีกำลัง จะขอทานก็อายเขา
ลก 16.14 ฝ่ายพวกฟาริสีที่มีใจรักเงิน เมื่อได้ยินคำเหล่านั้นแล้วจึงเยาะเย้ยพระองค์
ลก 18.4 ฝ่ายผู้พิพากษานั้นไม่ยอมทำจนช้านาน แต่ภายหลังเขานึกในใจว่า ‘แม้ว่าเราไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นแก่มนุษย์
ลก 18.11 คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตนอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นซึ่งเป็นคนฉ้อโกง คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้
ลก 21.34 แต่จงระวังตัวให้ดี เกลือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดใจของท่านจะล้นไปด้วยอาการกินและดื่ม และด้วยการเมา และด้วยคิดกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านโดยไม่ทันรู้ตัว
ลก 24.25 พระองค์ตรัสแก่สองคนนั้นว่า “โอ คนเขลา และมีใจเฉื่อยในการเชื่อบรรดาคำซึ่งพวกศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้นั้น
ลก 24.32 เขาจึงพูดกันว่า “ใจเราเร่าร้อนภายใน เมื่อพระองค์ตรัสกับเราตามทาง เมื่อพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังมิใช่หรือ”
ลก 24.38 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม เหตุไฉนความคิดสนเท่ห์จึงบังเกิดขึ้นในใจของท่านทั้งหลายเล่า
ลก 24.45 ครั้งนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้นเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์
ยน 8.37 เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านก็หาโอกาสที่จะฆ่าเราเสีย เพราะคำของเราไม่มีโอกาสเข้าสู่ใจของท่าน
ยน 12.40 ‘พระองค์ได้ทรงปิดตาของเขาทั้งหลาย และทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาและเราจะรักษาเขาให้หาย’
ยน 13.27 เมื่อยูดาสรับประทานอาหารนั้นแล้ว ซาตานก็เข้าสิงในใจเขา พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็วๆเถิด”
ยน 14.1 “อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านเชื่อในพระเจ้า จงเชื่อในเราด้วย
ยน 14.27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย
ยน 16.22 ฉันใดก็ดีขณะนี้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์โศก แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจท่านจะชื่นชมยินดี และไม่มีผู้ใดช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้
กจ 1.24 แล้วพวกสาวกจึงอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้ทรงทราบใจของมนุษย์ทั้งปวง ขอทรงสำแดงว่าในสองคนนี้พระองค์ทรงเลือกคนไหน
กจ 2.37 เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวแก่เปโตรและอัครสาวกอื่นๆว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย เราจะทำอย่างไรดี”
กจ 5.3 ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย เหตุไฉนซาตานจึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้
กจ 5.4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า”
กจ 8.21 เจ้าไม่มีส่วนหรือส่วนแบ่งในการนี้เลย เพราะใจของเจ้าไม่ซื่อตรงในสายพระเนตรของพระเจ้า
กจ 8.22 เหตุฉะนั้น จงกลับใจใหม่จากการชั่วร้ายของเจ้านี้ และอธิษฐานขอพระเจ้าชะรอยพระองค์จะทรงโปรดยกความผิดซึ่งเจ้าคิดในใจของเจ้า
กจ 9.31 เหตุฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรีย จึงมีความสงบสุขและเจริญขึ้น ดำเนินชีวิตด้วยใจยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับความปลอบประโลมใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น
กจ 13.45 แต่เมื่อพวกยิวเห็นคนมากมายก็มีใจอิจฉาอย่างยิ่ง ได้พูดคัดค้านคำของเปาโลถึงโต้แย้งกับพูดคำสบประมาท
กจ 14.2 แต่พวกยิวที่ไม่เชื่อก็ยุยงคนต่างชาติให้มีใจคิดร้ายต่อพวกพี่น้อง
กจ 14.22 กระทำให้ใจของสาวกทั้งหลายถือมั่นขึ้น เตือนเขาให้ดำรงอยู่ในความเชื่อ และสอนว่า เราทั้งหลายจำต้องทนความยากลำบากมากจนกว่าจะได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้า
กจ 15.9 พระองค์ไม่ทรงถือว่าเรากับเขาต่างกัน แต่ทรงชำระใจเขาให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ
กจ 15.24 ด้วยพวกข้าพเจ้าได้ยินว่า มีบางคนในพวกข้าพเจ้าได้พูดให้ท่านทั้งหลายเกิดความไม่สบายใจ และทำให้ใจของท่านปั่นป่วนไป ด้วยสอนว่า ‘ท่านต้องเข้าสุหนัตและรักษาพระราชบัญญัติ’ แม้ว่าเขามิได้รับคำสั่งจากพวกข้าพเจ้า
กจ 26.9 ข้าพระองค์เคยได้คิดในใจของตนเองว่า สมควรจะทำหลายสิ่งซึ่งขัดขวางพระนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธนั้น
กจ 27.3 วันรุ่งขึ้นเราได้แวะที่เมืองไซดอน ฝ่ายยูเลียสมีใจเมตตาปรานีแก่เปาโล ยอมให้เปาโลไปหามิตรสหายทั้งหลายเพื่อจะได้บรรเทาใจ
กจ 27.22 บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลายให้ทำใจดีๆไว้ ด้วยว่าในพวกท่านจะไม่มีผู้ใดเสียชีวิต จะเสียก็แต่เรือเท่านั้น
กจ 27.25 เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทำใจดีๆไว้ เพราะข้าพเจ้าเชื่อพระเจ้าว่า การณ์จะเป็นไปเหมือนอย่างที่พระองค์ได้ทรงกล่าวแก่ข้าพเจ้านั้น
รม 1.19 เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว
รม 1.24 เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติอุลามกตามราคะตัณหาในใจของเขา ให้เขากระทำสิ่งซึ่งน่าอัปยศทางกายต่อกัน
รม 1.28 และเพราะเขาไม่เห็นชอบที่จะรู้จักพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้เขามีใจเลวทรามและประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสม
รม 6.17 แต่จงขอบพระคุณพระเจ้าเพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านเป็นทาสของบาป แต่บัดนี้ท่านมีใจเชื่อฟังหลักคำสอนนั้นซึ่งทรงมอบไว้แก่ท่าน
รม 7.22 เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในพระราชบัญญัติของพระเจ้า
รม 8.7 เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า เพราะหาได้อยู่ใต้บังคับพระราชบัญญัติของพระเจ้าไม่ และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับพระราชบัญญัตินั้นไม่ได้
รม 8.27 และพระองค์ ผู้ทรงตรวจค้นใจมนุษย์ ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ เพราะว่าพระองค์ทรงอธิษฐานขอเพื่อวิสุทธิชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า
รม 10.6 แต่ความชอบธรรมที่มีความเชื่อเป็นมูลฐานว่าอย่างนี้ว่า “อย่านึกในใจของตัวว่า ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์” (คือจะเชิญพระคริสต์ลงมาจากเบื้องบน)
รม 10.8 แต่ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร ก็ว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่านและอยู่ในใจของท่าน” คือคำแห่งความเชื่อที่เราทั้งหลายประกาศอยู่นั้น
รม 10.10 ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด
รม 11.8 (ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘พระเจ้าได้ทรงประทานใจที่เซื่องซึม ประทานตาที่มองไม่เห็น หูที่ฟังไม่ได้ยินให้แก่เขา) จนทุกวันนี้’
รม 11.11 ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พวกอิสราเอลสะดุดจนหกล้มทีเดียวหรือ” ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย แต่การที่เขาละเมิดนั้นเป็นเหตุให้ความรอดแผ่มาถึงพวกต่างชาติ เพื่อจะให้พวกอิสราเอลมีใจมานะขึ้น
รม 15.6 เพื่อท่านทั้งหลายจะได้มีใจและปากพร้อมเพรียงกันสรรเสริญพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
1คร 2.9 ดังที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และไม่เคยได้เข้าไปในใจมนุษย์ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์’
1คร 2.15 แต่มนุษย์ฝ่ายจิตวิญญาณสังเกตสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่มีผู้ใดจะรู้จักใจคนนั้นได้
1คร 4.5 เหตุฉะนั้นท่านอย่าตัดสินสิ่งใดก่อนที่จะถึงเวลาจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มกระจ่าง และจะทรงเผยความในใจของคนทั้งปวงด้วย เมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า
1คร 5.3 แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินลงโทษคนที่ได้กระทำผิดเช่นนั้นเสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย
1คร 5.4 ในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เมื่อท่านทั้งหลายประชุมกันและใจของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
1คร 7.9 แต่ถ้าเขายั้งใจไม่ได้ก็จงแต่งงานเสียเถิด เพราะแต่งงานเสียก็ดีกว่ามีใจเร่าร้อนด้วยกามราคะ
1คร 7.35 ข้าพเจ้าว่าอย่างนี้ก็เพื่อเป็นประโยชน์ของท่าน มิใช่จะเอาบ่วงบาศคล้องท่านแต่เพื่อความเป็นระเบียบ ให้ท่านปฏิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยปราศจากใจสองฝักสองฝ่าย
1คร 9.19 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสคนทั้งปวงเพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น
1คร 10.6 แล้วเหตุการณ์เหล่านี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจพวกเรา ไม่ให้เรามีใจโลภปรารถนาสิ่งที่ชั่วเหมือนเขาเหล่านั้น
1คร 14.24 แต่ถ้าทุกคนพยากรณ์ คนที่ไม่เชื่อหรือคนที่รู้ไม่ถึงเข้ามา ทุกคนก็จะทำให้เขารู้สำนึก และทำให้เขาพิจารณาใจของตนเอง
1คร 14.25 ดังนั้นความลับที่ซ่อนอยู่ในใจของเขาจะเด่นชัดขึ้น เขาก็จะกราบลงนมัสการพระเจ้ากล่าวว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ท่ามกลางพวกท่านอย่างแน่นอน
2คร 1.22 และพระองค์ทรงประทับตราเรา และประทานพระวิญญาณไว้ในใจของเราเป็นมัดจำด้วย
2คร 3.15 แต่ว่าตลอดมาถึงทุกวันนี้ ขณะใดที่เขาอ่านคำของโมเสส ผ้าคลุมนั้นก็ยังปิดบังใจของเขาไว้
2คร 4.4 ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป เพื่อไม่ให้ความสว่างของข่าวประเสริฐอันมีสง่าราศีของพระคริสต์ ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า ส่องแสงถึงพวกเขา
2คร 4.13 เพราะเรามีใจเชื่อเช่นเดียวกัน ตามที่เขียนไว้ว่า ‘ข้าพเจ้าเชื่อแล้ว เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด’ เราก็เชื่อเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงพูด
2คร 6.6 โดยความบริสุทธิ์ โดยความรู้ โดยความอดกลั้นไว้นาน โดยใจกรุณา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยความรักแท้
2คร 6.11 โอ ท่านชาวโครินธ์ เราพูดกับท่านอย่างไม่ปิดบังเลย และใจของเราก็เปิดรับท่าน
2คร 6.12 ใจของท่านทั้งหลายไม่ได้ปิดเพราะเรา แต่ปิดเพราะความรู้สึกของตนเอง
2คร 7.3 ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้มิใช่เพื่อจะปรักปรำท่าน เพราะข้าพเจ้าบอกแล้วว่า ท่านทั้งหลายอยู่ในใจของเราทีเดียว จะตายหรือจะเป็นก็อยู่ด้วยกัน
2คร 8.2 เพราะว่าเมื่อคราวที่พวกเขาถูกทดลองอย่างหนักได้รับความทุกข์ยาก ความยินดีล้นพ้นของเขาและความยากจนแสนเข็ญของเขานั้น ก็ล้นออกมาเป็นใจโอบอ้อมอารีของเขา
2คร 8.16 แต่ขอขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงโปรดให้ทิตัสมีใจกระตือรือร้นอย่างนั้นเพื่อท่านทั้งหลายเหมือนกัน
2คร 9.2 เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าใจของท่านพร้อมอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงพูดอวดเรื่องพวกท่านกับพวกมาซิโดเนียว่า พวกอาคายาได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วตั้งแต่ปีกลาย และความกระตือรือร้นของพวกท่านก็เร้าใจคนเป็นอันมาก
2คร 9.5 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่า สมควรจะวิงวอนให้พี่น้องเหล่านั้นไปหาท่านก่อนข้าพเจ้า และให้จัดเตรียมของถวายของท่านไว้ ตามที่ท่านได้สัญญาไว้แล้ว เพื่อของถวายนั้นจะมีอยู่พร้อม และจะเป็นของถวายที่ให้ด้วยใจศรัทธา มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ
2คร 9.7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี
กท 4.6 และเพราะท่านเป็นบุตรแล้ว พระเจ้าจึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของท่าน ร้องว่า “อับบา” คือพระบิดา
อฟ 1.18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับวิสุทธิชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร
อฟ 2.3 เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้นที่ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนังเช่นกัน คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความคิดในใจ ตามสันดานเราจึงเป็นบุตรแห่งพระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น
อฟ 3.17 เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านโดยความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อทรงวางรากฐานท่านไว้อย่างมั่นคงในความรักแล้ว
อฟ 4.18 โดยที่ความเข้าใจของเขามืดมนไปและเขาอยู่ห่างจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพราะเหตุความโง่ซึ่งอยู่ในตัวเขา อันเนื่องจากใจที่แข็งกระด้างของเขา
อฟ 4.19 เขามีใจปราศจากความสะดุ้งต่อบาป ปล่อยตัวทำการลามก ทำการโสโครกทุกอย่างด้วยความละโมบ
อฟ 5.19 จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการและเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ คือร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีจากใจของท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
ฟป 1.7 การที่ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้นเนื่องด้วยท่านทั้งหลายก็สมควรแล้ว เพราะว่าข้าพเจ้ามีท่านในใจของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายได้รับส่วนในพระคุณด้วยกันกับข้าพเจ้า ในการที่ข้าพเจ้าถูกจองจำ และในการกล่าวแก้ และหนุนให้ข่าวประเสริฐนั้นตั้งมั่นคงอยู่
ฟป 2.2 ก็ขอให้ท่านทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม ด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีใจรู้สึกและคิดพร้อมเพรียงกัน
ฟป 3.15 เหตุฉะนั้นให้เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วมีใจคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดสำแดงสิ่งนี้ให้แก่ท่านด้วย
ฟป 4.10 แต่ข้าพเจ้ามีใจชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างยิ่ง เพราะว่าในที่สุดท่านก็ได้ฟื้นการระลึกถึงข้าพเจ้าอีก ท่านคิดถึงข้าพเจ้าจริงๆ แต่ยังหาโอกาสไม่ได้
คส 1.21 และพวกท่านซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่ถูกกันและเป็นศัตรูในใจด้วยการชั่วต่างๆ บัดนี้ พระองค์ทรงโปรดให้คืนดีกับพระองค์
คส 2.5 เพราะถึงแม้ว่าตัวของข้าพเจ้าไม่อยู่กับท่าน แต่ใจของข้าพเจ้ายังอยู่กับท่าน และมีความชื่นชมยินดีที่ได้เห็นท่านอยู่กันอย่างเรียบร้อย และเห็นความเชื่อมั่นคงของท่านในพระคริสต์
คส 3.15 และจงให้สันติสุขแห่งพระเจ้าครอบครองอยู่ในใจของท่านทั้งหลาย ในสันติสุขนั้นทรงเรียกท่านทั้งหลายไว้ให้เป็นกายอันเดียวด้วย และท่านทั้งหลายจงขอบพระคุณ
คส 3.16 จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญและเพลงฝ่ายจิตวิญญาณด้วย จงร้องเพลงด้วยพระคุณจากใจของท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
1ธส 2.4 แต่ว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบที่จะมอบข่าวประเสริฐไว้กับเรา เราจึงประกาศไป ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่พอใจของมนุษย์ แต่ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ผู้ทรงชันสูตรใจเรา
1ธส 3.13 เพื่อในที่สุดพระองค์จะทรงให้ใจของท่านตั้งมั่นคงอยู่ในความบริสุทธิ์ ปราศจากข้อตำหนิต่อพระพักตร์พระเจ้าคือพระบิดาของเรา ในเมื่อพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมากับวิสุทธิชนทั้งปวงของพระองค์
1ธส 5.14 แต่พี่น้องทั้งหลาย เราขอเตือนสติพวกท่านให้ตักเตือนคนที่เกะกะ หนุนน้ำใจผู้ที่ท้อใจ ชูกำลังคนที่อ่อนกำลัง และมีใจอดเอาเบาสู้ต่อคนทั้งปวง
2ธส 2.2 อย่าให้ใจของท่านหวั่นไหวง่าย หรือเป็นทุกข์ร้อนไป ไม่ว่าจะเป็นโดยทางวิญญาณ หรือโดยทางคำพูด หรือโดยทางจดหมายเป็นเชิงว่ามาจากเรา อ้างว่าวันของพระคริสต์มาถึงแล้ว
2ธส 3.5 ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำใจของท่านทั้งหลายให้เข้าในความรักของพระเจ้า และอดทนในการรอคอยพระคริสต์
1ทธ 1.5 แต่จุดประสงค์แห่งพระบัญญัตินั้นก็คือ ความรักซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกอันดี และจากความเชื่ออันจริงใจ
1ทธ 6.17 จงกำชับคนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก อย่าให้มีใจถือมานะทิฐิ อย่าให้ความหวังของเขาอิงอยู่กับทรัพย์อนิจจัง แต่ให้หวังในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงประทานสิ่งสารพัดให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อจะให้เราใช้ด้วยความปีติยินดี
2ทธ 1.6 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงสะกิดใจท่านให้ใช้ของประทานของพระเจ้าที่มีอยู่ในท่าน โดยการวางมือของข้าพเจ้านั้นให้รุ่งเรืองขึ้น
ทต 3.5 พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
ฮบ 3.10 เพราะเหตุนั้นเราจึงเคืองคนชั่วอายุนั้น และว่า “ใจของเขาหลงผิดอยู่เสมอ เขาไม่รู้จักทางทั้งหลายของเรา”
ฮบ 4.12 เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิต และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย
ฮบ 5.2 ท่านนั้นมีใจเมตตากรุณาคนโง่และคนหลงผิดได้ เพราะท่านเองก็มีความอ่อนกำลังอยู่รอบตัวด้วย
ฮบ 10.22 ก็ให้เราเข้ามาใกล้ด้วยใจจริง ด้วยความเชื่ออันเต็มเปี่ยม มีใจที่ถูกประพรมชำระพ้นจากการวินิจฉัยผิดและชอบที่ชั่วร้าย และมีกายล้างชำระด้วยน้ำอันใสบริสุทธิ์
ฮบ 10.38 แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ แต่ถ้าผู้ใดเสื่อมถอย ใจของเราจะไม่มีความพอใจในคนนั้นเลย’
ยก 1.26 ถ้าผู้ใดในพวกท่านดูเหมือนว่าเคร่งครัดในความเชื่อ และมิได้เหนี่ยวรั้งลิ้นของตนไว้ แต่ล่อลวงใจของตนเอง การเคร่งครัดในความเชื่อของผู้นั้นก็ไร้ประโยชน์
ยก 3.14 แต่ถ้าท่านทั้งหลายมีใจอิจฉาอันขมขื่นและอาการแก่งแย่งกันในใจของท่าน อย่าอวดเลยและอย่าพูดมุสาต่อความจริง
ยก 4.8 จงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะสถิตอยู่ใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจเอ๋ย จงชำระใจของตนให้บริสุทธิ์
1ปต 1.22 ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยการเชื่อฟังความจริงโดยพระวิญญาณ จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง
1ปต 3.15 แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือพระเจ้าซึ่งเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความยำเกรง
2ปต 1.8 เพราะถ้ามีใจอย่างนั้นอยู่ในท่านทั้งหลายพร้อมบริบูรณ์แล้ว ก็จะกระทำให้ท่านไม่เกียจคร้านหรือไร้ผลในความรู้แห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
2ปต 1.19 และเรามีคำพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก จะเป็นการดีถ้าท่านทั้งหลายจะถือตามคำนั้น เสมือนแสงประทีปที่ส่องสว่างในที่มืด จนกว่าแสงอรุณจะขึ้น และดาวประจำรุ่งจะผุดขึ้นในใจของท่านทั้งหลาย
2ปต 2.14 ตาเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาแห่งการล่วงประเวณี และเขาหยุดกระทำบาปไม่ได้เลย เขาวางกับดักคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง เขามีใจชินกับการโลภ เขาเป็นลูกแห่งความสาปแช่ง
2ปต 3.1 บัดนี้ พวกที่รัก นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลาย และในจดหมายทั้งสองฉบับนั้น ข้าพเจ้าได้สะกิดใจอันบริสุทธิ์ของท่านให้ระลึก
1ยน 3.20 เพราะถ้าใจของเรากล่าวโทษตัวเรา พระเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง
1ยน 3.21 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจจำเพาะพระเจ้า
วว 3.10 เพราะเหตุเจ้าได้รักษาคำของเราด้วยความเพียร เราจะรักษาเจ้าจากเวลาแห่งการทดลองนั้นด้วย ซึ่งจะบังเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก เพื่อจะลองดูใจคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วแผ่นดินโลก

ใจกล้า ( 21 )
อสร 7.28 และทรงบันดาลให้ข้าพเจ้ามีความเมตตาต่อพระพักตร์กษัตริย์ และที่ปรึกษาของพระองค์ และต่อหน้าเจ้านายผู้ทรงอำนาจของกษัตริย์ และข้าพเจ้าก็มีใจกล้าขึ้น เพราะพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่กับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รวบรวมบุคคลชั้นผู้นำจากอิสราเอลขึ้นไปกับข้าพเจ้า
กจ 2.29 ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีใจกล้าที่จะกล่าวแก่ท่านทั้งหลายถึงดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า ท่านสิ้นพระชนม์แล้วถูกฝังไว้ และอุโมงค์ฝังศพของท่านยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้
กจ 4.29 บัดนี้พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดทอดพระเนตรการขู่ของเขา และโปรดประทานให้ผู้รับใช้ของพระองค์กล่าวถ้อยคำของพระองค์ด้วยใจกล้า
กจ 13.46 แล้วเปาโลกับบารนาบัสมีใจกล้า ได้กล่าวว่า “จำเป็นที่จะต้องกล่าวพระวจนะของพระเจ้าให้ท่านทั้งหลายฟังก่อน แต่เมื่อท่านทั้งหลายปัดเสีย และตัดสินว่าตนไม่สมควรที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ ดูเถิด พวกเราจะบ่ายหน้าไปหาคนต่างชาติ
กจ 14.3 เหตุฉะนั้นฝ่ายท่านทั้งสองคอยอยู่ที่นั่นนาน มีใจกล้ากล่าวในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ได้ทรงรับรองพระดำรัสแห่งพระคุณของพระองค์ โดยทรงโปรดให้ท่านทั้งสองทำหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ได้
กจ 18.26 ท่านได้ตั้งต้นสั่งสอนโดยใจกล้าในธรรมศาลา แต่เมื่ออาควิลลากับปริสสิลลาได้ฟังท่านแล้ว เขาจึงรับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น
กจ 19.8 เปาโลเข้าไปกล่าวโต้แย้งในธรรมศาลาด้วยใจกล้าสิ้นสามเดือน ชักชวนให้เชื่อในสิ่งที่กล่าวถึงอาณาจักรของพระเจ้า
กจ 23.11 ในเวลากลางคืนวันนั้นเอง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนอยู่กับเปาโลตรัสว่า “เปาโลเอ๋ย เจ้าจงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเจ้าได้เป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็มฉันใด เจ้าจะต้องเป็นพยานในกรุงโรมด้วยฉันนั้น”
กจ 28.31 ทั้งประกาศอาณาจักรของพระเจ้า และสั่งสอนเรื่องพระเยซูคริสต์เจ้าโดยใจกล้า ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดขัดขวาง
อฟ 3.12 ในพระองค์นั้น เราจึงมีใจกล้า และมีโอกาสที่จะเข้าไปถึงพระองค์ด้วยความมั่นใจเพราะความเชื่อในพระองค์
อฟ 6.19 และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้าประกาศถึงข้อลึกลับแห่งข่าวประเสริฐได้
อฟ 6.20 เพราะข่าวประเสริฐนี้เองทำให้ข้าพเจ้าเป็นทูตผู้ต้องติดโซ่อยู่ เพื่อข้าพเจ้าจะเล่าข่าวประเสริฐด้วยใจกล้าตามที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าว
ฟป 1.14 และพี่น้องมากมายในองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้เกิดความเชื่อมั่นเนื่องด้วยเครื่องพันธนาการทั้งหลายของข้าพเจ้า และพวกเขาก็มีใจกล้าขึ้นที่จะกล่าวพระวจนะนั้นโดยปราศจากความกลัว
ฟป 1.20 เพราะว่าเป็นความมุ่งมาดปรารถนาและความหวังของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความละอายใดๆเลย แต่เมื่อก่อนทุกครั้งมีใจกล้าเสมอฉันใด บัดนี้ก็ขอให้เป็นเช่นเดียวกันฉันนั้น พระคริสต์จะได้ทรงรับเกียรติในร่างกายของข้าพเจ้าเสมอ แม้จะโดยชีวิตหรือโดยความตาย
1ธส 2.2 แต่ถึงแม้ว่าเราต้องทนการยากลำบากและได้รับการอัปยศต่างๆมาแล้วที่เมืองฟีลิปปี ซึ่งท่านก็ทราบอยู่ เราก็ยังมีใจกล้าในพระเจ้าของเราที่ได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย โดยเผชิญกับอุปสรรคมากมาย
1ทธ 3.13 เพราะว่าคนที่กระทำการในหน้าที่ผู้ช่วยได้ดี ก็ได้ตำแหน่งอันมีหน้ามีตา และมีใจกล้าเป็นอันมากในความเชื่อซึ่งมีในพระเยซูคริสต์
ฟม 1.8 เหตุฉะนั้น แม้ว่าโดยพระคริสต์ ข้าพเจ้ามีใจกล้าพอที่จะสั่งให้ท่านทำสิ่งที่ควรกระทำได้
ฮบ 4.16 ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลายจงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้พบพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ
ฮบ 10.19 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปในที่บริสุทธิ์ที่สุดโดยพระโลหิตของพระเยซู
ฮบ 13.6 เพื่อว่าเราทั้งหลายจะกล่าวด้วยใจกล้าว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า’
1ยน 2.28 และบัดนี้ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย จงดำรงอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงมาปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่มีความละอายจำเพาะพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา

ใจกลาง ( 1 )
ยรม 21.4 ‘พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะหันกลับซึ่งยุทโธปกรณ์อันอยู่ในมือของเจ้า และซึ่งเจ้าใช้สู้รบกับกษัตริย์แห่งบาบิโลนและกับชนเคลเดียซึ่งกำลังล้อมเจ้าอยู่นอกกำแพง และเราจะรวบรวมมันมาไว้ในใจกลางเมืองนี้

ใจกล้าหาญ ( 6 )
ปฐก 34.25 ครั้นอยู่มาถึงวันที่สาม เมื่อคนเหล่านั้นกำลังเจ็บอยู่ บุตรชายสองคนของยาโคบชื่อสิเมโอนและเลวี เป็นพี่ชายนางสาวดีนาห์ ก็ถือดาบเข้าไปในเมืองด้วยใจกล้าหาญฆ่าผู้ชายในเมืองนั้นเสียสิ้น
กดว 13.20 ดูว่าแผ่นดินอุดมหรือจืด มีป่าไม้หรือเปล่า ท่านทั้งหลายจงมีใจกล้าหาญ และนำผลไม้ที่เมืองนั้นกลับมาบ้างด้วย” เวลานั้นเป็นฤดูผลองุ่นสุกรุ่นแรก
อมส 2.16 และผู้ที่มีใจกล้าหาญท่ามกลางผู้มีกำลังเข้มแข็งเหล่านั้นจะหนีไปอย่างเปลือยเปล่าในวันนั้น” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
กจ 4.31 เมื่อเขาอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และคนเหล่านั้นประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ
กจ 9.27 แต่บารนาบัสได้พาท่านไปหาพวกอัครสาวก แล้วเล่าให้เขาฟังว่าเซาโลได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่กลางทาง และพระองค์ตรัสแก่ท่าน ท่านจึงประกาศออกพระนามพระเยซูโดยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัส
กจ 9.29 ประกาศออกพระนามของพระเยซูเจ้าด้วยใจกล้าหาญ ท่านพูดไล่เลียงกับพวกกรีก แต่พวกนั้นหาช่องที่จะฆ่าท่านเสีย

ใจกว้าง ( 2 )
พบญ 15.8 แต่ท่านทั้งหลายจงยื่นมือของท่านอย่างใจกว้างให้เขา และให้เขายืมข้าวของพอแก่ความต้องการของเขา ไม่ว่าเป็นข้าวของสิ่งใดๆ
พบญ 15.11 เพราะว่าคนจนจะไม่หมดไปจากแผ่นดิน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบัญชาท่านว่า ‘ท่านต้องยื่นมือให้อย่างใจกว้างต่อพี่น้องของท่าน คือต่อคนยากจนคนขัดสนซึ่งอยู่ในแผ่นดินของท่าน’

ใจกว้างขวาง ( 7 )
พบญ 15.14 ท่านจงมีใจกว้างขวางจัดของให้แก่เขา เป็นของจากฝูงแพะแกะของท่าน จากลานนวดข้าวของท่าน และจากบ่อย่ำองุ่นของท่าน ท่านจงให้แก่เขาตามสมควรตามที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน
สภษ 11.25 บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะรับการรดน้ำ
สภษ 22.9 บุคคลที่มีตาแสดงใจกว้างขวางก็จะรับพร เพราะเขาแบ่งส่วนอาหารของเขาแก่คนยากจน
มธ 18.35 พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงกระทำแก่ท่านทุกคนอย่างนั้น ถ้าหากว่าท่านแต่ละคนไม่ยกโทษการละเมิดให้แก่พี่น้องของท่านด้วยใจกว้างขวาง”
2คร 9.11 โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้น เพื่อให้ท่านมีแจกจ่ายอย่างใจกว้างขวาง ซึ่งจะให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า
2คร 9.13 และเนื่องจากผลแห่งการรับใช้นั้น เขาจึงถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า โดยเหตุที่ท่านทั้งหลายยอมฟังและตั้งใจอยู่ในอำนาจข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเพราะเหตุท่านได้แจกจ่ายแก่เขาและแก่คนทั้งปวงด้วยใจกว้างขวาง
1ทธ 6.18 จงกำชับเขาให้กระทำการดี ให้ร่ำรวยในการดีนั้น ให้มีใจพร้อมที่จะให้ทาน ให้มีใจกว้างขวาง

ใจเกรงกลัว ( 2 )
อฟ 6.5 ฝ่ายพวกทาสจงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายฝ่ายเนื้อหนังด้วยใจเกรงกลัวจนตัวสั่น ด้วยน้ำใสใจจริงเหมือนกระทำแก่พระคริสต์
ฮบ 11.7 โดยความเชื่อ เมื่อพระเจ้าทรงเตือนโนอาห์ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่ปรากฏ ท่านมีใจเกรงกลัวจัดแจงต่อนาวา เพื่อช่วยครอบครัวของท่านให้รอด และด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงได้ปรับโทษแก่โลก และได้เป็นทายาทแห่งความชอบธรรม ซึ่งบังเกิดมาจากความเชื่อ

ใจโกรธ ( 1 )
อฟ 4.31 จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดเสียดสี กับการคิดปองร้ายทุกอย่าง อยู่ห่างไกลจากท่านเถิด

ใจขมขื่น ( 4 )
โยบ 3.20 ไฉนหนอผู้ที่ทนทุกข์เวทนาอย่างนี้ ยังได้รับแสงสว่าง และผู้ที่มีใจขมขื่นได้รับชีวิต
โยบ 21.25 อีกคนหนึ่งตายด้วยใจขมขื่น ไม่เคยได้ชิมของดี
อฟ 4.31 จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดเสียดสี กับการคิดปองร้ายทุกอย่าง อยู่ห่างไกลจากท่านเถิด
คส 3.19 ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตนและอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง

ใจขัดเคือง ( 1 )
อฟ 4.31 จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดเสียดสี กับการคิดปองร้ายทุกอย่าง อยู่ห่างไกลจากท่านเถิด

ใจแข็ง ( 1 )
พบญ 15.7 ถ้าในท่ามกลางท่านทั้งหลายมีคนจนสักคนหนึ่งเป็นพี่น้องของท่านอยู่ภายในประตูเมืองใดๆ ในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านอย่ามีใจแข็งหดมือของท่านไว้เสียต่อหน้าพี่น้องของท่านที่ยากจนนั้น

ใจแข็งกระด้าง ( 8 )
ยชว 11.20 เพราะเป็นมาจากพระเยโฮวาห์ที่ทรงให้เขามีใจแข็งกระด้างเข้าต่อสู้ทำสงครามกับอิสราเอล เพื่อพระองค์จะได้ทรงทำลายเขาเสียสิ้น และเขาไม่ได้รับความกรุณา แต่พระองค์ต้องทำลายล้างเขาเสียสิ้น ดังที่พระเยโฮวาห์บัญชาไว้กับโมเสส
กจ 19.9 แต่บางคนมีใจแข็งกระด้างไม่เชื่อและพูดหยาบช้าเรื่องทางนั้นต่อหน้าชุมนุมชน เปาโลจึงแยกไปจากเขาและพาพวกสาวกไปด้วย แล้วท่านได้ไปโต้แย้งกันทุกวันในห้องประชุมของท่านผู้หนึ่งชื่อ ทีรันนัส
รม 2.5 แต่เพราะท่านใจแข็งกระด้างไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่ำสมพระพิโรธให้แก่ตัวเองในวันแห่งพระพิโรธนั้น ซึ่งพระเจ้าจะทรงสำแดงการพิพากษาลงโทษที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์
รม 9.18 เหตุฉะนั้นพระองค์จะทรงพระกรุณาแก่ผู้ใด ก็จะทรงพระกรุณาผู้นั้น และพระองค์จะทรงให้ผู้ใดมีใจแข็งกระด้าง ก็จะทรงให้ผู้นั้นมีใจแข็งกระด้าง
รม 11.7 ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร พวกอิสราเอลไม่พบสิ่งที่เขาแสวงหา แต่คนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้นั้นเป็นผู้ได้พบ และคนนอกนั้นก็มีใจแข็งกระด้างไป
รม 11.25 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านทั้งหลายเขลาในข้อความลึกลับนี้ เกลือกว่าท่านจะอวดรู้ คือเรื่องที่บางคนในพวกอิสราเอลได้มีใจแข็งกระด้างไป จนถึงพวกต่างชาติได้เข้ามาครบจำนวน
ฮบ 3.13 ท่านจงเตือนสติกันและกันทุกวัน ตลอดเวลาที่เรียกว่า “วันนี้” เพื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในพวกท่านมีใจแข็งกระด้างไปเพราะเล่ห์กลของบาป

ใจครั่นคร้าม ( 1 )
ยชว 2.24 และเขากล่าวแก่โยชูวาว่า “พระเยโฮวาห์ทรงมอบแผ่นดินนั้นทั้งหมดไว้ในมือเราแน่นอนแล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกบรรดาชาวบ้านชาวเมืองในแผ่นดินนี้ ก็มีใจครั่นคร้ามไป เพราะเราเป็นเหตุ”

ใจคร้ามกลัว ( 1 )
อสย 35.4 จงกล่าวกับคนที่มีใจคร้ามกลัวว่า “จงแข็งแรงเถอะ อย่ากลัว ดูเถิด พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมาด้วยการแก้แค้น พระองค์จะเสด็จมาและช่วยท่านให้รอด ด้วยการตอบแทนของพระเจ้า”

ใจความ ( 3 )
วนฉ 6.32 วันนั้นเขาจึงตั้งชื่อท่านว่า เยรุบบาอัล ใจความว่า “ให้บาอัลสู้คดีเอง” เพราะเขาพังแท่นของท่าน
2พกษ 5.6 และท่านก็นำสารไปยังกษัตริย์แห่งอิสราเอลใจความว่า “เมื่อสารนี้มาถึงท่าน ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ส่งนาอามานข้าราชการของข้าพเจ้ามา เพื่อขอให้ท่านรักษาเขาให้หายจากโรคเรื้อน”
กจ 23.25 แล้วนายพันจึงเขียนจดหมายมีใจความดังต่อไปนี้

ใจจงรัก ( 1 )
1ซมอ 20.8 เพราะฉะนั้นขอท่านกรุณากระทำแก่ผู้รับใช้ของท่านด้วยใจจงรัก เพราะท่านได้กระทำพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์กับผู้รับใช้ของท่านแล้ว แต่ถ้าความชั่วช้ามีอยู่ในข้าพเจ้า ขอท่านฆ่าข้าพเจ้าเสียเองเถิด เพราะท่านจะนำข้าพเจ้าไปให้เสด็จพ่อของท่านทำไม”

ใจจดจ่อ ( 4 )
พบญ 24.15 ท่านจงจ่ายเงินค่าจ้างวันนั้นให้แก่เขา ก่อนดวงอาทิตย์ตก เพราะเขาเป็นคนยากจน และมีใจจดจ่ออยู่ที่ค่าจ้างนั้น ด้วยเกรงว่าเขาจะกล่าวหาท่านต่อพระเยโฮวาห์ และจะเป็นความบาปแก่ท่าน
อสค 5.13 เช่นนี้แหละ ความกริ้วของเราจะมอดลง และเราจะระบายความโกรธของเราจนหมดและพอใจ และเขาทั้งหลายจะได้ทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ได้กล่าวเช่นนี้ด้วยใจจดจ่อเมื่อความโกรธของเราต่อเขามอดลงแล้ว
2คร 7.7 และมิใช่เพียงการมาของทิตัสเท่านั้น แต่โดยการที่ท่านได้หนุนน้ำใจทิตัสด้วย ตามที่ทิตัสได้มาบอกเราถึงความปรารถนาอย่างยิ่งและความโศกเศร้าของท่าน และใจจดจ่อของท่านที่มีต่อข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดีมากยิ่งขึ้น
อฟ 4.17 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอยืนยันและเป็นพยานในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ท่านอย่าดำเนินตามอย่างคนต่างชาติที่เขาดำเนินกันนั้น คือมีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่มีสาระ

ใจจริง ( 8 )
กดว 32.11 ‘แน่ทีเดียวที่ทุกคนซึ่งยกออกจากอียิปต์อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป จะมิได้เห็นแผ่นดินซึ่งเราได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะมอบให้อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพราะเขาทั้งหลายมิได้ตามเราด้วยใจจริง
กดว 32.12 เว้นแต่คาเลบบุตรชายเยฟุนเนห์คนเคนัสและโยชูวาบุตรชายนูน เพราะว่าเขาทั้งสองตามพระเยโฮวาห์ด้วยใจจริง’
1พศด 28.9 ซาโลมอนบุตรของเราเอ๋ย เจ้าจงรู้จักพระเจ้าของบิดาเจ้า และจงปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจจริงและด้วยความเต็มใจของเจ้า เพราะพระเยโฮวาห์ทรงพิจารณาจิตใจทั้งปวง และทรงเข้าใจในแผนงานแห่งความคิดทั้งปวง ถ้าเจ้าแสวงหาพระองค์ เจ้าจะพบพระองค์ แต่ถ้าเจ้าทอดทิ้งพระองค์ พระองค์จะทรงเหวี่ยงเจ้าออกไปเสียเป็นนิตย์
2พศด 16.9 เพราะว่าพระเนตรของพระเยโฮวาห์ไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น เพื่อสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์โดยเห็นแก่ผู้เหล่านั้นที่มีใจจริงต่อพระองค์ ในเรื่องนี้ท่านได้กระทำการอย่างโง่เขลา เพราะตั้งแต่นี้ไปท่านจะมีการศึกสงคราม”
โยบ 9.35 แล้วข้าจะพูดและไม่กลัวพระองค์ แต่ใจจริงของข้าไม่เป็นอย่างนั้น”
ฮชย 7.14 เขามิได้ร้องทุกข์ต่อเราจากใจจริงของเขาเมื่อเขาคร่ำครวญอยู่บนที่นอนของเขา เขาชุมนุมกันเพื่อขอข้าวและขอน้ำองุ่น และเขากบฏต่อเรา
ฟป 1.18 ถ้าเช่นนั้นจะแปลกอะไร แม้เขาจะประกาศด้วยประการใดก็ตาม จะเป็นด้วยการแกล้งทำก็ดี หรือด้วยใจจริงก็ดี แต่เขาก็ได้ประกาศพระคริสต์ ในการนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดี และจะมีความชื่นชมยินดีต่อไปด้วย
ฮบ 10.22 ก็ให้เราเข้ามาใกล้ด้วยใจจริง ด้วยความเชื่ออันเต็มเปี่ยม มีใจที่ถูกประพรมชำระพ้นจากการวินิจฉัยผิดและชอบที่ชั่วร้าย และมีกายล้างชำระด้วยน้ำอันใสบริสุทธิ์

ใจจืดใจดำ ( 1 )
1ยน 3.17 แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสน และยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้

ใจฉลาด ( 1 )
สภษ 11.29 บุคคลผู้ทำให้ครัวเรือนของเขาลำบากจะรับลมเป็นมรดก และคนโง่จะเป็นคนใช้ของคนที่มีใจฉลาด

ใจชั่ว ( 3 )
ฮบ 3.12 ท่านพี่น้องทั้งหลาย จงระวังให้ดี เพื่อจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ แล้วก็หลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
ยก 2.4 พวกท่านเองมิได้ลำเอียง และกลายเป็นผู้วินิจฉัยด้วยใจชั่วหรือ
ยด 1.15 เพื่อทรงพิพากษาปรับโทษคนทั้งปวง และทรงกระทำให้ทุรชนทั้งปวงรู้สึกตัวถึงการอธรรมที่เขาได้กระทำด้วยใจชั่ว และรู้สึกตัวถึงการหยาบช้าทั้งหมดที่ทุรชนคนบาปเหล่านั้นได้กล่าวร้ายต่อพระองค์”

ใจชื่นบาน ( 2 )
2พศด 7.10 เมื่อวันที่ยี่สิบสามของเดือนที่เจ็ด พระองค์ทรงให้ประชาชนกลับไปเต็นท์ของตน มีใจชื่นบานและยินดีด้วยความดีซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงสำแดงแก่ดาวิด และแก่ซาโลมอน และแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์
อสธ 5.9 วันนั้นฮามานก็ออกไปด้วยใจชื่นบานและยินดี แต่เมื่อฮามานเห็นโมรเดคัยที่ประตูของกษัตริย์ ไม่ยืนขึ้นหรือตัวสั่นอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านก็เดือดดาลต่อโมรเดคัย

ใจซื่อสัตย์ ( 3 )
1พกษ 9.4 และถ้าเจ้าดำเนินต่อหน้าเราดังดาวิดบิดาของเจ้าได้ดำเนินด้วยใจซื่อสัตย์ และด้วยความเที่ยงธรรม กระทำทุกอย่างตามที่เราได้บัญชาเจ้าไว้ และรักษากฎเกณฑ์ของเรา และคำตัดสินของเรา
สดด 101.2 ข้าพระองค์จะประพฤติอย่างเฉลียวฉลาดตามมรรคาที่ดีรอบคอบ โอ เมื่อไรพระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะดำเนินด้วยใจซื่อสัตย์ภายในเรือนของข้าพระองค์
ลก 8.15 และซึ่งตกที่ดินดีนั้น ได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะด้วยใจซื่อสัตย์และใจที่ดีแล้วก็จดจำไว้ จึงเกิดผลด้วยความเพียร

ใจดี ( 1 )
มธ 20.15 เราปรารถนาจะทำอะไรกับสิ่งที่เป็นของเราเองนั้นไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติหรือ ทำไมท่านอิจฉาตาร้อนเมื่อเห็นเราใจดี’

ใจดื้อ ( 1 )
กจ 7.51 ท่านคนชาติหัวแข็ง ใจดื้อ หูตึง ท่านทั้งหลายขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทำอย่างไร ท่านก็ทำอย่างนั้นด้วย

ใจดื้อดึง ( 2 )
ยรม 5.23 แต่ชนชาตินี้มีใจดื้อดึงและกบฏ เขาได้หันเหและจากไปเสีย
มก 16.14 ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่สาวกสิบเอ็ดคนเมื่อเขาเอนกายลงรับประทานอยู่ และทรงติเตียนเขาเพราะเขาไม่เชื่อและใจดื้อดึง ด้วยเหตุที่เขามิได้เชื่อคนซึ่งได้เห็นพระองค์เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว

ใจดูหมิ่น ( 1 )
1พศด 15.29 และต่อมาเมื่อหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์มาถึงนครดาวิดแล้ว มีคาลราชธิดาของซาอูลแลดูตามช่องพระแกลเห็นกษัตริย์ดาวิดทรงเต้นรำและทรงร่าเริงอยู่ พระนางก็มีใจดูหมิ่นพระองค์

ใจเดียวกัน ( 8 )
วนฉ 20.1 คนอิสราเอลทั้งหมดตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ทั้งแผ่นดินกิเลอาดก็ออกมา ชุมนุมชนนั้นได้ประชุมกันเป็นใจเดียวกันต่อพระเยโฮวาห์ที่เมืองมิสปาห์
วนฉ 20.8 ประชาชนทุกคนก็ลุกขึ้นกล่าวเป็นใจเดียวกันว่า “พวกเราจะไม่กลับไปเต็นท์ของเรา เราจะไม่กลับไปเรือนของเรา
วนฉ 20.11 คนอิสราเอลทั้งปวงก็ร่วมยกไปสู้เมืองนั้นเป็นพรรคพวกใจเดียวกัน
1ซมอ 11.7 ท่านจึงเอาวัวมาคู่หนึ่งฟันออกเป็นท่อนๆ ส่งไปทั่วเขตแดนทั้งสิ้นของอิสราเอลโดยมือของผู้สื่อสาร กล่าวว่า “ผู้หนึ่งผู้ใดที่ไม่ออกมาตามซาอูลและซามูเอล จะกระทำอย่างนี้แก่วัวของเขา” และความเกรงกลัวพระเยโฮวาห์ก็มาเหนือประชาชน เขาทั้งหลายพากันออกมาเป็นใจเดียวกัน
1พศด 12.38 ทหารทั้งสิ้นเหล่านี้ พร้อมที่จะทำศึก ได้มายังเฮโบรน ด้วยเจตนาเต็มเปี่ยมที่จะเชิญดาวิดเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น ในทำนองเดียวกันบรรดาคนอิสราเอลที่เหลืออยู่ ก็เป็นใจเดียวกันที่จะเชิญดาวิดเป็นกษัตริย์
2พศด 30.12 พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่เหนือยูดาห์ด้วย ทรงให้เขาเป็นใจเดียวกันที่จะกระทำตามซึ่งกษัตริย์และเจ้านายได้บัญชาเขาไว้ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์
สดด 83.5 เพราะเขาปองร้ายเป็นใจเดียวกัน เขาทำพันธสัญญาสู้พระองค์
ศฟย 3.9 ในคราวนั้น เราจะให้ประชาชนนั้นหันไปใช้ภาษาบริสุทธิ์ เพื่อว่าทุกคนจะร้องทูลออกพระนามพระเยโฮวาห์ และปรนนิบัติพระองค์เป็นใจเดียวกัน

ใจเดือดร้อน ( 1 )
สดด 37.8 จงระงับความโกรธ และทิ้งความพิโรธ อย่าให้ใจเดือดร้อนของท่านนำท่านไปกระทำชั่ว

ใจตลบตะแลง ( 3 )
สภษ 6.14 ประดิษฐ์ความชั่วร้ายอยู่เรื่อยไปด้วยใจตลบตะแลง หว่านความแตกร้าว
สภษ 11.20 คนที่มีใจตลบตะแลงเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเยโฮวาห์ แต่คนที่เที่ยงตรงในทางของเขาย่อมเป็นความปีติยินดีของพระองค์
สภษ 17.20 ผู้หนึ่งผู้ใดมีใจตลบตะแลงก็ไม่พบสิ่งที่ดีอันใด และผู้ที่ลิ้นวิปลาสก็ตกอยู่ในความยากลำบาก

ใจถ่อม ( 7 )
สภษ 3.34 แน่นอนพระองค์ทรงเยาะเย้ยคนที่มักเยาะเย้ย แต่พระองค์ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม
สภษ 29.23 ความเย่อหยิ่งของคนนำเขาให้ต่ำลง แต่คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ
อสย 11.4 แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่งแผ่นดินโลกด้วยความเที่ยงตรง ท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน และท่านจะประหารคนชั่วด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน
ศฟย 2.3 ทุกคนที่ใจถ่อมในแผ่นดินนี้ คือผู้ที่กระทำตามคำตัดสินของพระองค์ จงแสวงหาพระเยโฮวาห์ จงแสวงหาความชอบธรรม แสวงหาความถ่อมใจ ชะรอยเจ้าจะได้รับการกำบังในวันแห่งพระพิโรธของพระเยโฮวาห์
ฟป 2.3 อย่าทำสิ่งใดในทางทุ่มเถียงกันหรืออวดดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว
คส 3.12 เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน
ยก 4.6 แต่พระองค์ได้ทรงประทานพระคุณเพิ่มขึ้นอีก เหตุฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า ‘พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม’

ใจถ่อมลง ( 1 )
อฟ 4.2 คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่างและใจอ่อนสุภาพ อดกลั้นไว้นาน และอดทนต่อกันและกันด้วยความรัก

ใจทราม ( 1 )
1ทธ 6.5 และการวิวาทที่ดื้อดึงของผู้มีใจทรามและไร้ความจริง ที่คาดว่าการได้กำไรนั้นเป็นทางของพระเจ้า จงถอนตัวไปเสียจากคนเช่นนี้

ใจทุกข์ ( 1 )
2พกษ 4.27 และเมื่อนางมายังภูเขาถึงคนแห่งพระเจ้าแล้ว นางก็เข้าไปกอดเท้าของท่าน เกหะซีจึงเข้ามาจะจับนางออกไป แต่คนแห่งพระเจ้าบอกว่า “ปล่อยเขาเถอะ เพราะนางมีใจทุกข์หนัก และพระเยโฮวาห์ทรงซ่อนเรื่องนี้จากฉัน หาได้ตรัสสำแดงแก่ฉันไม่”

ใจเที่ยงตรง ( 2 )
สดด 32.11 ข้าแต่คนชอบธรรม จงยินดีในพระเยโฮวาห์ และเปรมปรีดิ์ บรรดาท่านผู้มีใจเที่ยงตรงจงโห่ร้องเถิด
สดด 119.7 ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วยใจเที่ยงตรง เมื่อข้าพระองค์เรียนรู้คำตัดสินอันชอบธรรมของพระองค์

ใจเที่ยงธรรม ( 1 )
สดด 78.72 ท่านจึงเลี้ยงดูเขาทั้งหลายด้วยใจเที่ยงธรรม และนำเขาทั้งหลายไปด้วยมือช่ำชอง

ใจนอบน้อม ( 1 )
1ทธ 2.11 ให้ผู้หญิงเรียนอย่างเงียบๆและด้วยใจนอบน้อมทุกอย่าง

ใจบริสุทธิ์ ( 6 )
สดด 24.4 คือผู้ที่มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้ที่มิได้ปลงใจในสิ่งไร้สาระและมิได้ปฏิญาณอย่างหลอกลวง
สดด 73.1 แท้จริงพระเจ้าทรงดีต่ออิสราเอล ต่อบุคคลผู้มีใจบริสุทธิ์
สภษ 22.11 บุคคลที่รักใจบริสุทธิ์ เพราะเหตุริมฝีปากของเขามีกรุณาคุณ กษัตริย์จะได้เป็นมิตรของเขา
มธ 5.8 บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
2ทธ 2.22 จงหลีกหนีเสียจากราคะตัณหาของคนหนุ่ม แต่จงใฝ่ในความชอบธรรม ในความเชื่อ ความรัก และสันติสุข ร่วมกับผู้ที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์
ฮบ 12.14 จงอุตส่าห์ที่จะสงบสุขอยู่กับคนทั้งปวง และที่จะได้ใจบริสุทธิ์ ด้วยว่านอกจากนั้นไม่มีใครจะได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า

ใจปรานี ( 1 )
คส 3.12 เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน

ใจปรารถนา ( 19 )
อพย 35.21 ทุกคนที่มีใจปรารถนา และที่มีใจสมัครก็นำสิ่งของมาถวายพระเยโฮวาห์สำหรับพลับพลาแห่งชุมนุมและการปรนนิบัติทั้งหลาย และสำหรับเครื่องยศบริสุทธิ์
อพย 35.26 ฝ่ายบรรดาผู้หญิงที่มีใจปรารถนาก็ปั่นขนแพะด้วยความชำนาญ
พบญ 12.20 เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงขยายอาณาเขตของท่าน ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับท่านแล้วนั้น และท่านกล่าวว่า ‘เราจะกินเนื้อสัตว์’ เพราะพวกท่านอยากรับประทานเนื้อสัตว์ ท่านจะรับประทานเนื้อตามใจปรารถนาของท่านได้
พบญ 18.6 ถ้าคนเลวีคนใดมาจากประตูเมืองใดในอิสราเอลอันเป็นที่อยู่ของเขา จะมายังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเลือกไว้ก็ให้เขามาได้ตามใจปรารถนา
อสธ 1.8 การดื่มก็กระทำกันตามกฎหมายที่ไม่มีการบังคับ เพราะกษัตริย์ทรงมีพระกระแสรับสั่งไปยังพนักงานทั้งปวงว่า ให้ทุกคนทำได้ตามใจปรารถนา
สดด 20.4 ขอทรงประสิทธิ์ประสาทตามใจปรารถนาของท่านด้วย และให้โครงการที่ท่านคิดนั้นสำเร็จทั้งสิ้น
สดด 21.2 พระองค์ทรงประสิทธิ์ประสาทตามใจปรารถนาของท่าน และมิได้ทรงยับยั้งสิ่งที่ริมฝีปากท่านทูลขอ เซลาห์
สดด 35.25 อย่าให้เขาทั้งหลายรำพึงในใจว่า “เอ้อเฮอ เราได้ตามใจปรารถนาของเรา” อย่าให้เขากล่าวได้ว่า “เราได้กลืนเขาเสียแล้ว”
สดด 37.4 จงปีติยินดีในพระเยโฮวาห์และพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของท่าน
สดด 73.7 ตาของเขาพองด้วยความอ้วนพี เขามีสิ่งของเหลือเฟือตามใจปรารถนา
มธ 26.39 แล้วพระองค์เสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดิน อธิษฐานว่า “โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
มก 14.36 พระองค์ทูลว่า “อับบา พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ทรงสามารถกระทำสิ่งทั้งปวงได้ ขอเอาถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่ว่าอย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
กจ 7.39 บรรพบุรุษของเราไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสผู้นี้ แต่ได้ผลักไสท่านให้ไปจากเขา ด้วยมีใจปรารถนาจะกลับไปยังแผ่นดินอียิปต์
กจ 7.46 ดาวิดนั้นมีความชอบจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และมีใจปรารถนาที่จะหาพระนิเวศสำหรับพระเจ้าของยาโคบ
ฟป 2.13 เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ทั้งให้ท่านมีใจปรารถนาและให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์
1ปต 4.2 เพื่อเขาจะได้ไม่ดำเนินชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในเนื้อหนังตามใจปรารถนาของมนุษย์ แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
1ปต 4.3 ด้วยว่าเวลาที่ผ่านไปในชีวิตของเราแล้วนั้น น่าจะเพียงพอสำหรับการกระทำสิ่งที่คนต่างชาติชอบกระทำ คราวเมื่อเราได้ดำเนินตามกิเลสตัณหา ตามใจปรารถนาอันชั่ว เมาเหล้าองุ่น เฮฮาเอะอะเอ็ดตะโรกัน เลี้ยงกันอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย และการไหว้รูปเคารพอันเป็นที่น่าเกลียด
2ปต 3.3 จงรู้ข้อนี้ก่อน คือในวันสุดท้ายคนที่ชอบเยาะเย้ยจะเกิดขึ้นและดำเนินตามใจปรารถนาชั่วของตน
วว 22.17 พระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่ได้ยินกล่าวว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย

ใจฝ่อ ( 1 )
โยบ 41.25 เมื่อมันลอยขึ้นมา ผู้ทรงอานุภาพก็กลัวมัน พอมันแว้ง เขาทั้งหลายก็มีใจฝ่อเสียแล้ว

ใจพร้อม ( 5 )
2คร 8.11 ฉะนั้นบัดนี้ก็ควรแล้วที่ท่านจะกระทำเรื่องนั้นให้สำเร็จเสีย เพื่อว่าเมื่อท่านมีใจพร้อมอยู่แล้ว ท่านก็จะได้ทำให้สำเร็จตามความสามารถของท่าน
2คร 8.17 เพราะไม่เพียงแต่เขาได้รับคำเตือนเท่านั้น แต่เขาได้ไปหาท่านเพราะเขาเองมีใจพร้อมอยู่แล้วด้วย
1ธส 2.8 เมื่อเรารักท่านอย่างนี้แล้ว เราก็มีใจพร้อมที่จะเผื่อแผ่เจือจาน มิใช่แต่เพียงข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น แต่อุทิศจิตใจเราให้แก่ท่านด้วย เพราะท่านเป็นที่รักยิ่งของเรา
1ทธ 6.18 จงกำชับเขาให้กระทำการดี ให้ร่ำรวยในการดีนั้น ให้มีใจพร้อมที่จะให้ทาน ให้มีใจกว้างขวาง
1ปต 5.2 จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่กับท่าน จงเอาใจใส่ดูแล ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของอันเป็นมลทิน แต่ด้วยใจพร้อม

ใจเมตตา ( 5 )
อสย 57.1 คนชอบธรรมพินาศ และไม่มีใครเอาใจใส่ คนที่มีใจเมตตาถูกเอาไปเสีย ไม่มีใครพิจารณาว่าคนชอบธรรมถูกเอาไปเสียจากความชั่วร้ายที่จะมา
ลก 10.33 แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่งเมื่อเดินมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา
กจ 27.3 วันรุ่งขึ้นเราได้แวะที่เมืองไซดอน ฝ่ายยูเลียสมีใจเมตตาปรานีแก่เปาโล ยอมให้เปาโลไปหามิตรสหายทั้งหลายเพื่อจะได้บรรเทาใจ
คส 3.12 เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน
ฮบ 10.34 เพราะว่าท่านทั้งหลายมีใจเมตตาต่อข้าพเจ้าในเมื่อข้าพเจ้าต้องถูกขังไว้ และเมื่อมีคนปล้นชิงเอาทรัพย์สิ่งของของท่านไป ท่านก็ยอมให้ด้วยใจยินดี เพราะท่านรู้แล้วว่า ท่านมีทรัพย์สมบัติที่ประเสริฐกว่าและถาวรกว่านั้นอีกในสวรรค์

ใจยินดี ( 8 )
พบญ 28.47 เพราะท่านมิได้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยความร่าเริงและใจยินดี เพราะเหตุมีสิ่งสารพัดบริบูรณ์
สภษ 27.9 น้ำมันและน้ำหอมกระทำให้ใจยินดี และคำเตือนสติอันอ่อนหวานของเพื่อนก็เป็นที่ให้ชื่นใจ
อสย 30.29 เจ้าจะมีบทเพลงอย่างคืนที่มีเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ และมีใจยินดี อย่างคนที่ออกเดินตามเสียงปี่ เพื่อไปยังภูเขาของพระเยโฮวาห์ ถึงผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของอิสราเอล
อสย 65.14 ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราจะร้องเพลงเพราะใจยินดี แต่เจ้าทั้งหลายจะร้องออกมาเพราะเสียใจ และจะครวญครางเพราะจิตระทม
กจ 7.41 ในคราวนั้นเขาทั้งหลายได้ทำรูปโคหนุ่ม และได้นำเครื่องสัตวบูชามาถวายแก่รูปนั้น และมีใจยินดีในสิ่งซึ่งมือของตนเองได้ทำขึ้น
รม 12.8 ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาคก็จงให้โดยเต็มใจ ผู้ที่ครอบครองก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตาก็จงแสดงด้วยใจยินดี
2คร 9.7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี
ฮบ 10.34 เพราะว่าท่านทั้งหลายมีใจเมตตาต่อข้าพเจ้าในเมื่อข้าพเจ้าต้องถูกขังไว้ และเมื่อมีคนปล้นชิงเอาทรัพย์สิ่งของของท่านไป ท่านก็ยอมให้ด้วยใจยินดี เพราะท่านรู้แล้วว่า ท่านมีทรัพย์สมบัติที่ประเสริฐกว่าและถาวรกว่านั้นอีกในสวรรค์

ใจเย่อหยิ่ง ( 1 )
ลก 1.51 พระองค์ทรงสำแดงฤทธิ์ด้วยพระกรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำให้คนที่มีใจเย่อหยิ่งแตกฉานซ่านเซ็นไป

ใจร้อนรน ( 10 )
สดด 78.34 เมื่อพระองค์ทรงสังหารเขา เขาแสวงหาพระองค์ เขาได้กลับมาแสวงพระเจ้าด้วยใจร้อนรน
มธ 11.12 และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาถึงทุกวันนี้ อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และผู้ที่ใจร้อนรนก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้
ลก 7.4 เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึงพระเยซูแล้ว เขาก็อ้อนวอนพระองค์ด้วยใจร้อนรนว่า “นายร้อยนั้นเป็นคนสมควรที่พระองค์จะกระทำการนั้นให้ท่าน
กจ 18.25 อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจร้อนรนกล่าวสั่งสอนโดยละเอียดถึงเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้ว่าท่านรู้แต่เพียงบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น
กจ 21.20 ครั้นคนทั้งหลายได้ยินจึงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และกล่าวแก่เปาโลว่า “พี่เอ๋ย ท่านเห็นว่ามีพวกยิวสักกี่พันคนที่เชื่อถือ และทุกคนยังมีใจร้อนรนในการถือพระราชบัญญัติ
กจ 22.3 “ที่จริงข้าพเจ้าเป็นยิว เกิดในเมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย แต่ได้เติบโตขึ้นในเมืองนี้ และได้เล่าเรียนกับท่านอาจารย์กามาลิเอล ตามพระราชบัญญัติของบรรพบุรุษของเราโดยถี่ถ้วนทุกประการ จึงมีใจร้อนรนในการปรนนิบัติพระเจ้า เหมือนอย่างท่านทั้งหลายในทุกวันนี้
รม 15.30 พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่พระเยซูคริสต์เจ้าและโดยเห็นแก่ความรักของพระวิญญาณ ข้าพเจ้าจึงวิงวอนขอให้ท่านช่วยอธิษฐานพระเจ้าด้วยใจร้อนรนเพื่อข้าพเจ้า
กท 1.14 และเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในลัทธิยิวนั้น ข้าพเจ้าได้ก้าวหน้าเกินกว่าเพื่อนหลายคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และที่เป็นชนชาติเดียวกัน เพราะเหตุที่ข้าพเจ้ามีใจร้อนรนมากกว่าเขาในเรื่องขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า
ยก 5.16 ท่านทั้งหลายจงสารภาพความผิดต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้หายโรค คำอธิษฐานด้วยใจร้อนรนอย่างเอาจริงเอาจังของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังมากทำให้เกิดผล

ใจรัก ( 2 )
อฟ 4.15 แต่ให้เราพูดความจริงด้วยใจรักเพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์
ฟป 1.17 แต่ฝ่ายหนึ่งประกาศด้วยใจรัก โดยรู้แล้วว่าทรงตั้งข้าพเจ้าไว้ป้องกันข่าวประเสริฐนั้นไว้

ใจร้าย ( 2 )
พคค 4.3 แม้แต่สัตว์ประหลาดทะเลยังได้เอานมออกให้ลูกของมันดูด แต่ธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้าก็ใจร้าย ดุจนกกระจอกเทศในถิ่นทุรกันดาร
กจ 13.10 และพูดว่า “โอ เจ้าเป็นคนเต็มไปด้วยอุบายและใจร้ายทุกอย่าง ลูกของพญามาร เป็นศัตรูต่อบรรดาความชอบธรรม เจ้าจะไม่หยุดพยายามทำทางตรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้เขวไปหรือ

ใจร่าเริง ( 3 )
สภษ 15.15 ทุกๆวันของคนที่ทุกข์ใจก็ร้าย แต่คนที่มีใจร่าเริงมีการเลี้ยงต่อเนื่องกัน
สภษ 17.22 ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจที่หมดมานะทำให้กระดูกแห้ง
ปญจ 9.7 ไปเถิด ไปรับประทานอาหารของเจ้าด้วยความชื่นชม และไปดื่มน้ำองุ่นของเจ้าด้วยใจร่าเริง เพราะพระเจ้าทรงเห็นชอบกับการงานของเจ้าแล้ว

ใจลำเอียง ( 1 )
1ทธ 5.21 ข้าพเจ้ากำชับท่านต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อพระเยซูคริสต์เจ้า และต่อเหล่าทูตสวรรค์ที่ทรงเลือกสรรไว้แล้วนั้น ให้ท่านรักษาข้อความเหล่านี้ไว้โดยไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด และไม่กระทำการใดๆด้วยใจลำเอียง

ใจวินิจฉัยผิดชอบ ( 4 )
ยน 8.9 และเมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น จึงรู้สำนึกโดยใจวินิจฉัยผิดชอบ เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่จนหมด เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงที่ยังยืนอยู่ที่นั้น
กจ 23.1 ฝ่ายเปาโลจึงเพ่งดูพวกสมาชิกสภาแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อพระพักตร์พระเจ้าล้วนแต่ตามใจวินิจฉัยผิดชอบอันดีจนถึงทุกวันนี้”
กจ 24.16 ในข้อนี้ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประพฤติตามใจวินิจฉัยผิดชอบที่ปราศจากผิดต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์
1ปต 2.19 เพราะว่าถ้าผู้ใด เพราะเห็นแก่ใจวินิจฉัยผิดชอบจำเพาะพระเจ้า ยอมอดทนต่อความทุกข์โศกเศร้าอย่างอยุติธรรม นี่แหละเป็นความชอบ

ใจวินิจฉัยผิดและชอบ ( 5 )
ฮบ 9.9 พลับพลาเดิมเป็นเครื่องเปรียบสำหรับในเวลานั้น คือมีการถวายของให้และเครื่องบูชา ซึ่งจะกระทำให้ใจวินิจฉัยผิดและชอบของผู้ถวายนั้นถึงที่สำเร็จไม่ได้
ฮบ 9.14 มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไรพระโลหิตของพระคริสต์ โดยพระวิญญาณนิรันดร์ได้ทรงถวายพระองค์เองแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาอันปราศจากตำหนิ จะได้ทรงชำระใจวินิจฉัยผิดและชอบของท่านทั้งหลายให้พ้นจากการกระทำที่ตายแล้ว เพื่อจะได้ปฏิบัติพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
ฮบ 13.18 จงอธิษฐานเพื่อเรา เพราะเราแน่ใจว่า เรามีใจวินิจฉัยผิดและชอบดีอยู่แล้ว และปรารถนาที่จะปฏิบัติอย่างซื่อสัตย์ในทุกอย่าง
1ปต 3.16 มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดี เพื่อในข้อความที่เขาทั้งหลายได้พูดใส่ร้ายท่านเหมือนเป็นผู้ประพฤติชั่ว เขาที่ใส่ร้ายการประพฤติดีของท่านในพระคริสต์จะได้มีความละอาย
1ปต 3.21 เช่นเดียวกัน บัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นภาพที่รอดแก่เราทั้งหลาย (ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีจำเพาะพระเจ้า) โดยซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย

ใจสงบ ( 1 )
2ธส 3.12 เราจึงกำชับและเตือนสติคนเช่นนั้นโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า ให้เขาทำงานด้วยใจสงบ และกินอาหารของตนเอง

ใจสมัคร ( 13 )
อพย 35.21 ทุกคนที่มีใจปรารถนา และที่มีใจสมัครก็นำสิ่งของมาถวายพระเยโฮวาห์สำหรับพลับพลาแห่งชุมนุมและการปรนนิบัติทั้งหลาย และสำหรับเครื่องยศบริสุทธิ์
อพย 35.29 คนอิสราเอลทั้งชายหญิงทุกคนที่มีใจสมัครนำของถวายสำหรับการงานต่างๆ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้ให้กระทำก็นำของมาตามอำเภอใจถวายแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 22.18 “จงกล่าวแก่อาโรนและลูกหลานของอาโรน และแก่คนอิสราเอลทั้งหมดว่า เมื่อคนในวงศ์วานอิสราเอลหรือคนต่างด้าวในอิสราเอลผู้ใดถวายเครื่องบูชาสำหรับบรรดาเครื่องปฏิญาณ และบรรดาเครื่องบูชาด้วยใจสมัครของตน ซึ่งถวายบูชาแด่พระเยโฮวาห์เป็นเครื่องเผาบูชา
ลนต 22.21 เมื่อคนใดถวายเครื่องสันติบูชาแด่พระเยโฮวาห์ เพื่อทำตามคำปฏิญาณหรือถวายด้วยใจสมัคร เป็นสัตว์ที่ได้มาจากฝูงวัว หรือฝูงแพะแกะ สัตว์นั้นต้องไม่มีตำหนิจึงจะเป็นที่โปรดปราน อย่าให้สัตว์นั้นมีที่ติเลย
ลนต 22.23 วัวหรือลูกแกะที่มีอวัยวะยาวเกินไปหรือสั้นเกินไปสักส่วนหนึ่ง ท่านจะนำมาถวายเป็นเครื่องบูชาด้วยใจสมัครก็ได้ แต่ถ้าเป็นเครื่องบูชาปฏิญาณก็ไม่เป็นที่โปรดปราน
ลนต 23.38 นอกเหนือวันสะบาโตแห่งพระเยโฮวาห์ และนอกเหนือของถวายของเจ้า และนอกเหนือเครื่องปฏิญาณทั้งหลายของเจ้า และนอกเหนือเครื่องบูชาด้วยใจสมัครทั้งหลายของเจ้า ซึ่งเจ้านำมาถวายแด่พระเยโฮวาห์
กดว 15.3 ถ้าผู้ใดจะนำเครื่องบูชาจากฝูงวัวหรือจากฝูงแพะแกะไปถวายพระเยโฮวาห์เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ คือเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสัตวบูชาทำตามคำปฏิญาณ หรือเป็นเครื่องบูชาด้วยใจสมัคร หรือในการเลี้ยงตามกำหนด กระทำให้มีกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์
กดว 29.39 สิ่งเหล่านี้เจ้าทั้งหลายจงถวายแด่พระเยโฮวาห์ตามเทศกาลกำหนดของเจ้า เพิ่มเข้ากับการถวายตามคำปฏิญาณของเจ้า และการถวายด้วยใจสมัครของเจ้า เป็นเครื่องเผาบูชาของเจ้า เครื่องธัญญบูชาของเจ้า เครื่องดื่มบูชาของเจ้า และเครื่องสันติบูชาของเจ้า”
2พศด 29.31 แล้วเฮเซคียาห์ตรัสว่า “บัดนี้ท่านทั้งหลายได้ชำระตัวของท่านให้บริสุทธิ์ต่อพระเยโฮวาห์ จงเข้ามาใกล้ นำเครื่องสัตวบูชา และเครื่องบูชาโมทนามายังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์” และชุมนุมชนก็นำเครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาโมทนา และทุกคนที่มีใจสมัครก็ได้นำเครื่องเผาบูชามา
อสร 7.16 พร้อมทั้งเงินและทองคำทั้งสิ้นซึ่งเจ้าจะหาได้ทั่วไปในมณฑลบาบิโลน พร้อมกับของถวายด้วยใจสมัครของประชาชนและปุโรหิต เต็มใจถวายแด่พระนิเวศของพระเจ้าของเขา ซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม
อสร 8.28 และข้าพเจ้าบอกเขาว่า “ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ต่อพระเยโฮวาห์ และเครื่องใช้ก็บริสุทธิ์ และเงินกับทองคำเป็นของถวายด้วยใจสมัครแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย
อมส 4.5 จงเผาบูชาโมทนาด้วยใช้สิ่งที่มีเชื้อ และประกาศการถวายบูชาด้วยใจสมัคร จงโฆษณา โอ คนอิสราเอลเอ๋ย เจ้ารักที่จะกระทำอย่างนี้นี่นะ” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
ยน 10.18 ไม่มีผู้ใดชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตด้วยใจสมัครของเราเอง เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับคืนอีก พระบัญชานี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา”

ใจสัตย์ซื่อ ( 1 )
สภษ 11.13 บุคคลที่เที่ยวซุบซิบก็เผยความลับ แต่บุคคลที่มีใจสัตย์ซื่อย่อมปิดบังสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ได้

ใจสำนึกผิดชอบ ( 9 )
รม 2.15 คือแสดงให้เห็นการกระทำที่เป็นตามพระราชบัญญัตินั้นมีจารึกอยู่ในจิตใจของเขา และใจสำนึกผิดชอบก็เป็นพยานของเขาด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆของเขานั้นแหละ จะกล่าวโทษตัวหรืออาจจะแก้ตัวให้เขา)
รม 9.1 ข้าพเจ้าพูดตามความจริงในพระคริสต์ ข้าพเจ้าไม่ได้มุสา ใจสำนึกผิดชอบของข้าพเจ้าเป็นพยานฝ่ายข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย
1คร 10.25 ทุกสิ่งที่เขาขายตามตลาดเนื้อนั้นรับประทานได้ ไม่ต้องถามอะไรโดยเห็นแก่ใจสำนึกผิดชอบ
1คร 10.27 ถ้าคนที่ไม่มีความเชื่อจะเชิญท่านไปในงานเลี้ยงและท่านเต็มใจไป สิ่งที่เขาตั้งให้รับประทานก็รับประทานได้ ไม่ต้องถามอะไรโดยเห็นแก่ใจสำนึกผิดชอบ
1คร 10.28 แต่ถ้ามีใครมาบอกท่านว่า “ของนี้เขาถวายแก่รูปเคารพแล้ว” ท่านอย่ารับประทาน เพราะเห็นแก่คนที่บอกนั้นและเพราะเห็นแก่ใจสำนึกผิดชอบด้วย เพราะว่า ‘แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในโลกนั้นเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า’
1คร 10.29 ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงใจสำนึกผิดชอบของท่าน แต่หมายถึงใจสำนึกผิดชอบของคนที่บอกนั้น ทำไมใจสำนึกผิดชอบของผู้อื่นจะต้องมาขัดขวางเสรีภาพของข้าพเจ้าเล่า
2คร 1.12 นี่เป็นสิ่งที่เราชื่นชมยินดีได้ คือใจสำนึกผิดชอบของเราเป็นพยานว่าเราได้ประพฤติตนเป็นที่ประจักษ์แก่โลก และยิ่งกว่านั้นก็คือการประพฤติต่อท่านทั้งหลาย ด้วยน้ำใจบริสุทธิ์ และด้วยความจริงใจซึ่งมาจากพระเจ้า และมิใช่ตามปัญญาฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามพระคุณของพระเจ้า

ใจสุภาพ ( 3 )
2ทธ 2.24 ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท แต่ต้องมีใจสุภาพต่อคนทั้งปวง เหมาะที่จะเป็นครูและมีความอดทน
1ปต 3.8 ในที่สุดนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยน มีใจสุภาพ
1ปต 3.15 แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือพระเจ้าซึ่งเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความยำเกรง

ใจหวังดี ( 1 )
ฟป 1.15 ความจริงมีบางคนประกาศพระคริสต์ด้วยจิตใจริษยาและทุ่มเถียงกัน แต่ก็มีคนอื่นที่ประกาศด้วยใจหวังดี

ใจหันกลับ ( 1 )
สภษ 14.14 คนที่มีใจหันกลับจะได้ผลจากทางของเขาจนเต็ม และคนดีก็จะได้ผลดีแห่งการกระทำของเขา

ใจองอาจ ( 1 )
พบญ 1.43 ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวแก่ท่านดังนั้น และท่านทั้งหลายไม่ฟัง แต่ได้ขัดขืนพระบัญชาของพระเยโฮวาห์ มีใจองอาจและได้ขึ้นไปที่แดนเทือกเขานั้น

ใจอดกลั้น ( 1 )
ปญจ 7.8 เบื้องปลายแห่งสิ่งใดๆก็ดีกว่าเบื้องต้นแห่งสิ่งนั้นๆ มีใจอดกลั้นก็ดีกว่ามีใจอหังการ

ใจอดทนไว้นาน ( 1 )
คส 3.12 เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน

ใจอหังการ ( 1 )
ปญจ 7.8 เบื้องปลายแห่งสิ่งใดๆก็ดีกว่าเบื้องต้นแห่งสิ่งนั้นๆ มีใจอดกลั้นก็ดีกว่ามีใจอหังการ

ใจอ่อน ( 1 )
พคค 4.10 มือของหญิงที่ใจอ่อนกลับเอาลูกของตัวต้มกิน ลูกที่ถูกต้มเป็นอาหารนั้นกินกันเมื่อยามหายนะมาสู่ธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้า

ใจอ่อนสุภาพ ( 6 )
มธ 11.29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง และท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน
1คร 4.21 ท่านจะเอาอย่างไร จะให้ข้าพเจ้าถือไม้เรียวมาหาท่าน หรือจะให้ข้าพเจ้ามาด้วยความรักและด้วยใจอ่อนสุภาพ
กท 6.1 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าผู้ใดถูกครอบงำอยู่ในความผิดบาป ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย
อฟ 4.2 คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่างและใจอ่อนสุภาพ อดกลั้นไว้นาน และอดทนต่อกันและกันด้วยความรัก
คส 3.12 เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน
ยก 3.13 ในพวกท่าน ผู้ใดมีสติปัญญาและประกอบด้วยความรู้ ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยกริยาอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา

ใจอ่อนแอ ( 2 )
ลนต 26.36 ส่วนพวกเจ้าทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่เราจะให้เขามีใจอ่อนแอในแผ่นดินของศัตรู จนเสียงใบไม้ไหวจะไล่ตามเขา และเขาจะหนีเหมือนคนหนีจากดาบ และเขาจะล้มลงทั้งที่ไม่มีคนไล่ติดตาม
2พศด 13.7 และมีคนถ่อยคนอันธพาลบางคนมั่วสุมกันกับเขาและขันสู้กับเรโหโบอัมโอรสของซาโลมอน เมื่อเรโหโบอัมยังเด็กอยู่และใจอ่อนแอต้านทานไม่ไหว

ใจเอ็นดู ( 1 )
อฟ 4.32 และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่าน เพราะเห็นแก่พระคริสต์

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV / Thai Bible King James Version

© 2003 Philip Pope