ศัพท์สัมพันธ์
พระคริสตธรรมคัมภีร์
ภาษาไทยฉบับคิง เจมส์

Thai KJV Bible Concordance


กลับหน้าแรก / Main Menu

 

ลก ( 5 )
ลนต 14.10 ในวันที่แปดให้เขาเอาลูกแกะผู้สองตัวปราศจากตำหนิ และลูกแกะเมียอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งปราศจากตำหนิ และยอดแป้งคลุกน้ำมันสามในสิบเอฟาห์เป็นธัญญบูชา กับน้ำมันลกหนึ่ง
ลนต 14.12 ให้ปุโรหิตนำลูกแกะผู้นั้นตัวหนึ่งไปถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดพร้อมกับน้ำมันลกหนึ่ง ให้แกว่งไปแกว่งมาเป็นเครื่องบูชาแกว่งถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 14.15 และปุโรหิตจะนำน้ำมันหนึ่งลกนั้นมาบ้าง เทใส่ฝ่ามือซ้ายของตน
ลนต 14.21 ถ้าผู้นั้นเป็นคนยากจนและไม่สามารถจะหามาได้เท่านั้น ก็ให้เขานำลูกแกะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดเพื่อแกว่งไปแกว่งมา กระทำการลบมลทินของเขา และนำยอดแป้งหนึ่งในสิบเอฟาห์คลุกกับน้ำมัน เป็นธัญญบูชากับน้ำมันลกหนึ่ง
ลนต 14.24 และปุโรหิตจะนำลูกแกะที่เป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดและน้ำมันลกหนึ่งนั้น และปุโรหิตจะแกว่งไปแกว่งมาเป็นเครื่องบูชาแกว่งถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์

ลง ( 1373 )
ปฐก 3.13; ปฐก 8.1; ปฐก 8.3; ปฐก 8.5; ปฐก 8.8; ปฐก 8.11; ปฐก 11.7; ปฐก 12.10; ปฐก 14.10; ปฐก 17.3; ปฐก 17.17; ปฐก 18.2; ปฐก 18.21; ปฐก 18.33; ปฐก 19.1; ปฐก 23.7; ปฐก 23.12; ปฐก 24.11; ปฐก 24.14; ปฐก 24.16; ปฐก 24.26; ปฐก 24.45; ปฐก 24.48; ปฐก 24.52; ปฐก 24.64; ปฐก 26.2; ปฐก 27.44; ปฐก 27.45; ปฐก 28.12; ปฐก 33.3; ปฐก 33.4; ปฐก 33.6; ปฐก 33.7; ปฐก 35.14; ปฐก 37.10; ปฐก 37.20; ปฐก 37.24; ปฐก 37.25; ปฐก 37.31; ปฐก 37.35; ปฐก 38.1; ปฐก 39.1; ปฐก 40.11; ปฐก 41.43; ปฐก 42.2; ปฐก 42.3; ปฐก 42.6; ปฐก 42.38; ปฐก 43.4; ปฐก 43.5; ปฐก 43.15; ปฐก 43.26; ปฐก 43.28; ปฐก 44.11; ปฐก 44.14; ปฐก 44.26; ปฐก 44.29; ปฐก 44.31; ปฐก 45.9; ปฐก 46.3; ปฐก 46.4; ปฐก 47.31; ปฐก 48.12; ปฐก 49.9; ปฐก 49.14; ปฐก 49.15; ปฐก 49.17; ปฐก 50.1; ปฐก 50.18; อพย 2.3; อพย 2.5; อพย 4.3; อพย 4.9; อพย 4.31; อพย 5.8; อพย 5.19; อพย 7.9; อพย 7.10; อพย 7.12; อพย 8.15; อพย 9.25; อพย 10.14; อพย 11.8; อพย 12.22; อพย 12.27; อพย 14.27; อพย 15.1; อพย 15.4; อพย 15.5; อพย 15.10; อพย 15.19; อพย 15.21; อพย 15.25; อพย 16.34; อพย 17.11; อพย 17.14; อพย 18.7; อพย 18.22; อพย 19.14; อพย 19.21; อพย 19.24; อพย 19.25; อพย 21.33; อพย 22.10; อพย 23.16; อพย 29.7; อพย 29.10; อพย 32.7; อพย 32.20; อพย 32.24; อพย 32.28; อพย 34.8; ลนต 1.16; ลนต 2.1; ลนต 4.6; ลนต 4.7; ลนต 4.17; ลนต 4.18; ลนต 4.30; ลนต 4.34; ลนต 8.12; ลนต 9.9; ลนต 9.24; ลนต 10.1; ลนต 11.33; ลนต 13.3; ลนต 13.6; ลนต 14.45; ลนต 14.51; ลนต 16.21; ลนต 16.29; ลนต 16.31; ลนต 19.28; ลนต 23.27; ลนต 23.29; ลนต 23.32; ลนต 25.16; ลนต 25.25; ลนต 25.35; ลนต 25.39; ลนต 25.47; ลนต 26.30; ลนต 26.41; ลนต 27.16; กดว 1.51; กดว 4.7; กดว 5.23; กดว 10.17; กดว 11.6; กดว 11.11; กดว 14.5; กดว 16.4; กดว 16.22; กดว 16.30; กดว 16.33; กดว 16.45; กดว 17.5; กดว 20.6; กดว 20.15; กดว 22.27; กดว 22.31; กดว 24.9; กดว 29.7; กดว 34.4; กดว 34.11; กดว 34.12; พบญ 7.5; พบญ 9.12; พบญ 9.18; พบญ 9.21; พบญ 9.25; พบญ 10.4; พบญ 10.22; พบญ 11.24; พบญ 12.16; พบญ 12.24; พบญ 12.27; พบญ 19.5; พบญ 20.9; พบญ 20.19; พบญ 20.20; พบญ 22.9; พบญ 26.5; พบญ 28.13; พบญ 28.32; พบญ 28.43; พบญ 28.52; พบญ 28.56; พบญ 28.65; พบญ 31.24; พบญ 32.2; พบญ 32.36; พบญ 33.3; พบญ 33.24; พบญ 34.8; ยชว 1.3; ยชว 2.15; ยชว 2.18; ยชว 2.23; ยชว 3.11; ยชว 3.13; ยชว 3.15; ยชว 3.16; ยชว 4.5; ยชว 5.14; ยชว 6.5; ยชว 6.20; ยชว 6.26; ยชว 7.5; ยชว 7.6; ยชว 7.10; ยชว 7.23; ยชว 8.29; ยชว 9.20; ยชว 10.11; ยชว 10.27; ยชว 13.1; ยชว 15.10; ยชว 15.18; ยชว 16.3; ยชว 16.7; ยชว 16.8; ยชว 17.9; ยชว 18.13; ยชว 18.16; ยชว 18.17; ยชว 18.18; ยชว 19.51; ยชว 23.1; ยชว 23.7; ยชว 23.16; ยชว 24.4; วนฉ 1.9; วนฉ 1.14; วนฉ 3.27; วนฉ 3.28; วนฉ 4.14; วนฉ 4.15; วนฉ 5.27; วนฉ 6.6; วนฉ 6.25; วนฉ 6.28; วนฉ 6.31; วนฉ 7.4; วนฉ 7.5; วนฉ 7.6; วนฉ 7.9; วนฉ 7.10; วนฉ 7.11; วนฉ 8.9; วนฉ 8.25; วนฉ 8.32; วนฉ 9.45; วนฉ 11.37; วนฉ 13.20; วนฉ 14.1; วนฉ 14.5; วนฉ 14.7; วนฉ 14.10; วนฉ 14.19; วนฉ 15.11; วนฉ 16.30; นรธ 2.10; นรธ 3.3; นรธ 3.6; 1ซมอ 2.6; 1ซมอ 2.7; 1ซมอ 4.19; 1ซมอ 6.15; 1ซมอ 6.18; 1ซมอ 10.1; 1ซมอ 10.8; 1ซมอ 10.13; 1ซมอ 13.20; 1ซมอ 14.36; 1ซมอ 15.6; 1ซมอ 15.12; 1ซมอ 17.8; 1ซมอ 17.49; 1ซมอ 17.50; 1ซมอ 19.12; 1ซมอ 20.19; 1ซมอ 20.41; 1ซมอ 21.13; 1ซมอ 22.1; 1ซมอ 23.4; 1ซมอ 23.8; 1ซมอ 23.20; 1ซมอ 23.25; 1ซมอ 24.8; 1ซมอ 25.1; 1ซมอ 25.23; 1ซมอ 25.24; 1ซมอ 25.41; 1ซมอ 26.2; 1ซมอ 26.6; 1ซมอ 26.7; 1ซมอ 28.14; 1ซมอ 29.4; 1ซมอ 30.15; 1ซมอ 30.16; 1ซมอ 30.24; 1ซมอ 31.12; 2ซมอ 1.2; 2ซมอ 3.1; 2ซมอ 4.1; 2ซมอ 4.4; 2ซมอ 5.17; 2ซมอ 6.22; 2ซมอ 9.6; 2ซมอ 11.8; 2ซมอ 11.9; 2ซมอ 11.10; 2ซมอ 11.13; 2ซมอ 13.36; 2ซมอ 13.39; 2ซมอ 14.4; 2ซมอ 14.11; 2ซมอ 14.22; 2ซมอ 14.33; 2ซมอ 15.24; 2ซมอ 17.13; 2ซมอ 17.18; 2ซมอ 18.17; 2ซมอ 18.21; 2ซมอ 18.28; 2ซมอ 19.18; 2ซมอ 20.8; 2ซมอ 21.15; 2ซมอ 22.10; 2ซมอ 22.28; 2ซมอ 22.36; 2ซมอ 22.40; 2ซมอ 22.43; 2ซมอ 22.48; 2ซมอ 23.20; 2ซมอ 23.21; 2ซมอ 24.20; 1พกษ 1.23; 1พกษ 1.25; 1พกษ 1.31; 1พกษ 1.33; 1พกษ 1.38; 1พกษ 1.47; 1พกษ 1.52; 1พกษ 1.53; 1พกษ 2.5; 1พกษ 2.6; 1พกษ 2.9; 1พกษ 10.5; 1พกษ 12.4; 1พกษ 12.9; 1พกษ 12.10; 1พกษ 13.5; 1พกษ 15.13; 1พกษ 17.21; 1พกษ 18.7; 1พกษ 18.30; 1พกษ 18.33; 1พกษ 18.39; 1พกษ 18.40; 1พกษ 18.42; 1พกษ 18.44; 1พกษ 19.10; 1พกษ 19.14; 1พกษ 19.18; 1พกษ 19.19; 1พกษ 21.4; 1พกษ 21.18; 1พกษ 21.29; 1พกษ 22.2; 1พกษ 22.43; 2พกษ 1.13; 2พกษ 1.15; 2พกษ 2.2; 2พกษ 2.8; 2พกษ 2.14; 2พกษ 2.15; 2พกษ 2.21; 2พกษ 3.12; 2พกษ 3.19; 2พกษ 4.24; 2พกษ 4.37; 2พกษ 4.41; 2พกษ 5.14; 2พกษ 5.18; 2พกษ 5.21; 2พกษ 6.5; 2พกษ 6.6; 2พกษ 6.9; 2พกษ 6.33; 2พกษ 7.17; 2พกษ 8.12; 2พกษ 8.29; 2พกษ 9.3; 2พกษ 9.25; 2พกษ 12.20; 2พกษ 13.14; 2พกษ 13.21; 2พกษ 14.9; 2พกษ 14.13; 2พกษ 15.30; 2พกษ 16.13; 2พกษ 17.36; 2พกษ 18.4; 2พกษ 19.23; 2พกษ 19.25; 2พกษ 19.30; 2พกษ 22.19; 2พกษ 23.6; 2พกษ 23.12; 2พกษ 23.14; 2พกษ 23.15; 2พกษ 25.9; 2พกษ 25.10; 1พศด 11.15; 1พศด 11.22; 1พศด 11.23; 1พศด 21.16; 1พศด 21.21; 1พศด 27.24; 1พศด 29.20; 2พศด 6.13; 2พศด 7.3; 2พศด 7.14; 2พศด 9.4; 2พศด 10.4; 2พศด 10.9; 2พศด 10.10; 2พศด 12.6; 2พศด 12.7; 2พศด 12.12; 2พศด 14.3; 2พศด 15.7; 2พศด 15.16; 2พศด 18.2; 2พศด 20.16; 2พศด 20.18; 2พศด 22.6; 2พศด 22.7; 2พศด 23.17; 2พศด 24.10; 2พศด 24.15; 2พศด 25.8; 2พศด 25.18; 2พศด 25.23; 2พศด 28.19; 2พศด 29.29; 2พศด 29.30; 2พศด 30.5; 2พศด 31.1; 2พศด 32.26; 2พศด 32.30; 2พศด 33.3; 2พศด 33.12; 2พศด 33.19; 2พศด 33.23; 2พศด 34.4; 2พศด 34.7; 2พศด 34.21; 2พศด 34.25; 2พศด 34.27; 2พศด 36.12; 2พศด 36.19; 2พศด 36.22; อสร 1.1; อสร 5.10; อสร 8.21; อสร 9.1; อสร 9.5; อสร 10.1; นหม 1.3; นหม 2.17; นหม 3.15; นหม 4.10; นหม 6.3; นหม 8.6; นหม 9.11; อสธ 2.1; อสธ 3.2; อสธ 3.5; อสธ 7.10; อสธ 8.3; อสธ 9.25; อสธ 9.28; โยบ 1.7; โยบ 1.20; โยบ 2.2; โยบ 5.13; โยบ 7.9; โยบ 8.12; โยบ 8.17; โยบ 9.26; โยบ 9.31; โยบ 12.14; โยบ 12.23; โยบ 14.7; โยบ 14.18; โยบ 14.21; โยบ 16.12; โยบ 16.13; โยบ 17.1; โยบ 17.16; โยบ 18.7; โยบ 19.6; โยบ 19.10; โยบ 20.15; โยบ 21.13; โยบ 22.29; โยบ 24.20; โยบ 28.9; โยบ 29.10; โยบ 29.24; โยบ 30.10; โยบ 30.19; โยบ 32.13; โยบ 36.27; โยบ 36.28; โยบ 37.6; โยบ 39.3; โยบ 40.11; โยบ 41.1; สดด 3.8; สดด 4.8; สดด 6.7; สดด 7.5; สดด 7.15; สดด 9.15; สดด 10.10; สดด 10.12; สดด 10.17; สดด 14.1; สดด 14.3; สดด 17.11; สดด 17.13; สดด 18.9; สดด 18.27; สดด 18.35; สดด 18.39; สดด 20.8; สดด 22.29; สดด 28.1; สดด 28.5; สดด 30.3; สดด 30.9; สดด 31.10; สดด 35.13; สดด 36.12; สดด 37.14; สดด 37.24; สดด 38.6; สดด 40.1; สดด 40.2; สดด 44.5; สดด 45.2; สดด 45.10; สดด 45.11; สดด 46.2; สดด 49.17; สดด 52.5; สดด 53.1; สดด 53.3; สดด 55.15; สดด 55.19; สดด 55.23; สดด 57.6; สดด 60.8; สดด 60.12; สดด 63.9; สดด 65.8; สดด 65.10; สดด 68.14; สดด 69.3; สดด 69.10; สดด 69.14; สดด 69.24; สดด 72.9; สดด 72.11; สดด 75.7; สดด 78.64; สดด 79.6; สดด 80.12; สดด 80.16; สดด 81.14; สดด 88.4; สดด 89.39; สดด 89.40; สดด 89.44; สดด 90.6; สดด 95.6; สดด 97.7; สดด 104.8; สดด 106.43; สดด 107.12; สดด 107.23; สดด 107.26; สดด 107.27; สดด 107.29; สดด 107.38; สดด 107.39; สดด 107.40; สดด 108.9; สดด 108.13; สดด 113.6; สดด 115.17; สดด 133.3; สดด 137.7; สดด 137.9; สดด 138.2; สดด 140.10; สดด 141.6; สดด 143.3; สดด 143.7; สดด 144.15; สดด 145.14; สดด 147.6; สภษ 1.12; สภษ 2.18; สภษ 4.16; สภษ 5.5; สภษ 6.4; สภษ 7.26; สภษ 7.27; สภษ 10.28; สภษ 11.11; สภษ 12.25; สภษ 13.11; สภษ 14.1; สภษ 14.35; สภษ 16.33; สภษ 18.8; สภษ 21.12; สภษ 22.10; สภษ 22.14; สภษ 23.31; สภษ 24.31; สภษ 25.7; สภษ 26.22; สภษ 26.27; สภษ 28.10; สภษ 28.17; สภษ 28.19; สภษ 29.9; สภษ 29.23; ปญจ 2.11; ปญจ 3.3; ปญจ 3.21; ปญจ 6.6; ปญจ 10.8; ปญจ 10.18; ปญจ 11.1; ปญจ 12.3; ปญจ 12.4; พซม 4.8; พซม 6.10; พซม 6.11; พซม 7.4; อสย 1.6; อสย 2.9; อสย 2.11; อสย 2.12; อสย 2.17; อสย 5.5; อสย 5.14; อสย 5.15; อสย 5.30; อสย 9.10; อสย 10.4; อสย 10.6; อสย 10.18; อสย 10.19; อสย 10.33; อสย 11.14; อสย 13.16; อสย 13.18; อสย 14.11; อสย 14.19; อสย 16.8; อสย 16.9; อสย 17.4; อสย 17.10; อสย 18.5; อสย 19.6; อสย 19.7; อสย 19.8; อสย 21.9; อสย 22.5; อสย 22.25; อสย 24.11; อสย 24.13; อสย 25.5; อสย 25.10; อสย 25.11; อสย 25.12; อสย 26.5; อสย 28.2; อสย 28.18; อสย 28.23; อสย 28.25; อสย 29.4; อสย 29.10; อสย 29.22; อสย 30.2; อสย 30.8; อสย 30.23; อสย 30.25; อสย 30.30; อสย 30.32; อสย 31.1; อสย 32.19; อสย 33.9; อสย 33.12; อสย 37.24; อสย 37.26; อสย 37.31; อสย 38.18; อสย 40.4; อสย 40.24; อสย 42.10; อสย 44.3; อสย 44.12; อสย 44.14; อสย 44.17; อสย 44.19; อสย 45.23; อสย 46.1; อสย 46.2; อสย 46.6; อสย 49.7; อสย 49.23; อสย 51.23; อสย 52.4; อสย 53.6; อสย 57.9; อสย 57.16; อสย 58.3; อสย 58.5; อสย 59.1; อสย 60.14; อสย 63.6; อสย 63.18; อสย 64.6; อสย 65.12; อสย 66.12; ยรม 1.10; ยรม 2.18; ยรม 2.20; ยรม 2.21; ยรม 3.25; ยรม 4.3; ยรม 6.6; ยรม 6.15; ยรม 6.24; ยรม 8.12; ยรม 8.20; ยรม 12.2; ยรม 14.2; ยรม 18.3; ยรม 18.23; ยรม 21.6; ยรม 22.1; ยรม 22.7; ยรม 22.30; ยรม 24.6; ยรม 29.6; ยรม 30.23; ยรม 31.28; ยรม 33.4; ยรม 36.2; ยรม 36.28; ยรม 36.31; ยรม 38.4; ยรม 38.6; ยรม 38.7; ยรม 38.9; ยรม 38.11; ยรม 38.22; ยรม 41.7; ยรม 41.9; ยรม 42.10; ยรม 42.18; ยรม 44.10; ยรม 45.1; ยรม 45.4; ยรม 46.23; ยรม 46.25; ยรม 48.5; ยรม 48.15; ยรม 48.40; ยรม 49.22; ยรม 49.23; ยรม 50.23; ยรม 50.27; ยรม 50.43; ยรม 51.58; ยรม 51.64; ยรม 52.14; พคค 1.9; พคค 1.15; พคค 2.1; พคค 2.2; พคค 2.9; พคค 2.18; พคค 3.20; พคค 3.49; พคค 3.50; พคค 4.6; พคค 4.11; อสค 1.24; อสค 1.25; อสค 1.28; อสค 3.23; อสค 5.11; อสค 5.13; อสค 6.4; อสค 6.6; อสค 6.12; อสค 7.8; อสค 9.8; อสค 11.13; อสค 13.12; อสค 13.14; อสค 15.5; อสค 16.27; อสค 16.39; อสค 17.24; อสค 18.24; อสค 19.12; อสค 20.8; อสค 20.17; อสค 20.21; อสค 21.26; อสค 22.13; อสค 22.22; อสค 22.31; อสค 23.27; อสค 24.7; อสค 24.23; อสค 25.14; อสค 26.9; อสค 26.12; อสค 26.20; อสค 27.27; อสค 27.34; อสค 28.8; อสค 28.17; อสค 28.19; อสค 29.5; อสค 30.4; อสค 30.9; อสค 30.15; อสค 31.7; อสค 31.12; อสค 31.14; อสค 31.15; อสค 31.16; อสค 31.17; อสค 32.4; อสค 32.18; อสค 32.19; อสค 32.24; อสค 32.25; อสค 32.27; อสค 32.29; อสค 32.30; อสค 37.16; อสค 38.20; อสค 43.3; อสค 43.11; อสค 43.24; อสค 44.4; อสค 47.8; ดนล 2.40; ดนล 2.46; ดนล 3.5; ดนล 3.6; ดนล 3.7; ดนล 3.10; ดนล 3.11; ดนล 3.15; ดนล 3.23; ดนล 4.37; ดนล 5.5; ดนล 5.19; ดนล 5.24; ดนล 6.7; ดนล 6.8; ดนล 6.9; ดนล 6.10; ดนล 6.12; ดนล 6.13; ดนล 6.24; ดนล 7.23; ดนล 8.7; ดนล 8.11; ดนล 8.12; ดนล 8.13; ดนล 8.17; ดนล 9.11; ดนล 9.27; ดนล 10.9; ดนล 10.12; ฮชย 4.16; ฮชย 9.9; ฮชย 10.2; ฮชย 10.12; ฮชย 10.14; ฮชย 11.4; ฮชย 13.16; ยอล 1.17; อมส 2.13; อมส 3.14; อมส 5.7; อมส 5.8; อมส 5.24; อมส 6.2; อมส 8.5; อมส 8.8; อมส 9.5; อมส 9.9; อมส 9.11; ยนา 1.3; ยนา 1.5; ยนา 1.11; ยนา 1.12; ยนา 1.15; ยนา 2.3; ยนา 2.6; ยนา 4.8; มคา 1.6; มคา 5.8; มคา 5.13; มคา 7.10; มคา 7.19; นฮม 1.6; นฮม 3.10; นฮม 3.12; นฮม 3.14; ฮบก 2.2; ฮบก 3.6; ศฟย 1.5; ศฟย 1.11; ศคย 1.21; ศคย 8.14; ศคย 9.4; ศคย 9.15; ศคย 11.2; มลค 1.4; มธ 4.6; มธ 4.9; มธ 5.19; มธ 5.29; มธ 5.30; มธ 7.19; มธ 7.25; มธ 7.27; มธ 8.11; มธ 8.16; มธ 8.23; มธ 8.32; มธ 9.1; มธ 9.10; มธ 10.29; มธ 11.23; มธ 11.29; มธ 13.2; มธ 13.31; มธ 13.33; มธ 13.42; มธ 13.50; มธ 14.9; มธ 14.13; มธ 14.15; มธ 14.22; มธ 14.29; มธ 14.32; มธ 15.14; มธ 15.17; มธ 15.32; มธ 15.39; มธ 17.6; มธ 17.14; มธ 18.4; มธ 18.26; มธ 18.29; มธ 21.21; มธ 23.12; มธ 24.2; มธ 24.12; มธ 26.7; มธ 26.20; มธ 26.39; มธ 26.58; มธ 27.29; มธ 28.17; มก 1.7; มก 1.40; มก 2.15; มก 3.11; มก 4.1; มก 4.26; มก 4.31; มก 5.13; มก 5.18; มก 5.21; มก 5.22; มก 5.33; มก 6.22; มก 6.26; มก 6.32; มก 6.35; มก 6.45; มก 6.47; มก 6.51; มก 7.19; มก 7.25; มก 8.10; มก 8.13; มก 8.23; มก 9.45; มก 10.17; มก 11.7; มก 11.8; มก 11.23; มก 13.2; มก 14.3; มก 14.18; มก 14.35; มก 15.19; มก 15.36; มก 16.14; มก 16.16; ลก 2.22; ลก 2.51; ลก 3.5; ลก 4.9; ลก 4.29; ลก 4.31; ลก 5.3; ลก 5.4; ลก 5.5; ลก 5.6; ลก 5.7; ลก 5.8; ลก 5.12; ลก 5.29; ลก 6.39; ลก 6.48; ลก 6.49; ลก 7.36; ลก 7.37; ลก 8.22; ลก 8.28; ลก 8.31; ลก 8.33; ลก 8.37; ลก 8.41; ลก 8.47; ลก 10.15; ลก 10.30; ลก 10.31; ลก 11.37; ลก 12.5; ลก 12.37; ลก 12.49; ลก 13.21; ลก 13.29; ลก 14.8; ลก 14.10; ลก 14.11; ลก 14.15; ลก 17.7; ลก 17.16; ลก 18.14; ลก 19.35; ลก 19.36; ลก 19.37; ลก 19.44; ลก 21.6; ลก 22.14; ลก 22.27; ลก 22.41; ลก 22.44; ลก 23.53; ลก 24.5; ลก 24.12; ลก 24.30; ยน 1.51; ยน 2.12; ยน 3.30; ยน 3.33; ยน 4.47; ยน 5.4; ยน 5.7; ยน 6.16; ยน 6.17; ยน 6.22; ยน 6.24; ยน 8.6; ยน 8.8; ยน 9.6; ยน 11.32; ยน 12.2; ยน 12.24; ยน 13.5; ยน 13.12; ยน 13.28; ยน 19.30; ยน 20.5; ยน 20.11; ยน 21.3; ยน 21.6; ยน 21.7; ยน 21.20; กจ 1.12; กจ 1.18; กจ 7.15; กจ 7.60; กจ 8.5; กจ 8.15; กจ 8.26; กจ 8.33; กจ 8.38; กจ 9.25; กจ 9.32; กจ 9.37; กจ 9.40; กจ 10.20; กจ 10.21; กจ 12.19; กจ 13.4; กจ 13.29; กจ 14.11; กจ 14.25; กจ 15.16; กจ 15.39; กจ 16.29; กจ 17.10; กจ 18.21; กจ 18.22; กจ 19.16; กจ 19.27; กจ 19.35; กจ 20.3; กจ 20.6; กจ 20.10; กจ 20.13; กจ 20.36; กจ 21.2; กจ 21.5; กจ 21.6; กจ 21.32; กจ 21.40; กจ 22.2; กจ 22.30; กจ 23.10; กจ 23.15; กจ 23.20; กจ 24.1; กจ 25.5; กจ 25.6; กจ 26.14; กจ 27.2; กจ 27.6; กจ 27.17; กจ 27.30; กจ 27.32; กจ 28.5; กจ 28.11; รม 2.8; รม 4.19; รม 10.7; รม 11.3; รม 11.4; รม 12.16; รม 12.19; รม 13.4; รม 14.11; รม 14.23; รม 16.20; 1คร 3.10; 1คร 8.10; 1คร 14.25; 1คร 15.27; 1คร 15.36; 1คร 15.42; 1คร 15.43; 1คร 15.44; 2คร 2.7; 2คร 4.9; 2คร 8.13; 2คร 10.4; 2คร 11.7; 2คร 11.33; 2คร 12.15; 2คร 13.10; กท 2.18; กท 6.7; อฟ 1.22; อฟ 2.14; อฟ 4.9; อฟ 4.10; อฟ 5.6; ฟป 2.8; ฟป 2.10; ฟป 3.21; คส 2.7; คส 2.18; คส 2.23; 1ธส 2.16; 2ธส 2.12; 1ทธ 1.19; 1ทธ 4.2; 1ทธ 6.9; ฟม 1.14; ฮบ 9.13; ฮบ 10.13; ฮบ 11.30; ยก 1.10; ยก 1.11; ยก 3.18; 1ปต 2.6; 1ปต 5.5; 1ปต 5.6; 2ปต 2.4; 2ปต 2.22; วว 3.9; วว 4.10; วว 5.8; วว 5.14; วว 6.13; วว 7.11; วว 8.5; วว 8.7; วว 8.8; วว 8.10; วว 11.2; วว 11.13; วว 11.16; วว 12.12; วว 12.16; วว 14.10; วว 14.19; วว 16.1; วว 16.2; วว 16.3; วว 16.4; วว 16.8; วว 16.10; วว 16.12; วว 16.17; วว 18.6; วว 18.19; วว 18.21; วว 19.4; วว 19.10; วว 19.20; วว 20.3; วว 20.10; วว 20.14; วว 20.15; วว 22.8

ลงชื่อ ( 1 )
1ทธ 5.9 อย่าให้แม่ม่ายคนใดที่อายุต่ำกว่าหกสิบปี ลงชื่อในทะเบียนแม่ม่าย จะต้องเป็นภรรยาของชายคนเดียว

ลงทะเบียน ( 1 )
กดว 11.26 ยังมีสองคนที่อยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนหนึ่งชื่อเมดาด และวิญญาณอยู่บนเขา เขาเป็นคนที่ได้ลงทะเบียนไว้ แต่ไม่ได้มาที่พลับพลา เขาพยากรณ์ในค่าย

ลงทัณฑ์ ( 5 )
2พกษ 15.5 และพระเยโฮวาห์ทรงลงทัณฑ์กษัตริย์ กษัตริย์จึงทรงเป็นโรคเรื้อนจนถึงวันสิ้นพระชนม์ และทรงประทับในวังต่างหาก และโยธามโอรสของกษัตริย์ควบคุมสำนักพระราชวัง และทรงวินิจฉัยประชาชนแห่งแผ่นดิน
สดด 6.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขออย่าทรงขนาบข้าพระองค์เมื่อทรงโกรธ และขออย่าทรงลงทัณฑ์ข้าพระองค์ด้วยพระพิโรธของพระองค์
อสย 10.12 ต่อมาเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำเร็จพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ที่ภูเขาศิโยนและที่เยรูซาเล็มแล้ว เราจะทรงลงทัณฑ์แก่ผลแห่งจิตใจจองหองของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และสง่าราศีแห่งตายโสของเขา
ฮชย 4.9 ปุโรหิตเป็นอย่างไร ประชาชนก็จะเป็นอย่างนั้น เราจะลงทัณฑ์เขาเนื่องด้วยวิธีการของเขา เราจะลงโทษเขาตามการกระทำของเขา
ฮชย 4.14 เมื่อธิดาทั้งหลายของเจ้าเล่นชู้ เราก็ไม่ลงโทษ หรือเมื่อเจ้าสาวของเจ้าล่วงประเวณี เราก็ไม่ลงทัณฑ์ เพราะผู้ชายเองก็หลงไปกับหญิงแพศยา และทำสักการบูชากับหญิงโสเภณี ดังนั้นชนชาติที่ไม่มีความเข้าใจจะมาถึงความพินาศ

ลงโทษ ( 149 )
อพย 5.3 เขาทั้งสองจึงทูลว่า “พระเจ้าของคนฮีบรูได้ทรงปรากฏกับข้าพระองค์ ขอโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารสามวัน และถวายเครื่องบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ เกรงว่าพระองค์จะทรงลงโทษพวกข้าพระองค์ด้วยโรคภัยหรือด้วยดาบ”
อพย 12.12 เพราะในคืนวันนั้น เราจะผ่านไปในประเทศอียิปต์ และเราจะประหารลูกหัวปีทั้งหมดในประเทศอียิปต์ ทั้งของมนุษย์และของสัตว์ และเราจะพิพากษาลงโทษพระทั้งปวงของอียิปต์ เราคือพระเยโฮวาห์
อพย 19.22 อีกประการหนึ่ง พวกปุโรหิตที่เข้ามาเฝ้าพระเยโฮวาห์นั้นให้เขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ ด้วยเกรงว่าพระเยโฮวาห์จะทรงลงโทษเขา”
อพย 19.24 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “ลงไปเถิด แล้วกลับขึ้นมาอีก พาอาโรนขึ้นมาด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและพลไพร่ล่วงล้ำขึ้นมาถึงพระเยโฮวาห์ เกรงว่าพระองค์จะลงโทษเขา”
อพย 21.14 แต่ถ้าผู้ใดเจตนาหักหลังฆ่าเพื่อนบ้าน ก็ให้ดึงตัวเขาไปจากแท่นบูชาของเราเพื่อลงโทษให้ถึงตาย
อพย 21.29 แต่ถ้าวัวนั้นเคยขวิดคนมาก่อน และมีผู้มาเตือนให้เจ้าของทราบ แต่เจ้าของมิได้กักขังมันไว้ มันจึงได้ขวิดชายหรือหญิงถึงตาย ให้เอาหินขว้างวัวนั้นเสียให้ตายและให้ลงโทษเจ้าของถึงตายด้วย
อพย 22.19 ผู้ใดร่วมประเวณีกับสัตว์ ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษถึงตายเป็นแน่
อพย 24.11 พระองค์มิได้ลงโทษบรรดาหัวหน้าชนชาติอิสราเอล เขาทั้งหลายได้เห็นพระเจ้าและได้กินและดื่ม
อพย 31.15 จงทำงานแต่ในกำหนดหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโต เป็นวันหยุดพักสงบ เป็นวันบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ ผู้ใดทำงานในวันสะบาโตนั้นต้องถูกลงโทษถึงตายเป็นแน่
อพย 32.34 ฉะนั้นบัดนี้ จงไปเถอะ นำพลไพร่ไปยังที่ซึ่งเราบอกแก่เจ้าแล้ว ดูเถิด ทูตสวรรค์ของเราจะนำหน้าเจ้า แต่ว่าในวันนั้นเมื่อเราจะพิพากษาเขา เราจะลงโทษเขา”
อพย 35.2 จงทำงานในกำหนดหกวัน แต่วันที่เจ็ดให้ท่านถือเป็นวันบริสุทธิ์ เป็นวันสะบาโตแด่พระเยโฮวาห์ สำหรับใช้พัก ผู้ใดทำงานในวันนั้นต้องถูกลงโทษถึงตาย
ลนต 18.25 และแผ่นดินนั้นก็ลามก เราจึงต้องลงโทษความชั่วช้าแก่แผ่นดินนั้น และแผ่นดินก็สำรอกเอาพลเมืองของตนออกเสีย
ลนต 19.20 ถ้าผู้ใดเข้านอนกับผู้หญิงที่เป็นทาสี ที่ชายอีกคนหนึ่งสู่ขอไว้แล้วแต่ยังมิได้ไถ่ถอนหรือปล่อยเป็นอิสระ ต้องลงโทษเธอ แต่อย่าให้ถึงตาย เพราะว่าทาสีนั้นยังไม่เป็นอิสระ
ลนต 26.18 ถ้าเจ้าทั้งหลายยังไม่เชื่อฟังเราเพราะสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ เราจึงจะลงโทษเจ้าทั้งหลายให้ทวีขึ้นอีกเจ็ดเท่าเพราะการบาปของเจ้า
ลนต 26.24 แล้วเราจะดำเนินการขัดแย้งเจ้าทั้งหลายด้วย และจะลงโทษแก่เจ้าให้ทวีอีกเจ็ดเท่าเพราะการบาปทั้งหลายของเจ้า
ลนต 26.25 เราจะนำดาบมาเหนือเจ้า ซึ่งลงโทษเจ้าตามพันธสัญญา ถ้าเจ้าเข้ามารวมกันอยู่ในเมือง เราจะนำโรคร้ายมาในหมู่พวกเจ้า และเจ้าจะตกอยู่ในมือของศัตรู
ลนต 26.28 เราจะดำเนินการขัดแย้งเจ้าอย่างรุนแรง และเราเองจะลงโทษแก่เจ้าให้ทวีอีกเจ็ดเท่าเพราะการบาปทั้งหลายของเจ้า
กดว 3.10 เจ้าจงแต่งตั้งอาโรนและบุตรชายทั้งหลายของอาโรนให้ปฏิบัติงานตามตำแหน่งปุโรหิต แต่คนอื่นที่เข้ามาใกล้จะต้องถูกลงโทษถึงตาย”
กดว 3.38 และบุคคลที่จะตั้งค่ายอยู่หน้าพลับพลาด้านตะวันออกหน้าพลับพลาแห่งชุมนุม ด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้น มีโมเสสและอาโรนกับลูกหลานของท่าน มีหน้าที่ดูแลการปรนนิบัติภายในสถานบริสุทธิ์และบรรดากิจการที่พึงกระทำเพื่อคนอิสราเอล และผู้ใดอื่นที่เข้ามาใกล้จะต้องถูกลงโทษถึงตาย
กดว 12.11 และอาโรนพูดกับโมเสสว่า “ข้าแต่เจ้านายของข้าพเจ้า อนิจจาเอ๋ย ขออย่าลงโทษบาปเราทั้งสองที่ได้กระทำความเขลาและบาปเช่นนี้
กดว 33.4 ขณะนั้นชาวอียิปต์กำลังฝังศพลูกหัวปีทั้งหลายของตน เป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงประหารชีวิตท่ามกลางพวกเขา พระเยโฮวาห์ทรงลงโทษพระทั้งหลายของเขาด้วย
พบญ 17.6 ผู้ที่ถูกกล่าวโทษถึงตายนั้น ให้มีพยานสองหรือสามปากยืนยันว่าผู้นั้นมีความผิด จึงให้ปรับโทษถึงตายได้ อย่าลงโทษผู้ใดถึงตายด้วยพยานปากเดียว
ยชว 22.23 ที่ว่าเราได้สร้างแท่นบูชานั้นเพื่อหันจากติดตามพระเยโฮวาห์ หรือพวกเราได้สร้างไว้เพื่อถวายเครื่องเผาบูชา หรือธัญญบูชาหรือถวายสันติบูชาบนแท่นนั้น ขอพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษเถิด
นรธ 1.17 แม่ตายที่ไหนฉันจะตายที่นั่น และจะขอให้ฝังฉันไว้ที่นั่นด้วย ถ้ามีอะไรมาพรากฉันจากแม่นอกจากความตาย ก็ขอพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษฉัน และให้หนักยิ่งกว่า”
1ซมอ 3.13 ดังนั้นเราจึงบอกเขาว่า เราจะลงโทษวงศ์วานของเขาเป็นนิตย์ เพราะความชั่วช้าซึ่งเขารู้แล้ว เพราะบุตรชายทั้งสองของเขาประพฤติเลวร้าย และเขาก็มิได้ห้ามปราม
1ซมอ 3.17 และเอลีถามว่า “เรื่องอะไรนะที่พระเยโฮวาห์ทรงบอกเจ้า ขออย่าปิดบังไว้จากเราเลย ถ้าเจ้าปิดบังสิ่งใดไว้จากเราในเรื่องทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงบอกแก่เจ้าก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษเจ้าและให้หนักยิ่งกว่า”
1ซมอ 14.44 และซาอูลตรัสว่า “ขอพระเจ้าทรงลงโทษและให้หนักยิ่งกว่า โยนาธาน เจ้าจะต้องตายแน่”
1ซมอ 15.2 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ‘เราจะลงโทษอามาเลขในการที่สกัดทางอิสราเอลเมื่อเขาออกจากอียิปต์
1ซมอ 20.13 ขอพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษแก่โยนาธานและให้หนักยิ่งกว่า แต่ถ้าเสด็จพ่อพอพระทัยที่จะทำร้ายเธอ ฉันจะบอกเธอให้ทราบ และส่งให้เธอหนีไปให้พ้นภัย ขอพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับเธอ อย่างที่พระองค์ทรงสถิตกับเสด็จพ่อของฉัน
1ซมอ 25.22 ถ้าถึงแสงอรุณของรุ่งเช้าข้ายังปล่อยให้คนใดที่ปัสสาวะรดกำแพงได้ในบรรดาคนของเขานั้นให้เหลืออยู่ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษศัตรูทั้งหลายของดาวิดอย่างนั้น และให้หนักยิ่งกว่านั้นอีก”
2ซมอ 3.9 ถ้าข้าพระองค์จะมิได้กระทำเพื่อดาวิดให้สำเร็จดังที่พระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณไว้ต่อท่านแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษอับเนอร์และให้หนักยิ่งกว่า
2ซมอ 19.13 และจงบอกอามาสาว่า ‘ท่านมิได้เป็นกระดูกและเนื้อหนังของเราหรือ ถ้าท่านมิได้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพแทนโยอาบสืบต่อไป ขอพระเจ้าทรงลงโทษเรา และให้หนักยิ่งกว่านั้นอีก’”
1พกษ 2.23 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนทรงปฏิญาณในพระนามของพระเยโฮวาห์ว่า “ถ้าถ้อยคำนี้ไม่เป็นเหตุให้อาโดนียาห์เสียชีวิตของเขาแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษผมและให้หนักยิ่งกว่า
1พกษ 19.2 แล้วเยเซเบลก็รับสั่งให้ผู้สื่อสารไปหาเอลียาห์ว่า “ถ้าพรุ่งนี้เวลานี้ เรามิได้กระทำชีวิตของเจ้าให้เหมือนอย่างชีวิตของคนเหล่านั้นแล้ว ก็ให้พระทั้งหลายลงโทษเรา และให้หนักยิ่งกว่า”
1พกษ 20.10 เบนฮาดัดส่งข่าวกลับมาว่า “ถ้าผงคลีแห่งสะมาเรียจะพอแก่คนที่ติดตามข้าพเจ้ามาสักคนละหยิบมือหนึ่ง ก็ขอให้พระทั้งหลายลงโทษข้าพเจ้าและให้หนักยิ่งกว่า”
2พกษ 6.31 และพระองค์ตรัสว่า “ถ้าศีรษะของเอลีชาบุตรชาฟัทยังอยู่บนเขาในวันนี้ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษแก่เราและให้หนักยิ่งกว่า”
1พศด 21.7 แต่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยในเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงลงโทษอิสราเอล
2พศด 6.23 ขอพระองค์ทรงสดับจากฟ้าสวรรค์และขอทรงกระทำ ขอทรงพิพากษาผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ ลงโทษผู้กระทำความผิด และทรงนำความประพฤติของเขาให้กลับตกบนศีรษะของตัวเขาเอง และขอทรงประกาศความบริสุทธิ์ของผู้ชอบธรรม สนองแก่เขาตามความชอบธรรมของเขา
2พศด 26.20 และอาซาริยาห์ปุโรหิตใหญ่ และบรรดาปุโรหิตทั้งปวงมองดูพระองค์ และดูเถิด พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อนที่พระนลาฏ และเขาทั้งหลายก็ผลักพระองค์ออกไปจากที่นั่น และพระองค์เองก็ทรงรีบเสด็จออกไป เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษพระองค์แล้ว
อสร 7.26 ผู้ใดที่ไม่เชื่อฟังพระราชบัญญัติของพระเจ้าของเจ้า และกฎหมายของกษัตริย์ ก็ให้พิพากษาลงโทษเขาอย่างเคร่งครัด จะเป็นโทษถึงตาย หรือถึงเนรเทศ หรือถึงริบทรัพย์ของเขา หรือถึงจำขังก็ได้”
อสร 9.13 และเมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายรับโทษเพราะการชั่วร้ายของข้าพระองค์ และเพราะการละเมิดใหญ่ยิ่งของข้าพระองค์ และเมื่อพระองค์คือพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทรงลงโทษข้าพระองค์ เหตุความชั่วช้าของข้าพระองค์ น้อยกว่าที่พึงควรได้รับ และทรงประทานการช่วยให้พ้นแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างนี้
อสธ 4.11 “ข้าราชการของกษัตริย์ทั้งสิ้นและประชาชนในบรรดามณฑลของกษัตริย์ทราบอยู่ว่า ถ้าชายหรือหญิงคนใดเข้าเฝ้ากษัตริย์ภายในพระลานชั้นในโดยมิได้ทรงเรียก ก็มีกฎหมายอยู่ข้อเดียวเหมือนกันหมด ให้ลงโทษถึงตาย เว้นเสียแต่ผู้ซึ่งกษัตริย์ยื่นธารพระกรทองคำออกรับคนนั้นจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ส่วนฉันกษัตริย์ก็มิได้ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้ามาสามสิบวันแล้ว”
โยบ 35.15 บัดนี้ เพราะไม่เป็นเช่นนั้น พระพิโรธของพระองค์ได้ลงโทษ แต่พระองค์มิได้สนพระทัยการละเมิดเสียมากมาย
สดด 59.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอล ขอทรงตื่นขึ้นลงโทษบรรดาประชาชาติ ขออย่าทรงเมตตาผู้ละเมิดที่คิดร้ายแม้สักคนเดียว เซลาห์
สดด 89.32 แล้วเราจะลงโทษการละเมิดของเขาด้วยไม้เรียว และความชั่วช้าของเขาด้วยการเฆี่ยน
สดด 106.30 แล้วฟีเนหัสได้ยืนขึ้นจัดการลงโทษและโรคระบาดนั้นก็หยุด
สภษ 21.11 เมื่อคนมักเยาะเย้ยถูกลงโทษ คนเขลาก็ฉลาดขึ้น เมื่อปราชญ์ได้รับการสั่งสอน เขาก็ได้ความรู้
ปญจ 8.11 เพราะการตัดสินการกระทำชั่วนั้น เขาไม่ได้ลงโทษโดยเร็ว เหตุฉะนั้นใจบุตรทั้งหลายของมนุษย์จึงเจตนามุ่งที่จะกระทำความชั่ว
อสย 13.11 เราจะลงโทษโลกเพราะความชั่วร้าย และคนชั่วเพราะความชั่วช้าของเขา เราจะกระทำให้ความเย่อหยิ่งของคนจองหองสิ้นสุด และปราบความยโสของคนโหดร้าย
อสย 24.21 ต่อมาในวันนั้นพระเยโฮวาห์จะทรงลงโทษบริวารของฟ้าสวรรค์ในฟ้าสวรรค์ และบรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกในแผ่นดินโลก
อสย 24.22 เขาทั้งหลายจะถูกรวบรวมไว้ด้วยกัน ดั่งนักโทษในคุกมืด เขาทั้งหลายจะถูกกักขังไว้ในคุก และต่อมาหลายวันเขาจึงจะถูกลงโทษ
อสย 26.21 เพราะ ดูเถิด พระเยโฮวาห์กำลังเสด็จออกมาจากสถานที่ของพระองค์ เพื่อลงโทษชาวแผ่นดินโลก เพราะความชั่วช้าของเขาทั้งหลาย และแผ่นดินโลกจะเปิดเผยโลหิตซึ่งหลั่งอยู่บนมัน และจะไม่ปิดบังผู้ถูกฆ่าของมันไว้อีก
อสย 27.1 ในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงลงโทษด้วยพระแสงอันร้ายกาจ ยิ่งใหญ่ และแข็งแกร่งของพระองค์ต่อเลวีอาธาน ซึ่งเป็นพญานาคที่ฉกกัด คือเลวีอาธานพญานาคที่ขด และพระองค์จะทรงประหารมังกรที่อยู่ในทะเล
อสย 30.32 และจังหวะไม้เรียวลงโทษทุกจังหวะซึ่งพระเยโฮวาห์โบยลงเหนือเขาจะเข้ากับเสียงรำมะนาและพิณเขาคู่ พระองค์จะทรงต่อสู้เขาด้วยสงครามฟาดฟัน
ยรม 9.9 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ไม่ควรที่เราจะลงโทษเขาเพราะสิ่งเหล่านี้หรือ ไม่ควรที่จิตใจเราจะแก้แค้นประชาชาติที่เป็นอย่างนี้หรือ
ยรม 9.25 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด วันเวลากำลังมาถึงแล้ว เมื่อเราจะลงโทษบรรดาผู้ที่รับพิธีเข้าสุหนัตพร้อมด้วยผู้ที่ไม่ได้รับพิธีเข้าสุหนัต คือ
ยรม 11.22 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “ดูเถิด เราจะลงโทษเขาทั้งปวง พวกคนหนุ่มจะตายด้วยดาบ บรรดาบุตรชายและบุตรสาวของเขาจะตายด้วยการกันดารอาหาร
ยรม 13.21 เจ้าจะว่าอย่างไรเมื่อเขาจะลงโทษเจ้า เพราะเจ้าเองได้สอนเขาให้เป็นนายและเป็นประมุขของเจ้า ความเจ็บปวดจะไม่เข้ามาครอบงำเจ้า อย่างความเจ็บปวดของผู้หญิงที่กำลังคลอดบุตรหรือ
ยรม 14.10 พระเยโฮวาห์ตรัสแก่ชนชาตินี้ว่า “เขาทั้งหลายรักที่จะพเนจรไปอย่างนี้ เขาทั้งหลายไม่ยับยั้งเท้าของเขาไว้ ฉะนั้นพระเยโฮวาห์จึงไม่ทรงรับเขา บัดนี้พระองค์จะทรงระลึกถึงความชั่วช้าของเขา และลงโทษการผิดบาปของเขา”
ยรม 21.14 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะลงโทษเจ้าทั้งหลายตามผลแห่งการกระทำของเจ้า เราจะก่อไฟไว้ในป่าของเมืองนั้น และไฟนั้นจะเผาผลาญสิ่งต่างๆที่อยู่รอบเมืองนั้นสิ้น’”
ยรม 23.2 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสกับผู้เลี้ยงแกะผู้ดูแลประชาชนของเราดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายได้กระจายฝูงแกะของเรา และได้ขับไล่มันไปเสีย และเจ้ามิได้เอาใจใส่มัน” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด เราจะลงโทษเจ้าเพราะการกระทำที่ชั่วของเจ้า
ยรม 23.34 และส่วนผู้พยากรณ์ ปุโรหิตหรือประชาชนผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งพูดว่า ‘ภาระของพระเยโฮวาห์’ เราจะลงโทษผู้นั้นและครัวเรือนของเขา
ยรม 25.12 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘ต่อมาเมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและประชาชาตินั้น คือแผ่นดินของชาวเคลเดีย เพราะความชั่วช้าของเขาทั้งหลาย กระทำให้แผ่นดินนั้นรกร้างอยู่เนืองนิตย์
ยรม 26.11 แล้วบรรดาปุโรหิตและผู้พยากรณ์จึงทูลเจ้านายและบอกประชาชนทั้งปวงว่า “ชายคนนี้ควรแก่การตัดสินลงโทษถึงความตาย เพราะเขาพยากรณ์กล่าวโทษเมืองนี้ ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินกับหูของท่านเองแล้ว”
ยรม 27.8 แต่ต่อมาถ้าประชาชาติใด หรือราชอาณาจักรใด จะไม่ปรนนิบัติเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนคนนี้ และไม่ยอมวางคอไว้ใต้แอกของกษัตริย์บาบิโลน เราจะลงโทษประชาชาตินั้นด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ จนกว่าเราจะล้างผลาญเสียด้วยมือของเขา
ยรม 29.32 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะลงโทษเชไมอาห์ชาวเนเฮลามและเชื้อสายของเขา เขาจะไม่มีสักคนหนึ่งที่จะอาศัยอยู่ในท่ามกลางชนชาตินี้ ทั้งเขาจะมิได้เห็นความดีซึ่งเราจะกระทำแก่ประชาชนของเรา เพราะเขาได้สอนให้กบฏต่อพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ’”
ยรม 30.11 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะเราอยู่กับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าให้รอด เราจะกระทำให้บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นถึงอวสาน คือผู้ซึ่งเราได้กระจายเจ้าให้ไปอยู่ท่ามกลางเขานั้น แต่ส่วนเจ้าเราจะไม่กระทำให้ถึงอวสาน เราจะตีสอนเจ้าตามขนาด และด้วยประการใดก็ตามเราจะไม่ปล่อยเจ้าโดยไม่ลงโทษ
ยรม 30.20 ลูกหลานของเขาจะเป็นเหมือนสมัยก่อน และชุมนุมของเขาจะได้ถูกสถาปนาไว้ต่อหน้าเรา และทุกคนที่บีบบังคับเขา เราจะลงโทษ
ยรม 36.31 เราจะลงโทษท่านและเชื้อสายของท่านและข้าราชการของท่าน เพราะความชั่วช้าของเขาทั้งหลาย เราจะนำเหตุร้ายทั้งสิ้นที่เราได้ประกาศต่อพวกเขา แต่เขาไม่ฟังนั้น ให้ตกลงบนเขา และบนชาวกรุงเยรูซาเล็ม และบนคนยูดาห์’”
ยรม 44.13 เราจะต้องลงโทษคนเหล่านั้น ผู้อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ ดังที่เราลงโทษกรุงเยรูซาเล็มด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด
ยรม 44.29 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า คือเราจะลงโทษเจ้าในที่นี้ เพื่อเจ้าจะได้ทราบว่า คำของเราจะตั้งมั่นคงอยู่ต่อเจ้าให้เกิดความร้ายเป็นแน่
ยรม 49.8 โอ ชาวเมืองเดดานเอ๋ย จงหนี จงหันกลับ จงอาศัยในที่ลึก เพราะว่าเราจะนำภัยพิบัติของเอซาวมาเหนือเขา เวลาเมื่อเราจะลงโทษเขา
ยรม 50.18 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะลงโทษกษัตริย์แห่งบาบิโลนและแผ่นดินของท่าน ดังที่เราได้ลงโทษกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย
ยรม 50.31 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า โอ ผู้จองหองเอ๋ย ดูเถิด เราต่อสู้กับเจ้า เพราะว่าวันเวลาของเจ้ามาถึงแล้ว คือเวลาที่เราจะลงโทษเจ้า
ยรม 51.44 และเราจะลงโทษพระเบลในบาบิโลน ท่านกลืนอะไรเข้าไปแล้ว เราจะเอาออกจากปากท่านเสีย บรรดาประชาชาติจะไม่ไหลไปหาท่านอีก เออ กำแพงแห่งบาบิโลนจะล้มลง
ยรม 51.47 เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะลงโทษรูปเคารพสลักแห่งบาบิโลน แผ่นดินทั้งสิ้นของเธอจะต้องได้อาย และบรรดาชาวบาบิโลนซึ่งถูกฆ่าจะล้มลงที่ท่ามกลางเธอ
ยรม 51.52 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะลงโทษรูปเคารพสลักของเธอ และคนที่บาดเจ็บจะคร่ำครวญอยู่ทั่วแผ่นดินทั้งสิ้นของเธอ
พคค 4.22 โอ ธิดาแห่งกรุงศิโยนเอ๋ย การลงโทษเพราะความชั่วช้าของเจ้าก็ครบแล้ว พระองค์จะไม่ทรงพาเจ้าออกไปให้เป็นเชลยอีกต่อไป โอ ธิดาแห่งเมืองเอโดมเอ๋ย พระองค์จะทรงลงโทษเพราะความชั่วช้าของเจ้า พระองค์จะทรงเผยบาปของเจ้าให้ประจักษ์
อสค 5.8 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรา แม้ว่าเรานี่แหละเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า เราจะพิพากษาลงโทษท่ามกลางเจ้าท่ามกลางสายตาของประชาชาติทั้งหลาย
อสค 5.10 เพราะฉะนั้นบิดาจะกินบุตรชายของตนท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย และบรรดาบุตรชายจะกินบรรดาบิดาของเขาทั้งหลาย และเราจะพิพากษาลงโทษเจ้า ผู้ใดในพวกเจ้าที่เหลืออยู่ เราจะให้กระจัดกระจายไปตามลมทุกทิศานุทิศ
อสค 5.15 เจ้าจะเป็นที่เขาประณามและเย้ยหยัน เป็นคำสั่งสอนและเป็นที่น่าหวาดเสียวแก่ประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบเจ้า เมื่อเราจะพิพากษาลงโทษเจ้า ด้วยความกริ้วและความเกรี้ยวกราด และการต่อว่าอย่างรุนแรงของเรา เรา พระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว
อสค 11.9 เราจะนำเจ้าออกมาจากท่ามกลางนั้น และมอบเจ้าไว้ในมือของคนต่างด้าว และจะทำการพิพากษาลงโทษเจ้า
อสค 11.10 เจ้าจะถูกดาบล้มลง เราจะลงโทษเจ้าที่พรมแดนอิสราเอล และเจ้าจะได้ทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 16.41 และเขาจะเอาไฟเผาบ้านเรือนของเจ้า และทำการพิพากษาลงโทษเจ้าท่ามกลางสายตาของผู้หญิงเป็นอันมาก เราจะกระทำให้เจ้าหยุดเล่นชู้ และเจ้าจะไม่ให้สินจ้างอีกต่อไป
อสค 23.10 ผู้เหล่านี้เผยความเปลือยเปล่าของเธอ เขาจับบุตรชายหญิงของเธอ และฆ่าเธอเสียด้วยดาบ เธอจึงเป็นคำเยาะเย้ยท่ามกลางผู้หญิงทั้งหลาย ในเมื่อได้พิพากษาลงโทษเธอแล้ว
อสค 25.11 และเราจะพิพากษาลงโทษโมอับ แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 28.22 และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด โอ ไซดอนเอ๋ย เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า เราจะสำแดงสง่าราศีของเราท่ามกลางเจ้า และเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์ เมื่อเราทำการพิพากษาลงโทษในเมืองนั้น และสำแดงความบริสุทธิ์ของเราในเมืองนั้น
อสค 28.26 และเขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่ในที่นั้นอย่างปลอดภัย เออ เขาจะสร้างบ้านเรือนและปลูกสวนองุ่น เมื่อเรากระทำการพิพากษาลงโทษคนทั้งหลายที่อยู่รอบเขา ผู้ได้กระทำต่อเขาด้วยความดูหมิ่นนั้น เขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่ด้วยความมั่นใจ แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลาย”
อสค 30.19 เราจะกระทำการพิพากษาลงโทษอียิปต์ดังนี้แหละ แล้วเขาจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์”
อสค 38.22 เราจะพิพากษาลงโทษเขาด้วยโรคระบาดและโลหิตตก เราจะให้ฝนตกอย่างน้ำไหลเชี่ยว ทั้งลูกเห็บและไฟ และไฟกำมะถันตกใส่เขาและกองทัพของเขาและชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเขา
อสค 39.21 และเราจะตั้งสง่าราศีของเราไว้ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย และประชาชาติทั้งสิ้นจะเห็นการพิพากษาลงโทษของเราซึ่งเราได้กระทำ และเห็นมือของเราซึ่งเราวางไว้บนเขาทั้งหลาย
ฮชย 1.4 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านว่า “จงเรียกชื่อเขาว่า ยิสเรเอล เพราะว่าอีกไม่ช้าเราจะลงโทษวงศ์วานของเยฮูเหตุด้วยเรื่องโลหิตของยิสเรเอล เราจะให้ราชอาณาจักรของวงศ์วานอิสราเอลสิ้นสุดลงเสียที
ฮชย 4.9 ปุโรหิตเป็นอย่างไร ประชาชนก็จะเป็นอย่างนั้น เราจะลงทัณฑ์เขาเนื่องด้วยวิธีการของเขา เราจะลงโทษเขาตามการกระทำของเขา
ฮชย 4.14 เมื่อธิดาทั้งหลายของเจ้าเล่นชู้ เราก็ไม่ลงโทษ หรือเมื่อเจ้าสาวของเจ้าล่วงประเวณี เราก็ไม่ลงทัณฑ์ เพราะผู้ชายเองก็หลงไปกับหญิงแพศยา และทำสักการบูชากับหญิงโสเภณี ดังนั้นชนชาติที่ไม่มีความเข้าใจจะมาถึงความพินาศ
ฮชย 7.12 เมื่อเขาไป เราจะกางข่ายของเราออกคลุมเขา เราจะดึงเขาลงมาเหมือนดักนกในอากาศ เราจะลงโทษเขาตามที่ชุมนุมชนได้ยินแล้ว
ฮชย 8.13 ส่วนเครื่องสัตวบูชาที่ถวายแก่เรานั้น เขาถวายเนื้อและรับประทานเนื้อนั้น แต่พระเยโฮวาห์มิได้พอพระทัยในตัวเขา บัดนี้พระองค์จะทรงระลึกถึงความชั่วช้าของเขา และจะทรงลงโทษเขาเพราะบาปของเขา เขาจะกลับไปยังอียิปต์
ฮชย 9.7 วันลงโทษมาถึงแล้ว และวันที่จะทดแทนก็มาถึงแล้ว อิสราเอลจะรู้เรื่อง ผู้พยากรณ์เป็นคนเขลาไปแล้ว ผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณก็บ้าไปเนื่องด้วยความชั่วช้าใหญ่ยิ่งของเจ้า และความเกลียดชังยิ่งใหญ่ของเจ้า
ฮชย 9.9 เขาเสื่อมทรามลึกลงไปในความชั่วอย่างมากมายดังสมัยเมืองกิเบอาห์ พระองค์จึงจะทรงระลึกถึงความชั่วช้าของเขา พระองค์จะทรงลงโทษเพราะบาปของเขา
ฮชย 10.10 เราประสงค์จะลงโทษพวกเขา ชนชาติทั้งหลายจะประชุมกันสู้เขา เมื่อเขามัดตัวเองไว้ในรอยไถสองแถวของเขา
ฮชย 12.2 พระเยโฮวาห์ทรงมีคดีกับยูดาห์และจะลงโทษยาโคบตามการประพฤติของเขา และจะทรงทดแทนเขาตามการกระทำของเขา
ยอล 2.13 จงฉีกใจของเจ้า มิใช่ฉีกเสื้อผ้าของเจ้า” จงหันกลับมาหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงกอปรด้วยพระคุณและทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความเมตตา และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ
อมส 3.2 “ในบรรดาครอบครัวทั้งสิ้นในโลกนี้ เจ้าเท่านั้นที่เรารู้จัก ดังนั้นเราจึงจะลงโทษเจ้าเพราะความชั่วช้าทั้งสิ้นของเจ้า
ยนา 3.10 เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของเขาแล้วว่า เขากลับไม่ประพฤติชั่วต่อไป พระเจ้าก็ทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษตามที่พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์ก็มิได้ทรงลงโทษเขา
ยนา 4.2 ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่า จะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความเมตตา และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ
มคา 7.4 คนที่ดีที่สุดของเขาก็เหมือนหนามย่อย คนที่ซื่อตรงที่สุดของเขาก็คมกว่ารั้วต้นไม้หนาม วันแห่งยามรักษาการณ์ของเจ้า และวันที่จะลงโทษเจ้า มาถึงแล้ว บัดนี้ ความยุ่งเหยิงของเขาก็อยู่ใกล้เต็มที
ศฟย 1.8 และต่อมาในวันที่พระเยโฮวาห์ทรงฆ่าบูชานั้น พระองค์ตรัสว่า “เราจะลงโทษบรรดาเจ้านายและโอรสของกษัตริย์ และบรรดาผู้ที่ตกแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายต่างด้าว
ศฟย 1.9 ในวันนั้น เราจะลงโทษทุกคนที่กระโดดข้ามธรณีประตู คือผู้ที่กระทำให้เรือนของนายเต็มไปด้วยความทารุณและการคดโกง”
ศฟย 1.12 ต่อมาคราวนั้นเราจะเอาตะเกียงส่องดูเยรูซาเล็ม และเราจะลงโทษคนที่ตกตะกอน ผู้ที่กล่าวในใจของตนว่า ‘พระเยโฮวาห์จะไม่ทรงกระทำการดี และพระองค์ก็จะไม่ทรงกระทำการชั่ว’
ศฟย 3.7 เรากล่าวว่า ‘แท้จริง เมืองนั้นจะยำเกรงเรา เธอจะยอมรับคำสั่งสอน’ เพื่อที่อาศัยของเขาจะไม่ถูกตัดออก เราลงโทษเขาอย่างไรก็ตาม แต่เขาทั้งหลายยิ่งกลับร้อนใจที่จะให้การกระทำของเขาเสื่อมทราม”
ศฟย 3.15 พระเยโฮวาห์ทรงล้มเลิกการพิพากษาลงโทษเจ้าแล้ว พระองค์ทรงขับไล่ศัตรูของเจ้าออกไปแล้ว กษัตริย์แห่งอิสราเอลคือพระเยโฮวาห์ทรงอยู่ท่ามกลางเจ้า เจ้าจะไม่พบความชั่วร้ายอีกต่อไป
ศคย 8.14 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เมื่อบรรพบุรุษของเจ้ายั่วเย้าให้เราโกรธนั้น เราก็ตั้งใจว่าจะลงโทษเจ้า เรามิได้หย่อนความตั้งใจลง พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ศคย 10.3 “เราโกรธเมษบาลอย่างรุนแรง และเราลงโทษบรรดาแพะผู้ เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาเอาพระทัยใส่ฝูงสัตว์ของพระองค์คือวงศ์วานยูดาห์ และทรงกระทำเขาให้เป็นเหมือนม้าศึกฮึกเหิมในสงคราม
มธ 5.21 ท่านทั้งหลายได้ยินว่ามีคำกล่าวในครั้งโบราณว่า ‘อย่าฆ่าคน’ ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ
มธ 5.22 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตนโดยไม่มีเหตุ ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า ‘อ้ายบ้า’ ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษ และผู้ใดจะว่า ‘อ้ายโง่’ ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก
มธ 27.37 และได้เอาถ้อยคำข้อหาที่ลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า “ผู้นี้คือเยซูกษัตริย์ของชนชาติยิว”
มก 15.26 มีข้อหาที่ลงโทษพระองค์เขียนไว้ข้างบนว่า “กษัตริย์ของพวกยิว”
ยน 3.18 ผู้ที่เชื่อในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ที่มิได้เชื่อก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้เชื่อในพระนามพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระเจ้า
กจ 13.27 ฝ่ายชาวกรุงเยรูซาเล็มกับพวกขุนนางมิได้รู้จักพระองค์ หรือเข้าใจคำของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย ซึ่งเคยอ่านกันทุกวันสะบาโต จึงทำให้สำเร็จตามคำเหล่านั้นโดยพิพากษาลงโทษพระองค์
กจ 25.15 เมื่อข้าพเจ้าไปกรุงเยรูซาเล็ม พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวมาฟ้องขอให้ข้าพเจ้าตัดสินลงโทษเขา
กจ 26.10 สิ่งเหล่านั้นข้าพระองค์ได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อข้าพระองค์รับอำนาจจากพวกปุโรหิตใหญ่แล้ว ข้าพระองค์ได้ขังวิสุทธิชนหลายคนไว้ในคุก และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระองค์ก็เห็นดีด้วย
กจ 26.31 ครั้นออกไปแล้วจึงพากันพูดว่า “คนนี้มิได้ทำสิ่งใดที่สมควรจะถูกลงโทษถึงตายหรือจองจำไว้”
รม 2.2 แต่เรารู้แน่ว่าการที่พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้นก็เป็นตามความจริง
รม 2.3 โอ มนุษย์เอ๋ย ท่านที่กล่าวโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้น และท่านเองยังประพฤติเช่นเดียวกับเขา ท่านคิดหรือว่าท่านจะพ้นจากการพิพากษาลงโทษของพระเจ้าได้
รม 2.5 แต่เพราะท่านใจแข็งกระด้างไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่ำสมพระพิโรธให้แก่ตัวเองในวันแห่งพระพิโรธนั้น ซึ่งพระเจ้าจะทรงสำแดงการพิพากษาลงโทษที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์
รม 3.7 เพราะถ้าความจริงของพระเจ้าปรากฏมากยิ่งขึ้นเพราะเหตุความอสัตย์ของข้าพเจ้าเป็นที่ให้เกิดเกียรติยศแด่พระองค์แล้ว ทำไมเขาจึงยังลงโทษข้าพเจ้าว่าเป็นคนบาป
รม 5.18 ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวงเพราะการละเมิดของคนๆเดียวฉันใด ความชอบธรรมของพระองค์ผู้เดียวก็นำของประทานแห่งพระคุณมาถึงทุกคนฉันนั้น คือความชอบธรรมแห่งชีวิต
1คร 5.3 แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินลงโทษคนที่ได้กระทำผิดเช่นนั้นเสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย
1คร 5.12 ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินลงโทษคนภายนอก ท่านจะต้องตัดสินลงโทษคนภายในมิใช่หรือ
1คร 5.13 ส่วนคนภายนอกนั้นพระเจ้าจะทรงตัดสินลงโทษ เหตุฉะนั้นจงกำจัดคนชั่วช้านั้นออกจากพวกท่านเสียเถิด
1คร 11.32 แต่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อมิให้เราถูกพิพากษาลงโทษด้วยกันกับโลก
1คร 11.34 ถ้ามีใครหิวก็ให้เขากินที่บ้านเสียก่อน เพื่อเมื่อมาประชุมกันท่านจะได้ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นเมื่อข้าพเจ้ามาข้าพเจ้าจะแนะนำให้
2คร 2.6 ที่คนส่วนมากได้ลงโทษคนเช่นนั้นก็พอสมควรแล้ว
2ธส 1.8 ในเปลวเพลิงจะลงโทษสนองคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และแก่คนที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ฮบ 6.2 และคำสอนว่าด้วยพิธีบัพติศมา และการวางมือ และการเป็นขึ้นมาจากตาย และการพิพากษาลงโทษเป็นนิตย์นั้น
ฮบ 10.29 ท่านทั้งหลายคิดดูซิว่าคนที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า และดูหมิ่นพระโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งชำระเขาให้บริสุทธิ์ว่าเป็นสิ่งชั่วช้า และประมาทต่อพระวิญญาณผู้ทรงพระคุณ ควรจะถูกลงโทษมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
ยก 5.6 ท่านได้ตัดสินลงโทษ และได้ฆ่าคนชอบธรรม เขาก็ไม่ได้ต่อสู้ท่าน
ยก 5.12 พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดก็คือ จงอย่าปฏิญาณ ไม่ว่าจะโดยอ้างฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลก และไม่ว่าจะโดยคำปฏิญาณอื่นใดก็ตาม แต่ที่ควรว่าใช่ก็จงว่าใช่ ที่ควรว่าไม่ก็จงว่าไม่ เกรงว่าท่านจะต้องถูกลงโทษ
1ปต 2.14 หรือจะเป็นเจ้าเมืองผู้ที่ได้รับคำสั่งจากกษัตริย์นั้น ให้ลงโทษผู้กระทำชั่ว และยกย่องคนที่ประพฤติดี
2ปต 2.6 และได้ทรงลงโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ให้พินาศเป็นเถ้าถ่าน เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่คนต่อไปที่จะประพฤติชั่ว
2ปต 2.9 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบวิธีที่จะช่วยคนที่ตามทางของพระเจ้าให้รอดพ้นจากการทดลองต่างๆ และทรงทราบวิธีที่จะรักษาคนอธรรมไว้จนถึงวันพิพากษาเพื่อจะได้ลงโทษเขา
ยด 1.4 เพราะว่ามีบางคนได้เล็ดลอดเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเล็งไว้ล่วงหน้ามานานแล้วว่าจะได้รับการพิพากษาลงโทษอย่างนี้ เป็นคนอธรรม ที่ได้บิดเบือนพระคุณของพระเจ้าของเราไปเป็นการกระทำความชั่วช้าลามก และได้ปฏิเสธพระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
วว 17.1 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบนั้นมาหาข้าพเจ้า และพูดว่า “เชิญมาที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูการพิพากษาลงโทษหญิงแพศยาคนสำคัญที่นั่งอยู่บนน้ำมากหลาย
วว 19.2 ‘เพราะว่าการพิพากษาของพระองค์เที่ยงตรงและชอบธรรม’ พระองค์ได้ทรงพิพากษาลงโทษหญิงแพศยาคนสำคัญนั้น ที่ได้กระทำให้แผ่นดินโลกชั่วไปด้วยการล่วงประเวณีของนาง และ ‘พระองค์ได้ทรงแก้แค้นผู้หญิงนั้นเพื่อทดแทนโลหิตแห่งพวกผู้รับใช้ของพระองค์’”

ลงนาม ( 4 )
ยรม 32.10 ข้าพระองค์ก็ลงนามในโฉนดประทับตราไว้ เป็นพยานและเอาตาชั่งชั่งเงิน
ยรม 32.12 และข้าพระองค์ก็มอบโฉนดของการซื้อให้แก่บารุคบุตรชายเนริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายของมาอาเสอาห์ ต่อสายตาของฮานัมเอลลูกของอาของข้าพระองค์ ต่อหน้าพยานผู้ที่ลงนามในโฉนดการซื้อและต่อหน้าบรรดาพวกยิว ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์
ยรม 32.44 ที่นานั้นจะซื้อกันด้วยเงิน ใบโฉนดก็จะต้องลงนามและประทับตรา และลงนามพยานที่ในแผ่นดินของเบนยามิน ในที่ต่างๆแถบกรุงเยรูซาเล็ม และในหัวเมืองยูดาห์ ในหัวเมืองแถบแดนเมืองเทือกเขา ในหัวเมืองแถบหุบเขา และในหัวเมืองแถบภาคใต้ เพราะเราจะให้การเป็นเชลยของเขาทั้งหลายกลับสู่สภาพเดิม” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ

ลงไป ( 1 )
พซม 6.2 ที่รักของดิฉันลงไปยังสวนของเขาเพื่อจะไปที่ลานปลูกไม้สีเสียด และเพื่อจะไปเลี้ยงฝูงสัตว์ในสวนกับเพื่อจะเก็บดอกบัว

ลงมา ( 282 )
ปฐก 11.5 และพระเยโฮวาห์เสด็จลงมาทอดพระเนตรเมืองและหอนั้นซึ่งบุตรทั้งหลายของมนุษย์ได้ก่อสร้างขึ้น
ปฐก 15.11 เมื่อฝูงเหยี่ยวลงมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น อับรามก็ไล่มันไปเสีย
ปฐก 19.24 ดังนั้นพระเยโฮวาห์ทรงให้กำมะถันและไฟจากพระเยโฮวาห์ตกมาจากฟ้าสวรรค์ลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์
ปฐก 24.18 นางตอบว่า “นายเจ้าข้า เชิญดื่มเถิด” แล้วนางก็รีบลดไหน้ำของนางลงมาถือไว้แล้วให้เขาดื่ม
ปฐก 27.39 อิสอัคบิดาของเขาจึงตอบเขาว่า “ดูเถิด เจ้าจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินอันอุดมบริบูรณ์ มีน้ำค้างลงมาจากฟ้า
ปฐก 39.1 โยเซฟถูกพาลงไปยังอียิปต์แล้วโปทิฟาร์ข้าราชสำนักของฟาโรห์ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ เป็นคนอียิปต์ ซื้อโยเซฟไว้จากมือคนอิชมาเอลผู้พาเขาลงมาที่นั่น
ปฐก 43.20 และกล่าวว่า “โอ นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายลงมาครั้งก่อนเพื่อซื้ออาหาร
ปฐก 43.33 พวกพี่น้องก็นั่งตรงหน้าโยเซฟ เรียงตั้งแต่พี่ใหญ่ผู้มีสิทธิบุตรหัวปี ลงมาจนถึงน้องสุดท้องตามวัย พี่น้องทั้งหลายมองดูตากันด้วยความประหลาดใจ
ปฐก 45.13 พี่จงเล่าให้บิดาของเราฟังถึงยศศักดิ์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในอียิปต์และที่พี่ได้เห็นนั้นทุกประการ พี่จงรีบพาบิดาเราลงมาที่นี่เถิด”
อพย 3.8 และเราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดพ้นจากมือของชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ คือไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส
อพย 3.16 จงไปรวบรวมพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลให้มาประชุมพร้อมกัน แล้วกล่าวแก่เขาว่า ‘พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัค และของยาโคบ ปรากฏแก่ข้าพเจ้า ตรัสว่า “แท้จริงเราลงมาเยี่ยมเจ้าทั้งหลายแล้ว และได้เห็นสิ่งซึ่งเขาได้กระทำแก่เจ้าในอียิปต์
อพย 9.18 ดูเถิด พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ เราจะทำให้ลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก อย่างที่ไม่เคยมีในอียิปต์ ตั้งแต่เริ่มสร้างบ้านเมืองมาจนบัดนี้
อพย 9.22 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือขึ้นยังท้องฟ้า เพื่อลูกเห็บจะได้ตกลงมาทั่วแผ่นดินอียิปต์ บนมนุษย์ บนสัตว์และบนผักหญ้าทุกอย่างซึ่งอยู่ในทุ่งนาทั่วแผ่นดินอียิปต์”
อพย 9.23 โมเสสก็ชูไม้เท้าของตนขึ้นยังท้องฟ้าแล้วพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้มีเสียงฟ้าร้อง มีลูกเห็บ และไฟตกลงมาบนแผ่นดิน และพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้ลูกเห็บตกบนแผ่นดินอียิปต์
อพย 16.4 แล้วพระเยโฮวาห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝนสำหรับพวกเจ้า ให้พลไพร่ออกไปเก็บทุกวันพอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่าเขาจะดำเนินตามราชบัญญัติของเราหรือไม่
อพย 19.11 เตรียมตัวไว้ให้พร้อมในวันที่สาม เพราะในวันที่สามนั้นพระเยโฮวาห์จะเสด็จลงมาบนภูเขาซีนายท่ามกลางสายตาของพลไพร่ทั้งปวง
อพย 19.18 ภูเขาซีนายมีควันกลุ้มหุ้มอยู่ทั่วไปเพราะพระเยโฮวาห์เสด็จลงมาบนภูเขานั้นโดยอาศัยเพลิง ควันไฟพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาใหญ่ ภูเขาก็สะท้านหวั่นไหวไปหมด
อพย 19.20 พระเยโฮวาห์เสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย พระเยโฮวาห์ทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป
อพย 26.9 ม่านห้าผืนให้เกี่ยวติดกันต่างหากและม่านอีกหกผืนให้เกี่ยวติดกันต่างหากเช่นกัน และม่านผืนที่หกนั้นจงให้ห้อยซ้อนลงมาข้างหน้าพลับพลา
อพย 26.12 ม่านเต็นท์ส่วนที่เกินอยู่ คือชายม่านครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่นั้น จงให้ห้อยลงมาด้านหลังพลับพลา
อพย 26.13 ส่วนม่านคลุมพลับพลา ซึ่งยาวเกินไปข้างละหนึ่งศอกนั้น ให้ห้อยลงมาข้างๆพลับพลาทั้งข้างนี้และข้างโน้น สำหรับใช้กำบัง
อพย 27.5 ตาข่ายนั้นให้อยู่ใต้กระจังของแท่น และให้ห้อยอยู่ตั้งแต่กลางแท่นลงมา
อพย 32.1 เมื่อพลไพร่เห็นโมเสสล่าช้าอยู่ ไม่ลงมาจากภูเขาจึงได้พากันมาหาอาโรน เรียนว่า “ลุกขึ้น ขอท่านสร้างพระให้แก่พวกข้าพเจ้า ซึ่งจะนำพวกข้าพเจ้าไป ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำข้าพเจ้าออกมาจากประเทศอียิปต์เป็นอะไรไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
อพย 32.15 ฝ่ายโมเสสกลับลงมาจากภูเขาถือแผ่นศิลาพระโอวาทมาสองแผ่น ซึ่งจารึกทั้งสองด้าน จารึกทั้งด้านนี้และด้านนั้น
อพย 33.9 ครั้นโมเสสเข้าไปในพลับพลาแล้ว เสาเมฆก็ลอยลงมาตั้งอยู่ที่ประตูพลับพลา แล้วพระเยโฮวาห์ก็ตรัสสนทนากับโมเสส
อพย 34.5 ฝ่ายพระเยโฮวาห์เสด็จลงมาในเมฆ และโมเสสยืนอยู่กับพระองค์ที่นั่น และออกพระนามพระเยโฮวาห์
อพย 34.29 อยู่ต่อมาโมเสสได้ลงมาจากภูเขาซีนาย ถือแผ่นพระโอวาทสองแผ่นมาด้วย เวลาที่ลงมาจากภูเขานั้นโมเสสก็ไม่ทราบว่า ผิวหน้าของตนทอแสงเนื่องด้วยพระเจ้าทรงสนทนากับท่าน
อพย 38.4 และเขาเอาทองสัมฤทธิ์ทำเป็นตาข่ายประดับแท่นนั้นให้อยู่ใต้กระจังของแท่น และห้อยอยู่ตั้งแต่กลางแท่นลงมา
ลนต 9.22 แล้วอาโรนยกมือขึ้นอวยพรพลไพร่ และอาโรนก็ลงมาจากการถวายเครื่องบูชาไถ่บาป เครื่องเผาบูชาและสันติบูชา
กดว 11.17 เราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น และเราจะเอาวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนคนเหล่านั้นเสียบ้าง ให้เขาทั้งหลายแบกภาระของชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง
กดว 11.25 แล้วพระเยโฮวาห์เสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส และเอาวิญญาณที่มีอยู่บนโมเสสบ้างใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้น และต่อมาเมื่อวิญญาณอยู่บนเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็พยากรณ์ แต่เขาทั้งหลายก็ไม่ทำอีก
กดว 12.5 พระเยโฮวาห์ก็เสด็จลงมาในเสาเมฆ ประทับยืนที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม ทรงเรียกอาโรนและมิเรียม เขาทั้งสองก็มาข้างหน้า
กดว 14.45 แล้วคนอามาเลขและคนคานาอันที่อยู่บนเนินเขานั้นได้ลงมาขับไล่เขาให้พ่ายแพ้จนไปถึงตำบลโฮรมาห์
กดว 20.28 และโมเสสถอดเสื้อผ้าของอาโรน และสวมให้แก่เอเลอาซาร์บุตรชายของเขา และอาโรนก็สิ้นชีวิตอยู่ที่ยอดภูเขานั้น แล้วโมเสสและเอเลอาซาร์ลงมาจากภูเขา
กดว 21.20 และจากบาโมทถึงหุบเขาซึ่งอยู่ในท้องถิ่นโมอับข้างยอดเขาปิสกาห์ซึ่งมองลงมาเห็นเยชิโมน
กดว 23.28 บาลาคก็พาบาลาอัมไปถึงยอดเขาเปโอร์ ซึ่งมองลงมาเห็นเยชิโมน
กดว 34.11 และอาณาเขตจะลงมาจากเชฟามถึงริบลาห์ข้างตะวันออกของเมืองอายิน และอาณาเขตจะลงมาถึงไหล่ทะเลคินเนเรททางด้านตะวันออก
พบญ 9.15 ข้าพเจ้าจึงกลับลงมาจากภูเขา และภูเขานั้นก็มีเพลิงลุกอยู่ และศิลาพันธสัญญาสองแผ่นนั้นก็อยู่ในมือทั้งสองของข้าพเจ้า
พบญ 9.21 แล้วข้าพเจ้าจึงเอาสิ่งที่บาปหนานั้น คือรูปลูกวัวซึ่งท่านสร้างขึ้นนั้นเผาเสียด้วยไฟ แล้วทุบแล้วบดให้เป็นผงละเอียดอย่างกับฝุ่น แล้วข้าพเจ้าก็โยนผงนั้นลงไปในลำธารซึ่งไหลลงมาจากภูเขา
พบญ 10.5 แล้วข้าพเจ้าก็กลับลงมาจากภูเขา และเก็บแผ่นศิลานั้นไว้ในหีบซึ่งข้าพเจ้าได้ทำขึ้นและแผ่นศิลาก็ยังอยู่ในหีบนั้น ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาข้าพเจ้าไว้
พบญ 22.8 เมื่อท่านก่อเรือนใหม่ จงก่อขอบขึ้นกันไว้ที่ดาดฟ้าหลังคา เพื่อท่านจะมิได้นำโทษเนื่องด้วยโลหิตตกมาสู่เรือนนั้น เพราะมีคนพลัดตกลงมาจากหลังคาตาย
พบญ 28.24 พระเยโฮวาห์จะทรงบันดาลให้ฝนในแผ่นดินของท่านเป็นฝุ่นและละออง ลงมาจากอากาศอยู่เหนือท่านทั้งหลายจนกว่าท่านจะถูกทำลาย
พบญ 33.16 และผลประเสริฐที่สุดของพิภพและสิ่งที่อยู่ในนั้น และพระกรุณาคุณของพระองค์ซึ่งประทับที่พุ่มไม้ ขอให้พรเหล่านี้ลงมาเหนือศีรษะของโยเซฟ และเหนือกระหม่อมของผู้ที่ถูกแยกจากพี่น้องของตน
พบญ 33.28 ดังนั้นแหละ อิสราเอลจึงจะอยู่อย่างปลอดภัยแต่ฝ่ายเดียว น้ำพุแห่งยาโคบจะอยู่ในแผ่นดินที่มีข้าวและน้ำองุ่น เออ ท้องฟ้าของพระองค์จะโปรยน้ำค้างลงมา
ยชว 10.11 ต่อมาขณะเมื่อเขาหนีไปข้างหน้าพวกอิสราเอลลงไปตามทางเบธโฮโรนนั้น พระเยโฮวาห์ทรงโยนลูกเห็บใหญ่ๆลงมาจากฟ้า ตลอดถึงเมืองอาเซคาห์ เขาทั้งหลายก็ตาย ผู้ที่ตายด้วยลูกเห็บนั้นก็มากกว่าผู้ที่คนอิสราเอลฆ่าเสียด้วยดาบ
วนฉ 1.34 คนอาโมไรต์ได้ขับดันคนดานให้กลับเข้าไปในแดนเทือกเขา ไม่ยอมให้ลงมายังหุบเขา
วนฉ 5.4 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เมื่อพระองค์เสด็จออกจากเสอีร์ เมื่อพระองค์เสด็จจากท้องถิ่นเอโดม แผ่นดินก็หวาดหวั่นไหว ท้องฟ้าก็ปล่อยลงมา เออ เมฆก็ปล่อยฝนลงมา
วนฉ 5.14 ผู้ที่มีรากอยู่ในอามาเลขได้ลงมาจากเอฟราอิม เขาเดินตามท่านนะ เบนยามินท่ามกลางประชาชนของท่าน ผู้บังคับบัญชาเดินลงมาจากมาคีร์และผู้บันทึกรายงานของจอมพลออกมาจากเศบูลุน
วนฉ 7.24 และกิเดโอนก็ใช้ผู้สื่อสารออกไปทั่วแดนเทือกเขาเอฟราอิม ประกาศว่า “จงลงมารบพวกมีเดียน และยึดแควทั้งหลาย ไกลไปถึงตำบลเบธบาราห์ และแม่น้ำจอร์แดนด้วย” เขาก็เรียกบรรดาทหารเอฟราอิมออกมา เขาทั้งหลายยึดแควถึงเบธบาราห์ และแม่น้ำจอร์แดนไว้
วนฉ 9.36 และเมื่อกาอัลเห็นกองทัพ จึงพูดกับเศบุลว่า “ดูเถิด กองทัพกำลังเคลื่อนลงมาจากยอดภูเขา” เศบุลตอบเขาว่า “ท่านเห็นเงาภูเขาเป็นคนไปกระมัง”
วนฉ 15.12 คนเหล่านั้นจึงพูดกับแซมสันว่า “เราจะลงมามัดท่านเพื่อมอบท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย” แซมสันจึงบอกเขาว่า “ขอปฏิญาณให้ซีว่าพวกท่านเองจะไม่ทำร้ายข้าพเจ้า”
วนฉ 16.21 คนฟีลิสเตียก็มาจับท่านทะลวงตาของท่านเสีย นำท่านลงมาที่กาซา เอาตรวนทองสัมฤทธิ์ล่ามไว้ และให้ท่านโม่แป้งอยู่ที่ในเรือนจำ
วนฉ 16.31 แล้วพี่น้องและบรรดาครอบครัวบิดาของท่านก็ลงมารับศพของท่านและขึ้นไปฝังไว้ระหว่างโศราห์กับเอชทาโอล ในที่ฝังศพของมาโนอาห์บิดาของท่าน ท่านได้วินิจฉัยอิสราเอลอยู่ยี่สิบปี
1ซมอ 5.3 และเมื่อประชาชนชาวอัชโดดตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนได้ล้มหน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรงหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์ เขาทั้งหลายจึงยกพระดาโกนขึ้นตั้งไว้ในที่เดิม
1ซมอ 5.4 แต่เมื่อเขาทั้งหลายตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนก็ล้มหน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรงหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์ เศียรของพระดาโกนและฝ่ามือทั้งสองก็ถูกตัดออกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่แต่ลำตัวพระดาโกน
1ซมอ 6.21 ดังนั้นเขาจึงส่งผู้สื่อสารไปยังชาวเมืองคีริยาทเยอาริมกล่าวว่า “คนฟีลิสเตียได้คืนหีบแห่งพระเยโฮวาห์มาแล้ว ขอลงมาเชิญหีบขึ้นไปอยู่กับท่านเถิด”
1ซมอ 9.25 และเมื่อเขาทั้งหลายลงมาจากปูชนียสถานสูงเข้ามาในเมือง ซามูเอลสนทนากับซาอูลบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน
1ซมอ 9.27 เมื่อเขาทั้งหลายกำลังลงมาที่ชานเมือง ซามูเอลจึงพูดกับซาอูลว่า “จงบอกคนใช้ให้เดินล่วงหน้าเราไปก่อน (และเขาก็เดินพ้นไป) ท่านจงหยุดที่นี่ก่อน เพื่อฉันจะได้แจ้งพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่านทราบ”
1ซมอ 10.5 ต่อจากนั้นท่านจะมาถึงภูเขาของพระเจ้า ที่นั่นมีกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย อยู่มาเมื่อท่านมาถึงเมืองนั้น ท่านจะพบผู้พยากรณ์หมู่หนึ่งกำลังลงมาจากปูชนียสถานสูง ถือพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้ามา กำลังพยากรณ์เรื่อยมา
1ซมอ 17.28 ฝ่ายเอลีอับพี่ชายหัวปีได้ยินคำที่ดาวิดพูดกับชายคนนั้น เอลีอับก็โกรธดาวิดกล่าวว่า “เจ้าลงมาทำไม เจ้าทิ้งแกะไม่กี่ตัวที่ถิ่นทุรกันดารไว้กับใคร ข้ารู้ถึงความทะเยอทะยานของเจ้า และความคิดชั่วของเจ้า เพราะเจ้าลงมาเพื่อจะมาดูเขารบกัน”
1ซมอ 23.6 อยู่มาเมื่ออาบียาธาร์บุตรชายของอาหิเมเลคหนีไปหาดาวิดที่เมืองเคอีลาห์นั้น เขาถือเอโฟดลงมาด้วย
1ซมอ 23.11 ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์ไว้ในมือท่านหรือ ซาอูลจะเสด็จลงมาดังที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินนั้นหรือ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอพระองค์ทรงบอกผู้รับใช้ของพระองค์เถิด” และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เขาจะลงมา”
1ซมอ 25.20 เมื่อนางขี่ลาลงมา มีสันเขาบังฝ่ายนางอยู่ ดูเถิด ดาวิดกับคนของท่านก็ลงมาทางนาง และนางก็พบเขาทั้งหลายเข้า
2ซมอ 19.16 ชิเมอี บุตรชายเก-รา คนเบนยามินผู้มาจากบาฮูริม รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อจะรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด
2ซมอ 19.20 ด้วยผู้รับใช้ของพระองค์ได้ทราบแล้วว่าได้กระทำบาป เพราะฉะนั้น ดูเถิด ในวันนี้ข้าพระองค์ได้มาเป็นคนแรกในวงศ์วานโยเซฟที่ลงมารับเสด็จกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์”
2ซมอ 19.24 เมฟีโบเชท โอรสซาอูลก็ลงมารับเสด็จกษัตริย์ โดยมิได้แต่งเท้าหรือขลิบเครา หรือซักเสื้อผ้าของตนตั้งแต่วันที่กษัตริย์เสด็จจากไปจนวันที่เสด็จกลับมาโดยสันติภาพ
2ซมอ 19.31 ฝ่ายบารซิลลัย ชาวกิเลอาด ได้ลงมาจากโรเกลิม และไปกับกษัตริย์ข้ามแม่น้ำจอร์แดน เพื่อส่งพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป
2ซมอ 22.10 พระองค์ทรงโน้มฟ้าสวรรค์ลงด้วย และเสด็จลงมา ความมืดทึบอยู่ใต้พระบาทของพระองค์
2ซมอ 23.13 ในพวกทหารเอกสามสิบคนนั้นมีสามคนที่ลงมา และได้มาหาดาวิดที่ถ้ำอดุลลัมในฤดูเกี่ยวข้าว มีคนฟีลิสเตียกองหนึ่งตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม
2ซมอ 24.20 เมื่ออาราวนาห์มองลงมา เห็นกษัตริย์และข้าราชการขึ้นมาหาตน อาราวนาห์ก็ออกไปถวายบังคมกษัตริย์ซบหน้าลงถึงดิน
1พกษ 1.53 กษัตริย์ซาโลมอนตรัสสั่งให้คนไปนำท่านลงมาจากแท่นบูชา และท่านก็มากราบลงต่อกษัตริย์ซาโลมอน และซาโลมอนตรัสแก่ท่านว่า “จงกลับไปวังของท่านเถิด”
1พกษ 5.9 ข้าราชการของข้าพเจ้าจะนำลงมาจากเลบานอนถึงทะเล และข้าพเจ้าจะผูกแพล่องมาตามทะเลถึงที่ที่ท่านจะกำหนดให้ และข้าพเจ้าจะให้แก้แพที่นั่น ขอท่านมารับเอา และขอท่านส่งเสบียงอาหารแก่สำนักวังของข้าพเจ้าก็แล้วกัน เป็นที่พอใจข้าพเจ้าแล้ว”
1พกษ 13.3 และท่านก็ให้หมายสำคัญในวันเดียวกันนั้น กล่าวว่า “นี่เป็นหมายสำคัญที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสว่า ‘ดูเถิด เขาจะพังแท่นบูชาลงมา และมูลเถ้าซึ่งอยู่บนนั้นจะถูกเทออก’”
1พกษ 13.5 แท่นบูชาก็พังลงด้วย และมูลเถ้าก็ร่วงลงมาจากแท่น ตามหมายสำคัญซึ่งคนของพระเจ้าได้ให้ไว้โดยพระวจนะของพระเยโฮวาห์
1พกษ 17.14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมดและน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเยโฮวาห์ทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน’”
1พกษ 17.23 และเอลียาห์ก็อุ้มเด็กนั้น นำลงมาจากห้องชั้นบนเข้าไปในเรือน และมอบเขาให้แก่มารดาของเด็ก และเอลียาห์บอกว่า “ดูซิ บุตรของเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
1พกษ 18.38 แล้วไฟของพระเยโฮวาห์ก็ตกลงมาและไหม้เครื่องเผาบูชา และฟืนและหิน และผงคลีและเลียน้ำซึ่งอยู่ในร่อง
2พกษ 1.2 ฝ่ายอาหัสยาห์ทรงตกลงมาจากช่องพระแกลตาข่ายที่ห้องชั้นบนของพระองค์ในกรุงสะมาเรียและทรงประชวร จึงทรงใช้บรรดาผู้สื่อสารไป รับสั่งว่า “จงไปถามบาอัลเซบูบ พระแห่งเอโครนว่า เราจะหายจากความเจ็บป่วยนี้หรือไม่”
2พกษ 1.4 เพราะฉะนั้นบัดนี้พระเยโฮวาห์ตรัสดั่งนี้ว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่’” แล้วเอลียาห์ก็ไป
2พกษ 1.6 และเขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “มีชายคนหนึ่งมาพบกับพวกข้าพระองค์ และพูดกับพวกข้าพระองค์ว่า ‘จงกลับไปหากษัตริย์ผู้ใช้ท่านมา และทูลพระองค์ว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลแล้วหรือเจ้าจึงใช้คนไปถามบาอัลเซบูบพระแห่งเอโครน เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่’”
2พกษ 1.9 แล้วกษัตริย์ก็รับสั่งให้นายกองของทหารห้าสิบคนพร้อมกับทหารห้าสิบคนของเขาไปหาเอลียาห์ เขาได้ขึ้นไปหาท่าน ดูเถิด ท่านนั่งอยู่บนยอดภูเขา และนายกองห้าสิบคนนั้นกล่าวแก่ท่านว่า “ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘ลงมา’”
2พกษ 1.10 แต่เอลียาห์ตอบนายกองห้าสิบคนว่า “ถ้าข้าเป็นคนแห่งพระเจ้า ก็ขอให้ไฟลงมาจากฟ้าสวรรค์เผาผลาญเจ้าและคนทั้งห้าสิบของเจ้าเถิด” แล้วไฟก็ลงมาจากฟ้าสวรรค์และเผาผลาญเขากับคนทั้งห้าสิบของเขาเสีย
2พกษ 1.11 พระองค์ก็รับสั่งให้นายกองของทหารห้าสิบคนพร้อมกับทหารห้าสิบคนของเขาอีกพวกหนึ่งไป และเขาก็กล่าวแก่ท่านว่า “โอ ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘ลงมาเร็วๆ’”
2พกษ 1.12 แต่เอลียาห์ตอบว่า “ถ้าข้าเป็นคนแห่งพระเจ้า ก็ขอให้ไฟลงมาจากฟ้าสวรรค์เผาผลาญเจ้าและคนทั้งห้าสิบของเจ้าเถิด” และไฟของพระเจ้าลงมาจากฟ้าสวรรค์และเผาผลาญเขากับคนทั้งห้าสิบของเขาเสีย
2พกษ 1.14 ดูเถิด ไฟลงมาจากฟ้าสวรรค์และได้เผาผลาญนายกองห้าสิบทั้งสองคนก่อนหน้านั้นเสียพร้อมทั้งทหารห้าสิบคนของเขาด้วย แต่บัดนี้ขอให้ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งประเสริฐในสายตาของท่าน”
2พกษ 1.16 และทูลพระองค์ว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าได้ส่งผู้สื่อสารไปยังบาอัลเซบูบพระแห่งเอโครน เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลที่จะทูลถามพระวจนะของพระองค์อย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่’”
2พกษ 2.13 แล้วท่านก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมาจากเอลียาห์นั้น และกลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน
2พกษ 2.14 แล้วท่านก็เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมานั้นฟาดลงที่น้ำกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งเอลียาห์ทรงสถิตที่ใด” และเมื่อท่านฟาดลงที่น้ำ น้ำก็แยกออกไปสองข้าง และเอลีชาก็เดินข้ามไป
2พกษ 2.16 เขาทั้งหลายกล่าวแก่ท่านว่า “ดูเถิด มีห้าสิบคนที่เป็นชายฉกรรจ์อยู่กับผู้รับใช้ของท่าน ขอจงไปเที่ยวหาอาจารย์ของท่าน บางทีพระวิญญาณแห่งพระเยโฮวาห์ได้รับท่านไปแล้วเหวี่ยงท่านลงมาที่ภูเขาหรือหุบเขาแห่งหนึ่งแห่งใดบ้าง” และท่านว่า “อย่าใช้เขาไปเลย”
2พกษ 6.18 และเมื่อคนซีเรียลงมารบกับท่าน เอลีชาก็อธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์ว่า “ขอทรงโปรดให้คนเหล่านี้ตาบอดไปเสีย” พระองค์จึงทรงให้เขาทั้งหลายตาบอดไปตามคำของเอลีชา
2พกษ 9.16 แล้วเยฮูก็เสด็จทรงรถรบ และเสด็จไปยังยิสเรเอล เพราะโยรัมบรรทมที่นั่น และอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้เสด็จลงมาเยี่ยมโยรัม
2พกษ 9.33 พระองค์ตรัสว่า “โยนนางลงมา” เขาจึงโยนพระนางลงมา และโลหิตของพระนางก็กระเด็นติดผนังกำแพงและติดม้า และพระองค์ทรงม้าย่ำไปบนพระนาง
2พกษ 10.13 เยฮูทรงพบพระญาติของอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และพระองค์ตรัสถามว่า “ท่านทั้งหลายคือใคร” และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายคือญาติของอาหัสยาห์ และข้าพเจ้าทั้งหลายลงมาเยี่ยมบรรดาโอรสของกษัตริย์และโอรสของราชมารดา”
2พกษ 11.19 และท่านได้นำนายทัพนายกอง ผู้บังคับบัญชากอง ทหารรักษาพระองค์ และประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดิน และเขาทั้งหลายได้นำกษัตริย์ลงมาจากพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ไปตามทางประตูทหารรักษาพระองค์ไปถึงพระราชวัง และพระองค์เสด็จประทับบนพระที่นั่งของกษัตริย์
2พกษ 16.17 และกษัตริย์อาหัสทรงตัดแผงแท่นนั้นออก และทรงยกขันออกไปจากแท่นเสีย และพระองค์ทรงเอาขันสาครลงมาเสียจากวัวทองสัมฤทธิ์ที่รองอยู่นั้น ทรงวางไว้บนพื้นก้อนหิน
2พกษ 23.12 และแท่นบนหลังคาห้องชั้นบนของอาหัส ซึ่งบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ได้สร้างไว้ และแท่นบูชาซึ่งมนัสเสห์ได้สร้างไว้ในลานทั้งสองของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ กษัตริย์ทรงดึงลงมาให้หักเสียที่นั่น และทรงเหวี่ยงผงคลีของมันลงไปในลำธารขิดโรน
1พศด 7.21 บุตรชายของทาหัทคือศาบาด บุตรชายของศาบาดคือชูเธลาห์ กับเอเซอร์และเอเลอัด ซึ่งคนของกัทผู้ที่เกิดในเมืองนั้นได้ฆ่าเสีย เพราะเขาทั้งหลายลงมาปล้นสัตว์เลี้ยงของเขา
2พศด 7.1 เมื่อซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐานของพระองค์แล้ว ไฟได้ลงมาจากฟ้าสวรรค์ไหม้เครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาเสีย และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็เต็มพระนิเวศ
2พศด 7.3 เมื่อบรรดาชนอิสราเอลได้เห็นไฟลงมาและสง่าราศีของพระเยโฮวาห์อยู่บนพระนิเวศ เขาทั้งหลายก็กราบซบหน้าลงถึงพื้นหิน และได้นมัสการสรรเสริญพระเยโฮวาห์ว่า “เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์”
2พศด 12.7 เมื่อพระเยโฮวาห์ทรงเห็นว่าเขาทั้งหลายถ่อมตัวลง พระวจนะของพระเยโฮวาห์ได้มาถึงเชไมอาห์ว่า “เขาทั้งหลายได้ถ่อมตัวลงแล้ว เราจึงจะไม่ทำลายเขา แต่เราจะประสาทการช่วยให้พ้นแก่เขาบ้าง และพระพิโรธของเราจะไม่เทลงมาเหนือเยรูซาเล็มโดยมือของชิชัก
2พศด 23.20 ท่านได้นำผู้บังคับกองร้อย ขุนนาง ผู้ปกครองประชาชน และบรรดาประชาชนแห่งแผ่นดิน และท่านได้เชิญกษัตริย์ลงมาจากพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ไปทางประตูบนไปสู่พระราชสำนัก และเขาก็เชิญกษัตริย์ประทับบนพระราชบัลลังก์แห่งราชอาณาจักร
2พศด 24.18 และเขาได้ทอดทิ้งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา และปรนนิบัติบรรดาเสารูปเคารพและรูปเคารพ และพระพิโรธได้ลงมาเหนือยูดาห์และเยรูซาเล็มเพราะการละเมิดของเขานี้
2พศด 25.12 คนยูดาห์จับเป็นได้หนึ่งหมื่นคน และพาเขาไปที่ยอดหิน และทิ้งเขาทั้งหลายลงมาจากยอดหินนั้น เขาก็ตกมาแหลกเป็นชิ้นๆ
นหม 4.3 โทบีอาห์คนอัมโมนอยู่ข้างๆท่าน และเขาพูดว่า “เออ สิ่งที่เขากำลังสร้างอยู่นั้น ถ้าสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งวิ่งขึ้นไป มันจะพังกำแพงหินของเขาลงมา”
นหม 6.3 ข้าพเจ้าก็ใช้ผู้สื่อสารไปหาพวกเขาว่า “ข้าพเจ้ากำลังทำงานใหญ่ ลงมาไม่ได้ ทำไมจะให้งานหยุดเสียในขณะที่ข้าพเจ้าทิ้งงานลงมาหาท่าน”
นหม 9.13 พระองค์เสด็จลงมาบนภูเขาซีนายและตรัสกับเขาจากฟ้าสวรรค์ และประทานคำตัดสินอันชอบ และพระราชบัญญัติที่แท้ กฎเกณฑ์และพระบัญญัติที่ดีแก่เขา
โยบ 1.16 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “เพลิงของพระเจ้าตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ไหม้แกะและคนใช้และเผาผลาญเสียหมด และข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน”
โยบ 20.23 เมื่อกำลังจะเติมท้องของเขาให้เต็ม พระเจ้าจะทรงส่งความพิโรธอันดุเดือดมาถึงเขา และหลั่งลงมาบนเขาเมื่อเขารับประทานอาหารอยู่
โยบ 24.24 เขาทั้งหลายถูกยกย่องขึ้นครู่หนึ่งแต่ก็ต้องสิ้นไปและถูกนำลงมา เขาถูกเอาออกไปจากทางเหมือนคนอื่นๆ และถูกตัดออกเหมือนยอดรวงข้าว
โยบ 29.22 หลังจากที่ข้าพูดแล้ว เขาก็ไม่พูดอีกเลย และคำของข้าก็กลั่นลงมาเหนือเขา
โยบ 36.28 ซึ่งเมฆก็เทลงมา และหยดลงที่มนุษย์อย่างอุดม
โยบ 38.34 เจ้าตะเบ็งเสียงไปถึงเมฆได้ไหมล่ะ เพื่อน้ำมากมายจะลงมาคลุมเจ้า
โยบ 40.12 จงดูทุกคนที่เย่อหยิ่งและดึงเขาลงมา และเหยียบคนชั่วไว้ตรงที่ที่เขายืนอยู่นั้น
สดด 7.16 ความชั่วช้าของเขาจะกลับมาสุมศีรษะเขา และความทารุณของเขาจะลงมาบนกบาลของเขาเอง
สดด 14.2 พระเยโฮวาห์ทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดูบุตรทั้งหลายของมนุษย์ว่าจะมีคนใดบ้างที่เข้าใจที่เสาะแสวงหาพระเจ้า
สดด 18.9 พระองค์ทรงโน้มฟ้าสวรรค์ลงด้วยและเสด็จลงมา ความมืดทึบอยู่ใต้พระบาทของพระองค์
สดด 38.2 เพราะลูกธนูของพระองค์จมเข้าไปในข้าพระองค์ และพระหัตถ์ของพระองค์ลงมาเหนือข้าพระองค์
สดด 53.2 พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดูบุตรทั้งหลายของมนุษย์ว่าจะมีคนใดบ้างที่เข้าใจที่เสาะแสวงหาพระเจ้า
สดด 56.7 เขาจะหนีให้พ้นเพราะเหตุความชั่วช้าของเขาหรือ โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเหวี่ยงชนชาติทั้งหลายลงมาด้วยพระพิโรธ
สดด 57.3 พระองค์จะทรงใช้มาจากฟ้าสวรรค์ และช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากการเยาะเย้ยของผู้ที่อยากกลืนข้าพเจ้าเสีย เซลาห์ พระเจ้าจะทรงใช้ความเมตตาและความจริงลงมา
สดด 62.4 เขาคิดแต่เพียงจะผลักท่านลงมาจากยศของท่าน เขาพอใจในความเท็จ เขาอวยพรด้วยปากของเขา แต่เขาแช่งอยู่ในใจ เซลาห์
สดด 68.8 แผ่นดินโลกก็หวั่นไหว ท้องฟ้าก็เทฝนลงมาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ภูเขาซีนายโน้มสั่นสะเทือนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าคือพระเจ้าของอิสราเอล
สดด 68.9 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงส่งฝนอันอุดมลงมา เมื่อมรดกของพระองค์อ่อนระโหย พระองค์ทรงฟื้นขึ้นใหม่
สดด 74.6 แต่บัดนี้บรรดาไม้ที่แกะสลักทั้งสิ้นเขาก็พังลงมาเสียด้วยขวานและค้อน
สดด 77.17 เมฆเทน้ำลงมา ท้องฟ้าก็คะนองเสียง ลูกธนูของพระองค์ก็ปลิวไปปลิวมา
สดด 78.16 พระองค์ทรงกระทำให้ลำธารออกมาจากหิน ทรงกระทำให้น้ำไหลลงมาเหมือนแม่น้ำ
สดด 78.28 พระองค์ทรงให้มันตกลงมากลางค่ายของเขา และรอบที่อาศัยของเขา
สดด 85.11 ความจริงจะงอกขึ้นมาจากแผ่นดิน และความชอบธรรมจะมองลงมาจากฟ้าสวรรค์
สดด 102.19 เพราะพระองค์ทอดพระเนตรลงมาจากที่สูงอันบริสุทธิ์ของพระองค์ จากฟ้าสวรรค์พระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรแผ่นดินโลก
สดด 133.2 เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน
สดด 144.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงโน้มฟ้าสวรรค์ของพระองค์ และขอเสด็จลงมาแตะต้องภูเขาเพื่อให้มันมีควันขึ้น
สภษ 3.20 โดยความรู้ของพระองค์น้ำบาดาลก็ปะทุออกมา และเมฆก็หยาดน้ำค้างลงมา
สภษ 28.3 คนยากจนที่บีบบังคับคนยากจนก็เหมือนฝนที่ซัดลงมา แต่ไม่ให้อาหาร
สภษ 30.4 ใครเล่าได้ขึ้นไปยังสวรรค์หรือลงมา ใครเล่าได้รวบรวมลมไว้ในกำมือของท่าน ใครเล่าได้เอาเครื่องแต่งกายห่อห้วงน้ำไว้ ใครเล่าได้สถาปนาที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลกไว้ นามของผู้นั้นว่ากระไร และนามบุตรชายของผู้นั้นว่ากระไร ถ้าท่านบอกได้
ปญจ 11.3 ถ้าบรรดาเมฆมีฝนอยู่เต็ม มันก็จะเททั้งหมดลงมาบนแผ่นดินโลก และถ้าต้นไม้ล้มลงทางใต้หรือทางเหนือ มันล้มลงตรงไหน มันก็นอนอยู่ตรงนั้น
อสย 10.13 เพราะเขาว่า “ข้าได้กระทำการนี้ด้วยกำลังมือของข้า และด้วยสติปัญญาของข้า เพราะข้ามีความเข้าใจ ข้าได้รื้อเขตแดนของชนชาติทั้งหลาย และได้ปล้นทรัพย์สมบัติของเขา ข้าได้โยนบรรดาชาวเมืองลงมาอย่างคนกล้าหาญ
อสย 10.33 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยโฮวาห์จอมโยธา จะทรงตัดกิ่งไม้ด้วยกำลังอันน่าคร้ามกลัว ต้นที่สูงยิ่งจะถูกโค่นลงมา และต้นที่สูงจะต้องต่ำลง
อสย 14.12 โอ ลูซีเฟอร์เอ๋ย โอรสแห่งรุ่งอรุณ เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซิ เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติตกต่ำน่ะ
อสย 14.15 แต่เจ้าจะถูกนำลงมาสู่นรก ยังที่ลึกของปากแดน
อสย 22.19 เราจะผลักเจ้าออกไปจากตำแหน่งของเจ้า และเจ้าจะถูกดึงลงมาจากหน้าที่ของเจ้า
อสย 22.25 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ในวันนั้นหมุดที่ปักแน่นอยู่ในที่มั่นจะหลุด มันจะถูกโค่นลงและตกลงมา และภาระที่อยู่บนนั้นจะถูกขจัดออก เพราะพระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้แล้ว”
อสย 31.4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “ดังสิงโตหรือสิงโตหนุ่มคำรามอยู่เหนือเหยื่อของมัน และเมื่อเขาเรียกผู้เลี้ยงแกะหมู่หนึ่งมาสู้มัน มันจะไม่คร้ามกลัวต่อเสียงของเขาทั้งหลาย หรือย่อย่นต่อเสียงอึงคะนึงของเขา ดั่งนั้นแหละพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะเสด็จลงมาเพื่อสู้รบเพื่อภูเขาศิโยนและเพื่อเนินเขาของมัน
อสย 32.15 จนกว่าพระวิญญาณจะเทลงมาบนเราจากเบื้องบน และถิ่นทุรกันดารกลายเป็นสวนผลไม้ และสวนผลไม้นั้นจะถือว่าเป็นป่า
อสย 34.5 เพราะว่าดาบของเราจะได้ดื่มจนอิ่มในฟ้าสวรรค์ ดูเถิด มันจะลงมาเพื่อพิพากษาเอโดมและชนชาติที่เราสาปแช่งแล้ว
อสย 34.14 และสัตว์ป่าจะพบกับหมาจิ้งจอก เมษปิศาจจะร้องหาเพื่อนของมัน เออ ผีจะลงมาที่นั่นและหาที่ตัวพัก
อสย 42.25 ฉะนั้นพระองค์จึงทรงหลั่งความโกรธจัดลงมาบนเขา และหลั่งอานุภาพของสงคราม ทำให้เขาติดเพลิงอยู่โดยรอบ แต่เขาไม่รู้ มันไหม้เขา แต่เขามิได้เอาใจใส่
อสย 43.14 พระเยโฮวาห์ผู้ไถ่ของเจ้า องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า “เพื่อเห็นแก่เจ้า เราจะส่งไปยังบาบิโลน และเราจะนำบรรดาขุนนางของเขาลงมา คือพวกเคลเดียในกำปั่นที่เขาทั้งหลายเคยโห่ร้อง
อสย 45.8 ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงโปรยฝนมาจากเบื้องบน และให้ท้องฟ้าหลั่งความชอบธรรมลงมา ให้แผ่นดินโลกเปิดออก เพื่อความรอดจะได้งอกขึ้นมา และยังความชอบธรรมให้พลุ่งขึ้นมาด้วย เรา คือพระเยโฮวาห์ได้สร้างมัน”
อสย 47.1 โอ ธิดาพรหมจารีแห่งบาบิโลนเอ๋ย จงลงมานั่งในผงคลี โอ ธิดาแห่งชาวเคลเดียเอ๋ย จงนั่งลงบนพื้นดิน ไม่มีบัลลังก์ เพราะเขาจะไม่เรียกเจ้าอีกว่า แม่เนื้ออ่อนแม่เนื้อละเอียด
อสย 55.10 เพราะฝนและหิมะลงมาจากฟ้าสวรรค์ และไม่กลับที่นั่น เว้นแต่รดแผ่นดินโลก กระทำให้มันบังเกิดผลและแตกหน่อ อำนวยเมล็ดแก่ผู้หว่านและอาหารแก่ผู้กินฉันใด
อสย 63.15 ขอทอดพระเนตรลงมาจากฟ้าสวรรค์ และทรงเพ่งดูจากสถานบริสุทธิ์และรุ่งโรจน์ของพระองค์ ความกระตือรือร้นและอานุภาพของพระองค์อยู่ที่ไหน พระทัยกรุณาและพระเมตตาของพระองค์ต่อข้าพระองค์อยู่ที่ไหน ได้ถูกยึดไว้แล้วหรือ
อสย 64.1 โอ ถ้าหากว่าพระองค์จะทรงแหวกฟ้าสวรรค์เสด็จลงมาได้หนอ เพื่อภูเขาจะไหลลงมาต่อพระพักตร์พระองค์
อสย 64.3 เมื่อพระองค์ทรงกระทำสิ่งน่ากลัวที่พวกข้าพระองค์คาดไม่ถึง พระองค์เสด็จลงมา ภูเขาก็เคลื่อนที่ลงมาต่อพระพักตร์พระองค์
ยรม 7.20 ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด ความกริ้วและความโกรธของเราจะเทลงมาบนสถานที่นี้ บนมนุษย์และสัตว์ บนต้นไม้ในท้องทุ่งและบนพืชผลของแผ่นดิน จะเผาผลาญเสียและจะดับไม่ได้”
ยรม 21.13 โอ ชาวที่ลุ่มเอ๋ย ดูเถิด เราต่อสู้เจ้า ศิลาแห่งที่ราบเอ๋ย พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ พวกเจ้าผู้กล่าวว่า “ใครจะลงมาต่อสู้กับเรา หรือใครจะเข้ามาในที่อาศัยของเรา”
ยรม 36.12 ท่านได้ลงมาที่พระราชวังของกษัตริย์เข้าไปในห้องราชเลขา และดูเถิด เจ้านายทั้งสิ้นก็นั่งอยู่ที่นั่น คือเอลีชามาราชเลขา เดไลยาห์บุตรชายเชไมอาห์ เอลนาธันบุตรชายอัคโบร์ เกมาริยาห์บุตรชายชาฟาน เศเดคียาห์บุตรชายฮานันยาห์ และบรรดาเจ้านายทั้งสิ้น
ยรม 48.2 จะไม่มีการสรรเสริญโมอับอีกต่อไป ในเมืองเฮชโบนคนเหล่านั้นได้วางแผนปองร้ายต่อโมอับว่า ‘มาเถอะ ให้เราตัดมันออกเสียจากการเป็นประชาชาติ’ โอ เมืองมัดเมนเอ๋ย เจ้าจะถูกตัดลงมาเหมือนกัน ดาบจะไล่ตามเจ้าไป
ยรม 48.18 ธิดาผู้อาศัยเมืองดีโบนเอ๋ย จงลงมาจากสง่าราศีของเจ้าและนั่งด้วยความกระหาย เพราะผู้ทำลายโมอับจะมาสู้กับเจ้า เขาจะทำลายที่กำบังเข้มแข็งของเจ้า
ยรม 49.16 เพราะความหวาดเสียวของเจ้าได้หลอกลวงเจ้า ทั้งความเห่อเหิมแห่งใจของเจ้า โอ เจ้าผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในซอกหิน ผู้ยึดยอดภูเขาไว้เอ๋ย แม้เจ้าทำรังของเจ้าสูงเหมือนอย่างรังนกอินทรี เราจะฉุดเจ้าลงมาจากที่นั่น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 50.15 จงเปล่งเสียงโห่ร้องสู้เธอให้รอบข้าง เธอยอมแพ้แล้ว รากฐานของเธอล้มลงแล้ว กำแพงของเธอถูกพังลงมาแล้ว เพราะนี่เป็นการแก้แค้นของพระเยโฮวาห์ จงทำการแก้แค้นเธอ ทำกับเธออย่างที่เธอได้กระทำมาแล้ว
ยรม 51.25 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า โอ ภูเขาซึ่งทำลายเอ๋ย ดูเถิด เราต่อสู้เจ้า เจ้าผู้ทำลายแผ่นดินโลกทั้งสิ้น เราจะเหยียดมือของเราออกต่อสู้เจ้า และกลิ้งเจ้าลงมาจากหน้าผา และจะกระทำให้เจ้าเป็นภูเขาที่ถูกไหม้
ยรม 51.40 เราจะนำเขาทั้งหลายลงมาดุจลูกแกะไปยังการฆ่า เหมือนแกะผู้และแพะผู้
พคค 1.13 พระองค์ได้ทรงส่งเพลิงลงมาจากเบื้องบนให้เข้าไปเหนือกระดูกทั้งหลายของข้าพเจ้า และเพลิงนั้นก็มีชัยชนะต่อกระดูกเหล่านั้น พระองค์ได้ทรงกางตาข่ายไว้ดักเท้าของข้าพเจ้า พระองค์ได้ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าต้องหันกลับ พระองค์ได้ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าโดดเดี่ยวอ้างว้าง และอ่อนระอาตลอดทั้งวัน
พคค 1.16 เพราะเรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้าจึงร้องไห้ นัยน์ตาของข้าพเจ้า เออ นัยน์ตาของข้าพเจ้ามีน้ำตาไหลลงมา เพราะผู้ปลอบโยนที่ควรจะปลอบประโลมใจข้าพเจ้าก็อยู่ไกลจากข้าพเจ้า ลูกๆของข้าพเจ้าก็โดดเดี่ยวอ้างว้าง เพราะพวกศัตรูได้ชัยชนะ”
อสค 1.27 และข้าพเจ้าเห็นประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ เหมือนไฟที่บังไว้อยู่รอบข้าง เหนือสิ่งที่เหมือนบั้นเอวของผู้นั้นขึ้นไป และจากสิ่งที่เหมือนบั้นเอวลงมา ข้าพเจ้าเห็นเหมือนไฟ และมีความสุกใสที่อยู่รอบท่านผู้นั้น
อสค 8.1 ต่อมาเมื่อวันที่ห้า เดือนที่หก ในปีที่หก ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในเรือนของข้าพเจ้า และพวกผู้ใหญ่ของพวกยูดาห์นั่งอยู่หน้าข้าพเจ้า พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าลงมาบนข้าพเจ้า ณ ที่นั้น
อสค 11.5 พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ลงมาประทับบนข้าพเจ้า และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงกล่าวเถิดว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้าคิดดังนั้น และเรารู้สิ่งทั้งหลายที่เข้ามาในใจของเจ้า
อสค 13.11 จงกล่าวแก่ผู้ที่ฉาบปูนขาวนั้นว่า กำแพงนั้นจะพัง จะมีฝนตกท่วม และเจ้า โอ ลูกเห็บใหญ่เอ๋ย จะตกลงมา และลมพายุจะฉีกมัน
อสค 20.33 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะครอบครองเหนือเจ้าแน่นอนทีเดียว ด้วยมือที่มีฤทธิ์ และด้วยแขนที่เหยียดออก และด้วยความพิโรธที่เทลงมา
อสค 20.34 เราจะนำเจ้าออกมาจากชนชาติทั้งหลาย และจะรวบรวมเจ้าออกมาจากประเทศทั้งปวงซึ่งเจ้าต้องกระจัดกระจายกันไปอยู่นั้น ด้วยมือที่มีฤทธิ์ และด้วยแขนที่เหยียดออก และด้วยความพิโรธที่เทลงมา
อสค 21.14 บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เพราะฉะนั้นจงพยากรณ์เถิด จงตบมือและปล่อยให้ดาบลงมาสองครั้ง เออ สามครั้ง คือดาบสำหรับคนเหล่านั้นที่จะถูกฆ่า เป็นดาบของพวกผู้ยิ่งใหญ่ที่ถูกฆ่า ซึ่งได้เข้าไปในห้องส่วนตัว
อสค 26.16 แล้วเจ้านายทั้งสิ้นที่ทะเลจะก้าวลงมาจากบัลลังก์และเปลื้องเครื่องทรงออก และปลดเครื่องแต่งตัวที่ปักออกเสีย และจะเอาความสั่นกลัวมาเป็นเครื่องทรง จะประทับอยู่บนพื้นดินและสั่นอยู่ทุกขณะและหวาดกลัวเพราะเจ้า
อสค 27.29 บรรดาผู้ที่ถือกรรเชียง พวกลูกเรือและบรรดาต้นหนแห่งทะเลจะลงมาจากเรือของเขา มายืนอยู่บนฝั่ง
อสค 30.6 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ผู้เหล่านั้นที่สนับสนุนอียิปต์จะล่มจม และอานุภาพอันผยองของมันจะลงมา และจากหอคอยแห่งสิเอเน เขาจะล้มลงภายในประเทศนั้นด้วยดาบ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
อสค 31.18 ดังนี้ เจ้าเหมือนผู้ใดในเรื่องสง่าราศีและความเป็นใหญ่ท่ามกลางต้นไม้แห่งเอเดน เจ้าจะถูกนำลงมาพร้อมกับต้นไม้แห่งเอเดนไปยังโลกบาดาล เจ้าจะนอนอยู่ท่ามกลางผู้ที่มิได้เข้าสุหนัต พร้อมกับผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ นี่คือฟาโรห์และบรรดาหมู่นิกรทั้งสิ้นของท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้”
อสค 32.21 เหล่าชายฉกรรจ์ในบรรดาผู้ที่แกล้วกล้าจะพูดเรื่องของเขากับผู้ช่วยของเขาจากกลางนรกว่า ‘เขาได้ลงมาแล้ว เขานอนอยู่ คือคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ’
อสค 34.26 และเราจะกระทำให้เขากับสถานที่รอบๆเนินเขาของเราเป็นแหล่งพระพร เราจะส่งฝนลงมาให้ตามฤดูกาล เป็นห่าฝนแห่งพระพร
อสค 47.1 ภายหลังท่านก็นำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระนิเวศ และดูเถิด มีน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระนิเวศตรงไปทางทิศตะวันออก เพราะพระนิเวศหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และน้ำไหลลงมาจากข้างล่าง ทางด้านขวาของพระนิเวศ ทิศใต้ของแท่นบูชา
ดนล 4.13 ในนิมิตที่ผุดขึ้นในศีรษะของเราเมื่อเราอยู่บนที่นอน ดูเถิด เราได้เห็นผู้พิทักษ์ องค์บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์
ดนล 4.23 และที่กษัตริย์ทอดพระเนตรผู้พิทักษ์คือองค์บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ และพูดว่า ‘จงฟันต้นไม้และทำลายเสีย แต่จงปล่อยให้ตอรากติดอยู่ในดิน มีปลอกเหล็กและทองสัมฤทธิ์สวมไว้ ให้อยู่ท่ามกลางหญ้าอ่อนในทุ่งนา ให้เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ ให้เขามีส่วนอยู่กับสัตว์ป่า และปล่อยให้อยู่อย่างนั้นจนครบเจ็ดวาระ’
ดนล 4.31 เมื่อกษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดพระวาทะ ก็มีเสียงตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “โอ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เราลั่นวาจาไว้กับเจ้าแล้วว่า ราชอาณาจักรได้พรากไปเสียจากเจ้าแล้ว
ดนล 8.10 มันงอกขึ้นใหญ่โต แม้กระทั่งถึงบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ มันยังเหวี่ยงบริวารกับดวงดาวลงมายังพิภพเสียบ้าง แล้วเหยียบย่ำเสีย
ฮชย 7.12 เมื่อเขาไป เราจะกางข่ายของเราออกคลุมเขา เราจะดึงเขาลงมาเหมือนดักนกในอากาศ เราจะลงโทษเขาตามที่ชุมนุมชนได้ยินแล้ว
ยอล 2.23 บุตรทั้งหลายของศิโยนเอ๋ย จงยินดีเถิด จงเปรมปรีดิ์ในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงประทานฝนต้นฤดูอย่างพอสมควร พระองค์จะทรงเทฝนลงมาให้เจ้า คือฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดูในเดือนแรก
ยอล 3.2 เราจะรวบรวมบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น และนำเขาลงมาที่หุบเขาเยโฮชาฟัท และเราจะเข้าสู่การพิพากษากับเขาที่นั่นด้วยเรื่องประชาชนของเรา คืออิสราเอลมรดกของเรา เพราะว่าเขาได้กระจายชนชาติของเราไปท่ามกลางประชาชาติ และได้แบ่งแผ่นดินของเรา
ยอล 3.11 บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงรวมกันอยู่ล้อมรอบ จงรีบมาเถิด จงเรียกประชุมกันที่นั่น โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงนำนักรบของพระองค์ลงมา
อมส 3.5 ถ้าไม่มีเหยื่อล่อไว้ นกจะลงมาติดกับบนดินได้หรือ ถ้าไม่มีอะไรเข้าไปติดกับ กับจะลั่นขึ้นจากดินได้หรือ
อมส 9.2 แม้ว่าเขาจะขุดไปถึงนรก มือของเราจะจับเขามาจากที่นั่น ถ้าเขาจะปีนไปฟ้าสวรรค์ เราจะนำเขาลงมาจากที่นั่น
อบด 1.3 ความเห่อเหิมแห่งใจของเจ้าได้ล่อลวงเจ้าเอง เจ้าผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในซอกหิน ที่อาศัยของเจ้าอยู่สูง เจ้ารำพึงอยู่ในใจว่า “ผู้ใดจะให้เราลงมายังพื้นดิน”
อบด 1.4 แม้ว่าเจ้าเหินขึ้นไปสูงเหมือนนกอินทรี แม้ว่ารังของเจ้าอยู่ในหมู่ดวงดาวทั้งหลาย เราจะฉุดเจ้าลงมาจากที่นั่น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
มคา 1.3 เพราะ ดูเถิด พระเยโฮวาห์เสด็จออกจากสถานของพระองค์ และจะเสด็จลงมา ทรงเหยียบย่ำที่สูงของพิภพ
มคา 1.4 ภูเขาจะละลายไปภายใต้พระองค์ และหุบเขาจะถูกผ่าเหมือนขี้ผึ้งหน้าไฟ เหมือนน้ำที่เทลงมาตามที่ชัน
มคา 1.12 เพราะว่าชาวมาโรทคอยความดีอยู่ด้วยความรอบคอบ แต่ภัยพิบัติได้ลงมาจากพระเยโฮวาห์ถึงประตูเมืองเยรูซาเล็ม
ศฟย 2.2 ก่อนที่พระบัญชาสำเร็จ ก่อนที่วันนั้นผ่านไปดั่งแกลบที่ปลิว ก่อนที่พระพิโรธอันร้ายแรงแห่งพระเยโฮวาห์จะลงมาเหนือเจ้า ก่อนที่วันแห่งพระพิโรธของพระเยโฮวาห์จะลงมาเหนือเจ้า
มธ 1.17 ดังนั้น ตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดจึงเป็นสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ดาวิดลงมาจนถึงต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลนเป็นเวลาสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลนจนถึงพระคริสต์เป็นสิบสี่ชั่วคน
มธ 2.16 ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กทั้งหมดในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ถามพวกนักปราชญ์อย่างถ้วนถี่นั้น
มธ 3.16 และพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และดูเถิด ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาดุจนกเขาและสถิตอยู่บนพระองค์
มธ 8.1 เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขาแล้ว คนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์ไป
มธ 17.9 ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระเยซูตรัสกำชับเหล่าสาวกว่า “นิมิตซึ่งพวกท่านได้เห็นนั้น อย่าบอกเล่าแก่ผู้ใดจนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย”
มธ 24.17 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่าให้ลงมาเก็บข้าวของใดๆออกจากบ้านของตน
มธ 27.40 กล่าวว่า “เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด”
มธ 27.42 “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้ ถ้าเขาเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด และเราจะเชื่อเขา
มธ 28.2 ดูเถิด ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยิ่งนัก เพราะทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ลงมาจากสวรรค์ กลิ้งก้อนหินนั้นออกจากปากอุโมงค์ แล้วก็นั่งอยู่บนหินนั้น
มก 1.10 พอพระองค์เสด็จขึ้นมาจากน้ำ ในทันใดนั้นก็ทอดพระเนตรเห็นท้องฟ้าแหวกออก และพระวิญญาณดุจนกเขาเสด็จลงมาบนพระองค์
มก 2.4 เมื่อเขาเข้าไปให้ถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมาก เขาจึงรื้อดาดฟ้าหลังคาตรงที่พระองค์ประทับนั้น และเมื่อรื้อเป็นช่องแล้ว เขาก็หย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ลงมา
มก 3.22 พวกธรรมาจารย์ซึ่งได้ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มได้กล่าวว่า “ผู้นี้มีเบเอลเซบูลสิง” และ “ที่เขาขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจนายผีนั้น”
มก 9.9 เมื่อกำลังลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสกำชับเหล่าสาวกไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย
มก 13.15 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่าให้ลงมาเข้าไปเก็บข้าวของใดๆออกจากบ้านของตน
มก 15.30 จงช่วยตัวเองให้รอดและลงมาจากกางเขนเถิด”
มก 15.32 ให้เจ้าพระคริสต์ กษัตริย์แห่งอิสราเอล ลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถอะ เพื่อเราจะได้เห็นและเชื่อ” และสองคนนั้นที่ถูกตรึงไว้กับพระองค์ก็กล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์
มก 15.46 ฝ่ายโยเซฟได้ซื้อผ้าป่านเนื้อละเอียด และเชิญพระศพลงมาเอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ซึ่งได้สกัดไว้ในศิลา แล้วกลิ้งก้อนหินปิดปากอุโมงค์ไว้
ลก 1.35 ทูตสวรรค์จึงตอบเธอว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาบนเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอ เหตุฉะนั้นองค์บริสุทธิ์ที่จะบังเกิดมานั้นจะได้เรียกว่า พระบุตรของพระเจ้า
ลก 3.22 และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรูปสัณฐานเหมือนนกเขาได้ลงมาบนพระองค์ และพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”
ลก 5.19 เมื่อหาช่องเอาเข้ามาไม่ได้เพราะคนมาก เขาจึงขึ้นไปบนดาดฟ้าหลังคาบ้านหย่อนคนอัมพาตลงมา ทั้งที่นอนตามช่องกระเบื้องตรงกลางหมู่คนต่อพระพักตร์พระเยซู
ลก 6.17 แล้วพระองค์กับอัครสาวกก็ลงมายืน ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง พร้อมกับหมู่สาวกของพระองค์ และประชาชนเป็นอันมากซึ่งมาจากทั่วแคว้นยูเดีย กรุงเยรูซาเล็ม และจากตำบลชายทะเลในเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน เพื่อจะฟังพระองค์และให้พระองค์ทรงรักษาโรคของเขา
ลก 9.37 ต่อมาวันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์
ลก 9.54 และเมื่อสาวกของพระองค์ คือยากอบและยอห์นได้เห็นดังนั้น เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์พอพระทัยจะให้ข้าพระองค์ขอไฟลงมาจากสวรรค์ เผาผลาญเขาเสียอย่างเอลียาห์ได้กระทำนั้นหรือ”
ลก 14.9 และเจ้าภาพที่ได้เชิญท่านทั้งสองนั้นจะมาพูดกับท่านว่า ‘จงให้ที่นั่งแก่ท่านผู้นี้เถิด’ แล้วเมื่อนั้นท่านจะต้องเลื่อนลงมาที่ต่ำได้รับความอดสู
ลก 17.31 ในวันนั้นคนที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน และของของเขาอยู่ในบ้าน อย่าให้เขาลงมาเก็บของนั้นไป และคนที่อยู่ตามทุ่งนา อย่าให้เขากลับมาเหมือนกัน
ลก 19.5 เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสแก่เขาว่า “ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมา เพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในบ้านของท่านวันนี้”
ลก 19.6 แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความปรีดี
ยน 1.32 และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกเขาเสด็จลงมาจากสวรรค์ และทรงสถิตบนพระองค์
ยน 1.33 ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ ผู้ได้ทรงใช้ให้ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ พระองค์นั้นได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาและสถิตอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’
ยน 3.13 ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ผู้ทรงสถิตในสวรรค์นั้น
ยน 5.4 ด้วยมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมากวนน้ำในสระนั้นเป็นครั้งคราว เมื่อน้ำกระเพื่อมนั้น ผู้ใดก้าวลงไปในน้ำก่อน ก็จะหายจากโรคที่เขาเป็นอยู่นั้น
ยน 6.33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก”
ยน 6.38 เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา
ยน 6.41 พวกยิวจึงบ่นพึมพำกันเรื่องพระองค์เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์”
ยน 6.42 เขาทั้งหลายว่า “คนนี้เป็นเยซูลูกชายของโยเซฟมิใช่หรือ พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก เหตุใดคนนี้จึงพูดว่า ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’”
ยน 6.50 แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อให้ผู้ที่ได้กินแล้วไม่ตาย
ยน 6.51 เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลกนั้นก็คือเนื้อของเรา”
ยน 6.58 นี่แหละเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนกับมานาที่พวกบรรพบุรุษของท่านได้กินและสิ้นชีวิต ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์”
กจ 2.33 เหตุฉะนั้นเมื่อพระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ขึ้น และครั้นพระองค์ได้ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญา พระองค์ได้ทรงเทฤทธิ์เดชนี้ลงมา ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินและเห็นแล้ว
กจ 7.34 ดูเถิด เราได้เห็นความทุกข์ของชนชาติของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว และเราได้ยินเสียงคร่ำครวญของเขา และเราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอด จงมาเถิด เราจะใช้เจ้าไปยังประเทศอียิปต์’
กจ 8.16 (ด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จลงมาสถิตกับผู้ใด เป็นแต่เขาได้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูเจ้าเท่านั้น)
กจ 10.11 และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ผูกติดกันทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก
กจ 10.44 เมื่อเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับคนทั้งปวงที่ฟังพระวจนะนั้น
กจ 10.45 ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัตซึ่งเชื่อถือแล้ว คือคนที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ เพราะว่าของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย
กจ 11.5 “เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเมืองยัฟฟาและกำลังอธิษฐานก็เคลิ้มไป แล้วนิมิตเห็นภาชนะอย่างหนึ่ง เหมือนผ้าผืนใหญ่หย่อนลงมาทั้งสี่มุมจากฟ้ามายังข้าพเจ้า
กจ 11.15 เมื่อข้าพเจ้าตั้งต้นกล่าวข้อความนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จมาสถิตกับเขาทั้งหลาย เหมือนได้เสด็จลงมาบนพวกเราในตอนต้นนั้น
กจ 11.27 คราวนี้มีพวกศาสดาพยากรณ์ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองอันทิโอก
กจ 15.1 มีบางคนลงมาจากแคว้นยูเดียได้สั่งสอนพวกพี่น้องว่า “ถ้าไม่เข้าสุหนัตตามจารีตของโมเสส ท่านจะรอดไม่ได้”
กจ 16.8 แล้วท่านเหล่านั้นได้เดินทางผ่านแคว้นมิเซียลงมายังเมืองโตรอัส
กจ 19.6 เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาต่างๆและได้พยากรณ์ด้วย
กจ 19.35 เมื่อเจ้าหน้าที่ทะเบียนของเมืองนั้นยอมคล้อยตามจนประชาชนสงบลงแล้วเขาก็กล่าวว่า “ท่านชาวเอเฟซัสทั้งหลาย มีผู้ใดบ้างซึ่งไม่ทราบว่า เมืองเอเฟซัสนี้เป็นเมืองที่นมัสการพระแม่เจ้าอารเทมิสผู้ยิ่งใหญ่ และนมัสการรูปจำลองซึ่งตกลงมาจากดาวพฤหัสบดี
กจ 21.10 ครั้นเราอยู่ที่นั่นหลายวันแล้ว มีผู้พยากรณ์คนหนึ่งลงมาจากแคว้นยูเดียชื่ออากาบัส
กจ 24.22 เมื่อเฟลิกส์ได้ยินสิ่งเหล่านี้ ท่านก็เลื่อนการพิจารณาไว้ก่อน เพราะท่านได้รู้เรื่องของทางนั้นถี่ถ้วนแล้ว ท่านจึงกล่าวว่า “เมื่อลีเซียสนายพันลงมา เราจะชำระความของเจ้า”
กจ 25.7 ครั้นเปาโลเข้ามาแล้ว พวกยิวที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มก็ยืนล้อมไว้รอบ และกล่าวความอุกฉกรรจ์ใส่เปาโลหลายข้อ แต่พิสูจน์ไม่ได้
กจ 26.13 โอ ข้าแต่กษัตริย์ ในเวลาเที่ยงวันเมื่อกำลังเดินทางไป ข้าพระองค์ได้เห็นแสงสว่างกล้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ส่องลงมาจากท้องฟ้า ล้อมรอบข้าพระองค์กับคนทั้งหลายที่ไปกับข้าพระองค์
รม 10.6 แต่ความชอบธรรมที่มีความเชื่อเป็นมูลฐานว่าอย่างนี้ว่า “อย่านึกในใจของตัวว่า ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์” (คือจะเชิญพระคริสต์ลงมาจากเบื้องบน)
คส 3.6 เพราะสิ่งเหล่านี้ พระอาชญาของพระเจ้าก็ลงมาแก่บุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง
ฮบ 6.7 ด้วยว่าพื้นแผ่นดินที่ได้ดูดดื่มน้ำฝนที่ตกลงมาเนืองๆและงอกขึ้นมาเป็นต้นผักให้ประโยชน์แก่คนทั้งหลายที่ได้พรวนดินด้วยนั้น ก็รับพระพรมาจากพระเจ้า
ยก 1.17 ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
วว 3.12 ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะกระทำให้ผู้นั้นเป็นเสาในพระวิหารแห่งพระเจ้าของเรา และผู้นั้นจะไม่ออกไปภายนอกอีกเลย และเราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเราไว้ที่ผู้นั้น และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ของเราไว้ที่ผู้นั้นด้วย
วว 9.1 เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเป่าแตรขึ้น ข้าพเจ้าก็เห็นดาวดวงหนึ่งตกจากฟ้าลงมาที่แผ่นดินโลก และประทานลูกกุญแจสำหรับเหวที่ไม่มีก้นเหวให้แก่ดาวดวงนั้น
วว 10.1 และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากอีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆคลุมตัวท่าน และมีรุ้งบนศีรษะท่าน และหน้าท่านเหมือนดวงอาทิตย์ และเท้าท่านเหมือนเสาไฟ
วว 12.4 หางพญานาคตวัดดวงดาวในท้องฟ้าทิ้งลงมาที่แผ่นดินโลกเสียหนึ่งในสามส่วน และพญานาคนั้นยืนอยู่เบื้องหน้าผู้หญิงที่กำลังจะคลอดบุตร เพื่อจะกินบุตรเมื่อคลอดออกมาแล้ว
วว 12.9 พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่า พญามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก พญานาคและพวกทูตของมันก็ถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลก
วว 12.10 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังขึ้นในสวรรค์ว่า “บัดนี้ความรอด และฤทธิ์เดช และราชอาณาจักรแห่งพระเจ้าของเรา และอำนาจพระคริสต์ของพระองค์ได้มาถึงแล้ว เพราะว่าผู้ที่กล่าวโทษพวกพี่น้องของเราต่อพระพักตร์พระเจ้าของเรา ทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น ก็ได้ถูกผลักทิ้งลงมาแล้ว
วว 12.13 เมื่อพญานาคนั้นเห็นว่ามันถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลกแล้ว มันก็ข่มเหงหญิงที่คลอดบุตรชายนั้น
วว 13.13 สัตว์ร้ายนี้แสดงการมหัศจรรย์ใหญ่ จนกระทำให้ไฟตกลงมาจากฟ้าสู่แผ่นดินโลกประจักษ์แก่ตามนุษย์ทั้งหลาย
วว 16.21 และมีลูบเห็บใหญ่ตกลงมาจากฟ้าถูกคนทั้งปวง แต่ละก้อนหนักประมาณห้าสิบกิโลกรัม คนทั้งหลายจึงพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะภัยพิบัติที่เกิดจากลูกเห็บนั้น เพราะว่าภัยพิบัติจากลูกเห็บนั้นร้ายแรงยิ่งนัก
วว 18.1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ข้าพเจ้าก็ได้เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านมีอำนาจใหญ่ยิ่ง และรัศมีของท่านได้ทำให้แผ่นดินโลกสว่างไป
วว 20.1 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านถือลูกกุญแจของเหวที่ไม่มีก้นเหวนั้นและถือโซ่ใหญ่
วว 20.9 และคนเหล่านั้นยกขบวนออกไปทั่วแผ่นดินโลก และล้อมกองทัพของพวกวิสุทธิชน และเมืองอันเป็นที่รักนั้นไว้ แต่ไฟได้ตกลงมาจากพระเจ้าออกจากสวรรค์ เผาผลาญคนเหล่านั้น
วว 21.2 ข้าพเจ้า คือยอห์น ได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากพระเจ้าและจากสวรรค์ กรุงนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี
วว 21.10 ท่านได้นำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และได้สำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นเมืองใหญ่นั้น คือกรุงเยรูซาเล็มอันบริสุทธิ์ ซึ่งกำลังลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า

ลงมือ ( 11 )
กดว 8.26 แต่ให้เขาช่วยพี่น้องในพลับพลาแห่งชุมนุมดูแลการงาน ไม่ต้องลงมือทำเอง เจ้าจงกระทำเช่นนี้แก่คนเลวีเมื่อกำหนดงานให้เขา”
พบญ 13.9 ท่านจงประหารชีวิตเขาเสียเป็นแน่ ท่านควรลงมือก่อนในการทำโทษเขาถึงตาย และต่อไปให้บรรดาประชาชนร่วมมือด้วย
พบญ 15.10 ท่านจงให้เขา และเมื่อให้เขาแล้วอย่ามีจิตคิดเสียดาย เพราะเหตุนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่ท่านในบรรดากิจการทั้งสิ้นของท่าน ไม่ว่าท่านจะลงมือกระทำสิ่งใด
พบญ 17.7 ผู้ที่เป็นพยานต้องลงมือก่อนในการทำโทษเขาถึงตาย ต่อไปคนทั้งปวงจึงร่วมมือด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อท่านทั้งหลายจะกำจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน
1ซมอ 22.17 และกษัตริย์ก็รับสั่งแก่ทหารราบผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า “จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเยโฮวาห์เสีย เพราะว่ามือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้” แต่ข้าราชการผู้รับใช้ของกษัตริย์ไม่ยอมลงมือฟันปุโรหิตของพระเยโฮวาห์
1พศด 21.15 และพระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ไปยังเยรูซาเล็มเพื่อจะทำลายเสีย แต่เมื่อท่านจะลงมือทำลาย พระเยโฮวาห์ทรงทอดพระเนตร และพระองค์ทรงกลับพระทัยในเหตุร้ายนั้น และพระองค์ตรัสกับทูตสวรรค์ผู้ทำลายนั้นว่า “พอแล้ว ยับยั้งมือของเจ้าได้” ส่วนทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็กำลังยืนอยู่ที่ลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส
นหม 2.18 แล้วข้าพเจ้าบอกเขาถึงการที่พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับข้าพเจ้า เพื่อยังผลดี ทั้งพระวจนะซึ่งกษัตริย์ตรัสกับข้าพเจ้า และเขาทั้งหลายพูดว่า “ให้เราลุกขึ้นสร้างเถิด” เขาก็ปลงใจลงมือทำการดีนั้น
โยบ 41.8 ลงมือจับมันดู เมื่อคิดถึงการต่อสู้กับมันแล้ว เจ้าจะไม่คิดทำอีก
สภษ 11.21 ถึงแม้ใครลงมือช่วยก็ตาม ซึ่งคนชั่วร้ายจะไม่มีโทษนั้นหามิได้ แต่บรรดาเชื้อสายของคนชอบธรรมจะได้รับการช่วยให้พ้น
ดนล 11.30 เพราะว่ากองทัพเรือของเมืองคิทธิมจะมาปะทะกับเขา เขาจึงจะกลัวและกลับไป และจะเกรี้ยวกราดต่อพันธสัญญาบริสุทธิ์ และลงมือปฏิบัติงาน เขาจะหันกลับมาร่วมพันธมิตรกับบรรดาผู้ที่ทิ้งพันธสัญญาบริสุทธิ์
วว 10.4 เมื่อเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงลงมือจะเขียน แต่ข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “จงประทับตราปิดข้อความซึ่งฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้ร้องนั้น จงอย่าเขียนข้อความเหล่านั้น”

ลงรอยกัน ( 1 )
2คร 6.15 พระคริสต์กับเบลีอัลจะลงรอยกันอย่างไรได้ หรือคนที่เชื่อจะมีส่วนอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ

ลงราก ( 2 )
อสร 6.3 “ในปีต้นแห่งรัชกาลกษัตริย์ไซรัส กษัตริย์ไซรัสทรงออกกฤษฎีกาว่า เรื่องพระนิเวศของพระเจ้าที่เยรูซาเล็มว่า ‘ให้สร้างพระนิเวศนั้นขึ้นใหม่ คือที่ซึ่งเขานำเครื่องสัตวบูชามาถวาย ให้ลงรากมั่นคง ให้พระนิเวศสูงหกสิบศอกและกว้างหกสิบศอก
ลก 14.29 เกรงว่าเมื่อลงรากแล้ว และกระทำให้สำเร็จไม่ได้ คนทั้งปวงที่เห็นจะเริ่มเยาะเย้ยเขา

ลงแรง ( 7 )
ปญจ 5.16 นี่เป็นสิ่งสามานย์อันน่าสลดใจอีก คือเขาได้เกิดมาอย่างไรเขาก็ต้องไปอย่างนั้น เขาจะได้ประโยชน์อะไรเล่าที่เขาได้ลงแรงเพื่อลมแล้ง
ยรม 3.24 แต่ว่าสิ่งที่น่าอายนั้นได้กัดกินสิ่งทั้งปวงที่บรรพบุรุษของเราได้ลงแรงทำไว้ ตั้งแต่เรายังเป็นเด็กอนุชนอยู่ คือฝูงแกะ ฝูงวัว บุตรชาย และบุตรสาวทั้งหลายของเขา
ยนา 4.10 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เจ้าสงสารต้นละหุ่งนั้น ซึ่งเจ้ามิได้ลงแรงปลูก หรือมิได้กระทำให้มันเจริญ มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียวดุจกัน
ลก 19.21 เพราะข้าพเจ้ากลัวท่าน ด้วยว่าท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเก็บผลซึ่งท่านมิได้ลงแรง และเกี่ยวที่ท่านมิได้หว่าน’
ลก 19.22 ท่านจึงตอบเขาว่า ‘เจ้าผู้รับใช้ชั่ว เราจะปรับโทษเจ้าโดยคำของเจ้าเอง เจ้าก็รู้หรือว่าเราเป็นคนเข้มงวด เก็บผลซึ่งเรามิได้ลงแรง และเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน
ยน 4.38 เราใช้ท่านทั้งหลายไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านมิได้ลงแรงทำ คนอื่นได้ลงแรงทำ และท่านได้ประโยชน์จากแรงของเขา”

ลงอาชญา ( 1 )
ฮชย 11.9 เราจะไม่ลงอาชญาตามที่เรากริ้วจัด เราจะไม่กลับไปทำลายเอฟราอิมอีก เพราะเราเป็นพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ เราเป็นผู้บริสุทธิ์ท่ามกลางพวกเจ้า เราจะไม่เข้าในเมือง

ลงอาญา ( 2 )
ยรม 6.15 เขาละอายหรือเมื่อเขากระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลย เขาหน้าแดงด้วยความละอายไม่เป็นเลย เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราลงอาญาเขาทั้งหลาย เขาจะล้มคว่ำลง” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
รม 3.5 แต่ถ้าความอธรรมของเราเป็นเหตุให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า เราจะว่าอย่างไร จะว่าพระเจ้าทรงลงอาญาโดยไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ (ข้าพเจ้าพูดอย่างมนุษย์)

ลงเอย ( 2 )
นรธ 3.18 แม่สามีจึงว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงคอยอยู่ก่อน จนกว่าจะทราบว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร เพราะว่าท่านจะไม่หยุดเลยจนกว่าท่านจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จในวันนี้”
ดนล 12.8 ข้าพเจ้าได้ยินแต่ไม่เข้าใจ แล้วข้าพเจ้าจึงพูดว่า “โอ นายเจ้าข้า สิ่งเหล่านี้จะลงเอยอย่างไร”

ลด ( 20 )
ปฐก 8.1 พระเจ้าทรงระลึกถึงโนอาห์ บรรดาสัตว์ที่มีชีวิตและสัตว์ใช้งานทั้งปวงที่อยู่กับท่านในนาวา และพระเจ้าทรงทำให้ลมพัดมาเหนือแผ่นดินโลก และน้ำทั้งปวงก็ลดลง
ปฐก 8.3 น้ำก็ค่อยๆลดลงจากแผ่นดินโลก และล่วงไปร้อยห้าสิบวันแล้วน้ำก็ลดลง
ปฐก 8.5 น้ำก็ค่อยๆลดลงจนถึงเดือนที่สิบ ในเดือนที่สิบ ณ วันที่หนึ่งของเดือนนั้น ยอดภูเขาต่างๆโผล่ขึ้นมา
ปฐก 8.7 ท่านปล่อยกาตัวหนึ่ง ซึ่งมันบินไปมาจนกระทั่งน้ำลดแห้งจากแผ่นดินโลก
ปฐก 8.8 ท่านจึงปล่อยนกเขาตัวหนึ่งด้วยเพื่อจะรู้ว่าน้ำได้ลดลงจากพื้นแผ่นดินโลกหรือยัง
ปฐก 8.11 ในเวลาเย็นนกเขาก็กลับมายังท่าน ดูเถิด มันคาบใบมะกอกเทศเขียวสดมา ดังนั้นโนอาห์จึงรู้ว่า น้ำได้ลดลงจากแผ่นดินโลกแล้ว
ปฐก 24.14 ขอให้หญิงสาวคนที่ข้าพระองค์จะพูดกับนางว่า ‘โปรดลดเหยือกของนางลงให้ข้าพเจ้าดื่มน้ำ’ และนางนั้นจะว่า ‘เชิญดื่มเถิดและข้าพเจ้าจะให้น้ำอูฐของท่านกินด้วย’ ให้คนนั้นเป็นคนที่พระองค์ทรงกำหนดสำหรับอิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์ อย่างนี้ข้าพระองค์จะทราบได้ว่า พระองค์ทรงสำแดงความเมตตาแก่นายของข้าพระองค์”
ปฐก 24.18 นางตอบว่า “นายเจ้าข้า เชิญดื่มเถิด” แล้วนางก็รีบลดไหน้ำของนางลงมาถือไว้แล้วให้เขาดื่ม
ปฐก 24.46 นางก็รีบลดไหน้ำจากบ่าของนางและว่า ‘เชิญดื่มเถิด แล้วข้าพเจ้าจะให้น้ำแก่อูฐของท่านด้วย’ ข้าพเจ้าจึงดื่ม และนางก็ตักน้ำให้อูฐกินด้วย
อพย 8.15 แต่เมื่อฟาโรห์ทรงเห็นว่าความเดือดร้อนลดน้อยลงแล้ว ก็กลับมีพระทัยแข็งกระด้าง ไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสและอาโรน เหมือนที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้แล้ว
อพย 17.11 ต่อมาโมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้เปรียบเมื่อนั้น ท่านลดมือลงเมื่อไร พวกอามาเลขก็เป็นต่อเมื่อนั้น
อพย 21.10 ถ้าเขาหาหญิงอื่นมาเป็นภรรยา อย่าให้เขาลดอาหารการกิน เสื้อผ้าและประเพณีผัวเมียกับคนเก่า
ลนต 25.16 ถ้ามากปีก็ต้องเพิ่มราคาสูงขึ้น ถ้าน้อยปีเจ้าจงลดราคาให้ต่ำลง เพราะที่เขาขายนั้นเขาก็ขายตามจำนวนปีที่ปลูกพืช
สดด 55.19 พระเจ้าจะทรงสดับและลดเขาลง คือพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่โบราณกาล เซลาห์ เพราะเขาไม่เปลี่ยน เขาจึงไม่ยำเกรงพระเจ้า
สดด 107.38 โดยพระพรของพระองค์เขาทั้งหลายทวีผลมากยิ่ง และพระองค์มิได้ทรงให้วัวของเขาลดจำนวนลง
ปญจ 12.3 ในกาลเมื่อคนยามเฝ้าเรือนจะตัวสั่น และคนแข็งแรงจะคุดคู้ไป และหญิงโม่จะเลิกโม่ เพราะจำนวนลดน้อยลง และบรรดาผู้ที่เยี่ยมหน้าต่างจะมืดมัว
อสย 5.15 คนต่ำต้อยจึงจะกราบลง และคนเข้มแข็งก็ถ่อมตัวลง และนัยน์ตาของผู้ผยองก็ถูกลดต่ำ
อสค 16.27 ดูเถิด เราจึงเหยียดมือของเราออกต่อสู้เจ้า และลดอาหารส่วนแบ่งของเจ้าลง และมอบเจ้าไว้ให้แก่พวกที่เกลียดเจ้าให้เขากระทำตามใจชอบ คือบรรดาบุตรสาวคนฟีลิสเตีย ผู้ซึ่งละอายในความประพฤติอันลามกของเจ้า
กจ 27.17 เมื่อยกเรือขึ้นแล้ว เราก็เอาเชือกผูกโอบรอบเรือกำปั่นไว้ และเพราะกลัวว่าจะเกยสันดอนทราย จึงลดใบลงแล้วก็ปล่อยให้ไปตามกระแสลม

ลดเลี้ยว ( 1 )
สภษ 4.24 จงหันไปจากปากที่พูดคดเคี้ยว และให้ริมฝีปากลดเลี้ยวอยู่ห่างจากเจ้า

ลดหย่อน ( 4 )
อพย 5.11 เจ้าจงไปหาฟางมาเอง ตามแต่จะหามาได้เถิด แต่งานของเจ้าที่เกณฑ์นั้นก็ไม่ลดหย่อนให้เลย’”
อพย 5.19 นายกองชนชาติอิสราเอลก็เห็นว่าตนมีปัญหาแล้ว หลังจากถูกสั่งว่า “ไม่ให้ลดหย่อนจำนวนอิฐที่ถูกเกณฑ์ให้ทำทุกๆวันลง”
พบญ 7.10 และทรงตอบแทนผู้ที่เกลียดชังพระองค์ต่อหน้าตัวเขาเองด้วยทรงทำลายเขาเสีย พระองค์จะไม่ทรงลดหย่อนโทษผู้ที่เกลียดชังพระองค์ พระองค์จะทรงตอบแทนต่อหน้าตัวเขาเอง
กจ 24.23 เฟลิกส์สั่งนายร้อยให้คุมตัวเปาโลไว้ แต่ลดหย่อนการกวดขันบ้าง ไม่ให้ห้ามผู้ใดที่เป็นผู้ที่รู้จักกับท่านที่จะเข้ามาปรนนิบัติหรือเยี่ยมเยียน

ลน ( 1 )
กดว 31.23 ทุกสิ่งที่ทนไฟได้ เจ้าทั้งหลายจงลนเสียด้วยไฟ แล้วจะสะอาด ถึงอย่างไรก็จะต้องชำระล้างให้บริสุทธิ์ด้วยน้ำแห่งการแยกตั้งไว้ และทุกสิ่งที่ทนไฟไม่ได้ท่านต้องให้ผ่านน้ำนั้น

ล้น ( 16 )
กดว 11.20 แต่หนึ่งเดือนเต็ม จนเนื้อจะล้นออกมาทางรูจมูกของท่าน จนท่านเอือม เพราะท่านได้ทอดทิ้งพระเยโฮวาห์ผู้อยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย และได้ร้องไห้ต่อพระองค์กล่าวว่า “ไฉนเราจึงได้ออกมาจากอียิปต์”’”
โยบ 6.15 พี่น้องของข้าทรยศอย่างลำธาร อย่างลำธารที่น้ำไหลล้น
โยบ 20.17 เขาจะไม่ได้เห็นแม่น้ำลำธาร หรือน้ำเอ่อล้น คือลำธารที่มีน้ำผึ้งและนมข้นไหลอยู่
โยบ 22.16 ผู้ถูกฉวยเอาไปก่อนเวลากำหนดของเขา รากฐานของเขาถูกไหลล้นไปด้วยน้ำท่วม
โยบ 40.11 เทความกริ้วที่ล้นของเจ้านั้นออกมา จงดูทุกคนที่เย่อหยิ่ง และทำให้เขาตกต่ำลง
สดด 23.5 พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่
สดด 78.20 ดูเถิด พระองค์ทรงตีหินให้น้ำพุออกมา และลำธารก็ไหลล้น พระองค์จะประทานขนมปังด้วยได้หรือ หรือทรงจัดเนื้อให้ประชาชนของพระองค์ได้หรือ
สภษ 3.10 แล้วยุ้งของเจ้าจะเต็มด้วยความอุดม และบ่อย่ำองุ่นของเจ้าจะล้นด้วยน้ำองุ่นใหม่
อสย 8.7 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำน้ำแห่งแม่น้ำมาสู้เขาทั้งหลาย ที่มีกำลังและมากหลาย คือกษัตริย์แห่งอัสซีเรียและสง่าราศีทั้งสิ้นของพระองค์ และน้ำนั้นจะไหลล้นห้วยทั้งสิ้นของมัน และท่วมฝั่งทั้งสิ้นของมัน
อสย 66.12 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะนำสันติภาพมาถึงเธออย่างกับแม่น้ำ และสง่าราศีของบรรดาประชาชาติ เหมือนลำน้ำที่กำลังล้น และเจ้าทั้งหลายจะได้ดูด เธอจะอุ้มเจ้าไว้ที่บั้นเอวของเธอ และเขย่าขึ้นลงที่เข่าของเธอ
ยอล 2.24 ลานนวดข้าวจะมีข้าวอยู่เต็ม จะมีน้ำองุ่นและน้ำมันอยู่เต็มล้นบ่อเก็บ
ยอล 3.13 จงเอาเคียวเกี่ยวเถิด เพราะถึงฤดูเกี่ยวแล้ว เข้าไปซิ ย่ำเลย เพราะบ่อย่ำองุ่นกำลังเต็ม บ่อเก็บน้ำองุ่นล้นแล้ว เพราะว่าความชั่วของเขาทั้งหลายมากมายนัก
มลค 3.10 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงนำสิบชักหนึ่งเต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
ลก 6.38 จงให้ และท่านจะได้รับด้วย และในตักของท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ให้ เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด จะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น”
ลก 21.34 แต่จงระวังตัวให้ดี เกลือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดใจของท่านจะล้นไปด้วยอาการกินและดื่ม และด้วยการเมา และด้วยคิดกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านโดยไม่ทันรู้ตัว
2คร 8.2 เพราะว่าเมื่อคราวที่พวกเขาถูกทดลองอย่างหนักได้รับความทุกข์ยาก ความยินดีล้นพ้นของเขาและความยากจนแสนเข็ญของเขานั้น ก็ล้นออกมาเป็นใจโอบอ้อมอารีของเขา

ล้นพ้น ( 4 )
พคค 5.22 เว้นเสียแต่พระองค์ทรงสลัดทิ้งพวกข้าพระองค์เสียแล้ว และพระองค์ทรงกริ้วพวกข้าพระองค์อย่างล้นพ้น
ดนล 6.23 ฝ่ายกษัตริย์ก็โสมนัสในพระทัยเป็นล้นพ้น และทรงบัญชาให้นำดาเนียลขึ้นมาจากถ้ำ เขาจึงเอาดาเนียลขึ้นมาจากถ้ำ ไม่ปรากฏว่ามีอันตรายอย่างไรบนตัวท่านเลย เพราะท่านได้เชื่อในพระเจ้าของท่าน
2คร 8.2 เพราะว่าเมื่อคราวที่พวกเขาถูกทดลองอย่างหนักได้รับความทุกข์ยาก ความยินดีล้นพ้นของเขาและความยากจนแสนเข็ญของเขานั้น ก็ล้นออกมาเป็นใจโอบอ้อมอารีของเขา
1ปต 1.8 พระองค์ผู้ที่ท่านทั้งหลายยังไม่ได้เห็น แต่ท่านยังรักพระองค์อยู่ แม้ว่าขณะนี้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ท่านยังเชื่อและชื่นชม ด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้ และเต็มเปี่ยมด้วยสง่าราศี

ล้นหลาม ( 1 )
อสย 10.22 อิสราเอลเอ๋ย เพราะแม้ว่าชนชาติของเจ้าจะเป็นดั่งเม็ดทรายในทะเล คนที่เหลืออยู่เท่านั้นจะกลับมา การเผาผลาญซึ่งกำหนดไว้แล้วจะล้นหลามไปด้วยความชอบธรรม

ล้นเหลือ ( 2 )
อสย 55.7 ให้คนชั่วละทิ้งทางของเขา และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา ให้เขากลับยังพระเยโฮวาห์ เพื่อพระองค์จะทรงเมตตาเขา และยังพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ
พคค 3.32 แม้พระองค์ทรงกระทำให้เกิดความเศร้าโศก พระองค์จะทรงพระกรุณาตามความเมตตาอันล้นเหลือของพระองค์

ล้นไหล ( 1 )
สดด 45.1 จิตใจข้าพเจ้าล้นไหลด้วยแนวคิดดี ข้าพเจ้าเล่าบทประพันธ์ของข้าพเจ้าถวายกษัตริย์ ลิ้นของข้าพเจ้าเหมือนปากไก่ของอาลักษณ์ที่ชำนาญ

ลบ ( 32 )
อพย 29.33 ให้เขากินของซึ่งนำมาบูชาลบมลทิน เพื่อจะสถาปนาและชำระเขาเหล่านั้นให้บริสุทธิ์ แต่คนภายนอกอย่าให้รับประทาน เพราะเป็นของบริสุทธิ์
อพย 32.32 แต่บัดนี้ขอพระองค์โปรดยกโทษบาปของเขา ถ้าหาไม่ ขอพระองค์ทรงลบชื่อของข้าพระองค์เสียจากทะเบียนที่พระองค์ทรงจดไว้”
อพย 32.33 ฝ่ายพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ผู้ใดทำบาปต่อเราแล้วเราจะลบชื่อผู้นั้นเสียจากทะเบียนของเรา
ลนต 8.34 สิ่งที่ได้กระทำในวันนี้ พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาให้กระทำเพื่อลบมลทินของท่าน
กดว 5.8 แต่ถ้าคนนั้นไม่มีพี่น้องที่จะรับของคืนก็ให้ถวายของที่คืนนั้นแด่พระเยโฮวาห์ทางปุโรหิตรวมทั้งแกะผู้สำหรับบูชาลบมลทินบาป ซึ่งเขาต้องบูชาลบมลทินบาปของเขา
กดว 5.23 แล้วปุโรหิตจะเขียนคำสาปนี้ลงในหนังสือ และลบความนั้นออกเสียด้วยน้ำแห่งความขมขื่น
กดว 6.11 และปุโรหิตจะถวายบูชาตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป อีกตัวหนึ่งถวายเป็นเครื่องเผาบูชา ลบมลทินให้เขา เพราะเขาได้กระทำผิดเหตุเรื่องศพ และเขาต้องชำระศีรษะให้บริสุทธิ์ในวันนั้นอีก
กดว 8.12 แล้วคนเลวีจะเอามือของตนวางบนหัววัวผู้ทั้งสอง เจ้าจงเอาตัวหนึ่งมาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และอีกตัวหนึ่งให้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ เพื่อลบมลทินบาปของคนเลวี
กดว 27.4 เหตุใดจึงลบชื่อบิดาของเราจากครอบครัวของท่าน เพราะเหตุที่ท่านไม่มีบุตรชายเลย ขอให้เรามีกรรมสิทธิ์ที่ดินท่ามกลางพี่น้องบิดาของเราด้วย”
กดว 28.30 พร้อมกับลูกแพะผู้ตัวหนึ่งสำหรับลบมลทินของเจ้า
กดว 29.5 และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อลบมลทินบาปของเจ้า
พบญ 9.14 ขออย่าทักท้วงเรา ให้เราทำลายเขา และลบชื่อของเขาเสียจากใต้ฟ้า และเราจะตั้งเจ้าให้เป็นประชาชาติที่มีกำลังกว่าและใหญ่กว่าเขา’
พบญ 12.3 ท่านจงรื้อแท่นบูชาของเขา และทุ่มเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้แตกเป็นชิ้นๆ และเผาเสารูปเคารพของเขาเสียด้วยไฟ ท่านจงฟันทำลายรูปแกะสลักอันเป็นรูปพระของเขาเสีย และลบชื่อของพระเหล่านั้นออกเสียจากที่นั่น
พบญ 21.8 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลบมลทินบาปของประชาชนชาวอิสราเอลของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ ขออย่าทรงถือโทษประชาชนชาวอิสราเอลของพระองค์เนื่องด้วยโลหิตที่ไร้ความผิด’ และจะทรงอภัยโทษอันเนื่องจากโลหิตนี้ให้แก่เขา
พบญ 25.6 บุตรหัวปีที่เกิดมากับหญิงคนนั้นให้สืบชื่อพี่น้องคนที่ตายไปนั้น เพื่อชื่อของเขาจะมิได้ลบไปจากอิสราเอล
พบญ 29.20 พระเยโฮวาห์จะมิได้ทรงให้อภัยแก่คนนั้น แต่พระพิโรธของพระเยโฮวาห์และความหวงแหนของพระองค์จะพลุ่งขึ้นต่อชายคนนั้น และคำสาปแช่งทั้งสิ้นซึ่งเขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้จะตกอยู่เหนือเขา และพระเยโฮวาห์จะทรงลบชื่อของเขาเสียจากใต้ฟ้า
2ซมอ 21.3 ดาวิดตรัสถามคนกิเบโอนว่า “เราจะกระทำอะไรให้แก่พวกท่านได้ เราจะทำอย่างไรจึงจะลบมลทินบาปเสียได้ เพื่อพวกท่านจะได้อวยพรแก่มรดกของพระเยโฮวาห์ได้”
2พกษ 14.27 พระเยโฮวาห์มิได้ตรัสว่าจะทรงลบนามอิสราเอลเสียจากใต้ฟ้าสวรรค์ แต่พระองค์ทรงช่วยเขาโดยพระหัตถ์ของเยโรโบอัมโอรสของโยอาช
สดด 9.5 พระองค์ได้ทรงขนาบบรรดาประชาชาติ และทรงทำลายคนชั่ว แล้วทรงลบชื่อของเขาออกเสียเป็นนิตย์
สดด 51.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงแสดงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ตามความเมตตาของพระองค์ ขอทรงลบการละเมิดของข้าพระองค์ออกไปตามแต่พระกรุณาอันอุดมของพระองค์
สดด 51.9 ขอทรงเบือนพระพักตร์พระองค์จากบาปทั้งหลายของข้าพระองค์เสีย และทรงลบบรรดาความชั่วช้าของข้าพระองค์ให้สิ้น
สดด 69.28 ขอให้เขาถูกลบออกเสียจากทะเบียนผู้มีชีวิต อย่าให้เขาขึ้นทะเบียนไว้ในหมู่คนชอบธรรม
สภษ 16.6 ความเมตตาและความจริงได้ลบความชั่วช้า และคนหลีกความชั่วร้ายได้โดยความยำเกรงพระเยโฮวาห์
อสย 22.14 พระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงสำแดงในหูของข้าพเจ้าว่า “แน่ทีเดียวที่จะไม่ลบความชั่วช้าอันนี้ให้เจ้า จนกว่าเจ้าจะตาย” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้
อสย 27.9 เพราะฉะนั้นจะลบความชั่วช้าของยาโคบอย่างนี้แหละ และนี่เป็นผลเต็มขนาดในการปลดบาปของเขา คือเมื่อเขาทำศิลาทั้งสิ้นของแท่นบูชาให้เป็นเหมือนหินดินสอพองที่ถูกบดเป็นชิ้นๆ จะไม่มีเสารูปเคารพ หรือรูปเคารพตั้งอยู่ได้
ยรม 18.23 แม้กระนั้น ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงทราบการปองร้ายทั้งสิ้นของเขาที่จะฆ่าข้าพระองค์เสีย ขออย่าทรงลบความชั่วช้าของเขา หรือลบบาปของเขาเสียจากสายพระเนตรของพระองค์ ขอให้เขาถูกคว่ำลงต่อพระพักตร์พระองค์ ขอทรงจัดการเขาทั้งหลายในเวลาแห่งความกริ้วของพระองค์
อสค 16.63 เพื่อเจ้าจะจำได้และสนเท่ห์ และเพราะความละอายของเจ้า เจ้าจะไม่อ้าปากพูดอีก เมื่อเราลบมลทินบาปทุกสิ่งที่เจ้าได้กระทำมาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้”
ดนล 9.24 มีเจ็ดสิบสัปดาห์กำหนดไว้สำหรับชนชาติของท่าน และนครบริสุทธิ์ของท่าน เพื่อให้เสร็จสิ้นการละเมิด ให้บาปจบสิ้น และให้ลบความชั่วช้าเพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามา เพื่อประทับตราทั้งนิมิตและคำพยากรณ์ไว้ และเพื่อจะเจิมสถานบริสุทธิ์ที่สุด
คส 2.14 พระองค์ทรงลบกรมธรรม์ในข้อบัญญัติต่างๆที่ต่อต้านเราอยู่ ซึ่งขัดขวางเราและได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น โดยทรงตรึงไว้ที่กางเขนของพระองค์
วว 3.5 ผู้ใดมีชัยชนะ ผู้นั้นจะสวมเสื้อสีขาว และเราจะไม่ลบชื่อผู้นั้นออกจากหนังสือแห่งชีวิต แต่เราจะรับรองชื่อผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเรา และต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์

ลบล้าง ( 14 )
อพย 17.14 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเขียนข้อความต่อไปนี้ลงไว้ในหนังสือเพื่อเป็นที่ระลึก ทั้งเล่าให้โยชูวาฟังคือว่าเราจะลบล้างชื่อชนชาติอามาเลขไม่ให้ปรากฏในความทรงจำของพลไพร่ภายใต้ฟ้านี้เลย”
วนฉ 21.17 เขาทั้งหลายกล่าวว่า “ต้องมีมรดกให้แก่คนเบนยามินที่รอดตาย เพื่อว่าคนตระกูลหนึ่งจะมิได้ลบล้างเสียจากอิสราเอล
1ซมอ 3.14 เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิญาณต่อวงศ์วานของเอลีว่า ความชั่วช้าของวงศ์วานเอลีนั้นจะลบล้างเสียด้วยเครื่องสัตวบูชา และของถวายไม่ได้เป็นนิตย์”
นหม 4.5 ขออย่าทรงปกปิดความชั่วช้าของเขาไว้ และขออย่าลบล้างบาปของเขาทั้งหลายต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ เพราะเขาทั้งหลายได้ยั่วเย้าให้ทรงกริ้วต่อหน้าบรรดาผู้ก่อสร้าง”
นหม 13.14 “โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ และขออย่าทรงลบล้างการที่ดีทั้งหลายของข้าพระองค์ที่ข้าพระองค์ได้กระทำ เพื่อพระนิเวศของพระเจ้าของข้าพระองค์ และเพื่อการปรนนิบัติในที่นั้น”
อสย 14.27 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงมุ่งไว้แล้ว ผู้ใดเล่าจะลบล้างเสียได้ พระหัตถ์ของพระองค์ทรงเหยียดออก และผู้ใดจะหันให้กลับได้
อสย 43.25 เรา เราคือพระองค์นั้นผู้ลบล้างความละเมิดของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้
อสย 44.22 เราได้ลบล้างการละเมิดของเจ้าเสียเหมือนเมฆทึบ และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนเมฆ จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว
กจ 3.19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อเวลาชื่นใจยินดีจะได้มาจากพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
กจ 22.16 เดี๋ยวนี้ท่านจะรอช้าอยู่ทำไม จงลุกขึ้นรับบัพติศมา ด้วยออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย’
รม 3.25 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระองค์ในการที่พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น
รม 3.31 ถ้าเช่นนั้นเราลบล้างพระราชบัญญัติด้วยความเชื่อหรือ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย เรากลับสนับสนุนพระราชบัญญัติเสียอีก
ฮบ 2.17 เหตุฉะนั้นพระองค์จึงทรงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้กอปรด้วยพระเมตตาและความสัตย์ซื่อในการทุกอย่างซึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปทั้งหลายของประชาชน

ลบเลือน ( 1 )
สดด 109.14 ขอให้ความชั่วช้าของบรรพบุรุษของเขายังเป็นที่จำได้อยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ อย่าให้บาปของมารดาเขาลบเลือนไป

ลบหลู่ ( 23 )
ลนต 19.8 เพราะฉะนั้นทุกคนที่รับประทานเครื่องบูชานั้นต้องรับโทษความชั่วช้าของเขา เพราะเขาได้ลบหลู่สิ่งบริสุทธิ์ของพระเยโฮวาห์ ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากชนชาติของตน
ลนต 20.3 และเราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้นั้น และจะตัดเขาออกเสียจากท่ามกลางชนชาติของตน เพราะว่าเขาได้มอบเชื้อสายของเขาแก่พระโมเลค กระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทิน และลบหลู่นามบริสุทธิ์ของเรา
ลนต 22.2 “จงบอกอาโรนกับลูกหลานของเขาให้ออกห่างเสียจากสิ่งบริสุทธิ์ของคนอิสราเอล เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะมิได้ลบหลู่นามบริสุทธิ์ของเราด้วยสิ่งที่เขาทั้งหลายถวายแก่เรา เราคือพระเยโฮวาห์
ลนต 22.32 เจ้าอย่าลบหลู่นามบริสุทธิ์ของเรา แต่ให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ในหมู่คนอิสราเอล เราคือพระเยโฮวาห์ผู้ตั้งเจ้าไว้ให้บริสุทธิ์
1พศด 10.4 แล้วซาอูลรับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า “จงชักดาบออก แทงเราเสียให้ทะลุเถิด เกรงว่าคนที่มิได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะเข้ามาทำลบหลู่แก่เรา” แต่ผู้ถืออาวุธไม่ยอมกระทำตาม เพราะเขากลัวมาก ซาอูลจึงทรงชักดาบของพระองค์ออก ทรงล้มทับดาบนั้น
พคค 1.8 เยรูซาเล็มได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง เหตุฉะนี้เธอจึงถูกไล่ออก บรรดาคนที่เคยให้เกียรติเธอก็ลบหลู่เธอ เพราะเหตุเขาทั้งหลายเห็นความเปลือยเปล่าของเธอ เออ เธอเองได้ถอนใจยิ่งและหันหน้าของเธอไปเสีย
อสค 22.8 เจ้าได้ดูหมิ่นสิ่งบริสุทธิ์ของเรา และลบหลู่วันสะบาโตทั้งหลายของเรา
อสค 22.26 ปุโรหิตของเขาได้ละเมิดราชบัญญัติของเรา และได้ลบหลู่สิ่งบริสุทธิ์ของเรา เขามิได้แยกแยะความแตกต่างระหว่างสิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งสามัญ เขามิได้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างของมลทินและของสะอาด เขาได้ซ่อนนัยน์ตาของเขาไว้จากวันสะบาโตของเรา ดังนั้นแหละเราจึงถูกลบหลู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย
อสค 23.38 ยิ่งกว่านั้นอีก เธอได้กระทำเช่นนี้แก่เรา คือเธอได้กระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินในวันเดียวกัน และลบหลู่วันสะบาโตของเรา
อสค 24.21 จงกล่าวแก่วงศ์วานอิสราเอลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะลบหลู่สถานบริสุทธิ์ของเราอันเป็นความล้ำเลิศในอำนาจของเจ้า ความปรารถนาแห่งตาของเจ้า และสิ่งที่จิตวิญญาณของเจ้าห่วงใย บุตรชายหญิงของเจ้าซึ่งเจ้าทิ้งไว้เบื้องหลังจะล้มลงด้วยดาบ
อสค 25.3 จงกล่าวแก่คนอัมโมนว่า จงฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้ากล่าวว่า ‘อ้าฮา’ เหนือสถานบริสุทธิ์ของเราเมื่อที่นั้นถูกลบหลู่ และเหนือแผ่นดินอิสราเอลเมื่อแผ่นดินนั้นรกร้างไป และเหนือวงศ์วานยูดาห์เมื่อต้องตกไปเป็นเชลย
อสค 36.20 แต่เมื่อเขามายังบรรดาประชาชาติ เขาจะมาที่ไหนก็ตาม เขาได้ลบหลู่นามบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งคนกล่าวขวัญถึงเขาว่า ‘คนเหล่านี้เป็นประชาชนของพระเยโฮวาห์ ถึงกระนั้นเขายังต้องออกไปจากแผ่นดินของพระองค์’
อสค 36.21 แต่เรายังสงสารนามบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งวงศ์วานอิสราเอลได้ลบหลู่ท่ามกลางประชาชาติซึ่งเขาตกไปอยู่นั้น
อสค 36.22 เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่วงศ์วานอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เรากำลังจะกระทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่เจ้า แต่เพราะเห็นแก่นามบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งเจ้าได้ลบหลู่ท่ามกลางประชาชาติซึ่งเจ้าเข้าไปอยู่นั้น
อสค 36.23 และเราจะชำระให้นามที่ยิ่งใหญ่ของเราบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นนามที่ถูกลบหลู่ท่ามกลางประชาชาติ และซึ่งเจ้าได้ลบหลู่ท่ามกลางเขา และประชาชาติจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เมื่อเราสำแดงความบริสุทธิ์ของเราท่ามกลางเจ้าต่อหน้าต่อตาเขาทั้งหลาย
อมส 2.7 ซึ่งกระหายหาฝุ่นละอองแห่งแผ่นดินโลกบนศีรษะของคนจน และผลักคนที่ถ่อมใจออกเสียจากหนทางของเขา บุตรชายและบิดาของเขาเข้าหาหญิงคนเดียวกัน เพื่อลบหลู่นามบริสุทธิ์ของเรา
มลค 2.11 ยูดาห์ก็ประพฤติอย่างทรยศ การอันน่าสะอิดสะเอียนเขาก็ทำกันในอิสราเอลและในเยรูซาเล็ม เพราะว่ายูดาห์ได้ลบหลู่ความบริสุทธิ์ของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์ทรงรัก และได้ไปแต่งงานกับบุตรสาวของพระต่างด้าว
ยน 8.49 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราไม่มีผีสิง แต่ว่าเราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเรา และท่านลบหลู่เกียรติเรา
รม 2.23 ท่านผู้โอ้อวดในพระราชบัญญัติ ตัวท่านเองยังลบหลู่พระเจ้าด้วยการละเมิดพระราชบัญญัติหรือเปล่า
1ทธ 6.20 โอ ทิโมธีเอ๋ย จงรักษาสิ่งที่ได้ฝากไว้กับความไว้วางใจของท่าน จงหลีกเลี่ยงคำพูดที่ลบหลู่และไร้ประโยชน์ และการคัดค้านของสิ่งที่เรียกกันอย่างผิดๆว่าเป็นศาสตร์ความรู้
ทต 2.5 ให้มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนบริสุทธิ์ เอาใจใส่ในบ้านเรือน เป็นคนดี และเชื่อฟังสามีของตน เช่นนี้จึงจะไม่มีผู้ใดลบหลู่พระวจนะของพระเจ้าได้

ลม ( 153 )
ปฐก 8.1 พระเจ้าทรงระลึกถึงโนอาห์ บรรดาสัตว์ที่มีชีวิตและสัตว์ใช้งานทั้งปวงที่อยู่กับท่านในนาวา และพระเจ้าทรงทำให้ลมพัดมาเหนือแผ่นดินโลก และน้ำทั้งปวงก็ลดลง
ปฐก 41.6 แล้วดูเถิด มีรวงข้าวเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลัง เป็นข้าวลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออก
ปฐก 41.23 และดูเถิด ข้าวอีกเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลังเป็นข้าวเหี่ยวลีบ และเกรียมเพราะลมตะวันออก
ปฐก 41.27 วัวเจ็ดตัวซูบผอมน่าเกลียดที่ขึ้นมาภายหลังคือเจ็ดปี กับรวงข้าวเจ็ดรวงลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออกนั้น คือเจ็ดปีที่กันดารอาหาร
อพย 10.13 โมเสสจึงยื่นไม้เท้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ พระเยโฮวาห์ก็ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดมาเหนือพื้นแผ่นดินทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดวันนั้น ครั้นเวลารุ่งเช้า ลมตะวันออกก็พัดหอบฝูงตั๊กแตนมา
อพย 14.21 โมเสสยื่นมือของท่านออกไปเหนือทะเล และพระเยโฮวาห์ก็ทรงบันดาลให้ลมทิศตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง น้ำแยกออกจากกัน
อพย 15.8 โดยลมที่ระบายจากช่องพระนาสิกน้ำก็ท่วมสูงขึ้นไป น้ำก็ท่วมท้นสูงขึ้น น้ำก็แข็งขึ้นในท้องทะเล
อพย 15.10 พระองค์ทรงบันดาลให้ลมพัดมา น้ำทะเลก็ท่วมเขามิด เขาจมลงในกระแสน้ำอันไหลแรงนั้นเหมือนตะกั่ว
กดว 11.31 มีลมพัดมาจากพระเยโฮวาห์พาฝูงนกคุ่มมาจากทะเล ให้มาตกอยู่ที่ข้างค่ายรอบค่ายทุกทิศห่างออกไปเป็นหนทางเดินวันหนึ่ง สูงพ้นพื้นดินประมาณสองศอก
2ซมอ 22.11 พระองค์ทรงเครูบตนหนึ่ง และทรงเหาะไป เออ เห็นพระองค์เสด็จโดยปีกของลม
2ซมอ 22.16 แล้วก็เห็นท้องธาร รากฐานของพิภพก็ปรากฏแจ้งตามการขนาบของพระเยโฮวาห์ ตามที่ลมพวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์
1พกษ 18.45 และอยู่มาอีกครู่หนึ่งท้องฟ้าก็มืดไปด้วยเมฆและลม และมีฝนหนัก อาหับก็ทรงรถเสด็จไปยังเมืองยิสเรเอล
1พกษ 19.11 และพระองค์ตรัสว่า “จงออกไปเถิด ไปยืนอยู่บนภูเขาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์” และดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงผ่านไป และลมใหญ่อันแรงกล้าได้พัดพังภูเขา และทำให้หินแตกเป็นก้อนๆต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ แต่พระเยโฮวาห์มิได้สถิตในลมนั้น ภายหลังลมก็แผ่นดินไหว แต่พระเยโฮวาห์หาทรงสถิตในแผ่นดินไหวนั้นไม่
2พกษ 3.17 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าทั้งหลายจะไม่เห็นลมและจะไม่เห็นฝน ถึงอย่างไรก็ดีหุบเขานั้นจะมีน้ำเต็มไปหมด เพื่อเจ้าจะได้ดื่ม ทั้งเจ้า ฝูงสัตว์เลี้ยงและสัตว์ใช้ของเจ้า’
โยบ 4.9 เขาพินาศด้วยลมหายใจของพระเจ้า และเขาต้องสิ้นไปด้วยลมแห่งพระนาสิกของพระองค์
โยบ 6.26 ท่านคิดว่าท่านติเตียนถ้อยคำได้หรือ เมื่อคำปราศรัยของคนสิ้นหวังเป็นแต่ลม
โยบ 13.25 พระองค์จะทรงให้ใบไม้ที่ถูกลมพัดหักเสียหรือ และจะทรงไล่ติดตามฟางแห้งหรือ
โยบ 15.2 “ควรที่คนมีปัญญาจะตอบด้วยความรู้ลมๆแล้งๆหรือ และบรรจุลมตะวันออกให้เต็มท้อง
โยบ 15.30 เขาจะหนีจากความมืดไม่พ้น เปลวเพลิงจะทำให้หน่อของเขาแห้งไป และโดยลมพระโอษฐ์เขาจะต้องจากไปเสีย
โยบ 21.18 เขาเป็นเหมือนฟางข้าวหน้าลม และเป็นเหมือนแกลบที่พายุพัดไป
โยบ 27.21 ลมตะวันออกหอบเขาขึ้น และเขาก็จากไป เหมือนพายุมันก็กวาดเขาออกไปจากที่ของเขา
โยบ 28.25 ในเมื่อพระองค์ทรงกำหนดน้ำหนักให้แก่ลม และทรงกะน้ำด้วยเครื่องตวง
โยบ 30.15 ความสยดสยองต่างๆหันมาใส่ข้า จิตใจของข้าถูกเขาติดตามอย่างลมตาม และความเจริญรุ่งเรืองของข้าสูญไปเสียอย่างเมฆ
โยบ 30.22 พระองค์ทรงชูข้าพระองค์ขึ้นเหนือลม และทรงให้ข้าพระองค์ขี่ลม และทรงให้ตัวข้าพระองค์ละลายไป
โยบ 37.9 ลมหมุนออกมาจากห้องทิศใต้ และความหนาวมาจากลมเหนือ
โยบ 37.17 ตัวท่าน ผู้ที่เสื้อผ้าของตนร้อนเมื่อแผ่นดินโลกอบอ้าวและชื้นเพราะลมทิศใต้
โยบ 37.21 บัดนี้มนุษย์เพ่งดูฟ้าแลบอันสุกใสแห่งเมฆไม่ได้ เมื่อลมผ่านไปกวาดให้กระจ่าง
โยบ 38.24 ทางที่จะไปสู่ที่ซึ่งความสว่างแจกจ่ายออกไปนั้นอยู่ที่ไหน หรือที่ซึ่งลมตะวันออกกระจายไปบนแผ่นดินโลกอยู่ที่ไหน
โยบ 41.16 มันอยู่ชิดกันมาก ไม่มีลมผ่านเข้าไปได้
สดด 1.4 คนอธรรมไม่เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเหมือนแกลบซึ่งลมพัดกระจายไป
สดด 11.6 พระองค์จะทรงเทบ่วงแร้วต่างๆ เพลิงและไฟกำมะถันใส่คนชั่ว ลมที่แผดเผาจะเป็นส่วนถ้วยของเขาเหล่านั้น
สดด 18.10 พระองค์ทรงเครูบตนหนึ่ง แล้วทรงเหาะไป พระองค์ทรงเหาะไปโดยปีกของลมอย่างรวดเร็ว
สดด 18.15 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แล้วก็เห็นก้นทะเลตลอดจนรากฐานของพิภพก็ปรากฏแจ้ง เมื่อพระองค์ทรงขนาบทะเลด้วยลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์
สดด 18.42 ข้าพระองค์จึงทุบเขาแหลกละเอียดอย่างผงคลีต่อหน้าลม ข้าพระองค์จึงโยนเขาออกไปเหมือนโคลนตามถนน
สดด 33.6 โดยพระวจนะของพระเยโฮวาห์ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมา กับบริวารทั้งปวงก็ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์
สดด 35.5 ขอให้เขาเป็นเหมือนแกลบต่อหน้าลม และขอให้ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ขับไล่ตามเขาไป
สดด 48.7 พระองค์ทรงฟาดทำลายกำปั่นแห่งทารชิชด้วยลมตะวันออก
สดด 55.8 ข้าจะได้รีบหนีไปจากลมดุเดือดและพายุ”
สดด 78.26 พระองค์ทรงกระทำให้ลมตะวันออกพัดในฟ้าสวรรค์ และทรงนำลมใต้ออกมาด้วยฤทธิ์ของพระองค์
สดด 78.39 พระองค์ทรงระลึกว่าเขาเป็นเพียงแต่เนื้อหนัง เป็นลมที่ผ่านไปแล้วมิได้กลับมาอีก
สดด 83.13 โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงทำเขาให้เหมือนกงจักร เหมือนแกลบต่อหน้าลม
สดด 103.16 เพราะลมพัดผ่านมันไป มันก็สูญเสีย และสถานที่ของมันไม่รู้จักมันอีก
สดด 104.3 ผู้ทรงวางคานของที่ประทับอันสูงของพระองค์ไว้ในน้ำ ผู้ทรงใช้เมฆเป็นราชรถ ผู้ทรงดำเนินไปบนปีกของลม
สดด 135.7 พระองค์ทรงกระทำให้เมฆลอยขึ้นมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ทรงกระทำฟ้าแลบให้แก่ฝนและทรงนำลมออกมาจากคลังของพระองค์
สดด 147.18 พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์ออกไป และละลายมันเสีย พระองค์ทรงให้ลมพัด และน้ำก็ไหล
สภษ 11.29 บุคคลผู้ทำให้ครัวเรือนของเขาลำบากจะรับลมเป็นมรดก และคนโง่จะเป็นคนใช้ของคนที่มีใจฉลาด
สภษ 25.14 คนที่อวดว่าจะให้ของกำนัลแต่มิได้ให้ ก็เหมือนเมฆและลมที่ไม่มีฝน
สภษ 25.23 ลมเหนือไล่ฝนไปเสียฉันใด สีหน้าที่โกรธแค้นก็ไล่ลิ้นที่ส่อเสียดไปเสียฉันนั้น
สภษ 27.16 ผู้ใดที่จะยับยั้งเธอก็เหมือนยับยั้งลมหรือกอบน้ำมันด้วยมือขวา
สภษ 30.4 ใครเล่าได้ขึ้นไปยังสวรรค์หรือลงมา ใครเล่าได้รวบรวมลมไว้ในกำมือของท่าน ใครเล่าได้เอาเครื่องแต่งกายห่อห้วงน้ำไว้ ใครเล่าได้สถาปนาที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลกไว้ นามของผู้นั้นว่ากระไร และนามบุตรชายของผู้นั้นว่ากระไร ถ้าท่านบอกได้
ปญจ 1.6 ลมพัดไปทางใต้ แล้วเวียนกลับไปทางเหนือ ลมพัดเวียนไปเวียนมา แล้วลมพัดกลับตามทางเวียนของมัน
ปญจ 11.4 ผู้ใดเฝ้าสังเกตลมก็จะไม่หว่านพืช และผู้ที่มองเมฆก็จะไม่เก็บเกี่ยว
พซม 4.16 โอ ลมเหนือเอ๋ย จงตื่นขึ้นเถิด ลมใต้เอ๋ย จงพัดมาเถิด จงพัดโชยสวนของดิฉัน เพื่อของหอมในสวนนั้นจะหอมฟุ้งออกไป ขอให้ที่รักของดิฉันเข้ามาในสวนของเขา และรับประทานผลไม้อันโอชาเถิด
อสย 7.2 เมื่อเขาไปบอกที่ราชสำนักของดาวิดว่า “ซีเรียเป็นพันธมิตรกับเอฟราอิมแล้ว” พระทัยของพระองค์และจิตใจของประชาชนของพระองค์ก็สั่นเหมือนต้นไม้ในป่าสั่นอยู่หน้าลม
อสย 11.4 แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่งแผ่นดินโลกด้วยความเที่ยงตรง ท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน และท่านจะประหารคนชั่วด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน
อสย 11.15 และพระเยโฮวาห์จะทรงทำลายลิ้นของทะเลแห่งอียิปต์อย่างสิ้นเชิง และจะทรงโบกพระหัตถ์เหนือแม่น้ำนั้น ด้วยลมอันแรงกล้าของพระองค์ และจะตีมันให้แตกเป็นธารน้ำเจ็ดสาย และให้คนเดินข้ามไปได้โดยที่เท้าไม่เปียกน้ำ
อสย 17.13 ชนชาติทั้งหลายครืนๆเหมือนเสียงครืนๆของน้ำเป็นอันมาก แต่พระเจ้าจะทรงขนาบไว้ และมันจะหนีไปไกลเสีย จะถูกไล่ไปเหมือนแกลบต้องลมบนภูเขา เหมือนพืชแห้งปลิวไปต่อหน้าลมหมุน
อสย 25.4 เพราะพระองค์ได้ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนยากจน ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนขัดสนเมื่อเขาทุกข์ใจ ทรงเป็นที่ลี้ภัยจากพายุ และเป็นร่มกันความร้อน เมื่อลมของผู้ที่ทารุณก็เหมือนพายุพัดกำแพง
อสย 26.18 ข้าพระองค์มีครรภ์ ข้าพระองค์บิดตัว เป็นเหมือนข้าพระองค์คลอดลม ข้าพระองค์มิได้ทำการช่วยให้พ้นในแผ่นดินโลก และชาวพิภพมิได้ล้มลง
อสย 27.8 ด้วยการขับไล่ ด้วยการกวาดไปเป็นเชลย พระองค์ทรงต่อสู้แย้งกับเขาพระองค์ ทรงกวาดเขาไปด้วยลมดุเดือดของพระองค์ในวันแห่งลมตะวันออก
อสย 32.2 และผู้หนึ่งจะเหมือนที่กำบังจากลม เป็นที่คุ้มให้พ้นจากพายุฝน เหมือนธารน้ำในที่แห้ง เหมือนร่มเงาศิลามหึมาในแผ่นดินที่อ่อนเปลี้ย
อสย 41.16 เจ้าจะซัดมันและลมจะพัดมันไปเสีย และลมหมุนจะกระจายมัน และเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเยโฮวาห์ เจ้าจะอวดอ้างในองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
อสย 41.29 ดูเถิด พระเหล่านั้นไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น บรรดากิจการของมันก็เป็นความว่างเปล่า รูปเคารพหล่อของมันก็เป็นแต่ลมและความยุ่งเหยิง
อสย 57.13 เมื่อเจ้าร้องออกมาก็ให้สิ่งที่เจ้าสะสมไว้ช่วยเจ้าให้พ้นซี แต่ลมจะพัดมันไปเสียหมด เพียงลมหายใจจะหอบมันออกไป แต่ผู้ที่วางใจในเราจะได้แผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ และจะได้ภูเขาบริสุทธิ์ของเราเป็นมรดก
อสย 64.6 ข้าพระองค์ทุกคนได้กลายเป็นเหมือนสิ่งที่ไม่สะอาด และการกระทำอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้นเหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก ข้าพระองค์ทุกคนเหี่ยวลงอย่างใบไม้ และความชั่วช้าของข้าพระองค์ทั้งหลายได้พัดพาข้าพระองค์ไปเหมือนลม
ยรม 2.24 เหมือนลาป่าที่คุ้นเคยกับถิ่นทุรกันดาร ได้สูดลมด้วยความอยากอันรุนแรงของมัน ใครจะระงับความใคร่ของมันได้ บรรดาที่แสวงหามันจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อถึงเดือนที่กำหนดของมันจะพบมันเอง
ยรม 4.11 “ในครั้งนั้น เขาจะกล่าวแก่ชนชาตินี้ และแก่กรุงเยรูซาเล็มว่า ‘ลมร้อนจากที่สูงในถิ่นทุรกันดารพัดมาสู่บุตรสาวประชาชนของเรา ไม่ใช่จะมาฝัดหรือมาชำระ
ยรม 5.13 ผู้พยากรณ์ก็จะเป็นแต่ลมๆ พระวจนะไม่มีในคนเหล่านั้น ขอให้เป็นอย่างนั้นแก่เขาเถิด”
ยรม 10.13 เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงก็มีเสียงน้ำคะนองในท้องฟ้า และทรงกระทำให้หมอกลอยขึ้นจากปลายพิภพ ทรงกระทำฟ้าแลบเพื่อฝน และทรงนำลมมาจากพระคลังของพระองค์
ยรม 13.24 ฉะนั้นเราจะกระจายเขาทั้งหลายไปเหมือนแกลบที่ถูกลมจากถิ่นทุรกันดาร
ยรม 18.17 เราจะให้เขากระจัดกระจายออกไปดุจถูกพัดด้วยลมตะวันออกต่อหน้าศัตรู เราจะหันหลังให้เขา ไม่ใช่หันหน้าให้ ในวันแห่งความหายนะของเขานั้น”
ยรม 22.22 ลมจะทำลายผู้เลี้ยงแกะทั้งสิ้นของเจ้า และบรรดาคนรักของเจ้าจะไปเป็นเชลย แล้วเจ้าจะอับอายขายหน้าเป็นแน่เนื่องด้วยความชั่วทั้งสิ้นของเจ้า
ยรม 49.32 อูฐของเขาทั้งหลายจะกลายเป็นของที่ปล้นมาได้ และฝูงวัวอันมากมายของเขาจะเป็นของที่ริบมา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะกระจายเขาไปทุกทิศลม คือคนที่อยู่ในมุมที่ไกลที่สุด และเราจะนำภัยพิบัติมาจากทุกด้านของเขา
ยรม 49.36 และเราจะนำลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าทั้งสี่ส่วนมาสู้เอลาม และเราจะกระจายเขาไปตามลมเหล่านั้นทั้งหมด จะไม่มีประชาชาติใดซึ่งผู้ถูกขับไล่ออกไปจากเอลามจะมาไม่ถึง
ยรม 51.16 เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงก็มีเสียงน้ำคะนองในท้องฟ้า และทรงกระทำให้หมอกลอยขึ้นจากปลายพิภพ ทรงกระทำฟ้าแลบเพื่อฝน และทรงนำลมมาจากพระคลังของพระองค์
อสค 5.2 เมื่อวันการล้อมครบถ้วนแล้ว เจ้าจงเผาหนึ่งในสามส่วนเสียในไฟที่กลางเมือง และเอาหนึ่งในสามอีกส่วนหนึ่งมา เอามีดฟันให้รอบเมือง และหนึ่งในสามอีกส่วนหนึ่งนั้น เจ้าจงให้ลมพัดกระจายไป และเราจะชักดาบออกตามไป
อสค 5.10 เพราะฉะนั้นบิดาจะกินบุตรชายของตนท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย และบรรดาบุตรชายจะกินบรรดาบิดาของเขาทั้งหลาย และเราจะพิพากษาลงโทษเจ้า ผู้ใดในพวกเจ้าที่เหลืออยู่ เราจะให้กระจัดกระจายไปตามลมทุกทิศานุทิศ
อสค 5.12 พวกเจ้าหนึ่งในสามส่วนจะล้มตายเพราะโรคระบาด และถูกผลาญด้วยการกันดารอาหารในหมู่พวกเจ้า อีกหนึ่งในสามส่วนจะล้มตายด้วยดาบอยู่รอบเจ้า และอีกหนึ่งในสามส่วนเราจะให้กระจัดกระจายไปตามลมทุกทิศานุทิศ และเราจะชักดาบออกไล่ตามเขาทั้งหลายไป
อสค 12.14 บรรดาผู้ที่อยู่รอบท่านนั้น เราจะกระจายเขาไปตามลมทุกทิศานุทิศ รวมทั้งผู้ช่วยและบรรดากองทัพของท่านด้วย และเราจะชักดาบออกไล่ตามเขาไป
อสค 17.10 ดูเถิด เมื่อมันย้ายไปปลูก เถานั้นก็งอกงามดีหรือ เมื่อลมทิศตะวันออกพัดถูกมันเข้า มันจะไม่เหี่ยวแห้งไปหรือ มันจะเหี่ยวแห้งไปถึงร่องที่มันเกิดมานั้นไม่ใช่หรือ”
อสค 17.21 และบรรดาผู้ลี้ภัยกับกองทัพทั้งสิ้นของเขานั้นจะล้มลงด้วยดาบ และผู้ที่เหลืออยู่จะกระจายไปตามลมทุกทิศานุทิศ และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์ที่ได้ลั่นวาจาไว้แล้ว”
อสค 19.12 แต่ว่าเธอถูกถอนออกด้วยความเกรี้ยวกราด เธอถูกทิ้งลงยังพื้นดิน ลมตะวันออกกระทำให้ผลของเธอเหี่ยวไป แขนงที่แข็งแรงก็หักเสียและเหี่ยวไป ไฟก็ไหม้เสีย
อสค 27.26 ฝีกรรเชียงของเจ้านำเจ้าออกไปที่ในทะเลลึก ลมตะวันออกทำให้เจ้าอับปางในท้องทะเล
อสค 37.9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงพยากรณ์แก่ลมหายใจ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์เถิด จงกล่าวแก่ลมหายใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ ลมหายใจเอ๋ย จงมาจากลมทั้งสี่มาหายใจเข้าไปในคนที่ถูกฆ่าเหล่านี้เพื่อให้เขามีชีวิต”
ดนล 2.35 แล้วส่วนเหล็ก ส่วนดิน ส่วนทองสัมฤทธิ์ ส่วนเงินและส่วนทองคำ ก็แตกเป็นชิ้นๆพร้อมกัน กลายเป็นเหมือนแกลบจากลานนวดข้าวในฤดูร้อน ลมก็พัดพาเอาไป จึงหาร่องรอยไม่พบเสียเลย แต่ก้อนหินที่กระทบปฏิมากรนั้นกลายเป็นภูเขาใหญ่จนเต็มพิภพ
ดนล 7.2 ดาเนียลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นในนิมิตเวลากลางคืน และดูเถิด ลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์ได้ปลุกปั่นทะเลใหญ่นั้น
ดนล 8.8 แล้วแพะผู้ก็พองตัวขึ้นอย่างยิ่ง แต่เมื่อมันแข็งแรง เขาใหญ่ของมันก็หัก มีเขาเด่นอีกสี่เขางอกขึ้นแทนที่ หันไปทางทิศลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์
ดนล 11.4 และเมื่อท่านขึ้นมาแล้ว ราชอาณาจักรของท่านจะแตกและแบ่งแยกออกไปตามทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ แต่จะไม่ตกอยู่กับทายาทของท่าน และจะไม่มีราชอำนาจอย่างที่ท่านปกครองอยู่ เพราะว่าราชอาณาจักรของท่านจะถูกถอนขึ้น ตกไปเป็นของผู้อื่นนอกเหนือคนเหล่านี้
ฮชย 8.7 เพราะว่าเขาหว่านลม เขาจึงต้องเกี่ยวลมหมุน ต้นข้าวไม่มีรวง จะไม่เกิดข้าวสำหรับทำแป้ง ถึงจะเกิด คนต่างด้าวก็เอาไปกิน
ฮชย 12.1 เอฟราอิมเลี้ยงตนด้วยลม และตามหาลมตะวันออกอยู่ วันยังค่ำเขาทวีความมุสาและการรกร้าง เขาทำพันธสัญญากับอัสซีเรียและขนเอาน้ำมันไปให้อียิปต์
ฮชย 13.3 เพราะฉะนั้นเขาจึงเหมือนหมอกในเวลาเช้า หรือเหมือนน้ำค้างที่หายไปตั้งแต่เช้า เหมือนแกลบที่ลมหมุนพัดไปจากลานนวดข้าว หรือเหมือนควันที่ออกมาจากช่องลม
ฮชย 13.15 แม้ว่าเขาจะงอกงามขึ้นท่ามกลางพี่น้อง ลมตะวันออก คือลมของพระเยโฮวาห์จะพัดมา ขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดาร และตาน้ำของเขาจะแห้งไป และน้ำพุของเขาก็จะแห้งผาก ลมนั้นจะริบของมีค่าทั้งหมดเอาไปจากคลังของเขา
อมส 4.13 เพราะดูเถิด พระองค์ผู้ปั้นภูเขาและสร้างลม และทรงประกาศพระดำริของพระองค์แก่มนุษย์ ผู้ทรงกระทำให้รุ่งสว่างกลายเป็นความมืด และทรงดำเนินบนที่สูงของพิภพ พระนามของพระองค์ คือพระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา
ยนา 4.8 ต่อมาเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่านอ่อนเพลียไป และท่านนึกปรารถนาในใจที่จะตายเสีย จึงทูลขอว่า “ให้ข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่”
ฮบก 1.9 เขาทั้งหลายจะพากันมาเพื่อความทารุณ หน้าเขาทั้งหลายจะสะสมเหมือนกับลมจากทิศตะวันออก เขาจะรวบรวมเชลยไว้มากมายเหมือนทราย
ศคย 2.6 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เฮ้ เฮ้ จงหนีไปให้พ้นจากแผ่นดินเหนือ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะเราได้แผ่พวกเจ้าออกดังลมทั้งสี่ทิศของท้องฟ้า
ศคย 5.9 แล้วข้าพเจ้าก็เงยหน้าขึ้นแลเห็น ดูเถิด มีผู้หญิงสองคนออกมานั่น มีลมอยู่ในปีกของนาง นางมีปีกเหมือนปีกของนกกระสาดำ และนางก็ยกเอฟาห์ขึ้นระหว่างโลกและฟ้าสวรรค์
มธ 7.25 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา
มธ 7.27 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”
มธ 8.26 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เหตุไฉนเจ้าจึงหวาดกลัว โอ เจ้าผู้มีความเชื่อน้อย” แล้วพระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและทะเล คลื่นลมก็สงบเงียบทั่วไป
มธ 8.27 คนเหล่านั้นก็อัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นคนอย่างไรหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน”
มธ 11.7 ครั้นสาวกเหล่านั้นไปแล้ว พระเยซูเริ่มตรัสกับคนหมู่นั้นถึงยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดหรือ
มธ 14.24 แต่ขณะนั้นเรืออยู่กลางทะเลแล้ว และถูกคลื่นโคลงเพราะทวนลมอยู่
มธ 14.30 แต่เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็กลัว และเมื่อกำลังจะจมก็ร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย”
มธ 14.32 เมื่อพระองค์กับเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็สงบลง
มธ 24.31 พระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์มาด้วยเสียงแตรอันดังยิ่งนัก ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น
มก 4.39 พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลมและตรัสแก่ทะเลว่า “จงสงบเงียบซิ” แล้วลมก็หยุดมีความสงบเงียบทั่วไป
มก 4.41 ฝ่ายเขาก็เกรงกลัวนักหนาและพูดกันและกันว่า “ท่านนี้เป็นผู้ใดหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน”
มก 6.48 แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงลำบากเพราะทวนลมอยู่ ครั้นเวลาสามยามเศษ พระองค์จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก และทรงดำเนินดังจะเลยเขาไป
มก 6.51 พระองค์จึงเสด็จขึ้นไปหาเขาบนเรือ แล้วลมก็เงียบลง เหล่าสาวกก็ประหลาดอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ
มก 13.27 เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงที่สุดขอบฟ้า
ลก 7.24 เมื่อผู้ส่งข่าวทั้งสองของยอห์นไปแล้ว พระองค์จึงตั้งต้นตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดหรือ
ลก 8.24 เขาจึงมาปลุกพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะพินาศอยู่แล้ว” พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น แล้วคลื่นลมก็หยุดเงียบสงบทีเดียว
ลก 8.25 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ความเชื่อของเจ้าอยู่ที่ไหน” เขาเหล่านั้นกลัวและประหลาดใจพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นผู้ใดจึงสั่งบังคับลมและน้ำได้ และลมกับน้ำนั้นก็เชื่อฟังท่าน”
ลก 12.55 เมื่อท่านเห็นลมพัดมาแต่ทิศใต้ ท่านก็ว่า ‘จะร้อนจัด’ และก็เป็นจริง
ยน 3.8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน”
ยน 6.18 ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดกล้า
กจ 27.4 ครั้นเรือออกจากที่นั่นแล้ว จึงแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะไซปรัสเพราะทวนลม
กจ 27.7 เราแล่นไปช้าๆหลายวันและได้มาถึงเมืองคนีดัสโดยยาก เมื่อแล่นทวนลมต่อไปไม่ไหว เราจึงแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะครีตตรงเมืองสัลโมเน
กจ 27.13 เมื่อลมทิศใต้พัดมาเบาๆ เขาก็คิดว่าสมความปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นเลียบฝั่งไปตามเกาะครีต
กจ 27.15 ครั้นเรือกำปั่นถูกพายุและต้านลมไม่ไหว เราจึงปล่อยไปตามลม
กจ 27.16 เมื่อแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อว่าคลาวดา เราจึงยกเรือเล็กขึ้นผูกไว้ได้แต่มีความลำบากมาก
กจ 27.40 เขาจึงตัดสายสมอทิ้งเสียในทะเล แล้วก็แก้เชือกที่มัดหางเสือ และชักใบหัวเรือขึ้นให้กินลมแล่นตรงเข้าไปหาฝั่ง
กจ 28.13 เราออกจากที่นั่นอ้อมไปยังเมืองเรยีอูม ครั้นรุ่งขึ้นลมทิศใต้ก็พัดมา วันที่สองจึงมาถึงเมืองโปทิโอลี
1คร 9.26 ดังนั้นส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งอย่างนี้โดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนักมวยที่ชกลม
1คร 14.9 ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น ถ้าท่านไม่ใช้ภาษาพูดที่เข้าใจได้ง่าย เขาจะเข้าใจคำพูดนั้นได้อย่างไร ท่านก็จะพูดเพ้อตามลมไป
2ธส 2.8 ขณะนั้นคนนอกกฎหมายนั้นจะปรากฏตัวขึ้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประหารมันด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ และจะทรงผลาญให้สูญไปด้วยการปรากฏแห่งการเสด็จมาของพระองค์
ยก 1.6 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าหวั่นไหวเลย เพราะว่าผู้ที่หวั่นไหวก็เป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา
ยก 3.4 จงดูเรือด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเป็นเรือใหญ่ และถูกลมแรงพัดแล่นไป เรือก็ยังหันไปมาด้วยหางเสือเล็กๆตามใจนายท้ายที่จะให้ไปทางไหน
ยด 1.12 คนเหล่านี้เป็นรอยด่างในการประชุมเลี้ยงผูกรักของท่านทั้งหลาย ขณะเขาร่วมการเลี้ยงกับท่าน เขาเลี้ยงแต่ตนเองโดยไม่เกรงกลัวเลย เขาเป็นเมฆที่ปราศจากน้ำที่ถูกพัดลอยไปตามลม เป็นต้นไม้ที่ผลของมันเหี่ยวแห้งไปจึงไม่มีผลอยู่เลย และตายมาสองหนแล้ว เพราะถูกถอนออกทั้งราก
วว 6.13 และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าก็ตกลงบนแผ่นดิน เหมือนต้นมะเดื่ออันหวั่นไหวด้วยลมกล้าจนทำให้ผลหล่นลงไม่ทันสุก
วว 7.1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ ข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์สี่องค์ยืนอยู่ที่มุมทั้งสี่ของแผ่นดินโลก ห้ามลมในแผ่นดินโลกทั้งสี่ทิศไว้ เพื่อไม่ให้ลมพัดบนบก ในทะเล หรือที่ต้นไม้ใดๆ

ล่ม ( 2 )
อสย 21.9 และ ดูเถิด รถรบพร้อมพลรบกับพลม้าเป็นคู่ๆกำลังมา” และเขาตอบว่า “บาบิโลนล่มแล้ว ล่มแล้ว บรรดารูปเคารพสลักทั้งสิ้นแห่งพระของเขา พระองค์ทรงทำลายลงถึงพื้นดิน”

ล้ม ( 90 )
ลนต 26.17 เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้เจ้า เจ้าจะล้มตายต่อหน้าศัตรูของเจ้าทั้งหลาย คนที่เกลียดชังเจ้าจะปกครองอยู่เหนือเจ้า เจ้าจะหลบหนีไปทั้งที่ไม่มีใครไล่ติดตาม
กดว 14.42 อย่าขึ้นไปเลย เพราะพระเยโฮวาห์มิได้อยู่ท่ามกลางท่าน เกลือกว่าท่านทั้งหลายจะล้มตายอยู่ต่อหน้าศัตรู
พบญ 22.4 ถ้าท่านเห็นลาหรือวัวของพี่น้องล้มอยู่ตามทาง อย่านิ่งเฉยเสีย ท่านจงช่วยพยุงสัตว์เหล่านั้นขึ้นอีก
ยชว 8.24 ต่อมาเมื่ออิสราเอลไล่ฆ่าฟันชาวเมืองอัยทั้งหมดในทุ่งในถิ่นทุรกันดารที่เขาไล่ตามไปนั้น และคนเหล่านั้นล้มตายหมดด้วยคมดาบจนคนสุดท้าย บรรดาคนอิสราเอลก็กลับเข้าเมืองอัยโจมตีคนในเมืองด้วยคมดาบ
ยชว 8.25 คนที่ล้มตายทั้งหมดวันนั้นทั้งชายและหญิงจำนวนหมื่นสองพันคน คือชาวเมืองอัยทั้งหมด
วนฉ 4.16 และบาราคได้ไล่ติดตามรถรบทั้งหลายและกองทัพไปจนถึงฮาโรเชทของคนต่างชาติ และกองทัพทั้งหมดของสิเสราก็ล้มตายด้วยคมดาบ ไม่เหลือสักคนเดียว
วนฉ 5.27 เขาจมลง เขาล้ม เขานอนที่เท้าของนาง ที่เท้าของนางเขาจมลง เขาล้ม เขาจมลงที่ไหน ที่นั่นเขาล้มลงตาย
วนฉ 8.10 ฝ่ายเศบาห์และศัลมุนนาอาศัยอยู่ที่คารโครกับกองทัพมีทหารหนึ่งหมื่นห้าพันคน เป็นกองทัพชาวตะวันออกที่เหลืออยู่ทั้งหมด เพราะว่าผู้ที่ถือดาบล้มตายเสียหนึ่งแสนสองหมื่นคน
วนฉ 9.40 อาบีเมเลคก็ขับไล่กาอัลหนีไป มีคนถูกบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก จนถึงทางเข้าประตูเมือง
วนฉ 11.33 และท่านได้ประหารเขาจากอาโรเออร์จนถึงที่ใกล้ๆเมืองมินนิทรวมยี่สิบหัวเมือง และไกลไปจนถึงที่ราบแห่งสวนองุ่น ผู้คนล้มตายมาก คนอัมโมนจึงพ่ายแพ้ต่อหน้าคนอิสราเอล
วนฉ 20.21 ในวันนั้นคนเบนยามินออกมาจากเมืองกิเบอาห์ ฆ่าฟันคนอิสราเอล ล้มตายสองหมื่นสองพันคน
วนฉ 20.25 และในวันที่สองนั้นเบนยามินก็ยกออกไปจากกิเบอาห์ ฆ่าฟันคนอิสราเอลล้มตายอีกหนึ่งหมื่นแปดพันคน ทุกคนเป็นทหารถือดาบ
วนฉ 20.31 คนเบนยามินก็ยกออกมาสู้รบกับประชาชน ถูกลวงให้ห่างออกไปจากตัวเมือง เขาก็เริ่มฆ่าฟันประชาชนอย่างคราวก่อน คือตามถนนซึ่งสายหนึ่งไปยังพระนิเวศของพระเจ้า อีกสายหนึ่งไปกิเบอาห์ และที่กลางทุ่งแจ้ง อิสราเอลล้มตายประมาณสามสิบคน
วนฉ 20.39 ก็ให้คนอิสราเอลหันกลับเข้ามารบ ฝ่ายเบนยามินได้เริ่มฆ่าคนอิสราเอลได้สักสามสิบคนก็พูดว่า “เขาต้องล้มตายต่อหน้าเราอย่างคราวก่อนแน่แล้ว”
วนฉ 20.44 คนเบนยามินล้มตายหนึ่งหมื่นแปดพันคน ทุกคนเป็นทแกล้วทหาร
วนฉ 20.46 คนเบนยามินที่ล้มตายในวันนั้น เป็นทหารถือดาบสองหมื่นห้าพันคน ทุกคนเป็นทแกล้วทหาร
นรธ 1.5 แล้วมาห์โลนและคิลิโอนทั้งสองคนก็สิ้นชีวิต หญิงคนนั้นก็ต้องเปล่าเปลี่ยวเพราะเหตุสามีและบุตรชายทั้งสองของนางต้องล้มหายตายจากไป
1ซมอ 5.3 และเมื่อประชาชนชาวอัชโดดตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนได้ล้มหน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรงหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์ เขาทั้งหลายจึงยกพระดาโกนขึ้นตั้งไว้ในที่เดิม
1ซมอ 5.4 แต่เมื่อเขาทั้งหลายตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนก็ล้มหน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรงหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์ เศียรของพระดาโกนและฝ่ามือทั้งสองก็ถูกตัดออกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่แต่ลำตัวพระดาโกน
1ซมอ 14.13 แล้วโยนาธานก็คลานขึ้นไปและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านก็ตามไปด้วย คนเหล่านั้นก็ล้มตายหน้าโยนาธาน และผู้ถือเครื่องอาวุธก็ฆ่าเขาทั้งหลายตามท่านไป
1ซมอ 17.49 และดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหินก้อนหนึ่งออกมา แล้วเหวี่ยงหินก้อนนั้นด้วยสายสลิง ถูกคนฟีลิสเตียคนนั้นที่หน้าผาก ก้อนหินจมเข้าไปในหน้าผาก เขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน
1ซมอ 31.1 ฝ่ายคนฟีลิสเตียก็ต่อสู้กับคนอิสราเอล และคนอิสราเอลก็หนีไปให้พ้นหน้าคนฟีลิสเตีย ล้มตายอยู่ที่บนภูเขากิลโบอา
1ซมอ 31.4 แล้วซาอูลรับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า “จงชักดาบออก แทงเราเสียให้ทะลุเถิด เกรงว่าคนที่มิได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะเข้ามาแทงเราทะลุ เป็นการลบหลู่เรา” แต่ผู้ถืออาวุธไม่ยอมกระทำตาม เพราะเขากลัวมาก ซาอูลจึงทรงชักดาบของพระองค์ออกทรงล้มทับดาบนั้น
1ซมอ 31.5 และเมื่อผู้ถืออาวุธเห็นว่าซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็ล้มทับดาบของเขาเองตายด้วย
2ซมอ 1.4 ดาวิดถามเขาว่า “ขอบอกฉันหน่อยว่า เหตุการณ์เป็นไปอย่างไรบ้าง” และเขาตอบว่า “ประชาชนหนีจากการรบไปแล้ว มีคนล้มและถึงความตายมากมาย ซาอูลและโยนาธานราชโอรสก็สิ้นพระชนม์ด้วย”
2ซมอ 1.10 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยืนข้างพระองค์ และประหารพระองค์เสีย เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าเมื่อพระองค์ทรงล้มแล้วก็จะไม่ดำรงพระชนม์ได้อีก และข้าพเจ้าก็ถอดมงกุฎซึ่งอยู่บนพระเศียร และกำไลซึ่งอยู่ที่พระกร และข้าพเจ้าก็นำมาที่นี่เพื่อมอบแด่เจ้านายของข้าพเจ้า”
2ซมอ 1.12 และเขาทั้งหลายไว้ทุกข์และร้องไห้และอดอาหารอยู่จนเวลาเย็น ให้ซาอูล และโยนาธานราชโอรส และประชาชนของพระเยโฮวาห์ และวงศ์วานอิสราเอล เพราะเขาทั้งหลายต้องล้มตายด้วยดาบ
2ซมอ 1.19 “ศักดิ์ศรีของอิสราเอลถูกประหารเสียแล้วบนที่สูงของท่าน วีรบุรุษก็ล้มตายเสียแล้วหนอ
2ซมอ 2.16 ต่างก็จับศีรษะคู่ต่อสู้ และปักดาบเข้าที่สีข้างของคู่ต่อสู้ ล้มตายด้วยกันหมด เขาจึงเรียกที่นั่นว่า เฮลขัทฮัสซูริม ซึ่งอยู่ในกิเบโอน
2ซมอ 2.23 แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ยอมหันกลับ เพราะฉะนั้นอับเนอร์ก็เอาโคนหอกแทงท้องอาสาเฮล หอกก็ทะลุออกข้างหลังของเขา เขาก็ล้มลงตายอยู่ที่นั่น และอยู่มาทุกคนซึ่งมาเห็นที่ที่อาสาเฮลล้มตายอยู่ก็ยืนนิ่ง
2ซมอ 11.17 คนในเมืองก็ออกมาสู้รบกับโยอาบ มีคนตายบ้างคือข้าราชการบางคนของดาวิดได้ล้มตาย อุรีอาห์คนฮิตไทต์ก็ตายด้วย
2ซมอ 13.2 ด้วยเหตุทามาร์น้องหญิงนี้ จิตใจของอัมโนนก็ถูกทรมานจนถึงกับล้มป่วย ด้วยเหตุว่าเธอเป็นสาวพรหมจารี อัมโนนจึงรู้สึกว่าจะทำอะไรกับเธอก็ยากนัก
2ซมอ 17.9 ดูเถิด ถึงขณะนี้ท่านก็ซ่อนอยู่ในบ่อแห่งหนึ่ง หรือในที่หนึ่งที่ใด แล้วต่อมาเมื่อมีคนล้มตายในการสู้รบครั้งแรก ใครที่ได้ยินเรื่องก็จะกล่าวว่า ‘ทหารที่ติดตามอับซาโลมถูกฆ่าฟัน’
2ซมอ 21.22 คนทั้งสี่นี้บังเกิดแก่คนยักษ์ในเมืองกัท เขาทั้งหลายล้มตายด้วยพระหัตถ์ของดาวิด และด้วยมือของข้าราชการของพระองค์
1พกษ 17.17 และอยู่มาภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ บุตรชายของหญิงคนนั้นผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ล้มป่วย อาการป่วยนั้นก็สาหัส จนไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว
1พกษ 20.25 และเกณฑ์กองทัพเข้าแทนส่วนที่ล้มตายไปในคราวก่อน ม้าแทนม้า รถรบแทนรถรบ แล้วเราทั้งหลายจะสู้รบกับเขาในที่ราบ เราจะต้องแข็งกว่าเขาแน่นอนทีเดียว” และท่านก็ฟังเสียงของเขาทั้งหลายและกระทำตาม
1พกษ 20.30 เหลือนอกนั้นก็หนีเข้าเมืองอาเฟก และกำแพงเมืองล้มทับคนที่เหลือนอกนั้นเสียสองหมื่นเจ็ดพันคน เบนฮาดัดก็หนีไปด้วย และเข้าไปในห้องชั้นในที่ในเมือง
2พกษ 13.14 เมื่อเอลีชาล้มป่วยด้วยโรคที่ท่านจะต้องสิ้นชีวิต โยอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้เสด็จลงไปหาท่าน และกันแสงต่อหน้าท่าน ตรัสว่า “โอ บิดาของข้า บิดาของข้า ราชรถของอิสราเอล และพลม้าของประเทศ”
2พกษ 15.10 ชัลลูมบุตรชายยาเบชร่วมกันกบฏต่อพระองค์ และล้มพระองค์เสียต่อหน้าประชาชน และประหารพระองค์เสีย และขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 15.14 แล้วเมนาเฮมบุตรชายกาดีได้ขึ้นมาจากเมืองทีรซาห์และมายังสะมาเรีย และท่านก็ล้มชัลลูมบุตรชายยาเบชเสียที่ในสะมาเรีย และประหารชีวิตท่านเสีย และได้ขึ้นครอบครองแทนท่าน
2พกษ 15.30 แล้วโฮเชยาบุตรชายเอลาห์ได้ร่วมกันคิดกบฏต่อเปคาห์บุตรชายเรมาลิยาห์ และล้มพระองค์ลง และประหารพระองค์เสีย และขึ้นครองแทนพระองค์ในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลโยธามโอรสของอุสซียาห์
1พศด 5.10 ในรัชกาลของซาอูลเขาทั้งหลายทำสงครามกับคนฮาการ์ผู้ต้องล้มตายด้วยมือของเขา เขาทั้งหลายอาศัยอยู่ในเต็นท์ของเขาตลอดแถบตะวันออกของกิเลอาด
1พศด 5.22 เพราะเขาล้มตายเสียมาก ด้วยการศึกครั้งนั้นเป็นมาจากพระเจ้า และเขาทั้งหลายอาศัยอยู่ในที่ของเขาจนถูกกวาดไปเป็นเชลย
1พศด 10.1 คนฟีลิสเตียได้สู้กับคนอิสราเอล และคนอิสราเอลก็หนีไปให้พ้นหน้าคนฟีลิสเตียล้มตายอยู่ที่บนภูเขากิลโบอา
1พศด 10.4 แล้วซาอูลรับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า “จงชักดาบออก แทงเราเสียให้ทะลุเถิด เกรงว่าคนที่มิได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะเข้ามาทำลบหลู่แก่เรา” แต่ผู้ถืออาวุธไม่ยอมกระทำตาม เพราะเขากลัวมาก ซาอูลจึงทรงชักดาบของพระองค์ออก ทรงล้มทับดาบนั้น
1พศด 10.5 และเมื่อผู้ถืออาวุธเห็นว่าซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็ล้มทับดาบของเขาตายด้วย
1พศด 20.8 คนเหล่านี้บังเกิดแก่คนยักษ์ในเมืองกัท และเขาล้มตายด้วยพระหัตถ์ของดาวิด และด้วยมือผู้รับใช้ของพระองค์
1พศด 21.14 ดังนั้นพระเยโฮวาห์ทรงให้โรคระบาดเกิดขึ้นในอิสราเอล และคนอิสราเอลได้ล้มตายเจ็ดหมื่นคน
2พศด 13.17 อาบียาห์และประชาชนของพระองค์ก็ฆ่าเขาเสียมากมาย คนอิสราเอลที่คัดเลือกแล้วจึงล้มตายห้าแสนคน
2พศด 14.13 อาสาและพลที่อยู่กับพระองค์ก็ไล่ตามเขาไปถึงเมืองเก-ราร์ และชาวเอธิโอเปียล้มตายมากจนไม่เหลือสักชีวิตเดียว เพราะเขาได้แตกพ่ายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์และกองทัพของพระองค์ คนยูดาห์ได้เก็บของที่ริบได้มากมายนักหนา
โยบ 14.10 แต่มนุษย์ตาย และล้มพังพาบ เออ มนุษย์สิ้นลมหายใจและเขาอยู่ที่ไหนเล่า
สดด 20.8 เขาทั้งหลายจะล้มพับลงไป แต่เราจะลุกขึ้นยืนตรงอยู่
สดด 36.12 แล้วคนกระทำความชั่วช้าก็ล้มอยู่ที่นั่น เขาถูกผลักลง ลุกขึ้นอีกไม่ได้
สดด 37.24 แม้เขาล้ม เขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว เพราะว่าพระหัตถ์พระเยโฮวาห์พยุงเขาไว้
สดด 38.17 เพราะข้าพระองค์จะล้มแล้ว และความเศร้าโศกอยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ
สดด 45.5 ลูกธนูของพระองค์ท่านก็คมอยู่ในจิตใจของศัตรูของกษัตริย์ ชนชาติทั้งหลายจึงล้มอยู่ใต้พระองค์ท่าน
สดด 73.18 จริงละ พระองค์ทรงวางเขาไว้ในที่ลื่น พระองค์ทรงกระทำให้เขาล้มถึงความพินาศ
สดด 78.64 บรรดาปุโรหิตของเขาล้มลงด้วยดาบ และหญิงม่ายของเขาไม่มีการร้องทุกข์
สดด 91.7 พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน
สดด 106.26 เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงยกพระหัตถ์ของพระองค์ปฏิญาณต่อท่าน ว่าจะทำให้ท่านล้มตายในถิ่นทุรกันดาร
สภษ 24.17 อย่าเปรมปรีดิ์เมื่อศัตรูของเจ้าล้ม และอย่าให้ใจของเจ้ายินดีเมื่อเขาสะดุด
อสย 3.25 พวกผู้ชายของเจ้าจะล้มลงด้วยดาบ และทแกล้วทหารของเจ้าจะล้มในสงคราม
อสย 24.20 โลกก็จะซวนเซไปอย่างคนเมา มันจะแกว่งไปอย่างเพิง การละเมิดของโลกจะหนักอยู่บนมัน และมันจะล้มและจะไม่ลุกอีก
อสย 31.3 คนอียิปต์เป็นคน และไม่ใช่พระเจ้า และม้าทั้งหลายของเขาเป็นเนื้อหนัง และไม่ใช่วิญญาณ เมื่อพระเยโฮวาห์จะทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ออก ทั้งผู้ช่วยเหลือก็จะสะดุด และผู้ที่รับการช่วยเหลือก็จะล้ม และเขาทั้งหลายจะล้มเหลวด้วยกัน
อสย 34.7 ม้ายูนิคอนจะล้มลงพร้อมกับเขาด้วย และวัวหนุ่มจะล้มอยู่กับวัวที่ฉกรรจ์ แผ่นดินของเขาจะโชกไปด้วยเลือด และดินจะได้อุดมด้วยไขมัน
ยรม 6.15 เขาละอายหรือเมื่อเขากระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลย เขาหน้าแดงด้วยความละอายไม่เป็นเลย เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราลงอาญาเขาทั้งหลาย เขาจะล้มคว่ำลง” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 8.12 เมื่อเขากระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน เขาละอายหรือ เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลย เขาหน้าแดงด้วยความละอายไม่เป็นเลย เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว ในเวลาแห่งการลงอาญาเขาทั้งหลาย เขาจะล้มคว่ำลง พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 9.22 จงพูดว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ศพมนุษย์จะล้มลงเหมือนมูลสัตว์ตกตามพื้นทุ่ง เหมือนฟ่อนข้าวล้มตามผู้เกี่ยว และไม่มีผู้ใดจะเก็บ’”
ยรม 49.21 แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนเพราะเสียงที่มันล้ม เสียงคร่ำครวญของเขาได้ยินถึงทะเลแดง
อสค 5.12 พวกเจ้าหนึ่งในสามส่วนจะล้มตายเพราะโรคระบาด และถูกผลาญด้วยการกันดารอาหารในหมู่พวกเจ้า อีกหนึ่งในสามส่วนจะล้มตายด้วยดาบอยู่รอบเจ้า และอีกหนึ่งในสามส่วนเราจะให้กระจัดกระจายไปตามลมทุกทิศานุทิศ และเราจะชักดาบออกไล่ตามเขาทั้งหลายไป
อสค 6.12 ผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปจะตายด้วยโรคระบาด ผู้ที่อยู่ใกล้ก็จะล้มตายด้วยดาบ และผู้ที่เหลืออยู่และถูกล้อมไว้จะตายด้วยการกันดารอาหาร เราจะให้ความเกรี้ยวกราดของเรามีเหนือเขาจนกว่าจะมอดลง เช่นนี้แหละ
อสค 26.15 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แก่เมืองไทระว่า เกาะต่างๆจะมิได้สั่นสะเทือนด้วยเสียงที่เจ้าล้ม เมื่อผู้บาดเจ็บร้องครวญคราง เมื่อการเข่นฆ่าได้เกิดอยู่ท่ามกลางเจ้าหรือ
อสค 30.4 ดาบเล่มหนึ่งจะมาเหนืออียิปต์ และความแสนระทมจะอยู่ในเอธิโอเปีย เมื่อคนที่ถูกฆ่าจะล้มในอียิปต์ และพวกเขาจะเอาคนเป็นอันมากของประเทศนั้นไปเสีย และรากฐานของเมืองนั้นก็จะถูกทลายลง
อสค 31.16 เรากระทำให้ประชาชาติสั่นสะเทือนด้วยเสียงที่มันล้ม เมื่อเราเหวี่ยงมันลงไปที่นรกพร้อมกับบรรดาผู้ที่ลงไปยังปากแดน และต้นไม้ทั้งสิ้นในเอเดน ต้นไม้ที่คัดเลือกแล้วและต้นไม้ที่ดีที่สุดของเลบานอน ต้นไม้ทุกต้นที่ดื่มน้ำจะได้รับความเล้าโลมที่ในโลกบาดาล
ดนล 11.26 ถึงแม้ว่าผู้ที่ร่วมรับประทานอาหารสูงของเขาก็จะทำลายเขา กองทัพของเขาก็จะถูกกวาดไป ที่ถูกฆ่าฟันล้มตายเสียก็มาก
ฮชย 10.8 ปูชนียสถานสูงของเมืองอาเวน อันเป็นบาปของอิสราเอล จะต้องถูกทำลาย ต้นไม้ที่มีหนามและผักที่มีหนามจะงอกขึ้นบนแท่นบูชาของเขา เขาจะร้องบอกกับภูเขาว่า “จงปกคลุมเราไว้” และร้องบอกเนินเขาว่า “จงล้มทับเราเถิด”
ศคย 11.2 ต้นสนสามใบเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะไม้สนสีดาร์ล้มเสียแล้ว เพราะบรรดาไม้ที่สง่างามพินาศลงไปแล้ว โอ ต้นโอ๊กเมืองบาชานเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะป่าทึบถูกโค่นเสียแล้ว
มธ 21.44 ผู้ใดล้มทับศิลานี้ ผู้นั้นจะต้องแตกหักไป แต่ศิลานี้จะตกทับผู้ใด ก็จะบดขยี้ผู้นั้นจนแหลกเป็นผุยผง”
มก 9.18 ผีพาเขาไปที่ไหนๆก็ทำให้ล้มชักดิ้นไป มีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก็อ่อนระโหย ข้าพระองค์ได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับผีนั้นออกเสีย แต่เขาขับให้ออกไม่ได้”
ลก 9.42 เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นและทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา
ลก 20.18 ผู้ใดล้มทับศิลานั้น ผู้นั้นจะต้องแตกหักไป แต่ศิลานั้นจะตกทับผู้ใด ก็จะบดขยี้ผู้นั้นจนแหลกเป็นผุยผง”
ลก 23.30 คราวนั้นเขาจะเริ่มกล่าวแก่ภูเขาทั้งหลายว่า ‘จงล้มทับเราเถิด’ และแก่เนินเขาว่า ‘จงปกคลุมเราไว้’
กจ 1.18 ฝ่ายผู้นี้ได้เอาบำเหน็จแห่งการชั่วช้าของตนไปซื้อที่ดิน แล้วก็ล้มคะมำลงแตกกลางตัวไส้พุงทะลักออกมาหมด
กจ 26.14 ครั้นข้าพระองค์กับคนทั้งหลายล้มคะมำลงที่ดิน ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่ข้าพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก’
รม 9.33 ดังที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘จงดูเถิด เราได้วางศิลาก้อนหนึ่งไว้ในศิโยนซึ่งจะทำให้สะดุด และหินก้อนหนึ่งซึ่งจะทำให้ล้ม แต่ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์นั้นก็จะไม่ได้รับความอับอาย’
1คร 10.5 แต่ถึงกระนั้นก็ดีมีคนส่วนมากในพวกนั้นที่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย เพราะว่าเขาล้มตายกันเกลื่อนกลาดในถิ่นทุรกันดาร
2ปต 1.10 เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงยิ่งอุตส่าห์กระทำตนให้เป็นไปตามที่พระเจ้าทรงเรียก และทรงเลือกท่านไว้แล้วนั้น เพราะว่าถ้าท่านประพฤติเช่นนั้น ท่านจะไม่สะดุดล้มเลย
วว 6.16 พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า “จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง และให้พ้นจากพระพิโรธของพระเมษโปดกนั้น

ล้มคว่ำ ( 4 )
อสย 3.8 เพราะเยรูซาเล็มก็ล่มจมและยูดาห์ก็ล้มคว่ำ เพราะว่าลิ้นของเขาและการกระทำของเขาก็ต่อสู้พระเยโฮวาห์ กบฏต่อพระเนตรอันรุ่งโรจน์ของพระองค์
ยรม 6.15 เขาละอายหรือเมื่อเขากระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลย เขาหน้าแดงด้วยความละอายไม่เป็นเลย เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราลงอาญาเขาทั้งหลาย เขาจะล้มคว่ำลง” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 8.12 เมื่อเขากระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน เขาละอายหรือ เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลย เขาหน้าแดงด้วยความละอายไม่เป็นเลย เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว ในเวลาแห่งการลงอาญาเขาทั้งหลาย เขาจะล้มคว่ำลง พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ฮชย 5.5 ความเย่อหยิ่งของอิสราเอลก็ปรากฏเป็นพยานที่หน้าเขาแล้ว อิสราเอลและเอฟราอิมจึงจะสะดุดเพราะความชั่วช้าของตน ยูดาห์ก็จะพลอยล้มคว่ำไปกับเขาทั้งหลายด้วย

ล่มจม ( 9 )
อสย 3.8 เพราะเยรูซาเล็มก็ล่มจมและยูดาห์ก็ล้มคว่ำ เพราะว่าลิ้นของเขาและการกระทำของเขาก็ต่อสู้พระเยโฮวาห์ กบฏต่อพระเนตรอันรุ่งโรจน์ของพระองค์
อสค 27.27 ทรัพย์สินของเจ้า ของขายของเจ้า สินค้าของเจ้า ลูกเรือของเจ้า และต้นหนของเจ้า ช่างไม้ประจำของเจ้า ผู้ค้าสินค้าของเจ้า นักรบทั้งสิ้นของเจ้าผู้อยู่ในเจ้าพร้อมกับพรรคพวกทั้งสิ้นของเจ้าที่อยู่ท่ามกลางเจ้า จะจมลงในท้องทะเลในวันล่มจมของเจ้า
อสค 30.6 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ผู้เหล่านั้นที่สนับสนุนอียิปต์จะล่มจม และอานุภาพอันผยองของมันจะลงมา และจากหอคอยแห่งสิเอเน เขาจะล้มลงภายในประเทศนั้นด้วยดาบ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
รม 14.4 ท่านเป็นใครเล่าจึงกล่าวโทษผู้รับใช้ของคนอื่น ผู้รับใช้คนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา และเขาก็จะได้ดีแน่นอน เพราะว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถให้เขาได้ดีได้
วว 14.8 ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งตามไปประกาศว่า “บาบิโลนมหานครนั้นล่มจมแล้ว ล่มจมแล้ว เพราะว่านครนั้นทำให้ประชาชาติทั้งปวงดื่มเหล้าองุ่นแห่งความเดือดดาลของเธอในการล่วงประเวณี”
วว 16.19 มหานครนั้นก็แยกออกเป็นสามส่วน และบ้านเมืองของนานาประชาชาติก็ล่มจม มหานครบาบิโลนนั้นก็อยู่ในความทรงจำต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพื่อจะให้นครนั้นดื่มถ้วยเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธอันใหญ่หลวงของพระองค์
วว 18.2 ท่านได้ร้องประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า “บาบิโลนมหานครล่มจมแล้ว ล่มจมแล้ว กลายเป็นที่อาศัยของผีปิศาจ เป็นที่คุมขังของผีโสโครกทุกอย่าง และเป็นกรงของนกทุกอย่างที่ไม่สะอาดและน่าเกลียด

ลมปราณ ( 11 )
ปฐก 2.7 พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่
ปฐก 6.17 ดูเถิด เราเองเป็นผู้กระทำให้น้ำท่วมบนแผ่นดินโลก เพื่อทำลายบรรดาเนื้อหนังใต้ฟ้าที่มีลมปราณแห่งชีวิต และทุกสิ่งบนแผ่นดินโลกจะตายสิ้น
ปฐก 7.15 สัตว์ทั้งปวงที่มีลมปราณแห่งชีวิตได้เข้าไปหาโนอาห์ในนาวาเป็นคู่ๆ
ปฐก 7.22 มนุษย์ทั้งปวงผู้ซึ่งมีลมปราณแห่งชีวิตเข้าออกทางจมูก สิ่งสารพัดที่อยู่บนบกตายสิ้น
โยบ 27.3 เพราะลมหายใจยังอยู่ในตัวข้าตราบใด และลมปราณจากพระเจ้ายังอยู่ในรูจมูกของข้าตราบใด
โยบ 33.4 พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสร้างข้าพเจ้า และลมปราณขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า
โยบ 34.14 ถ้าพระองค์ทรงเอาพระทัยใส่กับมนุษย์ และทรงรวบรวมวิญญาณและลมปราณของเขากลับมาสู่พระองค์
พคค 4.20 ลมปราณทางจมูกของพวกข้าพเจ้า คือผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้นั้น ก็ตกหลุมพรางของเขาทั้งหลายแล้ว คือพวกเรากล่าวถึงพระองค์ท่านว่า “เราจะดำรงชีวิตของเราท่ามกลางประชาชาติได้ ก็ด้วยอาศัยร่มเงาของพระองค์ท่าน”
ดนล 5.23 แต่ทรงยกองค์พระองค์ขึ้นสู้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ และทรงให้นำภาชนะแห่งพระนิเวศของพระองค์มาต่อพระพักตร์พระองค์ แล้วพระองค์ พวกเจ้านายของพระองค์ พระสนม และนางห้ามของพระองค์ก็ดื่มเหล้าองุ่นจากภาชนะเหล่านั้น และพระองค์ทรงสรรเสริญพระที่ทำด้วยเงิน ทองคำ ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ และหิน ซึ่งจะดูหรือฟัง หรือรู้เรื่องก็ไม่ได้ แต่พระองค์มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าซึ่งลมปราณของพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทางทั้งสิ้นของพระองค์ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์
มลค 2.15 พระองค์ทรงทำให้เขาทั้งสองเป็นอันเดียวกันมิใช่หรือ แต่เขายังมีลมปราณแห่งชีวิตอยู่ และทำไมเป็นอันเดียวกัน เพราะพระองค์ทรงประสงค์เชื้อสายที่ตามทางของพระเจ้า ดังนั้นจงเอาใจใส่ต่อจิตวิญญาณของเจ้าให้ดี อย่าให้ผู้ใดทรยศต่อภรรยาคนที่ได้เมื่อหนุ่มนั้น
วว 11.11 เมื่อเวลาผ่านไปสามวันครึ่งแล้ว ลมปราณแห่งชีวิตจากพระเจ้าก็เข้าสู่ศพของเขาอีก และเขาก็ลุกขึ้นยืน คนทั้งหลายที่ได้เห็นเขาก็มีความหวาดกลัวเป็นอันมาก

ลมปาก ( 1 )
อฟ 4.14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไปถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง

ลมพายุ ( 8 )
อพย 10.19 พระเยโฮวาห์จึงทรงบันดาลให้ลมพายุพัดกลับมาจากทิศตะวันตกหอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดง จนไม่มีตั๊กแตนเหลือเลยสักตัวเดียวตลอดเขตแดนอียิปต์
สดด 107.25 เพราะพระองค์ทรงบัญชา และทรงให้เกิดลมพายุซึ่งให้คลื่นทะเลกำเริบ
สดด 148.8 ไฟกับลูกเห็บ หิมะกับหมอก ลมพายุ กระทำตามพระวจนะของพระองค์
อสค 13.11 จงกล่าวแก่ผู้ที่ฉาบปูนขาวนั้นว่า กำแพงนั้นจะพัง จะมีฝนตกท่วม และเจ้า โอ ลูกเห็บใหญ่เอ๋ย จะตกลงมา และลมพายุจะฉีกมัน
อสค 13.13 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะกระทำให้ลมพายุฉีกมันด้วยความกริ้วของเรา และด้วยความโกรธของเราจะมีฝนท่วม ด้วยความกริ้วของเราจะมีลูกเห็บใหญ่ทำลายเสีย
ฮชย 4.19 ลมพายุเอาปีกห่อเขาไว้ เขาจะอดสูเพราะสัตวบูชาทั้งหลายของเขา
กจ 27.14 แต่แล่นไปไม่ช้าเรือกำปั่นก็ถูกลมพายุกล้าที่เขาเรียกว่า ยุระกิโล
ฮบ 12.18 ท่านทั้งหลายไม่ได้มาถึงภูเขาที่จะถูกต้องได้ และที่ได้ไหม้ไฟแล้ว และถึงที่ดำ ถึงที่มืดมิด และถึงที่ลมพายุ

ล้มลง ( 151 )
อพย 23.5 ถ้าเห็นลาของผู้ที่เกลียดชังเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก อย่าได้เมินเฉยเสีย จงช่วยเขายกมันขึ้น
ลนต 26.7 เจ้าจะขับไล่ศัตรูของเจ้า และเขาทั้งหลายจะล้มลงต่อหน้าเจ้าด้วยดาบ
ลนต 26.8 พวกเจ้าห้าคนจะขับไล่ศัตรูร้อยคนและพวกเจ้าร้อยคนจะขับไล่ศัตรูหมื่นคนให้กระจัดกระจายไป และศัตรูของเจ้าจะล้มลงด้วยดาบต่อหน้าเจ้า
ลนต 26.36 ส่วนพวกเจ้าทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่เราจะให้เขามีใจอ่อนแอในแผ่นดินของศัตรู จนเสียงใบไม้ไหวจะไล่ตามเขา และเขาจะหนีเหมือนคนหนีจากดาบ และเขาจะล้มลงทั้งที่ไม่มีคนไล่ติดตาม
ลนต 26.37 และเขาทั้งหลายจะล้มลงทับกันและกัน เหมือนคนหนีดาบทั้งที่ไม่มีคนตามมา และเจ้าจะไม่มีกำลังต่อต้านศัตรูของเจ้า
กดว 14.43 เพราะคนอามาเลขและคนคานาอันอยู่ข้างหน้าท่าน ท่านจะล้มลงด้วยดาบ เพราะท่านได้หันกลับจากการตามพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์จะไม่สถิตท่ามกลางท่านทั้งหลาย”
กดว 24.4 คำพยากรณ์ของผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ผู้เห็นนิมิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ล้มลงจนเกิดความมึนงง แต่ตาไม่มีสิ่งใดบัง
กดว 24.16 คำพยากรณ์ของผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และทราบถึงพระปัญญาของพระองค์ผู้สูงสุด ผู้เห็นนิมิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ล้มลงจนเกิดความมึนงง แต่ตาไม่มีสิ่งใดบัง
กดว 35.17 ผู้ใดทุบเขาให้ล้มลงด้วยก้อนหินในมือขนาดฆ่าคนได้ และเขาถึงตาย ผู้นั้นเป็นฆาตกร ให้ประหารชีวิตฆาตกรนั้นเสียเป็นแน่
กดว 35.18 หรือผู้ใดใช้อาวุธไม้ที่อยู่ในมือขนาดฆ่าคนได้ตีเขาล้มลงและคนนั้นถึงตาย ผู้นั้นเป็นฆาตกร ให้ประหารชีวิตฆาตกรนั้นเสียเป็นแน่
กดว 35.21 หรือเพราะเป็นศัตรูกันชกเขาล้มลง จนเขาตาย ให้ประหารชีวิตผู้ที่ชกเขานั้นเสียเป็นแน่ ด้วยว่าเขาเป็นฆาตกร เมื่อผู้อาฆาตโลหิตพบเขาเมื่อใด ก็ให้ประหารชีวิตฆาตกรนั้นเสีย
วนฉ 5.27 เขาจมลง เขาล้ม เขานอนที่เท้าของนาง ที่เท้าของนางเขาจมลง เขาล้ม เขาจมลงที่ไหน ที่นั่นเขาล้มลงตาย
วนฉ 7.13 ครั้นกิเดโอนแอบมา ดูเถิด มีชายคนหนึ่งเล่าความฝันให้เพื่อนฟังว่า “ดูเถิด เราฝันเรื่องหนึ่ง ดูเถิด มีขนมข้าวบาร์เลย์ก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่ายของพวกมีเดียน มาถึงเต็นท์โดนเต็นท์ทำให้เต็นท์ล้มลง พลิกขึ้น แล้วก็ราบไป”
วนฉ 19.26 พอแจ้งผู้หญิงนั้นก็กลับมาล้มลงที่ประตูบ้านซึ่งนายของตนพักอยู่ จนสว่างดี
1ซมอ 17.52 คนอิสราเอลกับคนยูดาห์ก็ลุกขึ้นโห่ร้องไล่ติดตามคนฟีลิสเตียไกลไปจนถึงหุบเขาและถึงประตูเมืองเอโครน ทหารฟีลิสเตียที่บาดเจ็บจึงล้มลงตามทางจากชาอาราอิม ไกลไปจนถึงเมืองกัทและเมืองเอโครน
1ซมอ 28.20 แล้วซาอูลก็ทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นดินในทันที กลัวยิ่งนักเพราะถ้อยคำของซามูเอล และไม่มีกำลังเหลืออยู่ในพระองค์ เพราะไม่ได้เสวยพระกระยาหารมาตลอดวันหนึ่งกับคืนหนึ่งแล้ว
2ซมอ 1.25 วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอท่ามกลางศึกสงคราม โอ โยนาธาน ท่านถูกสังหารอยู่บนที่สูงของท่าน
2ซมอ 1.27 วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอ และเครื่องยุทโธปกรณ์ก็พินาศไป”
2ซมอ 2.22 อับเนอร์จึงบอกอาสาเฮลอีกครั้งหนึ่งว่า “จงหันกลับจากตามข้าเสียเถิด จะให้ข้าฟาดเจ้าให้ล้มลงดินทำไมเล่า แล้วข้าจะเงยหน้าขึ้นดูโยอาบพี่ของเจ้าได้อย่างไร”
2ซมอ 2.23 แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ยอมหันกลับ เพราะฉะนั้นอับเนอร์ก็เอาโคนหอกแทงท้องอาสาเฮล หอกก็ทะลุออกข้างหลังของเขา เขาก็ล้มลงตายอยู่ที่นั่น และอยู่มาทุกคนซึ่งมาเห็นที่ที่อาสาเฮลล้มตายอยู่ก็ยืนนิ่ง
2ซมอ 3.34 มือของท่านก็มิได้ถูกมัด เท้าของท่านก็มิได้ติดตรวน ท่านได้ล้มลงเหมือนอย่างคนล้มลงต่อหน้าคนชั่วร้าย” และประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้ถึงอับเนอร์อีก
2ซมอ 22.39 ข้าพระองค์ผลาญเขา ข้าพระองค์แทงเขาทะลุ เขาจึงไม่สามารถลุกขึ้นอีกได้พ่ะย่ะค่ะ เขาล้มลงใต้เท้าของข้าพระองค์แล้ว
1พกษ 16.10 ศิมรีได้เข้ามาฟันพระองค์ล้มลง และประหารพระองค์เสีย ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์ของยูดาห์แล้วก็ขึ้นครองแทนพระองค์
1พกษ 22.20 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘ผู้ใดจะเกลี้ยกล่อมอาหับเพื่อเขาจะขึ้นไปและล้มลงที่ราโมทกิเลอาด’ บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น
2พกษ 9.24 และเยฮูก็โก่งธนูด้วยสุดกำลัง ยิงถูกเยโฮรัมระหว่างพระอังสาทั้งสอง ลูกธนูจึงแทงทะลุพระหทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงล้มลงในรถรบของพระองค์
2พกษ 14.10 จริงอยู่ ท่านได้โจมตีเอโดม และพระทัยของท่านก็ทำให้ท่านผยองขึ้น จงพอใจในสง่าราศีของท่านเถิด และอยู่กับบ้าน เพราะไฉนท่านจึงเร้าใจตนเองให้ต่อสู้และรับอันตราย อันจะให้ท่านล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์ด้วย”
2พกษ 19.7 ดูเถิด เราจะบรรจุจิตใจอย่างหนึ่งในเขา เพื่อเขาจะได้ยินข่าวลือ และกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง’”
2พศด 18.19 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘ผู้ใดจะเกลี้ยกล่อมอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล เพื่อเขาจะขึ้นไปและล้มลงที่ราโมทกิเลอาด’ บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น
2พศด 25.19 ท่านว่า ‘ดูซิ ข้าพเจ้าได้โจมตีเอโดม’ และจิตใจของท่านก็ผยองขึ้นในความโอ้อวด แต่จงอยู่กับบ้านเถิด เพราะไฉนท่านจึงเร้าใจตนเองให้ต่อสู้และรับอันตราย อันจะให้ท่านล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์กับท่าน”
2พศด 29.9 เพราะดูเถิด บิดาทั้งหลายของเราได้ล้มลงด้วยดาบ และบุตรชายบุตรสาวกับภรรยาของเราได้เป็นเชลยเพราะเหตุนี้
อสธ 6.13 และฮามานเล่าทุกสิ่งที่อุบัติแก่ท่านให้เศเรชภรรยาของท่านและสหายทั้งหลายของท่านฟัง คนฉลาดของท่านและเศเรชภรรยาของท่านจึงว่า “ถ้าท่านเริ่มล้มลงต่อหน้าโมรเดคัยซึ่งเป็นเชื้อสายของยิว ท่านจะไม่ชนะเขา แต่จะล้มลงต่อหน้าเขาแน่”
โยบ 14.2 เขาออกมาเหมือนดอกไม้ แล้วก็ถูกตัดให้ล้มลง เขาลี้ไปอย่างเงา และไม่อยู่ต่อไปอีก
โยบ 41.9 ดูเถิด ความหวังของคนที่อาจสู้มันนั้นก็เป็นของเปล่า เมื่อเห็นมันเข้าเท่านั้น จะไม่ล้มลงหรือ
สดด 5.10 โอ ข้าแต่พระเจ้า โปรดทำลายพวกเขา และให้เขาทั้งหลายล้มลงด้วยความคิดเห็นของตนเอง เหตุการละเมิดเป็นอันมากนั้นขอทรงขับไล่เขาออกไปเนื่องจากเขาทั้งหลายได้กบฏต่อพระองค์
สดด 18.38 ข้าพระองค์ได้แทงเขาทะลุ เขาจึงไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก เขาล้มลงที่ใต้เท้าของข้าพระองค์
สดด 27.2 เมื่อคนชั่วได้เข้ามาหาข้าพเจ้าเพื่อจะกินเนื้อข้าพเจ้า คือปฏิปักษ์และคู่อริของข้าพเจ้า เขาได้สะดุดและล้มลง
สดด 59.11 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระโล่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขออย่าทรงสังหารเขาเสีย เกรงว่าชนชาติของข้าพระองค์จะลืม ขอให้เขาระหกระเหินไปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์และทำให้เขาล้มลง
สดด 63.10 เขาจะล้มลงด้วยดาบ เขาจะเป็นเหยื่อของสุนัขจิ้งจอก
สดด 82.7 ถึงกระนั้น ท่านก็จะตายอย่างมนุษย์และล้มลงเหมือนเจ้านายคนหนึ่งคนใด”
สดด 89.23 เราจะขยี้คู่อริของเขาต่อหน้าเขา และตีผู้ที่เกลียดเขาให้ล้มลง
สดด 107.12 พระองค์จึงทรงกระทำจิตใจของเขาทั้งหลายให้ถ่อมลงด้วยงานหนัก เขาล้มลงและไม่มีใครช่วย
สดด 118.13 เจ้าได้ผลักข้าพเจ้าอย่างแรงเพื่อให้ข้าพเจ้าล้มลง แต่พระเยโฮวาห์ทรงช่วยข้าพเจ้า
สดด 145.14 พระเยโฮวาห์ทรงชูทุกคนที่กำลังจะล้มลง และทรงยกทุกคนที่โน้มตัวลงให้ลุกขึ้น
สภษ 10.8 ผู้ที่มีใจประกอบด้วยปัญญาจะยอมรับบัญญัติ แต่คนที่พูดโง่ๆจะล้มลง
สภษ 10.10 ผู้ที่ขยิบตาก็ก่อความเศร้าโศก แต่คนที่พูดโง่ๆจะล้มลง
สภษ 11.5 ความชอบธรรมของคนที่ไร้ตำหนิย่อมรักษาทางของเขาให้ตรง แต่คนชั่วร้ายจะล้มลงด้วยความชั่วร้ายของเขาเอง
สภษ 11.14 ที่ไหนที่ไม่มีคำแนะนำ ประชาชนก็ล้มลง แต่ในที่ซึ่งมีที่ปรึกษามากย่อมมีความปลอดภัย
สภษ 24.16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก แต่คนชั่วร้ายจะตกอยู่ในอาการร้าย
ปญจ 4.10 ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พะยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง เพราะไม่มีผู้อื่นพะยุงยกเขาให้ลุกขึ้น
ปญจ 11.3 ถ้าบรรดาเมฆมีฝนอยู่เต็ม มันก็จะเททั้งหมดลงมาบนแผ่นดินโลก และถ้าต้นไม้ล้มลงทางใต้หรือทางเหนือ มันล้มลงตรงไหน มันก็นอนอยู่ตรงนั้น
อสย 3.25 พวกผู้ชายของเจ้าจะล้มลงด้วยดาบ และทแกล้วทหารของเจ้าจะล้มในสงคราม
อสย 8.15 และคนเป็นอันมากในพวกเขาจะสะดุดหินนั้น เขาทั้งหลายจะล้มลงและแตกหัก เขาจะติดบ่วงและถูกจับไป”
อสย 10.4 ปราศจากเราพวกเขาจะกราบลงอยู่กับนักโทษ เขาจะล้มลงในหมู่พวกคนที่ถูกฆ่า ถึงกระนั้นก็ดีพระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่
อสย 10.34 พระองค์จะทรงใช้ขวานเหล็กฟันป่าทึบ และเลบานอนจะล้มลงโดยคนมีอำนาจใหญ่โต
อสย 13.15 ทุกคนที่เขาพบเข้าก็จะถูกแทงทะลุ และทุกคนที่รวมเข้าด้วยกันกับพวกเขาก็จะล้มลงด้วยดาบ
อสย 26.18 ข้าพระองค์มีครรภ์ ข้าพระองค์บิดตัว เป็นเหมือนข้าพระองค์คลอดลม ข้าพระองค์มิได้ทำการช่วยให้พ้นในแผ่นดินโลก และชาวพิภพมิได้ล้มลง
อสย 31.8 และคนอัสซีเรียจะล้มลงด้วยดาบซึ่งไม่ใช่ของชายฉกรรจ์ และดาบซึ่งไม่ใช่ของคนต่ำต้อยจะกินเขาเสีย และเขาจะหนีจากดาบและคนหนุ่มของเขาจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
อสย 34.7 ม้ายูนิคอนจะล้มลงพร้อมกับเขาด้วย และวัวหนุ่มจะล้มอยู่กับวัวที่ฉกรรจ์ แผ่นดินของเขาจะโชกไปด้วยเลือด และดินจะได้อุดมด้วยไขมัน
อสย 37.7 ดูเถิด เราจะบรรจุจิตใจอย่างหนึ่งในเขา เพื่อเขาจะได้ยินข่าวลือ และกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง’”
อสย 40.30 แม้คนหนุ่มๆจะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว
อสย 54.15 ดูเถิด พวกเขาจะปลุกปั่นให้เกิดการแก่งแย่งเป็นแน่ แต่ก็มิใช่เพราะมาจากเรา ผู้ใดปลุกปั่นให้เกิดการแก่งแย่งกับเจ้า ผู้นั้นจะล้มลงเพราะเจ้า
อสย 59.14 ความยุติธรรมก็หันกลับ และความเที่ยงธรรมก็ยืนอยู่แต่ไกล เพราะความจริงล้มลงที่ถนนเสียแล้ว และความเที่ยงตรงเข้าไปไม่ได้
ยรม 6.15 เขาละอายหรือเมื่อเขากระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลย เขาหน้าแดงด้วยความละอายไม่เป็นเลย เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราลงอาญาเขาทั้งหลาย เขาจะล้มคว่ำลง” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 8.4 เจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เมื่อมนุษย์ล้มลง เขาจะไม่ลุกขึ้นอีกหรือ ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดหันไป เขาจะไม่หันกลับมาหรือ
ยรม 8.12 เมื่อเขากระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน เขาละอายหรือ เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลย เขาหน้าแดงด้วยความละอายไม่เป็นเลย เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว ในเวลาแห่งการลงอาญาเขาทั้งหลาย เขาจะล้มคว่ำลง พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 9.22 จงพูดว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ศพมนุษย์จะล้มลงเหมือนมูลสัตว์ตกตามพื้นทุ่ง เหมือนฟ่อนข้าวล้มตามผู้เกี่ยว และไม่มีผู้ใดจะเก็บ’”
ยรม 19.7 และในสถานที่นี้เราจะกระทำให้แผนงานของยูดาห์และเยรูซาเล็มสูญสิ้นไป และจะกระทำให้เขาทั้งสองล้มลงด้วยดาบต่อหน้าศัตรูของเขาทั้งหลาย และด้วยมือของบรรดาผู้ที่แสวงหาชีวิตของเขา เราจะให้ศพของเขาทั้งหลายเป็นอาหารของนกในอากาศและสัตว์ที่แผ่นดินโลก
ยรม 20.4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำเจ้าให้เป็นที่น่าหวาดเสียวต่อตัวเจ้าเอง และต่อมิตรสหายทั้งสิ้นของเจ้า เขาทั้งหลายจะล้มลงด้วยดาบของศัตรูของเขา ขณะที่ตาเจ้ามองดูอยู่ และเราจะมอบยูดาห์ทั้งสิ้นไว้ในมือของกษัตริย์บาบิโลน เขาจะกวาดเอาไปเป็นเชลยยังบาบิโลน และจะฆ่าเสียด้วยดาบ
ยรม 23.12 เพราะฉะนั้น หนทางของเขาทั้งหลายจะเป็นเหมือนทางลื่นในความมืดแก่เขา เขาจะถูกขับไล่เข้าไปและล้มลงในนั้น เพราะเราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเขาในปีแห่งการลงโทษเขา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 25.27 “แล้วเจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงดื่มให้เมาแล้วก็อาเจียน จงล้มลงและอย่าลุกขึ้นอีกเลย เนื่องด้วยดาบซึ่งเราจะส่งมาท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย’
ยรม 25.34 ท่านผู้เลี้ยงแกะทั้งหลายเอ๋ย จงคร่ำครวญและร้องเถิด ท่านเจ้าของฝูงแกะ จงกลิ้งเกลือกในขี้เถ้า เพราะวันเวลาของการสังหารเจ้าและที่เจ้าต้องกระจัดกระจายมาถึงแล้ว และเจ้าทั้งหลายจะล้มลงเหมือนภาชนะงาม
ยรม 25.37 และคอกแกะที่สงบสุขก็ถูกตัดให้ล้มลงเสียแล้ว เนื่องด้วยความกริ้วอันแรงกล้าของพระเยโฮวาห์
ยรม 39.18 เพราะเราจะช่วยเจ้าให้พ้นเป็นแน่ และเจ้าจะไม่ล้มลงด้วยดาบ แต่เจ้าจะมีชีวิตเป็นบำเหน็จแห่งการสงคราม เพราะเจ้าได้ไว้วางใจในเรา พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ”
ยรม 44.12 เราจะเอาชนยูดาห์ที่เหลืออยู่ ผู้ซึ่งมุ่งหน้ามาที่แผ่นดินอียิปต์เพื่อจะอาศัยอยู่นั้น และเขาทั้งหลายจะถูกผลาญเสียหมด เขาจะล้มลงในแผ่นดินอียิปต์ เขาจะถูกผลาญด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร ตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด เขาทั้งหลายจะตายด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร และเขาจะกลายเป็นคำสาป เป็นที่น่าตกตะลึง เป็นคำแช่งและเป็นที่นินทา
ยรม 46.5 ทำไมเราเห็นเขาทั้งหลายครั่นคร้ามและหันหลังกลับ นักรบของเขาทั้งหลายถูกตีล้มลงและได้เร่งหนีไป เขาทั้งหลายไม่เหลียวกลับ ความสยดสยองอยู่ทุกด้าน พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 46.6 คนเร็วก็หนีไปไม่ได้ นักรบก็หนีไปไม่รอด เขาทั้งหลายจะสะดุดและล้มลงในแดนเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส
ยรม 46.12 บรรดาประชาชาติได้ยินถึงความอายของเจ้า และแผ่นดินก็เต็มด้วยเสียงร้องของเจ้า เพราะว่านักรบสะดุดกัน เขาทั้งหลายได้ล้มลงด้วยกัน”
ยรม 46.15 ทำไมชายที่กล้าหาญของเจ้าจึงหนีเสียเล่า พวกเขาไม่ยืนมั่นอยู่ เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงผลักเขาล้มลง
ยรม 46.16 พระองค์ทรงทำให้คนเป็นอันมากสะดุด เออ เขาล้มลงกันและกัน และเขาทั้งหลายพูดว่า ‘ลุกขึ้นเถอะ ให้เรากลับไปยังชนชาติของเรา ไปยังแผ่นดินที่เราถือกำเนิด เพราะเรื่องดาบของผู้บีบบังคับ’
ยรม 49.26 เพราะฉะนั้นคนหนุ่มๆของเมืองนั้นจะล้มลงตามถนนทั้งหลายในเมืองนั้น และบรรดาทหารของเมืองนั้นจะถูกตัดออกในวันนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ยรม 50.15 จงเปล่งเสียงโห่ร้องสู้เธอให้รอบข้าง เธอยอมแพ้แล้ว รากฐานของเธอล้มลงแล้ว กำแพงของเธอถูกพังลงมาแล้ว เพราะนี่เป็นการแก้แค้นของพระเยโฮวาห์ จงทำการแก้แค้นเธอ ทำกับเธออย่างที่เธอได้กระทำมาแล้ว
ยรม 50.30 เพราะฉะนั้น คนหนุ่มๆของเธอจะล้มลงตามถนนทั้งหลาย และทหารของเธอทั้งสิ้นจะถูกตัดออกในวันนั้น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้
ยรม 50.32 ผู้จองหองจะสะดุดและล้มลง จะไม่มีผู้ใดพยุงเขาขึ้นได้ และเราจะก่อไฟในบรรดาหัวเมืองของเขา และไฟจะกินบรรดาที่อยู่รอบเขาเสียสิ้น
ยรม 51.4 ดังนั้นเขาทั้งหลายจะถูกฆ่าล้มลงในแผ่นดินของชาวเคลเดีย และจะถูกแทงทะลุที่ถนนเมืองนั้น
ยรม 51.8 บาบิโลนได้ล้มลงและแตกไปอย่างฉับพลัน จงคร่ำครวญเพื่อเธอเถิด จงเอาพิมเสนมาให้เธอบรรเทาปวด ชะรอยจะรักษาเธอให้หายได้กระมัง
ยรม 51.44 และเราจะลงโทษพระเบลในบาบิโลน ท่านกลืนอะไรเข้าไปแล้ว เราจะเอาออกจากปากท่านเสีย บรรดาประชาชาติจะไม่ไหลไปหาท่านอีก เออ กำแพงแห่งบาบิโลนจะล้มลง
ยรม 51.47 เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะลงโทษรูปเคารพสลักแห่งบาบิโลน แผ่นดินทั้งสิ้นของเธอจะต้องได้อาย และบรรดาชาวบาบิโลนซึ่งถูกฆ่าจะล้มลงที่ท่ามกลางเธอ
ยรม 51.49 บาบิโลนทำให้คนอิสราเอลที่ถูกฆ่าล้มลงฉันใด คนที่ถูกฆ่าแห่งแผ่นดินโลกทั้งมวลจะต้องล้มลงที่บาบิโลนฉันนั้น
พคค 2.21 คนหนุ่มและคนแก่นอนเหยียดอยู่ตามพื้นดินในถนน สาวพรหมจารีและชายหนุ่มของข้าพระองค์ถูกคมดาบหวดล้มลงแล้ว พระองค์ได้ทรงประหารเขาในวันเมื่อพระองค์ทรงกริ้ว ได้ทรงสังหารเขาเสียโดยปราศจากพระกรุณา
อสค 6.7 และคนที่ถูกฆ่าจะล้มลงท่ามกลางเจ้า และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 6.11 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงตบมือและกระทืบเท้าของเจ้า และกล่าวว่า อนิจจาสำหรับการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นแห่งวงศ์วานอิสราเอล เหตุว่าเขาทั้งหลายจะล้มลงด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหารและด้วยโรคระบาด
อสค 11.10 เจ้าจะถูกดาบล้มลง เราจะลงโทษเจ้าที่พรมแดนอิสราเอล และเจ้าจะได้ทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 17.21 และบรรดาผู้ลี้ภัยกับกองทัพทั้งสิ้นของเขานั้นจะล้มลงด้วยดาบ และผู้ที่เหลืออยู่จะกระจายไปตามลมทุกทิศานุทิศ และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์ที่ได้ลั่นวาจาไว้แล้ว”
อสค 23.25 และเราจะมุ่งความร้อนรนของเราต่อสู้เจ้า และเขาจะกระทำกับเจ้าด้วยความเกรี้ยวกราด เขาจะตัดจมูกและตัดหูของเจ้าออกเสีย และผู้ที่รอดตายจะล้มลงด้วยดาบ เขาจะจับบุตรชายและบุตรสาวของเจ้า และคนที่รอดตายของเจ้าจะถูกเผาด้วยไฟ
อสค 24.21 จงกล่าวแก่วงศ์วานอิสราเอลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะลบหลู่สถานบริสุทธิ์ของเราอันเป็นความล้ำเลิศในอำนาจของเจ้า ความปรารถนาแห่งตาของเจ้า และสิ่งที่จิตวิญญาณของเจ้าห่วงใย บุตรชายหญิงของเจ้าซึ่งเจ้าทิ้งไว้เบื้องหลังจะล้มลงด้วยดาบ
อสค 25.13 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า เราจะเหยียดมือของเราออกเหนือเอโดมด้วย และจะตัดคนและสัตว์ออกเสียจากเมืองนั้น และเราจะกระทำให้เมืองนั้นรกร้างตั้งแต่เมืองเทมาน และชาวเมืองเดดานก็จะล้มลงด้วยดาบ
อสค 26.11 ท่านจะย่ำที่ถนนทั้งปวงของเจ้าด้วยกีบม้า ท่านจะฆ่าชนชาติของเจ้าเสียด้วยดาบ และเสาอันแข็งแรงของเจ้าจะล้มลงถึงดิน
อสค 26.18 บัดนี้ เกาะทั้งหลายก็จะสั่นสะเทือนในวันที่เจ้าล้มลง เออ บรรดาเกาะที่อยู่ในทะเลก็จะกลัวเพราะเจ้าสิ้นไปเสีย’
อสค 28.23 เพราะเราจะส่งโรคระบาดเข้ามาในเมืองนั้น และส่งโลหิตเข้ามาในถนนของเมืองนั้น คนที่ถูกบาดเจ็บจะล้มลงท่ามกลางเมืองนั้น ล้มลงด้วยดาบที่อยู่รอบเมืองนั้นทุกด้าน แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 30.5 เอธิโอเปีย และพูต และลูด และคนที่ปะปนกันทั้งปวง และลิเบีย และประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นที่อยู่ในสันนิบาตจะล้มลงพร้อมกับเขาด้วยดาบ
อสค 30.6 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ผู้เหล่านั้นที่สนับสนุนอียิปต์จะล่มจม และอานุภาพอันผยองของมันจะลงมา และจากหอคอยแห่งสิเอเน เขาจะล้มลงภายในประเทศนั้นด้วยดาบ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
อสค 30.17 ชายฉกรรจ์ของเมืองอาเวนและเมืองพีเบเสทจะล้มลงด้วยดาบ และเมืองนั้นจะตกไปเป็นเชลย
อสค 32.10 เออ เมื่อเราแกว่งดาบของเราต่อหน้าเขาทั้งหลาย เราจะกระทำให้ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากแลตะลึงที่ท่าน และกษัตริย์ของเขาทั้งหลายจะสะทกสะท้านเพราะท่าน ในวันที่ท่านล้มลงนั้น เขาทั้งหลายจะตัวสั่นทุกขณะจิตทั่วกันเพราะห่วงชีวิตของตนเอง
อสค 32.12 เราจะทำให้หมู่นิกรของท่านล้มลงด้วยดาบของผู้มีกำลัง ทุกคนก็ล้วนเป็นที่ทารุณที่สุดในบรรดาประชาชาติ เขาจะนำความทะเยอทะยานของอียิปต์ให้มาถึงที่สิ้นสุด และหมู่นิกรทั้งสิ้นของมันจะพินาศ
อสค 32.20 เขาทั้งหลายจะล้มลงกลางบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ มีดาบกำหนดไว้แล้ว จงลากอียิปต์ไปเสียพร้อมกับหมู่นิกรทั้งสิ้นของเขา
อสค 32.22 อัสซูรก็อยู่ที่นั่นรวมทั้งคณะ มีหลุมศพอยู่รอบตัว ทุกคนถูกฆ่าและล้มลงด้วยดาบ
อสค 32.23 ที่ฝังศพของคนเหล่านี้อยู่ที่แดนมรณาส่วนที่ไกลที่สุด และคณะของเธอก็อยู่รอบหลุมฝังศพของเธอ ทุกคนถูกฆ่า ล้มลงด้วยดาบ เป็นพวกที่ให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น
อสค 32.24 เอลามก็อยู่ที่นั่น ทั้งหมู่นิกรทั้งสิ้นก็อยู่รอบหลุมศพของเธอ ทุกคนถูกฆ่า และล้มลงด้วยดาบ ผู้ลงไปสู่โลกบาดาลโดยไม่เข้าสุหนัต เป็นพวกที่ให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น และเขาต้องทนรับความอับอายขายหน้ากับผู้ที่ลงไปปากแดนคนตาย
อสค 32.27 เขาทั้งหลายจะไม่ได้นอนอยู่กับผู้แกล้วกล้าในจำพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตที่ได้ล้มลง ลงไปยังนรกพร้อมกับยุทโธปกรณ์ของเขา ผู้ซึ่งมีดาบวางไว้ใต้ศีรษะของเขา และความชั่วช้าก็อยู่บนกระดูกของเขา เพราะว่าเขาให้ผู้แกล้วกล้าครั่นคร้ามอยู่ในแผ่นดินของคนเป็น
อสค 33.12 เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาติของเจ้าว่า ความชอบธรรมของผู้ชอบธรรมจะไม่ช่วยเขาให้พ้นในวันที่เขาละเมิด ส่วนความชั่วของคนชั่วนั้นจะไม่กระทำให้เขาล้มลงในวันที่เขาหันกลับจากความชั่วของเขา และคนชอบธรรมจะไม่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความชอบธรรมในวันที่เขากระทำบาป
อสค 33.27 จงกล่าวเช่นนี้แก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด บรรดาคนที่อยู่ในที่ร้างเปล่าจะต้องล้มลงด้วยดาบ และคนที่อยู่ที่พื้นทุ่ง เราจะมอบให้เป็นอาหารแก่สัตว์ป่า และบรรดาคนเหล่านั้นที่อยู่ในที่กำบังเข้มแข็งและอยู่ในถ้ำจะตายด้วยโรคระบาด
อสค 35.8 ภูเขาของเขานั้น เราจะให้มีผู้ที่ถูกฆ่าเต็มไปหมด ผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบจะล้มลงตามเนินเขาของเจ้า ตามหุบเขาของเจ้า และในห้วยทั้งสิ้นของเจ้า
อสค 38.20 ปลาที่ทะเลและนกในอากาศ และสัตว์ป่าทุ่งและบรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่คลานอยู่บนแผ่นดิน และประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่บนพื้นพิภพจะสั่นสะเทือนต่อหน้าเรา ภูเขาจะพังทลายลง และหน้าผาจะพัง และกำแพงทุกแห่งจะล้มลงที่ดิน
อสค 39.4 เจ้าจะล้มลงบนภูเขาแห่งอิสราเอล ทั้งเจ้าและกองทัพทั้งสิ้นของเจ้า และชนชาติทั้งหลายที่อยู่กับเจ้า เราจะมอบเจ้าให้เป็นอาหารแก่เหยี่ยวทุกชนิดและแก่สัตว์ป่าทุ่ง
อสค 39.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เจ้าจะล้มลงบนพื้นทุ่ง เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว
อสค 39.23 และประชาชาติทั้งหลายจะทราบว่า วงศ์วานอิสราเอลได้ถูกกวาดไปเป็นเชลยเพราะเหตุความชั่วช้าของเขา เพราะเขาได้ละเมิดต่อเรา ดังนั้นเราจึงซ่อนหน้าของเราเสียจากเขา และมอบเขาไว้ในมือพวกศัตรูของเขา เขาจึงล้มลงด้วยดาบสิ้นทุกคน
ดนล 7.9 ขณะที่ข้าพเจ้าดูอยู่มีหลายบัลลังก์ถูกล้มลง และผู้หนึ่งผู้เจริญด้วยวัยวุฒิมาประทับ ฉลองพระองค์ขาวอย่างหิมะ พระเกศาที่พระเศียรของพระองค์เหมือนขนแกะบริสุทธิ์ พระบัลลังก์ของพระองค์เป็นเปลวเพลิง กงจักรของบัลลังก์นั้นเป็นไฟลุก
ดนล 11.19 แล้วท่านจะหันหน้ามุ่งตรงไปยังป้อมปราการแห่งแผ่นดินของท่านเอง แต่ท่านก็จะสะดุดและล้มลง หาตัวไม่พบอีกต่อไป
ดนล 11.33 และในหมู่ประชาชนคนเหล่านั้นที่ฉลาดจะกระทำให้คนเป็นอันมากเข้าใจ แม้ว่าเขาจะล้มลงด้วยดาบหรือด้วยเปลวไฟ ด้วยการเป็นเชลย ด้วยถูกปล้นหลายวันเวลา
ดนล 11.34 เมื่อพวกเขาล้มลงนั้น เขาจะได้รับความช่วยเหลือเล็กน้อย และจะมีคนมากด้วยกันที่ร่วมเข้ากับความสอพลอ
ดนล 11.35 คนที่ฉลาดบางคนจะล้มลงเพื่อถลุงและชำระเขาทั้งหลายให้ขาวสะอาด จนกว่าจะถึงเวลาสุดท้าย เพราะวาระก็จะมาตามเวลากำหนด
ฮชย 7.7 ทุกคนก็ร้อนอย่างกับเตาอบ และเขมือบผู้ครอบครองทั้งหลายของเขา กษัตริย์ทั้งสิ้นของเขาก็ล้มลง แต่ไม่มีใครท่ามกลางพวกเขาที่ร้องถึงเรา
ฮชย 7.16 เขากลับไป แต่ไม่กลับไปหาพระองค์ผู้สูงสุด เขาเป็นคันธนูที่หลอกลวง เจ้านายของเขาจะล้มลงด้วยดาบเพราะลิ้นที่โทโสของเขา เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ให้เขาเย้ยหยันกันในแผ่นดินอียิปต์
ฮชย 13.16 สะมาเรียจะกลายเป็นที่รกร้าง เพราะเธอได้กบฏต่อพระเจ้าของเธอ เขาทั้งหลายจะล้มลงด้วยดาบ ทารกของเขาจะถูกจับโยนลงให้แหลกเป็นชิ้นๆ และหญิงมีครรภ์จะถูกผ่าท้อง
อมส 5.2 “พรหมจารีอิสราเอลล้มลงแล้ว และเธอจะไม่ลุกขึ้นอีก เธอถูกทิ้งไว้บนแผ่นดินของเธอ ไม่มีผู้ใดพยุงเธอขึ้นอีก”
อมส 7.17 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จึงตรัสดังนี้ว่า ‘ภรรยาของท่านจะเป็นหญิงโสเภณีที่ในเมือง บุตรชายหญิงของท่านจะล้มลงตายด้วยดาบ และที่ดินของท่านเขาจะขึงเส้นแบ่งออก ตัวท่านเองจะสิ้นชีวิตในแผ่นดินที่ไม่สะอาด และอิสราเอลจะต้องตกไปเป็นเชลยห่างจากแผ่นดินของตนเป็นแน่’”
อมส 8.14 บรรดาผู้ที่ปฏิญาณโดยความบาปแห่งสะมาเรีย และกล่าวว่า ‘โอ ดานเอ๋ย พระของท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด’ และว่า ‘พระมรรคาของเบเออร์เชบามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด’ เขาเหล่านี้จะล้มลง และจะไม่ลุกขึ้นอีกเลย”
มคา 7.8 โอ ศัตรูของข้าพเจ้าเอ๋ย อย่าเปรมปรีดิ์เย้ยข้าพเจ้าเลย เมื่อข้าพเจ้าล้มลง ข้าพเจ้าจะลุกขึ้นอีก เมื่อข้าพเจ้านั่งอยู่ในความมืด พระเยโฮวาห์จะทรงเป็นความสว่างแก่ข้าพเจ้า
ฮกก 2.22 และเราจะคว่ำพระที่นั่งของบรรดาราชอาณาจักร เราจะทำลายเรี่ยวแรงของบรรดาราชอาณาจักรแห่งประชาชาติ และจะคว่ำรถรบกับผู้ขับขี่ ม้าและผู้ขับขี่จะต้องล้มลง คือทุกคนจะต้องล้มลงด้วยดาบแห่งพี่น้องของเขา
มก 9.20 เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์แล้ว ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชักล้มลงกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก
ลก 2.34 แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดาของพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อนท่าน ทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนปฏิเสธ
ลก 4.35 พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า “จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซิ” เมื่อผีนั้นได้ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางประชาชนแล้ว ก็ออกมาจากเขา แต่มิได้ทำอันตรายเขาเลย
ลก 21.24 เขาจะล้มลงด้วยคมดาบ และต้องถูกกวาดเอาไปเป็นเชลยทั่วทุกประชาชาติ และคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน
ยน 18.6 เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราคือผู้นั้นแหละ” เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่ดิน
กจ 5.5 เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้นก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงได้ยินเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง
กจ 5.10 ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง
กจ 9.4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
กจ 22.7 ข้าพเจ้าจึงล้มลงที่ดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม’
กจ 28.6 ฝ่ายเขาทั้งหลายคอยดูอยู่ คิดว่าท่านจะบวมขึ้นหรือจะล้มลงตายทันที แต่ครั้นเขาคอยดูอยู่ช้านานมิได้เห็นท่านเป็นอะไร เขาจึงกลับถือว่าท่านเป็นพระ
รม 14.13 ดังนั้นเราอย่ากล่าวโทษกันและกันอีกเลย แต่จงตัดสินใจเสียดีกว่า คืออย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดวางสิ่งซึ่งให้สะดุด หรือสิ่งซึ่งเป็นเหตุให้ล้มลงไว้ต่อหน้าพี่น้อง
1คร 10.8 อย่าให้เรากระทำล่วงประเวณี เหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ แล้วก็ล้มลงตายในวันเดียวสองหมื่นสามพันคน
1คร 10.12 เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง
ยด 1.24 บัดนี้แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถคุ้มครองรักษาท่านมิให้ล้มลง และทรงนำท่านให้ตั้งอยู่จำเพาะสง่าราศีของพระองค์โดยปราศจากตำหนิ และมีความร่าเริงยินดีอย่างเหลือล้น
วว 1.17 เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ ข้าพเจ้าก็ล้มลงแทบพระบาทของพระองค์เหมือนกับคนที่ตายแล้ว แต่พระองค์ทรงแตะตัวข้าพเจ้าด้วยพระหัตถ์เบื้องขวา แล้วตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย

ล้มละลาย ( 4 )
สภษ 5.14 ข้าจวนจะล้มละลายสู่ความพินาศอยู่รอมร่อ ในหมู่ชุมนุมชนและคนที่ประชุมกันอยู่นั้น”
สภษ 11.28 บุคคลผู้วางใจในความมั่งคั่งของตนจะล้มละลาย แต่คนชอบธรรมจะรุ่งเรืองอย่างใบไม้เขียว
กจ 5.38 ในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง
กจ 27.20 และเมื่อไม่เห็นดวงอาทิตย์หรือดวงดาวตั้งหลายวันแล้ว และยังถูกพายุใหญ่อยู่ ความหวังที่เราทั้งหลายจะรอดนั้นก็ล้มละลายไป

ล้มลุกคลุกคลาน ( 1 )
พคค 5.13 พวกคนหนุ่มถูกบังคับให้โม่แป้ง และพวกเด็กต้องแบกฟืนหนักล้มลุกคลุกคลาน

ล้มเลิก ( 5 )
ศฟย 3.15 พระเยโฮวาห์ทรงล้มเลิกการพิพากษาลงโทษเจ้าแล้ว พระองค์ทรงขับไล่ศัตรูของเจ้าออกไปแล้ว กษัตริย์แห่งอิสราเอลคือพระเยโฮวาห์ทรงอยู่ท่ามกลางเจ้า เจ้าจะไม่พบความชั่วร้ายอีกต่อไป
ศคย 11.10 ข้าพเจ้าก็เอาไม้เท้าที่ชื่อ พระคุณ นั้นมาหัก เพื่อล้มเลิกพันธสัญญาซึ่งข้าพเจ้าได้ทำไว้กับชนชาติทั้งหลายเสีย
ศคย 11.11 จึงเป็นอันล้มเลิกในวันนั้น และพวกที่น่าสงสารแห่งฝูงแกะ ผู้ซึ่งคอยดูข้าพเจ้าอยู่ก็รู้ว่า นั่นเป็นพระวจนะของพระเยโฮวาห์
ศคย 11.14 แล้วข้าพเจ้าก็หักไม้เท้าอันที่สองที่ชื่อ สหภาพ นั้นเสีย ล้มเลิกภราดรภาพระหว่างยูดาห์และอิสราเอล
กท 3.15 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอพูดตามอย่างมนุษย์ ถึงแม้เป็นคำสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้รับรองกันแล้วไม่มีผู้ใดจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้

ลมๆแล้งๆ ( 2 )
โยบ 15.2 “ควรที่คนมีปัญญาจะตอบด้วยความรู้ลมๆแล้งๆหรือ และบรรจุลมตะวันออกให้เต็มท้อง
ฮชย 10.4 เขาพูดพล่อยๆ เขาทำพันธสัญญาด้วยคำปฏิญาณลมๆแล้งๆ การพิพากษาจึงงอกงามขึ้นมาเหมือนดีหมีอยู่ในร่องรอยไถที่ในทุ่งนา

ลมแล้ง ( 1 )
ปญจ 5.16 นี่เป็นสิ่งสามานย์อันน่าสลดใจอีก คือเขาได้เกิดมาอย่างไรเขาก็ต้องไปอย่างนั้น เขาจะได้ประโยชน์อะไรเล่าที่เขาได้ลงแรงเพื่อลมแล้ง

ล่มสลาย ( 1 )
ลก 11.17 แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสกับเขาว่า “ราชอาณาจักรใดๆซึ่งแตกแยกกันเองก็จะรกร้างไป ครัวเรือนใดๆซึ่งแตกแยกกับครัวเรือนก็จะล่มสลาย

ลมหมุน ( 29 )
2พกษ 2.1 และอยู่มาเมื่อถึงเวลาที่พระเยโฮวาห์จะทรงรับเอลียาห์ขึ้นไปสู่สวรรค์ด้วยลมหมุน เอลียาห์และเอลีชากำลังเดินทางจากหมู่บ้านกิลกาล
2พกษ 2.11 และอยู่มาเมื่อท่านทั้งสองยังเดินพูดกันต่อไป ดูเถิด รถเพลิงคันหนึ่งและม้าเพลิงได้แยกท่านทั้งสองออกจากกัน และเอลียาห์ได้ขึ้นไปโดยลมหมุนเข้าสวรรค์
โยบ 37.9 ลมหมุนออกมาจากห้องทิศใต้ และความหนาวมาจากลมเหนือ
โยบ 38.1 แล้วพระเยโฮวาห์ทรงตอบโยบออกมาจากลมหมุนว่า
โยบ 40.6 แล้วพระเยโฮวาห์ทรงตอบโยบออกมาจากลมหมุนว่า
สดด 58.9 ก่อนหม้อของเจ้าจะรู้สึกร้อนจากหนามทั้งเป็น พระองค์จะทรงกวาดหนามเหล่านั้นไปเสียเหมือนลมหมุน และด้วยพระพิโรธของพระองค์
สภษ 1.27 เมื่อความหวาดกลัวของเจ้ามาถึงอย่างการรกร้างว่างเปล่า และความพินาศของเจ้ามาถึงอย่างลมหมุน เมื่อความซึมเศร้าและความปวดร้าวมาถึงเจ้า
สภษ 10.25 ลมหมุนผ่านไปฉันใด คนชั่วก็ไม่มีอีกฉันนั้น แต่คนชอบธรรมเป็นรากฐานที่อยู่เป็นนิตย์
อสย 5.28 ลูกธนูของเขาก็แหลม บรรดาคันธนูของเขาก็ก่งไว้ กีบม้าทั้งหลายของเขาจะเหมือนกับหินเหล็กไฟ และล้อของเขาทั้งหลายเหมือนลมหมุน
อสย 17.13 ชนชาติทั้งหลายครืนๆเหมือนเสียงครืนๆของน้ำเป็นอันมาก แต่พระเจ้าจะทรงขนาบไว้ และมันจะหนีไปไกลเสีย จะถูกไล่ไปเหมือนแกลบต้องลมบนภูเขา เหมือนพืชแห้งปลิวไปต่อหน้าลมหมุน
อสย 21.1 ภาระเกี่ยวกับถิ่นทุรกันดารของทะเล เหมือนลมหมุนในภาคใต้พัดเกลี้ยงไป มันมาจากถิ่นทุรกันดาร จากแผ่นดินอันน่าคร้ามกลัว
อสย 40.24 พอปลูกเขาเหล่านั้นเสร็จ พอหว่านเสร็จ พอที่รากหยั่งลง พระองค์ก็จะเป่ามาบนเขา เขาก็จะเหี่ยวแห้งไป และลมหมุนก็จะพัดพาเขาไปเหมือนตอข้าว
อสย 41.16 เจ้าจะซัดมันและลมจะพัดมันไปเสีย และลมหมุนจะกระจายมัน และเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเยโฮวาห์ เจ้าจะอวดอ้างในองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
อสย 66.15 เพราะ ดูเถิด พระเยโฮวาห์จะเสด็จมาด้วยไฟ และรถรบของพระองค์เหมือนลมหมุน เพื่อสนองเขาด้วยความกริ้วของพระองค์อย่างเกรี้ยวกราด และด้วยการขนาบของพระองค์พร้อมด้วยเปลวเพลิง
ยรม 4.13 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาเหมือนเมฆ รถรบของเขาจะเหมือนลมหมุน ม้าทั้งหลายของเขาเร็วยิ่งกว่านกอินทรี วิบัติแก่เราทั้งหลาย เพราะว่าเราจะต้องพินาศ
ยรม 23.19 ดูเถิด นั่นลมหมุนของพระเยโฮวาห์ได้ออกไปแล้วด้วยพระพิโรธ เป็นลมหมุนอย่างรุนแรง มันจะตกหนักบนศีรษะของคนชั่ว
ยรม 25.32 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ‘ดูเถิด ความร้ายจะไปจากประชาชาตินี้ถึงประชาชาตินั้น และลมหมุนใหญ่จะปั่นป่วนขึ้นมาจากส่วนพิภพโลกที่ไกลที่สุด
ยรม 30.23 ดูเถิด นั่นลมหมุนของพระเยโฮวาห์ได้ออกไปแล้วด้วยพระพิโรธ เป็นลมหมุนกวาด มันจะตกลงอย่างเจ็บปวดบนศีรษะของคนชั่ว
อสค 1.4 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดู ลมหมุนก็พัดมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่ที่มีความสว่างอยู่รอบ และมีไฟลุกวาบออกมาอยู่เสมอ ท่ามกลางไฟนั้นดูประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ ซึ่งออกมาจากท่ามกลางไฟนั้น
ดนล 11.40 พอถึงเวลาวาระสุดท้ายกษัตริย์แห่งถิ่นใต้จะมาสู้กับเขา และกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือจะพุ่งเข้าใส่ท่านอย่างลมหมุน พร้อมด้วยรถรบและพลม้าและเรือรบเป็นอันมาก เขาจะเข้ามาในประเทศต่างๆ แล้วไหลท่วมและผ่านไป
ฮชย 8.7 เพราะว่าเขาหว่านลม เขาจึงต้องเกี่ยวลมหมุน ต้นข้าวไม่มีรวง จะไม่เกิดข้าวสำหรับทำแป้ง ถึงจะเกิด คนต่างด้าวก็เอาไปกิน
ฮชย 13.3 เพราะฉะนั้นเขาจึงเหมือนหมอกในเวลาเช้า หรือเหมือนน้ำค้างที่หายไปตั้งแต่เช้า เหมือนแกลบที่ลมหมุนพัดไปจากลานนวดข้าว หรือเหมือนควันที่ออกมาจากช่องลม
อมส 1.14 แต่ เราจะจุดไฟขึ้นในกำแพงเมืองรับบาห์ และไฟจะเผาผลาญปราสาททั้งหลายของเมืองนั้นเสีย พร้อมด้วยเสียงโห่ร้องในวันทำศึก พร้อมด้วยพายุอันแรงกล้าในวันที่มีลมหมุน
นฮม 1.3 พระเยโฮวาห์ทรงกริ้วช้า ทรงฤทธานุภาพใหญ่ยิ่ง พระองค์จะไม่ทรงงดโทษคนชั่วเลย พระมรรคาของพระเยโฮวาห์อยู่ในลมหมุนและพายุ และเมฆเป็นผงคลีแห่งพระบาทของพระองค์
ฮบก 3.14 พระองค์ทรงแทงหัวหน้าหมู่บ้านของเขาด้วยหอกของพระองค์ ผู้มาอย่างลมหมุนเพื่อจะกระจายข้าพเจ้าเสีย เขาจะเปรมปรีดิ์ดังว่าจะกินคนจนเสียเป็นความลับ
ศคย 7.14 และเราก็ให้เขากระจัดกระจายไปด้วยลมหมุนท่ามกลางประชาชาติทั้งสิ้นซึ่งเขาไม่รู้จัก ดังนั้นแผ่นดินจึงรกร้างอยู่เบื้องหลังเขา ไม่มีใครผ่านไปหรือกลับเข้าไป เพราะเขาได้ปล่อยให้แผ่นดินที่น่าพึงพอใจนั้นรกร้างไปเสียแล้ว”
ศคย 9.14 แล้วพระเยโฮวาห์จะทรงปรากฏเหนือเขาทั้งหลาย และลูกธนูของพระองค์จะออกไปเหมือนฟ้าแลบ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะทรงเป่าแตร และจะเสด็จไปในลมหมุนทิศใต้

ลมหายใจ ( 34 )
1พกษ 17.17 และอยู่มาภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ บุตรชายของหญิงคนนั้นผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ล้มป่วย อาการป่วยนั้นก็สาหัส จนไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว
โยบ 4.9 เขาพินาศด้วยลมหายใจของพระเจ้า และเขาต้องสิ้นไปด้วยลมแห่งพระนาสิกของพระองค์
โยบ 7.7 โอ ขอทรงจำไว้ว่า ชีวิตของข้าพระองค์เป็นแต่ลมหายใจ ตาของข้าพระองค์จะไม่เห็นสิ่งดีอีกเลย
โยบ 12.10 จิตใจของสิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ทั้งลมหายใจของมนุษย์ทั้งปวง
โยบ 17.1 “ลมหายใจของข้าได้แตกดับ วันเวลาของข้าก็จบลง หลุมฝังศพพร้อมสำหรับข้าแล้ว
โยบ 19.17 ลมหายใจข้าเป็นที่ขยะแขยงแก่ภรรยาของข้า ถึงแม้ข้าได้อ้อนวอนเพื่อลูกๆที่บังเกิดแก่ข้าเอง
โยบ 27.3 เพราะลมหายใจยังอยู่ในตัวข้าตราบใด และลมปราณจากพระเจ้ายังอยู่ในรูจมูกของข้าตราบใด
โยบ 37.10 พระเจ้าประทานน้ำค้างแข็งด้วยลมหายใจของพระองค์ และน้ำกว้างใหญ่ก็แข็งตัว
โยบ 41.21 ลมหายใจของมันจุดถ่านลุก เปลวเพลิงออกมาจากปากของมัน
สดด 104.29 เมื่อพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์เสีย มันทั้งหลายก็ลำบากใจ เมื่อพระองค์ทรงเอาลมหายใจมันไปเสีย มันก็ตาย และกลับเป็นผงคลี
สดด 135.17 มีหู แต่ฟังไม่ได้ยิน ทั้งไม่มีลมหายใจในปากของรูปนั้น
สดด 146.4 เมื่อลมหายใจของเขาพรากไป เขาก็กลับคืนเป็นดิน ในวันเดียวกันนั้นความคิดของเขาก็พินาศ
ปญจ 3.19 เพราะว่าเหตุการณ์ของบุตรทั้งหลายของมนุษย์กับเหตุการณ์ของสัตว์เดียรัจฉานนั้นเหมือนกัน คือเป็นเหตุการณ์อันเดียวกัน ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตายเหมือนกัน ทั้งสองมีลมหายใจอย่างเดียวกัน และมนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์เดียรัจฉาน เพราะสารพัดก็อนิจจัง
พซม 7.8 ฉันจึงคิดว่า ฉันจะปีนขึ้นต้นอินทผลัมนั้น ฉันจะจับพวงเหนี่ยวไว้ ขอให้ถันทั้งสองของเธองามดังพวงองุ่นเถอะ และขอให้ลมหายใจของเธอหอมดังผลแอบเปิ้ลเถิด
อสย 2.22 จงตัดขาดจากมนุษย์เสียเถิด ซึ่งในจมูกของเขามีลมหายใจ เพราะเขามีคุณค่าอะไรเล่า
อสย 33.11 เจ้าจะอุ้มท้องแต่แกลบ เจ้าจะคลอดแต่ตอ ลมหายใจของเจ้าเป็นไฟที่จะเผาผลาญเจ้า
อสย 42.5 พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และทรงขึงมัน ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลกและสิ่งที่บังเกิดจากโลกออกไป ผู้ทรงประทานลมหายใจแก่ประชาชนที่บนโลก และจิตวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก ตรัสดังนี้ว่า
อสย 57.13 เมื่อเจ้าร้องออกมาก็ให้สิ่งที่เจ้าสะสมไว้ช่วยเจ้าให้พ้นซี แต่ลมจะพัดมันไปเสียหมด เพียงลมหายใจจะหอบมันออกไป แต่ผู้ที่วางใจในเราจะได้แผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ และจะได้ภูเขาบริสุทธิ์ของเราเป็นมรดก
ยรม 10.14 มนุษย์ทุกคนโฉดในทางความรู้ของตน ช่างทองทุกคนจะได้อายเพราะรูปเคารพสลักของตน เพราะรูปเคารพหล่อของเขาเป็นของเท็จ และไม่มีลมหายใจในรูปเคารพนั้น
ยรม 14.6 ลาป่ายืนอยู่บนที่สูง มันสูดลมหายใจเหมือนมังกร ตาของมันก็มืดมัว เพราะไม่มีหญ้า”
ยรม 51.17 มนุษย์ทุกคนโฉดในทางความรู้ของตน ช่างทองทุกคนจะได้อายเพราะรูปเคารพสลักของตน เพราะรูปเคารพหล่อของเขาเป็นของเท็จ และไม่มีลมหายใจในรูปเคารพนั้น
พคค 3.56 พระองค์ทรงสดับเสียงข้าพระองค์ที่ว่า ‘ขออย่าทรงจุกพระกรรณต่อลมหายใจและการร้องทูลของข้าพระองค์’
อสค 37.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้ลมหายใจเข้าไปในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต
อสค 37.6 เราจะวางเส้นเอ็นไว้บนเจ้าและจะกระทำให้เนื้อมีมาบนเจ้า และเอาหนังคลุมเจ้าและบรรจุลมหายใจในเจ้าและเจ้าจะมีชีวิต และเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์”
อสค 37.8 และเมื่อข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด ก็เห็นมีเอ็นบนมัน และเนื้อก็มาที่กระดูก และหนังก็มาหุ้มกระดูกไว้ แต่ไม่มีลมหายใจในนั้น
อสค 37.9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงพยากรณ์แก่ลมหายใจ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์เถิด จงกล่าวแก่ลมหายใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ ลมหายใจเอ๋ย จงมาจากลมทั้งสี่มาหายใจเข้าไปในคนที่ถูกฆ่าเหล่านี้เพื่อให้เขามีชีวิต”
อสค 37.10 ข้าพเจ้าก็พยากรณ์ดังที่ทรงบัญชาแก่ข้าพเจ้า และลมหายใจก็เข้ามาในกระดูกและกระดูกก็มีชีวิต แล้วก็ยืนขึ้น เป็นกองทัพใหญ่โตจริงๆ
ดนล 10.17 ผู้รับใช้ของเจ้านายของข้าพเจ้าจะพูดกับเจ้านายของข้าพเจ้าได้อย่างไร เพราะบัดนี้ไม่มีกำลังเหลืออยู่ในข้าพเจ้าเลย ลมหายใจพรากไปจากข้าพเจ้าแล้ว”
ฮบก 2.19 วิบัติแก่ผู้ที่กล่าวแก่สิ่งที่ทำด้วยไม้ว่า ‘จงตื่นเถิด’ แก่หินใบ้ว่า ‘จงลุกขึ้นเถิด’ สิ่งนี้สั่งสอนอะไรได้หรือ ดูเถิด สิ่งนั้นกะไหล่ทองคำหรือเงิน แต่ไม่มีลมหายใจในสิ่งนั้นเลย
ยน 20.22 ครั้นพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจออกเหนือเขา และตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด
กจ 17.25 การที่มือมนุษย์ปฏิบัตินมัสการพระองค์นั้นจะหมายว่า พระเจ้าต้องประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากเขาก็หามิได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจและสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก
วว 13.15 และมันมีอำนาจที่จะให้ลมหายใจแก่รูปสัตว์นั้น เพื่อให้รูปสัตว์ร้ายนั้นทั้งพูดได้ และกระทำให้บรรดาคนที่ไม่ยอมบูชารูปสัตว์ร้ายนั้นถึงแก่ความตายได้

ล้มเหลว ( 11 )
พบญ 31.6 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรืออย่าครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย”
พบญ 31.8 ผู้ที่ไปข้างหน้าคือพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย”
ยชว 23.14 ดูเถิด วันนี้ข้าพเจ้ากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว ท่านทุกคนได้ทราบอย่างสุดจิตสุดใจของท่านแล้วว่า ไม่มีสักสิ่งเดียวซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านตรัสเกี่ยวกับท่านแล้วล้มเหลวไป สำเร็จหมดทุกอย่าง ไม่มีสักอย่างเดียวที่ล้มเหลว
1พกษ 8.56 “สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ ผู้ทรงพระราชทานการหยุดพักแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์ ตามซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ทุกประการ พระสัญญาอันดีทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์นั้นไม่ล้มเหลวสักคำเดียว
1พศด 28.20 แล้วดาวิดตรัสกับซาโลมอนโอรสของพระองค์ว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญ และทำให้สำเร็จเถิด อย่ากลัวเลย อย่าขยาด เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้า คือพระเจ้าของข้าจะทรงสถิตกับเจ้า พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าล้มเหลวหรือทอดทิ้งเจ้า จนกว่างานทั้งสิ้นสำหรับงานปรนนิบัติแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะสำเร็จ
สภษ 15.22 ปราศจากการปรึกษาหารือ แผนงานก็ล้มเหลว แต่มีผู้แนะนำมากๆ แผนงานนั้นก็สำเร็จ
สภษ 22.8 บุคคลผู้หว่านความชั่วช้าจะเกี่ยวความหายนะ และไม้ถือแห่งความดุเดือดของเขาจะล้มเหลว
อสย 31.3 คนอียิปต์เป็นคน และไม่ใช่พระเจ้า และม้าทั้งหลายของเขาเป็นเนื้อหนัง และไม่ใช่วิญญาณ เมื่อพระเยโฮวาห์จะทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ออก ทั้งผู้ช่วยเหลือก็จะสะดุด และผู้ที่รับการช่วยเหลือก็จะล้ม และเขาทั้งหลายจะล้มเหลวด้วยกัน
อสย 42.4 ท่านจะไม่ล้มเหลวหรือท้อแท้จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก และเกาะทั้งหลายจะรอคอยพระราชบัญญัติของท่าน
ดนล 11.14 ในกาลนั้น หลายเหล่าจะยกขึ้นต่อสู้กับกษัตริย์แห่งถิ่นใต้ และบรรดานักปล้นแห่งชนชาติของท่านเองก็จะยกตัวเองขึ้นเพื่อจะกระทำให้นิมิตสำเร็จ แต่พวกเขาก็จะล้มเหลว

ลวก ( 7 )
ลนต 13.24 หรือเมื่อส่วนของร่างกายคือผิวหนังถูกไฟลวกและเนื้อแผลสดที่ตรงนั้นเป็นที่ด่างขึ้นสีแดงเรื่อๆหรือสีขาว
ลนต 13.25 ให้ปุโรหิตตรวจดู และดูเถิด ถ้าขนในบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและปรากฏว่าเป็นลึกกว่าผิวหนังก็เป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลไฟลวก และให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
ลนต 13.28 ถ้าที่ด่างขึ้นนั้นคงที่อยู่ ไม่ลามออกไปในผิวหนัง แต่จาง บวมเพราะไฟลวก ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด เพราะมันเป็นเพียงแผลเป็นของไฟลวก
สภษ 6.28 หรือผู้ใดจะเดินบนถ่านที่ลุกโพลง โดยไม่ให้เท้าของเขาถูกไฟลวกได้หรือ
สภษ 16.27 คนอธรรมขุดค้นความชั่ว และในริมฝีปากของเขาเหมือนอย่างไฟลวก
อสค 20.47 จงกล่าวแก่ป่าไม้แห่งถิ่นใต้ว่า จงฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะก่อไฟไว้ในเจ้า มันจะเผาผลาญต้นไม้เขียวและต้นไม้แห้งทุกต้นที่อยู่ในเจ้าเสีย จะดับเปลวเพลิงอันลุกโพลงนั้นไม่ได้ และดวงหน้าทุกหน้าตั้งแต่ทิศใต้จนทิศเหนือจะถูกไฟลวก

ลวง ( 13 )
พบญ 30.17 แต่ถ้าใจของท่านหันเหไป และท่านมิได้ฟัง แต่ถูกลวงให้ไปนมัสการพระอื่นและปรนนิบัติพระนั้น
ยชว 8.6 (เขาจะตามเราออกมา) จนเราจะได้ลวงเขาให้ออกมาห่างจากตัวเมือง เพราะเขาจะพูดว่า ‘เขาทั้งหลายกำลังหนีจากเราอย่างคราวก่อน’ ฉะนี้เราจะหนีให้พ้นหน้าเขาเรื่อยมา
วนฉ 14.15 ต่อมาพอถึงวันที่เจ็ดเขาจึงไปอ้อนวอนภรรยาของแซมสันว่า “จงลวงสามีของเจ้าให้แก้ปริศนานี้ให้เราฟัง มิฉะนั้นเราจะเอาไฟเผาเจ้ากับบ้านครอบครัวบิดาของเจ้าเสีย เจ้าเชิญเรามาหวังจะทำให้เรายากจนหรือ”
วนฉ 16.5 เจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นไปหานางพูดกับนางว่า “จงลวงเขาเพื่อดูว่ากำลังมหาศาลของเขาอยู่ที่ไหน ทำอย่างไรเราจึงจะมีกำลังเหนือเขา เพื่อเราจะได้มัดเขาให้หมดฤทธิ์ เราทุกคนจะให้เงินเจ้าคนละพันหนึ่งร้อยแผ่น”
วนฉ 20.31 คนเบนยามินก็ยกออกมาสู้รบกับประชาชน ถูกลวงให้ห่างออกไปจากตัวเมือง เขาก็เริ่มฆ่าฟันประชาชนอย่างคราวก่อน คือตามถนนซึ่งสายหนึ่งไปยังพระนิเวศของพระเจ้า อีกสายหนึ่งไปกิเบอาห์ และที่กลางทุ่งแจ้ง อิสราเอลล้มตายประมาณสามสิบคน
2พกษ 4.28 แล้วนางจึงเรียนว่า “ดิฉันขอบุตรชายจากเจ้านายของดิฉันหรือคะ ดิฉันไม่ได้เรียนหรือว่า อย่าลวงดิฉันเลย”
2พกษ 18.29 กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘อย่าให้เฮเซคียาห์ลวงเจ้า เพราะเขาไม่สามารถที่จะช่วยเจ้าให้พ้นจากพระหัตถ์ของพระองค์
2พกษ 19.10 “เจ้าจงพูดกับเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ดังนี้ว่า ‘อย่าให้พระเจ้าของท่านซึ่งท่านวางใจนั้นลวงท่านว่า “เยรูซาเล็มจะมิได้ถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย”
โยบ 13.7 ท่านทั้งหลายจะพูดชั่วร้ายเพื่อพระเจ้าหรือ และพูดลวงเพื่อพระองค์หรือ
โยบ 15.31 อย่าให้เขาวางใจในความอนิจจังลวงตัวเขาเอง เพราะความอนิจจังจะเป็นสิ่งตอบแทนเขา
อสย 36.14 กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘อย่าให้เฮเซคียาห์ลวงเจ้า เพราะเขาไม่สามารถที่จะช่วยเจ้าให้พ้น
อสย 37.10 “เจ้าจงพูดกับเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ดังนี้ว่า ‘อย่าให้พระเจ้าของท่านซึ่งท่านวางใจนั้นลวงท่านว่า “เยรูซาเล็มจะมิได้ถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย”
อสค 14.9 และถ้าผู้พยากรณ์ถูกหลอกลวงกล่าวคำหนึ่งคำใด เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลวงผู้พยากรณ์คนนั้น และเราจะเหยียดมือของเราออกต่อสู้เขา และจะทำลายเขาเสียจากท่ามกลางอิสราเอลประชาชนของเรา

ล่วง ( 107 )
ปฐก 8.3 น้ำก็ค่อยๆลดลงจากแผ่นดินโลก และล่วงไปร้อยห้าสิบวันแล้วน้ำก็ลดลง
ปฐก 41.53 เจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์ในประเทศอียิปต์ก็ล่วงไป
ปฐก 49.4 เจ้าไม่มั่นคงเหมือนดั่งน้ำ จึงเป็นยอดไม่ได้ ด้วยเจ้าล่วงเข้าไปถึงที่นอนบิดาของเจ้า เจ้าทำให้ที่นอนนั้นเป็นมลทิน เขาล่วงเข้าไปถึงที่นอนของเรา
อพย 2.23 และต่อมา ครั้นเวลาล่วงมาช้านาน กษัตริย์อียิปต์ก็สิ้นพระชนม์ ชนชาติอิสราเอลก็เศร้าใจมากเพราะเหตุที่เขาเป็นทาส เขาจึงร้องคร่ำครวญ และเสียงร่ำร้องของเขาดังขึ้นไปถึงพระเจ้า ด้วยเหตุที่เป็นทาสนี้
กดว 13.25 ล่วงมาสี่สิบวันเขาทั้งหลายก็กลับมาจากการไปสอดแนมที่แผ่นดินนั้น
พบญ 4.32 เพราะบัดนี้จงถามดูเถอะว่า ในกาลวันที่ล่วงมาแล้วนั้น คือวันที่อยู่ก่อนท่านทั้งหลาย ตั้งแต่วันที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ไว้บนโลก และถามดูจากฟ้าข้างนี้ถึงฟ้าข้างโน้นว่า เคยมีเรื่องใหญ่โตอย่างนี้เกิดขึ้นบ้างหรือ หรือเคยได้ยินถึงเรื่องอย่างนี้บ้างหรือ
ยชว 3.2 ครั้นล่วงมาได้สามวัน พวกเจ้าหน้าที่ก็ไปทั่วค่าย
ยชว 9.16 ต่อมาเมื่อได้กระทำพันธสัญญากับเขาล่วงมาได้สามวัน ก็ได้ยินว่าพวกเหล่านั้นเป็นชาวเมืองอยู่ในหมู่พวกตน
วนฉ 15.1 ครั้นล่วงมาหลายวันถึงฤดูเกี่ยวข้าวสาลี แซมสันก็เอาลูกแพะตัวหนึ่งไปเยี่ยมภรรยาพูดว่า “ฉันจะเข้าไปหาภรรยาของฉันที่ในห้อง” แต่พ่อตาไม่ยอมให้ท่านเข้าไป
2ซมอ 15.7 ครั้นล่วงมาได้สี่สิบปี อับซาโลมกราบทูลกษัตริย์ว่า “ขอโปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ไปทำตามคำปฏิญาณที่เมืองเฮโบรน ซึ่งข้าพระองค์ได้ปฏิญาณไว้ต่อพระเยโฮวาห์
1พกษ 2.39 ต่อมาเมื่อล่วงไปสามปีแล้วทาสสองคนของชิเมอีได้หลบหนีไปยังอาคีชโอรสของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท และเมื่อเขามาบอกชิเมอีว่า “ดูเถิด ทาสของท่านอยู่ในเมืองกัท”
1พกษ 11.43 และซาโลมอนก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพพระองค์ไว้ในนครของดาวิดราชบิดาของพระองค์ และเรโหโบอัมราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 14.20 เวลาที่เยโรโบอัมครอบครองนั้นเป็นยี่สิบสองปี และพระองค์ก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และนาดับราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 14.31 และเรโหโบอัมก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด พระนามของพระชนนีของพระองค์คือนาอามาห์คนอัมโมน และอาบียัมราชโอรสก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 15.8 และอาบียัมก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและเขาทั้งหลายก็ฝังพระศพพระองค์ไว้ในนครดาวิด และอาสาราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 15.24 และอาสาก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ที่ในนครดาวิดราชบิดาของพระองค์ และเยโฮชาฟัทราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 16.6 และบาอาชาก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ฝังไว้ที่เมืองทีรซาห์ และเอลาห์ราชโอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์
1พกษ 16.28 และอมรีก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้ในสะมาเรีย และอาหับราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทนพระองค์
1พกษ 22.40 อาหับทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และอาหัสยาห์ราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 22.50 และเยโฮชาฟัททรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษที่ในนครดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโฮรัมราชโอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 8.24 โยรัมจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และอาหัสยาห์โอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองแทน
2พกษ 10.35 เยฮูจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ฝังไว้ในกรุงสะมาเรีย และเยโฮอาหาสโอรสของพระองค์ได้เสวยราชย์แทนพระองค์
2พกษ 13.9 และเยโฮอาหาสทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้ในสะมาเรีย และโยอาชโอรสของพระองค์ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 13.13 โยอาชจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโรโบอัมทรงประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ และเขาฝังพระศพโยอาชไว้ในสะมาเรียกับกษัตริย์แห่งอิสราเอล
2พกษ 14.16 และเยโฮอาชทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้ในสะมาเรียกับบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล และเยโรโบอัมโอรสของพระองค์ได้ครอบครองแทนพระองค์
2พกษ 14.22 พระองค์ทรงสร้างเมืองเอลัทและให้กลับขึ้นแก่ยูดาห์ หลังจากที่กษัตริย์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์
2พกษ 14.29 และเยโรโบอัมทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ คือบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล และเศคาริยาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 15.7 และอาซาริยาห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และโยธามโอรสของพระองค์ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 15.22 และเมนาเฮมก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเปคาหิยาห์โอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 15.38 โยธามได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และได้ฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และอาหัสโอรสของพระองค์ขึ้นครอบครองแทน
2พกษ 16.20 และอาหัสทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และเฮเซคียาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
2พกษ 20.21 และเฮเซคียาห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และมนัสเสห์โอรสของพระองค์ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
2พกษ 21.18 และมนัสเสห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้ในพระอุทยานริมพระราชวังของพระองค์ในสวนของอุสซา และอาโมนโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
2พกษ 24.6 เยโฮยาคิมจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโฮยาคีนโอรสของพระองค์ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
2พศด 9.31 และซาโลมอนล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในนครดาวิดราชบิดาของพระองค์ และเรโหโบอัมโอรสของพระองค์ครอบครองแทนพระองค์
2พศด 12.16 และเรโหโบอัมก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ฝังพระศพไว้ในนครดาวิด และอาบียาห์ราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
2พศด 14.1 อาบียาห์จึงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ เขาก็ฝังพระศพไว้ในนครดาวิด และอาสาโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองแทนพระองค์ ในรัชกาลของอาสาแผ่นดินได้สงบอยู่สิบปี
2พศด 16.13 และอาสาทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ สิ้นพระชนม์ในปีที่สี่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลของพระองค์
2พศด 18.2 ครั้นล่วงมาหลายปีพระองค์เสด็จลงไปเฝ้าอาหับในสะมาเรีย และอาหับทรงฆ่าแกะและวัวมากมายสำหรับพระองค์ และสำหรับพลที่มากับพระองค์ และทรงชักชวนพระองค์ให้ขึ้นไปต่อสู้กับราโมทกิเลอาด
2พศด 21.1 เยโฮชาฟัทก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และเยโฮรัมโอรสของพระองค์ครอบครองแทนพระองค์
2พศด 26.2 พระองค์ทรงสร้างเมืองเอโลทและให้กลับขึ้นแก่ยูดาห์ หลังจากที่กษัตริย์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์
2พศด 26.23 และอุสซียาห์ก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนาที่ฝังศพอันเป็นของกษัตริย์ เพราะเขาทั้งหลายว่า “พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อน” และโยธามโอรสของพระองค์ก็ครอบครองแทนพระองค์
2พศด 27.9 และโยธามล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในนครดาวิด และอาหัสโอรสของพระองค์ครอบครองแทนพระองค์
2พศด 28.27 และอาหัสก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ เขาก็ฝังพระศพไว้ในกรุง คือในเยรูซาเล็ม แต่เขามิได้นำพระศพไปไว้ในอุโมงค์ของกษัตริย์แห่งอิสราเอล และเฮเซคียาห์โอรสของพระองค์ได้ครอบครองแทนพระองค์
2พศด 32.33 และเฮเซคียาห์ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในอุโมงค์สำคัญที่สุดของโอรสของดาวิด และบรรดาคนยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มทั้งปวงได้ถวายเกียรติเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ และมนัสเสห์โอรสของพระองค์ได้ครอบครองแทนพระองค์
2พศด 33.20 มนัสเสห์จึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในพระราชวังของพระองค์ และอาโมนโอรสของพระองค์ได้ครอบครองแทนพระองค์
ปญจ 1.4 ชั่วอายุหนึ่งล่วงไป และอีกชั่วอายุหนึ่งก็มา แต่แผ่นดินโลกคงเดิมอยู่เป็นนิตย์
ปญจ 3.15 อะไรๆซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว อะไรๆที่จะเป็นมาก็เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว และพระเจ้าทรงแสวงหาอะไรๆที่ล่วงไปนั้น
ปญจ 7.14 ในวันแห่งความเจริญก็จงชื่นชมยินดี แต่ในวันแห่งความทุกข์ยากก็จงพินิจพิจารณา พระเจ้าทรงบันดาลให้มีทั้งสองอย่าง เพื่อมนุษย์จะไม่ค้นได้ว่าเมื่อเขาล่วงไปแล้วจะมีอะไรมา
ปญจ 10.14 คนเขลาพูดมากซ้ำซาก มนุษย์หารู้ไม่ว่าเหตุอันใดจะบังเกิดขึ้น ใครเล่าจะบอกเขาได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเขาล่วงไป
พซม 2.11 ด้วยว่า ดูเถิด ฤดูหนาวล่วงไปแล้ว และฝนก็วายแล้ว
อสย 41.22 ให้เขานำมา และแจ้งแก่เราว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงแจ้งสิ่งล่วงแล้วให้เราทราบว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเราจะพิจารณา เพื่อเราจะทราบถึงอวสานของสิ่งเหล่านั้น หรือจงเล่าให้เราฟังถึงสิ่งที่จะบังเกิดมา
อสย 42.9 ดูเถิด สิ่งล่วงแล้วนั้นก็สำเร็จแล้ว และเราก็แจ้งสิ่งใหม่ๆ ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเราก็ได้เล่าให้ฟังแล้ว”
อสย 43.9 ให้บรรดาประชาชาติประชุมพร้อมกัน และให้ชนชาติทั้งหลายชุมนุมกัน ในท่ามกลางเขามีผู้ที่แจ้งอย่างนี้ได้ และเล่าสิ่งล่วงแล้วให้เราฟังได้ ให้เขาทั้งหลายนำพยานของเขามาพิสูจน์ตัวเขา และให้เขาได้ยินและกล่าวว่า “จริงแล้ว”
อสย 43.18 “อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่าก่อน
อสย 46.9 จงจำสิ่งล่วงแล้วในสมัยก่อนไว้ เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดอีก เราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดเหมือนเรา
อสย 48.3 “สิ่งล่วงแล้วเราได้แจ้งให้ทราบแต่เก่าก่อน เออ มันไปจากปากของเรา และเราได้เล่าให้ฟังทั่วแล้ว ในทันใดนั้นเราก็ได้กระทำและก็เป็นไปตามนั้น
อสค 38.8 เมื่อล่วงไปหลายวันแล้วเจ้าจะต้องถูกเรียกตัว ในปีหลังๆเจ้าจะยกเข้าไปต่อสู้กับแผ่นดินซึ่งได้คืนมาจากดาบ เป็นแผ่นดินที่ประชาชนรวบรวมกันมาจากชนชาติหลายชาติอยู่ที่บนภูเขาอิสราเอล ซึ่งได้เคยเป็นที่ทิ้งร้างอยู่เนืองนิตย์ ประชาชนของแผ่นดินนั้นออกมาจากชนชาติอื่นๆ บัดนี้อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยแล้วทั้งสิ้น
มลค 3.4 แล้วเครื่องบูชาของยูดาห์และเยรูซาเล็มจะเป็นที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์ ดังสมัยก่อน และดังในปีที่ล่วงแล้วมา
มธ 5.18 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น
มธ 17.1 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ ขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง
มธ 24.35 ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่คำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย
มธ 27.52 อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก ศพของพวกวิสุทธิชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วได้เป็นขึ้นมา
มธ 27.63 เรียนว่า “เจ้าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้ว่า คนล่อลวงผู้นั้น เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’
มก 2.1 ครั้นล่วงไปหลายวัน พระองค์ได้เสด็จไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีก และคนทั้งหลายได้ยินว่า พระองค์ประทับที่บ้าน
มก 6.35 เมื่อเวลาล่วงไปมากแล้ว พวกสาวกของพระองค์มาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่กันดารอาหารนัก และบัดนี้เวลาก็เย็นลงมากแล้ว
มก 9.2 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา
มก 13.31 ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย
มก 16.1 ครั้นวันสะบาโตล่วงไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเม ซื้อเครื่องหอมมาเพื่อจะไปชโลมพระศพของพระองค์
ลก 16.17 ฟ้าและดินจะล่วงไปก็ง่ายกว่าที่พระราชบัญญัติสักจุดหนึ่งจะขาดตกไป
ลก 21.33 ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย
ลก 24.29 เขาจึงพูดหน่วงเหนี่ยวพระองค์ว่า “เชิญหยุดพักกับเรา เพราะว่าจวนเย็นแล้ว และวันก็ล่วงไปมาก” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปเพื่อพักอยู่กับเขา
ยน 4.43 ครั้นล่วงไปสองวัน พระองค์ก็เสด็จออกจากที่นั่นไปยังแคว้นกาลิลี
ยน 5.18 เหตุฉะนั้นพวกยิวยิ่งแสวงหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ มิใช่เพราะพระองค์ล่วงกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังได้เรียกพระเจ้าว่าเป็นบิดาของตนด้วย ซึ่งเป็นการกระทำตนเสมอกับพระเจ้า
ยน 20.26 ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันข้างในอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว พระเยซูเสด็จเข้ามาและประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขาและตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”
กจ 7.30 ครั้นล่วงไปได้สี่สิบปีแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โมเสสในเปลวไฟที่พุ่มไม้ ในถิ่นทุรกันดารแห่งภูเขาซีนาย
กจ 7.60 สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงหลับไป
กจ 10.24 ล่วงมาอีกวันหนึ่งเขาก็ไปถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกำลังคอยรับรองอยู่ และเชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิทให้มาประชุมกันอยู่แล้ว
กจ 13.36 ฝ่ายดาวิดเมื่อได้ปฏิบัติในคราวอายุของท่านตามพระทัยของพระเจ้า และได้ล่วงหลับไปแล้ว และต้องฝังไว้กับบรรพบุรุษของท่าน ก็เปื่อยเน่าไป
กจ 15.36 ครั้นล่วงไปได้หลายวัน เปาโลจึงพูดกับบารนาบัสว่า “ให้เรากลับไปเยี่ยมพวกพี่น้องในทุกเมือง ที่เราได้ประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ ดูว่าเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง”
กจ 20.6 ครั้นวันเทศกาลขนมปังไร้เชื้อล่วงไปแล้ว เราทั้งหลายจึงลงเรือออกจากเมืองฟีลิปปี และต่อมาห้าวันก็มาถึงพวกนั้นที่เมืองโตรอัส และยับยั้งอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน
กจ 21.5 แต่เมื่อวันเหล่านั้นล่วงไปแล้วพวกเราก็ลาไป สาวกทั้งหลายกับทั้งภรรยาและบุตรได้ส่งพวกเราออกจากเมือง แล้วเราทั้งหลายก็ได้คุกเข่าลงอธิษฐานที่ชายหาด
กจ 24.1 ครั้นล่วงไปได้ห้าวัน อานาเนียมหาปุโรหิตจึงลงไปกับพวกผู้ใหญ่ และนักพูดคนหนึ่งชื่อเทอร์ทูลลัส เขาเหล่านี้ได้ฟ้องเปาโลต่อหน้าผู้ว่าราชการเมือง
กจ 24.17 ครั้นล่วงมาหลายปีแล้ว ข้าพเจ้านำทานและเครื่องบูชามายังชนชาติของข้าพเจ้า
กจ 24.24 เมื่อล่วงมาได้หลายวันแล้วเฟลิกส์มากับภรรยาชื่อดรูสิลลาผู้เป็นชาติยิว ท่านให้เรียกเปาโลมา แล้วได้ฟังเปาโลกล่าวเรื่องความเชื่อในพระคริสต์
กจ 24.27 แต่เมื่อสองปีล่วงไปแล้ว ปอรสิอัสเฟสทัสมารับราชการแทนเฟลิกส์ เฟลิกส์อยากจะได้ความชอบจากพวกยิวจึงทิ้งเปาโลไว้ในคุก
กจ 25.13 ครั้นล่วงไปหลายวัน กษัตริย์อากริปปากับพระนางเบอร์นิสก็เสด็จมาเยี่ยมคำนับเฟสทัสยังเมืองซีซารียา
กจ 28.11 ครั้นล่วงไปสามเดือน พวกเราจึงลงในเรือกำปั่นซึ่งมาจากเมืองอเล็กซานเดรียและค้างอยู่ที่เกาะนั้นในฤดูหนาว กำปั่นลำนั้นมีรูปลูกแฝดชื่อแคสเตอร์และพอลลักซ์เป็นเครื่องหมาย
กจ 28.17 ต่อมาครั้นล่วงไปสามวันแล้ว เปาโลจึงเชิญพวกผู้ใหญ่ในพวกยิวมาประชุมกัน เมื่อมาพร้อมหน้ากันแล้วท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อชนชาติ หรือผิดธรรมเนียมของบรรพบุรุษ ข้าพเจ้ายังต้องถูกมอบเป็นนักโทษมาจากกรุงเยรูซาเล็ม เป็นนักโทษให้อยู่ในมือของพวกโรม
รม 13.12 กลางคืนล่วงไปมากแล้ว และรุ่งเช้าก็ใกล้เข้ามา เหตุฉะนั้นเราจงเลิกการกระทำของความมืด และจงสวมเครื่องอาวุธของความสว่าง
1คร 7.31 และคนที่ใช้ของโลกนี้ให้เป็นเหมือนกับมิได้ใช้อย่างเต็มที่เลย เพราะความนิยมของโลกนี้กำลังล่วงไป
1คร 11.30 ด้วยเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนกำลังและป่วยอยู่และที่ล่วงหลับไปแล้วก็มีมาก
1คร 15.6 ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนมากยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บางคนก็ล่วงหลับไปแล้ว
1คร 15.18 และคนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ ก็พินาศไปด้วย
1คร 15.20 แต่บัดนี้พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกในพวกคนทั้งหลายที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น
1คร 15.51 ดูก่อน ข้าพเจ้ามีความลึกลับที่จะบอกแก่ท่าน คือว่าเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่เราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมด
2คร 5.17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆก็ล่วงไป ดูเถิด สิ่งสารพัดกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
1ธส 4.13 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง
1ธส 4.14 เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว เช่นเดียวกันบรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้นมากับพระองค์ด้วย
1ธส 4.15 ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้
ฮบ 4.7 พระองค์จึงได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้อีก คือกล่าวในคัมภีร์ของดาวิดครั้นล่วงไปช้านานแล้วว่า “วันนี้” เหมือนตรัสเมื่อคราวก่อนแล้วว่า ‘วันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไป’
2ปต 3.4 และจะถามว่า “คำที่ทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะเสด็จมานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่าตั้งแต่บรรพบุรุษหลับล่วงไปแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอยู่เหมือนที่ได้เป็นอยู่ตั้งแต่เดิมทรงสร้างโลก”
2ปต 3.10 แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะมาถึงเหมือนอย่างขโมยแอบย่องมาในเวลากลางคืน และในวันนั้นท้องฟ้าจะล่วงเสียไปด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยความร้อนอันแรงกล้า และแผ่นดินโลกกับการงานทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้นจะต้องไหม้เสียสิ้นด้วย
1ยน 2.8 อีกนัยหนึ่ง ข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่ถึงท่านทั้งหลาย และข้อความนั้นก็เป็นความจริงทั้งฝ่ายพระองค์และฝ่ายท่านทั้งหลาย เพราะว่าความมืดนั้นล่วงไปแล้ว และบัดนี้ความสว่างแท้ก็ส่องอยู่
วว 17.10 และมีกษัตริย์เจ็ดองค์ ซึ่งห้าองค์ได้ล่วงไปแล้ว องค์หนึ่งกำลังเป็นอยู่ และอีกองค์หนึ่งนั้นยังไม่ได้เป็นขึ้น และเมื่อเป็นขึ้นมาแล้ว จะต้องดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
วว 20.7 ครั้นพันปีล่วงไปแล้ว ก็จะปล่อยซาตานออกจากคุกที่ขังมันไว้

ล้วง ( 1 )
1ซมอ 17.49 และดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหินก้อนหนึ่งออกมา แล้วเหวี่ยงหินก้อนนั้นด้วยสายสลิง ถูกคนฟีลิสเตียคนนั้นที่หน้าผาก ก้อนหินจมเข้าไปในหน้าผาก เขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน

ล่วงเกิน ( 2 )
2พศด 26.18 และเขาทั้งหลายได้ขัดขวางกษัตริย์อุสซียาห์และทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่อุสซียาห์ มิใช่หน้าที่ของพระองค์ที่จะเผาเครื่องหอมถวายแด่พระเยโฮวาห์ แต่เป็นหน้าที่ของปุโรหิตลูกหลานของอาโรน ผู้ซึ่งชำระไว้ให้บริสุทธิ์เพื่อเผาเครื่องหอม ขอเชิญพระองค์เสด็จออกไปจากสถานบริสุทธิ์นี้ เพราะพระองค์ได้ทรงล่วงเกิน และพระองค์จะไม่ได้รับเกียรติอันใดจากพระเยโฮวาห์พระเจ้าเลย”
1ธส 4.6 เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำล่วงเกินและลักลอบต่อพี่น้องในเรื่องใดๆเลย เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ทรงสนองโทษต่อบรรดาคนที่กระทำอย่างนั้น เหมือนอย่างที่เราได้บอกไว้ก่อนแล้วและได้เป็นพยานแล้วด้วย

ล่วงประเวณี ( 35 )
อพย 20.14 อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
พบญ 5.18 อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
สภษ 6.32 แต่ผู้ใดที่ล่วงประเวณีกับผู้หญิงคนหนึ่งก็ขาดความเข้าใจ ผู้ใดที่กระทำอย่างนั้นก็ทำลายจิตใจตนเอง
ยรม 3.8 และเราเห็นว่า เพราะเหตุทั้งปวงที่อิสราเอลผู้กลับสัตย์ได้ล่วงประเวณีนั้น เราได้ไล่เธอไปพร้อมกับให้หนังสือหย่า แต่ยูดาห์น้องสาวที่ทรยศนั้นก็ไม่กลัว เธอก็กลับไปเล่นชู้ด้วย
ยรม 3.9 ต่อมาเพราะการแพศยาเป็นการเบาแก่เธอมาก เธอก็กระทำให้แผ่นดินโสโครกไป โดยไปล่วงประเวณีกับศิลากับลำต้น
ยรม 7.9 เจ้าจะลักทรัพย์ กระทำฆาตกรรม ล่วงประเวณี ปฏิญาณเท็จ เผาเครื่องบูชาถวายพระบาอัลและติดตามพระอื่นซึ่งเจ้าทั้งหลายมิได้รู้จักไปหรือ
ยรม 23.14 แต่ในผู้พยากรณ์แห่งเยรูซาเล็ม เราได้เห็นสิ่งอันน่าหวาดเสียว เขาล่วงประเวณีและดำเนินอยู่ในความมุสา เขาทั้งหลายหนุนกำลังมือของผู้กระทำความชั่ว จึงไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดหันจากความชั่วของเขา เขาทุกคนกลายเป็นเหมือนเมืองโสโดมแก่เรา และชาวเมืองนั้นก็เหมือนเมืองโกโมราห์”
ยรม 29.23 เพราะเขาทั้งสองได้กระทำความเลวร้ายในอิสราเอล ได้ล่วงประเวณีกับภรรยาของเพื่อนบ้าน และได้พูดถ้อยคำเท็จในนามของเรา ซึ่งเรามิได้บัญชาเขา เราเป็นผู้ที่รู้และเราเป็นพยาน” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อสค 16.38 และเราจะพิพากษาเจ้าดังที่เขาพิพากษาหญิงที่ล่วงประเวณี และกระทำให้โลหิตตก และเราจะนำเอาโลหิตแห่งความกริ้วและความหวงแหนมาเหนือเจ้า
ฮชย 4.13 เขาถวายสัตวบูชาอยู่ที่ยอดภูเขาและทำสักการบูชาเผาอยู่ที่เนินเขา ใต้ต้นโอ๊ก ต้นไค้และต้นเอ็ลม์ เพราะว่าร่มไม้เหล่านี้เย็นดี เพราะฉะนั้นธิดาทั้งหลายของเจ้าจึงจะเล่นชู้และเจ้าสาวทั้งหลายจึงจะล่วงประเวณี
ฮชย 4.14 เมื่อธิดาทั้งหลายของเจ้าเล่นชู้ เราก็ไม่ลงโทษ หรือเมื่อเจ้าสาวของเจ้าล่วงประเวณี เราก็ไม่ลงทัณฑ์ เพราะผู้ชายเองก็หลงไปกับหญิงแพศยา และทำสักการบูชากับหญิงโสเภณี ดังนั้นชนชาติที่ไม่มีความเข้าใจจะมาถึงความพินาศ
มธ 5.27 ท่านทั้งหลายได้ยินว่ามีคำกล่าวในครั้งโบราณว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา’
มธ 5.28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว
มธ 5.32 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดจะหย่าภรรยา เพราะเหตุอื่นนอกจากการเล่นชู้ ก็เท่ากับว่าผู้นั้นทำให้หญิงนั้นล่วงประเวณี และถ้าผู้ใดจะรับหญิงซึ่งหย่าแล้วเช่นนั้นมาเป็นภรรยา ผู้นั้นก็ล่วงประเวณีด้วย
มธ 19.18 คนนั้นทูลถามพระองค์ว่า “คือพระบัญญัติข้อใดบ้าง” พระเยซูตรัสว่า “อย่ากระทำการฆาตกรรม อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ
มก 10.19 ท่านรู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อเขา จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’”
ลก 18.20 ท่านรู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’”
ยน 8.3 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาพระองค์ หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเมื่อเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
ยน 8.4 เขาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่
กจ 21.25 แต่ฝ่ายคนต่างชาติที่เชื่อนั้น เราได้เขียนจดหมายตัดสินมิให้เขาถือเช่นนั้น แต่ให้เขาทั้งหลายงดไม่รับประทานของซึ่งบูชาแก่รูปเคารพ ไม่รับประทานเลือด ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และไม่ล่วงประเวณี”
รม 2.22 ท่านผู้ที่สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณี ตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือเปล่า ท่านผู้รังเกียจรูปเคารพ ตัวท่านเองปล้นวิหารหรือเปล่า
รม 13.9 พระบัญญัติกล่าวว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าโลภ’ ทั้งพระบัญญัติอื่นๆก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ ‘ท่านจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’
1คร 5.11 แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่าถ้าผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังล่วงประเวณี เป็นคนโลภ เป็นคนถือรูปเคารพ เป็นคนปากร้าย เป็นคนขี้เมา หรือเป็นคนฉ้อโกง อย่าคบกับคนอย่างนั้นแม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลย
1คร 6.18 จงหลีกเลี่ยงเสียจากการล่วงประเวณี ความบาปทุกอย่างที่มนุษย์กระทำนั้นเป็นบาปนอกกาย แต่คนที่ล่วงประเวณีนั้นทำผิดต่อร่างกายของตนเอง
1คร 10.8 อย่าให้เรากระทำล่วงประเวณี เหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ แล้วก็ล้มลงตายในวันเดียวสองหมื่นสามพันคน
ยก 2.11 ด้วยว่าพระองค์ผู้ได้ตรัสว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา’ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยว่า ‘อย่าฆ่าคน’ แม้ท่านไม่ได้ล่วงประเวณีผัวเมียเขาแต่ได้ฆ่าคน ท่านก็เป็นผู้ละเมิดพระราชบัญญัติ
วว 2.14 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้างเล็กน้อย คือพวกเจ้าบางคนถือตามคำสอนของบาลาอัม ซึ่งสอนบาลาคให้ก่อเหตุเพื่อให้ชนชาติอิสราเอลสะดุด คือให้เขากินของที่ได้บูชาแก่รูปเคารพแล้วและให้เขาล่วงประเวณี
วว 2.20 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้างเล็กน้อย คือพวกเจ้ายอมให้ผู้หญิงชื่อเยเซเบล ที่ยกตัวขึ้นเป็นผู้พยากรณ์หญิง หญิงนั้นสอนและล่อลวงพวกผู้รับใช้ของเรา ให้ล่วงประเวณีและให้กินของที่บูชาแก่รูปเคารพแล้ว
วว 2.22 ดูเถิด เราจะทิ้งหญิงนั้นไว้บนเตียง และคนทั้งหลายที่ล่วงประเวณีกับนาง เราก็จะทิ้งไว้ให้ผจญกับความระทมทุกข์ เว้นไว้แต่ว่าคนเหล่านั้นจะกลับใจจากการกระทำของตน
วว 17.2 คือหญิงที่บรรดากษัตริย์ทั่วแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีด้วย และคนทั้งหลายที่อยู่ในแผ่นดินโลกก็ได้มัวเมาด้วยเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของเธอ”
วว 18.3 เพราะว่าประชาชาติทั้งปวงได้ดื่มเหล้าองุ่นแห่งความเดือดดาลในการล่วงประเวณีของนครนั้น และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และพ่อค้าทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลกก็ได้มั่งมีขึ้นด้วยทรัพย์ฟุ่มเฟือยของนครนั้น”
วว 18.9 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกที่ได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และได้มีชีวิตอย่างหรูหราร่วมกันนั้น เมื่อได้เห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้น ก็จะพิลาปร่ำไห้คร่ำครวญเพราะนครนั้น

ล่วงพ้น ( 2 )
มก 14.35 แล้วพระองค์เสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ซบพระกายลงที่ดินอธิษฐานว่า ถ้าเป็นได้ให้เวลานั้นล่วงพ้นไปจากพระองค์
วว 18.14 และผลซึ่งจิตของเจ้ากระหายใคร่ได้นั้นก็ล่วงพ้นไปจากเจ้าแล้ว สิ่งสารพัดอันวิเศษยิ่งและหรูหราก็พินาศไปจากเจ้าแล้ว และเจ้าจะไม่ได้พบมันอีกเลย

ล่วงรู้ ( 6 )
ปฐก 43.7 เขาจึงตอบว่า “เจ้านายท่านซักไซ้ไต่ถามถึงพวกลูก และญาติพี่น้องของพวกลูกว่า ‘บิดายังอยู่หรือ เจ้ามีน้องชายอีกหรือเปล่า’ พวกลูกก็ตอบตามคำถามนั้น จะล่วงรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะสั่งว่า ‘พาน้องชายของเจ้ามา’”
มธ 22.18 แต่พระเยซูทรงล่วงรู้ถึงความชั่วร้ายของเขาจึงตรัสว่า “พวกหน้าซื่อใจคด เจ้าทดลองเราทำไม
มธ 24.43 จงจำไว้อย่างนี้เถิดว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมายามใด เขาก็จะเฝ้าระวัง และไม่ยอมให้ทะลวงเรือนของเขาได้
ลก 12.39 ให้เข้าใจอย่างนี้เถอะว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะตื่นอยู่และระวังไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้
กจ 2.31 ดาวิดก็ทรงล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงทรงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า จิตวิญญาณของพระองค์ไม่ต้องละไว้ในนรก ทั้งพระมังสะของพระองค์ก็ไม่เปื่อยเน่าไป
1ปต 1.2 ซึ่งทรงเลือกไว้แล้วตามที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงล่วงรู้ไว้ก่อน โดยพระวิญญาณได้ทรงชำระ ให้บังเกิดความนบนอบเชื่อฟัง และให้รับการประพรมด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ขอให้พระคุณและสันติสุขบังเกิดทวีคูณแก่ท่านทั้งหลายเถิด

ล่วงลับ ( 8 )
1พกษ 1.21 มิฉะนั้นจะเป็นดังนี้ คือเมื่อกษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉันล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว หม่อมฉันและซาโลมอนบุตรของหม่อมฉันก็จะตกเป็นฝ่ายผิด”
1พกษ 11.21 แต่เมื่อฮาดัดอยู่ในอียิปต์ได้ยินว่าดาวิดได้ล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว และโยอาบผู้บัญชาการกองทัพก็สิ้นชีวิตแล้ว ฮาดัดจึงทูลฟาโรห์ว่า “ขอข้าพระองค์ทูลลาเพื่อข้าพระองค์จะกลับไปยังประเทศของข้าพระองค์เอง”
โยบ 14.20 พระองค์ทรงชนะเขาเสมอ และเขาก็ล่วงลับไป พระองค์ทรงเปลี่ยนสีหน้าของเขาและทรงส่งเขาไปเสีย
สดด 76.6 โอ ข้าแต่พระเจ้าของยาโคบ พอพระองค์ทรงขนาบทั้งรถม้าและม้าก็ล่วงลับไป
มธ 24.34 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้จะสำเร็จ
มก 13.30 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้บังเกิดขึ้น
ลก 21.32 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้จะสำเร็จ
ยก 1.10 และคนมั่งมีก็จงชื่นชมยินดีเมื่อถูกทำให้ต่ำลง เพราะว่าเขาจะต้องล่วงลับไปดุจดอกหญ้า

ล่วงล้ำ ( 3 )
อพย 19.12 จงกำหนดเขตให้พลไพร่อยู่รอบภูเขา แล้วกำชับเขาว่า ‘เจ้าทั้งหลายจงระวังตัวให้ดีอย่าล่วงล้ำเขตขึ้นไปหรือถูกต้องเชิงภูเขานั้น ผู้ใดถูกภูเขาต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่
อพย 19.21 พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปกำชับพลไพร่ เกรงว่าเขาจะล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเยโฮวาห์ เพราะอยากเห็น แล้วเขาจะพินาศเสียเป็นจำนวนมาก
อพย 19.24 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “ลงไปเถิด แล้วกลับขึ้นมาอีก พาอาโรนขึ้นมาด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและพลไพร่ล่วงล้ำขึ้นมาถึงพระเยโฮวาห์ เกรงว่าพระองค์จะลงโทษเขา”

ล้วงลึก ( 1 )
สดด 36.1 การละเมิดของคนชั่วล้วงลึกเข้าไปในใจของข้าพเจ้าว่า “ในแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า”

ล่วงหน้า ( 25 )
ปฐก 32.3 ยาโคบส่งผู้สื่อสารหลายคนล่วงหน้าไปหาเอซาวพี่ชายของตนที่แผ่นดินเสอีร์ที่เมืองเอโดมตั้งอยู่
ปฐก 32.16 ยาโคบมอบสิ่งเหล่านี้ไว้ในความดูแลของคนใช้ แต่ละฝูงอยู่ต่างหาก และสั่งพวกคนใช้ว่า “ล่วงหน้าไปก่อนเรา และให้หมู่สัตว์นี้เว้นระยะห่างกันหน่อย”
ปฐก 32.20 และเสริมว่า ‘ดูเถิด ยาโคบผู้รับใช้ของท่านกำลังตามมาข้างหลังพวกเรา’” เพราะยาโคบคิดว่า “ข้าจะระงับความโกรธของเอซาวได้ด้วยของกำนัลที่ส่งล่วงหน้าไป และภายหลังข้าจะเห็นหน้าเขา บางทีเขาจะยอมรับข้า”
ปฐก 32.21 ดังนั้น ของกำนัลต่างๆจึงล่วงหน้าไปก่อนเขา ส่วนตัวเขาคืนนั้นยังค้างอยู่ในค่าย
ปฐก 33.14 ขอนายท่านล่วงหน้าผู้รับใช้ของท่านไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะตามไปช้าๆตามกำลังของสัตว์ซึ่งอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าและตามที่เด็กๆทนได้ จนกว่าข้าพเจ้าจะไปพบนายท่านที่เสอีร์”
ปฐก 46.28 ยาโคบให้ยูดาห์ล่วงหน้าไปหาโยเซฟเพื่อจะนำหน้าไปยังเมืองโกเชน แล้วพวกเขาก็มาถึงแผ่นดินโกเชน
อพย 17.5 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเดินล่วงหน้าพลไพร่ไปและนำพวกผู้ใหญ่บางคนของอิสราเอลไปด้วย ให้ถือไม้เท้าที่เจ้าใช้ตีแม่น้ำนั้นไปด้วย
อพย 23.28 เราจะใช้ให้ฝูงต่อล่วงหน้าไปก่อนพวกเจ้า จะขับไล่คนฮีไวต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า
1ซมอ 9.27 เมื่อเขาทั้งหลายกำลังลงมาที่ชานเมือง ซามูเอลจึงพูดกับซาอูลว่า “จงบอกคนใช้ให้เดินล่วงหน้าเราไปก่อน (และเขาก็เดินพ้นไป) ท่านจงหยุดที่นี่ก่อน เพื่อฉันจะได้แจ้งพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่านทราบ”
2พกษ 4.31 เกหะซีได้ล่วงหน้าไปก่อนและวางไม้เท้าบนหน้าของเด็กนั้น แต่ไม่มีเสียงหรืออาการเป็น เขาจึงกลับมาพบท่านและเรียนท่านว่า “เด็กนั้นยังไม่ตื่น”
อสย 41.26 ใครแจ้งไว้ตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะทราบ และล่วงหน้าเพื่อเราจะพูดว่า “เขาชอบธรรม” เออ ไม่มีผู้ใดได้แจ้งให้ทราบ เออ ไม่มีผู้ใดได้เล่าให้ฟัง เออ ไม่มีผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเจ้า
ลก 9.52 และพระองค์ทรงใช้ผู้ส่งข่าวล่วงหน้าไปก่อน เขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อจะเตรียมไว้ให้พระองค์
ลก 10.1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบคนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน ให้เข้าไปทุกเมืองและทุกตำบลที่พระองค์จะเสด็จไปนั้น
กจ 2.23 พระองค์นี้ทรงถูกมอบไว้ตามที่พระเจ้าได้ทรงดำริแน่นอนล่วงหน้าไว้ก่อน ท่านทั้งหลายได้ให้คนชั่วจับพระองค์ไปตรึงที่กางเขนและประหารชีวิตเสีย
กจ 3.18 แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายของพระองค์ว่า พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น
กจ 20.5 แต่คนเหล่านั้นได้เดินทางล่วงหน้าไปคอยพวกเราอยู่ที่เมืองโตรอัสก่อน
รม 1.2 (คือข่าวประเสริฐที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้าโดยพวกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ในพระคัมภีร์อันบริสุทธิ์)
รม 11.2 พระเจ้ามิได้ทรงทอดทิ้งชนชาติของพระองค์นั้นที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ท่านไม่รู้เรื่องซึ่งเขียนไว้แล้วในพระคัมภีร์กล่าวถึงท่านเอลียาห์หรือ ท่านได้กล่าวโทษพวกอิสราเอลต่อพระเจ้าว่า
กท 3.8 และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ‘ชนชาติทั้งหลายจะได้รับพระพรเพราะเจ้า’
อฟ 2.10 เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดีซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เราดำเนินตามนั้น
1ธส 4.15 ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้
1ทธ 1.18 ทิโมธีบุตรเอ๋ย คำกำชับนี้ข้าพเจ้าได้ให้ไว้กับท่านตามคำพยากรณ์ซึ่งมาล่วงหน้าเล็งถึงท่าน เพื่อข้อความเหล่านั้นท่านจะได้เข้าสู้รบได้ดี
1ปต 1.11 เขาได้สืบค้นหาสิ่งใดหรือลักษณะแห่งเวลาซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในตัวเขา ได้ทรงบ่งไว้ เมื่อพระวิญญาณนั้นได้พยากรณ์ล่วงหน้าถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และถึงสง่าราศีที่จะมาภายหลัง
ยด 1.4 เพราะว่ามีบางคนได้เล็ดลอดเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเล็งไว้ล่วงหน้ามานานแล้วว่าจะได้รับการพิพากษาลงโทษอย่างนี้ เป็นคนอธรรม ที่ได้บิดเบือนพระคุณของพระเจ้าของเราไปเป็นการกระทำความชั่วช้าลามก และได้ปฏิเสธพระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

ลวดลาย ( 14 )
อพย 28.11 ให้ช่างแกะจารึกชื่อเหล่าบุตรอิสราเอลไว้ที่พลอยทั้งสองแผ่นนั้น เช่นอย่างแกะตราแล้วฝังไว้บนกระเปาะทองคำซึ่งมีลวดลายละเอียด
อพย 28.13 เจ้าจงทำกระเปาะทองคำมีลวดลายละเอียด
อพย 28.20 แถวที่สี่ฝังพลอยเขียว พลอยสีน้ำข้าวและหยก พลอยทั้งหมดนี้ให้ฝังในลวดลายอันละเอียดที่ทำด้วยทองคำ
อพย 28.25 และปลายสร้อยอีกสองข้าง ให้ติดกับกระเปาะที่มีลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
อพย 28.39 จงทอเสื้อให้เป็นลวดลาย ด้วยป่านเนื้อละเอียด ส่วนผ้ามาลานั้น จงทำด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด และทำรัดประคดด้วยฝีมือช่างด้ายสี
อพย 35.32 เพื่อจะคิดประดิษฐ์ลวดลายอย่างฉลาด ทำด้วยทองคำและเงินและทองสัมฤทธิ์
อพย 39.6 เขาเอาพลอยสีน้ำข้าวฝังไว้ในกระเปาะทองคำซึ่งมีลวดลายละเอียด และแกะอย่างแกะตรา เป็นชื่อบุตรอิสราเอล
อพย 39.13 แถวที่สี่ฝังพลอยเขียว พลอยสีน้ำข้าว และหยก พลอยทั้งหมดนี้เขาได้ฝังในกระเปาะลวดลายละเอียดทำด้วยทองคำ
อพย 39.16 และเขาทั้งหลายทำกระเปาะลวดลายละเอียดด้วยทองคำสองอัน และห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ที่ปลายทั้งสองของทับทรวง
อพย 39.18 และปลายสร้อยอีกสองข้างนั้น เขาทั้งหลายทำติดกับกระเปาะลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
วนฉ 5.30 ‘เขาทั้งหลายยังไม่พบและยังไม่แบ่งของที่ริบมาได้หรือ หญิงคนหนึ่งหรือสองคนได้แก่ชายคนหนึ่ง สิ่งของย้อมสีที่ริบมาเป็นของสิเสรา ของย้อมสีที่ปักลวดลาย ของย้อมสีที่ปักลวดลายสองหน้าสำหรับพันคอของข้าเป็นของที่ริบ’
1พกษ 7.29 บนแผงที่ฝังอยู่ในกรอบนั้นมีรูปสิงโต วัว และเครูบ ข้างบนกรอบมีแท่นที่อยู่เหนือ และใต้สิงโตและวัวมีลวดลายเป็นมาลัยฝีค้อน
2พศด 2.14 บุตรชายของหญิงคนดาน บิดาของเขาเป็นชาวเมืองไทระ เขาชำนาญงานช่างทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก หินและไม้ และทำงานช่างผ้าสีม่วง สีฟ้า ผ้าป่านเนื้อละเอียดและผ้าสีแดงเข้ม และทำการแกะสลักทุกชนิด และสร้างตามแบบลวดลายใดๆที่จะกำหนดให้แก่เขา พร้อมกับช่างฝีมือของท่าน คือช่างฝีมือของดาวิดราชบิดาของท่านผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้า

ล้วน ( 20 )
ปฐก 6.5 และพระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วของมนุษย์มีมากบนแผ่นดินโลก และเจตนาทุกอย่างแห่งความคิดทั้งหลายในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายอย่างเดียวเสมอไป
ปฐก 8.21 พระเยโฮวาห์ได้ดมกลิ่นหอมหวาน และพระเยโฮวาห์ทรงดำริในพระทัยว่า “เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดินอีกเพราะเหตุมนุษย์ ด้วยว่าเจตนาในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายตั้งแต่เด็กมา เราจะไม่ประหารสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตอีกเหมือนอย่างที่เราได้กระทำแล้วนั้น
อพย 28.31 เจ้าจงทำเสื้อคลุมให้เข้าชุดกับเอโฟดด้วยผ้าสีฟ้าล้วน
อพย 39.22 เขาทำเสื้อคลุมเข้าชุดกับเอโฟดด้วยด้ายสีฟ้าล้วนเป็นฝีมือทอ
กดว 4.6 แล้วเอาหนังของตัวแบดเจอร์คลุม และเอาผ้าสีฟ้าล้วนคลุมบนนั้น และสอดคานหาม
ยชว 10.2 ท่านก็คร้ามกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่ากิเบโอนเป็นเมืองใหญ่เสมอเมืองหลวงและใหญ่กว่าเมืองอัย และบุรุษชาวเมืองนั้นก็ล้วนแต่ฉกรรจ์
วนฉ 3.29 ในคราวนั้นเขาประหารคนโมอับเสียประมาณหนึ่งหมื่นคนล้วนแต่คนฉกรรจ์และล่ำสันทั้งสิ้น ไม่พ้นไปได้สักคนเดียว
2พกษ 25.17 เสาต้นหนึ่งสูงสิบแปดศอก และบัวคว่ำทองสัมฤทธิ์มีบนเสา บัวคว่ำนั้นสูงสามศอก มีตาข่ายกับลูกทับทิมล้วนทองสัมฤทธิ์อยู่บนบัวคว่ำโดยรอบ และเสาต้นที่สองก็เหมือนกันพร้อมตาข่าย
สดด 56.5 เขาประทุษร้ายต่อคำกล่าวของข้าพระองค์วันยังค่ำ ความคิดทั้งสิ้นของเขาล้วนมุ่งร้ายต่อข้าพระองค์
สภษ 2.15 ผู้ซึ่งวิถีชีวิตของเขาล้วนแต่คดเคี้ยวทั้งสิ้น และทางประพฤติของเขาตลบตะแลง
สภษ 24.4 โดยความรู้บรรดาห้องก็เต็มไปด้วยความมั่งคั่งล้วนประเสริฐและเพลิดเพลินทั้งสิ้น
ปญจ 7.20 แน่ทีเดียวไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผ่นดินโลก ที่ได้ประพฤติล้วนแต่ความดี และไม่กระทำบาปเลย
พซม 5.16 ปากของเขาอ่อนหวานที่สุด ทั่วทั้งสรรพางค์ของเขาล้วนแต่น่ารักน่าใคร่ โอ เหล่าบุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มจ๋า นี่คือที่รักของดิฉัน และนี่คือเพื่อนยากของดิฉัน
อสค 32.12 เราจะทำให้หมู่นิกรของท่านล้มลงด้วยดาบของผู้มีกำลัง ทุกคนก็ล้วนเป็นที่ทารุณที่สุดในบรรดาประชาชาติ เขาจะนำความทะเยอทะยานของอียิปต์ให้มาถึงที่สิ้นสุด และหมู่นิกรทั้งสิ้นของมันจะพินาศ
ฮชย 9.15 ความชั่วของเขาทุกอย่างอยู่ในกิลกาล เราได้เกลียดชังเขา ณ ที่นั่น เราจะขับเขาออกไปจากนิเวศของเรา เพราะความชั่วร้ายแห่งการกระทำของเขา เราจะไม่รักเขาอีกเลย เจ้านายทั้งสิ้นของเขาก็ล้วนแต่คนกบฏ
ศคย 4.2 และท่านถามข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นเชิงเทียนทำด้วยทองคำล้วนอันหนึ่ง มีชามอยู่ที่ยอด และมีตะเกียงอยู่บนนั้นเจ็ดดวง และมีท่อเจ็ดท่อนำไปยังตะเกียงซึ่งอยู่บนยอดนั้นดวงละท่อ
มก 7.37 พวกเขาก็ประหลาดใจเหลือเกิน พูดกันว่า “พระองค์ทรงกระทำล้วนแต่ดีทั้งนั้น ทรงกระทำคนหูหนวกให้ได้ยิน คนใบ้ให้พูดได้”
ลก 20.21 คนเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่า ท่านกล่าวและสั่งสอนล้วนแต่ความจริงและมิได้เลือกหน้าผู้ใด แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆ
กจ 23.1 ฝ่ายเปาโลจึงเพ่งดูพวกสมาชิกสภาแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อพระพักตร์พระเจ้าล้วนแต่ตามใจวินิจฉัยผิดชอบอันดีจนถึงทุกวันนี้”
2คร 1.19 เพราะว่าพระบุตรของพระเจ้าคือพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพวกเรา คือข้าพเจ้ากับสิลวานัสและทิโมธี ได้ประกาศแก่พวกท่านนั้น ไม่ใช่ จริง ไม่จริง ส่งๆไป แต่โดยพระองค์นั้นล้วนแต่จริงทั้งสิ้น

ล่อ ( 25 )
ปฐก 36.24 ต่อไปนี้เป็นบุตรของศิเบโอนคืออัยยาห์ และอานาห์ อานาห์นั้นเป็นผู้ที่ได้พบฝูงล่อในถิ่นทุรกันดาร เมื่อเลี้ยงฝูงลาของศิเบโอนบิดาของเขา
กดว 25.18 เพราะเขารบกวนเจ้าด้วยอุบาย ซึ่งเขาล่อเจ้าในเรื่องเปโอร์ และในเรื่องนางคสบี บุตรสาวเจ้านายแห่งมีเดียน ผู้เป็นน้องสาวของพวกเขา ผู้ที่ถูกฆ่าตายในวันที่บังเกิดภัยพิบัติด้วยเรื่องเปโอร์”
2ซมอ 13.29 และมหาดเล็กของอับซาโลมก็กระทำกับอัมโนนตามที่อับซาโลมได้บัญชาไว้ แล้วบรรดาราชโอรสของกษัตริย์ก็พากันลุกขึ้นทรงล่อของแต่ละองค์หนีไปสิ้น
2ซมอ 18.9 และอับซาโลมไปพบข้าราชการของดาวิดเข้า อับซาโลมทรงล่ออยู่และล่อนั้นได้วิ่งเข้าไปใต้กิ่งต้นโอ๊กใหญ่ ศีรษะของท่านก็ติดกิ่งต้นโอ๊กแน่น เมื่อล่อนั้นวิ่งเลยไปแล้วท่านก็แขวนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
1พกษ 1.38 ดังนั้นศาโดกปุโรหิต นาธันผู้พยากรณ์ และเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดา และคนเคเรธีกับคนเปเลทได้ลงไปจัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิดและได้นำท่านมาถึงกีโฮน
1พกษ 1.44 และกษัตริย์ได้รับสั่งให้ศาโดกปุโรหิต นาธันผู้พยากรณ์ และเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดา กับคนเคเรธีและคนเปเลทตามซาโลมอนไป และเขาทั้งหลายก็ได้จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อพระที่นั่งของกษัตริย์
1พกษ 10.25 ทุกคนก็นำเครื่องบรรณาการของเขามา เป็นเครื่องทำด้วยเงิน เครื่องทำด้วยทองคำ เครื่องแต่งกาย เครื่องอาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ ตามจำนวนกำหนดทุกๆปี
1พกษ 18.5 และอาหับรับสั่งโอบาดีห์ว่า “จงไปให้ทั่วพื้นแผ่นดินไปหาธารน้ำพุ และไปให้ทั่วทุกลำธาร ชะรอยเราจะพบหญ้าและรักษาชีวิตม้าและล่อให้คงอยู่ได้ และไม่ต้องสูญเสียสัตว์ไปหมด”
2พกษ 5.17 แล้วนาอามานจึงกล่าวว่า “มิฉะนั้นขอท่านได้โปรดให้ดินบรรทุกล่อสักสองตัวให้แก่ผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะตั้งแต่นี้ไปผู้รับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชาแด่พระอื่น แต่จะถวายแด่พระเยโฮวาห์เท่านั้น
1พศด 12.40 ยิ่งกว่านั้นผู้ที่อยู่ใกล้เขาทั้งหลายด้วยคือไกลออกไปถึงอิสสาคาร์ และเศบูลุน และนัฟทาลีได้จัดอาหารบรรทุกลา อูฐ ล่อ และวัว กับเสบียงอาหารมากมายเป็นแป้ง ขนมมะเดื่อ ช่อองุ่นแห้ง น้ำองุ่น น้ำมัน วัวและแกะ เพราะว่ามีความชื่นบานในอิสราเอล
2พศด 9.24 ทุกคนก็นำเครื่องบรรณาการของเขามา เป็นเครื่องทำด้วยเงิน เครื่องทำด้วยทองคำ และเครื่องแต่งกาย เครื่องอาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ ตามจำนวนกำหนดทุกๆปี
อสร 2.66 ม้าของเขามีเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว ล่อของเขาสองร้อยสี่สิบห้าตัว
นหม 7.68 ม้าของเขามีเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว ล่อของเขามีสองร้อยสี่สิบห้าตัว
อสธ 8.10 และท่านเขียนในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัสและประทับตราพระธำมรงค์ของกษัตริย์ และส่งจดหมายนั้นไปทางผู้เดินข่าวขึ้นม้าเร็ว และผู้ขี่ล่อ อูฐและม้าอาชาไนยหนุ่ม
โยบ 31.9 ถ้าใจของข้าถูกล่อชวนไปหาผู้หญิง และข้าได้ซุ่มอยู่ที่ประตูเพื่อนบ้านของข้า
โยบ 31.27 และจิตใจของข้าถูกล่อชวนอยู่อย่างลับๆ และปากของข้าจุบมือของข้า
สดด 32.9 อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อที่ปราศจากความเข้าใจ ซึ่งต้องติดเหล็กขวางปากและบังเหียน มิฉะนั้นมันก็จะเข้ามาหาเจ้า
สภษ 1.10 บุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าคนบาปล่อชวนเจ้า อย่าได้ยอมตาม
สภษ 16.29 คนทารุณล่อชวนเพื่อนบ้านของเขา และนำเขาไปในทางที่ไม่ดี
อสย 66.20 และเขาจะนำพี่น้องทั้งสิ้นของเจ้าทั้งหลายจากบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นเป็นเครื่องถวายบูชาพระเยโฮวาห์ มาด้วยม้า ด้วยรถรบ ด้วยเกวียนประทุน ด้วยล่อและด้วยอูฐโหนกเดียว ยังเยรูซาเล็มภูเขาบริสุทธิ์ของเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ “เช่นเดียวกับคนอิสราเอลนำธัญญบูชาใส่ภาชนะสะอาดมายังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
อสค 27.14 วงศ์วานโทการมาห์เอาม้า ม้าศึกและล่อมาแลกกับสินค้าของเจ้า
อมส 3.5 ถ้าไม่มีเหยื่อล่อไว้ นกจะลงมาติดกับบนดินได้หรือ ถ้าไม่มีอะไรเข้าไปติดกับ กับจะลั่นขึ้นจากดินได้หรือ
ศคย 14.15 และภัยพิบัติอย่างหนึ่งที่เหมือนภัยพิบัติอย่างนี้จะบังเกิดแก่ม้า ล่อ อูฐ ลา และไม่ว่าสัตว์ชนิดใดซึ่งมีอยู่ในเต็นท์เหล่านั้น

ล้อ ( 16 )
อพย 14.25 พระองค์ทรงกระทำให้ล้อรถฝืดจนแล่นไปแทบไม่ไหว คนอียิปต์จึงพูดกันว่า “ให้เราหนีไปจากหน้าคนอิสราเอลเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ทรงต่อสู้กับคนอียิปต์แทนเขา”
วนฉ 5.28 มารดาของสิเสรามองออกไปตามช่องหน้าต่าง นางมองไปตามบานเกล็ด ร้องว่า ‘ทำไมหนอ รถรบของเขาจึงมาช้าเหลือเกิน ทำไมล้อรถรบของเขาจึงเนิ่นช้าอยู่’
1พกษ 7.30 แล้วแท่นหนึ่งๆมีล้อทองสัมฤทธิ์สี่ล้อ และมีเพลาทองสัมฤทธิ์ ที่มุมทั้งสี่มีที่หนุน ขันที่หนุนอันหนึ่งหล่อมีมาลัยห้อยข้างๆทุกข้าง
1พกษ 7.32 ล้อทั้งสี่อยู่ใต้แผง เพลาล้อนั้นเป็นชิ้นเดียวกับแท่น ล้ออันหนึ่งสูงหนึ่งศอกคืบ
1พกษ 7.33 ล้อนั้นเขาทำเหมือนล้อรถรบ ทั้งเพลา ขอบล้อ ซี่ และดุมก็หล่อ
ปญจ 12.6 ก่อนที่สายเงินจะขาด หรือชามทองคำจะบรรลัย หรือเหยือกน้ำจะแตกเสียที่น้ำพุ หรือล้อจะหักเสีย ณ ที่ขังน้ำ
อสย 5.28 ลูกธนูของเขาก็แหลม บรรดาคันธนูของเขาก็ก่งไว้ กีบม้าทั้งหลายของเขาจะเหมือนกับหินเหล็กไฟ และล้อของเขาทั้งหลายเหมือนลมหมุน
อสย 28.27 เขาไม่นวดเทียนแดงด้วยเลื่อนนวดข้าว และเขาไม่เอาล้อเกวียนกลิ้งทับยี่หร่า แต่เขาเอาไม้พลองตีเทียนแดงให้หลุดออก และเอาตะบองตียี่หร่า
อสย 28.28 คนใดบดข้าวที่ทำขนมปังหรือ เปล่าเลย เขาไม่นวดมันเป็นนิตย์ เมื่อเขาขับล้อเกวียนเทียมม้าทับมันแล้ว เขามิได้บดมันด้วยคนขี่ม้า
ยรม 47.3 เมื่อได้ยินเสียงกีบม้าตัวแข็งแรงของเขากระทืบ และเสียงรถรบของเขากรูกันมา และเสียงล้อรถดังกึกก้อง พวกพ่อก็จะมิได้หันกลับมาดูลูกทั้งหลายของตน เพราะมือของเขาอ่อนเปลี้ยเต็มทีแล้ว
นฮม 3.2 เสียงขวับของแส้ และเสียงกระหึ่มของล้อ ม้าควบ และรถรบห้อไป

ลอก ( 2 )
2พกษ 18.16 ในครั้งนั้นเฮเซคียาห์ทรงลอกทองคำจากประตูทั้งหลายของพระวิหารแห่งพระเยโฮวาห์ และจากเสาประตูซึ่งเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงบุทองคำไว้ และทรงมอบให้แก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย
ยอล 1.7 มันได้ทำลายเถาองุ่นของข้าพเจ้าเสีย และได้ปอกเปลือกต้นมะเดื่อของข้าพเจ้า มันลอกเปลือกออกและโยนทิ้งเสีย กิ่งก้านก็ดูขาวโพลน

ลอกคราบ ( 1 )
นฮม 3.16 เจ้าเพิ่มพวกพ่อค้าให้มากกว่าดวงดาวในท้องฟ้า ตั๊กแตนวัยกระโดดนั้นลอกคราบแล้วก็บินไปเสีย

ลอง ( 12 )
1ซมอ 17.39 และดาวิดก็คาดดาบทับเครื่องอาวุธ เขาลองเดินดูก็เห็นว่าใช้ไม่ได้ เพราะเขาไม่ชิน แล้วดาวิดจึงทูลซาอูลว่า “ข้าพระองค์จะสวมเครื่องเหล่านี้ไปไม่ได้ เพราะว่าข้าพระองค์ไม่ชิน” ดาวิดจึงปลดออกเสีย
โยบ 4.2 “ถ้าจะลองพูดสักคำ ท่านจะทนไหวไหม ถึงกระนั้นใครจะอดพูดได้
โยบ 34.3 เพราะหูก็ลองชิมถ้อยคำอย่างกับเพดานปากชิมอาหาร
โยบ 41.26 ถึงคนใดเอาดาบลองแทงมัน ก็ต่อต้านมันไม่ได้ ไม่ว่าหอก หรือแหลน หรือหอกซัด
สดด 17.3 เมื่อพระองค์ทรงลองจิตใจของข้าพระองค์ และเสด็จเยี่ยมเยียนข้าพระองค์ในเวลากลางคืน เมื่อทรงทดสอบข้าพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทรงพบความชั่วในข้าพระองค์เลย ข้าพระองค์ตั้งใจแล้วว่าปากของข้าพระองค์จะมิได้ละเมิด
สดด 26.2 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอพิสูจน์ข้าพระองค์ และลองข้าพระองค์เถิด ทดสอบใจและจิตของข้าพระองค์เถิด
สดด 139.23 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์ และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์ ขอทรงลองข้าพระองค์ และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์
ปญจ 2.1 ข้าพเจ้ารำพึงในใจว่า “มาเถอะ มาลองสนุกสนานกันดู เอ้า จงสนุกสบายใจไป” แต่ดูเถิด เรื่องนี้ก็อนิจจังเช่นกัน
ยรม 6.27 “เราได้กระทำให้เจ้าเป็นหอคอยและป้อมปราการท่ามกลางประชาชนของเรา เพื่อเจ้าจะทราบและลองพฤติการณ์ทั้งหลายของเขา
มลค 1.9 ลองอ้อนวอนขอความชอบต่อพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงพระกรุณาต่อพวกเราดูซี ด้วยของถวายดังกล่าวมานี้จากมือของเจ้า พระองค์จะทรงชอบพอเจ้าสักคนหนึ่งหรือ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ฮบ 11.29 โดยความเชื่อ พวกอิสราเอลได้ข้ามทะเลแดงเหมือนกับว่าเดินบนดินแห้ง แต่เมื่อพวกอียิปต์ได้ลองเดินข้ามดูบ้าง ก็จมน้ำตายหมด
1ปต 1.7 เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำซึ่งพินาศไปได้ ถึงแม้ว่าความเชื่อนั้นถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ เกิดเกียรติและสง่าราศี ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ

ล่อง ( 4 )
ลนต 19.16 อย่าเทียวขึ้นเทียวล่องคอยส่อเสียดท่ามกลางชนชาติของตน และอย่าปองร้ายต่อเลือดของเพื่อนบ้าน เราคือพระเยโฮวาห์
ยชว 18.4 จงเลือกคนตระกูลละสามคน แล้วข้าพเจ้าจะใช้คนเหล่านั้นไปท่องเที่ยวขึ้นล่องอยู่ที่แผ่นดินนั้น ให้เขียนแนวเขตที่ดินที่จะมอบเป็นมรดก และกลับมาหาข้าพเจ้า
ยชว 18.8 ฝ่ายคนเหล่านั้นก็ขึ้นออกไปเดินทาง และโยชูวากำชับพวกที่จะเขียนแนวเขตที่ดินว่า “จงเที่ยวขึ้นเที่ยวล่องในแผ่นดิน และเขียนแนวเขตที่ดินนั้นแล้วกลับมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจับสลากให้ท่านต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ที่ชีโลห์”
1พกษ 5.9 ข้าราชการของข้าพเจ้าจะนำลงมาจากเลบานอนถึงทะเล และข้าพเจ้าจะผูกแพล่องมาตามทะเลถึงที่ที่ท่านจะกำหนดให้ และข้าพเจ้าจะให้แก้แพที่นั่น ขอท่านมารับเอา และขอท่านส่งเสบียงอาหารแก่สำนักวังของข้าพเจ้าก็แล้วกัน เป็นที่พอใจข้าพเจ้าแล้ว”

ลองใจ ( 11 )
ปฐก 22.1 และต่อมาภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ พระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม และตรัสกับท่านว่า “อับราฮัม” ท่านทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ พระเจ้าข้า”
อพย 15.25 โมเสสก็ร้องทูลพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์จึงทรงชี้ให้ท่านเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อโยนต้นไม้นั้นลงในน้ำ น้ำก็จืด ณ ที่นั้นพระองค์ทรงประทานกฎเกณฑ์ และกฎไว้ และทรงลองใจเขาที่นั่น
อพย 16.4 แล้วพระเยโฮวาห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝนสำหรับพวกเจ้า ให้พลไพร่ออกไปเก็บทุกวันพอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่าเขาจะดำเนินตามราชบัญญัติของเราหรือไม่
อพย 20.20 โมเสสจึงกล่าวแก่พลไพร่ว่า “อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระเจ้าเสด็จมาเพื่อลองใจท่านทั้งหลาย เพื่อพวกท่านจะได้ยำเกรงพระองค์ และจะได้ไม่ทำบาป”
พบญ 13.3 ท่านอย่าเชื่อฟังคำของผู้พยากรณ์หรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์คนนั้น เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านลองใจท่านดู เพื่อให้ทรงทราบว่า ท่านทั้งหลายรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่านหรือไม่
สดด 66.10 โอ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงลองใจข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงทดลองข้าพระองค์อย่างทดลองเงิน
ยน 6.6 พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะลองใจฟีลิป เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วว่าพระองค์จะทรงกระทำประการใด
2คร 2.9 นี่คือเหตุที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่าน หวังจะลองใจท่านดูว่า ท่านจะยอมเชื่อฟังทุกประการหรือไม่
ฮบ 11.17 โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมถูกลองใจก็ได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา นี่แหละท่านผู้ได้รับพระสัญญาเหล่านั้นก็ได้ถวายบุตรชายคนเดียวของตนที่ได้ให้กำเนิดมา
วว 2.2 เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า รู้ความเหนื่อยยากและความอดทนของเจ้า และรู้ว่าเจ้าไม่สามารถทนต่อทุรชนได้ เจ้าได้ลองใจคนเหล่านั้นที่กล่าวว่าเขาเป็นอัครสาวก และหาได้เป็นไม่ และเจ้าก็เห็นว่าเขาเป็นคนมุสา
วว 2.10 อย่ากลัวความทุกข์ทรมานต่างๆซึ่งเจ้าจะได้รับนั้น ดูเถิด พญามารจะขังพวกเจ้าบางคนไว้ในคุกเพื่อจะลองใจเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะได้รับความทุกข์ทรมานถึงสิบวัน แต่เจ้าจงสัตย์ซื่อจนถึงความตาย และเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า

ลองดี ( 4 )
อพย 17.2 เหตุฉะนั้นพลไพร่จึงกล่าวหาโมเสสว่า “ให้น้ำพวกข้าดื่มซิ” โมเสสจึงบอกเขาว่า “พวกเจ้าหาเรื่องเราทำไม เหตุไฉนพวกเจ้าจึงบังอาจลองดีกับพระเยโฮวาห์”
อพย 17.7 โมเสสเรียกชื่อตำบลนั้นว่า มัสสาห์ และเมรบาห์ ด้วยเหตุว่า คนอิสราเอลกล่าวหาตน ณ ที่นั้น และลองดีกับพระเยโฮวาห์ว่า “พระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางพวกข้าพเจ้าจริงหรือ”
ยรม 50.29 จงเรียกนักธนูมาต่อสู้กับบาบิโลน คือบรรดาคนที่โก่งธนู จงตั้งค่ายไว้รอบมัน อย่าให้ผู้ใดหนีรอดพ้นไปได้ จงกระทำกับเธอตามการกระทำของเธอ จงกระทำแก่เธออย่างที่เธอได้กระทำแล้ว เพราะเธอจองหองลองดีกับพระเยโฮวาห์ พระองค์ผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
1คร 10.9 อย่าให้เราลองดีพระคริสต์เหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ แล้วก็ต้องพินาศด้วยงูร้าย

ลองดู ( 6 )
โยบ 7.18 ทรงเยี่ยมเขาทุกเช้า ทรงลองดูเขาทุกขณะ
ศคย 13.9 เราจะเอาหนึ่งในสามนี้ใส่ในไฟและถลุงเขาเหมือนถลุงเงิน และลองดูเขาเหมือนทดลองทองคำ เขาจะร้องทูลออกนามของเราและเราจะฟังเขา เราจะกล่าวว่า ‘เขาทั้งหลายเป็นชนชาติของเรา’ และเขาจะกล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์คือพระเจ้าของข้าพเจ้า’”
มลค 3.10 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงนำสิบชักหนึ่งเต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
ลก 14.19 อีกคนหนึ่งว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อวัวไว้ห้าคู่และจะต้องไปลองดูวัวนั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’
1ทธ 3.10 จงลองดูคนเหล่านี้เสียก่อนด้วย และเมื่อเห็นว่าไม่มีข้อตำหนิแล้ว จึงตั้งเขาไว้ในตำแหน่งผู้ช่วย
วว 3.10 เพราะเหตุเจ้าได้รักษาคำของเราด้วยความเพียร เราจะรักษาเจ้าจากเวลาแห่งการทดลองนั้นด้วย ซึ่งจะบังเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก เพื่อจะลองดูใจคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วแผ่นดินโลก

ลอด ( 5 )
ลนต 27.32 และสิบชักหนึ่งที่ได้มาจากฝูงวัว หรือฝูงแพะแกะ คือสัตว์หนึ่งในสิบตัวที่ลอดใต้ไม้เท้าของผู้เลี้ยง จะเป็นสิ่งบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์
อสค 20.37 เราจะให้เจ้าลอดไปใต้คทา และเราจะให้เจ้าเข้าพันธสัญญา
อสค 41.7 ห้องระเบียงนั้นยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งกว้างออก ตามส่วนขยายของหยักบ่าจากห้องหนึ่งซ้อนอยู่บนอีกห้องหนึ่งโดยรอบ ที่ข้างพระนิเวศมีบันไดนำขึ้นข้างบน ดังนี้แหละผู้ใดที่ขึ้นไปจากห้องต่ำที่สุดถึงห้องบนก็ต้องลอดผ่านห้องกลาง
มธ 19.24 เราบอกท่านทั้งหลายอีกว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”
มก 10.25 ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”

ล่อนจ้อน ( 7 )
โยบ 12.17 พระองค์ทรงนำที่ปรึกษาตัวล่อนจ้อนไป และพระองค์ทรงกระทำผู้พิพากษาให้เป็นคนโง่
โยบ 12.19 พระองค์ทรงนำเจ้าชายตัวล่อนจ้อนไป และทรงคว่ำผู้มีกำลังเสีย
อสย 32.11 หญิงที่อยู่สบายเอ๋ย จงตัวสั่นเถิด ท่านผู้ไม่ระมัดระวังเอ๋ย จงสะดุ้งตัวสั่นเถิด จงแก้ผ้า ปล่อยตัวล่อนจ้อน และเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้
อสค 16.7 เราได้กระทำให้เจ้าทวีคูณเหมือนอย่างพืชในท้องนา เจ้าก็เติบโตและสูงขึ้นจนเป็นสาวเต็มตัว ถันของเจ้าก็ก่อรูปขึ้นมา และขนของเจ้าก็งอก ทั้งๆที่เจ้าเคยเปลือยเปล่าและล่อนจ้อน
อสค 16.22 และในการอันน่าสะอิดสะเอียนของเจ้าและการเล่นชู้ของเจ้า เจ้ามิได้ระลึกถึงวันที่เจ้ายังเด็กอยู่เมื่อเจ้าเปลือยเปล่าและล่อนจ้อน และมัวหมองอยู่ในกองเลือดของเจ้า
อสค 16.39 และจะมอบเจ้าไว้ในมือชู้ของเจ้า เขาจะทำลายห้องหลังคาโค้งของเจ้าลง และจะทำลายสถานที่สูงของเจ้า เขาจะปลดเอาเสื้อผ้าของเจ้า และจะเอาเครื่องรูปพรรณอันงามของเจ้าไปเสีย ปล่อยให้เจ้าเปลือยเปล่าและล่อนจ้อน
อสค 23.29 และเขาทั้งหลายจะกระทำกับเจ้าด้วยความเกลียดชัง และจะริบเอาบรรดาผลแห่งการงานของเจ้าไปเสีย และจะทิ้งเจ้าไว้ให้เปลือยเปล่าและล่อนจ้อน จะต้องเปิดเผยความเปลือยเปล่า ราคะและการเล่นชู้ของเจ้า

ลอบ ( 5 )
พบญ 19.11 แต่ถ้าผู้ใดเกลียดชังเพื่อนบ้านของตน และซุ่มคอยดักเขาอยู่และได้ลอบตีเขาถึงแก่ความตาย แล้วชายผู้นั้นก็หนีเข้าไปในหัวเมืองเหล่านั้นเมืองใดเมืองหนึ่ง
2ซมอ 15.6 อับซาโลมกระทำอย่างนี้แก่บรรดาคนอิสราเอลผู้มาเฝ้ากษัตริย์เพื่อขอการพิพากษา อับซาโลมก็ลอบเอาใจคนอิสราเอลอย่างนี้
2พกษ 11.2 แต่เยโฮเชบาธิดาของกษัตริย์โยรัม พระน้องนางของอาหัสยาห์ ได้นำโยอาชโอรสของอาหัสยาห์และลอบลักเธอไปจากท่ามกลางโอรสของกษัตริย์ ผู้ซึ่งจะถูกประหารชีวิต และพระนางเก็บเธอและพี่เลี้ยงของเธอไว้ในห้องบรรทมเพื่อซ่อนเธอเสียจากอาธาลิยาห์ ดังนี้แหละ เธอจึงมิได้ถูกประหารชีวิต
กจ 6.11 เขาจึงลอบปลุกพยานเท็จว่า “เราได้ยินคนนี้พูดหมิ่นประมาทต่อโมเสสและต่อพระเจ้า”
กท 2.4 เพราะเหตุของพี่น้องจอมปลอมที่ได้ลอบเข้ามา เพื่อจะสอดแนมดูเสรีภาพซึ่งเรามีในพระเยซูคริสต์ เพราะพวกเขาหวังจะเอาเราไปเป็นทาส

ล้อม ( 133 )
ปฐก 19.4 แต่ก่อนที่ทูตเหล่านั้นเข้านอน พวกผู้ชายเมืองนั้นคือพวกผู้ชายชาวเมืองโสโดม ทั้งแก่และหนุ่ม ทุกคนจากทุกสารทิศ มาล้อมเรือนนั้นไว้
อพย 18.14 เมื่อพ่อตาของโมเสสเห็นงานทั้งปวงที่โมเสสกระทำเพื่อพลไพร่เช่นนั้น จึงกล่าวว่า “นี่ท่านใช้วิธีอะไรปฏิบัติกับพลไพร่เล่า เหตุไรท่านจึงนั่งทำงานอยู่แต่ผู้เดียว และพลไพร่ทั้งปวงก็ยืนล้อมท่านตั้งแต่เช้าจนเย็น”
ลนต 25.31 แต่เรือนในชนบทที่ไม่มีกำแพงล้อมให้นับเข้าเป็นพวกเดียวกับท้องนาในประเทศนั้น คือไถ่ถอนคืนได้ และจะต้องคืนกลับให้เจ้าของเดิมในปีเสียงแตร
พบญ 20.12 ถ้าเมืองนั้นไม่ร่วมสันติกับท่าน แต่กลับออกมารบ ก็ให้ท่านเข้าล้อมตีเมืองนั้นได้
พบญ 20.19 เมื่อท่านล้อมหัวเมืองหนึ่งอยู่ช้านาน เพื่อจะสู้รบเอาหัวเมืองนั้น อย่าใช้ขวานฟันทำลายต้นไม้ของเมืองนั้นเสีย เพราะท่านทั้งหลายจะรับประทานผลจากต้นไม้นั้น อย่าโค่นลงเพื่อใช้ในการล้อมเมืองนั้นเลย (เพราะต้นไม้ในทุ่งนาเป็นชีวิตมนุษย์)
พบญ 28.52 เขาจะล้อมท่านไว้ทุกประตูเมืองจนกำแพงสูงและเข้มแข็งซึ่งท่านไว้วางใจนั้นพังทลายลงทั่วแผ่นดินของท่าน คือเขาจะล้อมท่านไว้ทุกประตูเมืองทั่วแผ่นดินของท่านซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
ยชว 7.9 เพราะว่าคนคานาอันกับผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นคงจะได้ยิน แล้วคงจะยกมาตั้งล้อมพวกข้าพระองค์ และตัดชื่อของบรรดาข้าพระองค์เสียจากแผ่นดินโลก และพระองค์จะทรงกระทำประการใดต่อพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”
ยชว 10.20 ต่อมาเมื่อโยชูวากับคนอิสราเอลฆ่าพวกเหล่านั้นเสียเป็นอันมากจนหมดแล้ว ส่วนผู้ที่เหลืออยู่ก็หนีกลับเข้าไปในเมืองที่มีกำแพงล้อม
ยชว 10.31 และโยชูวาออกจากเมืองลิบนาห์พร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดไปยังลาคีช แล้วล้อมเมืองไว้และเข้าโจมตีเมืองนั้น
ยชว 10.34 โยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงได้ยกออกจากลาคีชไปยังเมืองเอกโลน ได้เข้าล้อมและโจมตีเมืองนั้น
ยชว 14.12 ฉะนั้นบัดนี้ขอมอบแดนเทือกเขานี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์ตรัสในวันนั้นให้แก่ข้าพเจ้า เพราะท่านได้ยินในวันนั้นแล้วว่าคนอานาคอยู่ที่นั่น มีหัวเมืองใหญ่ที่มีกำแพงล้อมอย่างเข้มแข็ง ชะรอยพระเยโฮวาห์จะทรงสถิตกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขับไล่เขาออกไปได้ ดังที่พระเยโฮวาห์ตรัสไว้แล้ว”
ยชว 19.35 เมืองที่มีกำแพงล้อมคือเมืองศิดดิม เศอร์ ฮัมมัท รัคคัท คินเนเรท
วนฉ 16.2 มีคนไปบอกชาวกาซาว่า “แซมสันมาที่นี่แล้ว” เขาก็ล้อมที่นั้นไว้และคอยซุ่มที่ประตูเมืองตลอดคืน เขาซุ่มเงียบอยู่คืนยังรุ่งกล่าวว่า “ให้เรารออยู่จนรุ่งเช้าแล้วเราจะฆ่าเขาเสีย”
วนฉ 19.22 เมื่อเขากำลังทำให้จิตใจเบิกบาน ดูเถิด ชาวเมืองนั้นที่เป็นคนอันธพาลมาล้อมเรือนไว้ ทุบประตู ร้องบอกชายแก่ผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า “ส่งชายที่เข้ามาอยู่ในบ้านของแกมาให้เราสังวาส”
วนฉ 20.5 เวลากลางคืนผู้ชายในเมืองกิเบอาห์ก็ลุกขึ้นล้อมบ้านที่ข้าพเจ้าพักอยู่ เขาหมายจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย เขาข่มขืนภรรยาน้อยของข้าพเจ้าจนตาย
วนฉ 20.43 เขาทั้งหลายล้อมคนเบนยามิน และขับไล่เขาไปและชนะเขาอย่างง่าย จนไปถึงที่ตรงข้ามเมืองกิเบอาห์ทางดวงอาทิตย์ขึ้น
1ซมอ 23.8 และซาอูลทรงให้เรียกพลทั้งปวงเข้าสงคราม ให้ลงไปยังเคอีลาห์เพื่อล้อมดาวิดกับคนของท่านไว้
1ซมอ 26.7 ดาวิดและอาบีชัยจึงลงไปที่กองทัพในเวลากลางคืน และดูเถิด ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย หอกของพระองค์ปักอยู่ที่ที่ดินตรงพระเศียร อับเนอร์กับพวกพลก็นอนล้อมพระองค์อยู่
2ซมอ 11.1 และอยู่มาพอสิ้นปีแล้วเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบ ดาวิดทรงใช้โยอาบพร้อมกับพวกข้าราชการและอิสราเอลทั้งหมด เขาไปกวาดล้างคนอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม
2ซมอ 11.16 อยู่มาเมื่อโยอาบกำลังเฝ้าล้อมเมืองอยู่ ท่านจึงกำหนดให้อุรีอาห์ไปรบตรงที่ที่ท่านทราบว่ามีทหารเข้มแข็งมาก
2ซมอ 18.15 ทหารหนุ่มสิบคนที่ถือเครื่องรบของโยอาบ ก็ล้อมอับซาโลมไว้ แล้วประหารชีวิตท่านเสีย
2ซมอ 20.15 พวกเขาก็มาถึงและล้อมเขาไว้ในตำบลอาเบลแขวงเมืองเบธมาอาคาห์ เขาทำเชิงเทินขึ้นที่ริมกำแพงเมือง ประชาชนทั้งหลายที่อยู่กับโยอาบก็ทะลวงกำแพงเพื่อจะให้พัง
2ซมอ 22.5 เมื่อคลื่นแห่งความตายล้อมข้าพเจ้า กระแสแห่งคนอธรรมที่ท่วมทับข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้ากลัว
1พกษ 7.18 ท่านทำเสานั้นพร้อมด้วยลูกทับทิม มีสองแถวล้อมทับตาข่ายผืนหนึ่ง เพื่อคลุมบัวคว่ำที่อยู่ยอดเสา และท่านก็ทำเช่นเดียวกันสำหรับบัวคว่ำอีกอันหนึ่ง
1พกษ 8.37 ถ้ามีการกันดารอาหารในแผ่นดิน ถ้ามีโรคระบาด ข้าวม้าน รากินข้าว หรือตั๊กแตนวัยบิน หรือตั๊กแตนวัยคลาน หรือถ้าศัตรูของเขาทั้งหลายล้อมเมืองของเขาไว้รอบด้าน จะเป็นภัยพิบัติอย่างใด หรือความเจ็บไข้อย่างใด มีขึ้นก็ดี
1พกษ 15.27 บาอาชาบุตรชายอาหิยาห์วงศ์วานของอิสสาคาร์ คิดกบฏต่อพระองค์ และบาอาชาทรงประหารพระองค์เสียที่กิบเบโธน ซึ่งเป็นแดนเมืองของฟีลิสเตีย เพราะนาดับและคนอิสราเอลทั้งสิ้นกำลังล้อมเมืองกิบเบโธนอยู่
1พกษ 16.17 อมรีจึงเสด็จขึ้นไปจากกิบเบโธน และอิสราเอลทั้งปวงก็ขึ้นไปด้วย เขาทั้งหลายเข้าล้อมเมืองทีรซาห์
1พกษ 20.1 เบนฮาดัดกษัตริย์ซีเรียได้ประชุมกองทัพทั้งปวงของท่าน มีกษัตริย์สามสิบสององค์ขึ้นกับท่าน ทั้งม้าและรถรบ และท่านก็ขึ้นไปล้อมสะมาเรีย สู้รบกับเมืองนั้น
2พกษ 3.25 เขาทั้งหลายได้ทลายหัวเมือง และต่างคนก็ต่างโยนหินเข้าไปในไร่นาที่ดีทุกแปลงจนเต็ม เขาจุกน้ำพุเสียทุกแห่ง และโค่นต้นไม้ดีๆเสียหมด จนในคีร์หะเรเชทมีแต่หินของเมืองเหลืออยู่ บรรดานักสลิงได้ล้อมเมืองไว้และโจมตีได้
2พกษ 6.14 พระองค์จึงทรงส่งม้า รถรบ และกองทัพใหญ่ เขาไปกันในกลางคืนและล้อมเมืองนั้นไว้
2พกษ 6.15 เมื่อคนใช้ของคนแห่งพระเจ้าตื่นขึ้นเวลาเช้าตรู่และออกไป ดูเถิด กองทัพพร้อมกับม้าและรถรบก็ล้อมเมืองไว้ และคนใช้นั้นบอกท่านว่า “อนิจจา นายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี”
2พกษ 6.24 และอยู่มาภายหลังเบนฮาดัดกษัตริย์แห่งซีเรียทรงจัดกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์แล้วได้เสด็จขึ้นไปล้อมกรุงสะมาเรีย
2พกษ 6.25 มีการกันดารอาหารอย่างหนักในสะมาเรีย และดูเถิด ขณะเมื่อเขาล้อมอยู่จนหัวลาตัวหนึ่งเขาขายกันเป็นเงินแปดสิบเชเขล และมูลนกเขาครึ่งลิตรเป็นเงินห้าเชเขล
2พกษ 8.21 แล้วโยรัมก็เสด็จพร้อมกับบรรดารถรบของพระองค์ผ่านไปถึงศาอีร์ พอกลางคืนพระองค์ก็ลุกขึ้นโจมตีคนเอโดมซึ่งมาล้อมพระองค์นั้น พร้อมกับผู้บัญชาการรถรบ แล้วกองทัพได้หนีกลับเต็นท์เสีย
2พกษ 11.8 ท่านทั้งหลายจงล้อมกษัตริย์ไว้รอบ ทุกคนถืออาวุธของตนไว้ ผู้ที่เข้ามาใกล้แถวให้ประหารชีวิตเสีย จงอยู่กับกษัตริย์เมื่อพระองค์เสด็จออกและเสด็จเข้า”
2พกษ 16.5 แล้วเรซีนกษัตริย์แห่งซีเรียและเปคาห์บุตรชายเรมาลิยาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงยกขึ้นมาทำสงครามกับกรุงเยรูซาเล็ม และกษัตริย์ทั้งสองได้ล้อมอาหัสไว้ แต่ทรงเอาชัยชนะยังไม่ได้
2พกษ 17.5 แล้วกษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ทรงบุกเข้าทั่วแผ่นดินและมายังสะมาเรีย และพระองค์ทรงล้อมเมืองไว้สามปี
2พกษ 18.9 และอยู่มาในปีที่สี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลโฮเชยาบุตรชายเอลาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอล แชลมาเนเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ทรงยกขึ้นมารบสะมาเรียและล้อมเมืองไว้
2พกษ 19.24 ข้าขุดบ่อและดื่มน้ำต่างด้าว ข้าเอาฝ่าเท้าของข้ากวาดธารน้ำทั้งสิ้นของสถานที่ที่ถูกล้อมโจมตีให้แห้งไป”
2พกษ 24.10 คราวนั้นข้าราชการของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนยกขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มล้อมกรุงไว้
2พกษ 24.11 และเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนเสด็จมาที่เมืองนั้น ขณะเมื่อข้าราชการของพระองค์ยังล้อมเมืองอยู่
2พกษ 25.1 และอยู่มาเมื่อวันที่สิบเดือนที่สิบปีที่เก้าแห่งรัชกาลของพระองค์ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ยกมาพร้อมกับกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์เข้าสู้รบกรุงเยรูซาเล็ม และล้อมกรุงนั้นไว้ และเขาทั้งหลายได้สร้างเครื่องล้อมไว้รอบ
2พกษ 25.2 กรุงนั้นจึงถูกล้อมอยู่ถึงปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์
1พศด 20.1 และอยู่มาพอสิ้นปีแล้วเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบ โยอาบก็นำกำลังกองทัพไปกวาดล้างแผ่นดินของคนอัมโมน และมาล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม และโยอาบก็โจมตีเมืองรับบาห์ และคว่ำเมืองนั้นเสีย
2พศด 6.28 ถ้ามีการกันดารอาหารในแผ่นดิน ถ้ามีโรคระบาด ข้าวม้าน รากินข้าว หรือตั๊กแตนวัยบิน หรือตั๊กแตนวัยคลาน หรือศัตรูของเขาทั้งหลายล้อมเมืองในแผ่นดินของเขาไว้รอบด้าน จะเป็นภัยพิบัติอย่างใด หรือความเจ็บอย่างใดมีขึ้นก็ดี
2พศด 14.7 และพระองค์ตรัสกับยูดาห์ว่า “ให้เราทั้งหลายสร้างหัวเมืองเหล่านี้ ล้อมด้วยกำแพง หอคอย ประตูเมือง และดาน แผ่นดินยังเป็นของเรา เพราะเราได้แสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา เราได้แสวงหาพระองค์ และพระองค์ได้ทรงประทานการหยุดพักสงบทุกด้าน” เขาทั้งหลายจึงสร้างและจำเริญขึ้น
2พศด 21.9 แล้วเยโฮรัมก็เสด็จออกไปพร้อมกับบรรดาเจ้านายและรถรบทั้งสิ้นของพระองค์ และพระองค์ทรงลุกขึ้นในกลางคืนโจมตีคนเอโดม ซึ่งมาล้อมพระองค์และผู้บังคับบัญชารถรบไว้
2พศด 23.7 ให้คนเลวีล้อมกษัตริย์ไว้ แต่ละคนให้ถืออาวุธ และผู้ใดเข้าไปในพระนิเวศนั้นจะต้องถูกประหาร จงอยู่กับกษัตริย์เมื่อพระองค์เสด็จเข้ามา และเมื่อพระองค์เสด็จออกไป”
2พศด 23.10 และท่านได้ตั้งประชาชนทั้งสิ้นให้ล้อมกษัตริย์ไว้ ทุกคนถืออาวุธตั้งแต่ด้านขวาของพระวิหารถึงด้านซ้ายของพระวิหาร รอบแท่นบูชาและพระวิหาร
2พศด 32.1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้และการสถาปนาขึ้นนั้น เซนนาเคอริบกษัตริย์อัสซีเรียยกมาบุกรุกยูดาห์ และตั้งค่ายล้อมหัวเมืองที่มีป้อมไว้ ทรงดำริที่จะยึดไว้
2พศด 32.9 ภายหลังเซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย (ผู้ซึ่งกำลังล้อมเมืองลาคีชอยู่ด้วยกำลังรบทั้งสิ้นของพระองค์) ได้รับสั่งให้ข้าราชการของพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็มถึงเฮเซคียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ และถึงประชาชนทั้งปวงของยูดาห์ที่อยู่ในเยรูซาเล็มว่า
2พศด 32.10 “เซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าทั้งหลายพึ่งอะไร เจ้าจึงยืนมั่นให้ล้อมอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม
โยบ 3.23 ไฉนจึงประทานความสว่างแก่ผู้ที่ทางของเขาซ่อนอยู่ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงล้อมรั้วต้นไม้กั้นไว้
โยบ 16.13 นักธนูของพระองค์ล้อมข้า พระองค์ทรงทะลวงเปิดไตของข้าและไม่เพลามือเลย พระองค์ทรงเทน้ำดีของข้าลงบนดิน
โยบ 19.6 จงทราบเถิดว่าพระเจ้าทรงคว่ำข้าลงแล้ว และได้ทรงเอาตาข่ายของพระองค์ล้อมข้าไว้
โยบ 19.12 กองทหารของพระองค์เข้ามาพร้อมกัน เขาทั้งหลายก่อเชิงเทินต่อสู้ข้า และตั้งค่ายล้อมเต็นท์ของข้า
โยบ 40.22 ต้นไม้ที่มีร่มเงาเป็นเงาคลุมมัน ต้นหลิวแห่งธารน้ำล้อมมันไว้
สดด 17.9 ให้พ้นจากคนชั่วผู้ล้างผลาญและจากศัตรูผู้คอยเข่นฆ่าซึ่งล้อมข้าพระองค์ไว้โดยรอบ
สดด 17.11 เขาสะกดรอยข้าพระองค์ เดี๋ยวนี้ได้ล้อมข้าพระองค์ไว้ เขาจับตาดูข้าพระองค์เพื่อจะเหวี่ยงข้าพระองค์ลงดิน
สดด 18.4 ความโศกเศร้าแห่งความตายล้อมข้าพระองค์ไว้ กระแสแห่งคนอธรรมที่ท่วมทับข้าพระองค์ทำให้ข้าพระองค์กลัว
สดด 18.5 ความโศกเศร้าแห่งนรกล้อมข้าพระองค์ไว้ บ่วงมัจจุราชปะทะข้าพระองค์
สดด 22.12 เหล่าวัวผู้ล้อมข้าพระองค์ วัวผู้แข็งแรงแห่งบาชานล้อมข้าพระองค์ไว้
สดด 22.16 พระเจ้าข้า บรรดาสุนัขล้อมรอบข้าพระองค์ไว้ คนทำชั่วหมู่หนึ่งล้อมข้าพระองค์ เขาแทงมือแทงเท้าข้าพระองค์
สดด 32.7 พระองค์ทรงเป็นที่ซ่อนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงสงวนข้าพระองค์ไว้จากความยากลำบาก พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยเพลงฉลองการช่วยให้พ้น เซลาห์
สดด 32.10 อันความทุกข์ของคนชั่วนั้นมีมาก แต่ความเมตตาจะล้อมบุคคลที่วางใจในพระเยโฮวาห์
สดด 34.7 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ได้ตั้งค่ายล้อมบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระองค์ และช่วยเขาทั้งหลายให้รอด
สดด 40.12 เพราะความชั่วได้ล้อมข้าพระองค์ไว้อย่างนับไม่ถ้วน ความชั่วช้าของข้าพระองค์ตามทันข้าพระองค์ จนข้าพระองค์มองอะไรไม่เห็น มันมากกว่าเส้นผมบนศีรษะข้าพระองค์ จิตใจของข้าพระองค์ก็ฝ่อไป
สดด 49.5 ทำไมข้าพเจ้าจึงกลัวในคราวทุกข์ยากลำบาก เมื่อความชั่วช้าแห่งผู้ข่มเหงล้อมตัวข้าพเจ้า
สดด 88.17 มันล้อมข้าพระองค์ไว้รอบวันยังค่ำอย่างน้ำท่วม มันท่วมข้าพระองค์มิด
สดด 109.3 เขาทั้งหลายล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยถ้อยคำเกลียดชัง และโจมตีข้าพระองค์อย่างไร้เหตุ
สดด 116.3 ความเศร้าโศกแห่งความตายมาล้อมข้าพเจ้าอยู่ ความเจ็บปวดแห่งนรกจับข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าประสบความทุกข์ใจและความระทม
สดด 118.10 ประชาชาติทั้งหลายได้ล้อมข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าจะทำลายเขาในพระนามพระเยโฮวาห์
สดด 118.11 เขาทั้งหลายได้ล้อมข้าพเจ้า ล้อมรอบข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าจะทำลายเขาในพระนามพระเยโฮวาห์
สดด 118.12 เขาได้ล้อมข้าพเจ้าเหมือนผึ้ง เขาทั้งหลายดับเสียแล้วเหมือนเปลวไฟหนาม เพราะข้าพเจ้าจะทำลายเขาในพระนามพระเยโฮวาห์
สดด 139.5 พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์
สดด 140.9 ฝ่ายศีรษะของคนที่ล้อมข้าพระองค์ไว้นั้น ขอให้ความสาระแนแห่งริมฝีปากของเขาท่วมเขา
สดด 142.7 ขอทรงพาจิตใจข้าพระองค์ออกจากคุก เพื่อข้าพระองค์จะสรรเสริญพระนามของพระองค์ คนชอบธรรมจะล้อมข้าพระองค์ไว้เพราะพระองค์จะทรงกระทำแก่ข้าพระองค์อย่างบริบูรณ์”
ปญจ 9.14 ยังมีเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง มีคนอยู่ในเมืองนั้นน้อยคน แล้วมีมหากษัตริย์มาตีเมืองนั้นและล้อมเมืองนั้นไว้ และสร้างเครื่องล้อมไว้รอบเมือง
อสย 1.8 ส่วนธิดาแห่งศิโยนก็ถูกทิ้งไว้เหมือนอย่างเพิงที่ในสวนองุ่น เหมือนเพิงในไร่แตงกวา เหมือนเมืองที่ถูกล้อม
อสย 21.2 เขาบอกนิมิตที่เหี้ยมหาญแก่ข้าพเจ้า ว่าผู้ปล้นเข้าปล้น ผู้ทำลายเข้าทำลาย โอ เอลามเอ๋ย จงขึ้นไป โอ มีเดียเอ๋ย จงเข้าล้อมซึ่งมันให้เกิดการถอนหายใจทั้งสิ้น เราได้กระทำให้สิ้นไปแล้ว
อสย 29.3 และเราจะตั้งค่ายอยู่รอบเจ้า และเราจะล้อมเจ้ากับบรรดาหอรบ และเราจะยกเชิงเทินขึ้นสู้เจ้า
อสย 37.25 ข้าขุดบ่อและดื่มน้ำ ข้าได้เอาฝ่าเท้าของข้ากวาดธารน้ำทั้งสิ้นของสถานที่ที่ถูกล้อมโจมตีให้แห้งไป”
ยรม 4.17 เขาทั้งหลายล้อมยูดาห์ไว้รอบเหมือนผู้ดูแลเฝ้านา เพราะว่ายูดาห์ได้กบฏต่อเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 5.22 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าไม่ยำเกรงเราหรือ เจ้าไม่ตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเราหรือ คือเราผู้วางกองทรายไว้เป็นเขตล้อมทะเล เป็นเครื่องกีดขวางเป็นนิตย์มิให้ผ่านไปได้ แม้ว่าคลื่นจะซัด ก็เอาชนะไม่ได้ แม้คลื่นจะคะนอง ก็ข้ามไปไม่ได้
ยรม 21.4 ‘พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะหันกลับซึ่งยุทโธปกรณ์อันอยู่ในมือของเจ้า และซึ่งเจ้าใช้สู้รบกับกษัตริย์แห่งบาบิโลนและกับชนเคลเดียซึ่งกำลังล้อมเจ้าอยู่นอกกำแพง และเราจะรวบรวมมันมาไว้ในใจกลางเมืองนี้
ยรม 21.9 คนที่อยู่ในเมืองนี้จะตายเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหารและด้วยโรคระบาด แต่ผู้ที่ออกไปยอมมอบตัวกับชนเคลเดียผู้ตั้งล้อมอยู่นั้น ก็จะมีชีวิตอยู่ได้ และจะมีชีวิตของตนเป็นบำเหน็จแห่งการสงคราม
ยรม 31.22 โอ บุตรสาวผู้กลับสัตย์เอ๋ย เจ้าจะเถลไถลอยู่อีกนานสักเท่าใด เพราะพระเยโฮวาห์ได้สร้างสิ่งใหม่บนพิภพแล้ว คือ ผู้หญิงจะล้อมผู้ชาย”
ยรม 32.2 ครั้งนั้น กองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังล้อมกรุงเยรูซาเล็มอยู่ และเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ถูกขังอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์ ซึ่งอยู่ในพระราชวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์
ยรม 32.24 ดูเถิด เชิงเทินที่ล้อมอยู่ได้มาถึงกรุงเพื่อจะยึดเอาแล้ว และเพราะเหตุด้วยดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาด เมืองนี้ก็ได้ถูกมอบไว้ในมือของคนเคลเดียผู้กำลังต่อสู้อยู่นั้นแล้ว พระองค์ตรัสสิ่งใดก็เป็นไปอย่างนั้นแล้ว และดูเถิด พระองค์ทอดพระเนตรเห็น
ยรม 37.5 กองทัพของฟาโรห์ได้ออกมาจากอียิปต์ และเมื่อคนเคลเดียผู้ซึ่งกำลังล้อมกรุงเยรูซาเล็มอยู่ได้ยินข่าวนั้น เขาทั้งหลายก็ถอยทัพไปจากกรุงเยรูซาเล็ม
ยรม 39.1 ในปีที่เก้าแห่งเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ในเดือนที่สิบ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทัพทั้งสิ้นของท่านได้มาสู้รบกรุงเยรูซาเล็มและได้ล้อมไว้
ยรม 51.2 เราจะส่งผู้ฝัดไปยังบาบิโลนและเขาทั้งหลายจะฝัดเธอ และเขาทั้งหลายจะทำให้แผ่นดินของเธอว่างเปล่า เมื่อเขาทั้งหลายมาล้อมเธอไว้ทุกด้าน ในวันแห่งความยากลำบาก
ยรม 52.4 และต่อมาในปีที่เก้าแห่งรัชกาลของท่าน ในวันที่สิบของเดือนที่สิบ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งเมืองบาบิโลน พร้อมกับกองทัพทั้งสิ้นของท่านได้มาต่อสู้กับกรุงเยรูซาเล็มและล้อมเมืองไว้ และสร้างเครื่องล้อมไว้รอบ
ยรม 52.5 กรุงนั้นจึงถูกล้อมอยู่จนปีที่สิบเอ็ดแห่งกษัตริย์เศเดคียาห์
ยรม 52.7 แล้วกรุงนั้นก็แตกและทหารทั้งหมดก็หนีออกไปจากกรุงในกลางคืน ไปตามทางประตูเมืองระหว่างกำแพงทั้งสอง ไปตามทางราชอุทยาน (ฝ่ายคนเคลเดียก็ล้อมอยู่รอบกรุง) และเขาทั้งหลายไปทางที่ราบ
พคค 1.17 เมืองศิโยนได้เหยียดมือทั้งสองออก แต่ก็ไม่มีใครที่เล้าโลมเธอได้ พระเยโฮวาห์ทรงมีพระบัญชาเรื่องยาโคบว่า ให้พวกคู่อริล้อมยาโคบไว้ เยรูซาเล็มเป็นดั่งผู้หญิงเมื่อมีประจำเดือนท่ามกลางเขาทั้งหลาย
พคค 3.5 พระองค์ทรงสร้างรั้วขังข้าพเจ้า ทรงเอาความขมขื่นและความทุกข์ยากลำบากล้อมข้าพเจ้าไว้
พคค 3.7 พระองค์ทรงกระทำรั้วต้นไม้ล้อมข้าพเจ้าไว้เพื่อจะกักไม่ให้ออกไปได้ พระองค์ทรงตีตรวนหนักล่ามข้าพเจ้าไว้
พคค 3.9 พระองค์ทรงล้อมทางทั้งหลายของข้าพเจ้าด้วยก้อนหินที่สกัด พระองค์ทรงกระทำให้หนทางข้าพเจ้าคดเคี้ยวไป
อสค 4.2 จงล้อมนครนั้นไว้และก่อกำแพงล้อมไว้รอบนครนั้นด้วย และก่อเชิงเทินไว้สู้นครนั้นและตั้งค่ายรอบนครไว้ และตั้งเครื่องทะลวงกำแพงไว้รอบนคร
อสค 4.3 จงหากระทะเหล็กมา และวางกระทะเหล็กนั้นต่างเป็นกำแพงเหล็กระหว่างเจ้ากับนครนั้น และเจ้าจงหันหน้าสู่นครนั้น ให้นครนั้นถูกล้อม แล้วเจ้าจงกระชับการล้อมเข้าไป นี่เป็นหมายสำคัญสำหรับวงศ์วานอิสราเอล
อสค 6.12 ผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปจะตายด้วยโรคระบาด ผู้ที่อยู่ใกล้ก็จะล้มตายด้วยดาบ และผู้ที่เหลืออยู่และถูกล้อมไว้จะตายด้วยการกันดารอาหาร เราจะให้ความเกรี้ยวกราดของเรามีเหนือเขาจนกว่าจะมอดลง เช่นนี้แหละ
อสค 17.17 ฟาโรห์ประกอบด้วยกองทัพอันใหญ่โตและผู้คนมากมายจะไม่ช่วยท่านผู้นั้น ในการสงคราม ในเมื่อเขาก่อเชิงเทินและก่อกำแพงล้อมเพื่อจะขจัดคนเป็นอันมากเสีย
อสค 19.8 แล้วบรรดาประชาชาติก็ล้อมต่อสู้มันทุกด้านจากแว่นแคว้นทั้งปวง เขาทั้งหลายกางข่ายออกคลุมมัน มันก็ถูกจับอยู่ในหลุมพรางของเขาทั้งหลาย
อสค 21.22 ในมือข้างขวา ท่านมีสลากเยรูซาเล็ม เพื่อตั้งเครื่องทะลวง เพื่อจะให้อ้าปากในการฆ่า เพื่อส่งเสียงตะโกน เพื่อวางเครื่องทะลวงกำแพงเข้าที่ประตูเมือง เพื่อก่อเชิงเทินและก่อกำแพงล้อม
อสค 24.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเขียนชื่อของวันนี้ไว้ วันนี้ทีเดียว กษัตริย์บาบิโลนล้อมเยรูซาเล็มในวันนี้เอง
อสค 26.8 ท่านจะฆ่าธิดาของเจ้าบนแผ่นดินใหญ่เสียด้วยดาบ ท่านจะก่อกำแพงล้อมเจ้าไว้และก่อเชิงเทินทำด้วยดั้งต่อสู้กับเจ้า
อสค 38.11 และจะกล่าวว่า ‘เราจะยกกองทัพไปยังแผ่นดินที่ชนบทไม่มีกำแพงล้อม เราจะโจมตีประชาชนที่สงบซึ่งอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย ทุกคนอาศัยอยู่โดยไม่มีกำแพง ไม่มีดาล ไม่มีประตู’
อสค 40.5 และดูเถิด มีกำแพงล้อมอยู่รอบบริเวณนอกของพระนิเวศ และในมือของชายผู้นั้นมีไม้วัดยาวหกศอก แต่ละศอกยาวเท่ากับศอกคืบ ดังนั้นท่านจึงวัดความหนาของกำแพงได้หนึ่งไม้วัด และความสูงได้หนึ่งไม้วัด
ดนล 1.1 ในปีที่สามของรัชกาลเยโฮยาคิมกษัตริย์ของยูดาห์ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์ของบาบิโลนเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงล้อมเมืองไว้
ดนล 11.15 แล้วกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือจะมาล้อมและก่อเชิงเทิน และยึดเมืองที่มีป้อมแข็งแรงได้ และกำลังกองทัพของถิ่นใต้จะสู้ไม่ไหว แม้ว่ากองทัพที่คัดเลือกแล้วก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังที่จะยืนหยัดอยู่ได้
ฮชย 11.12 เอฟราอิมได้กั้นล้อมเราไว้ด้วยความมุสา และวงศ์วานอิสราเอลล้อมเราด้วยเล่ห์ลวง แต่ยูดาห์ยังปกครองอยู่กับพระเจ้าและสัตย์ซื่ออยู่กับพวกวิสุทธิชน
อมส 3.11 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า “จะมีปฏิปักษ์ผู้หนึ่งมาล้อมแผ่นดินไว้ และเขาจะบั่นทอนขุมกำลังเสียจากเจ้า และปราสาททั้งหลายของเจ้าจะถูกปล้น”
มคา 5.1 โอ บุตรสาวแห่งกองทัพทหารเอ๋ย บัดนี้เจ้าจงรวมกันเป็นกองทัพ ศัตรูมาล้อมเราทั้งหลายไว้ เขาจะเอาไม้ตีแก้มของผู้ปกครองอิสราเอล
ศคย 2.4 และบอกท่านว่า “วิ่งซิ บอกชายหนุ่มคนนั้นว่า ‘จะมีคนมาอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มอย่างกับเมืองที่ไม่มีกำแพงล้อม เพราะว่าประชาชนและสัตว์เลี้ยงในนั้นจะมีมากมาย
ศคย 2.5 เพราะว่าเราจะเป็นเหมือนกำแพงเพลิงล้อมเธอไว้ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า และเราจะเป็นสง่าราศีในเมืองนั้น
ศคย 12.2 “ดูเถิด เราจะทำกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นถ้วยแห่งการสั่นสะเทือนสำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบ เมื่อพวกเขาจะล้อมทั้งยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็มไว้
มธ 8.18 ครั้นพระเยซูทอดพระเนตรเห็นประชาชนเป็นอันมากมาล้อมพระองค์ไว้ พระองค์จึงตรัสสั่งให้ข้ามฟากไป
มธ 21.33 จงฟังคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า ยังมีเจ้าของบ้านผู้หนึ่งได้ทำสวนองุ่น แล้วล้อมรั้วต้นไม้ไว้รอบ เขาได้สกัดบ่อย่ำองุ่นในสวน และสร้างหอเฝ้า ให้พวกชาวสวนเช่าแล้วก็ไปเมืองไกล
มธ 27.27 พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในศาลาปรีโทเรียม แล้วก็รวมทหารทั้งกองล้อมพระองค์ไว้
มก 12.1 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมาว่า “ยังมีชายคนหนึ่งได้ทำสวนองุ่น แล้วล้อมรั้วต้นไม้ไว้รอบ เขาได้สกัดบ่อเก็บน้ำองุ่น และสร้างหอเฝ้า ให้พวกชาวสวนเช่าแล้วก็ไปเมืองไกล
ลก 5.6 เมื่อเขาหย่อนลงแล้ว ก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก จนอวนของเขาขาด
ลก 19.43 ด้วยว่าเวลาจะมาถึงเจ้า เมื่อศัตรูของเจ้าจะก่อเชิงเทินต่อสู้เจ้า และล้อมขังเจ้าไว้ทุกด้าน
กจ 9.3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
กจ 14.20 แต่พวกสาวกได้ล้อมท่านไว้แล้วท่านก็ลุกขึ้นเข้าไปในเมือง วันรุ่งขึ้นท่านจึงเลยไปยังเมืองเดอร์บีกับบารนาบัส
กจ 22.6 ต่อมาเมื่อข้าพเจ้ากำลังเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ประมาณเวลาเที่ยง ในทันใดนั้นมีแสงสว่างกล้ามาจากฟ้าล้อมข้าพเจ้าไว้
กจ 25.7 ครั้นเปาโลเข้ามาแล้ว พวกยิวที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มก็ยืนล้อมไว้รอบ และกล่าวความอุกฉกรรจ์ใส่เปาโลหลายข้อ แต่พิสูจน์ไม่ได้
ฮบ 11.30 โดยความเชื่อ เมื่อพวกอิสราเอลล้อมกำแพงเมืองเยรีโคไว้ถึงเจ็ดวันแล้ว กำแพงเมืองก็พังลง
วว 20.9 และคนเหล่านั้นยกขบวนออกไปทั่วแผ่นดินโลก และล้อมกองทัพของพวกวิสุทธิชน และเมืองอันเป็นที่รักนั้นไว้ แต่ไฟได้ตกลงมาจากพระเจ้าออกจากสวรรค์ เผาผลาญคนเหล่านั้น

ล้อมรอบ ( 56 )
อพย 27.17 เสาล้อมรอบลานทั้งหมด ให้มีราวสำหรับยึดเสาให้ติดต่อกันทำด้วยเงิน และให้ทำขอด้วยเงิน ฐานรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 30.3 และจงหุ้มแท่นด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งด้านบนและด้านข้างทุกด้าน และเชิงงอนด้วย และจงทำกระจังทองคำล้อมรอบแท่น
อพย 38.31 ทำฐานล้อมรอบลานและฐานที่ประตูลาน หลักหมุดทั้งหมดของพลับพลาและหลักหมุดรอบลานนั้น
ลนต 25.34 แต่ทุ่งนาที่ล้อมรอบหัวเมืองทั้งหลายของพวกเขานั้นจะขายไม่ได้ เพราะว่าเป็นกรรมสิทธิ์ถาวรของเขาทั้งหลาย
กดว 13.28 แต่คนที่อยู่ในเมืองนั้นมีกำลังมากและเมืองของเขาก็ใหญ่โตมีกำแพงล้อมรอบ นอกจากนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายยังเห็นคนอานาคที่นั่นด้วย
กดว 22.4 โมอับจึงพูดกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองมีเดียนว่า “คนเหล่านี้จะมาเลียกินสารพัดที่ล้อมรอบเราอยู่หมด เหมือนวัวเลียกินหญ้าในนา” บาลาคบุตรชายศิปโปร์เป็นกษัตริย์เมืองโมอับในเวลานั้น
กดว 32.17 แต่เราทั้งหลายจะถืออาวุธพร้อมที่จะไปข้างหน้าคนอิสราเอล จนกว่าเราทั้งหลายจะนำเขาไปถึงที่ของเขา เด็กเล็กของเราจะได้อยู่ในเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบเพราะกลัวชาวแผ่นดินนี้
กดว 32.36 เบธนิมราห์ และเบธฮาราน ให้เป็นเมืองมีกำแพงล้อมรอบ และสร้างคอกให้แกะ
พบญ 6.14 ท่านทั้งหลายอย่าติดตามพระอื่น ซึ่งเป็นพระของชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบท่าน
ยชว 15.12 พรมแดนด้านตะวันตก คือทะเลใหญ่ตามฝั่งทะเล นี่เป็นพรมแดนล้อมรอบคนยูดาห์ตามครอบครัวของเขา
ยชว 18.20 แม่น้ำจอร์แดนกั้นเป็นพรมแดนทางตะวันออก นี่เป็นมรดกของคนเบนยามินตามครอบครัวของเขา มีพรมแดนดังนี้ล้อมรอบ
ยชว 19.29 แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปถึงรามาห์ ไปถึงเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบชื่อไทระ แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปถึงเมืองโฮสาห์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล จากฝั่งทะเลไปถึงอัคซีบ
ยชว 21.42 เมืองเหล่านี้แต่ละเมืองมีทุ่งหญ้าล้อมรอบ ทุกเมืองก็มีอย่างนี้
ยชว 23.1 ต่อมาอีกนานเมื่อพระเยโฮวาห์โปรดให้อิสราเอลสงบจากการศึกศัตรูทั้งหลายที่ล้อมรอบ และโยชูวามีอายุชราลงมาก
วนฉ 2.12 เขาได้ละทิ้งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ผู้ทรงนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ และเขาทั้งหลายติดตามพระอื่นซึ่งเป็นพระของชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบเขา กราบไหว้พระเหล่านั้น กระทำให้พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธ
1ซมอ 23.26 ซาอูลเสด็จไปฟากภูเขาข้างนี้ ดาวิดกับคนของท่านอยู่ฟากภูเขาข้างโน้น ดาวิดก็รีบหนีจากพระพักตร์ซาอูล เพราะซาอูลกับคนของพระองค์มาล้อมรอบดาวิดกับคนของท่านเพื่อจะจับ
1พกษ 4.31 เพราะพระองค์ทรงมีสติปัญญาฉลาดกว่าคนอื่นทุกคน ทรงฉลาดกว่าเอธานคนเอสราห์ และเฮมาน คาลโคล์และดารดา บรรดาบุตรชายของมาโฮล และพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปในทุกประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบ
1พกษ 5.3 “ท่านคงทราบอยู่แล้วว่าดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ไม่ได้ เพราะการสงครามซึ่งอยู่ล้อมรอบพระองค์ทุกด้าน จนกว่าพระเยโฮวาห์จะทรงปราบเขาเสียให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
1พกษ 7.20 บัวคว่ำซึ่งอยู่บนเสาสองต้นนั้นมีลูกทับทิมด้วย และอยู่เหนือคิ้วซึ่งอยู่ถัดตาข่าย มีลูกทับทิมสองร้อยลูกอยู่ล้อมรอบเป็นสองแถว บัวคว่ำอีกอันหนึ่งก็มีเหมือนกัน
1พศด 6.55 เขาได้รับเมืองเฮโบรนในแผ่นดินยูดาห์ และทุ่งหญ้าซึ่งอยู่ล้อมรอบนั้น
สดด 3.3 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นโล่ล้อมรอบตัวข้าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสง่าราศีของข้าพระองค์ และทรงเป็นผู้ชูศีรษะของข้าพระองค์ไว้
สดด 22.16 พระเจ้าข้า บรรดาสุนัขล้อมรอบข้าพระองค์ไว้ คนทำชั่วหมู่หนึ่งล้อมข้าพระองค์ เขาแทงมือแทงเท้าข้าพระองค์
สดด 118.11 เขาทั้งหลายได้ล้อมข้าพเจ้า ล้อมรอบข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าจะทำลายเขาในพระนามพระเยโฮวาห์
พซม 7.2 สะดือของเธอดุจอ่างกลมที่มิได้ขาดเหล้าองุ่นประสม ท้องของเธอดังกองข้าวสาลีที่มีดอกบัวปักไว้ล้อมรอบ
ยรม 1.15 เพราะ ดูเถิด เราจะร้องเรียกครอบครัวทั้งปวงแห่งบรรดาราชอาณาจักรทิศเหนือ” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ “เขาทั้งหลายจะมา และต่างก็จะวางบัลลังก์ของตนไว้ที่ตรงทางเข้าประตูกรุงเยรูซาเล็ม ตั้งสู้ล้อมรอบกำแพงทั้งหลาย และตั้งสู้หัวเมืองทั้งสิ้นของยูดาห์
ยรม 25.9 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘ดูเถิด เราจะส่งคนไปนำครอบครัวทั้งสิ้นของทิศเหนือและเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนผู้รับใช้ของเรา และเราจะนำเขาทั้งหลายมาต่อสู้แผ่นดินนี้และต่อสู้คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้และต่อสู้บรรดาประชาชาติเหล่านี้ซึ่งอยู่ล้อมรอบ เราจะทำลายเขาทั้งหลายอย่างสิ้นเชิง และเราจะกระทำให้เขาเป็นที่น่าตกตะลึง และเป็นที่เย้ยหยันและเป็นที่รกร้างอยู่เนืองนิตย์
ยรม 48.39 เขาทั้งหลายจะคร่ำครวญว่า ‘โมอับแตกแล้วหนอ โมอับหันหลังกลับด้วยความอับอายแล้วหนอ’ ดังนั้นแหละโมอับได้กลายเป็นที่เยาะเย้ย และเป็นที่หวาดเสียวแก่บรรดาผู้ที่อยู่ล้อมรอบเขา”
อสค 5.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า นี่คือเยรูซาเล็ม เราตั้งเธอไว้ในท่ามกลางประชาชาติและประเทศทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบเธอ
อสค 5.6 และเยรูซาเล็มได้เปลี่ยนคำตัดสินของเราให้เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าประชาชาติใดๆ และได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์ของเรามากยิ่งกว่าประเทศที่อยู่ล้อมรอบ โดยปฏิเสธไม่รับคำตัดสินของเรา และไม่ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา
อสค 5.14 ยิ่งกว่านั้น เราจะกระทำให้เจ้าถูกทิ้งไว้ให้เสียไปเปล่าๆ และเป็นที่ถูกตำหนิติเตียนท่ามกลางประชาชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบเจ้า และในสายตาของบรรดาผู้ที่ผ่านไปมา
อสค 5.15 เจ้าจะเป็นที่เขาประณามและเย้ยหยัน เป็นคำสั่งสอนและเป็นที่น่าหวาดเสียวแก่ประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบเจ้า เมื่อเราจะพิพากษาลงโทษเจ้า ด้วยความกริ้วและความเกรี้ยวกราด และการต่อว่าอย่างรุนแรงของเรา เรา พระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว
อสค 16.57 คือก่อนความชั่วร้ายของเจ้าจะได้เผยออก เหมือนเวลาที่เจ้าเป็นสิ่งที่น่าตำหนิแก่บุตรสาวของซีเรียและบรรดาผู้ที่อยู่ล้อมรอบเธอ คือบุตรสาวของฟีลิสเตียผู้ที่อยู่ล้อมรอบซึ่งดูหมิ่นเจ้า
อสค 36.35 และเขาทั้งหลายจะกล่าวว่า ‘แผ่นดินนี้ที่เคยรกร้างกลายเป็นอย่างสวนเอเดน หัวเมืองที่ถูกทิ้งไว้เสียเปล่าและรกร้างและปรักหักพัง เดี๋ยวนี้ก็มีกำแพงล้อมรอบและมีคนอาศัย’
อสค 42.20 ท่านวัดทั้งสี่ด้าน มีกำแพงล้อมรอบยาวห้าร้อยศอก กว้างห้าร้อยศอก เป็นที่แบ่งระหว่างสถานบริสุทธิ์กับสถานที่สามัญ
ยอล 3.11 บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงรวมกันอยู่ล้อมรอบ จงรีบมาเถิด จงเรียกประชุมกันที่นั่น โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงนำนักรบของพระองค์ลงมา
ยอล 3.12 ให้บรรดาประชาชาติตื่นตัวและขึ้นมายังหุบเขาเยโฮชาฟัท เพราะที่นั่นเราจะนั่งพิพากษาบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นที่อยู่ล้อมรอบ
ยนา 2.3 เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงไปในที่ลึกในท้องทะเล และน้ำก็ท่วมล้อมรอบข้าพระองค์ไว้ บรรดาคลื่นและระลอกของพระองค์ท่วมข้าพระองค์แล้ว
ฮบก 1.4 ดังนั้น พระราชบัญญัติจึงหย่อนยานและความยุติธรรมก็มิได้ปรากฏเสียเลย เพราะว่าคนชั่วล้อมรอบคนชอบธรรมไว้ ความยุติธรรมจึงปรากฏอย่างวิปลาส
ศคย 7.7 ในเมื่อเยรูซาเล็มมีคนอยู่และมั่งคั่ง มีหัวเมืองล้อมรอบ ภาคใต้และแดนที่ราบก็มีคนอยู่ เจ้าควรจะฟังพระวจนะซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงประกาศโดยผู้พยากรณ์รุ่นก่อนๆ มิใช่หรือ”
ศคย 12.2 “ดูเถิด เราจะทำกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นถ้วยแห่งการสั่นสะเทือนสำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบ เมื่อพวกเขาจะล้อมทั้งยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็มไว้
ศคย 12.6 ในวันนั้นเราจะกระทำให้หัวหน้าคนยูดาห์ทั้งหลายเหมือนหม้อร้อนแดงอยู่ท่ามกลางกองฟืน เหมือนคบเพลิงสว่างอยู่ท่ามกลางฟ่อนข้าว และเขาจะเผาผลาญบรรดาชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบไปทางขวาและไปทางซ้ายเสีย ฝ่ายเยรูซาเล็มจะมีคนอาศัยอยู่ในที่เดิมนั้นเอง คือเยรูซาเล็ม
ศคย 14.14 แม้ว่ายูดาห์ก็จะต่อสู้กันที่เยรูซาเล็ม ทรัพย์สมบัติของประชาชาติทั้งสิ้นที่อยู่ล้อมรอบจะถูกเก็บ มีทองคำ เงิน และเสื้อผ้ามากมาย
มก 3.34 พระองค์ทอดพระเนตรคนที่นั่งล้อมรอบพระองค์นั้นแล้วตรัสว่า “ดูเถิด นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา
มก 6.55 และเขารีบไปทั่วตลอดแว่นแคว้นล้อมรอบ เริ่มเอาคนเจ็บป่วยใส่แคร่หามมายังที่เขาได้ยินข่าวว่าพระองค์อยู่นั้น
มก 9.14 เมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังเหล่าสาวก ก็ทอดพระเนตรเห็นฝูงชนเป็นอันมากอยู่ล้อมรอบเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังซักไซ้ไล่เลียงเขาอยู่
ลก 2.9 ดูเถิด มีทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา และรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา และเขากลัวนัก
ลก 7.17 และกิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปตลอดทั่วแคว้นยูเดีย และทั่วแว่นแคว้นล้อมรอบ
ลก 21.20 เมื่อท่านเห็นกองทัพทั้งหลายมาตั้งล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อนั้นจงรู้ว่าวิบัติของกรุงนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว
กจ 5.16 ประชาชนได้ออกมาจากเมืองที่อยู่ล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม พาคนป่วยและคนที่มีผีโสโครกเบียดเบียนมาและทุกคนก็หาย
กจ 14.6 ท่านทั้งสองทราบแล้วจึงหนีไปยังเมืองที่อยู่ในแคว้นลิคาโอเนีย คือเมืองลิสตรา เมืองเดอร์บี กับชนบทที่อยู่ล้อมรอบ
กจ 26.13 โอ ข้าแต่กษัตริย์ ในเวลาเที่ยงวันเมื่อกำลังเดินทางไป ข้าพระองค์ได้เห็นแสงสว่างกล้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ส่องลงมาจากท้องฟ้า ล้อมรอบข้าพระองค์กับคนทั้งหลายที่ไปกับข้าพระองค์
วว 4.3 และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นปรากฏประดุจพลอยหยกและพลอยทับทิม และมีรุ้งล้อมรอบพระที่นั่งนั้น ดูประหนึ่งพลอยมรกต
วว 4.4 และล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีที่นั่งอีกยี่สิบสี่ที่นั่ง และข้าพเจ้าได้เห็นผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ทุกคนนุ่งห่มเสื้อสีขาว และสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ
วว 4.6 และตรงหน้าพระที่นั่งนั้นมีทะเลแก้วดูเหมือนแก้วผลึก และท่ามกลางพระที่นั่งและล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีสัตว์สี่ตัว ซึ่งมีตาเต็มทั้งข้างหน้าและข้างหลัง
วว 5.11 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และข้าพเจ้าได้ยินเสียงทูตสวรรค์เป็นอันมากนับเป็นโกฏิๆเป็นแสนๆ ซึ่งอยู่ล้อมรอบพระที่นั่งรอบสัตว์และผู้อาวุโสทั้งหลายนั้น

ลอย ( 24 )
ปฐก 7.18 น้ำไหลเชี่ยวและทวีมากยิ่งขึ้นบนแผ่นดินโลก และนาวาลอยบนผิวน้ำ
อพย 33.9 ครั้นโมเสสเข้าไปในพลับพลาแล้ว เสาเมฆก็ลอยลงมาตั้งอยู่ที่ประตูพลับพลา แล้วพระเยโฮวาห์ก็ตรัสสนทนากับโมเสส
กดว 9.17 เมื่อไรเมฆลอยขึ้นจากพลับพลา ภายหลังนั้นพวกอิสราเอลก็ยกเดินไป ครั้นเมฆนั้นลอยหยุดอยู่ที่ใด คนอิสราเอลก็ตั้งค่ายอยู่ที่นั่น
กดว 9.21 เมื่อเมฆคงอยู่ตั้งแต่เย็นจนเช้า ครั้นเมฆลอยขึ้นในตอนเช้าเขาก็ยกออกเดิน ไม่ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม เมื่อเมฆลอยขึ้นเขาก็ยกออกเดิน
กดว 9.22 ไม่ว่าเมฆจะคงอยู่เหนือพลับพลาสองวัน หรือเดือนหนึ่งหรือปีหนึ่ง คนอิสราเอลก็อยู่ในค่ายนานเท่านั้น มิได้ยกออกไป แต่เมื่อเมฆลอยขึ้นเมื่อใด เขาก็ยกออกไปเมื่อนั้น
กดว 12.10 เมื่อเมฆลอยพ้นพลับพลาไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อน ขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียมและดูเถิด นางเป็นโรคเรื้อน
2พกษ 6.6 แล้วคนแห่งพระเจ้าถามว่า “ขวานนั้นตกที่ไหน” เมื่อเขาชี้ที่ให้ท่านแล้ว ท่านก็ตัดไม้อันหนึ่งทิ้งลงไปที่นั่น ทำให้ขวานเหล็กนั้นลอยขึ้นมา
โยบ 41.25 เมื่อมันลอยขึ้นมา ผู้ทรงอานุภาพก็กลัวมัน พอมันแว้ง เขาทั้งหลายก็มีใจฝ่อเสียแล้ว
สดด 62.9 คนฐานะต่ำก็เป็นสิ่งไร้สาระ คนฐานะสูงก็เป็นความเท็จ เมื่อชั่งดูเขาก็ลอยขึ้น เขารวมด้วยกันยังเบากว่าสิ่งไร้สาระ
สดด 135.7 พระองค์ทรงกระทำให้เมฆลอยขึ้นมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ทรงกระทำฟ้าแลบให้แก่ฝนและทรงนำลมออกมาจากคลังของพระองค์
ยรม 10.13 เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงก็มีเสียงน้ำคะนองในท้องฟ้า และทรงกระทำให้หมอกลอยขึ้นจากปลายพิภพ ทรงกระทำฟ้าแลบเพื่อฝน และทรงนำลมมาจากพระคลังของพระองค์
ยรม 51.16 เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงก็มีเสียงน้ำคะนองในท้องฟ้า และทรงกระทำให้หมอกลอยขึ้นจากปลายพิภพ ทรงกระทำฟ้าแลบเพื่อฝน และทรงนำลมมาจากพระคลังของพระองค์
ยรม 51.64 และจงกล่าวว่า ‘บาบิโลนจะจมลงอย่างนี้แหละ จะไม่ลอยขึ้นอีกเลยเนื่องด้วยความร้ายซึ่งเราจะนำมาเหนือเธอ และพวกเขาจะเหน็ดเหนื่อย’” ถ้อยคำของเยเรมีย์มีเพียงนี้
ฮชย 10.7 สำหรับสะมาเรีย กษัตริย์ของเขาจะมลายไปเหมือนฟองที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
ยอล 2.20 แต่เราจะถอนกองทัพทางทิศเหนือไปให้ห่างไกลจากเจ้า และขับไล่มันเข้าไปในแผ่นดินที่แห้งแล้งและรกร้าง กองหน้าของมันจะหันไปทางทะเลด้านตะวันออก และกองหลังของมันจะหันไปทางทะเลที่อยู่ไกลออกไป กลิ่นเหม็นคลุ้งของมันจะลอยขึ้นมา และกลิ่นเหม็นเน่าของมันจะลอยขึ้นมา เพราะมันทำการใหญ่หลายอย่าง
มก 11.23 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดๆจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงลอยไปลงทะเล’ และมิได้สงสัยในใจ แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นไปตามคำสั่งนั้นจริง
2คร 11.25 เขาตีข้าพเจ้าด้วยไม้เรียวสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง
ยด 1.12 คนเหล่านี้เป็นรอยด่างในการประชุมเลี้ยงผูกรักของท่านทั้งหลาย ขณะเขาร่วมการเลี้ยงกับท่าน เขาเลี้ยงแต่ตนเองโดยไม่เกรงกลัวเลย เขาเป็นเมฆที่ปราศจากน้ำที่ถูกพัดลอยไปตามลม เป็นต้นไม้ที่ผลของมันเหี่ยวแห้งไปจึงไม่มีผลอยู่เลย และตายมาสองหนแล้ว เพราะถูกถอนออกทั้งราก
ยด 1.13 เป็นคลื่นที่บ้าคลั่งในมหาสมุทร ที่ซัดฟองของความบัดสีของตนเองขึ้นมา เขาเป็นดาวที่ลอยลับไป เป็นผู้ที่ตกอยู่ในความมืดทึบตลอดกาล
วว 8.4 และควันเครื่องหอมนั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของวิสุทธิชนทั้งหลาย จากมือทูตสวรรค์สู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า
วว 21.10 ท่านได้นำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และได้สำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นเมืองใหญ่นั้น คือกรุงเยรูซาเล็มอันบริสุทธิ์ ซึ่งกำลังลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า

ลอยนวล ( 2 )
ยรม 25.29 เพราะ ดูเถิด เราได้เริ่มทำโทษเมืองซึ่งเรียกตามนามของเราแล้ว และเจ้าจะลอยนวลไปได้โดยไม่ถูกโทษหรือ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าจะลอยนวลไปไม่ได้ เพราะเราจะเรียกดาบเล่มหนึ่งมาเหนือชาวแผ่นดินโลกทั้งสิ้น’

ล่อลวง ( 57 )
ปฐก 3.13 พระเยโฮวาห์พระเจ้าตรัสแก่หญิงนั้นว่า “เจ้าทำอะไรลงไป” หญิงนั้นทูลว่า “งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน”
ปฐก 29.25 และต่อมาพอรุ่งขึ้น ดูเถิด เป็นนางเลอาห์ ยาโคบจึงกล่าวแก่ลาบันว่า “ลุงทำอะไรกับข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้ารับใช้ลุงเพื่อได้ราเชลมิใช่หรือ ทำไมลุงจึงล่อลวงข้าพเจ้าเล่า”
อพย 22.16 ถ้าผู้ใดล่อลวงหญิงพรหมจารีที่ยังไม่มีคู่หมั้นและนอนร่วมกับหญิงนั้น ผู้นั้นจะต้องเสียเงินสินสอด และต้องรับหญิงนั้นเป็นภรรยาของตน
1ซมอ 28.12 และเมื่อหญิงคนนั้นเห็นซามูเอล จึงร้องเสียงดัง และหญิงนั้นกราบทูลซาอูลว่า “ไฉนพระองค์จึงทรงล่อลวงหม่อมฉัน พระองค์คือซาอูล”
2ซมอ 3.25 พระองค์ทรงทราบแล้วว่าอับเนอร์บุตรเนอร์มาเพื่อล่อลวงพระองค์ และเพื่อทราบถึงการเสด็จเข้าออกของพระองค์ และเพื่อทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำ”
2พศด 32.15 เพราะฉะนั้นบัดนี้อย่าให้เฮเซคียาห์ล่อลวงเจ้า หรือพาเจ้าให้หลงในทำนองนี้ อย่าเชื่อเขา เพราะไม่มีพระแห่งประชาชาติหรือราชอาณาจักรใดที่สามารถช่วยประชาชนของตนให้พ้นจากมือของเรา หรือจากมือบรรพบุรุษของเรา พระเจ้าของเจ้าจะช่วยเจ้าให้พ้นจากมือของเราได้น้อยยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดเล่า’”
สดด 34.13 จงระวังลิ้นของเจ้าจากความชั่ว และอย่าให้ริมฝีปากพูดเป็นอุบายล่อลวง
สภษ 24.28 อย่าเป็นพยานปรักปรำเพื่อนบ้านของเจ้าอย่างไม่มีเหตุ และอย่าล่อลวงด้วยริมฝีปากของเจ้า
สภษ 26.19 ก็เหมือนกับคนที่ล่อลวงเพื่อนบ้านของเขาและกล่าวว่า “ข้าล้อเล่นเท่านั่นเอง”
ยรม 4.10 แล้วข้าพเจ้าจึงทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ทรงล่อลวงชนชาตินี้ และกรุงเยรูซาเล็มแน่นอนทีเดียวว่า ‘เจ้าทั้งหลายจะอยู่เย็นเป็นสุข’ แต่ที่จริงดาบได้มาถึงชีวิตของเขาทั้งหลาย”
ยรม 9.5 ทุกคนจะล่อลวงเพื่อนบ้านของตัว ไม่มีใครจะพูดความจริงสักคนเดียว เขาได้สอนลิ้นของเขาให้พูดมุสา เขาได้กระทำความชั่วช้าจนน่าเบื่อหน่าย
ยรม 17.9 จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า
ยรม 37.9 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า อย่าล่อลวงตัวเจ้าโดยกล่าวว่า “คนเคลเดียจะถอยออกไปจากเราทีเดียวแน่” เพราะว่าเขาจะไม่ถอยออกไปเลยทีเดียว
ดนล 11.23 ตั้งแต่เวลาที่กระทำพันธมิตรกับเขา เขาจะประกอบกิจล่อลวงอยู่เสมอ เพราะเขาจะขึ้นมา และเขาจะเข้มแข็งขึ้นด้วยชนชาติเล็กๆ
ดนล 11.32 เขาจะใช้ความสอพลอล่อลวงผู้ที่ละเมิดพันธสัญญา แต่ประชาชนผู้รู้จักพระเจ้าของเขาทั้งหลายจะยืนมั่นและปฏิบัติงาน
อบด 1.3 ความเห่อเหิมแห่งใจของเจ้าได้ล่อลวงเจ้าเอง เจ้าผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในซอกหิน ที่อาศัยของเจ้าอยู่สูง เจ้ารำพึงอยู่ในใจว่า “ผู้ใดจะให้เราลงมายังพื้นดิน”
อบด 1.7 พันธมิตรทั้งสิ้นของเจ้าได้ขับเจ้าไปถึงพรมแดน สหมิตรของเจ้าได้ล่อลวงเจ้า เขากลับสู้ชนะเจ้าเสียแล้ว มิตรที่กินข้าวหม้อเดียวกับเจ้าก็วางกับดักเจ้า เรื่องนี้ไม่มีใครเข้าใจอะไรเสียเลย
มคา 6.12 บรรดาคนมั่งมีของเจ้าก็เต็มไปด้วยความทารุณ และชาวเมืองของเจ้าก็พูดมุสา และลิ้นของเขาก็ล่อลวงอยู่ในปากของเขา
ศฟย 3.13 บรรดาคนที่เหลืออยู่ในอิสราเอล เขาจะไม่กระทำความชั่วช้า และไม่กล่าวคำมุสา และในปากของเขานั้นจะหาลิ้นที่ล่อลวงก็ไม่มี เพราะเขาทั้งหลายจะเที่ยวหากินและนอนลง และไม่มีผู้ใดกระทำให้เขากลัวเกรง
ศคย 13.4 ต่อมาในวันนั้น ผู้พยากรณ์ทุกคนจะมีความละอายเพราะนิมิตของเขาเมื่อพยากรณ์ เขาจะไม่สวมผ้ามีขนเพื่อล่อลวงอีกต่อไป
มธ 24.4 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง
มธ 24.5 ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเรา กล่าวว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’ เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป
มธ 24.11 จะมีผู้พยากรณ์เท็จหลายคนเกิดขึ้นและล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป
มธ 24.24 ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้พยากรณ์เทียมเท็จเกิดขึ้นหลายคน และจะทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ถ้าเป็นไปได้จะล่อลวงแม้ผู้ที่ทรงเลือกสรรให้หลง
มก 13.5 พระเยซูจึงตั้งต้นตรัสตอบเขาว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง
มก 13.6 ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเราว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’ และจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป
มก 13.22 ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้ทำนายเทียมเท็จเกิดขึ้นหลายคน ทำหมายสำคัญและการมหัศจรรย์เพื่อล่อลวงผู้ที่ถูกเลือกสรรแล้วให้หลง ถ้าเป็นได้
ลก 21.8 พระองค์จึงตรัสว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเราและว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’ และว่า ‘เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว’ ท่านทั้งหลายอย่าตามเขาไปเลย
รม 7.11 เพราะว่าบาปได้ถือเอาพระบัญญัตินั้นเป็นช่องทางล่อลวงข้าพเจ้า และประหารข้าพเจ้าให้ตายด้วยพระบัญญัตินั้น
รม 16.18 เพราะว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ปรนนิบัติพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา แต่ได้ปรนนิบัติท้องของตัวเอง และได้ล่อลวงคนซื่อให้หลงด้วยคำดีคำอ่อนหวาน
2คร 4.2 แต่ว่าเราได้สละทิ้งกิจการต่างๆที่ไม่ซื่อสัตย์ซึ่งปิดบังซ่อนเร้นไว้ คือไม่ได้ดำเนินอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมและไม่ได้พลิกแพลงพระวจนะของพระเจ้าด้วยวิธีการอันล่อลวง แต่เราได้มอบตัวของเราไว้กับจิตสำนึกผิดชอบของคนทั้งปวง โดยสำแดงความจริงในสายพระเนตรของพระเจ้า
2คร 6.8 โดยมีเกียรติยศและไร้เกียรติยศ โดยเล่าลือกันว่าชั่วและเล่าลือกันว่าดี เหมือนถูกเขาหาว่าเป็นคนที่ล่อลวงเขาให้หลง แต่ยังเป็นคนสัตย์จริง
2คร 11.3 แต่ข้าพเจ้าเกรงว่างูนั้นได้ล่อลวงนางเอวาด้วยอุบายของมันฉันใด จิตใจของท่านก็จะถูกล่อลวงให้หลงไปจากความบริสุทธิ์ ซึ่งมีอยู่ในพระคริสต์โดยวิธีหนึ่งวิธีใดฉันนั้น
อฟ 5.6 อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยคำที่ไม่มีสาระ เพราะการกระทำเหล่านั้นเอง พระเจ้าจึงทรงลงพระอาชญาแก่บุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง
คส 2.4 ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อมิให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยคำชักชวนอันน่าฟัง
2ธส 2.3 อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดล่อลวงท่านโดยทางหนึ่งทางใดเลย เพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึง เว้นแต่จะมีการล้มลงเสียก่อน และคนแห่งการบาปนั้นจะประจักษ์แจ้ง คือลูกแห่งความพินาศ
1ทธ 4.1 บัดนี้ พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ในกาลภายหลังจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปิศาจ
2ทธ 3.13 แต่คนชั่วและคนเจ้าเล่ห์จะชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น ทั้งล่อลวงคนอื่น และก็ถูกคนอื่นล่อลวงด้วย
ยก 1.13 เมื่อผู้ใดถูกล่อลวงให้หลง อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า “พระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้าให้หลง” เพราะว่าความชั่วจะมาล่อลวงพระเจ้าให้หลงไม่ได้ และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงผู้ใดให้หลงเลย
ยก 1.14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อลวง เมื่อตัณหาของตนเองชักนำให้กระทำผิด แล้วตัวก็กระทำตาม
ยก 1.26 ถ้าผู้ใดในพวกท่านดูเหมือนว่าเคร่งครัดในความเชื่อ และมิได้เหนี่ยวรั้งลิ้นของตนไว้ แต่ล่อลวงใจของตนเอง การเคร่งครัดในความเชื่อของผู้นั้นก็ไร้ประโยชน์
1ปต 3.10 เพราะว่า ‘ผู้ที่จะรักชีวิตและปรารถนาที่จะเห็นวันดี ก็ให้ผู้นั้นบังคับลิ้นของตนจากความชั่ว และห้ามริมฝีปากไม่พูดเป็นอุบายล่อลวง
2ปต 2.18 เพราะว่าเขาพูดเย่อหยิ่งอวดตัว และเขาใช้ความปรารถนาแห่งเนื้อหนังกับความกำหนัด เพื่อจะล่อลวงคนทั้งหลายที่กำลังหนีไปจากคนเหล่านั้นที่หลงประพฤติผิด
1ยน 2.26 ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้ถึงท่าน เกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ล่อลวงท่าน
วว 2.20 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้างเล็กน้อย คือพวกเจ้ายอมให้ผู้หญิงชื่อเยเซเบล ที่ยกตัวขึ้นเป็นผู้พยากรณ์หญิง หญิงนั้นสอนและล่อลวงพวกผู้รับใช้ของเรา ให้ล่วงประเวณีและให้กินของที่บูชาแก่รูปเคารพแล้ว
วว 12.9 พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่า พญามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก พญานาคและพวกทูตของมันก็ถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลก
วว 13.14 มันล่อลวงคนทั้งหลายที่อยู่ในโลกด้วยการอัศจรรย์นั้น ซึ่งมันมีอำนาจกระทำท่ามกลางสายตาของสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น และมันสั่งให้คนทั้งหลายที่อยู่ในโลกสร้างรูปจำลองให้แก่สัตว์ร้าย ที่ถูกฟันด้วยดาบแต่ยังมีชีวิตอยู่นั้น
วว 18.23 และในเจ้าจะไม่มีแสงประทีปส่องสว่างอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวในเจ้าอีกต่อไป เพราะว่าบรรดาพ่อค้าของเจ้าได้เป็นคนใหญ่โตแห่งแผ่นดินโลกแล้ว และโดยวิทยาคมของเจ้าได้ล่อลวงบรรดาประชาชาติให้ลุ่มหลง
วว 19.20 สัตว์ร้ายนั้นถูกจับพร้อมด้วยผู้พยากรณ์เท็จ ที่ได้กระทำการอัศจรรย์ต่อหน้าสัตว์ร้ายนั้น และใช้การอัศจรรย์นั้นล่อลวงคนทั้งหลายที่ได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้ายนั้น และบูชารูปของมัน สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จถูกทิ้งทั้งเป็นลงในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถัน
วว 20.3 แล้วทิ้งมันลงไปในเหวที่ไม่มีก้นเหวนั้น แล้วได้ลั่นกุญแจประทับตรา เพื่อไม่ให้มันล่อลวงบรรดาประชาชาติได้อีกต่อไป จนครบกำหนดพันปีแล้วหลังจากนั้นจะต้องปล่อยมันออกไปชั่วขณะหนึ่ง
วว 20.8 และมันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้คนมาชุมนุมกันทำศึกสงคราม จำนวนคนเหล่านั้นมากมายดุจเม็ดทรายที่ทะเล
วว 20.10 ส่วนพญามารที่ล่อลวงเขาเหล่านั้นก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน ที่สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่นั้น และมันต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์

ล้อเล่น ( 2 )
ปฐก 19.14 โลทจึงออกไปพูดกับบุตรเขยของเขาซึ่งได้แต่งงานกับบุตรสาวของเขาว่า “ลุกขึ้น เจ้าจงออกไปจากสถานที่นี้ เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงทำลายเมืองนี้” แต่บุตรเขยของเขากลับดูเหมือนว่าเขาพูดล้อเล่น
สภษ 26.19 ก็เหมือนกับคนที่ล่อลวงเพื่อนบ้านของเขาและกล่าวว่า “ข้าล้อเล่นเท่านั่นเอง”

ล้อเลียน ( 1 )
2พกษ 2.23 ท่านได้ขึ้นไปจากที่นั่นถึงเมืองเบธเอล และขณะเมื่อท่านขึ้นไปตามทางมีเด็กชายเล็กๆบางคนออกมาจากเมืองล้อเลียนท่านว่า “อ้ายหัวล้าน จงขึ้นไปเถิด อ้ายหัวล้าน จงขึ้นไปเถิด”

ล้อเลื่อน ( 2 )
อสค 23.24 เขาจะมาต่อสู้เจ้า มีรถรบ เกวียนและล้อเลื่อน และชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก เขาจะตั้งตนต่อสู้เจ้าทุกด้าน ด้วยดั้งและโล่ และหมวกเหล็ก และเราจะมอบการพิพากษาต่อหน้าเขา และเขาทั้งหลายจะพิพากษาเจ้าตามหลักการพิพากษาของเขาทั้งหลาย
อสค 26.10 ม้าของท่านมากมายจนฝุ่นม้าตลบคลุมเจ้าไว้ กำแพงเมืองของเจ้าจะสั่นสะเทือนด้วยเสียงพลม้าและล้อเลื่อนและรถรบ เมื่อท่านจะยกเข้าประตูเมืองของเจ้า อย่างกับคนเดินเข้าเมืองเมื่อเมืองนั้นแตกแล้ว

ละ ( 213 )
ปฐก 6.19 เจ้าจงนำสัตว์ทั้งปวงที่มีชีวิตทั้งตัวผู้และตัวเมียทุกชนิดอย่างละคู่เข้าไปในนาวาเพื่อรักษาชีวิต
ปฐก 6.20 นกตามชนิดของมัน และสัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน สัตว์เลื้อยคลานตามชนิดของมัน อย่างละคู่จะมาหาเจ้าเพื่อรักษาชีวิตไว้
ปฐก 7.2 เจ้าจงเอาสัตว์ทั้งปวงที่สะอาดทั้งตัวผู้และตัวเมียอย่างละเจ็ดคู่ และสัตว์ทั้งปวงที่ไม่สะอาดทั้งตัวผู้และตัวเมียอย่างละคู่
ปฐก 7.3 นกในอากาศทั้งตัวผู้และตัวเมียอย่างละเจ็ดคู่ด้วย เพื่อรักษาชีวิตไว้ให้สืบเชื้อสายบนพื้นแผ่นดินโลก
ปฐก 15.10 ท่านจึงนำบรรดาสัตว์เหล่านี้มาและผ่ากลางตัวมันวางข้างละซีกตรงกัน แต่นกทั้งหลายนั้นท่านหาได้ผ่าไม่
ปฐก 40.5 คืนหนึ่งข้าราชการทั้งสองนั้นฝันไป คือพนักงานน้ำองุ่นและพนักงานขนมของกษัตริย์อียิปต์ที่ต้องจำอยู่ในคุกนั้น ต่างคนต่างฝันคนละเรื่อง ความฝันของต่างคนก็มีความหมายต่างกัน
ปฐก 45.22 โยเซฟให้เสื้อผ้าคนละสำรับ แต่ให้เงินแก่เบนยามินสามร้อยเหรียญกับเสื้อห้าสำรับ
อพย 4.26 พระองค์จึงทรงละท่านไว้ นางจึงกล่าวว่า “ท่านเป็นสามีผู้ทำให้โลหิตตก” เนื่องจากพิธีเข้าสุหนัต
อพย 12.3 จงสั่งชุมนุมคนอิสราเอลทั้งหมดว่า ในวันที่สิบเดือนนี้ ให้ผู้ชายทุกคนเตรียมลูกแกะ ครอบครัวละตัวตามเรือนบรรพบุรุษของตน
อพย 16.16 นี่เป็นสิ่งที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาไว้ว่า ‘ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละโอเมอร์ ตามจำนวนคนมากน้อย ซึ่งพักอยู่ในเต็นท์ของตน’”
อพย 16.22 อยู่มาเมื่อถึงวันที่หก เขาเก็บอาหารสองเท่า คือคนละสองโอเมอร์ บรรดาหัวหน้าของชุมนุมชนจึงมารายงานต่อโมเสส
อพย 17.12 แต่มือของโมเสสเมื่อยล้า เขาทั้งสองก็นำก้อนหินมาวางไว้ให้โมเสส ท่านนั่ง อาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง มือของท่านก็ชูอยู่จนตะวันตกดิน
อพย 23.14 จงถือเทศกาลถวายแก่เราปีละสามครั้ง
อพย 23.17 ให้ผู้ชายทั้งปวงเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าปีละสามครั้ง
อพย 23.30 แต่เราจะไล่เขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าทีละเล็กละน้อยจนพวกเจ้าทวีจำนวนมากขึ้น แล้วได้รับมอบดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
อพย 25.19 ทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป ทำเครูบนั้นและให้ตอนปลายทั้งสองข้างติดเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา
อพย 25.32 ให้มีกิ่งหกกิ่ง แยกออกจากลำคันประทีปนั้นข้างละสามกิ่ง
อพย 26.13 ส่วนม่านคลุมพลับพลา ซึ่งยาวเกินไปข้างละหนึ่งศอกนั้น ให้ห้อยลงมาข้างๆพลับพลาทั้งข้างนี้และข้างโน้น สำหรับใช้กำบัง
อพย 26.16 ไม้กรอบนั้นให้ยาวแผ่นละสิบศอก กว้างศอกคืบ
อพย 26.17 ให้มีเดือยกรอบละสองเดือย เดือยกรอบหนึ่งมีไม้ประกับติดกับเดือยอีกกรอบหนึ่ง ไม้กรอบพลับพลาทั้งหมดให้ทำอย่างนี้
อพย 26.19 จงทำฐานรองรับด้วยเงินสี่สิบฐานสำหรับไม้กรอบยี่สิบแผ่น ใต้ไม้กรอบแผ่นหนึ่งให้มีฐานรองรับแผ่นละสองฐาน สำหรับสวมเดือยสองอัน
อพย 26.21 และทำฐานเงินรองรับสี่สิบฐาน ใต้กรอบให้ทำฐานแผ่นละสองฐาน
อพย 26.25 คือรวมเป็นไม้กรอบแปดแผ่นด้วยกัน และฐานเงินสิบหกอัน ใต้กรอบไม้ให้มีฐานรองรับแผ่นละสองฐาน
อพย 27.7 ไม้คานนั้นให้สอดไว้ในห่วง ในเวลาหามไม้คานจะอยู่ข้างแท่นข้างละอัน
อพย 30.4 จงทำห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ใต้กระจังด้านละห่วงตรงกันข้าม ห่วงนั้นสำหรับสอดใส่ไม้คานหาม
อพย 30.10 ให้อาโรนทำการบูชาไถ่บาปที่เชิงงอนปีละหนด้วยเลือดของเครื่องบูชาไถ่บาปลบมลทิน ให้เขาทำการลบมลทินแท่นนั้นปีละหนตลอดชั่วอายุของเจ้า แท่นนั้นจะบริสุทธิ์ที่สุดแด่พระเยโฮวาห์”
อพย 34.23 บรรดาผู้ชายทั้งหลายของพวกเจ้าต้องมาประชุมกันต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้า คือพระเจ้าแห่งอิสราเอลปีละสามครั้ง
อพย 34.24 เพราะเราจะขับไล่ชนชาติทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าและจะขยายเขตแดนเมืองของเจ้าให้กว้างออกไป เมื่อพวกเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าปีละสามครั้งนั้น จะไม่มีใครอยากได้แผ่นดินของเจ้าเลย
อพย 36.21 ไม้กรอบนั้นยาวแผ่นละสิบศอก กว้างศอกคืบ
อพย 36.22 มีเดือยกรอบละสองเดือย เดือยกรอบหนึ่งมีไม้ประกับติดกับเดือยอีกกรอบหนึ่ง เขาได้ทำไม้กรอบพลับพลาทั้งหมดอย่างนี้
อพย 36.24 เขาทำฐานด้วยเงินสี่สิบฐานสำหรับไม้กรอบยี่สิบแผ่น ใต้ไม้กรอบแผ่นหนึ่งมีฐานรองรับแผ่นละสองฐานสำหรับสวมเดือยสองอัน
อพย 36.26 เขาทำฐานเงินรองรับสี่สิบฐาน ใต้ไม้กรอบมีฐานแผ่นละสองฐาน
อพย 36.30 คือรวมเป็นไม้กรอบแปดแผ่นด้วยกันและฐานเงินสิบหกอัน ใต้ไม้กรอบมีฐานแผ่นละสองฐาน
อพย 37.8 เขาทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป เขาทำเครูบนั้นตอนปลายทั้งสองข้างเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา
อพย 37.18 มีกิ่งหกกิ่งแยกออกจากลำคันประทีปนั้นข้างละสามกิ่ง
อพย 38.26 คนละเบคา คือครึ่งเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ อันเก็บมาจากทุกคนที่ไปจดทะเบียนสำมะโนครัว คือนับตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไปรวมหกแสนสามพันห้าร้อยห้าสิบคน
อพย 38.27 เงินหนึ่งร้อยตะลันต์นั้น เขาใช้หล่อทำฐานรองรับเสาของสถานบริสุทธิ์และฐานของม่าน ฐานร้อยฐานเป็นเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ คือฐานละหนึ่งตะลันต์
ลนต 16.34 ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรแก่เจ้าทั้งหลาย ให้ทำการลบมลทินบาปเพื่อคนอิสราเอลปีละครั้ง เพราะบาปทั้งสิ้นของเขา” และเขาก็กระทำตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชากับโมเสสไว้
ลนต 23.41 เจ้าจงถือเป็นเทศกาลเลี้ยงปีละเจ็ดวันถวายแด่พระเยโฮวาห์ ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า เจ้าจงถือเทศกาลเลี้ยงนี้ในเดือนที่เจ็ด
ลนต 24.6 เจ้าจงจัดขนมปังนั้นวางบนโต๊ะบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เป็นสองแถวๆละหกก้อน
ลนต 26.43 แต่แผ่นดินจะต้องถูกละไว้จากเขาและจะได้ชื่นชมกับสะบาโตเหล่านั้นของมันขณะที่มันยังว่างเปล่าอยู่โดยไม่มีพวกเขาทั้งหลาย เขาทั้งหลายจะยอมรับการลงโทษในความชั่วช้าของเขา เพราะเขาได้รังเกียจคำตัดสินของเรา และเพราะจิตใจของเขาเกลียดชังกฎเกณฑ์ของเรา
กดว 3.47 เจ้าจงเก็บคนละห้าเชเขล คือจงเก็บตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ (เชเขลหนึ่งมียี่สิบเก-ราห์)
กดว 7.3 และได้นำของบูชามาถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ มีเกวียนประทุนหกเล่มกับวัวหกคู่ ประมุขสองคนนำเกวียนเล่มหนึ่งและวัวคนละตัว ถวายเสียที่หน้าพลับพลา
กดว 7.11 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ให้พวกประมุขมาถวายเครื่องบูชาของเขาวันละคนในงานมอบถวายแท่นบูชา”
กดว 7.86 ช้อนทองคำสิบสองลูกมีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม หนักลูกละสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ทองคำที่ทำช้อนทั้งหมดหนักหนึ่งร้อยยี่สิบเชเขล
กดว 13.2 “จงส่งคนไปสอดแนมดูที่แผ่นดินคานาอันที่เราให้แก่คนอิสราเอลนั้น จงส่งคนจากตระกูลของบรรพบุรุษตระกูลละคน ให้ทุกคนเป็นหัวหน้าในตระกูลนั้น”
กดว 17.2 “จงพูดกับคนอิสราเอลและเอาไม้เท้ามาจากเขา เรือนบรรพบุรุษละอันจากประมุขทุกคนตามเรือนบรรพบุรุษ เป็นไม้เท้าสิบสองอัน เขียนชื่อชายเจ้าของไม้ไว้บนไม้เท้าทุกอัน
กดว 17.6 โมเสสจึงสั่งคนอิสราเอล และประมุขของท่านทุกคนก็มอบไม้เท้าแก่ท่านคนละอันตามเรือนบรรพบุรุษ เป็นไม้เท้าสิบสองอัน และไม้เท้าของอาโรนก็อยู่ในไม้เท้าเหล่านั้นด้วย
กดว 28.29 สำหรับลูกแกะเจ็ดตัวๆละหนึ่งในสิบเอฟาห์
กดว 29.4 ลูกแกะเจ็ดตัว ตัวละหนึ่งในสิบเอฟาห์
กดว 29.10 สำหรับลูกแกะเจ็ดตัวนั้น ตัวละหนึ่งในสิบเอฟาห์
กดว 29.14 และถวายยอดแป้งคลุกน้ำมันเป็นธัญญบูชาคู่กัน สำหรับวัวสิบสามตัว ตัวหนึ่งถวายแป้งสามในสิบเอฟาห์ สำหรับแกะผู้สองตัว ตัวละสองในสิบเอฟาห์
กดว 29.15 สำหรับลูกแกะสิบสี่ตัว ตัวละหนึ่งในสิบเอฟาห์
กดว 31.4 เจ้าจงส่งคนจากตระกูลอิสราเอลทั้งหมดตระกูลละพันคนเข้าทำสงคราม”
กดว 31.5 ดังนั้นเขาจึงจัดคนจากอิสราเอลที่นับพันๆนั้นตระกูลละพันคน เป็นคนหมื่นสองพันสรรพด้วยอาวุธเพื่อเข้าสงคราม
กดว 31.6 และโมเสสส่งคนตระกูลละพันคนออกไปทำสงคราม ทั้งคนเหล่านั้นกับฟีเนหัสบุตรชายเอเลอาซาร์ปุโรหิตไปทำสงคราม พร้อมกับเครื่องใช้อันบริสุทธิ์ และมีแตรปลุกอยู่ในมือ
พบญ 1.23 เรื่องนั้นข้าพเจ้าเห็นดีด้วย ข้าพเจ้าจึงได้เลือกสิบสองคนมาจากท่านทั้งหลายตระกูลละคน
พบญ 16.16 บรรดาผู้ชายทั้งสิ้นจะต้องเข้ามาเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านปีละสามครั้ง ณ สถานที่ซึ่งพระองค์จะทรงเลือกไว้ คือ ณ เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง อย่าให้เขาไปเฝ้าพระเยโฮวาห์มือเปล่าๆ
พบญ 32.6 โอ ชนชาติโฉดเขลาและเบาความเอ๋ย ท่านจะตอบสนองพระเยโฮวาห์อย่างนี้ละหรือ พระองค์มิใช่พระบิดา ผู้ทรงไถ่ท่านไว้ดอกหรือ ผู้ทรงสรรค์ท่าน และตั้งท่านไว้แล้ว
ยชว 3.12 ฉะนั้นบัดนี้จงเลือกคนสิบสองคนออกจากตระกูลอิสราเอลตระกูลละคน
ยชว 4.2 “จงเลือกชายสิบสองคนจากประชาชนตระกูลละคน
ยชว 4.4 แล้วโยชูวาก็เลือกชายสิบสองคน ซึ่งท่านจัดตั้งจากประชาชนอิสราเอลตระกูลละคน
ยชว 4.5 โยชูวาจึงสั่งเขาว่า “จงผ่านไปข้างหน้าหีบของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านลงไปกลางแม่น้ำจอร์แดน แล้วแบกศิลามาคนละก้อนตามจำนวนตระกูลคนอิสราเอล
ยชว 18.4 จงเลือกคนตระกูลละสามคน แล้วข้าพเจ้าจะใช้คนเหล่านั้นไปท่องเที่ยวขึ้นล่องอยู่ที่แผ่นดินนั้น ให้เขียนแนวเขตที่ดินที่จะมอบเป็นมรดก และกลับมาหาข้าพเจ้า
วนฉ 11.40 คือที่บุตรสาวชาวอิสราเอลไปร้องไห้ไว้ทุกข์ให้บุตรสาวของเยฟธาห์คนกิเลอาดปีละสี่วัน
วนฉ 16.5 เจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นไปหานางพูดกับนางว่า “จงลวงเขาเพื่อดูว่ากำลังมหาศาลของเขาอยู่ที่ไหน ทำอย่างไรเราจึงจะมีกำลังเหนือเขา เพื่อเราจะได้มัดเขาให้หมดฤทธิ์ เราทุกคนจะให้เงินเจ้าคนละพันหนึ่งร้อยแผ่น”
วนฉ 16.20 นางจึงบอกว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว” ท่านก็ตื่นขึ้นจากหลับบอกว่า “ฉันจะออกไปอย่างครั้งก่อนๆ และสลัดตัวให้หลุดไป” ท่านหาทราบไม่ว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงละท่านไปเสียแล้ว
วนฉ 17.10 มีคาห์จึงกล่าวแก่เขาว่า “จงอยู่กับข้าพเจ้าเถิด เป็นอย่างบิดาและปุโรหิตของข้าพเจ้าก็แล้วกัน ข้าพเจ้าจะจ่ายเงินให้ปีละสิบเชเขล ให้เครื่องแต่งตัวสำรับหนึ่ง และอาหารรับประทานด้วย” เลวีคนนั้นจึงเข้าไป
วนฉ 20.10 เราจะเลือกคนอิสราเอลทุกตระกูลคัดเอาร้อยละสิบคน พันละร้อย หมื่นละพัน ให้ไปหาเสบียงอาหารมาให้ประชาชน เพื่อเขาทั้งหลายจะตอบสนองบรรดาความโง่เขลาซึ่งพวกกิเบอาห์กระทำขึ้นในอิสราเอล เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงเมืองกิเบอาห์ของคนเบนยามิน”
วนฉ 21.21 คอยเฝ้าดูอยู่ และดูเถิด ถ้าบุตรสาวชาวชีโลห์ออกมาเต้นรำในพิธีเต้นรำ จงออกมาจากสวนองุ่น ฉุดเอาบุตรสาวชาวชีโลห์คนละคนไปเป็นภรรยาของตน แล้วให้กลับไปแผ่นดินเบนยามินเสีย
1ซมอ 10.6 แล้วพระวิญญาณของพระเยโฮวาห์จะมาสถิตกับท่าน และท่านจะพยากรณ์กับคนเหล่านั้น เปลี่ยนเป็นคนละคน
2ซมอ 6.19 และทรงแจกขนมปังคนละแผ่น เนื้อคนละก้อน และขนมองุ่นแห้งคนละแผ่นแก่ประชาชนทั้งปวง คือประชาชนอิสราเอลทั้งหมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย แล้วประชาชนทั้งหลายต่างก็กลับไปยังบ้านของตน
2ซมอ 15.16 กษัตริย์ก็เสด็จออกไปพร้อมกับบรรดาคนในราชสำนักของพระองค์ด้วย เว้นแต่นางสนมสิบคนกษัตริย์ได้ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวัง
2ซมอ 20.3 ดาวิดเสด็จกลับพระราชวังที่กรุงเยรูซาเล็ม กษัตริย์ก็รับสั่งให้นำนางสนมทั้งสิบคนที่พระองค์ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวังนั้นไปรวมกักอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ทรงชุบเลี้ยงไว้แต่มิได้ทรงสมสู่อยู่ด้วย นางเหล่านั้นก็ต้องถูกกักให้มีชีวิตอยู่อย่างแม่ม่ายจนวันตาย
2ซมอ 21.20 มีการรบกันอีกที่เมืองกัท อันเป็นเมืองที่มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต มีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว รวมกันยี่สิบสี่นิ้ว เขาก็บังเกิดแก่คนยักษ์นั้นด้วย
1พกษ 5.14 และพระองค์ทรงใช้เขาไปยังเลบานอน เวรละหนึ่งหมื่นคนต่อเดือน เขาจะอยู่ที่เลบานอนเดือนหนึ่ง และอยู่บ้านสองเดือน และอาโดนีรัมเป็นผู้บังคับบัญชาพวกถูกเกณฑ์แรง
1พกษ 6.23 ในห้องหลังพระองค์ทรงสร้างเครูบสองรูปด้วยไม้มะกอกเทศ สูงรูปละสิบศอก
1พกษ 7.3 ชั้นบนมุงด้วยไม้สนสีดาร์บนห้อง ซึ่งอยู่บนเสาสี่สิบห้าห้อง แถวละสิบห้าห้อง
1พกษ 7.38 ท่านทำขันทองสัมฤทธิ์สิบลูก ขันลูกหนึ่งจุสี่สิบบัท ขนาดขันลูกหนึ่งสี่ศอก มีขันแท่นละลูกทั้งสิบแท่น
1พกษ 8.57 ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายสถิตกับเราดังที่พระองค์ได้สถิตกับบรรพบุรุษของเรา ขอพระองค์อย่าทรงละเราหรือทอดทิ้งเราเสีย
1พกษ 9.25 ปีละสามครั้ง ซาโลมอนได้ทรงถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องสันติบูชาบนแท่นบูชา ซึ่งพระองค์ทรงสร้างถวายพระเยโฮวาห์ ทรงเผาเครื่องหอมบนแท่นบูชาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ดังนั้นพระองค์จึงสร้างพระนิเวศจนสำเร็จ
1พกษ 18.4 และเมื่อเยเซเบลขจัดผู้พยากรณ์ของพระเยโฮวาห์ออกไป โอบาดีห์ได้นำผู้พยากรณ์หนึ่งร้อยคนซ่อนไว้ตามถ้ำแห่งละห้าสิบคน และเลี้ยงเขาทั้งหลายด้วยขนมปังและน้ำ)
1พกษ 18.13 ไม่มีผู้ใดเรียนเจ้านายของข้าพเจ้าดอกหรือว่า ข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งใดเมื่อเยเซเบลประหารผู้พยากรณ์ของพระเยโฮวาห์เสีย และข้าพเจ้าได้ซ่อนผู้พยากรณ์หนึ่งร้อยคนของพระเยโฮวาห์ไว้ตามถ้ำแห่งละห้าสิบคน และเลี้ยงเขาด้วยขนมปังและน้ำ
1พกษ 19.3 เมื่อท่านทราบแล้วก็ลุกขึ้นหนีไปเอาชีวิตรอด และมาถึงเบเออร์เชบาเขตประเทศยูดาห์ และละคนใช้ของท่านไว้ที่นั่น
1พกษ 19.20 ท่านก็ละวัวเหล่านั้นวิ่งตามเอลียาห์ไปและกล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าไปจุบลาบิดามารดาของข้าพเจ้าก่อน และข้าพเจ้าจะติดตามท่านไป” เอลียาห์จึงกล่าวกับเอลีชาว่า “กลับไปเถิด เพราะฉันได้ทำอะไรแก่ท่าน”
1พกษ 20.10 เบนฮาดัดส่งข่าวกลับมาว่า “ถ้าผงคลีแห่งสะมาเรียจะพอแก่คนที่ติดตามข้าพเจ้ามาสักคนละหยิบมือหนึ่ง ก็ขอให้พระทั้งหลายลงโทษข้าพเจ้าและให้หนักยิ่งกว่า”
2พกษ 7.16 แล้วประชาชนก็ยกออกไปปล้นเต็นท์ทั้งหลายของคนซีเรีย ยอดแป้งจึงขายกันถังละเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังเชเขล ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์
2พกษ 15.20 เมนาเฮมได้เร่งรัดเอาเงินนั้นมาจากอิสราเอล คือจากคนมั่งมีทุกคน เงินคนละห้าสิบเชเขล เพื่อถวายแก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงยกทัพกลับ และมิได้ทรงยับยั้งอยู่ในแผ่นดินนั้น
2พกษ 25.12 แต่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ละคนจนแห่งแผ่นดินไว้ให้เป็นคนทำสวนองุ่นและเป็นคนทำไร่ไถนา
1พศด 16.3 และทรงแจกขนมปังคนละก้อน เนื้อคนละส่วน และขนมองุ่นแห้งคนละอัน แก่บรรดาประชาชนอิสราเอลทั้งชายและหญิง
1พศด 20.6 และมีสงครามที่เมืองกัทอีก มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต ผู้ที่มือข้างหนึ่งมีนิ้วหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว จำนวนยี่สิบสี่นิ้ว และเขาเป็นบุตรชายของคนยักษ์ด้วย
1พศด 26.17 ด้านตะวันออกมีคนเลวีหกคน ด้านเหนือมีสี่คนทุกวัน ด้านใต้วันละสี่คนทุกวัน และสองคู่ที่คลังพัสดุ
2พศด 24.25 เมื่อเขาทั้งหลายจากพระองค์ไป (เขาละพระองค์ไว้บาดเจ็บอย่างสาหัส) ข้าราชการของพระองค์ก็คิดร้ายต่อพระองค์ เพราะโลหิตของบุตรชายเยโฮยาดาปุโรหิต และได้ประหารพระองค์เสียที่บนแท่นบรรทม พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และเขาทั้งหลายฝังพระศพไว้ในนครดาวิด แต่เขาทั้งหลายมิได้ฝังพระศพไว้ในอุโมงค์ของบรรดากษัตริย์
2พศด 35.15 บรรดานักร้องซึ่งเป็นลูกหลานของอาสาฟอยู่ประจำที่ของตน ตามบัญชาของดาวิด อาสาฟ และเฮมาน กับเยดูธูนผู้ทำนายของกษัตริย์ และคนเฝ้าประตูก็อยู่ประจำทุกประตู เขาไม่จำเป็นละงานหน้าที่ของเขา เพราะคนเลวีพี่น้องของเขาได้เตรียมไว้ให้เขา
นหม 5.15 ผู้ว่าราชการคนที่อยู่ก่อนข้าพเจ้าได้เบียดเบียนประชาชน ได้เอาเงินเป็นค่าอาหารและน้ำองุ่นไปจากเขา นอกจากเงินวันละสี่สิบเชเขล แม้ข้าราชการของท่านก็ได้ใช้อำนาจเหนือประชาชน แต่ข้าพเจ้ามิได้กระทำเช่นนั้น เพราะความยำเกรงพระเจ้า
นหม 10.32 และเราทั้งหลายกำหนดไว้ว่าจะให้คิดกับตัวเราเป็นรายปีให้เสียคนละจำนวนหนึ่งส่วนสามเชเขล เพื่อการปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้าของเรา
โยบ 5.2 แน่ละ ความโกรธฆ่าคนโฉดและความริษยาฆ่าคนเขลา
โยบ 8.6 ถ้าท่านบริสุทธิ์และเที่ยงธรรมแน่ละ บัดนี้พระองค์ก็จะทรงตื่นขึ้นเพื่อท่าน และทรงให้ที่อาศัยแห่งความชอบธรรมของท่านเจริญเป็นแน่
โยบ 11.15 แล้วแน่ละ ท่านจะเงยหน้าขึ้นโดยปราศจากตำหนิ ท่านจะมั่นคง และไม่ต้องกลัว
โยบ 17.2 แน่ละ คนมักเยาะเย้ยก็อยู่รอบข้านี่เอง และตาของข้าก็จ้องอยู่ที่การยั่วเย้าของเขา
โยบ 18.21 แน่ละ ที่อยู่ของคนชั่วเป็นอย่างนี้แหละละที่อยู่ของคนซึ่งไม่รู้จักพระเจ้าก็เป็นอย่างนี้แหละ”
โยบ 19.14 ญาติของข้าละข้าเสีย และเพื่อนสนิทของข้าได้ลืมข้าเสียแล้ว
โยบ 22.2 “คนจะเป็นประโยชน์อะไรแก่พระเจ้าได้หรือ แน่ละ ผู้ใดฉลาดก็เป็นประโยชน์แก่ตนเองต่างหาก
โยบ 28.1 “แน่ละ ต้องมีเหมืองสำหรับแร่เงิน และมีที่สำหรับทองคำที่เขาถลุง
โยบ 33.8 แน่ละ ท่านพูดให้ข้าพเจ้าฟัง และข้าพเจ้าได้ยินเสียงถ้อยคำของท่านว่า
โยบ 35.13 แน่ละ พระเจ้ามิได้ฟังสิ่งไร้สาระ และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็มิได้ทรงนับถือเสียงนั้น
โยบ 38.5 ผู้ใดได้กำหนดขนาดให้โลก แน่นอนละ เจ้าต้องรู้ซี หรือใครขึงเชือกวัดบนนั้น
โยบ 39.14 ซึ่งละไข่ของมันไว้กับดินให้มันอบอุ่นอยู่ในดิน
โยบ 41.32 มันละทางแวบวาบไว้ข้างหลัง ทำให้ใครๆคิดว่ามหาสมุทรผมหงอก
สดด 49.10 เออ เขาเห็นว่า ถึงปราชญ์ก็ยังตาย คนโง่และคนโฉดก็ต้องพินาศเหมือนกัน และละทรัพย์ศฤงคารของตนไว้ให้คนอื่น
สดด 60.10 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์มิได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วหรือ โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงออกไปกับกองทัพของข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วละ
สดด 73.18 จริงละ พระองค์ทรงวางเขาไว้ในที่ลื่น พระองค์ทรงกระทำให้เขาล้มถึงความพินาศ
สดด 76.10 แน่ละ ความโกรธของมนุษย์จะสรรเสริญพระองค์ และความโกรธที่เหลืออยู่นั้นพระองค์จะทรงยับยั้งไว้
สดด 78.60 พระองค์ทรงละพลับพลาในชีโลห์ คือเต็นท์ที่พระองค์ทรงตั้งไว้ท่ามกลางมนุษย์
สดด 108.11 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์มิได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วหรือ โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงออกไปกับกองทัพของข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วละ
สดด 119.121 ข้าพระองค์ได้กระทำสิ่งที่ยุติธรรมและเที่ยงธรรม ขออย่าทรงละข้าพระองค์แก่ผู้บีบบังคับข้าพระองค์
สดด 119.164 ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์วันละเจ็ดครั้ง เหตุเรื่องข้อตัดสินอันชอบธรรมของพระองค์
สภษ 13.19 ความปรารถนาที่สัมฤทธิ์ผลเป็นสิ่งหอมหวานสำหรับจิตวิญญาณ แต่เป็นความสะอิดสะเอียนแก่คนโง่ที่จะละเสียจากความชั่วร้าย
สภษ 13.22 คนดีก็ละมรดกไว้ให้แก่หลานๆ แต่ทรัพย์ศฤงคารของคนบาปนั้นส่ำสมไว้ให้คนชอบธรรม
ปญจ 2.18 เออ ข้าพเจ้าเกลียดการงานทั้งสิ้นของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า
ปญจ 2.21 ด้วยว่ามีคนที่ทำงานโดยใช้สติปัญญา ความรู้ และความชำนาญ แต่แล้วก็ละการนั้นให้เป็นส่วนของอีกคนหนึ่งที่หาได้ออกแรงทำเพื่อการนั้นไม่ นี่ก็อนิจจังด้วยและสามานย์ยิ่ง
พซม 4.9 น้องสาวของฉันจ๋า น้องได้ปล้นเอาดวงใจของพี่ไปเสียแล้วละ เจ้าสาวของฉันเอ๋ย เจ้าได้ปล้นเอาดวงใจของฉันไปด้วยการชายตาเพียงแวบเดียวเท่านั้น ด้วยสร้อยคอสายเดียวของเจ้า
พซม 8.11 ซาโลมอนทรงมีสวนองุ่นอยู่แปลงหนึ่งที่เมืองบาอัลฮาโมน พระองค์ทรงมอบสวนองุ่นนั้นให้แก่ผู้รักษาสวนเช่า ทุกคนต้องส่งเงินคนละพันแผ่นเป็นค่าผลไม้
พซม 8.12 สวนองุ่นของดิฉัน ซึ่งเป็นของดิฉันเอง อยู่ต่อหน้าดิฉัน โอ ข้าแต่ซาโลมอน พันนั้นพระองค์เอาไปเถิด และผู้ดูแลผลไม้ในสวนนั้นก็เอาไปคนละสองร้อยเถิด
อสย 7.9 และเศียรของเอฟราอิมคือสะมาเรีย และเศียรของสะมาเรียคือโอรสของเรมาลิยาห์ ถ้าเจ้าจะไม่มั่นใจ แน่ละ ก็จะตั้งมั่นเจ้าไว้ไม่ได้’”
อสย 49.4 แต่ข้าพเจ้าว่า “ข้าพเจ้าได้ทำงานเปล่าดาย ข้าพเจ้าเปลืองแรงของข้าพเจ้าเปล่าๆ อนิจจัง แต่แน่ละ ความยุติธรรมอันควรตกแก่ข้าพเจ้าอยู่กับพระเยโฮวาห์ และงานของข้าพเจ้าอยู่กับพระเจ้าของข้าพเจ้า”
อสย 49.25 แน่นอนละ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “แม้เชลยของผู้มีกำลังก็จะต้องเอาไป และเหยื่อของผู้น่ากลัวก็ต้องช่วยให้พ้น เพราะเราจะต่อสู้กับผู้ที่ต่อสู้เจ้า และจะช่วยบุตรของเจ้าให้รอด
ยรม 3.14 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “โอ ลูกหลานที่กลับสัตย์เอ๋ย กลับมาเถิด เพราะเราแต่งงานกับเจ้าแล้ว เราจะรับเจ้าจากเมืองละคนและจากครอบครัวละสองคน และเราจะนำเจ้ามาถึงศิโยน
ยรม 14.9 ไฉนพระองค์จะทรงเป็นเหมือนชายที่งันงง หรือเหมือนคนที่มีกำลังมากแต่ช่วยใครให้รอดไม่ได้ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แม้กระนั้นก็ดีพระองค์ทรงสถิตท่ามกลางข้าพระองค์ทั้งหลาย คนเขาเรียกพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์ ขออย่าทรงละข้าพระองค์ทั้งหลายไว้เสีย”
ยรม 27.11 แต่ประชาชาติใดซึ่งเอาคอของตนวางไว้ใต้แอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลนและปรนนิบัติท่าน เราจะละเขาไว้บนแผ่นดินของเขา เพื่อให้ทำไร่ไถนาและให้อาศัยอยู่ที่นั่น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ’”
ยรม 37.21 กษัตริย์เศเดคียาห์จึงมีรับสั่งให้เขามอบเยเรมีย์ไว้ที่บริเวณทหารรักษาพระองค์ และเขาให้ขนมปังแก่ท่านวันละก้อนจากถนนช่างทำขนมจนขนมปังในกรุงนั้นหมด เยเรมีย์จึงค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์อย่างนั้น
ยรม 49.20 เพราะฉะนั้นจงฟังคำปรึกษาซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเตรียมไว้ต่อสู้เมืองเอโดม และพระประสงค์ทั้งหลายซึ่งพระองค์ได้ดำริไว้ต่อสู้ชาวเมืองเทมาน แน่ล่ะ ถึงตัวเล็กที่สุดในฝูงก็จะต้องถูกลากเอาไป แน่ละ พระองค์จะทรงกระทำให้ที่อาศัยของเขาร้างเปล่าไปพร้อมกับเขาด้วย
ยรม 50.45 เพราะฉะนั้นจงฟังแผนงานซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงกระทำไว้ต่อสู้บาบิโลน และบรรดาพระประสงค์ซึ่งพระองค์ได้ดำริขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินของชาวเคลเดีย แน่ละตัวเล็กที่สุดที่อยู่ในฝูงก็ต้องถูกลากเอาไป แน่ละคอกของเขานั้นจะรกร้างไป
ยรม 51.14 พระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงปฏิญาณต่อพระองค์เองว่า แน่ละ เราจะให้เจ้ามีคนเต็มเมืองให้มากอย่างตั๊กแตน และเขาทั้งหลายจะเปล่งเสียงโห่ร้องมีชัยเหนือเจ้า
ยรม 52.16 แต่เนบูซาระดานผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ได้ละคนจนในแผ่นดินไว้บ้าง ให้เป็นคนทำสวนองุ่น และเป็นคนทำไร่ไถนา
อสค 4.10 และอาหารที่เจ้ารับประทานจะต้องชั่ง เป็นวันละยี่สิบเชเขล เจ้าจงรับประทานตามเวลากำหนด
อสค 10.9 และข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด มีวงล้ออยู่สี่อันข้างๆเหล่าเครูบ อยู่ข้างเครูบตนละหนึ่งวงล้อ ลักษณะของวงล้อนั้นเหมือนแสงพลอยเขียว
อสค 12.16 แต่เราจะละบางคนในพวกเขาไว้จากดาบ จากการกันดารอาหาร และจากโรคระบาด เพื่อเขาจะได้เล่าถึงการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเขาท่ามกลางประชาชาติซึ่งเขาไปอยู่นั้น และเขาจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์”
อสค 40.12 หน้าห้องยามนั้นมีเครื่องกั้นด้านละหนึ่งศอก และห้องยามนั้นยาวด้านละหกศอก
อสค 40.21 ห้องยามด้านละสามห้อง กับเสาและมุขมีขนาดเดียวกับหอประตูแรก ยาวห้าสิบศอก กว้างยี่สิบห้าศอก
อสค 40.26 มีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน มีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น
อสค 40.34 มุขของด้านนี้หันหน้าสู่ลานชั้นนอก และมีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 40.37 มุขของด้านนี้หันหน้าสู่ลานชั้นนอก และมีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 40.39 และที่มุมของหอประตูมีโต๊ะด้านละสองโต๊ะ บนนี้สำหรับฆ่าเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาไถ่บาป และเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
อสค 40.48 แล้วท่านนำข้าพเจ้ามาที่มุขของพระนิเวศและวัดเสาของมุขได้ห้าศอกทั้งสองด้าน และหอประตูก็กว้างด้านละสามศอก
อสค 41.1 ภายหลังท่านนำข้าพเจ้ามาถึงพระวิหาร และได้วัดเสา กว้างด้านละหกศอก ซึ่งเท่ากับความกว้างของพลับพลา
อสค 41.2 และส่วนกว้างของทางเข้านั้นสิบศอก และกำแพงข้างทางเข้าด้านละห้าศอก และท่านก็วัดความยาวของพระวิหารได้สี่สิบศอก กว้างยี่สิบศอก
อสค 41.6 ห้องระเบียงนั้นเป็นห้องสามชั้นซ้อนกัน มีชั้นละสามสิบห้อง มีหยักบ่าอยู่รอบกำแพงพระนิเวศ ใช้เป็นที่หนุนห้องระเบียง เพื่อไม่ให้ห้องระเบียงอาศัยกำแพงพระนิเวศ
อสค 41.23 พระวิหารและสถานบริสุทธิ์มีประตูคู่แห่งละคู่
อสค 48.20 ส่วนเต็มซึ่งเจ้าจะต้องแบ่งแยกไว้นั้นให้เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสด้านละสองหมื่นห้าพันศอก นั่นคือส่วนบริสุทธิ์รวมกับส่วนของตัวนคร
ดนล 6.10 เมื่อดาเนียลทราบว่าลงพระนามในหนังสือสำคัญนั้นแล้ว ท่านก็ไปยังเรือนของท่าน ที่มีหน้าต่างห้องชั้นบนของท่านเปิดตรงไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และท่านก็คุกเข่าลงวันละสามครั้ง อธิษฐานและโมทนาพระคุณต่อพระพักตร์พระเจ้าของท่าน ดังที่ท่านได้เคยกระทำมาแต่ก่อน
ดนล 6.13 แล้วเขาจึงกราบทูลต่อพระพักตร์กษัตริย์ว่า “ดาเนียลคนนั้นในพวกที่ถูกกวาดเป็นเชลยมาจากยูดาห์ หาได้เชื่อฟังพระองค์ไม่ โอ ข้าแต่กษัตริย์ และไม่เชื่อฟังพระราชกฤษฎีกาซึ่งพระองค์ทรงลงพระนามไว้ แต่ได้ทูลขอวันละสามครั้ง”
มคา 2.11 หากคนใดจะเที่ยวไปโดยมีนิสัยหลอกลวงและมุสาว่า “เราจะพยากรณ์ให้ท่านฟังเรื่องเหล้าองุ่นและเมรัย” เขาจะเป็นผู้พยากรณ์ของชนชาตินี้ได้ละ
ฮบก 2.7 ลูกหนี้ของเจ้าจะไม่ลุกขึ้นมาในปัจจุบันทันด่วนหรือ และผู้ใดที่กระทำให้เจ้าตัวสั่นจะไม่ตื่นขึ้นหรือ แล้วเจ้าก็จะถูกเขาริบบ้างละ
ศคย 4.2 และท่านถามข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นเชิงเทียนทำด้วยทองคำล้วนอันหนึ่ง มีชามอยู่ที่ยอด และมีตะเกียงอยู่บนนั้นเจ็ดดวง และมีท่อเจ็ดท่อนำไปยังตะเกียงซึ่งอยู่บนยอดนั้นดวงละท่อ
มธ 4.11 แล้วพญามารจึงละพระองค์ไป และดูเถิด มีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์
มธ 4.20 เขาทั้งสองได้ละอวนตามพระองค์ไปทันที
มธ 4.22 ในทันใดนั้นเขาทั้งสองก็ละเรือและลาบิดาของเขาตามพระองค์ไป
มธ 18.12 ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ถ้าผู้หนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงหายไปจากฝูง ผู้นั้นจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้แล้วขึ้นไปบนภูเขาเที่ยวหาตัวที่หายนั้นหรือ
มธ 20.2 ครั้นตกลงกับลูกจ้างวันละเดนาริอันแล้ว จึงใช้ให้ไปทำงานในสวนองุ่นของเขา
มธ 20.9 คนที่มาทำงานเวลาประมาณบ่ายห้าโมงนั้น ได้ค่าจ้างคนละหนึ่งเดนาริอัน
มธ 20.10 ส่วนคนที่มาทีแรกนึกว่าเขาคงจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน
มธ 20.13 ฝ่ายเจ้าของบ้านก็ตอบแก่คนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘สหายเอ๋ย เรามิได้โกงท่านเลย ท่านได้ตกลงกับเราแล้ววันละหนึ่งเดนาริอันมิใช่หรือ
มธ 21.17 พระองค์ได้ทรงละจากเขาและเสด็จออกจากกรุงไปประทับอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี
มธ 22.22 ครั้นเขาได้ยินคำตรัสตอบของพระองค์นั้นแล้ว เขาก็ประหลาดใจ จึงละพระองค์ไว้และพากันกลับไป
มธ 22.25 ในพวกเรามีพี่น้องผู้ชายเจ็ดคน พี่หัวปีมีภรรยาแล้วก็ตายเมื่อยังไม่มีบุตร ก็ละภรรยาไว้ให้แก่น้องชาย
มธ 24.40 เมื่อนั้นสองคนจะอยู่ที่ทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง
มธ 24.41 หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง
มธ 26.44 พระองค์จึงทรงละพวกเขาไว้ เสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สามด้วยถ้อยคำเช่นเดิมอีก
มก 1.18 เขาก็ละอวนตามพระองค์ไปทันที
มก 1.20 ในทันใดนั้นพระองค์ได้ทรงเรียกเขา เขาจึงละเศเบดีบิดาของเขาไว้ที่เรือกับลูกจ้าง และได้ตามพระองค์ไป
มก 6.40 ประชาชนก็ได้นั่งรวมกันเป็นหมู่ๆ หมู่ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบบ้าง
มก 7.8 เจ้าทั้งหลายละพระบัญญัติของพระเจ้า และกลับไปถือตามประเพณีของมนุษย์ คือการล้างถ้วยเหยือก และสิ่งอื่นๆเช่นนี้อีกหลายสิ่ง เจ้าทั้งหลายก็ทำอยู่”
ลก 4.13 เมื่อพญามารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว จึงละพระองค์ไปชั่วคราว
ลก 9.14 เพราะว่าคนเหล่านั้นนับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน พระองค์จึงสั่งเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงให้คนทั้งปวงนั่งลงเป็นหมู่ๆ ราวหมู่ละห้าสิบคน”
ลก 15.4 “ในพวกท่านมีคนใดที่มีแกะร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป จะไม่ละเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้า และไปเที่ยวหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะได้พบหรือ
ลก 17.34 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนวันนั้นจะมีชายสองคนนอนในที่นอนอันเดียวกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง
ลก 17.35 ผู้หญิงสองคนจะโม่แป้งด้วยกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง
ลก 17.36 ชายสองคนจะอยู่ในทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง”
ยน 2.6 มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว จุน้ำใบละสี่ห้าถัง
ยน 6.7 ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเหรียญเดนาริอันก็ไม่พอซื้ออาหารให้เขากินกันคนละเล็กละน้อย”
ยน 19.18 ณ ที่นั้น เขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนกับคนอีกสองคน คนละข้างและพระเยซูทรงอยู่กลาง
ยน 19.23 ครั้นพวกทหารตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแล้ว เขาทั้งหลายก็เอาฉลองพระองค์แบ่งออกเป็นสี่ส่วนให้ทหารทุกคนคนละส่วน และเอาฉลองพระองค์ชั้นในด้วย ฉลองพระองค์ชั้นในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอตั้งแต่บนตลอดล่าง
กจ 2.31 ดาวิดก็ทรงล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงทรงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า จิตวิญญาณของพระองค์ไม่ต้องละไว้ในนรก ทั้งพระมังสะของพระองค์ก็ไม่เปื่อยเน่าไป
กจ 12.4 เมื่อจับเปโตรแล้ว จึงให้จำคุก ให้ทหารสี่หมู่ๆละสี่คนคุมไว้ ตั้งใจว่าเมื่อสิ้นเทศกาลอีสเตอร์แล้วจะพาออกมาให้แก่คนทั้งหลาย
กจ 13.13 แล้วเปาโลกับพวกของท่านก็แล่นเรือออกจากเมืองปาโฟสไปยังเมืองเปอร์กาในแคว้นปัมฟีเลีย ยอห์นได้ละพวกนั้นไว้แล้วกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 15.38 แต่เปาโลไม่เห็นควรที่จะพายอห์นไปด้วย เพราะครั้งก่อนยอห์นได้ละท่านทั้งสองเสียที่แคว้นปัมฟีเลีย และมิได้ไปทำการด้วยกัน
กจ 18.19 ครั้นมายังเมืองเอเฟซัส เปาโลได้ละปริสสิลลากับอาควิลลาไว้ที่นั่น แต่ท่านเองได้เข้าไปโต้เถียงกับพวกยิวในธรรมศาลา
กจ 22.29 ขณะนั้นคนทั้งหลายที่จะไต่สวนเปาโลก็ได้ละท่านไปทันที และนายพันเมื่อทราบว่า เปาโลเป็นคนสัญชาติโรมก็ตกใจกลัวเพราะได้มัดท่านไว้
2คร 11.24 พวกยิวเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้งๆละสามสิบเก้าที
ทต 1.5 เพราะเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงละท่านไว้ที่เกาะครีต ก็เพื่อท่านจะได้แก้ไขสิ่งที่ยังบกพร่องให้เรียบร้อย และตั้งผู้ปกครองไว้ทุกเมืองตามที่ข้าพเจ้าได้กำชับท่านแล้ว
ฮบ 6.1 เหตุฉะนั้นให้เราละประถมโอวาทของพระคริสต์ไว้ และให้เราก้าวหน้าไปถึงความบริบูรณ์ อย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาวางเป็นรากอีกเลย คือการกลับใจเสียใหม่จากการกระทำที่ตายแล้ว และความเชื่อในพระเจ้า
ฮบ 8.9 ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่ได้มั่นอยู่ในพันธสัญญาของเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงได้ละเขาไว้” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แหละ
ฮบ 9.7 แต่ในห้องที่สองนั้นมีมหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าไปได้ปีละครั้ง และต้องนำเลือดเข้าไปถวายเพื่อตัวเอง และเพื่อความผิดของประชาชนด้วย
ฮบ 13.5 ท่านจงพ้นจากการรักเงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า “เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย”
1ปต 2.1 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงละการปองร้ายทั้งปวง บรรดาการอุบาย การหน้าซื่อใจคด ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย
1ปต 3.11 ให้เขาละความชั่วและกระทำความดี แสวงหาความสงบสุขและดำเนินตามนั้น
1ปต 5.7 จงละบรรดาความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย
วว 6.6 แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงออกมาจากท่ามกลางสัตว์ทั้งสี่นั้นว่า “ข้าวสาลีราคาทะนานละหนึ่งเดนาริอัน ข้าวบาร์เลย์สามทะนานต่อหนึ่งเดนาริอัน และเจ้าอย่าทำอันตรายแก่น้ำมันและน้ำองุ่น”
วว 21.21 ประตูทั้งสิบสองประตูนั้นเป็นไข่มุกสิบสองเม็ด ประตูละเม็ด และถนนในเมืองนั้นเป็นทองคำบริสุทธิ์ ใสราวกับแก้ว

ล่ะ ( 6 )
อพย 2.20 บิดาจึงถามบุตรสาวของท่านว่า “แล้วชายผู้นั้นอยู่ที่ไหน ทำไมจึงทิ้งเขาไว้ล่ะ ไปเชิญเขามาเพื่อจะรับประทานอาหารซิ”
โยบ 38.34 เจ้าตะเบ็งเสียงไปถึงเมฆได้ไหมล่ะ เพื่อน้ำมากมายจะลงมาคลุมเจ้า
โยบ 38.39 เจ้าล่าเหยื่อให้สิงโตได้หรือ หรือให้สิงโตหนุ่มที่หิวอิ่มได้ไหมล่ะ
ยรม 49.20 เพราะฉะนั้นจงฟังคำปรึกษาซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเตรียมไว้ต่อสู้เมืองเอโดม และพระประสงค์ทั้งหลายซึ่งพระองค์ได้ดำริไว้ต่อสู้ชาวเมืองเทมาน แน่ล่ะ ถึงตัวเล็กที่สุดในฝูงก็จะต้องถูกลากเอาไป แน่ละ พระองค์จะทรงกระทำให้ที่อาศัยของเขาร้างเปล่าไปพร้อมกับเขาด้วย
มลค 1.7 ก็โดยนำอาหารมลทินมาถวายบนแท่นของเราอย่างไรล่ะ แล้วท่านว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายกระทำให้พระองค์เป็นมลทินสถานใด’ ก็โดยคิดว่า ‘โต๊ะของพระเยโฮวาห์นั้นเป็นที่ดูหมิ่น’ อย่างไรล่ะ

ละทิ้ง ( 87 )
อพย 5.4 แล้วกษัตริย์แห่งอียิปต์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าโมเสสกับอาโรน เจ้าจะให้พลไพร่ละทิ้งการงานของเขาเสียทำไม เจ้าจงกลับไปรับภาระงานของเจ้า”
ลนต 26.44 ถึงเพียงนั้นก็ดี เมื่อเขาทั้งหลายอยู่ในแผ่นดินศัตรูของเขา เราจะไม่ละทิ้งเขา เราจะไม่เกลียดชังเขาถึงกับจะทำลายเขาเสียให้หมดทีเดียว และทำลายพันธสัญญาซึ่งมีกับเขาเสีย เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา
พบญ 4.31 (เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระเมตตา) พระองค์จะไม่ทรงละทิ้งหรือทำลายท่านทั้งหลาย หรือลืมพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของท่านโดยการปฏิญาณ
ยชว 1.5 ไม่มีผู้ใดจะยืนหยัดต่อหน้าเจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า เราอยู่กับโมเสสมาแล้วฉันใด เราจะอยู่กับเจ้าฉันนั้น เราจะไม่ละเลยหรือละทิ้งเจ้าเสีย
ยชว 24.16 ฝ่ายประชาชนทั้งหลายจึงตอบว่า “ขอพระเจ้าอย่ายอมให้ข้าพเจ้าทั้งหลายละทิ้งพระเยโฮวาห์ไปปรนนิบัติพระอื่นเลย
ยชว 24.20 ถ้าท่านทั้งหลายละทิ้งพระเยโฮวาห์ไปปรนนิบัติพระอื่น แล้วพระองค์จะทรงหันกลับและกระทำอันตรายแก่ท่าน และผลาญท่านเสีย หลังจากที่พระองค์ทรงกระทำดีต่อท่านแล้ว”
วนฉ 2.12 เขาได้ละทิ้งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ผู้ทรงนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ และเขาทั้งหลายติดตามพระอื่นซึ่งเป็นพระของชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบเขา กราบไหว้พระเหล่านั้น กระทำให้พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธ
วนฉ 2.13 เขาทั้งหลายละทิ้งพระเยโฮวาห์ไปปรนนิบัติพระบาอัล และพวกพระอัชทาโรท
วนฉ 10.6 คนอิสราเอลก็กระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์อีก ไปปรนนิบัติพระบาอัล พระอัชทาโรท พวกพระของเมืองซีเรีย พวกพระของเมืองไซดอน พวกพระของเมืองโมอับ พวกพระของคนอัมโมน พวกพระของคนฟีลิสเตีย และละทิ้งพระเยโฮวาห์เสีย หาได้ปรนนิบัติพระองค์ไม่
วนฉ 10.13 แม้กระนั้นเจ้าทั้งหลายยังได้ละทิ้งเรา และปรนนิบัติพระอื่น ฉะนี้เราจึงจะไม่ช่วยเจ้าทั้งหลายให้พ้นอีกต่อไป
นรธ 4.14 ฝ่ายพวกผู้หญิงก็พูดกับนาโอมีว่า “สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ พระองค์มิได้ทรงละทิ้งเจ้าไว้ให้ปราศจากญาติที่ถัดมา ขอให้ทารกนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปในอิสราเอล
1ซมอ 8.7 และพระเยโฮวาห์ทรงตอบซามูเอลว่า “จงฟังเสียงประชาชนในเรื่องทั้งสิ้นที่เขาทั้งหลายขอต่อเจ้า เพราะว่าเขามิได้ละทิ้งเจ้า แต่เขาทั้งหลายได้ละทิ้งเรา ไม่ให้เราครอบครองเหนือเขา
1ซมอ 8.8 ตามการกระทำทั้งสิ้นซึ่งเขาได้กระทำตั้งแต่วันที่เรานำเขาออกมาจากอียิปต์จนถึงวันนี้ คือเขาได้ละทิ้งเราและปรนนิบัติพระอื่น เขาจึงกระทำเช่นเดียวกันต่อเจ้าด้วย
1ซมอ 10.19 แต่วันนี้ท่านละทิ้งพระเจ้าของท่านผู้ซึ่งช่วยท่านให้พ้นจากบรรดาความยากลำบากและความทุกข์ร้อน และท่านทั้งหลายกล่าวว่า ‘เราไม่ยอม แต่ขอตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา’ เพราะฉะนั้นบัดนี้ท่านทั้งหลายจงเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ตามตระกูลของท่าน และตามคนที่นับเป็นพันๆของท่าน”
1ซมอ 12.10 และเขาทั้งหลายร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปแล้ว เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งพระเยโฮวาห์ ไปปรนนิบัติพระบาอัลและพระอัชทาโรท แต่บัดนี้ขอพระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นมือศัตรูของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ทั้งหลายจะปรนนิบัติพระองค์’
1ซมอ 12.22 เพราะพระเยโฮวาห์จะไม่ละทิ้งประชาชนของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงพอพระทัยแล้วที่จะกระทำให้ท่านเป็นประชาชนของพระองค์
2พกษ 17.16 และเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตน และได้หล่อรูปเคารพสำหรับตนเป็นลูกวัวสองตัว และเขาได้สร้างเสารูปเคารพ และนมัสการบรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์ และปรนนิบัติพระบาอัล
2พศด 11.14 เพราะคนเลวีละทิ้งทุ่งหญ้าและที่บ้านซึ่งเขายึดถือเป็นกรรมสิทธิ์และมายังยูดาห์และเยรูซาเล็ม เพราะเยโรโบอัมและโอรสของพระองค์ได้ขับไล่เขาทั้งหลายออกจากตำแหน่งปุโรหิตของพระเยโฮวาห์
2พศด 12.5 แล้วเชไมอาห์ผู้พยากรณ์ได้มาเฝ้าเรโหโบอัมและบรรดาเจ้านายแห่งยูดาห์ ผู้มาประชุมกันอยู่ที่เยรูซาเล็มด้วยเรื่องชิชัก และกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าได้ละทิ้งเรา เราจึงได้ละทิ้งเจ้าให้อยู่ในมือของชิชัก”
อสร 8.22 เพราะข้าพเจ้าละอายที่จะทูลขอกองทหารและพลม้าจากกษัตริย์เพื่อช่วยเราสู้ศัตรูตามทางของเรา ในเมื่อเราได้กราบทูลกษัตริย์แล้วว่า “พระหัตถ์ของพระเจ้าของเราอยู่กับบรรดาผู้ที่แสวงหาพระองค์ให้ยังผลดี แต่ฤทธานุภาพและพระพิโรธของพระองค์ต่อสู้คนเหล่านั้นที่ละทิ้งพระองค์”
อสร 9.9 เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นทาส แต่พระเจ้าของข้าพระองค์มิได้ทรงละทิ้งข้าพระองค์ไว้ในความเป็นทาส แต่ทรงบันดาลให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้รับความเมตตาในสายพระเนตรกษัตริย์ทั้งหลายแห่งเปอร์เซีย ทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีการฟื้นฟูขึ้น เพื่อจะตั้งพระนิเวศของพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายขึ้นไว้ เพื่อจะซ่อมแซมสิ่งที่ปรักหักพังในพระนิเวศ เพื่อจะประทานกำแพงแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในยูดาห์และในเยรูซาเล็ม
อสร 9.10 และบัดนี้ โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ต่อจากนี้ข้าพระองค์จะทูลอะไรอีก เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระองค์
นหม 9.17 เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่เชื่อฟัง และไม่เอาใจใส่ในการมหัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงประกอบขึ้นท่ามกลางเขา แต่เขาแข็งคอของเขา และในการกบฏนั้นได้แต่งตั้งหัวหน้าเพื่อจะกลับไปสู่ความเป็นทาสเขา แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพร้อมที่จะทรงให้อภัย มีพระทัยเมตตาและกรุณา ทรงพระพิโรธช้า และทรงอุดมด้วยความเมตตา และมิได้ทรงละทิ้งเขาทั้งหลาย
นหม 9.19 ด้วยพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งเขาในถิ่นทุรกันดาร เสาเมฆซึ่งนำเขาในกลางวันมิได้พรากจากเขาไป หรือเสาเพลิงในกลางคืนซึ่งให้แสงแก่เขาตามทางซึ่งเขาควรจะไปก็มิได้ขาดไป
นหม 9.31 ถึงกระนั้นด้วยพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงกระทำให้เขาพินาศหรือละทิ้งเขาเสีย เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระเมตตาและพระกรุณา
โยบ 20.13 แม้เขาไม่อยากจะปล่อยและไม่ละทิ้ง แต่อมไว้ในปากของเขา
สดด 119.53 ความกริ้วอันเร่าร้อนฉวยข้าพระองค์ไว้ เพราะเหตุคนชั่ว ผู้ละทิ้งพระราชบัญญัติของพระองค์
สดด 138.8 พระเยโฮวาห์จะทรงให้สำเร็จพระประสงค์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ ขออย่าทรงละทิ้งพระหัตถกิจของพระองค์
สภษ 1.8 บุตรชายของเราเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของพ่อเจ้า และอย่าละทิ้งกฎเกณฑ์ของแม่เจ้า
สภษ 4.2 เพราะเราให้หลักคำสอนที่ดีแก่เจ้า อย่าละทิ้งกฎเกณฑ์ของเรา
สภษ 6.20 บุตรชายของเราเอ๋ย จงรักษาบัญญัติของพ่อเจ้า และอย่าละทิ้งกฎเกณฑ์ของแม่เจ้า
อสย 1.28 แต่พวกละเมิดและพวกคนบาปจะถูกทำลายด้วยกัน และบรรดาคนเหล่านั้นที่ละทิ้งพระเยโฮวาห์จะถูกล้างผลาญ
อสย 2.6 เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงละทิ้งชนชาติของพระองค์เสีย คือวงศ์วานของยาโคบ เพราะว่าเขาอุดมด้วยหมอดูจากตะวันออกอย่างคนฟีลิสเตีย และเขาตีสนิทกับคนต่างชาติ
อสย 10.14 มือของข้าได้ฉวยทรัพย์สมบัติของชนชาติทั้งหลายเหมือนฉวยรังนก และอย่างคนเก็บไข่ซึ่งละทิ้งไว้ ข้าก็รวบรวมแผ่นดินโลกทั้งสิ้นดังนั้นแหละ และไม่มีผู้ใดขยับปีกมาปก หรืออ้าปากหรือร้องเสียงจ๊อกแจ๊ก”
อสย 17.9 ในวันนั้นเมืองเข้มแข็งของเขาจะเป็นเหมือนกิ่งไม้ที่ถูกทอดทิ้ง และกิ่งก้านที่อยู่บนยอดสูงที่สุดซึ่งเขาได้ละทิ้งเพราะคนอิสราเอล และจะมีการรกร้างว่างเปล่าเกิดขึ้น
อสย 27.10 เพราะเมืองหน้าด่านก็จะรกร้าง ที่อาศัยก็ถูกละทิ้งและทอดทิ้งอย่างกับถิ่นทุรกันดาร ลูกวัวจะหากินอยู่ที่นั่น มันจะนอนลงที่นั่นและกินกิ่งไม้ในที่นั้น
อสย 41.17 เมื่อคนจนและคนขัดสนแสวงหาน้ำและไม่มี และลิ้นของเขาก็แห้งผากเพราะความกระหาย เราคือพระเยโฮวาห์จะได้ยินเขาเอง เรา พระเจ้าของอิสราเอล จะไม่ละทิ้งเขา
อสย 42.16 เราจะจูงคนตาบอดไปในทางที่เขาทั้งหลายไม่รู้จัก เราจะนำเขาไปในทางทั้งหลายที่เขาไม่รู้จัก เราจะให้ความมืดข้างหน้าเขากลับเป็นสว่าง สิ่งที่คดให้ตรง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะกระทำแก่พวกเขา และเราจะไม่ละทิ้งพวกเขา
อสย 49.14 แต่ศิโยนกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ได้ทรงละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว”
อสย 54.6 เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงเรียกเจ้า ดังภรรยาผู้ถูกละทิ้งและโทมนัสในใจ เหมือนภรรยาสาวเมื่อนางถูกทิ้ง” พระเจ้าของเจ้าตรัสดังนี้
อสย 54.7 “เราได้ละทิ้งเจ้าอยู่หน่อยเดียว แต่เราจะรวบรวมเจ้าด้วยความเมตตายิ่ง
อสย 55.7 ให้คนชั่วละทิ้งทางของเขา และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา ให้เขากลับยังพระเยโฮวาห์ เพื่อพระองค์จะทรงเมตตาเขา และยังพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ
อสย 58.2 แต่เขายังแสวงหาเราทุกวันและปีติยินดีที่จะรู้จักทางของเรา เหมือนกับว่าเขาเป็นประชาชาติที่ได้ทำความชอบธรรม และมิได้ละทิ้งกฎแห่งพระเจ้าของเขา เขาก็ขอข้อกฎอันเที่ยงธรรมจากเรา เขาทั้งหลายก็ปีติยินดีที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้า
อสย 60.15 ในเมื่อเจ้าได้ถูกละทิ้งและเป็นที่เกลียดชัง และไม่มีใครผ่านเจ้ามาเลย เราจะกระทำให้เจ้าโอ่อ่าตระการเป็นนิตย์ เป็นความชื่นบานทุกชั่วอายุ
ยรม 3.20 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย แน่นอนทีเดียวที่ภรรยาทรยศละทิ้งสามีของนางฉันใด เจ้าก็ได้ทรยศต่อเราฉันนั้น”
ยรม 5.7 “เราจะให้อภัยเจ้าได้อย่างไร ลูกหลานของเจ้าได้ละทิ้งเราแล้ว และได้อ้างผู้ที่ไม่ใช่พระในการทำสัตย์ปฏิญาณ เมื่อเราเลี้ยงเขาให้อิ่ม เขาก็ทำการล่วงประเวณี แล้วก็ยกขบวนกันไปที่เรือนของหญิงแพศยา
ยรม 5.19 และต่อมาเมื่อเจ้าทั้งหลายจะกล่าวว่า ‘ทำไมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายจึงกระทำบรรดาสิ่งเหล่านี้แก่เรา’ เจ้าจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เจ้าได้ละทิ้งเราไปปรนนิบัติพระต่างด้าวในแผ่นดินของเจ้าฉันใด เจ้าจะต้องไปปรนนิบัติคนต่างชาติในแผ่นดินซึ่งไม่ใช่ของเจ้าฉันนั้น’
ยรม 7.29 โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย จงตัดผมของเจ้าออกเหวี่ยงทิ้งไป จงคร่ำครวญบนที่สูง เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงปฏิเสธและละทิ้งชั่วอายุแห่งพระพิโรธของพระองค์แล้ว’
ยรม 12.7 เราได้ละทิ้งนิเวศของเรา เราได้เหวี่ยงมรดกของเราทิ้ง เราได้มอบผู้ที่รักของจิตใจเราไว้ในมือศัตรูของเธอ
ยรม 14.5 แม้กวางตัวเมียที่อยู่ในท้องทุ่งก็ละทิ้งลูกที่ตกใหม่ของมันเสีย เพราะว่าไม่มีหญ้า
ยรม 16.11 แล้วเจ้าพึงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะบรรพบุรุษของเจ้าได้ละทิ้งเรา และได้ติดตามพระอื่น และได้ปรนนิบัติและนมัสการพระนั้น และได้ละทิ้งเรา และมิได้รักษาราชบัญญัติของเรา
ยรม 17.13 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ความหวังแห่งอิสราเอล บรรดาคนเหล่านั้นที่ละทิ้งพระองค์จะต้องรับความอับอาย บรรดาคนทั้งปวงที่หันไปจากเราจะต้องจารึกไว้ในแผ่นดินโลก เพราะเขาได้ละทิ้งพระเยโฮวาห์ ผู้เป็นแหล่งน้ำแห่งชีวิตเสีย
ยรม 18.14 คนจะละทิ้งหิมะแห่งภูเขาเลบานอนซึ่งมาจากหน้าผาแห่งทุ่งหรือ ลำธารที่ไหลเย็นจากที่อื่นจะแห้งไปหรือ
ยรม 19.4 เพราะว่าประชาชนได้ละทิ้งเรา และได้ห่างเหินไปจากสถานที่นี้ และได้เผาเครื่องหอมในที่นี้เพื่อบูชาแก่พระอื่น ผู้ซึ่งตัวเขาเอง หรือบรรพบุรุษของเขา หรือบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ไม่รู้จัก และเพราะเขาได้กระทำให้โลหิตของผู้ไม่มีผิดเต็มในที่นี้
ยรม 22.9 และเขาทั้งหลายจะตอบว่า ‘เพราะเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา และนมัสการกับปรนนิบัติพระอื่น’”
ยรม 51.9 เราทั้งหลายอยากจะรักษาบาบิโลนให้หาย แต่เธอไม่หาย ละทิ้งเธอเสียเถิด และให้เราไป ต่างไปยังประเทศของตน เพราะว่าการพิพากษาเธอได้ขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และได้ถูกยกขึ้นถึงฟากฟ้า
พคค 3.31 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงละทิ้งเป็นนิตย์ดอก
อสค 3.18 ถ้าเราจะบอกแก่คนชั่วว่า ‘เจ้าจะต้องตายแน่ๆ’ และเจ้าไม่ตักเตือนเขาหรือกล่าวเตือนคนชั่วให้ละทิ้งทางชั่วของตนเสีย เพื่อจะช่วยชีวิตเขาให้รอด คนชั่วนั้นจะตายเพราะความชั่วช้าของเขา แต่เราจะเรียกร้องโลหิตของเขาจากมือของเจ้า
อสค 18.31 จงละทิ้งการละเมิดทั้งสิ้นซึ่งเจ้าได้ละเมิดต่อเรา จงทำตัวให้มีจิตใจใหม่และวิญญาณใหม่ โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะตายเสียทำไมเล่า
อสค 20.8 แต่เขาทั้งหลายได้กบฏต่อเราและไม่ยอมฟังเรา เขาทั้งหลายไม่ได้ทิ้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งนัยน์ตาของเขาเพลิดเพลินอยู่นั้นทุกคน ทั้งเขาก็มิได้ละทิ้งรูปเคารพของอียิปต์ แล้วเราก็คิดว่า เราจะระบายความกริ้วของเราออกเหนือเขา และให้ความโกรธของเรามีต่อเขาในท่ามกลางแผ่นดินอียิปต์จนมอดลง
อสค 36.4 ภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอลเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แก่ภูเขาและเนินเขา แม่น้ำและหุบเขา ที่ที่ถูกทิ้งไว้เสียเปล่าและรกร้าง และหัวเมืองที่ถูกละทิ้ง ซึ่งได้กลายเป็นเหยื่อและเป็นที่เย้ยหยันแก่ประชาชาติที่เหลืออยู่รอบๆนั้น
ฮชย 4.12 ประชาชนของเราไปขอความเห็นจากสิ่งที่ทำด้วยไม้ และไม้ติ้วก็แจ้งแก่เขาอย่างเปิดเผย เพราะจิตใจที่ชอบเล่นชู้นำให้เขาหลงไป และเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระเจ้าของเขาเสียเพื่อไปเล่นชู้
มธ 23.38 ดูเถิด ‘บ้านเมืองของเจ้าจะถูกละทิ้งให้รกร้างแก่เจ้า’
มธ 26.56 แต่เหตุการณ์ทั้งสิ้นที่ได้บังเกิดขึ้นนี้ ก็เพื่อจะสำเร็จตามพระคัมภีร์ที่พวกศาสดาพยากรณ์ได้เขียนไว้” แล้วสาวกทั้งหมดก็ได้ละทิ้งพระองค์ไว้และพากันหนีไป
มก 7.9 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เหมาะจริงนะ ที่เจ้าทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ถือตามประเพณีของพวกท่าน
มก 9.12 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย
มก 14.50 แล้วสาวกทั้งหมดได้ละทิ้งพระองค์ไว้และพากันหนีไป
ลก 5.11 เมื่อเขานำเรือมาถึงฝั่งแล้ว เขาก็ละทิ้งสิ่งสารพัด และตามพระองค์ไป
ลก 5.28 เขาก็ละทิ้งสิ่งสารพัด ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
ลก 10.30 พระเยซูตรัสตอบว่า “มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น โจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตี แล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว
ลก 13.35 ดูเถิด ‘บ้านเมืองของเจ้าจะถูกละทิ้งให้รกร้างแก่เจ้า’ และเราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า เจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าจะกล่าวว่า ‘ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ’”
ยน 10.12 แต่ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามา เขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ชิงเอาแกะไปเสีย และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป
ยน 14.18 เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว เราจะมาหาท่าน
กจ 21.21 เขาทั้งหลายได้ยินถึงท่านว่า ท่านได้สั่งสอนพวกยิวทั้งปวงที่อยู่ในหมู่ชนต่างชาติให้ละทิ้งโมเสส และว่าไม่ต้องให้บุตรของตนเข้าสุหนัตหรือประพฤติตามธรรมเนียมเก่านั้น
1ธส 1.9 เพราะคนเหล่านั้นก็ได้รายงานเกี่ยวกับเราว่า ที่เราได้เข้ามาหาท่านทั้งหลายนั้นเป็นอย่างไร และกล่าวถึงการที่ท่านได้ละทิ้งรูปเคารพและหันมาหาพระเจ้า เพื่อรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่และเที่ยงแท้
1ทธ 1.19 จงยึดความเชื่อไว้และมีจิตสำนึกอันดี ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง
1ทธ 4.1 บัดนี้ พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ในกาลภายหลังจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปิศาจ
2ทธ 2.19 แต่ว่ารากฐานแห่งพระเจ้านั้นอยู่อย่างมั่นคง โดยมีตราประทับไว้ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักคนเหล่านั้นที่เป็นของพระองค์’ และ ‘ให้ทุกคนซึ่งออกพระนามของพระคริสต์ละทิ้งความชั่วช้าเสีย’
2ทธ 4.16 ในการแก้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้านั้น ไม่มีใครเข้าข้างข้าพเจ้าสักคนเดียว เขาได้ละทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ขอโปรดอย่าให้พวกเขาต้องได้รับโทษเลย
ทต 2.12 สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่างชอบธรรม และตามทางพระเจ้า
ฮบ 10.35 เหตุฉะนั้นขออย่าได้ละทิ้งความไว้วางใจของท่าน ซึ่งมีบำเหน็จอันยิ่งใหญ่
ยด 1.6 และเหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่ได้รักษาเทวสภาพของตน แต่ได้ละทิ้งถิ่นฐานของตนนั้น พระองค์ก็ได้ทรงจองจำไว้ด้วยโซ่ตรวนอันเป็นนิรันดร์ ขังไว้ในที่มืดจนกว่าจะถึงการพิพากษาในวันสำคัญยิ่งนั้น
วว 2.4 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือว่าเจ้าละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า

ละมั่ง ( 17 )
พบญ 12.15 อย่างไรก็ตาม ท่านจะฆ่าสัตว์และรับประทานเนื้อในประตูเมืองทั้งหลายของท่านตามที่ท่านปรารถนาก็ได้ ตามซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอำนวยพระพรประทานแก่ท่านทั้งหลาย ทั้งผู้ที่สะอาดและผู้ที่มลทินก็รับประทานได้ อย่างที่รับประทานเนื้อละมั่งและเนื้อกวาง
พบญ 12.22 ท่านจะรับประทานได้อย่างที่ท่านรับประทานเนื้อละมั่งหรือเนื้อกวาง ทั้งผู้ที่มลทินและผู้ที่สะอาดด้วยก็รับประทานได้
พบญ 14.5 กวาง ละมั่ง อีเก้ง แพะป่า สมัน โคป่า และแกะป่า
พบญ 15.22 ท่านจงรับประทานสัตว์นั้นภายในประตูเมืองของท่าน ทั้งผู้ที่มลทินและผู้ที่สะอาดด้วยก็รับประทานได้ ดังว่าเป็นละมั่งหรือกวาง
2ซมอ 2.18 บุตรชายทั้งสามของนางเศรุยาห์ก็อยู่ที่นั่น คือ โยอาบ อาบีชัย และอาสาเฮล ฝ่ายอาสาเฮลนั้นฝีเท้าเร็วอย่างกับละมั่ง
1พศด 12.8 มีทแกล้วทหารและผู้ชำนาญศึกจากคนกาดหนีเข้าไปหาดาวิด ณ ที่กำบังเข้มแข็งในถิ่นทุรกันดาร เขาชำนาญโล่และดั้ง ผู้ซึ่งหน้าของเขาเหมือนหน้าสิงโต และผู้ซึ่งรวดเร็วเหมือนละมั่งบนภูเขา
สภษ 6.5 จงปลีกตัวของเจ้าจากภัย อย่างละมั่งที่ปลีกตัวจากมือของพราน อย่างนกจากมือของคนจับนก
พซม 2.7 โอ เหล่าบุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันขอให้เธอทั้งหลายปฏิญาณต่อละมั่งหรือกวางตัวเมียในทุ่งว่า เธอทั้งหลายจะไม่เร้าหรือจะไม่ปลุกที่รักของดิฉันให้ตื่นกระตือขึ้นจนกว่าเขาจะจุใจแล้ว
พซม 2.9 ที่รักของดิฉันเป็นดุจดังละมั่งหรือดุจดังกวางหนุ่ม ดูเถิด เขากำลังยืนอยู่ที่ข้างหลังกำแพงของเรา เขาชะโงกหน้าต่างเข้ามา เขาสอดมองดูทางตาข่าย
พซม 2.17 ที่รักของดิฉันจ๋า จนเวลาเย็น และเงาหมดไปแล้ว ขอเธอเป็นดั่งละมั่งหรือกวางหนุ่มที่เทือกเขาเบเธอร์เถิด
พซม 3.5 โอ เหล่าบุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันขอให้เธอทั้งหลายปฏิญาณต่อละมั่งหรือกวางตัวเมียในทุ่งว่า เธอทั้งหลายจะไม่เร้าหรือจะไม่ปลุกที่รักของดิฉันให้ตื่นกระตือขึ้นจนกว่าเขาจะจุใจแล้ว
พซม 4.5 ถันทั้งสองของเธอเหมือนลูกละมั่งสองตัวซึ่งเป็นละมั่งฝาแฝดที่กำลังหากินในท่ามกลางหมู่ดอกบัว
พซม 7.3 ถันทั้งสองของเธอเหมือนลูกละมั่งสองตัวซึ่งเป็นละมั่งฝาแฝด
พซม 8.14 ที่รักของดิฉันจ๋า เร็วๆเข้าเถอะจ๊ะ ขอให้เธอเป็นดังละมั่งหรือกวางหนุ่มบนภูเขาต้นสีเสียดเถิด
อสย 13.14 คนทุกคนจะหันเข้าสู่ชนชาติของตนเอง และคนทุกคนจะหนีไปยังแผ่นดินของตนเอง ดั่งละมั่งที่ถูกล่าหรือเหมือนแกะที่ไม่มีผู้รวมฝูง

ละเมิด ( 75 )
ปฐก 17.14 เด็กผู้ชายที่มิได้เข้าสุหนัต คือผู้ที่มิได้เข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาตของเขา ชีวิตนั้นจะถูกตัดขาดจากชนชาติของเขา เขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา”
กดว 5.7 ก็ให้ผู้นั้นสารภาพความผิดที่เขาได้กระทำ และให้เขาคืนสิ่งที่ละเมิดซึ่งเขาได้มานั้นเต็มตามเดิม ทั้งเพิ่มอีกหนึ่งในห้าส่วนให้แก่เจ้าของเดิมผู้ที่เขาได้กระทำการละเมิดต่อนั้น
กดว 15.31 เพราะเขาได้สบประมาทพระดำรัสของพระเยโฮวาห์และละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง ให้เขารับโทษความชั่วช้าของตน”
พบญ 17.2 ภายในประตูเมืองใดๆของท่านทั้งหลายซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านนั้น ถ้าพบว่าในท่ามกลางพวกท่านมีชายหรือหญิงคนใดกระทำความชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน โดยละเมิดพันธสัญญาของพระองค์
พบญ 26.13 แล้วท่านจงทูลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า ‘ข้าพระองค์ยกส่วนศักดิ์สิทธิ์ออกจากบ้านของข้าพระองค์แล้ว และยิ่งกว่านั้นข้าพระองค์ได้ให้แก่คนเลวีและคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย ตามพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้แก่ข้าพระองค์ทุกประการ ข้าพระองค์มิได้ละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ในข้อใดเลย และข้าพระองค์มิได้ลืมเลย
พบญ 32.51 เพราะเจ้าทั้งสองได้ละเมิดต่อเราท่ามกลางคนอิสราเอลที่น้ำเมรีบาห์แห่งคาเดชในถิ่นทุรกันดารศิน เพราะเจ้ามิได้เคารพเราว่าบริสุทธิ์ในหมู่คนอิสราเอล
ยชว 7.1 แต่คนอิสราเอลได้ละเมิดในเรื่องของที่ถูกสาปแช่งนั้น เพราะอาคานบุตรชายคารมี ผู้เป็นบุตรชายศับดี ผู้เป็นบุตรชายเศ-ราห์ ตระกูลยูดาห์ ได้นำของที่ถูกสาปแช่งบางส่วนไปเป็นของตน และพระพิโรธของพระเยโฮวาห์ก็พลุ่งขึ้นต่อคนอิสราเอล
ยชว 7.11 คนอิสราเอลได้กระทำบาป เขาได้ละเมิดพันธสัญญาซึ่งเราได้บัญชาเขาไว้ เขาได้ยักยอกของที่ถูกสาปแช่ง เขาได้ขโมยและปิดบัง และได้เอาของรวมไว้กับข้าวของของตน
ยชว 7.15 ผู้ใดถูกจับว่ามีของที่ถูกสาปแช่งนั้น ก็ต้องถูกเผาเสียด้วยไฟ ทั้งตัวเขาและสารพัดที่เป็นของเขา เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และเพราะเขาได้กระทำความโง่เขลาในอิสราเอล”
ยชว 22.22 “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระทั้งหลาย พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระทั้งหลาย พระองค์ทรงทราบ และอิสราเอลจะทราบเสียด้วย ถ้าว่าเป็นการกบฏหรือละเมิดต่อพระเยโฮวาห์ (ก็ขออย่าไว้ชีวิตพวกเราในวันนี้เลย)
ยชว 23.16 ถ้าท่านทั้งหลายละเมิดพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้และไปปรนนิบัติพระอื่น และกราบลงนมัสการพระนั้น แล้วพระพิโรธของพระเยโฮวาห์จะพลุ่งขึ้นต่อท่าน แล้วท่านจะพินาศไปอย่างรวดเร็วจากแผ่นดินที่ดี ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน”
วนฉ 2.20 ดังนั้นพระพิโรธของพระเยโฮวาห์จึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ตรัสว่า “เพราะประชาชนนี้ได้ละเมิดต่อพันธสัญญา ซึ่งเราได้บัญชาไว้กับบรรพบุรุษของเขา และไม่ยอมฟังเสียงของเรา
1ซมอ 14.33 แล้วเขาก็ไปทูลซาอูลว่า “ดูเถิด พวกพลกำลังทำบาปต่อพระเยโฮวาห์ โดยรับประทานพร้อมกับเลือด” และซาอูลจึงรับสั่งว่า “พวกเจ้าได้ละเมิดแล้ว จงกลิ้งก้อนหินใหญ่มาให้เราวันนี้”
1ซมอ 15.24 และซาอูลเรียนซามูเอลว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำบาปแล้ว เพราะข้าพเจ้าได้ละเมิดพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์และคำของท่าน เพราะข้าพเจ้าเกรงกลัวประชาชนและยอมฟังเสียงของเขาทั้งหลาย
2พกษ 18.12 เพราะว่าเขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตน แต่ได้ละเมิดพันธสัญญาของพระองค์ คือทุกอย่างซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้บัญชาไว้ และเขาทั้งหลายไม่ฟัง ไม่กระทำตาม
1พศด 5.25 แต่เขาทั้งหลายละเมิดต่อพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา และเล่นชู้กับบรรดาพระของชนชาติทั้งหลายแห่งแผ่นดินนั้น ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงทำลายเสียต่อหน้าเขาทั้งหลาย
2พศด 12.2 อยู่มาในปีที่ห้าแห่งกษัตริย์เรโหโบอัม เพราะเขาทั้งหลายได้ละเมิดต่อพระเยโฮวาห์ ชิชักกษัตริย์แห่งอียิปต์เสด็จขึ้นมาสู้รบเยรูซาเล็ม
2พศด 19.10 เมื่อมีคดีมาถึงท่านจากพี่น้องของท่านผู้อาศัยอยู่ในหัวเมืองของเขาทั้งหลาย เกี่ยวกับเรื่องฆ่าฟันกัน พระราชบัญญัติหรือพระบัญญัติ กฎเกณฑ์หรือคำตัดสิน ท่านทั้งหลายก็ควรจะตักเตือนเขา เพื่อเขาจะไม่ละเมิดต่อพระเยโฮวาห์ พระพิโรธจึงจะไม่มาเหนือท่านและพี่น้องของท่าน ท่านจงกระทำเช่นนี้ และท่านจะไม่ละเมิด
2พศด 24.20 แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าได้สวมทับเศคาริยาห์บุตรชายเยโฮยาดาปุโรหิต และท่านได้ยืนเหนือประชาชน และกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ‘ทำไมท่านทั้งหลายจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์อันเป็นเหตุให้ท่านเจริญขึ้นไม่ได้’ เพราะท่านทั้งหลายได้ทอดทิ้งพระเยโฮวาห์พระองค์จึงทอดทิ้งท่าน”
2พศด 26.16 แต่เมื่อพระองค์ทรงแข็งแรงแล้ว พระองค์ก็มีพระทัยผยองขึ้นจึงทรงกระทำความเสียหาย เพราะพระองค์ละเมิดต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ และเข้าไปในพระวิหารของพระเยโฮวาห์เพื่อเผาเครื่องหอมบนแท่นเครื่องหอม
2พศด 28.19 เพราะพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ยูดาห์ต้อยต่ำลงด้วยเหตุอาหัสกษัตริย์แห่งอิสราเอล เพราะอาหัสทรงกระทำให้ยูดาห์เปลือยเปล่าไปแล้วและได้ละเมิดต่อพระเยโฮวาห์อย่างร้ายแรง
2พศด 28.22 ในคราวทุกข์ยากนั้น พระองค์ยิ่งละเมิดต่อพระเยโฮวาห์ คือกษัตริย์อาหัสองค์เดียวกันนี้แหละ
2พศด 33.23 และพระองค์มิได้ถ่อมพระองค์ลงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ อย่างมนัสเสห์ราชบิดาของพระองค์ได้ถ่อมพระองค์ลงนั้น แต่อาโมนองค์นี้ได้ละเมิดยิ่งๆขึ้น
อสร 10.2 และเชคานิยาห์บุตรชายเยฮีเอล คนเอลามกล่าวแก่เอสราว่า “พวกเราทั้งหลายได้ละเมิดต่อพระเจ้าของเราเสียแล้ว และได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติจากชนชาติทั้งหลายของแผ่นดินนี้ แต่ถึงจะมีเรื่องอย่างนี้ ก็ยังมีความหวังในอิสราเอลอยู่
อสร 10.10 และเอสราปุโรหิตได้ลุกขึ้นพูดกับเขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายได้ละเมิดและได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ จึงได้ทวีการละเมิดของอิสราเอล
อสร 10.13 แต่มีประชาชนมากและเป็นเวลาที่ฝนตกหนัก เราอยู่กลางแจ้งไม่ไหวและจะจัดให้เสร็จในวันสองวันก็ไม่ได้ เพราะเราได้ละเมิดในเรื่องนี้มากนัก
นหม 13.27 ควรหรือที่เราจะฟังเจ้าและกระทำความชั่วร้ายใหญ่ยิ่งนี้ทั้งสิ้น และประพฤติละเมิดต่อพระเจ้าของเราด้วยการแต่งงานกับหญิงต่างชาติ”
อสธ 3.3 ข้าราชการของกษัตริย์ซึ่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์จึงพูดกับโมรเดคัยว่า “ทำไมท่านละเมิดพระบัญชาของกษัตริย์”
สดด 17.3 เมื่อพระองค์ทรงลองจิตใจของข้าพระองค์ และเสด็จเยี่ยมเยียนข้าพระองค์ในเวลากลางคืน เมื่อทรงทดสอบข้าพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทรงพบความชั่วในข้าพระองค์เลย ข้าพระองค์ตั้งใจแล้วว่าปากของข้าพระองค์จะมิได้ละเมิด
สดด 25.3 เออ อย่าให้ผู้ใดๆที่เฝ้าพระองค์อยู่นั้นได้อาย แต่ผู้ที่ละเมิดโดยไม่มีเหตุนั้นขอให้ได้รับความอาย
สดด 68.21 แต่พระเจ้าจะทรงตีศีรษะของศัตรูของพระองค์ให้แตก คือกระหม่อมมีผมของผู้ที่ขืนดำเนินในทางละเมิดของเขา
สภษ 8.29 เมื่อพระองค์ทรงกำหนดเขตจำกัดให้แก่ทะเล เพื่อว่าน้ำจะไม่ละเมิดพระบัญชาของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงปักผังรากฐานของพิภพ
สภษ 16.10 คำตัดสินอันมาจากพระเจ้าอยู่ที่ริมฝีพระโอษฐ์ของกษัตริย์ พระโอษฐ์ของพระองค์ไม่ละเมิดในการพิพากษา
สภษ 28.2 เมื่อแผ่นดินละเมิดก็มีผู้ครอบครองเพิ่มขึ้น แต่ด้วยคนที่มีความเข้าใจและความรู้ เสถียรภาพของแผ่นดินนั้นจะยั่งยืนนาน
สภษ 28.21 ซึ่งจะเห็นแก่หน้าคนใดก็ไม่ดี คนนั้นอาจจะละเมิดเพราะอาหารชิ้นหนึ่งก็เป็นได้
สภษ 28.24 บุคคลที่ขโมยของของบิดาหรือมารดาของตน และกล่าวว่า “อย่างนี้ไม่ละเมิด” เขาก็เป็นเพื่อนของคนทำลาย
อสย 1.28 แต่พวกละเมิดและพวกคนบาปจะถูกทำลายด้วยกัน และบรรดาคนเหล่านั้นที่ละทิ้งพระเยโฮวาห์จะถูกล้างผลาญ
อสย 24.5 โลกนี้มีราคีเพราะผู้อาศัยในนั้น เพราะเขาทั้งหลายละเมิดต่อพระราชบัญญัติ ได้ฝ่าฝืนกฎ ได้หักพันธสัญญานิรันดร์นั้น
อสย 43.27 บิดาเดิมของเจ้าทำบาป และผู้สอนทั้งหลายของเจ้าได้ละเมิดต่อเรา
อสย 66.24 และเขาจะออกไปมองดูซากศพของคนที่ได้ละเมิดต่อเรา เพราะว่าหนอนของคนเหล่านี้จะไม่ตายไป ไฟของเขาจะไม่ดับ และเขาจะเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อเนื้อหนังทั้งสิ้น”
ยรม 2.8 ปุโรหิตทั้งหลายมิได้กล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์ประทับที่ไหน’ คนเหล่านั้นที่แถลงพระราชบัญญัติไม่รู้จักเรา บรรดาผู้เลี้ยงแกะก็ละเมิดต่อเรา พวกผู้พยากรณ์ได้พยากรณ์โดยพระบาอัล และดำเนินติดตามสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์”
ยรม 2.20 “เพราะว่านานมาแล้วเราได้หักแอกของเจ้า และระเบิดพันธนะของเจ้าเสีย และเจ้าได้กล่าวว่า ‘ข้าจะไม่ละเมิด’ เออ เจ้าได้โน้มตัวลงเล่นชู้บนเนินเขาสูงทุกแห่งและใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น
ยรม 2.29 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายจะมาร้องทุกข์เรื่องเราทำไม เจ้าได้ละเมิดต่อเราหมดทุกคนแล้ว
ยรม 3.13 เพียงแต่ยอมรับความชั่วช้าของเจ้าว่า เจ้าได้ละเมิดต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า และเที่ยวเอาใจพระอื่นที่ใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น และเจ้ามิได้เชื่อฟังเสียงของเรา’” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 34.18 และคนที่ละเมิดต่อพันธสัญญาของเรา และมิได้กระทำตามข้อตกลงในพันธสัญญาซึ่งเขาได้กระทำต่อหน้าเรานั้น เป็นดังลูกวัวที่เขาตัดออกเป็นสองท่อน และเดินผ่านกลางท่อนเหล่านั้นไป
อสค 2.3 และพระองค์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราส่งเจ้าไปยังคนอิสราเอล ถึงประชาชาติที่มักกบฏ ผู้ซึ่งได้กบฏต่อเรา ทั้งตัวเขาและบรรพบุรุษของเขาได้ละเมิดต่อเราจนกระทั่งวันนี้
อสค 14.13 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เมื่อแผ่นดินกระทำบาปต่อเราโดยประพฤติละเมิดอย่างน่าเศร้าใจ เราก็จะเหยียดมือของเราออกเหนือแผ่นดินนั้น และจะทำลายอาหารหลักเสีย และจะส่งการกันดารอาหารมาเหนือแผ่นดินนั้น และจะตัดมนุษย์และสัตว์ออกเสียจากแผ่นดินนั้น
อสค 15.8 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เราจะกระทำให้แผ่นดินนั้นรกร้างไป เพราะเขาได้ประพฤติละเมิด”
อสค 17.20 เราจะกางข่ายของเราคลุมเขา และเขาจะติดกับของเรา และเราจะนำเขาเข้าไปในบาบิโลน และพิจารณาพิพากษาเขาที่นั่นในเรื่องการละเมิดที่เขาได้ละเมิดต่อเรา
อสค 18.31 จงละทิ้งการละเมิดทั้งสิ้นซึ่งเจ้าได้ละเมิดต่อเรา จงทำตัวให้มีจิตใจใหม่และวิญญาณใหม่ โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะตายเสียทำไมเล่า
อสค 22.26 ปุโรหิตของเขาได้ละเมิดราชบัญญัติของเรา และได้ลบหลู่สิ่งบริสุทธิ์ของเรา เขามิได้แยกแยะความแตกต่างระหว่างสิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งสามัญ เขามิได้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างของมลทินและของสะอาด เขาได้ซ่อนนัยน์ตาของเขาไว้จากวันสะบาโตของเรา ดังนั้นแหละเราจึงถูกลบหลู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย
อสค 33.12 เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาติของเจ้าว่า ความชอบธรรมของผู้ชอบธรรมจะไม่ช่วยเขาให้พ้นในวันที่เขาละเมิด ส่วนความชั่วของคนชั่วนั้นจะไม่กระทำให้เขาล้มลงในวันที่เขาหันกลับจากความชั่วของเขา และคนชอบธรรมจะไม่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความชอบธรรมในวันที่เขากระทำบาป
อสค 39.23 และประชาชาติทั้งหลายจะทราบว่า วงศ์วานอิสราเอลได้ถูกกวาดไปเป็นเชลยเพราะเหตุความชั่วช้าของเขา เพราะเขาได้ละเมิดต่อเรา ดังนั้นเราจึงซ่อนหน้าของเราเสียจากเขา และมอบเขาไว้ในมือพวกศัตรูของเขา เขาจึงล้มลงด้วยดาบสิ้นทุกคน
ดนล 9.11 เออ อิสราเอลทั้งผองได้ละเมิดต่อพระราชบัญญัติของพระองค์ และได้หันไปเสียไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และการสาปแช่งและการปฏิญาณ ซึ่งจารึกไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า จึงถูกเทลงเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์
ดนล 11.32 เขาจะใช้ความสอพลอล่อลวงผู้ที่ละเมิดพันธสัญญา แต่ประชาชนผู้รู้จักพระเจ้าของเขาทั้งหลายจะยืนมั่นและปฏิบัติงาน
ฮชย 6.7 แต่พวกเขาดั่งมนุษย์ได้ละเมิดพันธสัญญา ที่นั่นเขาทรยศต่อเรา
ฮชย 7.13 วิบัติแก่เขา เพราะเขาได้หลงเจิ่นไปจากเรา ความพินาศจงมีแก่เขา เพราะเขาได้ละเมิดต่อเรา แม้ว่าเราได้ไถ่เขาไว้แล้ว เขาก็ยังพูดมุสาเรื่องเรา
ฮชย 8.1 จงจรดแตรไว้ที่ปากของเจ้า เพราะว่าเขาจะมาดังนกอินทรีเหนือพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา และละเมิดราชบัญญัติของเรา
ฮบก 2.5 ยิ่งกว่านั้น เพราะเขาละเมิดโดยเหล้าองุ่น เขาจึงเป็นคนจองหอง เขาไม่ยอมอยู่บ้าน ความตะกละของเขากว้างเหมือนอย่างนรก อย่างมัจจุราชไม่เคยรู้จักอิ่ม เขากอบโกยประชาชาติทั้งหลายมาเพื่อตัวเขาเอง แล้วรวบรวมชนชาติทั้งหลายเข้ามาเป็นคนของตน”
ศฟย 3.11 ในวันนั้น เจ้าจะไม่ถูกกระทำให้อับอายด้วยการกระทำทั้งสิ้นซึ่งเจ้าได้ละเมิดต่อเรา เพราะในเวลานั้นเราจะคัดผู้โอ้อวดเห่อเหิมนั้นออกเสียจากท่ามกลางเจ้า เจ้าจึงจะไม่เย่อหยิ่งจองหองเพราะเหตุภูเขาบริสุทธิ์ของเราอีกต่อไป
มธ 15.2 “ทำไมพวกสาวกของท่านจึงละเมิดประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ด้วยว่าเขามิได้ล้างมือเมื่อเขารับประทานอาหาร”
มธ 15.3 แต่พระองค์ได้ตรัสตอบเขาว่า “เหตุไฉนพวกท่านจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยประเพณีของพวกท่านด้วยเล่า
ลก 15.29 แต่เขาบอกบิดาว่า ‘ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติท่านกี่ปีมาแล้ว และมิได้ละเมิดคำบัญชาของท่านสักข้อหนึ่งเลย แม้แต่เพียงลูกแพะสักตัวหนึ่งท่านก็ยังไม่เคยให้ข้าพเจ้า เพื่อจะเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงยินดีกับเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า
ยน 7.23 ถ้าในวันสะบาโตคนยังเข้าสุหนัต เพื่อมิให้ละเมิดพระราชบัญญัติของโมเสสแล้ว ท่านทั้งหลายจะโกรธเรา เพราะเราทำให้ชายผู้หนึ่งหายโรคเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ
รม 2.25 ถ้าท่านรักษาพระราชบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัตก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดพระราชบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย
รม 2.27 และคนทั้งหลายที่ไม่เข้าสุหนัตซึ่งเป็นตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ได้ทำตามพระราชบัญญัติ เขาจะปรับโทษท่านผู้มีประมวลพระราชบัญญัติและได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังละเมิดพระราชบัญญัตินั้น
รม 11.11 ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พวกอิสราเอลสะดุดจนหกล้มทีเดียวหรือ” ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย แต่การที่เขาละเมิดนั้นเป็นเหตุให้ความรอดแผ่มาถึงพวกต่างชาติ เพื่อจะให้พวกอิสราเอลมีใจมานะขึ้น
รม 11.12 แต่ถ้าการที่พวกอิสราเอลละเมิดนั้นเป็นเหตุให้ทั้งโลกบริบูรณ์ และถ้าการพ่ายแพ้ของเขาเป็นเหตุให้คนต่างชาติบริบูรณ์ เขาจะยิ่งบริบูรณ์มากสักเท่าใด
1ทธ 2.14 และอาดัมไม่ได้ถูกหลอกลวง แต่ผู้หญิงนั้นได้ถูกหลอกลวงจึงได้ละเมิด
ฮบ 9.15 เพราะเหตุนี้พระองค์จึงทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ เพื่อเมื่อมีผู้หนึ่งตายสำหรับที่จะไถ่การละเมิดของคนที่ได้ละเมิดต่อพันธสัญญาเดิมนั้นแล้ว คนทั้งหลายที่ถูกเรียกแล้วนั้นจะได้รับมรดกอันนิรันดร์ตามพระสัญญา
1ยน 3.4 ผู้ใดที่กระทำบาปก็ละเมิดพระราชบัญญัติด้วย เพราะความบาปเป็นสิ่งที่ละเมิดพระราชบัญญัติ
2ยน 1.9 ผู้ใดละเมิดและไม่อยู่ในพระโอวาทของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่มีพระเจ้า ผู้ใดอยู่ในพระโอวาทของพระคริสต์ ผู้นั้นก็มีทั้งพระบิดาและพระบุตร

ละลาย ( 42 )
อพย 16.21 เขาเก็บกันทุกๆเช้าเท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี แต่พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้นก็ละลายไป
พบญ 20.8 และนายทหารจะพูดกับประชาชนต่อไปอีกว่า ‘ผู้ใดที่อยู่ที่นี่มีจิตใจกลัวและวิตก ให้ผู้นั้นกลับไปบ้านของตนเสีย เกรงว่าจิตใจพี่น้องของเขาจะละลายไปเหมือนกับจิตใจของเขา’
ยชว 2.11 เพราะเรื่องท่านนี้แหละ พอเราได้ยินข่าวนี้ จิตใจของเราก็ละลายไป ไม่มีความกล้าหาญเหลืออยู่ในสักคนหนึ่งเลย เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง
ยชว 5.1 ต่อมาเมื่อบรรดากษัตริย์ของคนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ฟากจอร์แดนข้างตะวันตก และบรรดากษัตริย์ของคนคานาอัน ซึ่งอยู่ใกล้ทะเล ได้ยินว่าพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้น้ำในจอร์แดนแห้งไปต่อหน้าคนอิสราเอล ให้เราข้ามฟากไปได้หมดแล้ว จิตใจของเขาก็ละลายไป ไม่มีกำลังใจในตัวอีกต่อไปเหตุเพราะคนอิสราเอล
ยชว 7.5 ฝ่ายชาวเมืองอัยก็ฆ่าฟันคนเหล่านั้นตายประมาณสามสิบหกคน โดยขับไล่คนเหล่านั้นจากตรงหน้าประตูเมืองไปยังเชบาริมฟันเขาตามทางลง และจิตใจของประชาชนก็ละลายไปอย่างน้ำ
ยชว 14.8 แต่ส่วนพี่น้องซึ่งขึ้นไปพร้อมกับข้าพเจ้าได้กระทำให้จิตใจของประชาชนละลายไป แต่ข้าพเจ้าได้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ
วนฉ 5.5 ภูเขาก็ละลายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ รวมทั้งภูเขาซีนายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล
2ซมอ 17.10 แม้คนที่กล้าหาญ ที่จิตใจเหมือนอย่างสิงโตก็จะละลายไปอย่างเต็มที่ เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นทราบว่า เสด็จพ่อของพระองค์เป็นวีรบุรุษ และคนที่อยู่ก็เป็นทหารที่แข็งกล้า
โยบ 30.16 บัดนี้จิตใจของข้าก็ละลายไป วันแห่งความทุกข์ใจยึดตัวข้าไว้
โยบ 30.22 พระองค์ทรงชูข้าพระองค์ขึ้นเหนือลม และทรงให้ข้าพระองค์ขี่ลม และทรงให้ตัวข้าพระองค์ละลายไป
สดด 22.14 ข้าพระองค์ถูกเทออกเหมือนอย่างน้ำ กระดูกทั้งสิ้นของข้าพระองค์หลุดลุ่ยไป จิตใจก็เหมือนขี้ผึ้ง ละลายภายในอกของข้าพระองค์
สดด 46.6 บรรดาประชาชาติก็อลหม่าน และราชอาณาจักรทั้งหลายก็คลอนแคลน พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียง แผ่นดินโลกก็ละลายไป
สดด 58.7 ให้พวกเขาละลายไปเหมือนน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย เมื่อเขาเล็งธนูเพื่อยิงลูกศร ให้ลูกศรนั้นถูกตัดเป็นชิ้นๆ
สดด 58.8 ขอให้เขาเหมือนทากที่ละลายเป็นเมือกไป เหมือนทารกแท้งที่ไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์
สดด 68.2 ควันถูกขับไปฉันใด ก็ขอทรงไล่เขาไปฉันนั้น ขี้ผึ้งละลายต่อหน้าไฟฉันใด ก็ขอให้คนชั่วพินาศต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าฉันนั้น
สดด 75.3 เมื่อแผ่นดินโลกละลาย พร้อมทั้งบรรดาชาวแผ่นดินโลกนั้น ผู้ที่รักษาเสาของมันให้มั่นอยู่คือเราเอง เซลาห์
สดด 97.5 ภูเขาละลายอย่างขี้ผึ้งต่อเบื้องพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลกทั้งสิ้น
สดด 107.26 คนเหล่านั้นถูกซัดขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและลงไปสู่ที่ลึก ใจของเขาละลายไปเพราะเหตุความยากลำบาก
สดด 112.10 คนชั่วจะเห็นแล้วเป็นทุกข์ใจ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วละลายไป ความปรารถนาของคนชั่วนั้นจะสูญเปล่า
สดด 119.28 จิตใจของข้าพระองค์ละลายไปด้วยความโศก ขอทรงเสริมกำลังข้าพระองค์ตามพระวจนะของพระองค์
สดด 147.18 พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์ออกไป และละลายมันเสีย พระองค์ทรงให้ลมพัด และน้ำก็ไหล
อสย 13.7 เพราะฉะนั้น ทุกๆมือก็จะอ่อนเปลี้ย และจิตใจของทุกคนก็จะละลายไป
อสย 14.31 โอ ประตูเมืองเอ๋ย พิลาปร่ำไห้ซิ โอ กรุงเอ๋ย จงร้องไห้ ประเทศฟีลิสเตียเอ๋ย เจ้าทุกคนจงละลายเสีย เพราะควันจะออกมาจากทิศเหนือ และจะไม่มีคนล้าหลังในแถวของเขาเลย”
อสย 19.1 ภาระเกี่ยวกับอียิปต์ ดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงเมฆอันรวดเร็วและจะเสด็จมายังอียิปต์ ต่อพระพักตร์พระองค์ รูปเคารพแห่งอียิปต์จะสั่นสะเทือน และใจของคนอียิปต์จะละลายไปภายในตัวเขา
อสย 34.3 คนที่ถูกฆ่าของเขาจะถูกเหวี่ยงออกไป และกลิ่นเหม็นแห่งศพของเขาจะฟุ้งไป ภูเขาจะละลายไปด้วยโลหิตของเขา
อสย 34.4 บริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์จะละลายไป และท้องฟ้าก็จะม้วนเหมือนหนังสือม้วน บริวารทั้งสิ้นของมันจะร่วงหล่นเหมือนใบไม้หล่นจากเถาองุ่น อย่างมะเดื่อหล่นจากต้นมะเดื่อ
อสย 64.2 ดังเมื่อไฟที่ทำให้ละลายไหม้อยู่ และไฟกระทำให้น้ำเดือด เพื่อให้พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จักแก่ปฏิปักษ์ของพระองค์ เพื่อบรรดาประชาชาติจะสะเทือนต่อพระพักตร์พระองค์
อสค 21.7 และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวแก่เจ้าว่า ‘ทำไมเจ้าถอนหายใจ’ เจ้าจงกล่าวว่า ‘เพราะเรื่องข่าวนั้น เมื่อข่าวนั้นมาถึงหัวใจทุกดวงจะละลายและมือทั้งสิ้นจะอ่อนเปลี้ยไป และบรรดาจิตวิญญาณจะแน่นิ่งไป และหัวเข่าทุกเข่าจะอ่อนเปลี้ยดั่งน้ำ ดูเถิด ข่าวนั้นมาถึงและจะสำเร็จ’ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อสค 21.15 เพื่อว่าใจของเขาจะละลาย และเพื่อซากปรักหักพังของเขาจะทวีคูณขึ้นอีก เราได้จ่อดาบนั้นไปที่ประตูเมืองทั้งหลายของเขาแล้ว เออ ทำเสียเหมือนอย่างกับฟ้าแลบ เขาขัดมันเพื่อจะเข่นฆ่า
อสค 22.20 อย่างที่คนเขารวบรวมเงิน ทองสัมฤทธิ์และเหล็ก และตะกั่วและดีบุกไว้ในเตาหลอม เพื่อเอาไฟเป่าให้มันละลาย ดังนั้นเราจะรวบรวมเจ้าด้วยความกริ้วและด้วยความพิโรธของเรา และเราจะใส่เจ้ารวมไว้ให้เจ้าละลาย
อสค 22.21 เราจะรวบรวมเจ้า และเอาเพลิงแห่งความพิโรธของเราพ่นเจ้า และเจ้าจะละลายอยู่ท่ามกลางนั้น
อสค 22.22 เงินละลายอยู่ในเตาหลอมฉันใด เจ้าทั้งหลายจะละลายอยู่ท่ามกลางเพลิงฉันนั้น และเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ได้เทความกริ้วของเราลงเหนือเจ้า”
อสค 24.11 และวางหม้อเปล่าไว้บนถ่าน เพื่อให้ทองสัมฤทธิ์นั้นร้อนและไหม้ ให้ความโสโครกละลายเสียในนั้น ให้สนิมของมันไหม้ไฟ
อมส 9.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา พระองค์ผู้ทรงแตะต้องแผ่นดิน และแผ่นดินก็ละลายไป และบรรดาที่อาศัยอยู่ในนั้นก็ไว้ทุกข์ และแผ่นดินนั้นทั้งหมดก็เอ่อขึ้นมาอย่างแม่น้ำ และยุบลงอีกเหมือนแม่น้ำแห่งอียิปต์
อมส 9.13 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด วันเวลาก็มาถึง เมื่อคนที่ไถจะทันคนที่เกี่ยว และคนที่ย่ำผลองุ่นจะทันคนที่หว่านเมล็ดองุ่น จะมีน้ำองุ่นหยดจากภูเขา เนินเขาทั้งสิ้นจะละลายไป
มคา 1.4 ภูเขาจะละลายไปภายใต้พระองค์ และหุบเขาจะถูกผ่าเหมือนขี้ผึ้งหน้าไฟ เหมือนน้ำที่เทลงมาตามที่ชัน
นฮม 1.5 ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ ภูเขาก็สั่นสะเทือนและเนินเขาก็ละลายไป แผ่นดินก็เริศร้างต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ เออ ทั้งโลกและสิ่งสารพัดที่อาศัยอยู่ในโลกด้วย
นฮม 2.10 เริศร้าง ความเริศร้าง และความพินาศ จิตใจก็ละลายไปและหัวเข่าก็สั่น บั้นเอวก็ปวดร้าวไปหมด ใบหน้าทุกคนซีดเซียว
2ปต 3.12 คอยท่าและเร่งที่จะให้วันของพระเจ้ามาถึง เมื่อไฟจะติดท้องฟ้าอากาศให้ละลายไป และโลกธาตุจะละลายไปด้วยไฟอันร้อนยิ่ง

ละเลง ( 1 )
มลค 2.3 ดูเถิด เราจะกระทำให้เชื้อสายของเจ้าเสื่อมไป และจะละเลงมูลสัตว์ใส่หน้าเจ้า คือมูลสัตว์ของเทศกาลตามกำหนดของเจ้า และเราจะไล่เจ้าออกไปเสียจากหน้าเราอย่างนั้นแหละ

ละเลย ( 7 )
พบญ 23.21 เมื่อท่านปฏิญาณต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านอย่าละเลยไม่ทำตามคำปฏิญาณนั้น เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเรียกเอาจากท่านเป็นแน่ และท่านจะมีบาป
ยชว 1.5 ไม่มีผู้ใดจะยืนหยัดต่อหน้าเจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า เราอยู่กับโมเสสมาแล้วฉันใด เราจะอยู่กับเจ้าฉันนั้น เราจะไม่ละเลยหรือละทิ้งเจ้าเสีย
กจ 6.2 ฝ่ายอัครสาวกทั้งสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์ให้มาหาเขาแล้วกล่าวว่า “ซึ่งเราจะละเลยพระวจนะของพระเจ้ามัวไปแจกอาหารก็หาควรไม่
1ทธ 4.14 อย่าละเลยของประทานที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งได้ทรงประทานแก่ท่านตามคำพยากรณ์ เมื่อคณะเพรสไบเตรีได้เอามือวางบนท่าน
ฮบ 2.3 ดังนั้นถ้าเราละเลยความรอดอันยิ่งใหญ่แล้ว เราจะรอดพ้นไปอย่างไรได้ ความรอดนั้นได้เริ่มขึ้นโดยการประกาศขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอง และบรรดาผู้ที่ได้ยินพระองค์ ก็ได้รับรองแก่เราว่าเป็นความจริง
ฮบ 13.2 อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว
2ปต 1.12 เหตุฉะนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะรู้และตั้งมั่นคงอยู่ในความจริงที่ท่านรับแล้วนั้นก็ดี ข้าพเจ้าก็ไม่ละเลยที่จะเตือนสติท่านทั้งหลายเสมอให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้

ละเว้น ( 9 )
ปฐก 18.24 บางทีมีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองนั้น พระองค์จะทรงทำลายและไม่ละเว้นเมืองนั้นเพราะคนชอบธรรมห้าสิบคนที่อยู่ในนั้นด้วยหรือ
ปฐก 18.26 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ถ้าเราพบคนชอบธรรมในท่ามกลางเมืองโสโดมห้าสิบคน เราจะละเว้นทั้งเมืองเพราะเห็นแก่พวกเขา”
ฮบก 1.17 แล้วเขาจะเททิ้งแหของเขา และฆ่าประชาชาติทั้งหลายอย่างไม่ละเว้นตลอดไปเป็นนิตย์หรือ
มธ 23.23 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายสิบชักหนึ่งของสะระแหน่ ยี่หร่าและขมิ้น ส่วนข้อสำคัญแห่งพระราชบัญญัติ คือการพิพากษา ความเมตตาและความเชื่อนั้นได้ละเว้นเสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นไม่ควรละเว้นด้วย
ลก 11.42 แต่วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าถวายสิบชักหนึ่งของสะระแหน่และขมิ้นและผักทุกอย่าง และได้ละเว้นการพิพากษาและความรักของพระเจ้าเสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นก็ไม่ควรละเว้นด้วย
กจ 20.29 ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า เมื่อข้าพเจ้าไปแล้ว จะมีสุนัขป่าอันร้ายเข้ามาในหมู่พวกท่าน และจะไม่ละเว้นฝูงแกะไว้เลย
1ปต 2.11 พวกที่รัก ข้าพเจ้าวิงวอนท่านทั้งหลายเหมือนท่านเป็นคนต่างด้าวและเป็นผู้สัญจร ให้ท่านละเว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งทำศึกกับจิตวิญญาณ

ละหาน ( 1 )
โยบ 30.6 ฉะนั้น เขาต้องพักอยู่ที่ลำละหาน ในโพรงดินและซอกหิน

ละออง ( 3 )
พบญ 28.24 พระเยโฮวาห์จะทรงบันดาลให้ฝนในแผ่นดินของท่านเป็นฝุ่นและละออง ลงมาจากอากาศอยู่เหนือท่านทั้งหลายจนกว่าท่านจะถูกทำลาย
2พกษ 13.7 เพราะมิได้เหลือกองทัพไว้ให้เยโฮอาหาสเกินกว่าทหารม้าห้าสิบคน และรถรบสิบคัน และทหารราบหนึ่งหมื่นคน เพราะกษัตริย์แห่งซีเรียได้ทำลายเขาทั้งหลายเสีย ทำให้เหมือนละอองเวลานวดข้าว
พซม 5.2 ดิฉันหลับแล้ว แต่ใจของดิฉันยังตื่นอยู่ คือมีเสียงเคาะของที่รักของดิฉันพูดว่า “น้องสาวจ๋า ที่รักของฉันจ๋า เปิดประตูให้ฉันซิจ๊ะ แม่นกเขาของฉันจ๊ะ แม่คนงามหมดจดของฉันจ๋า เพราะศีรษะของฉันก็ถูกน้ำค้างชื้น และเส้นผมของฉันก็ชุ่มด้วยละอองน้ำฟ้าแห่งราตรีกาล”

ละอาย ( 28 )
กดว 12.14 แต่พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ถ้าพ่อของนางถ่มน้ำลายรดหน้านาง นางจะละอายอยู่เจ็ดวันมิใช่หรือ จงกักนางไว้นอกค่ายเจ็ดวัน ภายหลังจึงให้กลับเข้ามาได้”
2พกษ 2.17 แต่เมื่อเขาทั้งหลายชักชวนท่านจนท่านละอายแล้วท่านจึงว่า “ใช้ไปซี” เพราะฉะนั้นเขาจึงใช้ห้าสิบคนไป เขาทั้งหลายแสวงหาเอลียาห์อยู่สามวันก็ไม่พบท่าน
2พศด 30.15 และเขาทั้งหลายได้ฆ่าแกะปัสกาในวันที่สิบสี่ของเดือนที่สอง ปุโรหิตและคนเลวีก็ต้องรู้สึกละอาย เพราะฉะนั้นเขาจึงชำระตัวให้บริสุทธิ์ และนำเครื่องเผาบูชามาในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
อสร 8.22 เพราะข้าพเจ้าละอายที่จะทูลขอกองทหารและพลม้าจากกษัตริย์เพื่อช่วยเราสู้ศัตรูตามทางของเรา ในเมื่อเราได้กราบทูลกษัตริย์แล้วว่า “พระหัตถ์ของพระเจ้าของเราอยู่กับบรรดาผู้ที่แสวงหาพระองค์ให้ยังผลดี แต่ฤทธานุภาพและพระพิโรธของพระองค์ต่อสู้คนเหล่านั้นที่ละทิ้งพระองค์”
อสร 9.6 และข้าพเจ้าทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ละอายขวยเขินที่จะเงยหน้าหาพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ เพราะว่าความชั่วช้าของข้าพระองค์ทั้งหลายขึ้นสูงกว่าศีรษะของข้าพระองค์ และการละเมิดของข้าพระองค์ทั้งหลายกองขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์
สดด 127.5 ชายใดๆที่มีลูกธนูเต็มแล่งก็เป็นสุข เขาจะไม่ต้องละอาย แต่เขาจะพูดกับศัตรูของเขาที่ประตูเมือง
อสย 1.29 เพราะเจ้าจะละอายเรื่องต้นโอ๊กที่เจ้าปรารถนานั้น และเจ้าจะอับอายเรื่องสวนซึ่งเจ้าเลือก
อสย 20.4 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจะนำคนอียิปต์ไปเป็นเชลย และจะกวาดคนเอธิโอเปียไปเป็นเชลย ทั้งคนหนุ่มสาวและคนแก่ เปลือยกายและเท้าเปล่า เปิดก้น เป็นที่ละอายแก่อียิปต์
อสย 54.4 อย่ากลัวเลย เพราะเจ้าจะไม่ต้องอับอาย อย่าอดสูเลย เพราะเจ้าจะไม่ต้องละอาย เพราะเจ้าจะลืมความอายในวัยสาวของเจ้า และเจ้าจะไม่จำที่เขาติความเป็นม่ายของเจ้าอีก
ยรม 2.26 เมื่อโจรถูกจับมีความละอายฉันใด วงศ์วานของอิสราเอลก็จะละอายฉันนั้น ทั้งตัวเขา กษัตริย์ เจ้านาย ปุโรหิตและผู้พยากรณ์ทั้งหลายของเขา
ยรม 6.15 เขาละอายหรือเมื่อเขากระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลย เขาหน้าแดงด้วยความละอายไม่เป็นเลย เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราลงอาญาเขาทั้งหลาย เขาจะล้มคว่ำลง” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 8.12 เมื่อเขากระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน เขาละอายหรือ เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลย เขาหน้าแดงด้วยความละอายไม่เป็นเลย เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว ในเวลาแห่งการลงอาญาเขาทั้งหลาย เขาจะล้มคว่ำลง พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 12.13 เขาทั้งหลายได้หว่านข้าวสาลี แต่จะเกี่ยวหนาม เขาได้กระทำให้ตัวเจ็บปวด แต่จะไม่ได้กำไรอะไร เขาทั้งหลายจะละอายด้วยผลการเกี่ยวของเขา ด้วยเหตุความโกรธเกรี้ยวกราดของพระเยโฮวาห์”
ยรม 50.12 มารดาของเจ้าจะละอายอย่างอดสู และนางที่คลอดเจ้าจะต้องอับอาย ดูเถิด ที่รั้งท้ายแห่งบรรดาประชาชาติจะเป็นถิ่นทุรกันดาร ที่แห้งแล้งและทะเลทราย
อสค 16.27 ดูเถิด เราจึงเหยียดมือของเราออกต่อสู้เจ้า และลดอาหารส่วนแบ่งของเจ้าลง และมอบเจ้าไว้ให้แก่พวกที่เกลียดเจ้าให้เขากระทำตามใจชอบ คือบรรดาบุตรสาวคนฟีลิสเตีย ผู้ซึ่งละอายในความประพฤติอันลามกของเจ้า
อสค 16.54 เพื่อเจ้าจะทนรับความอับอายขายหน้าของเจ้า และละอายสิ่งที่เจ้ากระทำแล้วทั้งสิ้นให้เป็นการปลอบใจแก่เขา
อสค 43.10 เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงบรรยายแก่วงศ์วานอิสราเอลให้ทราบถึงพระนิเวศ เพื่อว่าเขาจะได้ละอายในเรื่องความชั่วช้าของเขา และให้เขาทั้งหลายวัดแบบแผน
อสค 43.11 และถ้าเขาละอายในสิ่งทั้งหลายที่เขากระทำมาแล้ว จงสำแดงภาพแผนผังทางออกทางเข้า และลักษณะทั้งสิ้นของพระนิเวศนั้น และจงให้เขาทราบถึงกฎเกณฑ์ ลักษณะและกฎทั้งสิ้นของพระนิเวศ จงเขียนลงไว้ท่ามกลางสายตาของเขา เพื่อเขาจะได้รักษาลักษณะและกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระนิเวศ และกระทำตาม
รม 6.21 ขณะนั้นท่านได้ผลประโยชน์อะไรในการเหล่านั้น ซึ่งบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ละอาย ด้วยว่าที่สุดท้ายของการเหล่านั้นก็คือความตาย
2คร 10.8 ถึงแม้ข้าพเจ้าจะโอ้อวดมากไปสักหน่อยในเรื่องอำนาจ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้ไว้เพื่อสร้างท่าน มิใช่เพื่อทำลายท่าน ข้าพเจ้าก็จะไม่ละอาย
2ทธ 1.8 เหตุฉะนั้นอย่าละอายคำพยานแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือของตัวข้าพเจ้าที่ถูกจองจำอยู่เพราะเห็นแก่พระองค์ แต่จงมีส่วนในการยากลำบาก เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้า
2ทธ 1.12 เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงฤทธิ์สามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้น
2ทธ 1.16 ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาแก่ครอบครัวของโอเนสิโฟรัสด้วยเถิด เพราะเขาได้กระทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจบ่อยๆ และเขาไม่ละอายต่อโซ่ตรวนของข้าพเจ้าเลย
2ทธ 2.15 จงหมั่นศึกษาค้นคว้าเพื่อสำแดงตนเองให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า เป็นคนงานที่ไม่ต้องละอาย แยกแยะพระวจนะแห่งความจริงนั้นได้อย่างถูกต้อง
ฮบ 2.11 เพื่อว่าทั้งพระองค์ผู้ชำระคนทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และคนเหล่านั้นที่ได้รับการชำระ ก็มาจากแหล่งเดียวกัน เพราะเหตุนั้นพระองค์จึงไม่ทรงละอายที่จะทรงเรียกเขาเหล่านั้นว่า เป็นพี่น้องกัน
ฮบ 11.16 แต่บัดนี้เขาปรารถนาที่จะอยู่ในเมืองที่ประเสริฐกว่านั้น คือเมืองสวรรค์ เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงมิได้ทรงละอายเมื่อเขาเรียกพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าของเขา เพราะพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับเขาแล้ว

ละอายใจ ( 4 )
ปฐก 38.23 ยูดาห์จึงว่า “ให้หญิงนั้นเก็บของนั้นไว้เถิด มิฉะนั้นเราจะละอายใจ ดูเถิด เราฝากลูกแพะตัวนี้ไปให้ แต่ท่านก็หาหญิงนั้นไม่พบ”
โยบ 6.20 เพราะเขาทั้งหลายหวังใจ เขาจึงต้องผิดหวัง เขามาถึงที่นั่นและต้องละอายใจ
1คร 6.5 ข้าพเจ้ากล่าวดังนี้ก็เพื่อให้ท่านละอายใจ ในพวกท่านไม่มีสักคนหนึ่งหรือที่มีสติปัญญาสามารถชำระความระหว่างพี่น้อง
2คร 7.14 เพราะถ้าข้าพเจ้าได้อวดเรื่องพวกท่านแก่ทิตัส ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องละอายใจเลย ทุกสิ่งที่เราได้กล่าวแก่ท่านเป็นความจริงฉันใด สิ่งที่เราได้อวดเรื่องพวกท่านแก่ทิตัสเมื่อก่อนนั้น ก็ปรากฏเป็นจริงเหมือนกันฉันนั้น

ละเอียด ( 22 )
ปฐก 18.6 อับราฮัมรีบเข้าไปในเต็นท์หานางซาราห์และพูดว่า “จงรีบเอาแป้งละเอียดสามถังมานวดแล้วทำขนมบนเตา”
อพย 23.24 อย่ากราบไหว้พระของเขา หรือปรนนิบัติหรือทำตามแบบอย่างที่พวกเขากระทำ แต่จงทำลายรูปเคารพของเขา และทุบเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาเสียให้แหลกละเอียด
อพย 28.11 ให้ช่างแกะจารึกชื่อเหล่าบุตรอิสราเอลไว้ที่พลอยทั้งสองแผ่นนั้น เช่นอย่างแกะตราแล้วฝังไว้บนกระเปาะทองคำซึ่งมีลวดลายละเอียด
อพย 28.13 เจ้าจงทำกระเปาะทองคำมีลวดลายละเอียด
อพย 28.20 แถวที่สี่ฝังพลอยเขียว พลอยสีน้ำข้าวและหยก พลอยทั้งหมดนี้ให้ฝังในลวดลายอันละเอียดที่ทำด้วยทองคำ
อพย 28.25 และปลายสร้อยอีกสองข้าง ให้ติดกับกระเปาะที่มีลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
อพย 30.36 จงเอาส่วนหนึ่งมาตำให้ละเอียด และวางอีกส่วนหนึ่งไว้หน้าหีบพระโอวาทในพลับพลาแห่งชุมนุมที่เราจะพบกับเจ้า เครื่องหอมนั้นเจ้าจงถือว่าบริสุทธิ์ที่สุด
อพย 34.13 แต่เจ้าทั้งหลายจงทำลายแท่นบูชาและทุบเสาอันศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้แหลกละเอียด และโค่นเสารูปเคารพของเขาเสีย
อพย 39.6 เขาเอาพลอยสีน้ำข้าวฝังไว้ในกระเปาะทองคำซึ่งมีลวดลายละเอียด และแกะอย่างแกะตรา เป็นชื่อบุตรอิสราเอล
อพย 39.13 แถวที่สี่ฝังพลอยเขียว พลอยสีน้ำข้าว และหยก พลอยทั้งหมดนี้เขาได้ฝังในกระเปาะลวดลายละเอียดทำด้วยทองคำ
อพย 39.16 และเขาทั้งหลายทำกระเปาะลวดลายละเอียดด้วยทองคำสองอัน และห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ที่ปลายทั้งสองของทับทรวง
อพย 39.18 และปลายสร้อยอีกสองข้างนั้น เขาทั้งหลายทำติดกับกระเปาะลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
ลนต 2.14 ถ้าเจ้าถวายธัญญบูชาเป็นผลรุ่นแรกแด่พระเยโฮวาห์ ธัญญบูชาอันเป็นผลรุ่นแรกนั้นเจ้าจงถวายรวงใหม่ๆย่างไฟให้แห้ง บดเมล็ดให้ละเอียด
ลนต 16.12 และอาโรนจะเอากระถางไฟที่มีถ่านลุกอยู่เต็มมาจากแท่นบูชาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และเครื่องหอมทุบละเอียดสองกำมือนำเข้าไปภายในม่าน
พบญ 9.21 แล้วข้าพเจ้าจึงเอาสิ่งที่บาปหนานั้น คือรูปลูกวัวซึ่งท่านสร้างขึ้นนั้นเผาเสียด้วยไฟ แล้วทุบแล้วบดให้เป็นผงละเอียดอย่างกับฝุ่น แล้วข้าพเจ้าก็โยนผงนั้นลงไปในลำธารซึ่งไหลลงมาจากภูเขา
2ซมอ 22.43 ข้าพระองค์ทุบตีเขาแหลกละเอียดอย่างผงคลีดิน ข้าพระองค์เหยียบเขาลงเหมือนโคลนตามถนน และกระจายเขาออกไปทั่ว
อสธ 10.2 พระราชกิจอันกอปรด้วยพระราชอำนาจและอานุภาพ กับเรื่องราวละเอียดของยศศักดิ์อันสูงของโมรเดคัย ซึ่งกษัตริย์ทรงเลื่อนท่านขึ้น มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารของกษัตริย์แห่งมีเดียและเปอร์เซียหรือ
สดด 18.42 ข้าพระองค์จึงทุบเขาแหลกละเอียดอย่างผงคลีต่อหน้าลม ข้าพระองค์จึงโยนเขาออกไปเหมือนโคลนตามถนน
อสย 29.5 แต่มวลชาวต่างประเทศของเจ้าจะเหมือนผงคลีละเอียด และผู้น่ากลัวทั้งมวลจะเหมือนแกลบที่ฟุ้งหายไป เออ ชั่วประเดี๋ยวเดียวและในทันทีทันใด
ลก 15.8 หญิงคนใดที่มีเหรียญเงินสิบเหรียญ และเหรียญหนึ่งหายไป จะไม่จุดเทียนกวาดเรือนค้นหาให้ละเอียดจนกว่าจะพบหรือ
กจ 18.25 อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจร้อนรนกล่าวสั่งสอนโดยละเอียดถึงเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้ว่าท่านรู้แต่เพียงบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น
ฮบ 9.5 และเหนือหีบนั้นมีรูปเครูบแห่งสง่าราศีคลุมพระที่นั่งพระกรุณานั้น สิ่งเหล่านี้เราจะพรรณนาให้ละเอียดในที่นี้ไม่ได้

ลัก ( 36 )
ปฐก 31.19 และลาบันออกไปตัดขนแกะ ฝ่ายนางราเชลก็ลักรูปเคารพของบิดาไปด้วย
ปฐก 31.30 บัดนี้ แม้ว่าเจ้าจะไปเพราะคิดถึงบ้านบิดามาก ทำไมจึงลักพระของเรามาด้วยเล่า”
ปฐก 31.32 ส่วนพระของท่านนั้นถ้าพบที่คนไหน ก็อย่าไว้ชีวิตผู้นั้นเลย ค้นดูต่อหน้าญาติพี่น้องของเรา ท่านพบสิ่งใดที่เป็นของท่านกับข้าพเจ้า ก็เอาไปเถิด” เพราะยาโคบไม่รู้ว่านางราเชลได้ลักรูปเหล่านั้นมา
ปฐก 40.15 เพราะอันที่จริงเขาลักข้าพเจ้ามาจากแคว้นฮีบรู และที่นี่ก็เหมือนกันข้าพเจ้าไม่ได้ทำผิดอะไรที่ควรต้องติดคุกใต้ดินนี้”
ปฐก 44.8 ดูเถิด เงินที่ข้าพเจ้าพบในปากกระสอบของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ายังได้นำมาจากแผ่นดินคานาอันคืนแก่ท่าน ข้าพเจ้าทั้งหลายจะลักเงินทองไปจากบ้านนายของท่านได้อย่างไรเล่า
อพย 20.15 อย่าลักทรัพย์
อพย 21.16 ผู้ใดลักคนไปขายก็ดี หรือมีผู้พบคนที่ถูกลักไปอยู่ในมือของผู้นั้นก็ดี ผู้ลักนั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตายเป็นแน่
อพย 22.1 “ถ้าผู้ใดลักวัวหรือแกะไปฆ่าหรือขาย ให้ผู้นั้นใช้วัวห้าตัวแทนวัวหนึ่งตัวและแกะสี่ตัวแทนแกะตัวหนึ่ง
อพย 22.3 ถ้าดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ต้องทำให้โลหิตตกเพราะการตีคนนั้น แต่ผู้ร้ายนั้นต้องให้ค่าชดใช้ ถ้าเขาไม่มีอะไรจะใช้ให้ ต้องขายตัวเขาเป็นค่าของที่ลักไปนั้น
อพย 22.4 ถ้าจับของที่ลักไปนั้นได้อยู่ในมือของเขาจะเป็นวัวก็ดี หรือลาก็ดี หรือแกะก็ดี ซึ่งยังเป็นอยู่ ขโมยนั้นต้องให้ค่าชดใช้เป็นสองเท่า
อพย 22.7 ถ้าผู้ใดฝากเงินหรือสิ่งของไว้กับเพื่อนบ้านแล้วของนั้นถูกขโมยลักไปจากเรือนผู้นั้น ถ้าจับขโมยได้ ขโมยต้องใช้แทนเป็นสองเท่า
อพย 22.8 ถ้าจับขโมยไม่ได้ จงนำเจ้าของเรือนมาถึงพวกผู้พิพากษาเพื่อจะดูว่ามือของตนเองได้ลักสิ่งของของเพื่อนบ้านนั้นหรือไม่
อพย 22.11 ต้องให้ผู้รับฝากนั้นปฏิญาณตัวต่อเพื่อนบ้านต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์เพื่อดูว่า มือของเขาลักของของเพื่อนบ้านนั้นจริงหรือไม่ แล้วเจ้าของนั้นจะต้องยินยอม ผู้รับฝากนั้นไม่ต้องให้ค่าชดใช้
อพย 22.12 แต่ถ้าสัตว์นั้นถูกลักไป ขณะเมื่อผู้รับฝากอยู่ด้วย ผู้รับฝากต้องให้ค่าชดใช้แก่เจ้าของ
ลนต 19.11 เจ้าอย่าลักทรัพย์ หรือโกงหรือมุสาต่อกัน
พบญ 5.19 อย่าลักทรัพย์
พบญ 24.7 ถ้าชายคนใดถูกเขาจับได้ว่าได้ลักพี่น้องคนอิสราเอลคนหนึ่งคนใดไปใช้เป็นทาสหรือขายเสีย ขโมยคนนั้นจะต้องมีโทษถึงตาย ดังนี้แหละท่านจะกำจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน
วนฉ 17.2 เขาพูดกับมารดาของเขาว่า “เงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยแผ่น ซึ่งมีคนลักไปจากแม่และแม่ก็ได้สาปแช่ง และพูดเข้าหูฉันนั้น ดูเถิด เงินนั้นอยู่ที่ฉัน ฉันเอาไปเอง” มารดาของเขาจึงพูดว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรให้ลูกของแม่เถิด”
2ซมอ 17.8 หุชัยกราบทูลต่อไปว่า “พระองค์ทรงทราบแล้วว่า เสด็จพ่อและคนที่อยู่ด้วยเป็นทหารแข็งกล้า และเขาทั้งหลายกำลังโกรธเหมือนหมีที่ลูกถูกลักเอาไปในป่า นอกจากนั้นเสด็จพ่อของพระองค์ทรงชำนาญศึก ท่านคงไม่พักอยู่กับพวกพล
2พกษ 11.2 แต่เยโฮเชบาธิดาของกษัตริย์โยรัม พระน้องนางของอาหัสยาห์ ได้นำโยอาชโอรสของอาหัสยาห์และลอบลักเธอไปจากท่ามกลางโอรสของกษัตริย์ ผู้ซึ่งจะถูกประหารชีวิต และพระนางเก็บเธอและพี่เลี้ยงของเธอไว้ในห้องบรรทมเพื่อซ่อนเธอเสียจากอาธาลิยาห์ ดังนี้แหละ เธอจึงมิได้ถูกประหารชีวิต
สภษ 6.30 ถ้าขโมยเข้าลักเพื่อบรรเทาความอยากเมื่อเขาหิว คนไม่ดูหมิ่นขโมยนั้นมิใช่หรือ
ยรม 7.9 เจ้าจะลักทรัพย์ กระทำฆาตกรรม ล่วงประเวณี ปฏิญาณเท็จ เผาเครื่องบูชาถวายพระบาอัลและติดตามพระอื่นซึ่งเจ้าทั้งหลายมิได้รู้จักไปหรือ
มธ 6.19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่ตัวมอดและสนิมอาจทำลายเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้
มธ 6.20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในสวรรค์ ที่ตัวมอดและสนิมทำลายเสียไม่ได้ และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้
มธ 19.18 คนนั้นทูลถามพระองค์ว่า “คือพระบัญญัติข้อใดบ้าง” พระเยซูตรัสว่า “อย่ากระทำการฆาตกรรม อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ
มธ 27.64 เหตุฉะนั้น ขอได้มีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรงจนถึงวันที่สาม เกลือกว่าสาวกของเขาจะมาในตอนกลางคืน และลักเอาศพไป แล้วจะประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก”
มธ 28.13 สั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดว่า ‘พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืนเมื่อเรานอนหลับอยู่’
มก 10.19 ท่านรู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อเขา จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’”
ลก 18.20 ท่านรู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’”
ยน 10.10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
รม 2.21 ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ เมื่อท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า
รม 13.9 พระบัญญัติกล่าวว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าโลภ’ ทั้งพระบัญญัติอื่นๆก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ ‘ท่านจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’
1ทธ 1.10 คนล่วงประเวณี พวกกะเทย ผู้ร้ายลักคน คนโกหก คนทวนสบถ และอะไรๆที่ขัดกับคำสอนอันถูกต้อง

ลักพา ( 2 )
2ซมอ 19.41 แล้วดูเถิด คนอิสราเอลทั้งหมดมาเฝ้ากษัตริย์ กราบทูลกษัตริย์ว่า “ไฉนคนยูดาห์พี่น้องของเราจึงได้ลักพาพระองค์ไปเสีย พากษัตริย์และราชวงศ์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับบรรดาคนของดาวิดด้วย”
2พศด 22.11 แต่พระนางเยโฮชาเบอาทธิดาของกษัตริย์ได้นำโยอาชโอรสของอาหัสยาห์ลักพาไปเสียจากท่ามกลางบรรดาโอรสของกษัตริย์ ผู้ซึ่งจะต้องถูกประหาร และพระนางก็เก็บเธอและพี่เลี้ยงของเธอไว้ในห้องบรรทม ดังนั้นแหละเยโฮชาเบอาทธิดาของกษัตริย์เยโฮรัม และภรรยาของเยโฮยาดาปุโรหิต (เพราะว่าพระนางเป็นพระขนิษฐาของอาหัสยาห์) ได้ซ่อนเธอให้พ้นพระนางอาธาลิยาห์ เพื่อมิให้พระนางประหารเธอได้

ลักลอบ ( 2 )
2ซมอ 21.12 ดาวิดก็เสด็จไปนำอัฐิของซาอูลและอัฐิของโยนาธานราชโอรสมาจากคนเมืองยาเบชกิเลอาด ผู้ที่ลักลอบเอาไปจากถนนเมืองเบธชาน ที่คนฟีลิสเตียได้แขวนพระองค์ทั้งสองไว้ ในเมื่อคนฟีลิสเตียประหารซาอูลบนเขากิลโบอา
1ธส 4.6 เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำล่วงเกินและลักลอบต่อพี่น้องในเรื่องใดๆเลย เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ทรงสนองโทษต่อบรรดาคนที่กระทำอย่างนั้น เหมือนอย่างที่เราได้บอกไว้ก่อนแล้วและได้เป็นพยานแล้วด้วย

ลักษณะ ( 46 )
ปฐก 7.14 เขาเหล่านั้นและสัตว์ป่าทั้งปวงตามชนิดของมัน และสัตว์ใช้งานทั้งปวงตามชนิดของมัน และบรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน และนกทั้งปวงตามชนิดของมัน คือบรรดานกทุกชนิดที่มีลักษณะแตกต่างกัน
ลนต 5.10 แล้วเขาจะถวายนกตัวที่สองเป็นเครื่องเผาบูชาตามลักษณะ และปุโรหิตจะทำการลบมลทินของเขาซึ่งเขาได้กระทำไปและเขาจะได้รับการอภัย
ลนต 7.27 ผู้ใดก็ตามที่รับประทานเลือดในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากพลไพร่ของตน”
ลนต 9.16 และเขาก็ถวายเครื่องเผาบูชาถวายตามลักษณะ
ลนต 17.10 ถ้าผู้ใดก็ตามในวงศ์วานอิสราเอลหรือในพวกคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้ารับประทานเลือดในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้รับประทานเลือดนั้น และจะตัดเขาออกเสียจากชนชาติของตน
ลนต 20.25 เหตุฉะนั้นเจ้าจงแยกแยะความแตกต่างระหว่างสัตว์สะอาดและสัตว์มลทิน ระหว่างนกมลทินและนกสะอาด เจ้าอย่ากระทำตัวให้เป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนด้วยสัตว์หรือนกหรือสิ่งมีชีวิตในลักษณะใดๆ ที่เลื้อยคลานอยู่บนดิน ซึ่งเราได้แยกให้เจ้าแล้วว่าเป็นสิ่งมลทิน
กดว 9.14 ถ้าคนต่างด้าวมาอาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย ใคร่จะถือเทศกาลปัสกาแด่พระเยโฮวาห์ตามกฎของเทศกาลปัสกาและตามลักษณะก็ให้เขาถือได้ เจ้าจงมีกฎอย่างเดียวสำหรับทั้งคนต่างด้าวและชาวเมือง”
กดว 15.16 จะต้องมีพระราชบัญญัติอย่างเดียวกันและลักษณะอย่างเดียวกันสำหรับเจ้าและสำหรับคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่กับเจ้า”
กดว 15.24 แล้วถ้าประชาชนได้กระทำผิดโดยไม่เจตนา โดยที่ชุมนุมชนไม่รู้เห็น ชุมนุมชนทั้งหมดต้องถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์ พร้อมกับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันตามลักษณะ และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 29.6 นอกเหนือเครื่องเผาบูชาในวันข้างขึ้นและธัญญบูชาคู่กันและเครื่องเผาบูชาประจำวันคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน ตามลักษณะเครื่องบูชาเหล่านี้ เป็นกลิ่นที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์
กดว 29.18 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้นสำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้นตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.21 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.24 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.27 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.30 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.33 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.37 และถวายธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
วนฉ 18.7 ชายทั้งห้าคนก็จากไปถึงเมืองลาอิช เห็นประชาชนที่อยู่ที่เมืองนั้น เห็นชาวเมืองอยู่อย่างไร้กังวลตามลักษณะคนไซดอน อย่างสงบ ไม่หวาดระแวงอะไร และในแผ่นดินนั้นไม่มีผู้พิพากษาที่จะให้เขาอับอายในเรื่องใดๆ เขาอยู่ห่างไกลจากคนไซดอน ไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับคนอื่นเลย
2พกษ 1.7 พระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “คนที่ได้มาพบเจ้าและบอกสิ่งเหล่านี้แก่เจ้านั้นเป็นคนในลักษณะใด”
2พกษ 16.10 เมื่อกษัตริย์อาหัสเสด็จไปดามัสกัสเพื่อพบกับทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ทรงเห็นแท่นบูชาที่ดามัสกัส และกษัตริย์อาหัสทรงส่งหุ่นแท่นบูชาไปยังอุรียาห์ปุโรหิตพร้อมทั้งแบบแปลนตามลักษณะการสร้าง
2พกษ 17.26 เพราะฉะนั้นมีผู้ไปทูลกษัตริย์แห่งอัสซีเรียว่า “ประชาชาติซึ่งพระองค์ได้ทรงพาเอาไปให้อยู่ในหัวเมืองสะมาเรียนั้นไม่รู้ลักษณะของพระเจ้าของแผ่นดินนั้น ฉะนั้นพระองค์จึงส่งสิงโตมาท่ามกลางเขา และดูเถิด สิงโตนั้นได้ฆ่าเขาเสีย เพราะเขาไม่รู้พระลักษณะแห่งพระเจ้าของแผ่นดินนั้น”
2พศด 4.20 คันประทีปและตะเกียงทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ เพื่อใช้ตามประทีปหน้าห้องหลังตามลักษณะ
อสย 5.17 แล้วลูกแกะจะเที่ยวหากินที่นั่นตามลักษณะท่าทางของมัน คนแปลกหน้าจะหากินในที่ปรักหักพังของสัตว์ที่อ้วน
อสค 1.16 ลักษณะและทรวดทรงของวงล้อเหล่านั้นแวบวาบอย่างพลอยเขียว วงล้อทั้งสี่ก็มีสัณฐานเหมือนกัน ส่วนลักษณะและทรวดทรงนั้นเหมือนวงล้อซ้อนในวงล้อ
อสค 1.22 เหนือศีรษะของสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้นมีลักษณะเหมือนท้องฟ้า ทอแสงอย่างแก้วผลึกที่น่ากลัว แผ่กว้างอยู่เหนือศีรษะของสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้น
อสค 1.26 และเหนือท้องฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะของสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้นมีสิ่งคล้ายบัลลังก์มีลักษณะเหมือนไพทูรย์ และบนสิ่งที่เหมือนบัลลังก์นั้นก็มีลักษณะเหมือนมนุษย์
อสค 1.28 ลักษณะความสุกใสที่อยู่รอบนั้นเหมือนกับสัณฐานของรุ้งที่ปรากฏในเมฆในวันที่ฝนตก ลักษณะทรวดทรงแห่งสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เป็นดังนี้แหละ และเมื่อข้าพเจ้าเห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน และข้าพเจ้าได้ยินเสียงท่านผู้หนึ่งตรัส
อสค 10.9 และข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด มีวงล้ออยู่สี่อันข้างๆเหล่าเครูบ อยู่ข้างเครูบตนละหนึ่งวงล้อ ลักษณะของวงล้อนั้นเหมือนแสงพลอยเขียว
อสค 10.10 ลักษณะสัณฐานวงล้อทั้งสี่นั้นก็เหมือนกัน เหมือนวงล้อซ้อนในวงล้อ
อสค 11.12 และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์ เพราะเจ้ามิได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา หรือปฏิบัติตามคำตัดสินของเรา แต่ได้ประพฤติตามลักษณะท่าทางของประชาชาติทั้งหลายที่อยู่รอบเจ้า”
อสค 43.11 และถ้าเขาละอายในสิ่งทั้งหลายที่เขากระทำมาแล้ว จงสำแดงภาพแผนผังทางออกทางเข้า และลักษณะทั้งสิ้นของพระนิเวศนั้น และจงให้เขาทราบถึงกฎเกณฑ์ ลักษณะและกฎทั้งสิ้นของพระนิเวศ จงเขียนลงไว้ท่ามกลางสายตาของเขา เพื่อเขาจะได้รักษาลักษณะและกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระนิเวศ และกระทำตาม
รม 7.6 แต่บัดนี้เราได้พ้นจากพระราชบัญญัติ คือได้ตายจากพระราชบัญญัติที่ได้ผูกมัดเราไว้ เพื่อเราจะได้ไม่ประพฤติตามตัวอักษรในประมวลพระราชบัญญัติเก่า แต่จะดำเนินชีวิตใหม่ตามลักษณะจิตวิญญาณ
รม 8.29 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก
1คร 15.32 ถ้าตามลักษณะของมนุษย์ ข้าพเจ้าต่อสู้กับสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัสนั้น จะเป็นประโยชน์อะไรแก่ข้าพเจ้า ถ้าคนตายไม่ได้เป็นขึ้นมาอีก ‘ให้เรากินและดื่มเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราจะตาย’
1คร 15.49 และเมื่อเราเกิดมามีลักษณะสมกับมนุษย์ดินแล้ว เราก็จะมีลักษณะสมกับมนุษย์สวรรค์ด้วย
ฟป 2.7 แต่ได้ทรงกระทำพระองค์เองให้ไม่มีชื่อเสียงใดๆ และทรงรับสภาพอย่างผู้รับใช้ ทรงถือกำเนิดในลักษณะของมนุษย์
1ปต 1.11 เขาได้สืบค้นหาสิ่งใดหรือลักษณะแห่งเวลาซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในตัวเขา ได้ทรงบ่งไว้ เมื่อพระวิญญาณนั้นได้พยากรณ์ล่วงหน้าถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และถึงสง่าราศีที่จะมาภายหลัง
วว 11.5 ถ้าผู้ใดประสงค์จะทำร้ายพยานทั้งสองนั้น ไฟก็จะพลุ่งออกจากปากเขาเผาผลาญศัตรูผู้นั้น ถ้าผู้ใดจะทำร้ายพยานทั้งสอง ผู้นั้นก็จะต้องตายในลักษณะนี้

ลัคคูม ( 1 )
ยชว 19.33 อาณาเขตของเขาเริ่มจากเฮเลฟ จากอาโลนไปถึงศานันนิม และอาดามี เนเขบ และยับเนเอลไกลไปจนถึงเมืองลัคคูม และสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน

ลังเลใจ ( 3 )
กจ 10.20 จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา”
กจ 11.12 พระวิญญาณจึงสั่งให้ข้าพเจ้าไปกับเขาโดยไม่ลังเลใจเลย และพวกพี่น้องทั้งหกคนนี้ได้ไปกับข้าพเจ้าด้วย เราทั้งหลายจึงเข้าไปในบ้านของผู้นั้น
ฟป 1.23 ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่ในระหว่างสองฝ่ายนี้ คือว่า ข้าพเจ้ามีความปรารถนาที่จะจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก

ลัด ( 1 )
มก 11.16 และทรงห้ามมิให้ผู้ใดขนสิ่งใดๆเดินลัดพระวิหาร

ลัทธิ ( 6 )
กจ 24.14 แต่ว่าข้าพเจ้าขอรับต่อหน้าท่านอย่างหนึ่ง คือตามทางนั้นที่เขาถือว่าเป็นลัทธินอกรีต ข้าพเจ้านมัสการพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษทั้งหลายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เชื่อถือคำซึ่งมีเขียนไว้ในพระราชบัญญัติและในคัมภีร์ของศาสดาพยากรณ์ทั้งหมด
กจ 25.19 เป็นแต่เพียงปัญหาเถียงกันด้วยเรื่องลัทธิศาสนาของเขาเอง และด้วยเรื่องคนหนึ่งที่ชื่อเยซูซึ่งตายแล้ว แต่เปาโลยืนยันว่ายังเป็นอยู่
กจ 28.22 แต่ข้าพเจ้าทั้งหลายปรารถนาจะฟังท่านกล่าวว่าท่านคิดเห็นอย่างไร เพราะพวกข้าพเจ้าทราบว่า พวกที่ถือลัทธินี้ก็ถูกติเตียนทุกแห่ง”
กท 1.13 เพราะท่านก็ได้ยินถึงชีวิตในหนหลังของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในลัทธิยิวแล้วว่า ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างร้ายแรงเหลือเกิน และพยายามที่จะทำลายเสีย
กท 1.14 และเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในลัทธิยิวนั้น ข้าพเจ้าได้ก้าวหน้าเกินกว่าเพื่อนหลายคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และที่เป็นชนชาติเดียวกัน เพราะเหตุที่ข้าพเจ้ามีใจร้อนรนมากกว่าเขาในเรื่องขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า
2ปต 2.1 แต่ว่าได้มีผู้พยากรณ์เท็จท่ามกลางประชาชนทั้งหลายด้วย เช่นเดียวกับที่จะมีอาจารย์เท็จท่ามกลางท่านทั้งหลาย ผู้ซึ่งจะแอบเอาลัทธิที่ออกนอกลู่นอกทางอันจะนำไปสู่ความหายนะเข้ามาด้วย และจะปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ได้ทรงไถ่เขาไว้ และจะนำความพินาศอย่างฉับพลันมาถึงตนเอง

ลั่น ( 16 )
กดว 14.1 แล้วบรรดาชุมนุมชนนั้นก็ร้องลั่นขึ้นมา ประชาชนร้องไห้ในคืนวันนั้น
2ซมอ 7.19 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า แต่นี่ก็เป็นสิ่งเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ และพระองค์ทรงลั่นพระวาจาถึงราชวงศ์ของผู้รับใช้พระองค์ในอนาคตอันไกลที่จะมาถึงนั้น โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า และนี่เป็นธรรมดาของมนุษย์หรือ
2ซมอ 7.25 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า บัดนี้พระวาทะซึ่งพระองค์ทรงลั่นออกมาเกี่ยวกับผู้รับใช้ของพระองค์ และเกี่ยวกับราชวงศ์ของเขา ขอทรงดำรงซึ่งพระวาทะนั้นให้ถาวรเป็นนิตย์ และทรงกระทำดังที่พระองค์ทรงลั่นพระวาจาไว้
2ซมอ 7.29 เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอโปรดให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ที่จะอำนวยพระพรแก่ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อให้ดำรงอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เป็นนิตย์ โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ทรงลั่นพระวาจาเช่นนั้นแล้ว และด้วยพระพรของพระองค์ก็ขอให้ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ได้อยู่เย็นเป็นสุขเป็นนิตย์”
2ซมอ 23.3 พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงลั่นพระวาจา ศิลาแห่งอิสราเอลได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ผู้ที่ปกครองมนุษย์ต้องเป็นคนชอบธรรม คือปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า
1พกษ 14.11 ผู้ใดในวงศ์เยโรโบอัมที่ตายในเมืองสุนัขจะกิน และผู้ใดที่ตายในทุ่ง นกในอากาศจะกิน เพราะพระเยโฮวาห์ทรงลั่นพระวาจาไว้’
2พศด 18.22 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของเหล่าผู้พยากรณ์ของพระองค์ พระเยโฮวาห์ทรงลั่นพระวาจาเป็นความร้ายเกี่ยวกับพระองค์”
สดด 76.8 พระองค์ทรงลั่นคำพิพากษามาจากฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลกก็กลัวและนิ่งเงียบ
ยรม 13.15 จงฟังและเงี่ยหูฟัง อย่ายโสไปเลย เพราะพระเยโฮวาห์ทรงลั่นพระวาจาแล้ว
ยรม 48.8 ผู้ทำลายจะมาเหนือเมืองทุกเมืองและไม่มีเมืองใดจะรอดพ้นไปได้ หุบเขาจะต้องพินาศและที่ราบจะต้องถูกทำลาย ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงลั่นพระวาจาไว้
ยรม 51.12 จงปักธงชิดบรรดากำแพงของบาบิโลน จงทำคนเฝ้าให้เข้มแข็ง จงตั้งคนยามขึ้น จงเตรียมกองซุ่มไว้ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงวางแผนงานและทั้งทรงกระทำเสร็จตามที่พระองค์ทรงลั่นพระวาจาเกี่ยวด้วยชาวเมืองบาบิโลน
อสค 12.28 เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไปเลย แต่วาจาที่เราลั่นออกมานั้นจะต้องเป็นไปจริง องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
ยอล 3.8 เราจะขายบุตรชายและบุตรสาวของเจ้าไว้ในมือของคนยูดาห์ และเขาทั้งหลายจะขายต่อไปยังคนเสบา แก่ประชาชาติหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป เพราะว่าพระเยโฮวาห์ลั่นพระวาจาแล้ว”
อมส 3.5 ถ้าไม่มีเหยื่อล่อไว้ นกจะลงมาติดกับบนดินได้หรือ ถ้าไม่มีอะไรเข้าไปติดกับ กับจะลั่นขึ้นจากดินได้หรือ
อบด 1.18 วงศ์วานของยาโคบจะเป็นไฟ วงศ์วานของโยเซฟจะเป็นเปลวไฟ และวงศ์วานของเอซาวจะเป็นตอข้าว ไฟและเปลวไฟจะไหม้และเผาผลาญเสีย วงศ์วานของเอซาวจะไม่มีใครรอดได้เลย เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ลั่นพระวาจาแล้ว

ลั่นกุญแจ ( 2 )
วนฉ 3.23 แล้วเอฮูดออกไปที่เฉลียงปิดทวารห้องชั้นบน ลั่นกุญแจเสีย
วว 20.3 แล้วทิ้งมันลงไปในเหวที่ไม่มีก้นเหวนั้น แล้วได้ลั่นกุญแจประทับตรา เพื่อไม่ให้มันล่อลวงบรรดาประชาชาติได้อีกต่อไป จนครบกำหนดพันปีแล้วหลังจากนั้นจะต้องปล่อยมันออกไปชั่วขณะหนึ่ง

ลั่นวาจา ( 30 )
กดว 14.35 เราผู้เป็นพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว เราจะกระทำดังนั้นแก่บรรดาชุมนุมชนที่ชั่วร้ายซึ่งร่วมกันคิดต่อสู้เรา เขาจะสิ้นสุดลงในถิ่นทุรกันดาร เขาจะตายอยู่ที่นั่น”
กดว 23.19 พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ
1ซมอ 25.30 และต่อมาเมื่อพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ตามบรรดาความดีซึ่งพระองค์ทรงลั่นวาจาเกี่ยวกับท่าน และทรงตั้งท่านไว้เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล
ยรม 3.5 พระองค์จะทรงพระพิโรธอยู่เป็นนิตย์หรือ พระองค์จะทรงกริ้วอยู่จนถึงที่สุดปลายหรือ’ ดูเถิด เจ้าลั่นวาจาแล้ว แต่เจ้าก็ยังกระทำความชั่วช้าทุกอย่างซึ่งเจ้ากระทำได้”
ยรม 4.28 เพราะเรื่องนี้โลกจะไว้ทุกข์ และฟ้าสวรรค์เบื้องบนจะดำมืด เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว เราได้หมายใจไว้แล้ว เราจะไม่เปลี่ยนใจหรือหันกลับ
ยรม 18.8 และถ้าประชาชาตินั้น ซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวข้องด้วย หันเสียจากความชั่วร้ายของตน เราก็จะกลับใจจากความชั่วซึ่งเราได้ตั้งใจจะกระทำแก่ชาตินั้นเสีย
ยรม 23.35 เจ้าทั้งหลายจงพูดดังนี้ คือทุกคนพูดกับเพื่อนบ้านของตน และทุกคนพูดกับพี่น้องของตนว่า ‘พระเยโฮวาห์ตอบว่ากระไร’ หรือ ‘พระเยโฮวาห์ทรงลั่นวาจาว่ากระไร’
ยรม 23.37 เจ้าจงกล่าวกับผู้พยากรณ์ดังนี้ว่า ‘พระเยโฮวาห์ทรงตอบท่านว่ากระไร’ หรือ ‘พระเยโฮวาห์ทรงลั่นวาจาว่ากระไร’
ยรม 27.13 ทำไมท่านกับชนชาติของท่านจะมาตายเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหารและด้วยโรคระบาด ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงลั่นวาจาเกี่ยวด้วยประชาชาติใดๆซึ่งจะไม่ปรนนิบัติกษัตริย์แห่งบาบิโลน
ยรม 34.5 ท่านจะตายด้วยความสงบ และเขาจะเผาเครื่องหอมเพื่อศพบรรพบุรุษของท่าน คือบรรดากษัตริย์ซึ่งอยู่ก่อนท่านฉันใด คนเขาก็จะเผาเครื่องหอมเพื่อท่านฉันนั้น และเขาจะคร่ำครวญเพื่อท่านว่า ‘อนิจจาเอ๋ย พระองค์เจ้าข้า’ เพราะเราได้ลั่นวาจาไว้แล้ว” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อสค 5.15 เจ้าจะเป็นที่เขาประณามและเย้ยหยัน เป็นคำสั่งสอนและเป็นที่น่าหวาดเสียวแก่ประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบเจ้า เมื่อเราจะพิพากษาลงโทษเจ้า ด้วยความกริ้วและความเกรี้ยวกราด และการต่อว่าอย่างรุนแรงของเรา เรา พระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว
อสค 5.17 เราจะส่งการกันดารอาหารและสัตว์ป่าร้ายมาสู้เจ้า และมันจะริบลูกหลานของเจ้าไปเสีย โรคระบาดและโลหิตจะผ่านเจ้า และเราจะนำดาบมาเหนือเจ้า เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว”
อสค 12.25 แต่เราคือพระเยโฮวาห์จะพูดคำที่เราจะพูด และจะต้องเป็นไปตามคำนั้น จะไม่ล่าช้าต่อไปอีก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า โอ วงศ์วานที่มักกบฏเอ๋ย ในสมัยของเจ้านี่แหละ เราจะลั่นวาจาและจะกระทำตามนั้น’”
อสค 17.21 และบรรดาผู้ลี้ภัยกับกองทัพทั้งสิ้นของเขานั้นจะล้มลงด้วยดาบ และผู้ที่เหลืออยู่จะกระจายไปตามลมทุกทิศานุทิศ และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์ที่ได้ลั่นวาจาไว้แล้ว”
อสค 17.24 และต้นไม้ทุกต้นในทุ่งจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์กระทำต้นไม้สูงให้ต่ำลง และกระทำต้นไม้ต่ำให้สูงขึ้น ทำต้นไม้เขียวให้แห้งไป และทำต้นไม้แห้งให้งามสดชื่น เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว เราได้กระทำเช่นนั้น”
อสค 21.17 เราจะตบมือของเราด้วย และเราจะระบายความโกรธของเราจนหมด เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว”
อสค 21.32 เจ้าจะเป็นฟืนไว้ใส่ไฟ โลหิตของเจ้าจะอยู่กลางแผ่นดิน จะไม่มีใครจดจำเจ้าไว้อีก เพราะเราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว”
อสค 22.14 ใจเจ้าจะทนได้หรือ และมือของเจ้าจะแข็งแรงอยู่หรือ ในวันที่เราจะเอาเรื่องกับเจ้า เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว และเราจะกระทำ
อสค 23.34 เจ้าจะดื่มและดื่มจนเกลี้ยง เจ้าจะแทะเศษถ้วยและฉีกอกของเจ้าเสีย เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
อสค 24.14 เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว จะเป็นไปอย่างนั้น เราจะกระทำเช่นนั้น เราจะไม่ถอยกลับ เราจะไม่สงวนไว้ และเราจะไม่เปลี่ยนใจ เขาจะพิพากษาเจ้าตามวิธีการและการกระทำของเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อสค 26.5 เมืองนั้นจะเป็นที่สำหรับตากอวนอยู่กลางทะเล เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าได้ตรัส และเมืองนั้นจะเป็นของปล้นแห่งบรรดาประชาชาติ
อสค 26.14 เราจะกระทำให้อยู่บนยอดของศิลา เจ้าจะเป็นสถานที่สำหรับตากอวน จะไม่มีใครสร้างเจ้าขึ้นใหม่เลย เพราะเราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
อสค 28.10 เจ้าจะตายอย่างคนที่มิได้เข้าสุหนัตตาย โดยมือของคนต่างด้าว เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าได้ตรัส”
อสค 30.12 และเราจะกระทำให้แม่น้ำทั้งหลายแห้งไป เราจะขายแผ่นดินนั้นไว้ในมือของคนชั่ว เราจะกระทำให้แผ่นดินและสารพัดที่อยู่บนแผ่นดินนั้นร้างเปล่าโดยมือของคนต่างด้าว เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว
อสค 34.24 และเราคือพระเยโฮวาห์จะเป็นพระเจ้าของเขา และดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นเจ้านายท่ามกลางเขา เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว
อสค 36.36 แล้วประชาชาติที่เหลืออยู่รอบๆ เจ้าจะทราบว่า เรา พระเยโฮวาห์ ได้สร้างที่ปรักหักพังเหล่านี้ขึ้นใหม่ และปลูกพืชในที่รกร้างนั้น เรา พระเยโฮวาห์ ได้ลั่นวาจาไว้แล้ว และเราจะกระทำเช่นนั้น
อสค 37.14 และเราจะบรรจุวิญญาณของเราไว้ในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต และเราจะวางเจ้าไว้ในแผ่นดินของเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว และเราได้กระทำ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ”
อสค 39.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เจ้าจะล้มลงบนพื้นทุ่ง เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว
อสค 39.8 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด มาแล้ว และจะเป็นอย่างนั้น คือวันนั้นซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้
ดนล 4.31 เมื่อกษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดพระวาทะ ก็มีเสียงตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “โอ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เราลั่นวาจาไว้กับเจ้าแล้วว่า ราชอาณาจักรได้พรากไปเสียจากเจ้าแล้ว

ลับ ( 40 )
ปฐก 31.27 เหตุไฉนเจ้าได้หลบหนีมาอย่างลับๆและแอบมาโดยไม่บอกให้เรารู้ ถ้าเรารู้เราก็จะจัดส่งเจ้าไปด้วยความร่าเริงยินดี โดยให้มีการขับร้องด้วยรำมะนาและพิณเขาคู่
พบญ 13.6 ถ้าพี่ชายน้องชายของท่านมารดาเดียวกันกับท่าน หรือบุตรชายบุตรสาวของท่าน หรือภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกของท่าน หรือมิตรสหายร่วมใจของท่าน ชักชวนท่านอย่างลับๆว่า ‘ให้เราไปปรนนิบัติพระอื่นกันเถิด’ ซึ่งเป็นพระที่ท่านเองหรือบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จัก
พบญ 27.24 ‘ผู้ใดฆ่าเพื่อนบ้านของตนอย่างลับๆ ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง’ ให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘เอเมน’
พบญ 32.41 ถ้าเราลับดาบอันวาววับของเรา และมือของเรายึดการพิพากษาไว้ เราจะแก้แค้นศัตรูของเรา และตอบแทนผู้ที่เกลียดเรา
วนฉ 3.19 แล้วตัวท่านกลับไปจากรูปเคารพสลักที่อยู่ใกล้กิลกาลทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระองค์มีข้อราชการลับที่จะกราบทูลให้ทรงทราบ” กษัตริย์จึงมีบัญชาว่า “เงียบๆ” บรรดามหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ก็ทูลลาออกไปหมด
วนฉ 9.31 จึงส่งผู้สื่อสารไปยังอาบีเมเลคอย่างลับๆกล่าวว่า “ดูเถิด กาอัลบุตรชายเอเบดและญาติของเขามาที่เมืองเชเคม ดูเถิด พวกเขายุแหย่เมืองนั้นให้ต่อสู้กับท่าน
1ซมอ 13.20 แต่คนอิสราเอลทุกคนลงไปยังฟีลิสเตียเพื่อลับเหล็กไถ ผาล ขวานและจอบของเขา
1ซมอ 13.21 แต่พวกเขาคิดค่าลับสำหรับลับจอบ ผาล สามง่าม ขวาน และติดประตัก
1ซมอ 24.4 คนของดาวิดก็เรียนท่านว่า “ดูเถิด วันนี้เป็นวันที่พระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านว่า ‘ดูเถิด เราจะมอบศัตรูของเจ้าไว้ในมือของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้ทำกับเขาตามที่เจ้าเห็นควร’” แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นเข้าไปตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูลอย่างลับ
2ซมอ 12.12 เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะกระทำการนี้ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้นและอย่างเปิดเผย’”
2พกษ 17.9 และประชาชนอิสราเอลได้กระทำสิ่งที่ไม่ชอบต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตนอย่างลับๆ เขาได้สร้างปูชนียสถานสูงทั่วบ้านทั่วเมืองสำหรับตน ตั้งแต่ที่ที่มีหอคอยเหตุ กระทั่งถึงเมืองที่มีป้อม
โยบ 13.10 พระองค์จะทรงตำหนิท่านทั้งหลายแน่ ถ้าท่านแสดงความลำเอียงอย่างลับ
โยบ 31.27 และจิตใจของข้าถูกล่อชวนอยู่อย่างลับๆ และปากของข้าจุบมือของข้า
สดด 7.12 ถ้ามนุษย์คนใดไม่กลับใจ พระองค์จะทรงลับคมดาบของพระองค์ พระองค์ทรงโก่งธนูเตรียมพร้อมไว้
สดด 11.2 เพราะดูเถิด คนชั่วโก่งธนูและเอาลูกธนูพาดสายไว้แล้ว เพื่อจะยิงเข้าไปอย่างลับๆให้ถูกคนใจเที่ยงธรรม
สดด 31.4 ขอทรงปลดข้าพระองค์ออกจากข่ายที่พวกเขาวางอย่างลับๆเพื่อดักข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นกำลังของข้าพระองค์
สดด 64.2 ขอทรงซ่อนข้าพระองค์ไว้จากการหารืออย่างลับๆของคนชั่ว จากการปองร้ายของคนกระทำความชั่วช้า
สดด 64.3 ผู้ลับลิ้นของเขาอย่างลับดาบ ผู้เอาคำขมขื่นเล็งอย่างลูกธนู
สดด 64.5 เขายึดจุดประสงค์ชั่วของเขาไว้มั่น เขาพูดถึงการวางกับดักอย่างลับๆ คิดว่า “ใครจะเห็นเขาทั้งหลายได้”
สดด 90.8 พระองค์ทรงตั้งความชั่วช้าของข้าพระองค์ไว้ต่อพระพักตร์พระองค์ ทรงตั้งบาปลับๆของข้าพระองค์ไว้ในความสว่างแห่งพระพักตร์ของพระองค์
สดด 101.5 บุคคลใดก็ตามใส่ร้ายเพื่อนบ้านของเขาอย่างลับๆ ข้าพระองค์จะขจัดเขาออกเสีย คนที่มีตายโสและใจที่จองหองข้าพระองค์จะไม่ยอมทนด้วย
สภษ 27.5 ว่ากันต่อหน้าดีกว่ารักกันลับ
สภษ 27.17 เหล็กลับเหล็กให้แหลมคมได้ คนหนึ่งคนใดก็ลับหน้าตาของเพื่อนให้หลักแหลมขึ้นได้ฉันนั้น
ปญจ 10.10 ถ้าขวานทื่อแล้ว และเขาไม่ลับให้คม เขาก็ต้องออกแรงมากกว่า แต่สติปัญญาจะช่วยให้บรรลุความสำเร็จ
พซม 2.14 โอ แม่นกเขาของฉันเอ๋ย แม่นกเขาตัวที่อยู่ในซอกผาในช่องลับแห่งเขาชัน ขอให้ฉันได้ชมรูปโฉมของเธอหน่อยเถอะ ขอให้ฉันได้ยินสำเนียงของเธอหน่อย ด้วยว่าน้ำเสียงของเธอก็หวาน และรูปโฉมของเธอก็งามวิไล
ยรม 13.17 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายจะไม่ฟัง จิตใจของข้าพเจ้าก็จะร้องไห้ลับๆ เพราะความทะนงใจของเจ้า ตาของข้าพเจ้าจะร้องไห้มากนัก และมีน้ำตาอาบหน้า เพราะฝูงแกะของพระเยโฮวาห์ถูกต้อนเอาไปเป็นเชลย
อสค 7.22 เราจะหันหน้าของเราไปเสียจากเขาด้วย แล้วเขาจึงจะกระทำสถานที่ลับของเราให้มัวหมอง โจรจะเข้ามาในสถานที่ลับนั้นและกระทำให้เป็นมลทิน
อสค 21.9 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์และกล่าวว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งซึ่งเขาลับให้คม และขัดมันด้วย
อสค 21.10 ลับให้คมเพื่อจะเข่นฆ่า ขัดมันไว้เพื่อจะให้วาววับ เราจะร่าเริงหรือ ดาบนั้นได้ประมาทไม้เรียวแห่งบุตรชายของเรา เหมือนต้นไม้ทุกอย่าง
มธ 1.19 แต่โยเซฟสามีของเธอเป็นคนชอบธรรม ไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ หมายจะถอนหมั้นเสียลับ
มธ 24.26 เหตุฉะนั้น ถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘ดูเถิด ท่านผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร’ ก็จงอย่าออกไป หรือจะว่า ‘ดูเถิด อยู่ที่ห้องลับ’ ก็จงอย่าเชื่อ
ยน 7.4 เพราะว่าไม่มีผู้ใดทำสิ่งใดลับๆ เมื่อผู้นั้นเองอยากให้ตัวปรากฏ ถ้าท่านกระทำการเหล่านี้ก็จงสำแดงตัวให้ปรากฏแก่โลกเถิด”
ยน 7.10 แต่เมื่อพวกน้องๆของพระองค์ขึ้นไปในเทศกาลนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างลับๆ ไม่เปิดเผย
ยน 18.20 พระเยซูตรัสตอบท่านว่า “เราได้กล่าวให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอทั้งในธรรมศาลาและที่ในพระวิหารที่พวกยิวเคยชุมนุมกัน และเราไม่ได้กล่าวสิ่งใดอย่างลับๆเลย
ยน 19.38 หลังจากนี้โยเซฟชาวบ้านอาริมาเธีย ซึ่งเป็นสาวกลับๆของพระเยซูเพราะกลัวพวกยิว ก็ได้ขอพระศพพระเยซูจากปีลาต และปีลาตก็ยอมให้ โยเซฟจึงมาอัญเชิญพระศพพระเยซูไป
ยด 1.13 เป็นคลื่นที่บ้าคลั่งในมหาสมุทร ที่ซัดฟองของความบัดสีของตนเองขึ้นมา เขาเป็นดาวที่ลอยลับไป เป็นผู้ที่ตกอยู่ในความมืดทึบตลอดกาล

ลับลี้ ( 3 )
สดด 81.7 เมื่อทุกข์ใจเจ้าเรียก เราก็ช่วยเจ้าให้พ้น เราตอบเจ้าในที่ลับลี้ของฟ้าร้อง เราได้ทดลองเจ้าที่น้ำ ณ เมรีบาห์ เซลาห์
สดด 139.15 เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลับลี้ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์
กจ 26.26 ด้วยว่าท่านกษัตริย์ทรงทราบข้อความเหล่านี้ดีแล้ว ข้าพระองค์จึงกล้ากล่าวต่อพระพักตร์ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์เชื่อแน่ว่า ไม่มีสักอย่างหนึ่งในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นที่ได้พ้นพระเนตรของพระองค์ เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้

ลัปปิโดท ( 1 )
วนฉ 4.4 คราวนั้นผู้พยากรณ์หญิงคนหนึ่งชื่อเดโบราห์ ภรรยาของลัปปิโดท เป็นผู้วินิจฉัยคนอิสราเอลสมัยนั้น

ลา ( 181 )
ปฐก 12.16 ฟาโรห์ได้โปรดปรานอับรามมากเพราะเห็นแก่นาง ท่านได้แกะ วัว ลาตัวผู้ ทาส ทาสี ลาตัวเมีย และอูฐจำนวนมาก
ปฐก 22.3 อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรชายของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา แล้วลุกขึ้นเดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงตรัสแก่ท่าน
ปฐก 22.5 อับราฮัมจึงพูดกับคนใช้หนุ่มของท่านว่า “อยู่กับลาที่นี่เถิด เรากับเด็กชายจะเดินไปนมัสการที่โน้น แล้วจะกลับมาพบเจ้า”
ปฐก 24.35 พระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรแก่นายข้าพเจ้าอย่างมากมาย ท่านก็เจริญขึ้น และพระองค์ทรงประทานฝูงแพะแกะ และฝูงวัว เงินและทอง คนใช้ชายหญิง อูฐและลา
ปฐก 30.43 ยาโคบก็มั่งมีมากขึ้น มีฝูงแพะแกะฝูงใหญ่ คนใช้ชายหญิง และฝูงอูฐฝูงลา
ปฐก 31.28 ทำไมเจ้าไม่ยอมให้เราจุบลาบุตรชายและบุตรสาวของเราเล่า นี่เจ้าทำอย่างโง่เขลาแท้ๆ
ปฐก 32.5 ข้าพเจ้ามีฝูงวัว ฝูงลา ฝูงแพะแกะ มีคนใช้ชายหญิง ข้าพเจ้าใช้คนมาเรียนนายของข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้รับความกรุณาในสายตาของท่าน’”
ปฐก 32.15 อูฐแม่ลูกอ่อนสามสิบกับลูกวัวตัวเมียสี่สิบ วัวตัวผู้สิบ ลาตัวเมียยี่สิบ และลูกลาสิบ
ปฐก 34.28 เขาริบเอาฝูงแกะ ฝูงวัว ฝูงลา และข้าวของทั้งปวงในเมืองและในนาไป
ปฐก 36.24 ต่อไปนี้เป็นบุตรของศิเบโอนคืออัยยาห์ และอานาห์ อานาห์นั้นเป็นผู้ที่ได้พบฝูงล่อในถิ่นทุรกันดาร เมื่อเลี้ยงฝูงลาของศิเบโอนบิดาของเขา
ปฐก 42.26 พวกเขาบรรทุกข้าวใส่หลังลาแล้วก็ออกเดินทางไป
ปฐก 42.27 ครั้นคนหนึ่งเปิดกระสอบออกจะเอาข้าวให้ลากิน ณ ที่หยุดพัก ดูเถิด เขาก็เห็นเงินของเขาอยู่ที่ปากกระสอบนั้น
ปฐก 43.18 คนเหล่านั้นก็กลัวเพราะเขาพาเข้าไปในบ้านโยเซฟ จึงพูดกันว่า “เพราะเหตุเงินที่ติดมาในกระสอบของเราครั้งก่อนนั้น เขาจึงพาพวกเรามาที่นี่ เพื่อท่านจะหาเหตุใส่เราจับกุมเรา จับเราเป็นทาส ทั้งจะริบเอาลาด้วย”
ปฐก 43.24 คนต้นเรือนพาคนเหล่านั้นเข้าไปในบ้านของโยเซฟ แล้วเอาน้ำให้เขา เขาก็ล้างเท้าและคนต้นเรือนจัดหญ้าฟางให้ลาเขากิน
ปฐก 44.3 ครั้นเวลารุ่งเช้าคนต้นเรือนก็ให้คนเหล่านั้นออกเดินไปพร้อมกับลาของเขา
ปฐก 44.13 พวกเขาก็ฉีกเสื้อผ้าของตน และบรรทุกขึ้นหลังลากลับมายังเมือง
ปฐก 45.23 โยเซฟฝากของต่อไปนี้ให้บิดา คือลาสิบตัวบรรทุกของดีที่สุดในประเทศอียิปต์ และลาตัวเมียอีกสิบตัวบรรทุกข้าว ขนมปัง และเสบียงอาหารสำหรับให้บิดารับประทานตามทาง
ปฐก 47.10 ยาโคบถวายพระพรแก่ฟาโรห์ แล้วทูลลาไปจากฟาโรห์
ปฐก 47.17 เขาก็นำฝูงสัตว์มาให้โยเซฟ โยเซฟก็ให้อาหารแก่เขาแลกกับม้า แพะแกะ ฝูงวัวและลา ในปีนั้นท่านจ่ายอาหารแลกกับสัตว์ต่างๆของเขา
ปฐก 49.11 เขาผูกลาของเขาไว้ที่เถาองุ่น และผูกลูกลาของเขาไว้ที่เถาองุ่นดีที่สุด เขาซักผ้าของเขาด้วยน้ำองุ่น เขาซักเสื้อผ้าของเขาด้วยเลือดแห่งผลองุ่น
ปฐก 49.14 ฝ่ายอิสสาคาร์เป็นตัวลามีกำลังมากหมอบลงกลางสัมภาระของมัน
อพย 4.18 โมเสสจึงกลับไปหาเยโธร พ่อตาของตน และบอกกับเขาว่า “ข้าพเจ้าขอลากลับไปหาพี่น้องของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในอียิปต์ เพื่อจะได้ดูว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” ฝ่ายเยโธรตอบโมเสสว่า “ไปโดยสันติภาพเถิด”
อพย 8.12 โมเสสกับอาโรนทูลลาไปจากฟาโรห์ แล้วโมเสสร้องทูลพระเยโฮวาห์เรื่องฝูงกบที่พระองค์ได้ทรงให้มาทรมานฟาโรห์
อพย 8.29 โมเสสจึงทูลว่า “ดูเถิด พอข้าพระองค์ทูลลาพระองค์ไป และข้าพระองค์จะอธิษฐานทูลพระเยโฮวาห์ ขอให้ฝูงเหลือบไปเสียจากฟาโรห์ จากข้าราชการและจากพลเมืองในเวลาพรุ่งนี้ แต่ขอฟาโรห์อย่าทรงทำกลับกลอกอีกโดยไม่ยอมปล่อยบ่าวไพร่ให้ไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเยโฮวาห์”
อพย 8.30 โมเสสทูลลาฟาโรห์ไปแล้วก็อธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์
อพย 9.3 ดูเถิด หัตถ์ของพระเยโฮวาห์จะอยู่บนฝูงสัตว์ของเจ้าซึ่งอยู่ในทุ่งนา ฝูงม้า ฝูงลา ฝูงอูฐ ฝูงวัว และฝูงแกะ จะทำให้เป็นโรคระบาดร้ายแรงขึ้น
อพย 9.33 โมเสสทูลลาฟาโรห์ไปจากกรุง และก็ยกมือขึ้นทูลพระเยโฮวาห์ เสียงฟ้าร้องกับลูกเห็บนั้นก็หยุด ฝนก็มิได้ตกบนแผ่นดิน
อพย 11.8 ข้าราชการของพระองค์จะลงมาหาเรากราบลงต่อหน้าเรากล่าวว่า “ขอท่านกับพรรคพวกไปเสียจากที่นี่เถิด” หลังจากนั้นเราก็จะออกไป’” โมเสสทูลลาฟาโรห์ไปด้วยความโกรธยิ่งนัก
อพย 20.17 อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือวัว ลาของเขา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน”
อพย 21.33 ถ้าผู้ใดเปิดบ่อหรือขุดบ่อแต่มิได้ปิดไว้ แล้วมีวัวหรือลาตกลงไปตายในบ่อนั้น
อพย 22.4 ถ้าจับของที่ลักไปนั้นได้อยู่ในมือของเขาจะเป็นวัวก็ดี หรือลาก็ดี หรือแกะก็ดี ซึ่งยังเป็นอยู่ ขโมยนั้นต้องให้ค่าชดใช้เป็นสองเท่า
อพย 22.9 ในคดีฟ้องร้องทุกอย่าง จะเป็นเรื่องวัว ลา แกะ หรือเสื้อผ้า หรือเรื่องสิ่งของใดๆที่หายไป ถ้ามีคนมาอ้างว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นเป็นของตน จงนำคดีของคู่ความนั้นไปถึงพวกผู้พิพากษา พวกผู้พิพากษานั้นจะตัดสินว่าผู้ใดผิด ผู้นั้นจะต้องใช้ค่าชดใช้เป็นสองเท่า
อพย 22.10 ถ้าผู้ใดฝากลาหรือวัว หรือแกะ หรือสัตว์ใดๆไว้กับเพื่อนบ้าน และสัตว์นั้นเกิดตายลงหรือเป็นอันตราย หรือมีผู้ไล่ต้อนไปจากบ้านนั้นโดยไม่มีใครเห็น
อพย 23.4 ถ้าเจ้าพบวัวหรือลาของศัตรูหลงมา จงพาไปส่งคืนให้เจ้าของจงได้
อพย 23.5 ถ้าเห็นลาของผู้ที่เกลียดชังเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก อย่าได้เมินเฉยเสีย จงช่วยเขายกมันขึ้น
อพย 23.12 จงทำการงานของเจ้าหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดนั้นจงหยุดงาน เพื่อวัว ลาของเจ้าจะได้พัก และลูกชายทาสีของเจ้า กับคนต่างด้าวจะได้พักผ่อนให้สดชื่นด้วย
กดว 16.15 โมเสสโกรธมากและกราบทูลพระเยโฮวาห์ว่า “ขออย่าทรงโปรดปรานเครื่องบูชาของเขาเลย ข้าพระองค์มิได้เอาลาของเขามาสักตัวหนึ่ง และข้าพระองค์มิได้ทำอันตรายเขาสักคนเดียว”
กดว 22.21 ดังนั้นรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นผูกอานลา ไปกับเจ้านายแห่งโมอับ
กดว 22.23 เมื่อลานั้นเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ถือดาบยืนอยู่ในหนทาง ลาก็เลี้ยวออกนอกทาง เข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมจึงตีลาให้กลับไปทางเดิม
กดว 22.25 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์มันก็ดันไปติดกำแพง หนีบเท้าของบาลาอัมเข้ากับกำแพง บาลาอัมก็ตีลาอีก
กดว 22.27 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์มันก็หมอบลง บาลาอัมยังคงนั่งอยู่บนหลัง บาลาอัมก็โกรธ จึงเอาไม้เท้าของเขาตีลา
กดว 22.28 แล้วพระเยโฮวาห์เปิดปากลา มันจึงพูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงได้ตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง”
กดว 22.29 บาลาอัมพูดกับลาว่า “เพราะเจ้าได้แกล้งเรา เราอยากจะมีดาบอยู่ในมือเดี๋ยวนี้ เราจะได้ฆ่าเจ้าเสีย”
กดว 22.30 ลาก็พูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาของท่านที่ท่านขับขี่อยู่ทุกวันตลอดชีวิตจนบัดนี้ดอกหรือ ข้าพเจ้าได้เคยกระทำเช่นนี้แก่ท่านหรือ” บาลาอัมก็บอกว่า “ไม่เคย”
กดว 22.32 และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์พูดกับบาลาอัมว่า “ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง ดูเถิด เรามาห้ามเจ้า เพราะการประพฤติของเจ้าขัดขืนเรา
กดว 22.33 ลาได้เห็นเราและหลีกไปต่อหน้าเราถึงสามครั้ง ถ้ามันมิได้หลีกไปจากเรา เราจะได้ฆ่าเจ้าเสียแล้วเมื่อตะกี้นี้แน่ และให้ลารอดตายไป”
กดว 31.28 และจงชักส่วนหนึ่งจากทหารที่ออกไปทำสงครามเป็นของถวายแด่พระเยโฮวาห์ ห้าร้อยชักหนึ่ง ทั้งคนและวัว และลาและฝูงแพะแกะ
กดว 31.30 และจากครึ่งส่วนของคนอิสราเอลนั้น เจ้าจงนำห้าสิบชักหนึ่งจากคน ฝูงวัว ฝูงลา และฝูงแพะแกะ และสัตว์ทั้งหมด มอบให้แก่คนเลวีผู้ดูแลพลับพลาของพระเยโฮวาห์”
กดว 31.34 ลาหกหมื่นหนึ่งพันตัว
กดว 31.39 มีลาสามหมื่นห้าร้อยตัว ซึ่งเป็นส่วนของพระเยโฮวาห์หกสิบเอ็ดตัว
กดว 31.45 ลาสามหมื่นห้าร้อยตัว
พบญ 5.14 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือวัวของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า
พบญ 5.21 อย่าอยากได้ภรรยาของเพื่อนบ้าน และอย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน คือไร่นาของเขา หรือทาสทาสีของเขา หรือวัว ลาของเขา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน’
พบญ 22.3 ลาของพี่น้องท่านก็จงคืนให้เหมือนกัน เสื้อผ้าของพี่น้องท่านก็จงคืนให้เหมือนกัน สิ่งใดของพี่น้องที่หายไป และที่ท่านพบเข้าท่านจงคืนให้เหมือนกัน ท่านอย่านิ่งเฉยเสีย
พบญ 22.4 ถ้าท่านเห็นลาหรือวัวของพี่น้องล้มอยู่ตามทาง อย่านิ่งเฉยเสีย ท่านจงช่วยพยุงสัตว์เหล่านั้นขึ้นอีก
พบญ 22.10 ท่านอย่าเอาวัวและลาเข้าเทียมไถด้วยกัน
พบญ 28.31 คนจะฆ่าวัวของท่านต่อหน้าต่อตาท่าน ท่านจะมิได้รับประทานเนื้อวัวนั้น เขาจะมาแย่งชิงลาไปต่อหน้าต่อตาท่าน และเขาจะไม่เอากลับคืนมาให้ท่าน ฝูงแพะแกะของท่านจะต้องเอาไปให้ศัตรูของท่าน และจะไม่มีใครช่วยท่านได้เลย
ยชว 6.21 แล้วเขาก็ทำลายสารพัดที่อยู่ในเมืองนั้นเสียสิ้นด้วยคมดาบ ทั้งชายและหญิง หนุ่มและแก่ ทั้งวัว แกะและลา
ยชว 7.24 และโยชูวากับบรรดาคนอิสราเอลจึงพาอาคานบุตรชายเศ-ราห์ พร้อมกับเงิน เสื้อคลุมตัวนั้น และทองแท่งนั้น ทั้งบุตรชายหญิงของเขา ทั้งวัว ลา แพะแกะ และเต็นท์ของเขา ทุกสิ่งที่เขามีอยู่ และนำคนกับของทั้งหมดไปยังหุบเขาอาโคร์
ยชว 9.4 ฝ่ายเขาจึงทำอย่างฉลาด ทำเป็นทูต เอากระสอบที่เก่าบรรทุกบนลาของเขา กับถุงหนังที่เก่าขาดและปะไว้บรรจุน้ำองุ่น
ยชว 15.18 อยู่มาเมื่อแต่งงานกันแล้วนางจึงชวนสามีให้ขอที่นาต่อบิดา นางก็ลงจากหลังลา และคาเลบถามนางว่า “เจ้าต้องการอะไร”
วนฉ 1.14 อยู่มาเมื่อแต่งงานกันแล้วนางจึงชวนสามีให้ขอที่นาต่อบิดา นางก็ลงจากหลังลา และคาเลบถามนางว่า “เจ้าต้องการอะไร”
วนฉ 6.4 เขามาตั้งค่ายไว้แล้วทำลายพืชผลแห่งแผ่นดินเสีย ไกลไปถึงเมืองกาซา ไม่ให้มีเครื่องบริโภคเหลือในอิสราเอลเลย ไม่ว่าแกะ หรือวัว หรือลา
วนฉ 15.15 ท่านมาพบกระดูกขากรรไกรลาสดๆอันหนึ่งจึงยื่นมือหยิบมา และฆ่าคนเหล่านั้นเสียหนึ่งพันคน
วนฉ 15.16 แซมสันกล่าวว่า “ด้วยขากรรไกรลา เป็นกองซ้อนกอง ด้วยขากรรไกรลา เราได้ฆ่าคนหนึ่งพันเสีย”
วนฉ 15.17 อยู่มาเมื่อท่านกล่าวเช่นนั้นแล้วก็โยนกระดูกขากรรไกรลาทิ้งไป ท่านจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า รามาทเลฮี
วนฉ 15.19 พระเจ้าจึงทรงเปิดช่องที่กระดูกขากรรไกรลาให้น้ำไหลออกมาจากที่นั้น ท่านก็ได้ดื่มและจิตวิญญาณก็สดชื่นฟื้นขึ้นอีก เพราะฉะนั้นที่แห่งนั้นท่านจึงเรียกชื่อว่า เอนหักโคร์ อยู่ที่เลฮีจนถึงทุกวันนี้
วนฉ 19.3 สามีของนางก็ลุกขึ้นไปตามนาง เพื่อไปพูดกับนางด้วยจิตเมตตาและจะพานางกลับ เขาพาคนใช้คนหนึ่งและลาคู่หนึ่งไปด้วย นางพาเขาเข้าในบ้านบิดาของนาง เมื่อบิดาของผู้หญิงเห็นเข้าก็มีความยินดีต้อนรับเขา
วนฉ 19.10 แต่ชายคนนั้นไม่ยอมค้างอีกคืนหนึ่ง เขาจึงลุกขึ้นออกเดินทางไปจนถึงตรงข้ามกับเมืองเยบุส คือเยรูซาเล็ม เขามีลาสองตัวที่มีอาน และภรรยาน้อยก็ไปด้วย
วนฉ 19.19 ฟางและอาหารที่จะเลี้ยงลา พวกเราก็มีพร้อมแล้ว ทั้งอาหารและน้ำองุ่นที่เลี้ยงตนทั้งเลี้ยงหญิงคนนี้ และชายหนุ่มที่อยู่กับพวกผู้รับใช้ของท่านก็มีอยู่แล้ว ไม่ขาดสิ่งใดเลย”
วนฉ 19.21 เขาจึงพาชายคนนั้นเข้าไปในบ้าน เอาอาหารให้ลา ต่างก็ล้างเท้าของตน และรับประทานอาหารและดื่ม
วนฉ 19.28 เขาจึงบอกนางว่า “ลุกขึ้นไปกันเถิด” แต่ก็ไม่มีคำตอบ เขาจึงเอานางขึ้นหลังลา ชายนั้นก็ลุกขึ้นเดินทางไปบ้านของตน
นรธ 1.14 แล้วต่างก็ส่งเสียงร้องไห้อีก โอรปาห์ก็จุบลาแม่สามี แต่รูธยังเกาะแม่สามีอยู่
1ซมอ 8.16 พระองค์จะเอาคนใช้ผู้ชายและคนใช้ผู้หญิง และคนหนุ่มๆที่ดีที่สุดของท่าน และลาของท่านให้ไปทำงานของพระองค์
1ซมอ 9.3 ฝ่ายฝูงแม่ลาของคีชบิดาของซาอูลหายไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูลบุตรชายของตนว่า “ลุกขึ้นเอาคนใช้คนหนึ่งไปกับเจ้า เพื่อไปหาลา”
1ซมอ 9.4 เขาทั้งสองก็ผ่านแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ผ่านเข้าแผ่นดินชาลิชา เขาหาลาไม่พบ เขาก็ผ่านข้ามแผ่นดินชาอาลิม แต่ลาไม่อยู่ที่นั่น แล้วเขาผ่านเข้าแผ่นดินของคนเบนยามิน แต่ก็หาลาไม่พบ
1ซมอ 9.5 เมื่อเขามาถึงแผ่นดินศูฟ ซาอูลจึงพูดกับคนใช้ผู้ซึ่งอยู่กับท่านว่า “มาเถิด ให้เรากลับไป เกรงว่าบิดาของข้าจะเลิกกังวลเรื่องลา และมาร้อนใจด้วยเรื่องของเรา”
1ซมอ 9.20 ส่วนเรื่องลาของท่านที่หายไปสามวันแล้วนั้น อย่าเอาใจใส่เลย เพราะเขาพบแล้ว ความปรารถนาของคนอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเอาใครเล่า ไม่ใช่ตัวท่านและวงศ์วานทั้งสิ้นของบิดาท่านดอกหรือ”
1ซมอ 10.2 เมื่อท่านจากฉันไปในวันนี้ ท่านจะพบชายสองคนริมที่ฝังศพของนางราเชลในเขตแดนเบนยามินที่เศลซาห์ และเขาทั้งสองจะบอกท่านว่า ‘ลาซึ่งท่านไปหานั้นพบแล้ว ดูเถิด บัดนี้บิดาของท่านเลิกกังวลเรื่องลาแล้ว และร้อนใจเรื่องของท่าน กล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรชายของเราดี”’
1ซมอ 10.14 ฝ่ายลุงของซาอูลจึงถามซาอูลกับคนใช้ว่า “เจ้าไปไหนมา” และท่านตอบว่า “ไปหาลา และเมื่อเราเห็นว่าเราไม่พบลานั้นแล้ว เราจึงไปหาซามูเอล”
1ซมอ 10.16 และซาอูลตอบลุงของท่านว่า “เขาบอกเราแจ่มแจ้งว่าพบลาแล้ว” แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลกล่าวถึงนั้นท่านไม่ได้บอกสิ่งใดเลย
1ซมอ 12.3 ดูเถิด ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอท่านเป็นพยานปรักปรำข้าพเจ้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และต่อหน้าท่านที่พระองค์ทรงเจิมไว้ ข้าพเจ้าได้ริบวัวของผู้ใดบ้างหรือ หรือข้าพเจ้าเอาลาของผู้ใดไปบ้าง หรือข้าพเจ้าได้ฉ้อผู้ใด ข้าพเจ้าได้บีบบังคับใครบ้าง ข้าพเจ้าได้รับสินบนจากมือของผู้ใดซึ่งจะกระทำให้ตาของข้าพเจ้าบอดไป ขอกล่าวมาและข้าพเจ้าจะคืนให้แก่ท่าน”
1ซมอ 15.3 บัดนี้ท่านจงไปโจมตีอามาเลข และทำลายบรรดาที่เขามีนั้นเสียให้สิ้นเชิง อย่าปรานีเขาเลย จงฆ่าเสียทั้งผู้ชายผู้หญิง ทั้งทารกและเด็กที่ยังดูดนม ทั้งวัว แกะ อูฐและลา’”
1ซมอ 16.20 และเจสซีก็จัดลาตัวหนึ่งบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่น้ำองุ่นถุงหนึ่ง กับลูกแพะตัวหนึ่ง ฝากไปกับดาวิดบุตรชายของท่านให้ถวายซาอูล
1ซมอ 20.6 ถ้าเสด็จพ่อของท่านเห็นข้าพเจ้าขาดไป ก็ขอโปรดทูลพระองค์ว่า ‘ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระองค์รีบกลับไปเมืองเบธเลเฮมเมืองของตน เพราะที่นั่นทั้งครอบครัวทำการถวายสัตวบูชาประจำปี’
1ซมอ 20.28 โยนาธานทูลตอบซาอูลว่า “ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระองค์ไปยังบ้านเบธเลเฮม
1ซมอ 22.19 และเขาประหารโนบ เมืองของปุโรหิต เสียด้วยคมดาบ ฆ่าเสียด้วยคมดาบทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กที่ยังดูดนม วัว ลา และแกะ
1ซมอ 25.18 แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และน้ำองุ่นสองถุงหนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และองุ่นแห้งร้อยช่อ และขนมมะเดื่อสองร้อยแผ่นบรรทุกหลังลา
1ซมอ 25.23 เมื่อนางอาบีกายิลเห็นดาวิด นางก็รีบลงจากหลังลา ซบหน้าลงต่อดาวิดกราบลงถึงดิน
1ซมอ 27.9 ดาวิดก็โจมตีแผ่นดินนั้น ไม่ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ริบแกะ วัว ลา อูฐ และเสื้อผ้า แล้วกลับมาหาอาคีช
2ซมอ 16.1 เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง ดูเถิด ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทก็เข้ามาเฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อม บรรทุกขนมปังสองร้อยก้อน องุ่นแห้งร้อยพวง และผลไม้ฤดูร้อนอีกร้อยหนึ่ง กับน้ำองุ่นหนึ่งถุงหนัง
2ซมอ 16.2 กษัตริย์ตรัสกับศิบาว่า “เจ้านำสิ่งเหล่านี้มาทำไม” ศิบาทูลตอบว่า “ลาคู่นั้นเพื่อราชวงศ์จะได้ทรง ขนมปังและผลไม้ฤดูร้อนสำหรับชายหนุ่มรับประทาน และน้ำองุ่นเพื่อผู้ที่อ่อนเปลี้ยอยู่กลางถิ่นทุรกันดารจะได้ดื่ม”
2ซมอ 17.23 เมื่ออาหิโธเฟลเห็นว่าเขาไม่กระทำตามคำปรึกษาของท่าน ก็ผูกอานลาขึ้นขี่กลับไปเรือนของตนที่อยู่ในเมืองของตน เมื่อสั่งครอบครัวเสียเสร็จแล้วก็ผูกคอตาย เขาจึงเอาศพฝังไว้ที่อุโมงค์บิดาของท่าน
2ซมอ 19.26 ท่านทูลตอบว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ มหาดเล็กของข้าพระองค์หลอกลวงข้าพระองค์ เพราะผู้รับใช้ของพระองค์บอกเขาว่า ‘ข้าจะผูกอานลาตัวหนึ่งเพื่อข้าจะได้ขี่ไปตามเสด็จกษัตริย์’ เพราะว่าผู้รับใช้ของพระองค์เป็นง่อย
1พกษ 11.21 แต่เมื่อฮาดัดอยู่ในอียิปต์ได้ยินว่าดาวิดได้ล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว และโยอาบผู้บัญชาการกองทัพก็สิ้นชีวิตแล้ว ฮาดัดจึงทูลฟาโรห์ว่า “ขอข้าพระองค์ทูลลาเพื่อข้าพระองค์จะกลับไปยังประเทศของข้าพระองค์เอง”
1พกษ 13.13 เขาจึงพูดกับบุตรชายของเขาว่า “จงผูกอานลาให้พ่อ” เขาทั้งหลายจึงผูกอานลาให้เขา แล้วเขาก็ขึ้นขี่
1พกษ 13.23 และอยู่มาหลังจากที่ท่านได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำแล้ว เขาก็ผูกอานลาให้ผู้พยากรณ์ผู้ซึ่งเขาได้พากลับมา
1พกษ 13.24 และเมื่อท่านไป สิงโตก็ออกมาพบท่านที่ถนนและฆ่าท่านเสีย และศพของท่านก็ถูกทิ้งไว้ในถนน และลาตัวนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆศพนั้น สิงโตก็ยืนอยู่ข้างๆศพด้วย
1พกษ 13.27 เขาจึงพูดกับบุตรชายของเขาว่า “จงผูกอานลาให้พ่อ” แล้วเขาก็ผูกอานลาให้
1พกษ 13.28 เขาจึงไปและพบศพนั้นทิ้งอยู่ในถนน และลากับสิงโตก็ยืนอยู่ข้างๆศพนั้น สิงโตมิได้กินศพนั้นหรือฉีกลานั้น
1พกษ 13.29 และผู้พยากรณ์ก็ยกศพคนของพระเจ้าและวางไว้บนลา นำกลับมายังเมืองของผู้พยากรณ์แก่ เพื่อไว้ทุกข์ให้และฝังท่านเสีย
1พกษ 19.20 ท่านก็ละวัวเหล่านั้นวิ่งตามเอลียาห์ไปและกล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าไปจุบลาบิดามารดาของข้าพเจ้าก่อน และข้าพเจ้าจะติดตามท่านไป” เอลียาห์จึงกล่าวกับเอลีชาว่า “กลับไปเถิด เพราะฉันได้ทำอะไรแก่ท่าน”
2พกษ 4.5 นางก็ลาไป และปิดประตูขังนางและบุตรชายของนางไว้ บุตรส่งภาชนะมาให้ และนางก็เทน้ำมัน
2พกษ 4.22 นางก็ไปเรียกสามีของนางกล่าวว่า “ขอส่งคนใช้คนหนึ่งกับลาตัวหนึ่งมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้รีบไปหาคนแห่งพระเจ้า และกลับมาอีก”
2พกษ 4.24 นางก็ผูกอานลาและสั่งคนใช้ของนางว่า “จงเร่งลาไปเร็วๆ อย่าให้ฝีเท้าหย่อนลงได้นอกจากฉันสั่ง”
2พกษ 6.25 มีการกันดารอาหารอย่างหนักในสะมาเรีย และดูเถิด ขณะเมื่อเขาล้อมอยู่จนหัวลาตัวหนึ่งเขาขายกันเป็นเงินแปดสิบเชเขล และมูลนกเขาครึ่งลิตรเป็นเงินห้าเชเขล
2พกษ 7.7 เขาจึงลุกขึ้นหนีไปในเวลาโพล้เพล้ และทิ้งเต็นท์ ม้าและลาของเขา ทิ้งค่ายไว้อย่างนั้นเอง และหนีไปเอาชีวิตรอด
2พกษ 7.10 เขาจึงมาเรียกนายประตูเมือง และบอกเรื่องราวแก่เขาว่า “เรามายังค่ายของคนซีเรีย และดูเถิด เราไม่เห็นใครและไม่ได้ยินเสียงผู้ใดที่นั่น มีแต่ม้าผูกอยู่ และลาผูกอยู่ และเต็นท์ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง”
1พศด 5.21 เขาได้กวาดเอาฝูงสัตว์ของข้าศึกไป คืออูฐห้าหมื่นตัว แกะสองแสนห้าหมื่นตัว ลาสองพัน และคนหนึ่งแสน
1พศด 12.40 ยิ่งกว่านั้นผู้ที่อยู่ใกล้เขาทั้งหลายด้วยคือไกลออกไปถึงอิสสาคาร์ และเศบูลุน และนัฟทาลีได้จัดอาหารบรรทุกลา อูฐ ล่อ และวัว กับเสบียงอาหารมากมายเป็นแป้ง ขนมมะเดื่อ ช่อองุ่นแห้ง น้ำองุ่น น้ำมัน วัวและแกะ เพราะว่ามีความชื่นบานในอิสราเอล
1พศด 27.30 และโอบิลคนอิชมาเอลดูแลอูฐ เยดายาห์ชาวเมโรโนทดูแลลา
2พศด 28.15 และผู้ชายซึ่งถูกระบุชื่อนั้นได้ลุกขึ้นเอาเสื้อผ้าอันเป็นของที่ริบมาให้แก่คนที่เปลือยกายอยู่ในพวกเชลยและเขาก็นุ่งห่มให้เขาไว้ และให้รองเท้า และจัดหาอาหารและเครื่องดื่มให้ และชโลมเขา และนำคนที่อ่อนเปลี้ยในพวกเขาขึ้นลา นำเขากลับมายังญาติพี่น้องของเขาที่เมืองเยรีโค คือเมืองต้นอินทผลัม และเขาทั้งหลายก็กลับไปยังสะมาเรีย
อสร 2.67 อูฐของเขาสี่ร้อยสามสิบห้าตัว และลาของเขาหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบตัว
นหม 7.69 อูฐของเขามีสี่ร้อยสามสิบห้าตัว และลาของเขามีหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบตัว
นหม 13.6 เมื่อเกิดเรื่องนี้ข้าพเจ้ามิได้อยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะในปีที่สามสิบสองแห่งรัชกาลอารทาเซอร์ซีสกษัตริย์แห่งบาบิโลนนั้น ข้าพเจ้าได้ไปเฝ้ากษัตริย์ และอีกไม่กี่วันข้าพเจ้าก็ทูลลากษัตริย์
นหม 13.15 ครั้งนั้นในยูดาห์ ข้าพเจ้าเห็นคนย่ำน้ำองุ่นในวันสะบาโต และนำฟ่อนข้าวเข้ามาบรรทุกหลังลา ทั้งน้ำองุ่น ผลองุ่น มะเดื่อ และภาระทุกอย่าง ซึ่งเขานำมายังเยรูซาเล็มในวันสะบาโต ข้าพเจ้าได้ตักเตือนเขาในวันที่เขาทั้งหลายขายอาหาร
โยบ 1.3 ส่วนสัตว์เลี้ยงของท่าน มีแกะเจ็ดพันตัว อูฐสามพันตัว วัวห้าร้อยคู่ และลาตัวเมียห้าร้อยตัว และท่านมีคนใช้มากมาย ดังนั้นชายผู้นี้จึงใหญ่โตที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก
โยบ 1.14 มีผู้สื่อสารมาหาโยบเรียนว่า “วัวกำลังไถนาอยู่ และลากำลังกินหญ้าในที่ข้างๆ
โยบ 24.3 เขาไล่ต้อนลาของคนกำพร้าพ่อไป เขาเอาวัวของหญิงม่ายไปเป็นประกัน
โยบ 39.5 ใครปล่อยให้ลาป่าวิ่งกระเจิงไป ใครแก้เชือกผูกลาเปลี่ยว
โยบ 42.12 และพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรชีวิตบั้นปลายของโยบมากยิ่งกว่าบั้นต้นของท่าน และท่านมีแกะหนึ่งหมื่นสี่พัน อูฐหกพัน วัวผู้พันคู่ และลาตัวเมียหนึ่งพัน
สภษ 26.3 แส้สำหรับม้า บังเหียนสำหรับลา และไม้เรียวสำหรับหลังคนโง่
อสย 1.3 วัวรู้จักเจ้าของของมัน และลาก็รู้จักรางหญ้าของนายมัน แต่อิสราเอลไม่รู้จัก ชนชาติของเราไม่พิจารณาเลย”
อสย 21.7 เขาได้เห็นรถรบพร้อมกับพลม้าเป็นคู่ๆ รถเทียมลาเป็นคู่ๆและรถเทียมอูฐเป็นคู่ๆ เขาได้ฟังอย่างพินิจพิเคราะห์ อย่างพินิจพิเคราะห์ทีเดียว
อสย 30.6 ภาระเรื่องสัตว์ป่าแห่งภาคใต้ เขาทั้งหลายบรรทุกทรัพย์สมบัติของเขาบนหลังลาและบรรทุกทรัพย์สินของเขาบนโหนกอูฐ ไปตลอดแผ่นดินแห่งความยากลำบากแสนระทม ที่ซึ่งสิงโตหนุ่มและสิงโตแก่ งูร้าย และงูแมวเซาออกมา ไปยังชนชาติหนึ่งซึ่งจะช่วยเขาไม่ได้
อสย 30.24 และวัวกับลาที่ใช้ทำนาจะกินข้าวใส่เกลือ ซึ่งใช้พลั่วและส้อมซัด
อสย 32.20 ท่านที่หว่านอยู่ข้างห้วงน้ำทั้งปวงก็เป็นสุข ผู้ที่ปล่อยให้ตีนวัวและตีนลาเที่ยวอยู่อย่างอิสระ
ยรม 22.19 ท่านจะถูกฝังไว้อย่างฝังลา คือถูกลากไปโยนทิ้งไว้ข้างนอกประตูเมืองเยรูซาเล็ม
อสค 23.20 เธอลุ่มหลงชู้ของเธอที่นั่น ลำเนื้อของเขาก็เหมือนของลา และของเขาก็เหมือนของม้า
ศคย 9.9 โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด โอ บุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้อง ดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ ทรงความชอบธรรมและความรอด พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลา ทรงลูกลา
ศคย 14.15 และภัยพิบัติอย่างหนึ่งที่เหมือนภัยพิบัติอย่างนี้จะบังเกิดแก่ม้า ล่อ อูฐ ลา และไม่ว่าสัตว์ชนิดใดซึ่งมีอยู่ในเต็นท์เหล่านั้น
มธ 2.9 ครั้นพวกเขาได้ฟังกษัตริย์แล้ว เขาก็ได้ลาไป และดูเถิด ดาวซึ่งเขาได้เห็นในทิศตะวันออกนั้นก็ได้นำหน้าเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่กุมารอยู่นั้น
มธ 4.22 ในทันใดนั้นเขาทั้งสองก็ละเรือและลาบิดาของเขาตามพระองค์ไป
มธ 21.7 จึงจูงแม่ลากับลูกของมันมา และเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลัง แล้วเขาให้พระองค์ทรงลานั้น
มก 4.36 เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้น และมีเรืออื่นเล็กๆหลายลำไปกับพระองค์ด้วย
มก 5.20 ฝ่ายคนนั้นก็ทูลลา แล้วเริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีถึงเหตุการณ์ใหญ่ที่พระเยซูได้ทรงกระทำแก่เขา และคนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก
มก 6.46 เมื่อพระองค์ทรงลาเขาทั้งหลายแล้วก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐานที่นั่น
มก 11.7 สาวกจึงจูงลูกลามาถึงพระเยซู แล้วเอาเสื้อผ้าของตนปูลงบนหลังลา แล้วพระองค์จึงทรงลานั้น
ลก 9.33 ต่อมาเมื่อสองคนนั้นกำลังลาไปจากพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่เข้าใจว่าตัวได้พูดอะไร
ลก 9.61 อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลาคนที่อยู่ในบ้านของข้าพระองค์ก่อน”
ลก 13.15 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเขาว่า “คนหน้าซื่อใจคด เจ้าทั้งหลายทุกคนได้แก้วัวแก้ลาจากคอกมันพาไปให้กินน้ำในวันสะบาโตมิใช่หรือ
ลก 14.5 พระองค์จึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “คนไหนในพวกท่าน ถ้าจะมีลาหรือวัวตกบ่อ จะไม่รีบฉุดลากมันออกในวันสะบาโตหรือ”
ลก 19.35 แล้วเขาก็จูงลูกลามาถึงพระเยซูและเอาเสื้อของตนปูลงบนหลังลา และเชิญพระเยซูขึ้นทรงลานั้น
ยน 4.50 พระเยซูตรัสกับท่านว่า “กลับไปเถิด บุตรชายของท่านจะไม่ตาย” ท่านก็เชื่อพระดำรัสที่พระเยซูตรัสกับท่าน จึงทูลลาไป
ยน 12.14 และเมื่อพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่งจึงทรงลานั้นเหมือนดังที่มีคำเขียนไว้ว่า
กจ 15.30 เมื่อลาจากกันแล้ว ท่านเหล่านั้นก็ไปยังเมืองอันทิโอก และเมื่อได้เรียกคนทั้งปวงประชุมกันแล้ว จึงมอบจดหมายฉบับนั้นให้
กจ 15.33 ครั้นพักอยู่ที่นั่นหน่อยหนึ่งแล้ว ก็ลาจากพวกพี่น้องไปถึงอัครสาวกโดยสันติภาพ
กจ 16.40 ท่านทั้งสองจึงออกจากคุก แล้วได้เข้าไปในบ้านของนางลิเดีย เมื่อพบพวกพี่น้องก็พูดจาหนุนใจเขาแล้วก็ลาไป
กจ 18.18 ต่อมาเปาโลได้พักอยู่ที่นั่นอีกหลายวัน แล้วท่านจึงลาพวกพี่น้องแล่นเรือไปยังแคว้นซีเรีย และปริสสิลลากับอาควิลลาก็ไปด้วย เปาโลได้โกนศีรษะที่เมืองเคนเครีย เพราะท่านได้ปฏิญาณตัวไว้
กจ 18.21 แต่ได้ลาเขาไปกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะพยายามรักษาเทศกาลเลี้ยงที่จะถึงในกรุงเยรูซาเล็มโดยทุกวิถีทาง แต่ถ้าเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับมาหาท่านทั้งหลายอีก” แล้วเปาโลได้ลงเรือแล่นออกจากเมืองเอเฟซัส
กจ 20.1 ครั้นการวุ่นวายนั้นสงบแล้ว เปาโลจึงให้ไปตามพวกสาวกมา กอดกันแล้วก็ลาเขาไปยังแคว้นมาซิโดเนีย
กจ 20.7 ในวันต้นสัปดาห์เมื่อพวกสาวกประชุมกันทำพิธีหักขนมปัง เปาโลก็กล่าวสั่งสอนเขา เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะลาไปจากเขาแล้ว ท่านได้กล่าวยืดยาวไปจนเที่ยงคืน
กจ 20.11 ครั้นเปาโลขึ้นไปห้องชั้นบนหักขนมปังและรับประทานแล้ว ก็สนทนาต่อไปอีกช้านานจนสว่าง ท่านก็ลาเขาไป
กจ 21.1 ต่อมาเมื่อพวกเราลาเขาเหล่านั้นแล้วก็แล่นเรือตรงไปยังเกาะโขส อีกวันหนึ่งก็มาถึงเกาะโรดส์ เมื่อออกจากที่นั่นก็มายังเมืองปาทารา
กจ 21.5 แต่เมื่อวันเหล่านั้นล่วงไปแล้วพวกเราก็ลาไป สาวกทั้งหลายกับทั้งภรรยาและบุตรได้ส่งพวกเราออกจากเมือง แล้วเราทั้งหลายก็ได้คุกเข่าลงอธิษฐานที่ชายหาด
กจ 21.6 และคำนับลาซึ่งกันและกัน พวกเราก็ลงเรือและเขาก็กลับไปบ้านของเขา
กจ 21.8 ครั้นรุ่งขึ้นพวกเราที่เป็นเพื่อนเดินทางกับเปาโลก็ลาไป และมาถึงเมืองซีซารียา เราก็เข้าไปในบ้านของฟีลิป ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นคนหนึ่งในจำพวกเจ็ดคนนั้น เราก็อาศัยอยู่กับท่าน
กจ 28.25 และเมื่อเขาไม่เห็นพ้องกันจึงลาไป เมื่อเปาโลได้กล่าวข้อความแถมว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับบรรพบุรุษของเราทั้งหลาย โดยอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ถูกต้องดีแล้ว
รม 15.24 เมื่อข้าพเจ้าจะไปประเทศสเปน ข้าพเจ้าจะแวะมาหาท่านทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบท่านขณะที่ไปตามทางนั้น และเมื่อได้รับความบันเทิงใจกับท่านทั้งหลายบ้างแล้ว ข้าพเจ้าจะได้ลาท่านไปตามทาง
2คร 2.13 ข้าพเจ้ายังไม่มีความสบายใจเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ได้พบทิตัสน้องของข้าพเจ้าที่นั่น ข้าพเจ้าจึงลาพวกนั้นเดินทางไปยังแคว้นมาซิโดเนีย
2คร 13.11 ในที่สุดนี้ พี่น้องทั้งหลาย ขอลาก่อน ท่านจงปรับปรุงตัวให้ดี จงมีกำลังใจอันดี จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และพระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะทรงสถิตอยู่กับท่าน
2ปต 2.16 แต่บาลาอัมก็ได้ถูกติเพราะการที่เขาได้กระทำความชั่วช้านั้น ลาใบ้ตัวนั้นพูดเป็นภาษามนุษย์ และได้ยับยั้งอาการคลุ้มคลั่งของศาสดาพยากรณ์คนนั้น

ล่า ( 20 )
ปฐก 25.28 อิสอัครักเอซาว เพราะท่านรับประทานเนื้อที่เขาล่ามา แต่นางเรเบคาห์รักยาโคบ
ปฐก 27.5 เมื่ออิสอัคพูดกับเอซาวบุตรชายนั้น นางเรเบคาห์ได้ยิน เอซาวก็ออกไปท้องทุ่งเพื่อล่าเนื้อมา
ปฐก 27.33 อิสอัคก็ตัวสั่นมากพูดว่า “ใครเล่า คือผู้นั้นอยู่ที่ไหน ที่ไปล่าเนื้อ แล้วนำมาให้พ่อ พ่อกินหมดแล้วก่อนเจ้ามาถึงและพ่ออวยพรเขาแล้ว เป็นที่แน่ว่าผู้นั้นจะได้รับพร”
ปฐก 49.27 ฝ่ายเบนยามินจะล่าเหยื่อเหมือนสุนัขป่า เวลาเช้าเขาจะกินเหยื่อเสีย เวลาเย็นเขาจะแบ่งปันของที่แย่งชิงไว้”
ลนต 17.13 คนอิสราเอลคนใดหรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้า ไปล่าสัตว์หรือนกเพื่อนำมารับประทานก็ให้หลั่งเลือดออกแล้วเอาฝุ่นกลบ
1ซมอ 24.11 ยิ่งกว่านั้นเสด็จพ่อของข้าพระองค์ได้ขอดูชายฉลองพระองค์ในมือของข้าพระองค์ โดยเหตุที่ว่าข้าพระองค์ได้ตัดชายฉลองพระองค์ออก และมิได้ประหารพระองค์เสีย ขอพระองค์ทรงทราบและทรงเห็นเถิดว่า ในมือของข้าพระองค์ไม่มีความชั่วร้ายหรือการละเมิด ข้าพระองค์มิได้กระทำบาปต่อพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะล่าชีวิตของข้าพระองค์เพื่อจะเอาชีวิตข้าพระองค์
2ซมอ 11.15 ในลายพระหัตถ์นั้นว่า “จงตั้งอุรีอาห์ให้เป็นกองหน้าเข้าสู้รบตรงที่ดุเดือดที่สุดแล้วล่าทัพกลับเสียเพื่อให้เขาถูกโจมตีให้ตาย”
โยบ 10.16 ภัยพิบัติต่างๆเพิ่มมากขึ้น พระองค์จะทรงล่าข้าพระองค์อย่างสิงโตดุร้าย และทรงทำการมหัศจรรย์สู้ข้าพระองค์อีก
โยบ 38.39 เจ้าล่าเหยื่อให้สิงโตได้หรือ หรือให้สิงโตหนุ่มที่หิวอิ่มได้ไหมล่ะ
สดด 140.11 ขออย่าให้เขาตั้งคนส่อเสียดไว้ในแผ่นดิน ขอให้ความร้ายล่าคนทารุณจนคว่ำเขาได้”
สภษ 6.26 เพราะโดยวิธีการของหญิงแพศยา ชายคนใดอาจเหลือแค่ขนมปังก้อนเดียวได้ และหญิงเล่นชู้ล่าชีวิตประเสริฐของชายทีเดียว
สภษ 12.27 คนเกียจคร้านจะไม่ปิ้งเหยื่อที่เขาล่ามา แต่ทรัพย์ศฤงคารของคนขยันขันแข็งมีค่า
สภษ 30.31 สุนัขล่าเนื้อ แพะผู้ และกษัตริย์ผู้ซึ่งไม่มีใครก่อการกบฏ
อสย 13.14 คนทุกคนจะหันเข้าสู่ชนชาติของตนเอง และคนทุกคนจะหนีไปยังแผ่นดินของตนเอง ดั่งละมั่งที่ถูกล่าหรือเหมือนแกะที่ไม่มีผู้รวมฝูง
ยรม 16.16 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ดูเถิด เราจะส่งชาวประมงมาเป็นอันมาก และเขาจะจับเขาทั้งหลาย ภายหลังเราจะให้เขาพาพรานมาเป็นอันมาก พรานจะล่าเขาทั้งหลายตามภูเขาทุกแห่งและตามเนินเขาทุกลูกและตามซอกหิน
ยรม 50.17 อิสราเอลเป็นเหมือนแกะที่ถูกกระจัดกระจายไปแล้ว พวกสิงโตได้ขับล่าเขาไป ทีแรกกษัตริย์อัสซีเรียกินเขา ในที่สุดนี้เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้หักกระดูกของเขา
อสค 13.18 และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแห่งหญิงที่เย็บปลอกไสยศาสตร์สำหรับใส่ช่องแขนเสื้อทั้งสิ้น และทำผ้าคลุมศีรษะให้คนทุกขนาดเพื่อล่าวิญญาณ เจ้าจะล่าวิญญาณซึ่งเป็นของประชาชนของเรา และจะรักษาวิญญาณอื่นๆให้คงชีวิตอยู่เพื่อผลกำไรของเจ้าหรือ
อสค 13.20 ด้วยเหตุนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราต่อสู้ปลอกไสยศาสตร์ของเจ้า ซึ่งเจ้าใช้ล่าวิญญาณเพื่อให้เขาบินไป และเราจะฉีกปลอกไสยศาสตร์นั้นเสียจากแขนของเจ้าทั้งหลาย และเราจะปล่อยวิญญาณเหล่านั้นไป คือวิญญาณที่เจ้าล่าเพื่อให้เขาบินไป

ลาก ( 24 )
2ซมอ 17.13 ยิ่งกว่านั้น ถ้าท่านจะถอยร่นเข้าไปในเมือง คนอิสราเอลทั้งสิ้นก็จะเอาเชือกมาลากเมืองนั้นลงไปที่ลุ่มแม่น้ำ จนกระทั่งก้อนกรวดสักก้อนหนึ่งก็ไม่มีให้เห็นที่นั่น”
1พกษ 6.21 และซาโลมอนทรงบุข้างในพระนิเวศด้วยทองคำบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงลากโซ่ทองคำข้ามข้างหน้าห้องหลัง และบุด้วยทองคำ
โยบ 39.10 เจ้าเอาเชือกผูกม้ายูนิคอนให้ลากไถได้หรือ หรือมันจะยอมคราดที่ลุ่มตามเจ้าไปหรือ
โยบ 41.1 “เจ้าจะลากเลวีอาธานออกมาด้วยเบ็ดได้หรือ หรือจะเอาเชือกกดลิ้นของมันลงได้
อสย 5.18 วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่ลากความชั่วช้าด้วยสายของความไร้สาระ ผู้ลากบาปอย่างกับใช้เชือกโยงเกวียน
ยรม 22.19 ท่านจะถูกฝังไว้อย่างฝังลา คือถูกลากไปโยนทิ้งไว้ข้างนอกประตูเมืองเยรูซาเล็ม
ยรม 49.20 เพราะฉะนั้นจงฟังคำปรึกษาซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเตรียมไว้ต่อสู้เมืองเอโดม และพระประสงค์ทั้งหลายซึ่งพระองค์ได้ดำริไว้ต่อสู้ชาวเมืองเทมาน แน่ล่ะ ถึงตัวเล็กที่สุดในฝูงก็จะต้องถูกลากเอาไป แน่ละ พระองค์จะทรงกระทำให้ที่อาศัยของเขาร้างเปล่าไปพร้อมกับเขาด้วย
ยรม 50.45 เพราะฉะนั้นจงฟังแผนงานซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงกระทำไว้ต่อสู้บาบิโลน และบรรดาพระประสงค์ซึ่งพระองค์ได้ดำริขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินของชาวเคลเดีย แน่ละตัวเล็กที่สุดที่อยู่ในฝูงก็ต้องถูกลากเอาไป แน่ละคอกของเขานั้นจะรกร้างไป
อสค 29.4 เราจะเอาเบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า และจะกระทำให้ปลาในแม่น้ำทั้งหลายของเจ้าติดกับเกล็ดของเจ้า และเราจะลากเจ้าขึ้นมาจากกลางแม่น้ำทั้งหลายของเจ้า และบรรดาปลาในแม่น้ำทั้งหลายของเจ้าจะติดอยู่กับเกล็ดของเจ้า
อสค 32.3 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะกางข่ายของเราคลุมท่านโดยกองทัพชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และเขาเหล่านั้นจะลากท่านขึ้นมาด้วยอวนของเรา
อสค 32.20 เขาทั้งหลายจะล้มลงกลางบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ มีดาบกำหนดไว้แล้ว จงลากอียิปต์ไปเสียพร้อมกับหมู่นิกรทั้งสิ้นของเขา
ฮชย 5.14 เพราะเราจะเป็นเหมือนสิงโตต่อเอฟราอิม และเป็นเหมือนสิงโตหนุ่มต่อวงศ์วานของยูดาห์ เราคือเรานี่แหละ จะฉีกแล้วก็ไปเสีย เราจะลากเอาไป และใครจะช่วยก็ไม่ได้
ฮบก 1.15 เขาจับคนทั้งหลายมาด้วยเบ็ด เขาลากคนมาด้วยแห เขารวบคนมาด้วยอวนของเขา เขาจึงเปรมปรีดิ์และเริงโลด
มธ 13.47 อีกประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลารวมทุกชนิด
มธ 13.48 ซึ่งเมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่งนั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ในภาชนะ แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย
ยน 21.6 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิด แล้วจะได้ปลาบ้าง” เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็นอันมากจนลากอวนขึ้นไม่ได้
ยน 21.8 แต่สาวกอื่นๆนั้นนั่งเรือเล็กๆมา ลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย (เพราะเขาอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น)
ยน 21.11 ซีโมนเปโตรจึงไปลากอวนขึ้นฝั่ง อวนติดปลาใหญ่เต็ม มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว และถึงมากอย่างนั้นอวนก็ไม่ขาด
กจ 14.19 แต่มีพวกยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนียูม เมื่อได้ชักชวนประชาชนแล้ว เขาก็ได้เอาหินขว้างเปาโลและลากท่านออกไปจากเมืองคิดว่าท่านตายแล้ว
กจ 16.19 ส่วนพวกนายของเขาเมื่อเห็นว่าหมดหวังที่จะได้เงินแล้ว เขาจึงจับเปาโลและสิลาสลากมาถึงพวกเจ้าหน้าที่ยังที่ว่าการเมือง
กจ 19.29 แล้วก็เกิดการวุ่นวายใหญ่โตทั่วทั้งเมือง เขาจึงได้จับกายอัสกับอาริสทารคัสชาวมาซิโดเนียผู้เป็นเพื่อนเดินทางของเปาโล ลากวิ่งเข้าไปในโรงมหรสพ
กจ 21.30 แล้วคนทั้งเมืองก็ฮือกันขึ้น คนทั้งหลายก็วิ่งเข้าไปรวมกัน และจับเปาโลลากออกจากพระวิหาร แล้วก็ปิดประตูเสียทันที
ยก 2.6 แต่ท่านทั้งหลายได้ดูถูกคนจน ไม่ใช่คนมั่งมีหรือที่กดขี่ท่านและลากตัวท่านไปขึ้นศาล

ลากเส้น ( 1 )
สภษ 8.27 เมื่อพระองค์ทรงสถาปนาฟ้าสวรรค์ เราอยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงลากเส้นรอบวงบนพื้นมหาสมุทร

ลาคีช ( 24 )
ยชว 10.3 เหตุฉะนี้อาโดนีเซเดกกษัตริย์เมืองเยรูซาเล็มจึงให้ไปหาโฮฮัมกษัตริย์เมืองเฮโบรนและปิรามกษัตริย์เมืองยารมูท และยาเฟียกษัตริย์เมืองลาคีช และเดบีร์กษัตริย์เมืองเอกโลน เรียนว่า
ยชว 10.5 ฝ่ายกษัตริย์ของอาโมไรต์ทั้งห้าองค์ คือ กษัตริย์เมืองเยรูซาเล็ม กษัตริย์เมืองเฮโบรน กษัตริย์เมืองยารมูท กษัตริย์เมืองลาคีช และกษัตริย์เมืองเอกโลน ได้รวบรวมกำลังของตน และยกขึ้นไปพร้อมกับกองทัพทั้งหลาย ตั้งค่ายต่อสู้เมืองกิเบโอน
ยชว 10.23 เขาก็กระทำตาม จึงคุมกษัตริย์ทั้งห้าออกจากถ้ำมาหาท่าน มีกษัตริย์เมืองเยรูซาเล็ม กษัตริย์เมืองเฮโบรน กษัตริย์เมืองยารมูท กษัตริย์เมืองลาคีช และกษัตริย์เมืองเอกโลน
ยชว 10.31 และโยชูวาออกจากเมืองลิบนาห์พร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดไปยังลาคีช แล้วล้อมเมืองไว้และเข้าโจมตีเมืองนั้น
ยชว 10.32 และพระเยโฮวาห์ทรงมอบเมืองลาคีชไว้ในมือคนอิสราเอล และท่านก็ได้ยึดเมืองนั้นในวันที่สอง และประหารเสียด้วยคมดาบ ทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้น ดังที่ท่านได้กระทำแก่เมืองลิบนาห์
ยชว 10.33 ครั้งนั้นโฮรามกษัตริย์เมืองเกเซอร์ได้ขึ้นมาช่วยเมืองลาคีช และโยชูวาได้ประหารเขาและคนของเขาเสีย จนไม่เหลือให้เขาสักคนเดียว
ยชว 10.34 โยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงได้ยกออกจากลาคีชไปยังเมืองเอกโลน ได้เข้าล้อมและโจมตีเมืองนั้น
ยชว 10.35 และเขาก็ตีได้ในวันนั้นเองและฆ่าฟันทุกคนเสียด้วยคมดาบ จนทำลายเขาเสียสิ้นในวันนั้น ดังที่ท่านได้กระทำแก่เมืองลาคีช
ยชว 12.11 กษัตริย์เมืองยารมูทองค์หนึ่ง กษัตริย์เมืองลาคีชองค์หนึ่ง
ยชว 15.39 ลาคีช โบสคาท เอกโลน
2พกษ 14.19 และเขาได้ร่วมกันกบฏต่อพระองค์ในเยรูซาเล็ม และพระองค์ทรงหนีไปยังลาคีช แต่เขาใช้คนไปตามพระองค์ที่ลาคีช และประหารชีวิตพระองค์เสียที่นั่น
2พกษ 18.14 และเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงใช้ให้ไปทูลกษัตริย์แห่งอัสซีเรียที่เมืองลาคีชว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำผิด ขอถอนทัพไปเสียจากข้าพเจ้า ท่านจะปรับสักเท่าใด ข้าพเจ้าจะยอมทั้งสิ้น” และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้เรียกร้องเอาเงินสามร้อยตะลันต์ และทองคำสามสิบตะลันต์ จากเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์
2พกษ 18.17 และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้รับสั่งให้ทารทาน รับสารีสและรับชาเคห์ไปพร้อมกับกองทัพใหญ่จากเมืองลาคีชถึงกรุงเยรูซาเล็มเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ เขาก็ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อเขาขึ้นมาเขาก็มายืนอยู่ทางรางระบายน้ำสระบน ซึ่งอยู่ที่ถนนลานซักฟอก
2พกษ 19.8 รับชาเคห์ได้กลับไป และได้พบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียสู้รบเมืองลิบนาห์ เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์ออกจากลาคีชแล้ว
2พศด 11.9 อาโดราอิม ลาคีช และอาเซคาห์
2พศด 25.27 นับแต่เวลาเมื่ออามาซิยาห์ทรงหันไปจากการติดตามพระเยโฮวาห์ เขาทั้งหลายก็คิดกบฏต่อพระองค์ในเยรูซาเล็ม และพระองค์ทรงหนีไปที่ลาคีช แต่เขาใช้ไปตามพระองค์ที่ลาคีช และประหารพระองค์เสียที่นั่น
2พศด 32.9 ภายหลังเซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย (ผู้ซึ่งกำลังล้อมเมืองลาคีชอยู่ด้วยกำลังรบทั้งสิ้นของพระองค์) ได้รับสั่งให้ข้าราชการของพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็มถึงเฮเซคียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ และถึงประชาชนทั้งปวงของยูดาห์ที่อยู่ในเยรูซาเล็มว่า
นหม 11.30 ศาโนอาห์ อดุลลัมและชนบทของเมืองนั้น ลาคีชและไร่นาของเมืองนั้น อาเซคาห์กับชนบทของเมืองนั้น เขาจึงตั้งค่ายจากเบเออร์เชบาถึงหุบเขาฮินโนม
อสย 36.2 และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้รับสั่งให้รับชาเคห์ ไปจากเมืองลาคีชถึงกรุงเยรูซาเล็ม เข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ พร้อมกับกองทัพใหญ่ และท่านมายืนอยู่ทางรางระบายน้ำสระบนที่ถนนลานซักฟอก
อสย 37.8 รับชาเคห์ได้กลับไป และได้พบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียสู้รบเมืองลิบนาห์ เพราะเขาได้ยินว่ากษัตริย์ออกจากลาคีชแล้ว
ยรม 34.7 ขณะเมื่อกองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังสู้รบกรุงเยรูซาเล็มและหัวเมืองแห่งยูดาห์ทั้งสิ้นที่ยังเหลืออยู่ คือ เมืองลาคีชและเมืองอาเซคาห์ เพราะยังเหลืออยู่สองเมืองนี้เท่านั้นที่เป็นหัวเมืองยูดาห์ที่มีกำแพงป้อม
มคา 1.13 โอ ชาวเมืองลาคีชเอ๋ย จงเทียมม้าเข้ากับรถรบ เธอเริ่มสร้างบาปให้แก่บุตรสาวของศิโยน เพราะได้พบการละเมิดของอิสราเอลในเจ้า

ลาง ( 3 )
กดว 24.1 เมื่อบาลาอัมเห็นว่าพระเยโฮวาห์ทรงพอพระทัยที่จะให้อวยพรแก่อิสราเอล บาลาอัมก็หาได้ไปแสวงหาลางอย่างครั้งก่อนๆไม่ แต่มุ่งหน้าตรงไปยังถิ่นทุรกันดาร
อสย 44.25 ผู้กระทำให้ลางของคนมุสาไม่ขลัง และกระทำพวกโหรให้บ้าๆบอๆ ผู้หันคนฉลาดให้กลับหลัง และกระทำให้ความรู้ของเขาเขลาไป
ยอล 2.30 เราจะสำแดงลางมหัศจรรย์ในท้องฟ้าและบนดิน เป็นเลือดและไฟและเสาควัน

ล่าง ( 15 )
อพย 28.26 จงทำห่วงทองคำสองอันติดไว้ที่มุมล่างทั้งสองข้างของทับทรวงข้างในที่ติดเอโฟด
อพย 28.33 ที่ชายล่างของเสื้อคลุมให้ปักรูปทับทิม ใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มรอบชายเสื้อ และติดลูกพรวนทองคำสลับกับผลทับทิม
อพย 28.34 ลูกพรวนทองคำลูกหนึ่ง ผลทับทิมผลหนึ่ง ลูกพรวนทองคำอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่งรอบชายล่างของเสื้อคลุม
ยชว 15.19 นางตอบว่า “ขอของขวัญให้ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เมื่อพ่อให้ลูกมาอยู่ในแผ่นดินภาคใต้แล้ว ลูกขอน้ำพุด้วย” คาเลบก็ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง
ยชว 16.3 แล้วลงไปทางทิศตะวันตกถึงเขตของคนยาฟเลที ไกลไปจนเขตเมืองเบธโฮโรนล่างถึงเมืองเกเซอร์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล
ยชว 18.13 จากที่นั่นพรมแดนก็ยื่นไปทางทิศใต้ตรงไปเมืองลูสไปยังไหล่เขาที่เมืองลูส คือเมืองเบธเอล แล้วพรมแดนก็ลงไปถึงอาทาโรทอัดดาร์บนภูเขาซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเบธโฮโรนล่าง
วนฉ 1.15 นางจึงตอบท่านว่า “ขอของขวัญให้ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เมื่อพ่อให้ลูกมาอยู่ในแผ่นดินภาคใต้แล้ว ลูกขอน้ำพุด้วย” และคาเลบก็ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง
1พกษ 9.17 ซาโลมอนจึงสร้างเกเซอร์ขึ้นใหม่ และสร้างเมืองเบธโฮโรนล่าง
1พศด 7.24 (บุตรสาวของท่านชื่อเชเอราห์ ผู้ซึ่งสร้างเมืองเบธโฮโรนล่างและบน และเมืองอุสเซนเชเอราห์)
2พศด 8.5 พระองค์ได้ทรงสร้างเมืองเบธโฮโรนบนและเบธโฮโรนล่างด้วยเป็นเมืองที่มั่นคง มีกำแพง ประตูเมือง และดาน
อสย 22.9 ท่านได้เห็นช่องโหว่แห่งนครดาวิดว่ามีหลายแห่ง แล้วท่านทั้งหลายก็เก็บน้ำในบ่อล่าง
อสค 40.18 และพื้นหินนั้นมีอยู่ตามด้านข้างทางเข้าหอประตู เท่ากับความยาวของหอประตู นี่เป็นพื้นหินตอนล่าง
มธ 27.51 และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน
มก 15.38 ขณะนั้นม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง
ยน 19.23 ครั้นพวกทหารตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแล้ว เขาทั้งหลายก็เอาฉลองพระองค์แบ่งออกเป็นสี่ส่วนให้ทหารทุกคนคนละส่วน และเอาฉลองพระองค์ชั้นในด้วย ฉลองพระองค์ชั้นในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอตั้งแต่บนตลอดล่าง

ล้าง ( 74 )
ปฐก 18.4 ข้าพเจ้าขอความกรุณาจากท่านยอมให้เอาน้ำนิดหน่อยมาล้างเท้าของท่าน และให้ท่านทั้งหลายพักใต้ต้นไม้เถิด
ปฐก 19.2 แล้วเขากล่าวว่า “ดูเถิด เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านโปรดกรุณาแวะไปบ้านผู้รับใช้ของท่าน ค้างแรมคืนนี้ ล้างเท้าของท่าน แล้วท่านจะได้ตื่นแต่เช้าเดินทางต่อไป” ทูตเหล่านั้นกล่าวว่า “อย่าเลย แต่พวกเราจะค้างแรมที่ถนนในคืนนี้”
ปฐก 24.32 ชายนั้นจึงเข้าไปในบ้าน ลาบันก็แก้อูฐของเขา ให้ฟางและอาหารสำหรับอูฐ ให้น้ำล้างเท้าเขาและคนที่มากับเขา
ปฐก 43.24 คนต้นเรือนพาคนเหล่านั้นเข้าไปในบ้านของโยเซฟ แล้วเอาน้ำให้เขา เขาก็ล้างเท้าและคนต้นเรือนจัดหญ้าฟางให้ลาเขากิน
ปฐก 43.31 โยเซฟล้างหน้าแล้วกลับออกมาแข็งใจกลั้นน้ำตาสั่งว่า “ยกอาหารมาเถิด”
อพย 29.17 จงชำแหละแกะตัวนั้นออกเป็นท่อนๆและเครื่องในกับขาจงล้างน้ำวางไว้กับเนื้อและหัว
อพย 30.18 “เจ้าจงทำขันทองสัมฤทธิ์และพานรองขันทองสัมฤทธิ์ด้วย สำหรับล้างชำระ จงตั้งขันนั้นไว้ระหว่างพลับพลาแห่งชุมนุมและแท่นบูชา แล้วจงตักน้ำใส่ไว้ในขันนั้น
อพย 30.19 ให้อาโรนและบุตรชายของเขาใช้ล้างมือและเท้า
อพย 30.21 จงให้เขาล้างมือและเท้าเพื่อจะมิได้ตาย และให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ประจำตัวเขา คืออาโรนกับเชื้อสายของเขาตลอดชั่วอายุของเขา”
อพย 40.12 แล้วจงนำอาโรน และบุตรชายของท่านมาที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม ใช้น้ำล้างชำระตัวเขาเสีย
อพย 40.31 โมเสสกับอาโรน และบุตรชายของท่าน ล้างมือและเท้าที่ขันนั้น
ลนต 1.9 แต่ให้เขาเอาน้ำล้างเครื่องในและขาสัตว์เสีย แล้วปุโรหิตจึงเผาของทั้งหมดบนแท่นเป็นเครื่องเผาบูชา เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 1.13 แต่เครื่องในกับขานั้นผู้ถวายบูชาจะล้างเสียด้วยน้ำ และให้ปุโรหิตเอาเครื่องทั้งหมดเหล่านี้เผาบูชาด้วยกันบนแท่น เป็นเครื่องเผาบูชา คือเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 6.28 จงทำลายภาชนะดินที่ใช้ต้มเนื้อนั้นเสีย ถ้าต้มในภาชนะทองสัมฤทธิ์ก็ให้ขัดและล้างเสียด้วยน้ำ
ลนต 8.21 เมื่อเอาน้ำล้างเครื่องในและขาแกะแล้ว โมเสสก็เผาแกะทั้งตัวบนแท่น เป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสส
ลนต 9.14 อาโรนจึงล้างเครื่องในและขาสัตว์และเผาเสียบนเครื่องเผาบูชาที่บนแท่นบูชา
ลนต 15.11 ผู้ที่มีสิ่งไหลออกแตะต้องผู้ใดด้วยมือที่มิได้ล้าง ผู้ถูกแตะต้องนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตัวและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
พบญ 13.5 แต่ผู้พยากรณ์หรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์คนนั้นต้องมีโทษถึงตาย เพราะว่าเขาได้สั่งสอนให้กบฏต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ผู้ทรงนำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ และทรงไถ่ท่านออกจากเรือนทาส เขากระทำให้ท่านทิ้งหนทางซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านบัญชาให้ท่านดำเนินตามเสีย ดังนั้นแหละท่านจะต้องล้างความชั่วเช่นนี้จากท่ามกลางท่าน
พบญ 21.6 และพวกผู้ใหญ่ทุกคนของเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดผู้ถูกฆ่านั้นจะล้างมือของเขาทั้งหลายเหนือวัวเมียซึ่งถูกหักคอที่ในหุบเขานั้น
วนฉ 19.21 เขาจึงพาชายคนนั้นเข้าไปในบ้าน เอาอาหารให้ลา ต่างก็ล้างเท้าของตน และรับประทานอาหารและดื่ม
1ซมอ 25.41 และนางก็ลุกขึ้นซบหน้าลงถึงดินกล่าวว่า “ดูเถิด หญิงผู้รับใช้ของท่านเป็นผู้รับใช้ที่จะล้างเท้าให้แก่ผู้รับใช้แห่งเจ้านายของดิฉัน”
2ซมอ 11.8 แล้วดาวิดรับสั่งอุรีอาห์ว่า “จงลงไปบ้านของเจ้า และล้างเท้าของเจ้าเสีย” อุรีอาห์ก็ออกไปจากพระราชวัง และมีคนนำของประทานจากกษัตริย์ตามไปให้
1พกษ 22.38 เขาล้างรถรบที่สระแห่งสะมาเรีย และสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ เขาได้ล้างเกราะของพระองค์ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์ได้ตรัส
2พกษ 5.13 แต่พวกข้าราชการของท่านเข้ามาใกล้และเรียนท่านว่า “คุณพ่อของข้าพเจ้า ถ้าท่านผู้พยากรณ์จะสั่งให้ท่านกระทำสิ่งใหญ่โตประการหนึ่ง ท่านจะไม่กระทำหรือ ถ้าเช่นนั้นเมื่อท่านผู้พยากรณ์กล่าวแก่ท่านว่า ‘จงไปล้างและสะอาดเถิด’ ควรท่านจะทำยิ่งขึ้นเท่าใด”
2พกษ 21.13 และเราจะเอาเชือกอย่างที่วัดกรุงสะมาเรียขึงเหนือกรุงเยรูซาเล็ม และใช้ลูกดิ่งอย่างที่วัดราชวงศ์อาหับ และเราจะล้างเยรูซาเล็มอย่างเขาล้างชาม ล้างและพลิกคว่ำ
2พศด 4.6 พระองค์ทรงทำขันสิบลูก วางอยู่ด้านขวาห้าลูก ด้านซ้ายห้าลูก เพื่อใช้ล้างของในนั้น เขาจะล้างของซึ่งใช้เป็นเครื่องเผาบูชาในนี้ ขันสาครนั้นสำหรับให้ปุโรหิตล้างในนั้น
โยบ 9.30 ถ้าข้าพระองค์ชำระตัวของข้าพระองค์ด้วยน้ำจากหิมะ และล้างมือของข้าพระองค์ด้วยน้ำด่าง
โยบ 29.6 เมื่อเขาล้างย่างเท้าของข้าด้วยนมข้น และก้อนหินเทธารน้ำมันออกให้ข้า
สดด 51.2 ขอทรงล้างข้าพระองค์จากความชั่วช้าให้หมดสิ้น และทรงชำระข้าพระองค์จากบาปของข้าพระองค์
สดด 51.7 ขอทรงชำระข้าพระองค์ด้วยต้นหุสบ ข้าพระองค์จึงจะสะอาด ขอทรงล้างข้าพระองค์และข้าพระองค์จะขาวกว่าหิมะ
สดด 58.10 คนชอบธรรมจะเปรมปรีดิ์ เมื่อเขาเห็นการแก้แค้น เขาจะเอาโลหิตของคนชั่วล้างเท้าของเขา
สดด 60.8 โมอับเป็นอ่างล้างชำระของเรา เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม เราโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย”
สดด 108.9 โมอับเป็นอ่างล้างชำระของเรา เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม เราโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย”
สภษ 6.33 เขาได้รับบาดแผลและความอัปยศ และจะล้างความขายหน้าของตนหาได้ไม่
พซม 5.3 ดิฉันเปลื้องเสื้อของดิฉันออกเสียแล้ว ดิฉันจะสวมกลับเข้าไปอีกอย่างไรได้ ดิฉันล้างเท้าของดิฉันแล้ว ทำไมจะให้เท้าของดิฉันกลับเปื้อนไปอีกเล่า
อสย 1.25 เราจะหันมือของเรามาสู้เจ้าและจะถลุงไล่ขี้แร่ของเจ้าออกเสียอย่างกับล้างด้วยน้ำด่าง และเอาของเจือปนของเจ้าออกให้หมด
อสย 4.4 ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงล้างความโสโครกของธิดาทั้งหลายของศิโยน และชำระรอยโลหิตของเยรูซาเล็มจากท่ามกลางเมืองนั้น ด้วยอานุภาพแห่งการพิพากษาและด้วยอานุภาพของการเผา
ยรม 4.14 โอ กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงล้างจิตใจของเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้าย เพื่อเจ้าจะรอดได้ ความคิดชั่วร้ายของเจ้านั้นจะสิงอยู่ในใจของเจ้านานสักเท่าใด
อสค 16.4 พูดถึงกำเนิดของเจ้า ในวันที่เจ้าเกิดมานั้นเขามิได้ตัดสายสะดือ และเขาก็มิได้ใช้น้ำล้างชำระเจ้า มิได้เอาเกลือถู มิได้เอาผ้าพันเจ้าไว้
อสค 16.9 และเราก็เอาเจ้าอาบน้ำ ล้างโลหิตเสียจากเจ้า และเจิมเจ้าด้วยน้ำมัน
อสค 40.38 มีห้องๆหนึ่งและมีทางเข้าอยู่ที่เสาของหอประตู เป็นที่ล้างเครื่องเผาบูชา
มธ 6.17 ฝ่ายท่านเมื่อถืออดอาหาร จงชโลมทาศีรษะและล้างหน้า
มธ 15.2 “ทำไมพวกสาวกของท่านจึงละเมิดประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ด้วยว่าเขามิได้ล้างมือเมื่อเขารับประทานอาหาร”
มธ 15.20 สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
มธ 27.24 เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะเกิดวุ่นวายขึ้น ท่านก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่ชน แล้วว่า “เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด”
มก 7.2 เมื่อเขาได้เห็นเหล่าสาวกของพระองค์บางคนรับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน คือมือที่ไม่ได้ล้างก่อน เขาก็ถือว่าผิด
มก 7.3 เพราะว่าพวกฟาริสีกับพวกยิวทั้งสิ้นถือตามประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษว่า ถ้ามิได้ล้างมือตามพิธีโดยเคร่งครัด เขาก็ไม่รับประทานอาหารเลย
มก 7.4 และเมื่อเขามาจากตลาด ถ้ามิได้ล้างก่อน เขาก็ไม่รับประทานอาหาร และธรรมเนียมอื่นๆอีกหลายอย่างเขาก็ถือ คือล้างถ้วย เหยือก ภาชนะทองสัมฤทธิ์ และโต๊ะ
มก 7.5 พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ดำเนินชีวิตตามประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารโดยมิได้ล้างมือเสียก่อน”
ลก 7.44 พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูผู้หญิงนั้น และตรัสแก่ซีโมนว่า “ท่านเห็นผู้หญิงนี้หรือ เราได้เข้ามาในบ้านของท่าน ท่านมิได้ให้น้ำล้างเท้าของเรา แต่นางได้เอาน้ำตาชำระเท้าของเรา และได้เอาผมของตนเช็ด
ลก 11.38 ฝ่ายคนฟาริสีเมื่อเห็นพระองค์มิได้ทรงล้างก่อนเสวยก็ประหลาดใจ
ยน 9.7 แล้วตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างออกเสียในสระสิโลอัมเถิด” (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับเห็นได้
ยน 9.11 เขาตอบว่า “ชายคนหนึ่งชื่อเยซู ได้ทำโคลนทาตาของข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างออกเสีย’ ข้าพเจ้าก็ได้ไปล้างตาจึงมองเห็นได้”
ยน 9.15 พวกฟาริสีก็ได้ถามเขาอีกว่า ทำอย่างไรตาเขาจึงมองเห็น เขาบอกคนเหล่านั้นว่า “เขาเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ล้างออกแล้วจึงมองเห็น”
ยน 13.5 แล้วก็ทรงเทน้ำลงในอ่าง และทรงตั้งต้นเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น
ยน 13.6 แล้วพระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร และเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ”
ยน 13.8 เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้”
ยน 13.9 ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า มิใช่แต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอทรงโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย”
ยน 13.10 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคน”
ยน 13.12 เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าเขาทั้งหลายแล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์ และเอนพระกายลงอีกตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายเข้าใจในสิ่งที่เราได้กระทำแก่ท่านหรือ
ยน 13.14 ฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ของท่าน ได้ล้างเท้าของพวกท่าน พวกท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย
กจ 16.33 ในกลางคืนชั่วโมงเดียวกันนั้นเอง นายคุกจึงพาเปาโลกับสิลาสไปล้างแผลที่ถูกเฆี่ยน และในขณะนั้นนายคุกก็ได้รับบัพติศมาพร้อมทั้งครัวเรือนของเขา
1ทธ 5.10 และจะต้องเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าได้กระทำดี เช่นได้เอาใจใส่เลี้ยงดูลูก ได้มีน้ำใจรับรองแขก ได้ล้างเท้าวิสุทธิชน ได้สงเคราะห์คนที่มีความทุกข์ยาก และได้บำเพ็ญคุณความดีทุกอย่าง
ฮบ 10.22 ก็ให้เราเข้ามาใกล้ด้วยใจจริง ด้วยความเชื่ออันเต็มเปี่ยม มีใจที่ถูกประพรมชำระพ้นจากการวินิจฉัยผิดและชอบที่ชั่วร้าย และมีกายล้างชำระด้วยน้ำอันใสบริสุทธิ์

ล้างผลาญ ( 17 )
ปฐก 41.30 หลังจากนั้นจะบังเกิดการกันดารอาหารอีกเจ็ดปี จนจะลืมความอุดมสมบูรณ์ในประเทศอียิปต์เสีย การกันดารอาหารจะล้างผลาญแผ่นดิน
อสธ 7.4 เพราะพวกเราถูกขายทั้งหม่อมฉันและชนชาติของหม่อมฉันให้ถูกทำลาย ให้ถูกสังหารและให้ถูกล้างผลาญ แต่ถ้าพวกเราถูกขายเพียงให้เป็นทาสชายและหญิง หม่อมฉันก็จะอดกลั้นสงบไว้ เพราะความทุกข์ยากของเราจะเปรียบกับผลเสียหายของกษัตริย์นั้นก็ไม่ได้”
อสธ 8.11 ตามจดหมายเหล่านี้กษัตริย์ทรงอนุญาตให้พวกยิวผู้อยู่ในทุกเมืองชุมนุมกันและป้องกันชีวิตของตน ให้ทำลาย ให้สังหารและให้ล้างผลาญกำลังพลใดๆของประชาชนหรือมณฑลใดๆซึ่งจะมาทำร้าย ทั้งเด็กและผู้หญิง และปล้นเอาข้าวของของเขา
อสธ 9.24 เพราะฮามานบุตรชายฮัมเมดาธา คนอากัก ศัตรูของพวกยิวทั้งปวง ได้ปองร้ายต่อพวกยิวเพื่อทำลายเขา ได้ทอดเปอร์ คือสลาก เพื่อล้างผลาญและทำลายเขา
สดด 71.13 ขอให้ศัตรูชีวิตของข้าพระองค์รับความอายและถูกล้างผลาญเสีย ผู้เสาะหาที่จะทำอันตรายข้าพระองค์นั้น ขอให้การเยาะเย้ยและความอัปยศท่วมเขา
สดด 137.8 โอ ธิดาแห่งบาบิโลนเอ๋ย ซึ่งจะต้องล้างผลาญเสีย ความสุขจงมีแก่ผู้ที่สนองเจ้าให้สมกับที่เจ้าได้กระทำกับเรา
สภษ 5.11 และถึงบั้นปลายชีวิตของเจ้า เจ้าครวญคราง เมื่อเนื้อและกายของเจ้าถูกล้างผลาญ
อสย 1.28 แต่พวกละเมิดและพวกคนบาปจะถูกทำลายด้วยกัน และบรรดาคนเหล่านั้นที่ละทิ้งพระเยโฮวาห์จะถูกล้างผลาญ
ยรม 5.3 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเนตรของพระองค์ทรงหาความจริงมิใช่หรือ พระองค์ทรงเฆี่ยนตีเขาทั้งหลาย แต่เขาก็ไม่รู้สึกสำนึก พระองค์ทรงล้างผลาญเขา แต่เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่ยอมดีขึ้น เขาได้กระทำให้หน้าของเขากระด้างยิ่งกว่าหิน เขาปฏิเสธไม่ยอมกลับใจ
ยรม 27.8 แต่ต่อมาถ้าประชาชาติใด หรือราชอาณาจักรใด จะไม่ปรนนิบัติเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนคนนี้ และไม่ยอมวางคอไว้ใต้แอกของกษัตริย์บาบิโลน เราจะลงโทษประชาชาตินั้นด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ จนกว่าเราจะล้างผลาญเสียด้วยมือของเขา
ดนล 11.44 แต่ข่าวจากทิศตะวันออกและทิศเหนือจะกระทำให้เขาตกใจ และเขาจะยกออกไปด้วยความเคียดแค้นอย่างยิ่ง ที่จะทำลายและล้างผลาญคนเป็นอันมากเสียให้สิ้นเชิง
อมส 2.9 เรายังได้ล้างผลาญคนอาโมไรต์ตรงหน้าเขา ซึ่งส่วนสูงของเขาเหมือนอย่างความสูงของต้นสนสีดาร์ และเป็นผู้ที่แข็งแรงอย่างกับต้นโอ๊ก เราทำลายผลข้างบนของเขาเสีย และทำลายรากข้างล่างของเขาเสีย
ศคย 9.15 พระเยโฮวาห์จอมโยธาจะพิทักษ์รักษาเขาทั้งหลายไว้ และเขาทั้งหลายจะล้างผลาญและเหยียบลงด้วยนักยิงสลิงลง และจะดื่มและทำเสียงอึกทึกเพราะเหตุเหล้าองุ่น และจะอิ่มเหมือนชาม เปียกเหมือนมุมแท่นบูชา
ลก 17.27 เขาได้กินและดื่ม ได้สมรสกันและได้ยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันนั้นที่โนอาห์ได้เข้าในนาวา และน้ำได้มาท่วมล้างผลาญเขาเสียทั้งสิ้น
กจ 13.19 เมื่อพระองค์ได้ทรงล้างผลาญชนเจ็ดชาติออกเสียจากแผ่นดินคานาอันแล้ว พระองค์ก็ทรงแบ่งแผ่นดินของชนชาติเหล่านั้นให้เขาโดยการจับสลาก
2คร 11.20 เพราะท่านทนเอา ถ้ามีผู้นำท่านไปเป็นทาส ถ้ามีผู้ล้างผลาญท่าน ถ้ามีผู้มายึดของของท่านไป ถ้ามีผู้ยกตัวเองเป็นใหญ่ ถ้ามีผู้ตบหน้าท่าน
วว 6.8 แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าสีกะเลียวตัวหนึ่ง ผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้นมีชื่อว่าความตาย และนรกก็ติดตามเขามาด้วย และได้ให้ทั้งสองนี้มีอำนาจล้างผลาญแผ่นดินโลกได้หนึ่งในสี่ส่วน ด้วยดาบ ด้วยความอดอยาก ด้วยความตาย และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน

ลาชา ( 1 )
ปฐก 10.19 เขตแดนของคนคานาอันจากเมืองไซดอน ไปทางเมืองเก-ราร์ จนถึงเมืองกาซา ไปทางเมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ เมืองอัดมาห์ และเมืองเศโบยิมจนถึงเมืองลาชา

ล่าช้า ( 6 )
อพย 32.1 เมื่อพลไพร่เห็นโมเสสล่าช้าอยู่ ไม่ลงมาจากภูเขาจึงได้พากันมาหาอาโรน เรียนว่า “ลุกขึ้น ขอท่านสร้างพระให้แก่พวกข้าพเจ้า ซึ่งจะนำพวกข้าพเจ้าไป ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำข้าพเจ้าออกมาจากประเทศอียิปต์เป็นอะไรไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
2ซมอ 20.5 อามาสาก็ออกไประดมคนยูดาห์ แต่เขาก็ทำงานล่าช้าเกินกำหนดที่พระองค์รับสั่งไว้
สดด 119.60 ข้าพระองค์เร่งรีบไม่ล่าช้าที่จะรักษาพระบัญญัติของพระองค์
อสค 12.25 แต่เราคือพระเยโฮวาห์จะพูดคำที่เราจะพูด และจะต้องเป็นไปตามคำนั้น จะไม่ล่าช้าต่อไปอีก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า โอ วงศ์วานที่มักกบฏเอ๋ย ในสมัยของเจ้านี่แหละ เราจะลั่นวาจาและจะกระทำตามนั้น’”
อสค 12.28 เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไปเลย แต่วาจาที่เราลั่นออกมานั้นจะต้องเป็นไปจริง องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
ฮบก 2.3 เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาที่กำหนดไว้ แต่ในที่สุด มันก็จะกล่าวออกมา มันไม่มุสา ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก

ลาชาโรน ( 1 )
ยชว 12.18 กษัตริย์เมืองอาเฟกองค์หนึ่ง กษัตริย์เมืองลาชาโรนองค์หนึ่ง

ลาซารัส ( 21 )
ลก 16.20 และมีคนขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัส เป็นแผลทั้งตัว นอนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านของเศรษฐี
ลก 16.23 แล้วเมื่ออยู่ในนรกเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน
ลก 16.24 เศรษฐีจึงร้องว่า ‘อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้’
ลก 16.25 แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม แต่เจ้าได้รับความทุกข์ทรมาน
ลก 16.27 เศรษฐีนั้นจึงว่า ‘บิดาเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นขอท่านใช้ลาซารัสไปยังบ้านบิดาของข้าพเจ้า
ลก 16.28 เพราะว่าข้าพเจ้ามีพี่น้องห้าคน ให้ลาซารัสเป็นพยานแก่เขา เพื่อมิให้เขามาถึงที่ทรมานนี้’
ยน 11.1 มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นเมืองที่มารีย์และมารธาพี่สาวของเธออยู่นั้น
ยน 11.2 (มารีย์ผู้นี้คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมองค์พระผู้เป็นเจ้า และเอาผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ ลาซารัสน้องชายของเธอกำลังป่วยอยู่)
ยน 11.5 พระเยซูทรงรักมารธาและน้องสาวของเธอและลาซารัส
ยน 11.6 ดังนั้นครั้นพระองค์ทรงได้ยินว่าลาซารัสป่วยอยู่ พระองค์ยังทรงพักอยู่ที่ที่พระองค์ทรงอยู่นั้นอีกสองวัน
ยน 11.11 พระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงตรัสกับเขาว่า “ลาซารัสสหายของเราหลับไปแล้ว แต่เราไปเพื่อจะปลุกเขาให้ตื่น”
ยน 11.13 แต่พระเยซูตรัสถึงความตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน
ยน 11.14 ฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเขาตรงๆว่า “ลาซารัสตายแล้ว
ยน 11.17 ครั้นพระเยซูเสด็จมาถึงก็ทรงทราบว่า เขาเอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว
ยน 11.43 เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว จึงเปล่งพระสุรเสียงตรัสว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด”
ยน 12.1 แล้วก่อนปัสกาหกวันพระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัส ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้ฟื้นขึ้นจากตาย
ยน 12.2 ที่นั่นเขาจัดงานเลี้ยงอาหารเย็นแก่พระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขาที่เอนกายลงรับประทานกับพระองค์
ยน 12.9 ฝ่ายพวกยิวเป็นอันมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่พระเยซูเท่านั้น แต่อยากเห็นลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้ฟื้นขึ้นมาจากตายด้วย
ยน 12.10 แต่พวกปุโรหิตใหญ่จึงปรึกษากันจะฆ่าลาซารัสเสียด้วย
ยน 12.11 เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิวหลายคนออกจากพวกเขา และไปเชื่อพระเยซู
ยน 12.17 เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงซึ่งได้อยู่กับพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงเรียกลาซารัสให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และทรงให้เขาฟื้นขึ้นมาจากความตาย ก็เป็นพยานในสิ่งเหล่านี้

ลาเซีย ( 1 )
กจ 27.8 เมื่อเรือแล่นเลียบฝั่งเกาะนั้นอย่างยากเย็น เราจึงมายังตำบลหนึ่งชื่อว่า ท่างาม เมืองลาเซียอยู่ใกล้ที่นั่น

ลาด ( 3 )
อสธ 1.6 มีผ้าม่านฝ้ายสีขาวและสีม่วงคล้ำ มีสายป่านและเชือกขนแกะสีม่วงคล้องห่วงเงินและเสาหินอ่อน ทั้งเตียงทองคำและเงินบนพื้นลาดปูนฝังหินแดง หินอ่อน มุกดา และหินอ่อนสีดำ
พซม 4.1 ที่รักของฉันเอ๋ย ดูเถิด เธอช่างสวยงาม ดูซี เธอสวยงาม ดวงตาของเธอดังนกเขาอยู่ในผ้าคลุม ผมของเธอดุจฝูงแพะที่เคลื่อนมาตามเนินลาดภูเขากิเลอาด
พซม 6.5 ขอเบือนเนตรไปจากฉันเถอะ เพราะว่าฉันแพ้นัยน์ตาของเธอแล้ว ผมของน้องดุจฝูงแพะที่เคลื่อนมาตามเนินลาดภูเขากิเลอาด

ลาดตระเวน ( 2 )
พซม 3.3 พวกพลตระเวนที่ลาดตระเวนในเมืองนั้นได้พบดิฉัน แล้วดิฉันถามเขาว่า “ท่านเห็นเขาผู้นั้นที่ดวงใจของดิฉันรักใคร่ไหม”
พซม 5.7 พลตระเวนที่ลาดตระเวนในเมืองได้พบดิฉัน เขาตีดิฉัน เขาทำให้ดิฉันบาดเจ็บ พลตระเวนรักษากำแพงเมืองฉกชิงเอาผ้าคลุมตัวจากดิฉันไป

ลาดาน ( 8 )
1พศด 7.26 บุตรชายของทาหานคือลาดาน บุตรชายของลาดานคืออัมมีฮูด บุตรชายของอัมมีฮูดคือเอลีชามา
1พศด 23.7 จากคนเกอร์โชมคือลาดานและชิเมอี
1พศด 23.8 บุตรชายของลาดานคือ เยฮีเอลผู้เป็นหัวหน้า และเศธาม และโยเอล สามคน
1พศด 23.9 บุตรชายของชิเมอีคือ เชโลมิท ฮาซีเอล และฮาราน สามคน คนเหล่านี้เป็นประมุขของบรรพบุรุษลาดาน
1พศด 26.21 ลูกหลานของลาดานคือ ลูกหลานของคนเกอร์โชน ที่เป็นบุตรชายของลาดาน บรรดาหัวหน้าของลาดาน คนเกอร์โชนคือ เยฮีเอลี

ลาติน ( 2 )
ลก 23.38 และมีคำเขียนไว้เหนือพระองค์ด้วยเป็นอักษรกรีก ลาติน และฮีบรูว่า “ผู้นี้เป็นกษัตริย์ของพวกยิว”
ยน 19.20 พวกยิวเป็นอันมากจึงได้อ่านคำประจานนี้ เพราะที่ซึ่งเขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่ใกล้กับกรุง และคำนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ภาษากรีก และภาษาลาติน

ล่าถอย ( 1 )
วนฉ 20.36 ดังนั้นคนเบนยามินจึงเห็นว่าเขาแพ้แล้ว คนอิสราเอลทำเป็นล่าถอยต่อเบนยามิน เพราะเขาวางใจคนที่เขาให้ซุ่มอยู่รอบเมืองกิเบอาห์

ลาน ( 135 )
ปฐก 50.10 เขาก็พากันมาถึงลานนวดข้าวแห่งอาทาด ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ที่นั้นเขาร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก โยเซฟก็ไว้ทุกข์ให้บิดาเจ็ดวัน
ปฐก 50.11 เมื่อชาวแผ่นดินนั้นคือคนคานาอันได้เห็นการไว้ทุกข์ที่ลานอาทาด เขาจึงพูดกันว่า “นี่เป็นการไว้ทุกข์ใหญ่ของชาวอียิปต์” เหตุฉะนั้นเขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า อาเบลมิสราอิม ตำบลนั้นอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
อพย 27.9 เจ้าจงสร้างลานพลับพลา ให้รั้วด้านใต้มีผ้าบังลานนั้นทำด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียดยาวหนึ่งร้อยศอก
อพย 27.12 ตามส่วนกว้างของลานด้านตะวันตก ให้มีผ้าบังยาวห้าสิบศอก กับเสาสิบต้น และฐานรองรับเสาสิบฐาน
อพย 27.13 ส่วนกว้างของลานด้านตะวันออก ให้ยาวห้าสิบศอก
อพย 27.16 ให้มีผ้าบังตาที่ประตูลานยาวยี่สิบศอก ผ้าสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อละเอียด ประกอบด้วยฝีมือของช่างด้ายสี กับเสาสี่ต้นและฐานรองรับเสาสี่ฐาน
อพย 27.17 เสาล้อมรอบลานทั้งหมด ให้มีราวสำหรับยึดเสาให้ติดต่อกันทำด้วยเงิน และให้ทำขอด้วยเงิน ฐานรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 27.18 ด้านยาวของลานนั้นจะเป็นร้อยศอก ด้านกว้างห้าสิบศอก สูงห้าศอก กั้นด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด และมีฐานทองสัมฤทธิ์
อพย 27.19 เครื่องใช้สอยทั้งปวงของพลับพลาพร้อมทั้งหลักหมุดของพลับพลา กับหลักหมุดสำหรับรั้วที่กั้นลานทั้งหมด ให้ทำด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 35.17 ผ้าม่านสำหรับกั้นลานพลับพลากับเสา และฐานรองรับเสา และผ้าม่านสำหรับประตูลาน
อพย 35.18 หลักหมุดสำหรับพลับพลา และหลักหมุดสำหรับลานพลับพลาพร้อมกับเชือก
อพย 38.9 และเขาทำลานไว้ด้วย ให้รั้วด้านใต้มีผ้าบัง ทำด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด ยาวร้อยศอก
อพย 38.16 ผ้าบังลานโดยรอบนั้นทำด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด
อพย 38.17 ฐานรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขอติดเสาและราวยึดเสาเป็นเงิน และบัวคว่ำของเสานั้นหุ้มด้วยเงิน และเสาทุกต้นของลานมีราวยึดเสาทำด้วยเงิน
อพย 38.18 ม่านบังตาที่ประตูลานนั้นปักด้วยฝีมือของช่างปัก เป็นสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อละเอียด ยาวยี่สิบศอก สูงห้าศอก เสมอกับผ้าบังลาน
อพย 38.20 หลักหมุดทุกหลักของพลับพลาและของลานรอบพลับพลานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 38.31 ทำฐานล้อมรอบลานและฐานที่ประตูลาน หลักหมุดทั้งหมดของพลับพลาและหลักหมุดรอบลานนั้น
อพย 39.40 ม่านบังลาน เสากับฐานรองรับ ผ้าบังตาประตูลาน เชือกและหลักหมุดสำหรับลาน และเครื่องใช้ทั้งหมดของการปรนนิบัติที่พลับพลา สำหรับเต็นท์แห่งชุมนุม
อพย 40.8 จงตั้งข้างฝาลานไว้รอบพลับพลา และติดม่านบังตาไว้ที่ประตูลานนั้น
อพย 40.33 ท่านกั้นบริเวณลานรอบพลับพลาและแท่นนั้น แล้วกั้นม่านบังตาที่ตรงประตูลาน โมเสสก็จัดการนั้นให้เสร็จสิ้นไปทุกประการ
ลนต 6.16 ส่วนที่เหลืออยู่ให้อาโรนและบุตรชายของเขารับประทาน ให้รับประทานกับขนมปังไร้เชื้อในที่บริสุทธิ์ ให้รับประทานในลานของพลับพลาแห่งชุมนุม
ลนต 6.26 ให้ปุโรหิตผู้ถวายเครื่องบูชาไถ่บาปรับประทานสัตว์นั้น ให้เขารับประทานในที่บริสุทธิ์ ในลานพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 3.26 ม่านบังลานและม่านประตูลาน ซึ่งอยู่รอบพลับพลาและแท่นบูชา รวมทั้งเชือกโยงทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
กดว 3.37 และเสารอบลาน พร้อมกับฐานรอง หลักหมุดและเชือกโยง
กดว 4.26 และม่านบังลาน และม่านทางเข้าประตูลานซึ่งอยู่รอบพลับพลาและแท่นบูชา และเชือกโยง และเครื่องใช้สอยทั้งสิ้น เขาจะต้องกระทำงานที่ควรกระทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
กดว 4.32 เสารอบลานพร้อมกับฐานรอง หลักหมุดและเชือกโยง เครื่องใช้และเครื่องประกอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เจ้าจงกำหนดชื่อสิ่งของที่เขาต้องหาม
กดว 15.20 จงเอาแป้งเปียกผลแรกทำขนมก้อนหนึ่งถวายเป็นเครื่องบูชา เป็นเครื่องบูชาที่ได้จากลานนวดข้าว เจ้าจงถวายเช่นว่านี้
กดว 18.27 และส่วนถวายของเจ้านั้นจะนับเหมือนหนึ่งเป็นพืชที่ได้มาจากลานนวดข้าว และเหมือนส่วนที่เต็มเปี่ยมจากบ่อย่ำองุ่น
กดว 18.30 ฉะนั้นเจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘เมื่อเจ้าได้ถวายส่วนที่ดีที่สุดแล้ว ให้คนเลวีนับส่วนที่เหลืออยู่เป็นเหมือนหนึ่งพืชที่ได้มาจากลานนวดข้าวและเป็นผลได้จากบ่อย่ำองุ่น
กดว 22.3 ทั้งโมอับก็ครั่นคร้ามต่อชนชาตินั้นนักหนา เพราะเขามีคนมากด้วยกัน โมอับกลัวคนอิสราเอลลานทีเดียว
พบญ 15.14 ท่านจงมีใจกว้างขวางจัดของให้แก่เขา เป็นของจากฝูงแพะแกะของท่าน จากลานนวดข้าวของท่าน และจากบ่อย่ำองุ่นของท่าน ท่านจงให้แก่เขาตามสมควรตามที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน
พบญ 16.13 ท่านจงถือเทศกาลอยู่เพิงเจ็ดวัน เมื่อท่านเก็บรวบรวมพืชผลของท่านจากลานนวดข้าวและจากบ่อย่ำองุ่นของท่านแล้ว
ยชว 14.4 เพราะว่าลูกหลานของโยเซฟมีสองตระกูล คือมนัสเสห์และเอฟราอิม และพวกเลวีหาได้มีส่วนแบ่งในแผ่นดินนั้นไม่ ได้แต่หัวเมืองที่จะเข้าอาศัยอยู่ กับลานทุ่งหญ้ารอบเมืองสำหรับฝูงสัตว์และทรัพย์สินของเขาเท่านั้น
วนฉ 6.37 ดูเถิด ข้าพระองค์ได้วางกลุ่มขนแกะไว้ที่ลานนวดข้าว แม้มีน้ำค้างเฉพาะที่กลุ่มขนแกะเท่านั้น ส่วนที่พื้นดินโดยรอบนั้นแห้ง ข้าพระองค์ก็จะทราบว่า พระองค์จะทรงช่วยอิสราเอลให้พ้นด้วยมือของข้าพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสนั้น”
นรธ 3.2 โบอาสผู้ที่เจ้าไปกับพวกสาวใช้ของเขานั้น เป็นญาติของเรามิใช่หรือ ดูเถิด คืนวันนี้เขาจะซัดข้าวบาร์เลย์ที่ลานนวดข้าว
นรธ 3.3 จงอาบน้ำ ทาน้ำมันสวมเครื่องแต่งกายแล้วลงไปที่ลานนวดข้าว แต่อย่าให้ท่านเห็นตัวจนกว่าท่านจะรับประทานและดื่มเสร็จแล้ว
นรธ 3.6 ดังนั้นนางจึงลงไปยังลานนวดข้าว และกระทำตามที่แม่สามีบอกทุกอย่าง
นรธ 3.14 ดังนั้นนางจึงนอนอยู่ที่เท้าของท่านจนรุ่งเช้า แต่นางลุกขึ้นก่อนคนจะจำหน้ากันได้ เพราะท่านคิดว่า “อย่าให้ใครทราบว่ามีผู้หญิงมาที่ลานนวดข้าว”
1ซมอ 23.1 แล้วพวกเขาบอกดาวิดว่า “ดูเถิด คนฟีลิสเตียกำลังรบเมืองเคอีลาห์อยู่และปล้นเอาข้าวที่ลาน”
2ซมอ 6.6 และเมื่อมาถึงลานนวดข้าวของนาโคน อุสซาห์ก็เหยียดมือออกจับหีบของพระเจ้าไว้เพราะวัวสะดุด
2ซมอ 17.18 แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเห็นเขาทั้งสอง จึงไปทูลอับซาโลม เขาทั้งสองก็รีบไปโดยเร็วจนถึงบ้านชายคนหนึ่งที่บาฮูริม เขามีบ่อน้ำอยู่ที่ลานบ้าน เขาทั้งสองจึงลงไปอยู่ในบ่อนั้น
2ซมอ 24.16 และเมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือออกเหนือกรุงเยรูซาเล็มจะทำลายเมืองนั้น พระเยโฮวาห์ทรงกลับพระทัยในเหตุร้ายนั้น ตรัสสั่งทูตสวรรค์ผู้กำลังทำลายประชาชนว่า “พอแล้ว ยับยั้งมือของเจ้าได้” ส่วนทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็อยู่ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส
2ซมอ 24.18 ในวันนั้นกาดก็เข้ามาเฝ้าดาวิด กราบทูลพระองค์ว่า “ขอเสด็จขึ้นไปสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์บนลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส”
2ซมอ 24.21 และอาราวนาห์กราบทูลว่า “ไฉนกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์จึงเสด็จมาหาผู้รับใช้ของพระองค์” ดาวิดตรัสว่า “มาซื้อลานนวดข้าวจากท่าน เพื่อจะสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์ เพื่อโรคร้ายจะได้ระงับเสียจากประชาชน”
2ซมอ 24.24 แต่กษัตริย์ตรัสกับอาราวนาห์ว่า “หามิได้ แต่เราจะขอเสียเงินซื้อจากท่าน เราจะถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราโดยที่เราไม่เสียค่าอะไรเลยนั้นไม่ได้” ดาวิดจึงทรงซื้อลานนวดข้าวกับวัวเป็นเงินห้าสิบเชเขล
1พกษ 6.36 พระองค์ทรงสร้างลานภายในด้วยกำแพงหินสกัดสามชั้น และด้วยไม้สนสีดาร์ชั้นหนึ่ง
1พกษ 7.8 พระราชวังของพระองค์ซึ่งพระองค์จะทรงประทับอยู่นั้นมีลานอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ภายในท้องพระโรง ก็กระทำด้วยฝีมือช่างอย่างเดียวกัน ซาโลมอนได้ทรงสร้างวังเหมือนท้องพระโรงนี้สำหรับราชธิดาของฟาโรห์ ซึ่งพระองค์ทรงได้มาเป็นมเหสี
1พกษ 7.9 ทั้งสิ้นเหล่านี้สร้างด้วยหินอันมีค่า สกัดออกมาตามขนาด ใช้เลื่อย เลื่อยทั้งด้านหลังและด้านหน้า ตั้งแต่ฐานถึงยอดผนัง และมีตั้งแต่ข้างนอกถึงลานใหญ่
1พกษ 7.12 กำแพงลานใหญ่มีหินสกัดสามชั้นโดยรอบ และไม้สนสีดาร์ชั้นหนึ่ง ลานชั้นในของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็มีเหมือนกัน ทั้งมุขพระนิเวศด้วย
1พกษ 8.64 ในวันเดียวกันนั้นกษัตริย์ทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลาน ซึ่งอยู่หน้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เพราะว่าที่นั่นพระองค์ได้ถวายเครื่องเผาบูชา และธัญญบูชา และส่วนไขมันของสันติบูชา เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์นั้นเล็กเกินไป ไม่พอรับเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชา และส่วนไขมันของสันติบูชา
2พกษ 6.27 พระองค์ตรัสว่า “ถ้าพระเยโฮวาห์มิได้ทรงช่วยเจ้า เราจะช่วยเจ้าได้จากไหน จากลานนวดข้าวหรือจากบ่อย่ำองุ่นหรือ”
2พกษ 18.17 และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้รับสั่งให้ทารทาน รับสารีสและรับชาเคห์ไปพร้อมกับกองทัพใหญ่จากเมืองลาคีชถึงกรุงเยรูซาเล็มเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ เขาก็ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อเขาขึ้นมาเขาก็มายืนอยู่ทางรางระบายน้ำสระบน ซึ่งอยู่ที่ถนนลานซักฟอก
2พกษ 20.4 และอยู่มาก่อนที่อิสยาห์จะออกไปถึงลาน พระวจนะของพระเยโฮวาห์มาถึงท่านว่า
2พกษ 21.5 และพระองค์ได้สร้างแท่นบูชาสำหรับบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ในลานทั้งสองของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์
2พกษ 23.12 และแท่นบนหลังคาห้องชั้นบนของอาหัส ซึ่งบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ได้สร้างไว้ และแท่นบูชาซึ่งมนัสเสห์ได้สร้างไว้ในลานทั้งสองของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ กษัตริย์ทรงดึงลงมาให้หักเสียที่นั่น และทรงเหวี่ยงผงคลีของมันลงไปในลำธารขิดโรน
1พศด 13.9 และเมื่อเขาทั้งหลายมาถึงลานนวดข้าวของคิโดน อุสซาห์ก็เหยียดมือออกกุมหีบไว้เพราะวัวสะดุด
1พศด 21.15 และพระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ไปยังเยรูซาเล็มเพื่อจะทำลายเสีย แต่เมื่อท่านจะลงมือทำลาย พระเยโฮวาห์ทรงทอดพระเนตร และพระองค์ทรงกลับพระทัยในเหตุร้ายนั้น และพระองค์ตรัสกับทูตสวรรค์ผู้ทำลายนั้นว่า “พอแล้ว ยับยั้งมือของเจ้าได้” ส่วนทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็กำลังยืนอยู่ที่ลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส
1พศด 21.18 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ได้บัญชาให้กาดทูลดาวิดว่า ให้ดาวิดขึ้นไปสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์ที่ลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส
1พศด 21.21 เมื่อดาวิดเสด็จมายังโอรนัน โอรนันมองเห็นดาวิด และออกไปจากลานนวดข้าวถวายบังคมดาวิดด้วยซบหน้าลงถึงดิน
1พศด 21.22 และดาวิดตรัสกับโอรนันว่า “จงให้ที่ลานนวดข้าวแก่เราเถิด เพื่อเราจะสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์บนนั้น จงให้แก่เราตามราคาเต็ม เพื่อว่าโรคระบาดนั้นจะได้ระงับเสียจากประชาชน”
1พศด 21.28 ครั้งนั้น เมื่อดาวิดทรงเห็นว่าพระเยโฮวาห์ทรงตอบพระองค์ที่ลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส พระองค์ก็ทรงถวายสัตวบูชาที่นั่น
1พศด 23.28 แต่หน้าที่ของเขาจะต้องคอยช่วยบุตรชายของอาโรนในงานปรนนิบัติพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ มีงานดูแลลานและห้องและงานชำระของทุกอย่างที่บริสุทธิ์ และงานใดๆซึ่งเป็นงานปรนนิบัติของพระนิเวศแห่งพระเจ้า
1พศด 28.6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ซาโลมอนบุตรชายของเจ้าจะสร้างนิเวศของเราและลานนิเวศของเรา เพราะเราได้เลือกเขาให้เป็นลูกของเรา และเราจะเป็นพ่อของเขา
1พศด 28.12 และแผนผังทั้งสิ้นซึ่งพระองค์มีอยู่ในพระทัย ในเรื่องลานของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และบรรดาห้องระเบียงรอบ และคลังสำหรับพระนิเวศของพระเจ้า และคลังสำหรับบรรดาของถวาย
2พศด 3.1 แล้วซาโลมอนทรงเริ่มสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ที่กรุงเยรูซาเล็มบนภูเขาโมริยาห์ ที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปรากฏแก่ดาวิดราชบิดาของพระองค์ ตรงที่ซึ่งดาวิดทรงกำหนดไว้ที่ลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส
2พศด 4.9 พระองค์ทรงสร้างลานแห่งปุโรหิต และลานใหญ่ และประตูลาน และทรงบุประตูนั้นด้วยทองสัมฤทธิ์
2พศด 6.13 เพราะซาโลมอนได้ทรงสร้างแท่นทองสัมฤทธิ์ ยาวห้าศอก กว้างห้าศอก สูงสามศอก และทรงตั้งไว้กลางลาน และพระองค์ทรงประทับอยู่บนนั้น แล้วพระองค์ทรงคุกเข่าลงต่อหน้าชุมนุมอิสราเอลทั้งปวง และกางพระหัตถ์ของพระองค์สู่ฟ้าสวรรค์
2พศด 7.7 และซาโลมอนทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลานซึ่งอยู่ข้างหน้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ให้เป็นส่วนบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงถวายเครื่องเผาบูชาและไขมันของเครื่องสันติบูชาที่นั่น เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งซาโลมอนทรงสร้างไว้นั้น ไม่พอจุเครื่องเผาบูชา เครื่องธัญญบูชาและไขมัน
2พศด 20.5 และเยโฮชาฟัทประทับยืนอยู่ในที่ประชุมของยูดาห์และเยรูซาเล็ม ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ข้างหน้าลานใหม่
2พศด 23.5 และหนึ่งในสามให้อยู่ที่พระราชสำนัก และหนึ่งในสามให้อยู่ที่ประตูเชิงราก และให้ประชาชนทั้งปวงอยู่ในลานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พศด 24.21 แต่เขาทั้งหลายคิดร้ายต่อท่าน และโดยบัญชาของกษัตริย์เขาทั้งหลายจึงขว้างท่านด้วยหินในลานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พศด 29.16 ปุโรหิตได้เข้าไปในส่วนข้างในของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์เพื่อชำระให้บริสุทธิ์ และเขานำสิ่งสกปรกที่เขาพบในพระวิหารของพระเยโฮวาห์ออกมาที่ลานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และคนเลวีก็ขนเอาของนั้นออกไปยังลำธารขิดโรน
2พศด 33.5 และพระองค์ได้ทรงสร้างแท่นบูชาสำหรับบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ในลานทั้งสองแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
นหม 3.25 ปาลาลบุตรชายอุซัยได้ซ่อมแซมที่ตรงข้ามกับมุมหักของกำแพง และหอคอยที่ยื่นจากพระราชวังหลังบนที่ลานทหารรักษาพระองค์ ถัดเขาไปคือ เปดายาห์บุตรชายปาโรช
นหม 8.16 ประชาชนจึงออกไป เอากิ่งไม้เหล่านั้นมาและทำเพิงสำหรับตัวต่างอยู่บนหลังคาบ้านของตน และตามลานบ้านของตน และในลานพระนิเวศของพระเจ้า และในถนนที่ประตูน้ำ และในถนนที่ประตูเอฟราอิม
อสธ 1.5 เมื่อวันเหล่านี้ผ่านพ้นไปแล้ว กษัตริย์ทรงจัดการเลี้ยงแก่บรรดาประชาชนผู้อยู่ในสุสาปราสาท ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย นานเจ็ดวันในลานอุทยานแห่งสำนักพระราชวังของกษัตริย์
อสธ 2.11 ทุกๆวันโมรเดคัยเดินมาหน้าลานของฮาเร็ม เพื่อฟังข่าวเอสเธอร์เป็นอย่างไร และมีอะไรเกิดขึ้นแก่เธอ
อสธ 6.4 กษัตริย์ตรัสว่า “ใครอยู่ในลานบ้าน” ฝ่ายฮามานพึ่งเข้ามาถึงพระลานชั้นนอกแห่งราชสำนัก เพื่อจะทูลกษัตริย์เรื่องเอาโมรเดคัยแขวนเสียที่ตะแลงแกงซึ่งท่านได้เตรียมไว้สำหรับท่าน
โยบ 5.26 ท่านจะมาที่หลุมศพของท่านเมื่อแก่หง่อม อย่างฟ่อนข้าวที่นำมาสู่ลานตามฤดู
โยบ 39.12 เจ้าไว้ใจว่ามันจะกลับมาและนำข้าวของเจ้ามาที่ลานนวดข้าวหรือ
สภษ 1.26 ฝ่ายเราจะหัวเราะเย้ยความหายนะของเจ้า เราจะเยาะเมื่อความหวาดกลัวลานมากระทบเจ้า
พซม 3.2 “บัดนี้ดิฉันจะลุกขึ้น แล้วจะเที่ยวไปในเมืองให้ตลอดไป ตามถนนและลานเมือง ดิฉันจะแสวงหาเขาผู้นั้นที่ดวงใจของดิฉันรักใคร่” ดิฉันมองหาเขา แต่หาได้พบไม่
พซม 5.13 แก้มของเขาเหมือนอย่างลานปลูกไม้สีเสียด ส่งกลิ่นหอมหวน ริมฝีปากของเขาเหมือนดอกบัวหยดน้ำมดยอบ
พซม 6.2 ที่รักของดิฉันลงไปยังสวนของเขาเพื่อจะไปที่ลานปลูกไม้สีเสียด และเพื่อจะไปเลี้ยงฝูงสัตว์ในสวนกับเพื่อจะเก็บดอกบัว
อสย 7.3 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า “จงออกไปพบอาหัส ทั้งเจ้าและเชอารยาชูบบุตรชายของเจ้า ณ ที่ปลายท่อน้ำสระบนที่ถนนลานซักฟอก
อสย 34.13 หนามใหญ่จะงอกขึ้นในพระราชวังของมัน ตำแยและต้นหนามจะงอกขึ้นในป้อมปราการของมัน และจะเป็นที่อาศัยของมังกร และเป็นลานของนกเค้าแมว
อสย 36.2 และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้รับสั่งให้รับชาเคห์ ไปจากเมืองลาคีชถึงกรุงเยรูซาเล็ม เข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ พร้อมกับกองทัพใหญ่ และท่านมายืนอยู่ทางรางระบายน้ำสระบนที่ถนนลานซักฟอก
อสย 62.9 แต่ผู้ใดที่เกี่ยวเก็บไว้จะได้กินและสรรเสริญพระเยโฮวาห์ และบรรดาผู้ที่เก็บรวบรวมจะได้ดื่มในลานสถานอันบริสุทธิ์ของเรา”
ยรม 5.1 “จงวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในถนนกรุงเยรูซาเล็ม บัดนี้จงมองและรับรู้ จงค้นตามลานเมืองดูทีว่า จะหามนุษย์สักคนหนึ่งได้หรือไม่ คือคนที่กระทำการยุติธรรมและแสวงหาความจริง เพื่อเราจะได้อภัยโทษให้แก่เมืองนั้น
ยรม 19.14 แล้วเยเรมีย์ก็มาจากโทเฟท ที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงรับสั่งให้ท่านพยากรณ์นั้น และท่านก็ยืนอยู่ในลานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และกล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า
ยรม 26.2 “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า จงยืนอยู่ในลานพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ และจงพูดกับบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์ ซึ่งมานมัสการในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ คือพูดบรรดาถ้อยคำที่เราสั่งเจ้าให้พูดกับเขา อย่าเก็บไว้สักคำเดียว
ยรม 36.10 แล้วบารุคจึงได้อ่านถ้อยคำของเยเรมีย์จากหนังสือม้วนให้ประชาชนทั้งสิ้นฟัง ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ในห้องเฉลียงของเกมาริยาห์ บุตรชายชาฟาน ผู้เป็นเลขานุการ ซึ่งอยู่ในลานบนตรงทางเข้าของประตูใหม่แห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
ยรม 51.33 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า บุตรสาวแห่งบาบิโลนก็เหมือนลานนวดข้าว ณ เวลาที่เธอถูกเหยียบย่ำ อีกสักประเดี๋ยว เวลาเกี่ยวก็จะมาถึงแล้ว”
อสค 8.7 และพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงประตูลาน และเมื่อข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด ก็เห็นช่องหนึ่งอยู่ในกำแพง
อสค 9.7 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงกระทำให้พระนิเวศเป็นมลทิน จงทิ้งผู้ที่ถูกฆ่าให้เต็มลาน จงไปเถิด” เขาทั้งหลายจึงออกไปและฆ่าฟันที่ในนคร
อสค 10.4 และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็ขึ้นจากเครูบไปยังธรณีประตูพระนิเวศ และพระนิเวศนั้นก็มีเมฆคลุมอยู่เต็ม และลานนั้นก็เต็มไปด้วยความสุกใสแห่งสง่าราศีของพระเยโฮวาห์
อสค 40.14 และท่านทำเสาทั้งหลายได้หกสิบศอก และรอบหอประตูมีลานไปถึงเสา
อสค 40.17 แล้วท่านนำข้าพเจ้าออกมาที่ลานชั้นนอก และดูเถิด มีห้องหลายห้องและมีพื้นหินทำไว้รอบลาน มีห้องสามสิบห้องหันหน้าเข้าหาพื้นหิน
อสค 40.19 แล้วท่านก็วัดความกว้างจากหน้าหอประตูข้างล่างไปยังหน้าลานข้างในด้านนอกได้หนึ่งร้อยศอก อยู่ทั้งทางตะวันออกและทางเหนือ
อสค 40.47 และท่านก็วัดลาน ได้ยาวหนึ่งร้อยศอก และกว้างหนึ่งร้อยศอกเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส และแท่นบูชาอยู่ข้างหน้าพระนิเวศ
อสค 41.15 แล้วท่านก็วัดความยาวของตึกซึ่งหันหน้าไปสู่สนามซึ่งอยู่ด้านหลัง พร้อมทั้งผนังข้างๆ ยาวหนึ่งร้อยศอก ห้องโถงของพระวิหารนั้นและลานของมุข
อสค 46.21 แล้วท่านจึงนำข้าพเจ้าออกมาที่ลานชั้นนอก และพาข้าพเจ้าไปที่มุมทั้งสี่ของลานนั้น และดูเถิด ที่มุมลานทุกมุมก็มีลานอยู่ลานหนึ่ง
อสค 46.22 คือที่มุมทั้งสี่ของลาน มีลานเล็กๆยาวสี่สิบศอก กว้างสามสิบศอก ลานทั้งสี่ขนาดเดียวกัน
อสค 46.23 ภายในรอบลานทั้งสี่นั้นมีสิ่งที่ก่อด้วยปูนเป็นแถว มีเตาอยู่ที่ก้นของสิ่งที่ก่อนั้นโดยรอบ
ดนล 2.35 แล้วส่วนเหล็ก ส่วนดิน ส่วนทองสัมฤทธิ์ ส่วนเงินและส่วนทองคำ ก็แตกเป็นชิ้นๆพร้อมกัน กลายเป็นเหมือนแกลบจากลานนวดข้าวในฤดูร้อน ลมก็พัดพาเอาไป จึงหาร่องรอยไม่พบเสียเลย แต่ก้อนหินที่กระทบปฏิมากรนั้นกลายเป็นภูเขาใหญ่จนเต็มพิภพ
ฮชย 9.1 โอ อิสราเอลเอ๋ย อย่าเปรมปรีดิ์ไป อย่าเปรมปรีดิ์อย่างชนชาติทั้งหลายเลย เพราะเจ้าทั้งหลายเล่นชู้นอกใจพระเจ้าของเจ้า เจ้าทั้งหลายรักค่าสินจ้างของหญิงแพศยาตามบรรดาลานนวดข้าว
ฮชย 9.2 แต่ลานนวดข้าวและบ่อย่ำองุ่นจะไม่พอเลี้ยงเขา และน้ำองุ่นใหม่ก็จะขาดไป
ฮชย 13.3 เพราะฉะนั้นเขาจึงเหมือนหมอกในเวลาเช้า หรือเหมือนน้ำค้างที่หายไปตั้งแต่เช้า เหมือนแกลบที่ลมหมุนพัดไปจากลานนวดข้าว หรือเหมือนควันที่ออกมาจากช่องลม
ยอล 2.24 ลานนวดข้าวจะมีข้าวอยู่เต็ม จะมีน้ำองุ่นและน้ำมันอยู่เต็มล้นบ่อเก็บ
มคา 4.12 แต่เขาทั้งหลายไม่ทราบถึงพระดำริของพระเยโฮวาห์ เขาทั้งหลายไม่เข้าใจในแผนการของพระองค์ ที่พระองค์จะทรงรวบรวมเขาทั้งหลายเข้ามา ดังรวมฟ่อนข้าวไว้ที่ลานนวดข้าว
นฮม 2.4 รถรบห้อไปตามถนน มันรีบไปรีบมาที่ลานเมือง ส่องแสงราวกับคบเพลิง และพุ่งไปอย่างสายฟ้าแลบ
ศคย 1.8 “ณ กลางคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มองดู และดูเถิด มีชายคนหนึ่งขี่ม้าสีแดง ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวที่ลานหุบเขา ณ เบื้องหลังท่านผู้นั้นมีม้าสีแดง สีแสด และสีขาว
มธ 3.12 พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ”
ลก 3.17 พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้วเพื่อจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว และเพื่อจะเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ”
ลก 22.55 เมื่อเขาก่อไฟที่กลางลานบ้านและนั่งลงด้วยกันแล้ว เปโตรก็นั่งอยู่ท่ามกลางเขา
ยน 19.13 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้น ท่านจึงพาพระเยซูออกมา แล้วนั่งบัลลังก์พิพากษา ณ ที่เรียกว่า ลานปูศิลา ภาษาฮีบรูเรียกว่า กับบาธา

ล้าน ( 15 )
ปฐก 24.60 พวกเขาอวยพรเรเบคาห์ และกล่าวแก่นางว่า “น้องสาวเอ๋ย ขอให้เจ้าเป็นมารดาคนนับแสนนับล้าน และขอให้เชื้อสายของเจ้าได้ประตูเมืองของคนที่เกลียดชังเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์”
ลนต 13.40 ถ้าชายคนใดมีผมร่วงจากศีรษะ เขาเป็นคนศีรษะล้าน แต่เขาสะอาด
ลนต 13.41 ถ้าชายคนใดมีผมที่หน้าผากและที่ขมับร่วง หน้าผากของเขาล้าน แต่เขาสะอาด
ลนต 13.42 แต่ถ้าตรงบริเวณศีรษะล้านหรือหน้าผากล้าน มีบริเวณเป็นโรคสีแดงเรื่อๆ เขาเป็นเรื้อนพุขึ้นที่ศีรษะล้านหรือที่หน้าผากล้านนั้น
ลนต 13.43 ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ดูเถิด ถ้าโรคบวมนั้นสีแดงเรื่อๆอยู่ที่ศีรษะล้านหรือที่หน้าผากล้านของเขา เหมือนกับโรคเรื้อนที่ปรากฏตามผิวหนัง
อสย 3.24 ต่อมาแทนน้ำอบจะมีแต่ความเน่า แทนผ้าคาดเอวจะมีเชือก แทนผมดัดจะมีแต่ศีรษะล้าน แทนเสื้องามล้ำค่าจะคาดเอวด้วยผ้ากระสอบ แทนความงดงามจะมีแต่รอยไหม้
ยรม 47.5 เมืองกาซาก็ล้านเลี่ยน และเมืองอัชเคโลนก็ถูกตัดออกพร้อมด้วยคนที่เหลืออยู่ในหุบเขาของเขา เจ้าจะเชือดเนื้อเถือหนังของเจ้าอีกนานเท่าใด
อสค 7.18 เขาทั้งหลายจะคาดเอวไว้ด้วยผ้ากระสอบ และความสั่นสะท้านจะครอบเขาไว้ ความละอายจะอยู่ที่ใบหน้าของเขาทุกคน และศีรษะของเขาจะล้านหมด
อสค 29.18 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ให้กองทัพมาสู้รบกับเมืองไทระอย่างหนัก จนศีรษะทุกศีรษะล้าน และบ่าทุกบ่าก็ถลอก ถึงกระนั้นท่านเองหรือกองทัพของท่านก็ไม่ได้อะไรไปจากไทระอันเป็นค่าแรงซึ่งท่านได้กระทำต่อเมืองนั้น
อมส 8.10 เราจะให้การเลี้ยงของเจ้าทั้งหลายกลับเป็นการไว้ทุกข์ และให้เสียงเพลงทั้งสิ้นของเจ้าเป็นคำคร่ำครวญ เราจะนำผ้ากระสอบมาที่เอวของคนทั้งหลาย และศีรษะทั่วไปก็จะล้าน และเราจะกระทำให้เป็นเหมือนการไว้ทุกข์ให้บุตรชายคนเดียวของเขา และวาระสุดท้ายก็จะให้เหมือนวันที่ขมขื่น”
มคา 1.16 จงกล้อนผมและโกนหนวดโกนเคราเสีย เพื่อไว้ทุกข์ให้แก่ลูกรักที่พอใจของเจ้า จงทำตัวให้ล้านมากขึ้นเหมือนนกอินทรี เพราะเขาทั้งหลายได้จากเจ้าไปเป็นเชลย

ลานข้างนอก ( 6 )
อสค 42.3 ติดต่อกับส่วนยี่สิบศอกซึ่งเป็นส่วนของลานชั้นใน หันหน้าเข้าสู่พื้นหินซึ่งเป็นส่วนของลานข้างนอก เป็นระเบียงซ้อนระเบียงสามชั้น
อสค 42.6 เพราะว่าเป็นห้องสามชั้น และไม่มีเสารองเหมือนเสาที่ลานข้างนอก เพราะฉะนั้นห้องชั้นบนจึงร่นเข้าไปกว่าพื้นมากกว่าห้องชั้นล่างและชั้นกลาง
อสค 42.7 และมีผนังข้างนอกขนานกับห้อง ตรงไปยังลานข้างนอก ตรงข้ามกับห้อง ยาวห้าสิบศอก
อสค 42.8 เพราะว่าห้องที่ลานข้างนอกยาวห้าสิบศอก และดูเถิด ส่วนห้องเหล่านั้นที่ตรงข้ามกับพระวิหารยาวหนึ่งร้อยศอก
อสค 42.9 ใต้ห้องเหล่านั้นมีทางเข้าอยู่ด้านตะวันออก ถ้าเข้าไปจากลานข้างนอก
อสค 42.14 เมื่อปุโรหิตเข้าไปในที่บริสุทธิ์ เขาจะไม่ออกไปจากที่บริสุทธิ์เข้าสู่ลานข้างนอก แต่จะปลดเครื่องแต่งกายที่เขาสวมปฏิบัติหน้าที่วางไว้ที่นั่นเพราะสิ่งเหล่านี้บริสุทธิ์ เขาจะต้องสวมเครื่องแต่งกายอื่นก่อนที่เขาจะเข้าไปสู่ส่วนที่มีไว้สำหรับประชาชน”

ลานชั้นนอก ( 9 )
อสค 10.5 และเสียงปีกของเหล่าเครูบนั้นก็ได้ยินไปถึงลานชั้นนอก เหมือนพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อพระองค์ตรัส
อสค 40.17 แล้วท่านนำข้าพเจ้าออกมาที่ลานชั้นนอก และดูเถิด มีห้องหลายห้องและมีพื้นหินทำไว้รอบลาน มีห้องสามสิบห้องหันหน้าเข้าหาพื้นหิน
อสค 40.31 มุขนั้นหันหน้าสู่ลานชั้นนอก มีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสา และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 40.34 มุขของด้านนี้หันหน้าสู่ลานชั้นนอก และมีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 40.37 มุขของด้านนี้หันหน้าสู่ลานชั้นนอก และมีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 42.1 แล้วท่านพาข้าพเจ้ามาถึงลานชั้นนอก ตรงทิศเหนือ และท่านนำข้าพเจ้ามาถึงห้องซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสนาม และตรงข้ามกับตึกทางด้านทิศเหนือ
อสค 46.20 และท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นสถานที่ซึ่งปุโรหิตจะต้องต้มเครื่องบูชาไถ่การละเมิดและเครื่องบูชาไถ่บาป และเป็นที่ซึ่งเขาจะปิ้งธัญญบูชา เพื่อจะไม่ต้องนำออกไปในลานชั้นนอก อันเป็นการที่จะนำความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไปถึงประชาชน”
อสค 46.21 แล้วท่านจึงนำข้าพเจ้าออกมาที่ลานชั้นนอก และพาข้าพเจ้าไปที่มุมทั้งสี่ของลานนั้น และดูเถิด ที่มุมลานทุกมุมก็มีลานอยู่ลานหนึ่ง
วว 11.2 แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกพระวิหารนั้น เพราะว่าที่นั่นได้มอบไว้แก่คนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำเมืองบริสุทธิ์ลงใต้เท้าตลอดสี่สิบสองเดือน

ลานชั้นใน ( 18 )
1พกษ 7.12 กำแพงลานใหญ่มีหินสกัดสามชั้นโดยรอบ และไม้สนสีดาร์ชั้นหนึ่ง ลานชั้นในของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็มีเหมือนกัน ทั้งมุขพระนิเวศด้วย
อสธ 5.1 อยู่มาในวันที่สามพระนางเอสเธอร์ทรงฉลองพระองค์ และประทับยืนที่ในลานชั้นในของพระราชสำนัก ตรงข้ามกับท้องพระโรงใหญ่ของกษัตริย์ กษัตริย์ประทับบนราชบัลลังก์ภายในพระราชวัง ตรงข้ามทางเข้าพระราชวัง
อสค 8.3 ท่านยื่นส่วนที่มีสัณฐานเป็นมือนั้นออกมาจับผมของข้าพเจ้าปอยหนึ่ง และพระวิญญาณได้ยกข้าพเจ้าขึ้นระหว่างพิภพและสวรรค์ และนำข้าพเจ้ามาถึงเยรูซาเล็มในนิมิตของพระเจ้า มายังทางเข้าประตูด้านเหนือของลานชั้นใน ซึ่งเป็นที่ตั้งรูปของความหวงแหน ซึ่งกระทำให้บังเกิดความหวงแหน
อสค 8.16 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าเข้ามาในลานชั้นในแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ดูเถิด ตรงประตูพระวิหารของพระเยโฮวาห์ ระหว่างมุขและแท่นบูชา มีชายประมาณยี่สิบห้าคนหันหลังให้พระวิหารแห่งพระเยโฮวาห์ หน้าของเขาหันไปทางทิศตะวันออก กำลังนมัสการพระอาทิตย์ตรงทิศตะวันออกนั้น
อสค 10.3 ฝ่ายเหล่าเครูบนั้นยืนที่ด้านขวาของพระนิเวศ ขณะเมื่อชายคนนั้นเข้าไป และเมฆก็คลุมอยู่เต็มลานชั้นใน
อสค 40.23 ตรงข้ามกับประตูซึ่งอยู่ข้างเหนือเช่นเดียวกับประตูที่อยู่ข้างตะวันออก มีประตูเปิดไปสู่ลานชั้นใน และท่านก็วัดจากประตูหนึ่งไปยังอีกประตูหนึ่งได้หนึ่งร้อยศอก
อสค 40.27 และมีประตูหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของลานชั้นใน และท่านก็วัดจากประตูหนึ่งไปยังอีกประตูหนึ่งตรงไปทางทิศใต้ ได้หนึ่งร้อยศอก
อสค 40.28 แล้วท่านนำข้าพเจ้ามายังลานชั้นในโดยประตูทิศใต้ และท่านก็วัดประตูทิศใต้ มีขนาดอย่างเดียวกับประตูอื่นๆ
อสค 40.32 แล้วท่านก็พาข้าพเจ้ามาที่ลานชั้นในด้านตะวันออก และท่านก็วัดหอประตูขนาดเดียวกับหอประตูอื่น
อสค 40.44 ข้างนอกหอประตูชั้นใน ในลานชั้นในมีห้องสำหรับพวกนักร้อง ซึ่งอยู่ข้างหอประตูเหนือ หันหน้าไปทิศใต้ อีกห้องหนึ่งอยู่ข้างหอประตูตะวันออก หันหน้าไปทิศเหนือ
อสค 42.3 ติดต่อกับส่วนยี่สิบศอกซึ่งเป็นส่วนของลานชั้นใน หันหน้าเข้าสู่พื้นหินซึ่งเป็นส่วนของลานข้างนอก เป็นระเบียงซ้อนระเบียงสามชั้น
อสค 43.5 พระวิญญาณก็ยกข้าพเจ้าขึ้น และนำข้าพเจ้ามาที่ลานชั้นใน และดูเถิด สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็เต็มพระนิเวศ
อสค 44.17 ต่อมาเมื่อเขาเข้าประตูลานชั้นในนั้น ให้เขาสวมเสื้อผ้าป่าน อย่าให้เขามีสิ่งใดที่ทำด้วยขนแกะเลยขณะเมื่อเขาทำการปรนนิบัติอยู่ที่ประตูลานชั้นใน และอยู่ข้างใน
อสค 44.21 เมื่อปุโรหิตเข้าไปในลานชั้นในจะดื่มเหล้าองุ่นไม่ได้
อสค 44.27 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า ในวันที่เขาเข้าไปในสถานบริสุทธิ์ คือที่ลานชั้นในเพื่อจะปรนนิบัติอยู่ในสถานบริสุทธิ์ เขาจะต้องถวายเครื่องบูชาไถ่บาปเสียก่อน
อสค 45.19 ให้ปุโรหิตเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่บาปมาบ้างและจงประพรมที่เสาประตูพระนิเวศ ที่ขั้นสี่มุมของแท่นบูชา และบนเสาประตูของลานชั้นใน
อสค 46.1 “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ประตูลานชั้นในที่หันหน้าไปทิศตะวันออกนั้นให้ปิดอยู่ในวันทำงานหกวัน แต่ในวันสะบาโตนั้นให้เปิด และในวันขึ้นค่ำหนึ่งก็ให้เปิด

ลานนอก ( 3 )
อสค 40.20 ส่วนหอประตูแห่งลานนอกหันหน้าไปทางเหนือ ท่านก็วัดความยาวและความกว้างของมัน
อสค 44.19 และเมื่อเขาออกไปยังลานนอก คือไปยังลานนอกเพื่อไปหาประชาชน ให้เขาเปลื้องเสื้อผ้าชุดที่ปรนนิบัติงานนั้นออกเสีย และวางไว้เสียในห้องบริสุทธิ์ แล้วจึงสวมเสื้อผ้าอื่น เกรงว่าเขาจะนำความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไปติดต่อกับประชาชนด้วยเสื้อผ้าของเขา

ลานหญ้า ( 15 )
โยบ 39.8 มันตระเวนภูเขาอันเป็นลานหญ้าของมัน และมันแสวงหาหญ้าเขียวทุกอย่าง
อสย 30.23 และพระองค์จะประทานฝนให้แก่เมล็ดพืชซึ่งเจ้าหว่านลงที่ดิน และประทานข้าวซึ่งเป็นผลิตผลของดิน และข้าวจะอุดมและสมบูรณ์ ในวันนั้นวัวของเจ้าจะกินอยู่ในลานหญ้าใหญ่
อสย 32.14 เพราะว่าพระราชวังจะถูกทอดทิ้ง เมืองที่มีคนหนาแน่นจะถูกทิ้งร้าง ป้อมปราการและหอคอยจะกลายเป็นถ้ำเป็นนิตย์ เป็นที่ชื่นบานของลาป่า เป็นลานหญ้าของฝูงแพะแกะ
อสย 65.10 ชาโรนจะเป็นลานหญ้าสำหรับฝูงแพะแกะ และหุบเขาอาโคร์จะเป็นที่ให้ฝูงวัวนอน เพื่อชนชาติของเราที่ได้แสวงหาเรา
ยรม 9.10 เราจะร้องไห้และครวญครางเหตุภูเขานั้น และคร่ำครวญเหตุลานหญ้าในถิ่นทุรกันดารเพราะว่ามันถูกเผาเสีย ไม่มีผู้ใดผ่านไปมา ไม่ได้ยินเสียงสัตว์เลี้ยงร้อง ทั้งนกในอากาศและสัตว์ได้หนีไปเสียแล้ว
ยรม 23.1 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “วิบัติจงมีแก่ผู้เลี้ยงแกะผู้ทำลายและกระจายแกะของลานหญ้าของเรา”
ยรม 23.10 เพราะว่า แผ่นดินนั้นเต็มไปด้วยคนล่วงประเวณี ด้วยเหตุคำสาปแช่งแผ่นดินนั้นก็ไว้ทุกข์ และลานหญ้าในถิ่นทุรกันดารก็แห้งไป วิถีของเขาทั้งหลายก็ชั่งช้า และอำนาจของเขาทั้งหลายก็ไม่เป็นธรรม
ยรม 25.36 จะได้ฟังเสียงร้องของผู้เลี้ยงแกะ และเสียงคร่ำครวญของเจ้าของฝูงแกะ เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงทำลายลานหญ้าของเขาทั้งหลายเสียแล้ว
ยรม 50.19 เราจะให้อิสราเอลกลับสู่ลานหญ้าของเขา และเขาจะกินอยู่บนคารเมลและในบาชาน และเขาจะอิ่มใจบนเนินเขาเอฟราอิมและในกิเลอาด
อสค 34.14 เราจะเลี้ยงเขาในลานหญ้าอย่างดี และคอกของเขาจะอยู่บนบรรดาภูเขาสูงแห่งอิสราเอล ณ ที่นั่น เขาจะนอนลงในคอกที่ดี และเขาจะหากินอยู่บนลานหญ้าอุดมบนภูเขาแห่งอิสราเอล
อสค 34.18 ที่จะหากินในลานหญ้าอย่างดีนั้นยังไม่พออีกหรือ เจ้าจึงต้องเอาเท้าเหยียบลานหญ้าที่เหลืออยู่ของเจ้า และดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่ลึกยังไม่พอหรือ จึงเอาเท้าของเจ้ากวนน้ำที่เหลืออยู่ให้ขุ่น
อสค 34.31 เจ้าทั้งหลายเป็นแกะของเรา เป็นแกะในลานหญ้าของเรา เจ้าทั้งหลายเป็นมนุษย์และเราเป็นพระเจ้าของเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อมส 1.2 ท่านกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งพระสิงหนาทจากศิโยน และจะทรงเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม ลานหญ้าของผู้เลี้ยงแกะจะโศกเศร้า และยอดภูเขาคารเมลก็จะเหี่ยวไป”

ลาบัน ( 64 )
ปฐก 24.29 เรเบคาห์มีพี่ชายคนหนึ่งชื่อ ลาบัน ลาบันวิ่งไปหาชายคนนั้นที่บ่อน้ำ
ปฐก 24.32 ชายนั้นจึงเข้าไปในบ้าน ลาบันก็แก้อูฐของเขา ให้ฟางและอาหารสำหรับอูฐ ให้น้ำล้างเท้าเขาและคนที่มากับเขา
ปฐก 24.33 แล้วจัดอาหารมาเลี้ยงเขา แต่เขาว่า “ข้าพเจ้าจะไม่รับประทาน จนกว่าข้าพเจ้าจะพูดถึงธุระที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายมานั้นให้ท่านฟังเสียก่อน” ลาบันก็ว่า “เชิญพูดเถิด”
ปฐก 24.50 ลาบันและเบธูเอลจึงตอบว่า “สิ่งนี้มาจากพระเยโฮวาห์ เราจะพูดดีหรือร้ายกับท่านก็ไม่ได้
ปฐก 25.20 อิสอัคมีอายุสี่สิบปีเมื่อท่านได้ภรรยาคือ เรเบคาห์บุตรสาวของเบธูเอลคนซีเรียชาวเมืองปัดดานอารัม น้องสาวของลาบันคนซีเรีย
ปฐก 27.43 เพราะฉะนั้น ลูกเอ๋ย บัดนี้ฟังเสียงของแม่เถิด จงลุกขึ้นหนีไปหาลาบันพี่ชายของแม่ที่เมืองฮาราน
ปฐก 28.2 แต่ลุกขึ้นไปเมืองปัดดานอารัม ไปยังบ้านเบธูเอลบิดาของแม่เจ้า ที่นั่นเจ้าจงแต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งของลาบันพี่ชายแม่ของเจ้า
ปฐก 28.5 อิสอัคก็ส่งยาโคบไป ยาโคบก็ไปปัดดานอารัมไปหาลาบัน บุตรชายของเบธูเอลคนซีเรียพี่ชายของนางเรเบคาห์ มารดาของยาโคบและเอซาว
ปฐก 29.5 ยาโคบจึงถามเขาทั้งหลายว่า “ท่านรู้จักลาบันบุตรชายนาโฮร์หรือไม่” เขาตอบว่า “รู้จัก”
ปฐก 29.6 ยาโคบถามเขาทั้งหลายว่า “ลาบันสบายดีหรือ” เขาตอบว่า “สบายดี ดูเถิด บุตรสาวของเขาชื่อราเชลกำลังมาพร้อมกับฝูงแกะ”
ปฐก 29.10 และต่อมาครั้นยาโคบแลเห็นราเชลบุตรสาวของลาบันพี่ชายมารดาของตน และฝูงแกะของลาบันพี่ชายมารดาของตน ยาโคบก็เข้าไปกลิ้งหินออกจากปากบ่อน้ำ เอาน้ำให้ฝูงแกะของลาบันพี่ชายมารดาของตนกิน
ปฐก 29.13 ต่อมาครั้นลาบันได้ยินข่าวถึงยาโคบบุตรชายน้องสาวของตน เขาก็วิ่งไปพบและกอดจุบยาโคบและพามาบ้านของเขา ยาโคบก็เล่าเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดให้ลาบันฟัง
ปฐก 29.14 ลาบันจึงพูดกับเขาว่า “เจ้าเป็นกระดูกและเนื้อของเราแท้ๆ” ยาโคบก็พักอยู่กับเขาเดือนหนึ่ง
ปฐก 29.15 แล้วลาบันพูดกับยาโคบว่า “เพราะเจ้าเป็นหลานของเรา จึงไม่ควรที่เจ้าจะทำงานให้เราเปล่าๆ เจ้าจะเรียกค่าจ้างเท่าไร จงบอกมาเถิด”
ปฐก 29.16 ลาบันมีบุตรสาวสองคน พี่สาวชื่อเลอาห์ น้องสาวชื่อราเชล
ปฐก 29.19 ลาบันจึงว่า “ให้เรายกบุตรสาวให้เจ้านั้นดีกว่าจะยกให้คนอื่น จงอยู่กับเราเถิด”
ปฐก 29.21 ยาโคบบอกลาบันว่า “เวลาที่กำหนดไว้ก็ครบแล้ว ขอให้ภรรยาข้าพเจ้าเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้เข้าไปหาเธอ”
ปฐก 29.22 ลาบันจึงเชิญบรรดาชาวบ้านมาพร้อมกัน แล้วจัดการเลี้ยง
ปฐก 29.23 และต่อมาครั้นเวลาค่ำ ลาบันก็พาเลอาห์บุตรสาวของตนมามอบให้แก่ยาโคบ และยาโคบก็เข้าไปหานาง
ปฐก 29.24 ลาบันยกศิลปาห์สาวใช้ของตนให้เป็นสาวใช้ของนางเลอาห์
ปฐก 29.25 และต่อมาพอรุ่งขึ้น ดูเถิด เป็นนางเลอาห์ ยาโคบจึงกล่าวแก่ลาบันว่า “ลุงทำอะไรกับข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้ารับใช้ลุงเพื่อได้ราเชลมิใช่หรือ ทำไมลุงจึงล่อลวงข้าพเจ้าเล่า”
ปฐก 29.26 ลาบันจึงตอบว่า “ในแผ่นดินเราไม่มีธรรมเนียมที่จะยกน้องสาวให้ก่อนพี่หัวปี
ปฐก 29.28 ยาโคบก็ยอม และรอจนครบเจ็ดวันของนางแล้วลาบันก็ยกราเชลบุตรสาวให้เป็นภรรยาด้วย
ปฐก 29.29 ลาบันยกบิลฮาห์สาวใช้ของตนให้เป็นสาวใช้ของนางราเชล
ปฐก 29.30 ฝ่ายยาโคบก็เข้าไปหาราเชลด้วย และเขารักราเชลมากกว่าเลอาห์ เขาจึงรับใช้ลาบันต่อไปอีกเจ็ดปี
ปฐก 30.25 และต่อมาเมื่อนางราเชลคลอดโยเซฟแล้ว ยาโคบก็พูดกับลาบันว่า “ขอให้ข้าพเจ้ากลับไปบ้านเกิดและแผ่นดินของข้าพเจ้า
ปฐก 30.27 แต่ลาบันตอบเขาว่า “ถ้าลุงเป็นที่พอใจเจ้าแล้ว จงอยู่ต่อเถิด เพราะลุงเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงอวยพรเราเพราะเจ้า”
ปฐก 30.31 ลาบันจึงถามว่า “ลุงควรจะให้อะไรเจ้า” ยาโคบตอบว่า “ลุงไม่ต้องให้อะไรข้าพเจ้าดอก แต่หากว่าลุงจะทำสิ่งนี้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเลี้ยงระวังสัตว์ของลุงต่อไป
ปฐก 30.34 ลาบันจึงตอบว่า “ดูเถิด ลุงตกลงตามที่เจ้าพูดนั้น”
ปฐก 30.36 เขาแยกสัตว์ออกไปทั้งหมดห่างจากยาโคบเป็นระยะทางสามวัน ฝูงสัตว์ของลาบันที่เหลืออยู่นั้นยาโคบก็เลี้ยงไว้
ปฐก 30.40 ยาโคบก็แยกลูกแกะและให้ฝูงแพะแกะนั้นอยู่ตรงหน้าแกะที่มีลาย และแกะดำทุกตัวในฝูงของลาบัน แต่ฝูงแพะแกะของตนนั้นอยู่ต่างหาก ไม่ให้ปะปนกับฝูงสัตว์ของลาบัน
ปฐก 30.42 และเมื่อสัตว์อ่อนแอ ยาโคบก็ไม่ใส่ไม้นั้นไว้ เหตุฉะนั้นสัตว์ที่อ่อนแอจึงตกเป็นของลาบัน แต่สัตว์ที่แข็งแรงเป็นของยาโคบ
ปฐก 31.1 ยาโคบได้ยินบุตรชายของลาบันพูดว่า “ยาโคบได้แย่งทรัพย์ของบิดาเราไปหมด เขาได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้มาจากบิดาเรา”
ปฐก 31.2 ยาโคบได้สังเกตดูสีหน้าของลาบัน และดูเถิด เห็นว่าไม่เหมือนแต่ก่อน
ปฐก 31.12 พระองค์ตรัสว่า ‘เงยหน้าขึ้นดู แพะตัวผู้ทุกตัวที่สมจรกับฝูงสัตว์นั้น เป็นสัตว์ลายและมีจุดและลายเป็นแถบๆ เพราะเราเห็นทุกสิ่งที่ลาบันทำกับเจ้า
ปฐก 31.19 และลาบันออกไปตัดขนแกะ ฝ่ายนางราเชลก็ลักรูปเคารพของบิดาไปด้วย
ปฐก 31.20 ฝ่ายยาโคบก็หลบหนีไปมิได้บอกลาบันชาวซีเรียให้รู้ว่าตนจะหนีไป
ปฐก 31.22 ครั้นถึงวันที่สาม มีคนไปบอกลาบันว่ายาโคบหนีไปแล้ว
ปฐก 31.23 ลาบันก็พาญาติพี่น้องออกติดตามไปเจ็ดวันก็ทันยาโคบในถิ่นเทือกเขากิเลอาด
ปฐก 31.24 แต่ในกลางคืนพระเจ้าทรงมาปรากฏแก่ลาบันคนซีเรียในความฝัน ตรัสแก่เขาว่า “จงระวังตัว อย่าพูดดีหรือร้ายแก่ยาโคบเลย”
ปฐก 31.25 แล้วลาบันตามมาทันยาโคบ ยาโคบตั้งเต็นท์อยู่ที่ถิ่นเทือกเขา ส่วนลาบันกับญาติพี่น้องตั้งอยู่ถิ่นเทือกเขากิเลอาด
ปฐก 31.26 ลาบันกล่าวกับยาโคบว่า “เจ้าทำอะไรเล่า หนีพาบุตรสาวของเรามา ไม่บอกให้เรารู้ ทำเหมือนเชลยที่จับได้ด้วยดาบ
ปฐก 31.31 ยาโคบจึงตอบลาบันว่า “เพราะว่าข้าพเจ้ากลัว ข้าพเจ้าจึงว่า ‘บางทีท่านจะริบบุตรสาวของท่านคืนจากข้าพเจ้าเสีย’
ปฐก 31.33 ลาบันจึงเข้าไปในเต็นท์ของยาโคบ เต็นท์ของนางเลอาห์และเต็นท์สาวใช้ทั้งสองคนนั้น แต่หาไม่พบ จึงออกจากเต็นท์ของนางเลอาห์ แล้วเข้าไปในเต็นท์ของนางราเชล
ปฐก 31.34 ส่วนนางราเชลเอารูปเคารพเหล่านั้นซ่อนไว้ในกูบอูฐและนั่งทับไว้ ลาบันได้ค้นดูทั่วเต็นท์ก็หาไม่พบ
ปฐก 31.35 นางราเชลก็พูดกับบิดาของตนว่า “ขอนายอย่าโกรธเลยที่ข้าพเจ้าลุกขึ้นต้อนรับไม่ได้ ด้วยว่าธรรมดาที่ผู้หญิงเคยมีกำลังเป็นอยู่กับข้าพเจ้า” ลาบันก็ค้นดูแล้ว แต่ไม่พบรูปเคารพนั้นเลย
ปฐก 31.36 ส่วนยาโคบก็โกรธและต่อว่าลาบัน ยาโคบกล่าวกับลาบันว่า “ข้าพเจ้าทำการละเมิดต่อท่านประการใด ข้าพเจ้าทำบาปอะไรท่านจึงรีบติดตามข้าพเจ้ามาดังนี้
ปฐก 31.43 แล้วลาบันตอบยาโคบว่า “บุตรสาวเหล่านี้ก็เป็นบุตรสาวของเรา เด็กเหล่านี้ก็เป็นเด็กของเรา ฝูงสัตว์ทั้งฝูงนี้ก็เป็นฝูงสัตว์ของเรา ของทั้งสิ้นที่เจ้าเห็นก็เป็นของเรา วันนี้เราจะกระทำอะไรแก่บุตรสาวของเราหรือแก่เด็กๆที่เกิดมาจากเขา
ปฐก 31.47 ลาบันจึงตั้งชื่อกองหินนั้นว่า เยการ์สหดูธา แต่ยาโคบตั้งชื่อว่า กาเลเอด
ปฐก 31.48 ลาบันกล่าวว่า “วันนี้กองหินนี้จะเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” เหตุฉะนี้เขาจึงตั้งชื่อว่า กาเลเอด
ปฐก 31.51 ลาบันบอกยาโคบว่า “จงดูกองหินและเสาหินนี้ที่เราได้ตั้งไว้ระหว่างเรากับเจ้า
ปฐก 31.55 ลาบันตื่นขึ้นแต่เช้ามืด จุบหลานและบุตรสาว อวยพรแก่พวกเขา แล้วลาบันก็ออกเดินทางกลับไปบ้าน
ปฐก 32.4 และสั่งเขาว่า “จงไปบอกเอซาวนายของเราว่า ยาโคบผู้รับใช้ของท่านกล่าวดังนี้ ‘ข้าพเจ้าไปอาศัยอยู่กับลาบันจนบัดนี้
ปฐก 46.18 พวกเหล่านี้เป็นบุตรชายของนางศิลปาห์ ผู้ที่ลาบันยกให้แก่นางเลอาห์บุตรสาวของตน และบุตรสิบหกคนนี้นางคลอดให้ยาโคบ
ปฐก 46.25 พวกเหล่านี้เป็นบุตรชายของนางบิลฮาห์ ผู้ที่ลาบันยกให้แก่นางราเชลบุตรสาวของตน และบุตรเจ็ดคนนี้นางคลอดให้ยาโคบ
พบญ 1.1 ข้อความต่อไปนี้เป็นคำที่โมเสสกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงที่ในถิ่นทุรกันดารฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือในที่ราบข้างหน้าทะเลแดงระหว่างปารานและโทเฟล ลาบัน ฮาเซโรท และดีซาหับ

ลาป่า ( 10 )
โยบ 6.5 ลาป่าร้องเมื่อมันมีหญ้าหรือ วัวผู้ร้องบนกองหญ้าของมันหรือ
โยบ 11.12 แต่คนไร้ค่าอยากฉลาด ถึงแม้ว่ามนุษย์เกิดมาเหมือนลูกลาป่า
โยบ 24.5 ดูเถิด ดังลาป่าอยู่ในถิ่นทุรกันดาร คนยากจนนั้นออกไปทำงานพยายามหาอาหาร ถิ่นแห้งแล้งให้อาหารแก่เขาและบุตรทั้งหลายของเขา
โยบ 39.5 ใครปล่อยให้ลาป่าวิ่งกระเจิงไป ใครแก้เชือกผูกลาเปลี่ยว
สดด 104.11 ให้บรรดาสัตว์ป่าได้ดื่มและให้ลาป่าดับความกระหายของมัน
อสย 32.14 เพราะว่าพระราชวังจะถูกทอดทิ้ง เมืองที่มีคนหนาแน่นจะถูกทิ้งร้าง ป้อมปราการและหอคอยจะกลายเป็นถ้ำเป็นนิตย์ เป็นที่ชื่นบานของลาป่า เป็นลานหญ้าของฝูงแพะแกะ
ยรม 2.24 เหมือนลาป่าที่คุ้นเคยกับถิ่นทุรกันดาร ได้สูดลมด้วยความอยากอันรุนแรงของมัน ใครจะระงับความใคร่ของมันได้ บรรดาที่แสวงหามันจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อถึงเดือนที่กำหนดของมันจะพบมันเอง
ยรม 14.6 ลาป่ายืนอยู่บนที่สูง มันสูดลมหายใจเหมือนมังกร ตาของมันก็มืดมัว เพราะไม่มีหญ้า”
ดนล 5.21 พระเจ้าทรงขับไล่เนบูคัดเนสซาร์ไปจากบุตรทั้งหลายของมนุษย์ และทรงกระทำให้พระทัยของพระองค์ท่านเป็นเหมือนใจสัตว์ป่า และทรงให้อยู่กับลาป่า ทรงให้หญ้าเสวยเหมือนวัว และพระกายของพระองค์ท่านก็เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกว่าพระองค์รู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงปกครองราชอาณาจักรของมนุษย์ และทรงแต่งตั้งผู้ที่พระองค์จะทรงปรารถนาให้ปกครอง
ฮชย 8.9 เขาทั้งหลายขึ้นไปหาอัสซีเรียดังลาป่าที่ท่องเที่ยวอยู่ลำพัง เอฟราอิมได้จ้างคนรักมา

ลาม ( 25 )
อพย 9.9 และมันจะกลายเป็นฝุ่นปลิวไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ทำให้เกิดเป็นฝีแตกลามทั้งตัวคนและสัตว์ทั่วแผ่นดินอียิปต์”
อพย 9.10 เขาทั้งสองจึงนำขี้เถ้าจากเตาไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์ฟาโรห์ และโมเสสก็ซัดขี้เถ้าขึ้นไปในท้องฟ้า ขี้เถ้านั้นก็กลายเป็นฝีแตกลามไปทั้งตัวคนและสัตว์
อพย 22.6 ถ้าจุดไฟที่กองหนาม และไฟลามไปติดกองข้าว หรือติดต้นข้าวซึ่งมิได้เกี่ยว หรือติดทุ่งนาให้ไหม้เสีย ผู้ที่จุดไฟนั้นต้องใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวน
ลนต 13.5 และให้ปุโรหิตตรวจเขาอีกในวันที่เจ็ด ดูเถิด ถ้าตามสายตาของเขาเห็นว่าโรคนั้นทรงอยู่ไม่ลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตกักตัวเขาต่อไปอีกเจ็ดวัน
ลนต 13.6 พอถึงวันที่เจ็ดให้ปุโรหิตตรวจเขาอีกครั้งหนึ่ง ดูเถิด ถ้าบริเวณที่ป่วยนั้นจางลง และโรคมิได้ลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาดแล้ว เขาเป็นโรคพุเท่านั้น ให้เขาซักเสื้อผ้าแล้วเขาก็จะสะอาดได้
ลนต 13.7 แต่ถ้าหากว่าภายหลังจากที่เขาสำแดงตัวแก่ปุโรหิตเพื่อรับการชำระแล้วนั้นปรากฏว่า บริเวณที่พุลามออกไปในผิวหนัง เขาต้องกลับไปหาปุโรหิตอีก
ลนต 13.8 ให้ปุโรหิตทำการตรวจ ดูเถิด ถ้าบริเวณพุนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
ลนต 13.12 ถ้าโรคเรื้อนนั้นลามไปตามผิวหนังตามที่ปุโรหิตเห็นก็ปรากฏว่าลามไปตามผิวหนังทั่วตัวผู้ป่วยตั้งแต่ศีรษะจนเท้า
ลนต 13.22 ถ้าโรคนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคแล้ว
ลนต 13.23 แต่ถ้าที่ด่างขึ้นนั้นคงที่อยู่ไม่ลามออกไป ก็เป็นแต่เพียงแผลเป็นของฝี ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด
ลนต 13.27 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ถ้าที่เป็นนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
ลนต 13.28 ถ้าที่ด่างขึ้นนั้นคงที่อยู่ ไม่ลามออกไปในผิวหนัง แต่จาง บวมเพราะไฟลวก ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด เพราะมันเป็นเพียงแผลเป็นของไฟลวก
ลนต 13.32 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจโรคนั้น ดูเถิด ถ้าอาการคันนั้นไม่ลามออกไป และไม่มีขนเหลืองในบริเวณนั้น และปรากฏว่าอาการคันไม่ลึกกว่าผิวหนัง
ลนต 13.34 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตรงที่คัน ดูเถิด ถ้าที่คันนั้นไม่ลามออกไปในผิวหนัง และปรากฏว่าเป็นไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด ให้เขาซักเสื้อผ้า แล้วจะสะอาด
ลนต 13.35 แต่ถ้าเขาชำระตัวแล้ว ยังปรากฏว่าโรคคันนั้นลามออกไปในผิวหนัง
ลนต 13.36 ก็ให้ปุโรหิตตรวจเขา และดูเถิด ถ้าโรคคันนั้นลามออกไปในผิวหนังแล้ว ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องมองหาขนสีเหลือง เขาเป็นมลทินแล้ว
ลนต 13.51 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ตรวจดูโรคนั้นอีก ถ้าโรคนั้นลามไปในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไม่ว่าที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง เป็นที่หนังสัตว์ หรือสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ โรคนั้นเป็นโรคเรื้อนอย่างร้าย นับว่าเป็นมลทิน
ลนต 13.53 และถ้าปุโรหิตนั้นตรวจดู และดูเถิด โรคนั้นมิได้ลามไปในเสื้อ ทั้งที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือในสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์
ลนต 13.55 เมื่อซักแล้วก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตัวที่เป็นโรคนั้นอีก ดูเถิด ถ้าบริเวณที่เป็นโรคไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าโรคนั้นไม่ลามไป ก็เป็นมลทิน เจ้าจงเอาใส่ในไฟเผาเสีย ไม่ว่าบริเวณที่เป็นโรคเรื้อนนั้นจะอยู่ข้างในหรือข้างนอก
ลนต 13.57 ถ้าปรากฏขึ้นอีกในเครื่องแต่งกายไม่ว่าที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือในสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ โรคนั้นลามไปแล้ว เจ้าจงเผาสิ่งที่เป็นโรคนั้นด้วยไฟ
ลนต 14.39 พอถึงวันที่เจ็ดปุโรหิตจะกลับมาตรวจดูอีก ดูเถิด ถ้าโรคนั้นลามไปในผนังเรือน
ลนต 14.44 แล้วปุโรหิตจะไปตรวจดู ดูเถิด ถ้าโรคนั้นลามไปในเรือน เป็นโรคเรื้อนอย่างร้ายในเรือน เรือนนั้นก็เป็นมลทิน
ลนต 14.48 แต่ปุโรหิตมาทำการตรวจ ดูเถิด เมื่อโบกปูนใหม่แล้ว โรคนั้นมิได้ลามไปในเรือนแล้ว ปุโรหิตจะประกาศว่าเรือนนั้นสะอาด เพราะโรคหายแล้ว
มคา 1.9 เพราะว่ารอยแผลของเมืองนั้นรักษาไม่หาย และได้ลามมาถึงยูดาห์ ได้มาถึงกระทั่งประตูเมืองแห่งประชาชนของเราคือถึงเยรูซาเล็ม

ล่าม ( 19 )
ปฐก 42.23 พวกพี่ชายไม่รู้ว่าโยเซฟฟังออก เพราะว่าท่านพูดกับเขาโดยใช้ล่าม
วนฉ 16.21 คนฟีลิสเตียก็มาจับท่านทะลวงตาของท่านเสีย นำท่านลงมาที่กาซา เอาตรวนทองสัมฤทธิ์ล่ามไว้ และให้ท่านโม่แป้งอยู่ที่ในเรือนจำ
โยบ 33.23 ถ้ามีผู้ส่งข่าวผู้หนึ่งมาเพื่อเขาเป็นล่าม หนึ่งในพันเพื่อแถลงแก่มนุษย์ว่าอะไรถูกเพื่อเขา
สดด 68.6 พระเจ้าทรงให้คนเปลี่ยวเปล่าอยู่ในครอบครัว พระองค์ทรงปลดปล่อยคนเหล่านั้นที่ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน แต่คนมักกบฏจะอาศัยในแผ่นดินที่แห้งแล้ง
สดด 149.8 เพื่อเอาตรวนล่ามบรรดากษัตริย์ของเขา และเอาเครื่องเหล็กจองจำล่ามบรรดาขุนนางของเขา
พคค 3.7 พระองค์ทรงกระทำรั้วต้นไม้ล้อมข้าพเจ้าไว้เพื่อจะกักไม่ให้ออกไปได้ พระองค์ทรงตีตรวนหนักล่ามข้าพเจ้าไว้
อสค 19.9 เขาล่ามโซ่ขังมันไว้ในกรง และนำมันมายังกษัตริย์บาบิโลน เขาก็ขังมันไว้ในที่กำบังเข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงของมันอีกที่บนภูเขาแห่งอิสราเอล
นฮม 3.10 ถึงกระนั้นเมืองนั้นก็ยังถูกกวาดไป เธอตกไปเป็นเชลย ลูกเล็กเด็กแดงของเธอก็ถูกเหวี่ยงลงแหลกเป็นชิ้นๆที่หัวถนนทุกสาย เขาจับสลากแบ่งผู้มีเกียรติของเมืองนั้น และคนใหญ่คนโตทั้งสิ้นของเมืองนั้นก็ถูกล่ามโซ่
มก 5.3 คนนั้นอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ และไม่มีผู้ใดจะผูกมัดตัวเขาได้ แม้จะล่ามด้วยโซ่ตรวนก็ไม่อยู่
มก 5.4 เพราะว่าได้ล่ามโซ่ใส่ตรวนหลายหนแล้ว เขาก็หักโซ่และฟาดตรวนเสีย ไม่มีผู้ใดมีแรงพอที่จะทำให้เขาสงบได้
มก 6.17 ด้วยว่าเฮโรดได้ใช้คนไปจับยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาฟีลิปน้องชายของตน ด้วยเฮโรดได้รับนางนั้นเป็นภรรยาของตน
กจ 12.6 ในคืนวันนั้นเอง ครั้นเฮโรดจะพาเปโตรออกมา เปโตรนอนหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และคนยามเฝ้าอยู่หน้าประตูคุก
กจ 21.33 นายพันจึงเข้าไปใกล้แล้วจับเปาโลสั่งให้เอาโซ่สองเส้นล่ามไว้ แล้วถามว่า ท่านเป็นใครและได้ทำอะไรบ้าง
กจ 28.20 เหตุฉะนั้นเพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเชิญท่านทั้งหลายมา เพื่อจะได้เห็นหน้าและพูดกับท่าน เพราะที่ข้าพเจ้าถูกล่ามโซ่นี้ก็เนื่องด้วยความหวังของชนชาติอิสราเอล”
2ทธ 2.9 และเพราะเหตุข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงทนทุกข์ ถูกล่ามโซ่ดังผู้ร้าย แต่พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่มีผู้ใดเอาโซ่ล่ามไว้ได้
ฮบ 11.36 บางคนถูกทดลองโดยคำเยาะเย้ยและการถูกโบยตี และยังถูกล่ามโซ่และถูกขังคุกด้วย
วว 20.2 และท่านได้จับพญานาค ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ผู้ซึ่งเป็นพญามารและซาตาน และล่ามมันไว้พันปี

ลามก ( 11 )
ลนต 18.25 และแผ่นดินนั้นก็ลามก เราจึงต้องลงโทษความชั่วช้าแก่แผ่นดินนั้น และแผ่นดินก็สำรอกเอาพลเมืองของตนออกเสีย
ลนต 18.28 เกลือกว่าเมื่อเจ้าทั้งหลายทำให้แผ่นดินเป็นลามก แผ่นดินก็จะสำรอกเจ้าออก ดังที่แผ่นดินได้สำรอกประชาชาติที่อยู่ก่อนเจ้าออกไปนั้น
วนฉ 19.24 ดูเถิด นี่ มีลูกสาวพรหมจารีคนหนึ่งและเมียน้อยของเขา ข้าพเจ้าจะพาออกมาให้ท่านเดี๋ยวนี้ จงกระทำหยามเกียรติหรือทำอะไรแก่พวกเขาตามชอบใจเถิด แต่ขออย่าทำลามกกับชายคนนี้เลย”
อสค 5.11 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด แน่ทีเดียวเพราะเจ้าได้กระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินไปด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเจ้า และด้วยสิ่งลามกทั้งสิ้นของเจ้า เพราะฉะนั้นเราจะตัดเจ้าลง นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานี เราจะไม่สงสารด้วย
อสค 16.25 หัวถนนทุกแห่งเจ้าสร้างที่สูงของเจ้า และเอาความงามของเจ้ามาทำลามก อ้าเท้าของเจ้าให้ผู้ที่ผ่านไปมาไม่ว่าใคร และทวีการเล่นชู้ของเจ้า
อสค 16.27 ดูเถิด เราจึงเหยียดมือของเราออกต่อสู้เจ้า และลดอาหารส่วนแบ่งของเจ้าลง และมอบเจ้าไว้ให้แก่พวกที่เกลียดเจ้าให้เขากระทำตามใจชอบ คือบรรดาบุตรสาวคนฟีลิสเตีย ผู้ซึ่งละอายในความประพฤติอันลามกของเจ้า
อสค 21.25 และเจ้า ผู้ชั่วที่ลามกคือเจ้านายอิสราเอลเอ๋ย ผู้ที่วันกำหนดมาถึงแล้ว คือเวลาแห่งการลงโทษความชั่วช้าครั้งสุดท้าย
อสค 22.9 ในเจ้ามีคนกล่าวร้ายเพื่อจะทำให้โลหิตตก และมีคนในเจ้าที่รับประทานบนภูเขา มีคนกระทำอุจาดลามกท่ามกลางเจ้า
รม 13.13 เราจงดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน
2ปต 2.7 และได้ทรงช่วยโลทผู้ชอบธรรมให้รอด ผู้มีความทุกข์ใหญ่หลวงเพราะการประพฤติลามกของคนชั่วเหล่านั้น
วว 22.11 ผู้ที่เป็นคนอธรรมก็ให้เขาอธรรมต่อไป ผู้ที่เป็นคนลามกก็ให้เขาลามกต่อไป ผู้ที่เป็นคนชอบธรรมก็ให้เขาชอบธรรมต่อไป และผู้ที่เป็นคนบริสุทธิ์ก็ให้เขาเป็นคนบริสุทธิ์ต่อไป”

ลามกอนาจาร ( 4 )
ลนต 18.20 เจ้าอย่าสมสู่กับภรรยาของเพื่อนบ้านของเจ้า กระทำให้ตัวเจ้าลามกอนาจารกับนาง
ลนต 18.23 เจ้าอย่าสมสู่กับสัตว์เดียรัจฉาน กระทำตนให้ลามกอนาจาร หรืออย่าให้หญิงคนใดยอมตัวสมสู่กับสัตว์เดียรัจฉาน ดังนี้เป็นเรื่องกามวิปลาส
ลนต 18.24 เจ้าทั้งหลายอย่ากระทำตัวให้ลามกอนาจารด้วยสิ่งเหล่านี้เลย เพราะว่าบรรดาประชาชาติที่เราได้ไล่ไปเสียต่อหน้าเจ้านั้น กระทำบรรดาลามกอนาจารอย่างนี้เอง

ลามัม ( 1 )
ยชว 15.40 คับโบน ลามัม คิทลิช

ลามา ( 2 )
มธ 27.46 ครั้นประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”
มก 15.34 พอบ่ายสามโมงแล้ว พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

ลามี ( 1 )
1พศด 20.5 และมีสงครามกับคนฟีลิสเตียอีก และเอลฮานันบุตรชายยาอีร์ได้ฆ่าลามีน้องชายของโกลิอัทชาวกัทเสีย ผู้มีหอกที่มีด้ามโตเท่าไม้กระพั่นทอผ้า

ลาเมค ( 12 )
ปฐก 4.18 เอโนคให้กำเนิดบุตรชื่ออิราด อิราดให้กำเนิดบุตรชื่อเมหุยาเอล เมหุยาเอลให้กำเนิดบุตรชื่อเมธูซาเอล เมธูซาเอลให้กำเนิดบุตรชื่อลาเมค
ปฐก 4.19 ลาเมคได้ภรรยาสองคน คนหนึ่งมีชื่อว่าอาดาห์ อีกคนหนึ่งมีชื่อว่าศิลลาห์
ปฐก 4.23 ลาเมคพูดกับภรรยาทั้งสองของเขาว่า “อาดาห์และศิลลาห์ จงฟังเสียงของเรา ภรรยาทั้งสองของลาเมค จงเชื่อฟังถ้อยคำของเรา เพราะเราได้ฆ่าคนๆหนึ่งที่ทำให้เราบาดเจ็บ ชายหนุ่มที่ทำอันตรายแก่เรา
ปฐก 4.24 ถ้าผู้ที่ฆ่าคาอินจะได้รับโทษเป็นเจ็ดเท่า แล้วผู้ที่ฆ่าลาเมคจะได้รับโทษเจ็ดสิบเจ็ดเท่าเป็นแน่”
ปฐก 5.25 เมธูเสลาห์อยู่มาได้ร้อยแปดสิบเจ็ดปี และให้กำเนิดบุตรชื่อลาเมค
ปฐก 5.26 ตั้งแต่เมธูเสลาห์ให้กำเนิดลาเมคแล้ว ก็มีอายุต่อไปอีกเจ็ดร้อยแปดสิบสองปี และให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน
ปฐก 5.28 ลาเมคอยู่มาได้ร้อยแปดสิบสองปี และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง
ปฐก 5.30 ตั้งแต่ลาเมคให้กำเนิดโนอาห์แล้ว ก็มีอายุต่อไปอีกห้าร้อยเก้าสิบห้าปี และให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน
ปฐก 5.31 รวมอายุของลาเมคได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดปีและเขาได้สิ้นชีวิต
1พศด 1.3 เอโนค เมธูเสลาห์ ลาเมค
ลก 3.36 ซึ่งเป็นบุตรเคนัน ซึ่งเป็นบุตรอารฟาซัด ซึ่งเป็นบุตรเชม ซึ่งเป็นบุตรโนอาห์ ซึ่งเป็นบุตรลาเมค

ลาย ( 13 )
ปฐก 30.35 วันนั้นเขาก็คัดแพะตัวผู้ที่ลายและที่ด่าง และแพะตัวเมียที่มีจุดและที่ด่าง แพะที่ขาวบ้างทั้งหมดและแกะดำทั้งหมด มามอบให้บุตรชายของเขา
ปฐก 30.39 ฝูงสัตว์ก็ตั้งท้องตรงหน้าไม้นั้น ดังนั้นฝูงสัตว์จึงมีลูกที่มีลายมีจุดและด่าง
ปฐก 30.40 ยาโคบก็แยกลูกแกะและให้ฝูงแพะแกะนั้นอยู่ตรงหน้าแกะที่มีลาย และแกะดำทุกตัวในฝูงของลาบัน แต่ฝูงแพะแกะของตนนั้นอยู่ต่างหาก ไม่ให้ปะปนกับฝูงสัตว์ของลาบัน
ปฐก 31.8 ถ้าบิดาบอกว่า ‘สัตว์ที่มีจุดจะเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็มีลูกมีจุด และถ้าบิดาบอกว่า ‘สัตว์ตัวที่ลายเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็มีลูกลายหมด
ปฐก 31.10 ครั้นมาในฤดูที่สัตว์เหล่านั้นตั้งท้อง ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นดู ก็เห็นในความฝันว่า ดูเถิด แพะตัวผู้ที่สมจรกับฝูงสัตว์นั้นเป็นแพะลาย แพะจุด และแพะลายเป็นแถบๆ
ปฐก 31.12 พระองค์ตรัสว่า ‘เงยหน้าขึ้นดู แพะตัวผู้ทุกตัวที่สมจรกับฝูงสัตว์นั้น เป็นสัตว์ลายและมีจุดและลายเป็นแถบๆ เพราะเราเห็นทุกสิ่งที่ลาบันทำกับเจ้า
1พกษ 7.22 และบนยอดเสานั้นเป็นลายดอกบัว งานของเสาก็สำเร็จดังนี้แหละ
1พกษ 7.31 ช่องเปิดอยู่ในบัวคว่ำ ซึ่งยื่นขึ้นไปหนึ่งศอก ช่องเปิดนั้นกลมอย่างที่เขาทำแท่น ลึกหนึ่งศอกคืบ ตรงช่องเปิดมีลายสลัก และแผงนั้นก็สี่เหลี่ยมไม่กลม
1พกษ 7.36 ที่พื้นกรอบและพื้นแผง ท่านสลักเป็นรูปเครูบ สิงโต และต้นอินทผลัม ตามที่ว่างของแต่ละสิ่ง มีลายมาลัยรอบ
ยรม 13.23 คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณของตนเองได้หรือ หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่วจะมากระทำความดีก็ได้

ลายพระหัตถ์ ( 7 )
อพย 32.16 แผ่นศิลาเหล่านั้นเป็นงานจากฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า และอักษรที่จารึกนั้นเป็นลายพระหัตถ์ของพระเจ้า สลักไว้บนแผ่นศิลานั้น
2ซมอ 11.15 ในลายพระหัตถ์นั้นว่า “จงตั้งอุรีอาห์ให้เป็นกองหน้าเข้าสู้รบตรงที่ดุเดือดที่สุดแล้วล่าทัพกลับเสียเพื่อให้เขาถูกโจมตีให้ตาย”
1พกษ 21.11 และพวกผู้ชายของเมืองนั้น คือพวกผู้ใหญ่และขุนนางผู้อาศัยอยู่ในเมืองนั้น ได้กระทำตามที่เยเซเบลมีไปถึงพวกเขา ตามที่ปรากฏในลายพระหัตถ์ซึ่งพระนางทรงมีไปถึงเขานั้น
2พกษ 10.6 แล้วพระองค์ทรงมีลายพระหัตถ์ไปถึงเขาฉบับที่สองว่า “ถ้าท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายเรา และถ้าท่านพร้อมที่จะเชื่อฟังเสียงของเรา จงนำศีรษะของบรรดาโอรสนายของท่านมาหาเราที่ยิสเรเอลพรุ่งนี้เวลานี้” ฝ่ายโอรสของกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ด้วยกัน อยู่กับคนใหญ่คนโตในเมือง ผู้ซึ่งได้ชุบเลี้ยงท่านทั้งหลายมา
2พกษ 10.7 และอยู่มาเมื่อลายพระหัตถ์มาถึงเขาทั้งหลาย เขาก็จับโอรสของกษัตริย์ฆ่าเสียเจ็ดสิบองค์ด้วยกัน เอาศีรษะใส่ตะกร้าส่งไปยังพระองค์ที่ยิสเรเอล
1พศด 28.19 ดาวิดตรัสว่า “สิ่งทั้งปวงเหล่านี้พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจโดยอาศัยลายพระหัตถ์ของพระองค์เหนือข้าพเจ้า คืองานทุกอย่างซึ่งจะต้องกระทำตามแผนผังนั้น”
2พศด 2.11 แล้วหุรามกษัตริย์แห่งเมืองไทระทรงตอบเป็นลายพระหัตถ์ ซึ่งพระองค์ทรงมีไปถึงซาโลมอนว่า “เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงรักประชาชนของพระองค์ พระองค์จึงทรงกระทำให้ท่านเป็นกษัตริย์เหนือเขาทั้งหลาย”

ลายมือ ( 2 )
1คร 16.21 คำแสดงความนับถือนี้เป็นลายมือของข้าพเจ้า เปาโล
คส 4.18 คำแสดงความคิดถึงนี้เป็นลายมือของข้าพเจ้า เปาโล ขอท่านจงระลึกถึงโซ่ตรวนของข้าพเจ้า ขอให้พระคุณดำรงอยู่กับท่านด้วยเถิด เอเมน [เขียนจากกรุงโรมถึงชาวโคโลสี และส่งโดยทีคิกัสและโอเนสิมัส]

ลายลักษณ์ ( 4 )
2พศด 36.22 ในปีแรกแห่งรัชกาลไซรัสกษัตริย์ของเปอร์เซีย เพื่อพระวจนะของพระเยโฮวาห์ทางปากของเยเรมีย์จะสำเร็จ พระเยโฮวาห์ทรงรบเร้าจิตใจของไซรัสกษัตริย์ของเปอร์เซีย กษัตริย์จึงทรงมีประกาศตลอดราชอาณาจักรของพระองค์ และบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงด้วยว่า
อสร 1.1 ในปีแรกแห่งรัชกาลไซรัสกษัตริย์ของเปอร์เซีย เพื่อพระวจนะของพระเยโฮวาห์ทางปากของเยเรมีย์จะสำเร็จ พระเยโฮวาห์ทรงรบเร้าจิตใจของไซรัสกษัตริย์ของเปอร์เซีย กษัตริย์จึงทรงมีประกาศตลอดราชอาณาจักรของพระองค์ และบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงด้วยว่า
อสธ 9.25 แต่เมื่อพระนางเอสเธอร์เข้าเฝ้ากษัตริย์ พระองค์ทรงบัญชาเป็นลายลักษณ์อักษรให้แผนการมุ่งร้ายของท่าน ซึ่งท่านได้คิดต่อพวกยิวนั้น กลับตกลงบนศีรษะของท่านเอง และให้ตัวท่านกับบุตรชายของท่านถูกแขวนบนตะแลงแกง
อสธ 9.29 แล้วพระราชินีเอสเธอร์ ธิดาของอาบีฮาอิล กับโมรเดคัยคนยิว ก็เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรรับรองจดหมายฉบับที่สองนี้เรื่องเทศกาลเปอร์ริม

ล้าหลัง ( 2 )
1ซมอ 30.9 ดาวิดก็ยกออกติดตามพร้อมกับคนที่อยู่กับท่านหกร้อยนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็พักอยู่ที่นั่น
อสย 14.31 โอ ประตูเมืองเอ๋ย พิลาปร่ำไห้ซิ โอ กรุงเอ๋ย จงร้องไห้ ประเทศฟีลิสเตียเอ๋ย เจ้าทุกคนจงละลายเสีย เพราะควันจะออกมาจากทิศเหนือ และจะไม่มีคนล้าหลังในแถวของเขาเลย”

ลาออก ( 1 )
วนฉ 3.19 แล้วตัวท่านกลับไปจากรูปเคารพสลักที่อยู่ใกล้กิลกาลทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระองค์มีข้อราชการลับที่จะกราบทูลให้ทรงทราบ” กษัตริย์จึงมีบัญชาว่า “เงียบๆ” บรรดามหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ก็ทูลลาออกไปหมด

ลาอาดาห์ ( 1 )
1พศด 4.21 บุตรชายของเช-ลาห์ผู้เป็นบุตรชายยูดาห์ คือ เอร์ บิดาของเลคาห์ ลาอาดาห์บิดาของมาเรชาห์ และบรรดาครอบครัวแห่งวงศ์วานของผู้ทำผ้าป่านเนื้อละเอียดแห่งวงศ์วานอัชเบอา

ลาอิช ( 6 )
วนฉ 18.7 ชายทั้งห้าคนก็จากไปถึงเมืองลาอิช เห็นประชาชนที่อยู่ที่เมืองนั้น เห็นชาวเมืองอยู่อย่างไร้กังวลตามลักษณะคนไซดอน อย่างสงบ ไม่หวาดระแวงอะไร และในแผ่นดินนั้นไม่มีผู้พิพากษาที่จะให้เขาอับอายในเรื่องใดๆ เขาอยู่ห่างไกลจากคนไซดอน ไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับคนอื่นเลย
วนฉ 18.14 แล้วชายทั้งห้าคนที่ไปสอดแนมดูเมืองลาอิชก็บอกแก่พี่น้องของตนว่า “ท่านทราบไหมว่าในบ้านเหล่านี้มีรูปเอโฟด รูปพระ รูปแกะสลัก และรูปหล่อ ฉะนั้นบัดนี้ขอใคร่ครวญว่าท่านทั้งหลายจะทำประการใด”
วนฉ 18.27 คนดานนำเอาสิ่งที่มีคาห์สร้างขึ้น และนำปุโรหิตซึ่งเป็นของเขามาด้วย ก็เดินทางมาถึงลาอิช มาถึงประชาชนที่อยู่อย่างสงบและไม่หวาดระแวงอะไร จึงประหารคนเหล่านั้นด้วยคมดาบและเอาไฟเผาเมืองเสีย
วนฉ 18.29 เขาตั้งชื่อเมืองนั้นว่าดาน ตามชื่อดานบรรพบุรุษของเขา ผู้ซึ่งเกิดกับอิสราเอล แต่ตอนแรกเมืองนั้นชื่อว่าลาอิช
1ซมอ 25.44 ซาอูลได้ทรงยกมีคาลราชธิดาของพระองค์ ผู้เป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรชายลาอิชชาวกัลลิมแล้ว
2ซมอ 3.15 อิชโบเชทจึงทรงให้คนไปพามีคาลมาจากสามีของเธอ คือปัลทีเอลบุตรชายของลาอิช

ลาเอล ( 1 )
กดว 3.24 มีเอลียาสาฟบุตรชายลาเอลเป็นหัวหน้าเรือนบรรพบุรุษของเกอร์โชน

ลาฮาด ( 1 )
1พศด 4.2 เรอายาห์บุตรชายโชบาลให้กำเนิดบุตรชื่อยาหาท และยาหาทให้กำเนิดบุตรชื่ออาหุมัยและลาฮาด เหล่านี้เป็นครอบครัวของชาวโศราห์

ลาไฮรอย ( 2 )
ปฐก 24.62 ฝ่ายอิสอัคมาจากบ่อน้ำลาไฮรอย เพราะท่านไปอาศัยอยู่ทางใต้
ปฐก 25.11 และต่อมาหลังจากที่อับราฮัมสิ้นชีวิตแล้ว พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่อิสอัคบุตรชายของท่าน อิสอัคอาศัยอยู่ริมบ่อน้ำลาไฮรอย

ลำ ( 28 )
อพย 25.32 ให้มีกิ่งหกกิ่ง แยกออกจากลำคันประทีปนั้นข้างละสามกิ่ง
อพย 25.33 กิ่งหนึ่งมีดอกเหมือนดอกอัลมันด์สามดอก ทุกๆดอกให้มีดอกตูมและกลีบ อีกกิ่งหนึ่งให้มีดอกสามดอกเหมือนดอกอัลมันด์ ทุกๆดอกให้มีดอกตูมและกลีบ ให้เป็นดังนี้ทั้งหกกิ่งซึ่งยื่นออกจากลำคันประทีป
อพย 25.34 สำหรับลำคันประทีปนั้นให้มีดอกสี่ดอกเหมือนดอกอัลมันด์ ทั้งดอกตูมและกลีบ
อพย 25.35 ใต้กิ่งทุกๆคู่ทั้งหกกิ่งที่ลำคันประทีปนั้น ให้มีดอกตูมเป็นเนื้อเดียวกันกับคันประทีป
อพย 37.18 มีกิ่งหกกิ่งแยกออกจากลำคันประทีปนั้นข้างละสามกิ่ง
อพย 37.19 แต่ละกิ่งมีดอกเหมือนดอกอัลมันด์สามดอก ทุกๆดอกมีดอกตูมและกลีบ เป็นดังนี้ทั้งหกกิ่ง ซึ่งยื่นออกจากลำคันประทีป
อพย 37.20 สำหรับลำคันประทีปนั้นมีดอกสี่ดอกเหมือนดอกอัลมันด์ ทั้งดอกตูมและกลีบ
อพย 37.21 ใต้กิ่งทุกๆคู่ทั้งหกกิ่งที่ลำคันประทีปนั้น ให้มีดอกตูมเป็นเนื้อเดียวกันกับคันประทีป
โยบ 28.10 เขาขุดลำรางไว้ในหิน และตาของเขาเห็นของประเสริฐทุกอย่าง
โยบ 30.6 ฉะนั้น เขาต้องพักอยู่ที่ลำละหาน ในโพรงดินและซอกหิน
อสค 23.20 เธอลุ่มหลงชู้ของเธอที่นั่น ลำเนื้อของเขาก็เหมือนของลา และของเขาก็เหมือนของม้า
ยนา 1.3 แต่โยนาห์ได้ลุกขึ้นหนีไปยังเมืองทารชิชจากพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ท่านได้ลงไปยังเมืองยัฟฟา และพบกำปั่นลำหนึ่งกำลังไปเมืองทารชิช ดังนั้นท่านจึงชำระค่าโดยสาร และขึ้นเรือเดินทางร่วมกับเขาทั้งหลายไปยังเมืองทารชิชให้พ้นจากพระพักตร์พระเยโฮวาห์
มก 4.28 เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง
มก 4.36 เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้น และมีเรืออื่นเล็กๆหลายลำไปกับพระองค์ด้วย
ลก 5.2 และพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนั้น แต่ชาวประมงขึ้นจากเรือแล้วกำลังซักอวนอยู่
ลก 5.3 พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่ง เป็นเรือของซีโมน และทรงขอให้เขาถอยไปจากฝั่งหน่อยหนึ่ง แล้วพระองค์ทรงนั่งลงสอนประชาชนจากเรือนั้น
ลก 5.7 เขาจึงทำสำคัญแก่ผู้ร่วมงานที่อยู่ในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย เขาก็มาช่วย แล้วได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลำ จนเรือเริ่มจมลง
ยน 6.22 วันรุ่งขึ้น เมื่อคนที่อยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่าไม่มีเรืออื่นที่นั่น เว้นแต่ลำที่เหล่าสาวกของพระองค์ลงไปเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูมิได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก แต่เหล่าสาวกของพระองค์ไปตามลำพังเท่านั้น
ยน 6.23 (แต่มีเรือลำอื่นมาจากทิเบเรียส ใกล้สถานที่ที่เขาได้กินขนมปัง หลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอบพระคุณแล้ว)
กจ 21.2 เราพบเรือลำหนึ่งที่ไปเมืองฟินิเซีย จึงลงเรือลำนั้นแล่นต่อไป
กจ 27.2 เราทั้งหลายจึงลงเรือลำหนึ่งมาจากเมืองอัดรามิททิยุม ซึ่งจะออกไปยังตำบลที่อยู่ตามฝั่งแคว้นเอเชีย เรือก็ออกทะเล มีคนหนึ่งอยู่กับเราชื่ออาริสทารคัส ชาวมาซิโดเนียซึ่งมาจากเมืองเธสะโลนิกา
กจ 27.6 ที่เมืองนั้นนายร้อยได้พบเรือลำหนึ่งมาจากเมืองอเล็กซานเดรียจะไปยังประเทศอิตาลี ท่านจึงให้พวกเราลงเรือลำนั้น
กจ 28.11 ครั้นล่วงไปสามเดือน พวกเราจึงลงในเรือกำปั่นซึ่งมาจากเมืองอเล็กซานเดรียและค้างอยู่ที่เกาะนั้นในฤดูหนาว กำปั่นลำนั้นมีรูปลูกแฝดชื่อแคสเตอร์และพอลลักซ์เป็นเครื่องหมาย

ล้ำ ( 3 )
1พกษ 4.30 และสติปัญญาของซาโลมอนล้ำกว่าสติปัญญาทั้งสิ้นของชาวตะวันออกและกว่าบรรดาสติปัญญาของอียิปต์
2พศด 9.6 แต่หม่อมฉันมิได้เชื่อถ้อยคำนั้น จนหม่อมฉันมาเฝ้า และตาของหม่อมฉันได้เห็นเอง และดูเถิด ที่เขาบอกแก่หม่อมฉันก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่งแห่งพระสติปัญญาใหญ่ยิ่งของพระองค์ พระองค์เลิศล้ำยิ่งไปกว่าข่าวคราวที่หม่อมฉันได้ยิน
อสค 32.19 ในเรื่องความงาม ท่านงามล้ำกว่าผู้ใดๆหรือ จงลงไป ไปนอนกับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต

ลำแขน ( 1 )
ปฐก 49.24 แต่ธนูของเขาเองยืนหยัดต่อสู้ ลำแขนของเขามีกำลังขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงเดชานุภาพของยาโคบ (ผู้เลี้ยงแกะคือศิลาแห่งอิสราเอลมาจากพระองค์นั้น)

ลำคลอง ( 2 )
อพย 7.19 พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘เอาไม้เท้าของท่านชี้ไปเหนือน้ำทั้งหลายแห่งอียิปต์ คือเหนือลำคลอง แม่น้ำ บึง และสระทั้งหมดของเขา เพื่อน้ำจะกลายเป็นเลือดและจะมีเลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์ ทั้งที่อยู่ในภาชนะไม้และภาชนะหิน’”
อพย 8.5 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘ให้เหยียดมือที่ถือไม้เท้าออกเหนือลำคลอง เหนือแม่น้ำ และเหนือบึงให้ฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์’”

ลำคอ ( 7 )
โยบ 41.22 กำลังอยู่ในลำคอของมัน และความสยดสยองเต้นอยู่ข้างหน้ามัน
สดด 5.9 เพราะในปากของเขาเหล่านั้นไม่มีความสัตย์ซื่อ จิตใจของเขาก็คือความชั่วร้าย ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาประจบสอพลอด้วยลิ้นของเขา
พซม 1.10 แก้มทั้งสองของเธองามด้วยอาภรณ์ประดับเพชรพลอย ลำคอของเธอก็สวยมีสร้อยทองคำ
พซม 4.4 ลำคอของเธอดุจป้อมของดาวิดที่ได้ก่อสร้างไว้เพื่อเก็บเครื่องอาวุธ มีดั้งพันหนึ่งแขวนไว้ ทั้งหมดเป็นโล่ของทแกล้วทหาร
พซม 7.4 ลำคอของเธอประหนึ่งหอคอยสร้างด้วยงาช้าง เนตรทั้งสองของเธอดุจสระในเมืองเฮชโบนที่ริมประตูเมืองบัทรับบิม จมูกของเธอเหมือนหอแห่งเลบานอนซึ่งมองลงเห็นเมืองดามัสกัส
ยรม 2.25 ระวังอย่าให้เท้าของเจ้าขาดรองเท้า และระวังลำคอของเจ้าให้พ้นจากความกระหาย แต่เจ้ากล่าวว่า ‘หมดหวังเสียแล้ว เพราะข้าได้รักพระอื่น และข้าจะติดตามไป’
รม 3.13 ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง ภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูร้าย

ล้ำค่า ( 2 )
อสย 3.24 ต่อมาแทนน้ำอบจะมีแต่ความเน่า แทนผ้าคาดเอวจะมีเชือก แทนผมดัดจะมีแต่ศีรษะล้าน แทนเสื้องามล้ำค่าจะคาดเอวด้วยผ้ากระสอบ แทนความงดงามจะมีแต่รอยไหม้
ยก 5.7 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา ดูเถิด ชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน และเพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู

ลำเค็ญ ( 1 )
พคค 1.7 เยรูซาเล็มเมื่อตกอยู่ในยามทุกข์ใจและยามลำเค็ญก็ได้หวนระลึกถึงสิ่งประเสริฐที่ตนเคยมีในครั้งกระโน้น เมื่อพลเมืองของเธอตกอยู่ในมือของคู่อริ และหามีผู้ใดจะสงเคราะห์เธอไม่ พวกคู่อริเห็นเธอแล้วก็เยาะเย้ยวันสะบาโตทั้งหลายของเธอ

ลำดับ ( 18 )
ปฐก 5.1 นี้เป็นหนังสือลำดับพงศ์พันธุ์ของอาดัม ในวันที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์นั้น พระองค์ทรงสร้างตามแบบพระฉายาของพระเจ้า
อพย 28.21 พลอยเหล่านั้นให้มีชื่อเหล่าบุตรอิสราเอลสิบสองชื่อจารึกไว้เหมือนแกะตรา จะมีชื่อตระกูลทุกตระกูลตามลำดับสิบสองตระกูล
อพย 39.14 พลอยเหล่านั้นมีชื่อเหล่าบุตรอิสราเอลสิบสองชื่อ จารึกไว้เหมือนแกะตรา มีชื่อตระกูลทุกตระกูลตามลำดับสิบสองตระกูล
ลนต 1.8 และพวกปุโรหิต คือบุตรชายของอาโรน จะวางท่อนเนื้อ หัว และไขมันสัตว์ตามลำดับไว้บนฟืนบนไฟที่แท่นบูชา
ลนต 1.12 ให้เขาฟันสัตว์นั้นเป็นท่อนๆทั้งหัวและไขมันด้วย และปุโรหิตจะวางเครื่องเหล่านี้ตามลำดับไว้บนฟืนบนไฟที่แท่นบูชา
ยชว 2.6 แต่หญิงนั้นได้พาคนทั้งสองขึ้นบนหลังคาแล้วซ่อนตัวเขาไว้ใต้ต้นป่านซึ่งวางลำดับตากไว้ที่ดาดฟ้าบนหลังคานั้น
2พศด 17.12 และเยโฮชาฟัททรงเจริญใหญ่ยิ่งขึ้นเป็นลำดับ พระองค์ทรงสร้างป้อมและหัวเมืองคลังหลวงไว้ในยูดาห์
โยบ 33.5 ถ้าท่านตอบข้าพเจ้าได้ ก็ตอบซี จงลำดับถ้อยคำของท่านต่อหน้าข้าพเจ้า เชิญเถอะ
อสย 44.7 ใครเหมือนเราจะป่าวร้องได้ ให้เขาแจ้งให้ทราบ และให้เขาลำดับเรื่องต่อหน้าเราตั้งแต่เราได้สถาปนาประชาชนโบราณ และให้เขาบอกแก่เขาทั้งหลายถึงสิ่งต่างๆที่จะเป็นมาและอะไรจะเกิดขึ้นนั้น
มธ 1.1 หนังสือลำดับพงศ์พันธุ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นบุตรของดาวิด ผู้ทรงเป็นบุตรของอับราฮัม
ลก 1.3 เรียนท่านเธโอฟีลัส ที่เคารพอย่างสูง ข้าพเจ้าเองก็ได้รู้ทุกสิ่งอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น จึงได้เห็นดีด้วยที่จะเรียบเรียงเรื่องตามลำดับฝากให้ท่านด้วย
กจ 3.24 และบรรดาศาสดาพยากรณ์ ตั้งแต่ซามูเอลเป็นลำดับมาก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันพยากรณ์ถึงกาลครั้งนี้
กจ 11.4 แต่เปโตรได้อธิบายให้เขาฟังตั้งแต่ต้นเป็นลำดับมาว่า
กจ 18.23 ครั้นยับยั้งอยู่ที่นั่นหน่อยหนึ่ง ท่านจึงไปตลอดแว่นแคว้นกาลาเทียและฟรีเจียตามลำดับกันไปเรื่อยๆ เพื่อจะช่วยชูกำลังพวกสาวก
กจ 21.19 เมื่อเปาโลคำนับท่านเหล่านั้นแล้ว จึงได้กล่าวถึงเหตุการณ์ทั้งปวงตามลำดับ ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดกระทำในหมู่คนต่างชาติโดยการปรนนิบัติของท่าน
1คร 15.23 แต่ว่าทุกคนจะเป็นไปตามลำดับ คือพระคริสต์ทรงเป็นผลแรก แล้วภายหลังก็คือคนทั้งหลายที่เป็นของพระคริสต์ ในเมื่อพระองค์จะเสด็จมา
2คร 3.18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าไว้ จึงแลดูสง่าราศีขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนมองดูในกระจก และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือมีสง่าราศีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างสง่าราศีที่มาจากพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1ทธ 1.4 ทั้งไม่ให้เขาใส่ใจในเรื่องนิยายต่างๆและเรื่องลำดับวงศ์ตระกูลอันไม่รู้จบ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปัญหามากกว่าให้เกิดความจำเริญในทางของพระเจ้า อันดำเนินไปด้วยความเชื่อ ก็จงกระทำดังนั้น

ลำต้น ( 2 )
ยรม 2.27 ผู้กล่าวแก่ลำต้นว่า ‘ท่านเป็นบิดาของข้าพเจ้า’ และกล่าวแก่ศิลาว่า ‘ท่านคลอดข้าพเจ้ามา’ เพราะเขาทั้งหลายได้หันหลังให้แก่เรา มิใช่หันหน้ามาให้ แต่เมื่อถึงเวลาลำบากเขาจะกล่าวว่า ‘ขอทรงลุกขึ้นช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด’
ยรม 3.9 ต่อมาเพราะการแพศยาเป็นการเบาแก่เธอมาก เธอก็กระทำให้แผ่นดินโสโครกไป โดยไปล่วงประเวณีกับศิลากับลำต้น

ลำตัว ( 3 )
อพย 25.31 เจ้าจงทำคันประทีปอันหนึ่งด้วยทองคำบริสุทธิ์ จงใช้ฝีค้อนทำคันประทีป ให้ทั้งลำตัว กิ่ง ดอก ดอกตูม และกลีบติดเป็นเนื้อเดียวกันคันประทีปนั้น
อพย 37.17 เขาทำคันประทีปอันหนึ่งด้วยทองคำบริสุทธิ์ เขาใช้ฝีค้อนทำคันประทีป ให้ทั้งลำตัว กิ่ง ดอก ดอกตูม และกลีบติดเป็นเนื้อเดียวกันคันประทีปนั้น
1ซมอ 5.4 แต่เมื่อเขาทั้งหลายตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนก็ล้มหน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรงหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์ เศียรของพระดาโกนและฝ่ามือทั้งสองก็ถูกตัดออกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่แต่ลำตัวพระดาโกน

ลำธาร ( 63 )
ปฐก 32.22 กลางคืนนั้นเอง ยาโคบก็ลุกขึ้น พาภรรยาทั้งสอง สาวใช้ทั้งสองและบุตรชายสิบเอ็ดคนข้ามลำธารชื่อยับบอกไป
ปฐก 32.23 ยาโคบส่งครอบครัวข้ามลำธารไป และส่งของทั้งหมดของตนข้ามไปด้วย
กดว 13.23 เขาทั้งหลายมาถึงลำธารเอชโคล์ ที่นั่นเขาตัดองุ่นกิ่งหนึ่งมีองุ่นพวงหนึ่ง สองคนใช้ไม้คานหามมา เขาเก็บผลทับทิมและมะเดื่อมาบ้าง
พบญ 2.13 ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘บัดนี้เจ้าทั้งหลายจงยกเดินข้ามลำธารเศเรด’ เราทั้งหลายจึงข้ามลำธารเศเรด
พบญ 2.14 และนับตั้งแต่เรามาจากคาเดชบารเนีย จนถึงได้ข้ามลำธารเศเรดนั้นได้สามสิบแปดปีจนสิ้นยุคนั้น คือคนทั้งหลายที่จะออกทัพได้นั้นตายหมดจากท่ามกลางค่าย ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณกับเขาไว้
พบญ 9.21 แล้วข้าพเจ้าจึงเอาสิ่งที่บาปหนานั้น คือรูปลูกวัวซึ่งท่านสร้างขึ้นนั้นเผาเสียด้วยไฟ แล้วทุบแล้วบดให้เป็นผงละเอียดอย่างกับฝุ่น แล้วข้าพเจ้าก็โยนผงนั้นลงไปในลำธารซึ่งไหลลงมาจากภูเขา
พบญ 10.7 เขาทั้งหลายเดินทางออกจากที่นั่นมาถึงกุดโกดาห์ และจากกุดโกดาห์ถึงโยทบาธาห์เป็นแผ่นดินที่มีแม่น้ำลำธารมาก
1ซมอ 17.40 แล้วจึงถือไม้เท้าไว้ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขาในถุงของเขาและมือถือสลิงอยู่ เขาก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น
1ซมอ 30.9 ดาวิดก็ยกออกติดตามพร้อมกับคนที่อยู่กับท่านหกร้อยนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็พักอยู่ที่นั่น
1ซมอ 30.10 แต่ดาวิดติดตามต่อไป ทั้งตัวท่านและคนสี่ร้อย สองร้อยที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่
1ซมอ 30.21 แล้วดาวิดกลับมายังคนสองร้อยผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามดาวิดไป ซึ่งให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ และเขาก็ออกไปต้อนรับดาวิดและต้อนรับประชาชนที่อยู่กับท่าน เมื่อดาวิดเข้ามาใกล้ประชาชน ท่านก็คำนับเขาทั้งหลาย
2ซมอ 15.23 เมื่อพลทั้งหมดเดินผ่านไปเสีย ชาวเมืองนั้นทั้งสิ้นก็ร้องไห้เสียงดัง กษัตริย์ก็เสด็จข้ามลำธารขิดโรน และพลทั้งหมดก็ผ่านเข้าทางไปถิ่นทุรกันดาร
2ซมอ 17.20 เมื่อข้าราชการของอับซาโลมมาถึงที่บ้านหญิงคนนี้ เขาก็ถามว่า “อาหิมาอัสกับโยนาธานอยู่ที่ไหน” หญิงนั้นก็ตอบเขาว่า “เขาข้ามลำธารน้ำไปแล้ว” เมื่อเขาเที่ยวหาไม่พบแล้วก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
2ซมอ 23.30 เบไนยาห์ชาวปิราโธน ฮิดดัยชาวลำธารกาอัช
1พกษ 2.37 เพราะในวันที่ท่านออกไป และข้ามลำธารขิดโรนนั้น ท่านจงรู้เป็นแน่เถิดว่า ท่านจะต้องตายแน่ แล้วโลหิตของเจ้าจะต้องตกบนศีรษะของเจ้าเอง”
1พกษ 15.13 และพระองค์ทรงถอดมาอาคาห์พระอัยกีเสียจากตำแหน่งพระราชชนนี เพราะพระนางมีรูปเคารพน่าเกลียดน่าชังสร้างไว้ในเสารูปเคารพ และอาสาทรงฟันรูปเคารพของพระนางลง และทรงเผาเสียที่ลำธารขิดโรน
1พกษ 17.3 “จงออกไปจากที่นี่และหันไปทางตะวันออก และซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
1พกษ 17.4 เจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้บัญชาให้กาเลี้ยงเจ้าที่นั่น”
1พกษ 17.5 ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
1พกษ 17.6 และกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็น และท่านก็ดื่มน้ำจากลำธาร
1พกษ 17.7 และต่อมาภายหลังลำธารก็แห้ง เพราะไม่มีฝนในแผ่นดิน
1พกษ 18.5 และอาหับรับสั่งโอบาดีห์ว่า “จงไปให้ทั่วพื้นแผ่นดินไปหาธารน้ำพุ และไปให้ทั่วทุกลำธาร ชะรอยเราจะพบหญ้าและรักษาชีวิตม้าและล่อให้คงอยู่ได้ และไม่ต้องสูญเสียสัตว์ไปหมด”
1พกษ 18.40 และเอลียาห์บอกเขาว่า “จงจับผู้พยากรณ์ของพระบาอัล อย่าให้หนีไปได้สักคนเดียว” และเขาทั้งหลายก็ไปจับเขามา และเอลียาห์ก็นำเขาลงไปที่ลำธารคีโชนและฆ่าเขาเสียที่นั่น
2พกษ 23.6 และพระองค์ทรงนำเสารูปเคารพออกมาจากพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ภายนอกเยรูซาเล็มถึงลำธารขิดโรน และเผาเสียที่ลำธารขิดโรน และทรงทุบให้เป็นผงคลี และเหวี่ยงผงคลีนั้นลงบนหลุมศพของคนสามัญ
2พกษ 23.12 และแท่นบนหลังคาห้องชั้นบนของอาหัส ซึ่งบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ได้สร้างไว้ และแท่นบูชาซึ่งมนัสเสห์ได้สร้างไว้ในลานทั้งสองของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ กษัตริย์ทรงดึงลงมาให้หักเสียที่นั่น และทรงเหวี่ยงผงคลีของมันลงไปในลำธารขิดโรน
1พศด 11.32 หุรัย ชาวลำธารกาอัช อาบีเอล คนอารบาห์
2พศด 15.16 แม้ว่ามาอาคาห์พระมารดาของกษัตริย์อาสา พระองค์ก็ทรงถอดเสียจากเป็นพระราชชนนี เพราะพระนางได้กระทำรูปเคารพอันน่าเกลียดน่าชังในเสารูปเคารพ อาสาทรงโค่นรูปเคารพของพระนางลง และบดและเผาเสียที่ลำธารขิดโรน
2พศด 20.16 พรุ่งนี้ท่านทั้งหลายจงลงไปต่อสู้กับเขา ดูเถิด เขาจะขึ้นมาทางขึ้นที่ตำบลศิส ท่านจะพบเขาที่ปลายลำธาร ข้างหน้าถิ่นทุรกันดารเยรูเอล
2พศด 29.16 ปุโรหิตได้เข้าไปในส่วนข้างในของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์เพื่อชำระให้บริสุทธิ์ และเขานำสิ่งสกปรกที่เขาพบในพระวิหารของพระเยโฮวาห์ออกมาที่ลานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และคนเลวีก็ขนเอาของนั้นออกไปยังลำธารขิดโรน
2พศด 30.14 พวกเขาลุกขึ้นและได้กำจัดแท่นบูชาที่อยู่ในเยรูซาเล็มและแท่นสำหรับเผาเครื่องหอมทั้งปวงนั้น เขาขนไปทิ้งเสียในลำธารขิดโรน
2พศด 32.4 มีประชาชนเป็นอันมากรวบรวมกันเข้ามา และเขาทั้งหลายอุดน้ำพุและปิดลำธารซึ่งไหลผ่านแผ่นดินเสีย พูดว่า “ทำไมจะให้บรรดากษัตริย์อัสซีเรียยกมาพบน้ำเป็นอันมากเล่า”
นหม 2.15 แล้วข้าพเจ้าขึ้นไปกลางคืนทางลำธารและตรวจดูกำแพง แล้วกลับมาเข้าทางประตูหุบเขากลับที่เดิม
โยบ 6.15 พี่น้องของข้าทรยศอย่างลำธาร อย่างลำธารที่น้ำไหลล้น
โยบ 20.17 เขาจะไม่ได้เห็นแม่น้ำลำธาร หรือน้ำเอ่อล้น คือลำธารที่มีน้ำผึ้งและนมข้นไหลอยู่
โยบ 22.24 ท่านจะรวบรวมทองคำไว้เหมือนผงคลีดิน และทองคำเมืองโอฟีร์ไว้เหมือนหินในลำธาร
สดด 42.1 กวางกระเสือกกระสนหาลำธารที่มีน้ำไหลฉันใด โอ ข้าแต่พระเจ้า จิตวิญญาณของข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น
สดด 74.15 พระองค์ทรงแยกเปิดน้ำพุและลำธาร พระองค์ทรงให้แม่น้ำที่ไหลอยู่เสมอแห้งไป
สดด 78.16 พระองค์ทรงกระทำให้ลำธารออกมาจากหิน ทรงกระทำให้น้ำไหลลงมาเหมือนแม่น้ำ
สดด 78.20 ดูเถิด พระองค์ทรงตีหินให้น้ำพุออกมา และลำธารก็ไหลล้น พระองค์จะประทานขนมปังด้วยได้หรือ หรือทรงจัดเนื้อให้ประชาชนของพระองค์ได้หรือ
สดด 78.44 พระองค์ทรงเปลี่ยนแม่น้ำและลำธารของเขาให้เป็นเลือด เพื่อเขาดื่มอะไรไม่ได้
สดด 83.9 ขอทรงทำกับเขาอย่างพระองค์ทรงกระทำกับมีเดียน อย่างที่ทำกับสิเสราและยาบินที่ลำธารคีโชน
สดด 110.7 พระองค์ท่านจะทรงดื่มจากลำธารข้างทาง ฉะนั้นพระองค์ท่านจะทรงผงกพระเศียรขึ้น
สภษ 18.4 คำปากของคนเราเป็นน้ำลึก น้ำพุแห่งปัญญาเหมือนลำธารน้ำเชี่ยว
พซม 4.15 ตัวเธอประดุจดังน้ำพุในอุทยาน ประดุจบ่อน้ำแห่งชีวิต และประดุจลำธารไหลจากเลบานอน
อสย 15.7 เพราะฉะนั้นทรัพย์สินซึ่งเขาเก็บได้ และที่เขาสะสมไว้ เขาจะขนเอาไปข้ามลำธารต้นหลิว
อสย 27.12 ต่อมาในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงนวดเอาข้าวตั้งแต่แม่น้ำไปจนถึงลำธารอียิปต์ โอ ประชาชนอิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะถูกเก็บรวมเข้ามาทีละคนๆ
อสย 30.25 และบนภูเขาสูงทุกแห่ง และบนเนินสูงทุกแห่งจะมีแม่น้ำลำธารที่มีน้ำไหลในวันที่มีการประหัตประหารอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อหอคอยพังลง
อสย 30.28 พระปัสสาสะของพระองค์เหมือนลำธารท่วมท้น ที่ท่วมถึงกลางคอ เพื่อจะร่อนบรรดาประชาชาติด้วยตะแกรงแห่งความไร้สาระ และจะมีบังเหียนซึ่งพาให้หลงไปที่ขากรรไกรของชนชาติทั้งหลาย
อสย 33.21 แต่นั่นพระเยโฮวาห์จะทรงอยู่กับเราด้วยความโอ่อ่าตระการ ในที่ที่มีแม่น้ำและลำธารกว้าง ที่จะไม่มีเรือกรรเชียงใหญ่แล่นไป ที่จะไม่มีเรืองามโอ่อ่าผ่านไป
อสย 34.9 และลำธารแห่งเอโดมจะกลายเป็นยางมะตอย และดินของเมืองนี้จะกลายเป็นกำมะถัน แผ่นดินนี้จะกลายเป็นยางมะตอยที่ลุกอยู่
อสย 35.6 แล้วคนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง และลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลง เพราะน้ำจะพลุ่งขึ้นมาในถิ่นทุรกันดาร และลำธารจะพลุ่งขึ้นในทะเลทราย
อสย 44.3 เพราะเราจะเทน้ำลงบนผู้ที่กระหาย และลำธารลงบนดินแห้ง เราจะเทวิญญาณของเราเหนือเชื้อสายของเจ้า และพรของเราเหนือลูกหลานของเจ้า
อสย 44.4 เขาทั้งหลายจะงอกขึ้นมาท่ามกลางหญ้า เหมือนต้นหลิวข้างลำธารน้ำไหล
อสย 57.6 สวนของเจ้าอยู่ท่ามกลางหินเกลี้ยงเกลาแห่งลำธาร มัน มันเป็นส่วนของเจ้า เจ้าได้เทเครื่องดื่มบูชาและถวายธัญญบูชาให้แก่มัน เราจะรับการเล้าโลมในเรื่องสิ่งเหล่านี้หรือ
ยรม 18.14 คนจะละทิ้งหิมะแห่งภูเขาเลบานอนซึ่งมาจากหน้าผาแห่งทุ่งหรือ ลำธารที่ไหลเย็นจากที่อื่นจะแห้งไปหรือ
ยรม 31.40 หุบเขาแห่งซากศพและขี้เถ้าทั้งสิ้นนั้น และทุ่งนาทั้งหมดไกลไปจนถึงลำธารขิดโรนจนถึงมุมประตูม้าไปทางตะวันออก จะเป็นที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ จะไม่เป็นที่ถอนรากหรือคว่ำต่อไปอีกเป็นนิตย์”
อสค 31.12 คนต่างด้าว คือชนชาติที่น่ากลัวในบรรดาประชาชาติ ได้โค่นมันลงและทิ้งไว้ กิ่งของมันตกลงบนภูเขาทั้งหลายและในหุบเขาทั้งสิ้น และก้านของมันก็หักอยู่ตามแม่น้ำลำธารทั้งสิ้นของแผ่นดินนั้น และบรรดาชนชาติทั้งหลายในแผ่นดินโลกก็ลงไปเสียจากร่มเงาของมันและทิ้งมันไว้
อมส 5.24 แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลลงอย่างน้ำ และให้ความชอบธรรมเป็นอย่างลำธารที่ไหลอยู่เป็นนิตย์
ยน 18.1 เมื่อพระเยซูตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ได้เสด็จออกไปกับเหล่าสาวกของพระองค์ข้ามลำธารขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปในสวนนั้นกับเหล่าสาวก

ลำน้ำ ( 5 )
กดว 24.6 เหมือนหุบเขาที่ยืดไปไกล เหมือนสวนซึ่งอยู่ข้างแม่น้ำ เหมือนต้นกฤษณาซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปลูกไว้ เหมือนต้นสนสีดาร์ที่อยู่ข้างลำน้ำ
กดว 24.7 น้ำจะไหลออกจากถังของเขา และเชื้อสายของเขาจะมีอยู่ตามลำน้ำเป็นอันมาก กษัตริย์ของเขาจะสูงกว่ากษัตริย์อากัก ราชอาณาจักรของเขาจะรุ่งเรือง
2พกษ 5.12 อาบานาและฟารปาร์แม่น้ำเมืองดามัสกัสไม่ดีกว่าบรรดาลำน้ำแห่งอิสราเอลดอกหรือ ข้าจะชำระตัวในแม่น้ำเหล่านั้นและจะสะอาดไม่ได้หรือ” ท่านจึงหันตัวแล้วไปเสียด้วยความเดือดดาล
อสย 66.12 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะนำสันติภาพมาถึงเธออย่างกับแม่น้ำ และสง่าราศีของบรรดาประชาชาติ เหมือนลำน้ำที่กำลังล้น และเจ้าทั้งหลายจะได้ดูด เธอจะอุ้มเจ้าไว้ที่บั้นเอวของเธอ และเขย่าขึ้นลงที่เข่าของเธอ
ยรม 17.8 เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็จะไม่สังเกต เพราะใบของมันเขียวอยู่เสมอ และจะไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล”

ลำบาก ( 26 )
ลนต 25.43 เจ้าอย่าข่มขี่เขาให้ลำบาก แต่จงยำเกรงพระเจ้าของเจ้า
ยชว 7.3 และเขากลับมารายงานแก่โยชูวาว่า “ไม่ต้องให้ประชาชนทั้งหมดขึ้นไป ให้สักสองสามพันคนขึ้นไปตีเมืองอัยก็พอ ไม่ต้องให้ประชาชนทั้งหมดลำบากที่นั่นเลย เพราะเขามีคนน้อย”
1ซมอ 14.29 แล้วโยนาธานจึงกล่าวว่า “บิดาของข้ากระทำให้แผ่นดินลำบาก ดูซิว่าตาของข้าแจ่มแจ้งเพียงไร เพราะข้าได้รับประทานน้ำผึ้งนี้แต่เล็กน้อย
2ซมอ 22.28 พระองค์ทรงช่วยประชาชนที่ลำบากให้รอดพ้น แต่พระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่ยโสเพื่อนำเขาให้ต่ำลง
2พกษ 4.13 ท่านจึงบอกแก่เกหะซีว่า “จงบอกนางว่า ดูเถิด เธอลำบากมากมายอย่างนี้เพื่อเรา จะให้เราทำอะไรให้เธอบ้าง มีอะไรจะให้ทูลกษัตริย์เผื่อเธอหรือ หรือให้พูดอะไรกับผู้บัญชาการกองทัพ” นางตอบว่า “ดิฉันอยู่ในหมู่พวกพี่น้องของดิฉันค่ะ”
สดด 6.10 ขอให้ศัตรูทั้งสิ้นของข้าได้อายและลำบากยากนัก ขอให้เขาทั้งหลายหันกลับและได้รับความอับอายในพริบตาเดียว
สดด 73.5 เขาทั้งหลายไม่ลำบากอย่างคนอื่นๆ เขาทั้งหลายไม่รับภัยอย่างคนอื่นๆ
สดด 86.7 ในวันลำบากของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องทูลพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงตอบข้าพระองค์
สดด 88.3 เพราะจิตใจของข้าพระองค์ลำบากเต็มที และชีวิตของข้าพระองค์เข้าใกล้แดนผู้ตาย
สดด 91.15 เขาจะร้องทูลเรา และเราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก เราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขา
สดด 94.13 เพื่อจะให้เขาพักจากวันลำบากจนกว่าจะขุดบ่อไว้ให้คนชั่ว
สภษ 11.29 บุคคลผู้ทำให้ครัวเรือนของเขาลำบากจะรับลมเป็นมรดก และคนโง่จะเป็นคนใช้ของคนที่มีใจฉลาด
สภษ 25.19 การวางใจในคนที่ไม่ซื่อในยามลำบาก ก็เหมือนฟันที่หักเสียหรือเท้าที่หลุดจากข้อต่อ
ยรม 2.27 ผู้กล่าวแก่ลำต้นว่า ‘ท่านเป็นบิดาของข้าพเจ้า’ และกล่าวแก่ศิลาว่า ‘ท่านคลอดข้าพเจ้ามา’ เพราะเขาทั้งหลายได้หันหลังให้แก่เรา มิใช่หันหน้ามาให้ แต่เมื่อถึงเวลาลำบากเขาจะกล่าวว่า ‘ขอทรงลุกขึ้นช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด’
ยรม 2.28 แต่บรรดาพระของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า ซึ่งเป็นพระที่เจ้าสร้างไว้สำหรับตัวเอง ถ้ามันช่วยเจ้าให้รอดได้ ก็ให้มันลุกขึ้นช่วย เมื่อถึงเวลาลำบากของเจ้า โอ ยูดาห์เอ๋ย เจ้ามีหัวเมืองมากเท่าใด เจ้าก็มีพระมากเท่านั้น”
ยรม 11.12 แล้วหัวเมืองยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็มจะไปร้องทุกข์ต่อพระ ซึ่งเขาทั้งหลายได้เผาเครื่องหอมถวายนั้น แต่พระเหล่านั้นจะช่วยเขาให้รอดในเวลาลำบากไม่ได้
ยรม 11.14 เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าอธิษฐานเพื่อชนชาตินี้ อย่าร้องขึ้นหรืออธิษฐานเพื่อเขาทั้งหลาย เพราะเราจะไม่ฟังเมื่อเขาร้องต่อเราในเวลาลำบาก
ยรม 14.8 โอ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นความหวังแห่งอิสราเอล เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาในยามลำบาก ไฉนพระองค์จะทรงเป็นเหมือนคนต่างด้าวในแผ่นดิน หรือเหมือนคนเดินทางแวะอาศัยค้างเพียงคืนเดียว
ยรม 15.11 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “พวกที่เหลืออยู่จะอยู่เย็นเป็นสุข เราจะกระทำให้พวกศัตรูกระทำดีต่อเจ้าในเวลาลำบากและในเวลาทุกข์ใจ
อสค 32.9 เมื่อเราทำลายท่านท่ามกลางประชาชาติในประเทศซึ่งท่านไม่รู้จักนั้น เราจะกระทำให้จิตใจของชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากลำบาก
ดนล 9.25 เพราะฉะนั้นจงทราบและเข้าใจว่า นับตั้งแต่การที่พระบัญชานั้นออกไปให้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จนถึงสมัยพระเมสสิยาห์ ผู้เป็นประมุขก็เป็นเวลาเจ็ดสัปดาห์และเป็นเวลาหกสิบสองสัปดาห์ และถนนจะถูกสร้างขึ้นพร้อมด้วยกำแพงเมือง แต่ในยุคลำบาก
มก 6.48 แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงลำบากเพราะทวนลมอยู่ ครั้นเวลาสามยามเศษ พระองค์จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก และทรงดำเนินดังจะเลยเขาไป
มก 13.24 ภายหลังเมื่อคราวลำบากนั้นพ้นไปแล้ว ‘ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
ลก 7.6 พระเยซูจึงเสด็จไปกับเขา เมื่อพระองค์ไปเกือบจะถึงบ้านแล้ว นายร้อยจึงใช้เพื่อนฝูงไปหาพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากเลย เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาของข้าพระองค์
ลก 18.5 แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มากวนเราให้ลำบาก เราจะแก้แค้นให้เขา เพื่อมิให้นางมารบกวนบ่อยๆให้เรารำคาญใจ’”
1คร 7.28 ถ้าท่านจะแต่งงานก็ไม่มีความผิด และถ้าหญิงสาวพรหมจารีจะแต่งงานก็ไม่มีความผิด แต่คนที่แต่งงานนั้นคงจะต้องยุ่งยากลำบากในฝ่ายเนื้อหนัง แต่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะให้ท่านพ้นจากความยุ่งยากนั้น

ลำบากใจ ( 6 )
ปฐก 34.30 ฝ่ายยาโคบจึงพูดกับสิเมโอนและเลวีว่า “เจ้าทำให้เราลำบากใจ โดยทำให้เราเป็นที่เกลียดชังแก่คนแผ่นดินนี้ คือคนคานาอันกับคนเปริสซี เรามีผู้คนน้อยนัก เขาทั้งหลายจะรุมกันมาฆ่าเราเสีย จะทำให้เราและครอบครัวพินาศสิ้น”
2ซมอ 11.25 ดาวิดก็รับสั่งผู้สื่อสารนั้นว่า “เจ้าจงบอกโยอาบดังนี้ว่า ‘อย่าให้เรื่องนี้ทำให้ท่านลำบากใจ เพราะดาบย่อมสังหารไม่เลือกว่าคนนั้นหรือคนนี้ จงสู้รบหนักเข้าไปและตีเอาเมืองนั้นเสียให้ได้’ เจ้าจงหนุนน้ำใจท่านด้วย”
โยบ 4.5 แต่บัดนี้มาถึงท่านแล้ว และท่านก็ท้อใจ มันแตะต้องท่านเข้า และท่านก็ลำบากใจ
สดด 30.7 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ โดยความโปรดปรานของพระองค์ พระองค์ทรงสถาปนาข้าพระองค์ไว้อย่างภูเขาเข้มแข็ง พอพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์ ข้าพระองค์ก็ลำบากใจ
สดด 104.29 เมื่อพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์เสีย มันทั้งหลายก็ลำบากใจ เมื่อพระองค์ทรงเอาลมหายใจมันไปเสีย มันก็ตาย และกลับเป็นผงคลี
ยน 6.61 เมื่อพระเยซูทรงทราบเองว่าเหล่าสาวกของพระองค์บ่นถึงเรื่องนั้น พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้ท่านทั้งหลายลำบากใจหรือ

ลำบากลำบน ( 1 )
กดว 11.11 โมเสสจึงกราบทูลพระเยโฮวาห์ว่า “ไฉนพระองค์จึงให้ผู้รับใช้ของพระองค์ลำบากลำบนเช่นนี้ เหตุใดข้าพระองค์ไม่เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์จึงทรงวางภาระของชนชาติทั้งหมดนี้ลงบนข้าพระองค์

ลำพอง ( 1 )
1คร 8.1 แล้วเรื่องของที่เขาบูชาแก่รูปเคารพนั้น เราทั้งหลายทราบแล้วว่าเราทุกคนต่างก็มีความรู้ ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น

ลำพัง ( 39 )
อพย 14.12 พวกเราบอกท่านในอียิปต์แล้วมิใช่หรือว่า ‘ปล่อยพวกเราแต่ลำพัง ให้พวกเรารับใช้ชาวอียิปต์เถิด’ เพราะการรับใช้ชาวอียิปต์นั้น ก็ยังดีกว่าที่จะมาตายในถิ่นทุรกันดาร”
ลนต 13.46 เขาจะเป็นมลทินอยู่ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรค เขาเป็นมลทิน เขาจะต้องอยู่แต่ลำพังภายนอกค่าย
กดว 11.14 ข้าพระองค์ไม่สามารถหอบอุ้มคนเหล่านี้แต่ลำพังได้ เป็นภาระหนักเกินแก่ข้าพระองค์
กดว 11.17 เราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น และเราจะเอาวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนคนเหล่านั้นเสียบ้าง ให้เขาทั้งหลายแบกภาระของชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง
กดว 23.9 เพราะข้าพเจ้าได้ดูเขาจากยอดผา จากเนินสูงข้าพเจ้าได้เห็นเขาแน่ะ ดูเถิด ชนชาติหนึ่งอยู่ลำพังและมิได้นับเข้าในหมู่ประชาชาติ
วนฉ 3.20 และเอฮูดก็เข้าไปเฝ้าท่าน ขณะนั้นท่านประทับอยู่ลำพังในห้องเย็นชั้นบนของท่าน และเอฮูดทูลว่า “ข้าพระองค์มีพระดำรัสจากพระเจ้าถวายพระองค์” ท่านจึงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง
2ซมอ 18.24 ฝ่ายดาวิดประทับอยู่ระหว่างประตูเมืองทั้งสอง มีทหารยามขึ้นไปอยู่บนหลังคาซุ้มประตูที่กำแพงเมือง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายคนหนึ่งวิ่งมาลำพัง
2ซมอ 18.25 ทหารยามคนนั้นก็ร้องกราบทูลกษัตริย์ กษัตริย์ตรัสว่า “ถ้าเขามาลำพังก็คงคาบข่าวมา” ชายคนนั้นก็วิ่งเข้ามาใกล้
2ซมอ 18.26 ทหารยามเห็นชายอีกคนหนึ่งวิ่งมา ทหารยามก็ร้องบอกไปที่นายประตูเมืองว่า “ดูเถิด มีชายอีกคนหนึ่งวิ่งมาแต่ลำพัง” กษัตริย์ตรัสว่า “เขาคงนำข่าวมาด้วย”
1พกษ 11.29 และอยู่มาในคราวนั้นเมื่อเยโรโบอัมออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม อาหิยาห์ผู้พยากรณ์ชาวชีโลห์ได้พบท่านที่กลางทาง อาหิยาห์สวมเสื้อใหม่ตัวหนึ่ง และคนทั้งสองก็อยู่ลำพังในทุ่งนา
อสร 4.3 แต่เศรุบบาเบล เยชูอา และคนอื่นๆที่เป็นพวกประมุขของบรรพบุรุษที่เหลืออยู่ในอิสราเอล พูดกับเขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายไม่มีส่วนกับเราในการสร้างพระนิเวศถวายแด่พระเจ้าของเรา แต่พวกเราจะสร้างแต่ลำพังถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตามที่กษัตริย์ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียทรงบัญชาไว้แก่เรา”
โยบ 7.16 ข้าพระองค์เบื่อชีวิต ข้าพระองค์จะไม่อยู่ตลอดไป ปล่อยข้าพระองค์แต่ลำพังเถิด เพราะวันคืนของข้าพระองค์เป็นแต่เพียงเปล่าประโยชน์
โยบ 7.19 อีกนานเท่าใดพระองค์จึงจะไม่ทรงออกไปจากข้าพระองค์ หรือปล่อยข้าพระองค์แต่ลำพัง จนข้าพระองค์จะกลืนน้ำลายของตนได้
โยบ 10.20 วันคืนชีวิตของข้าพระองค์ไม่น้อยหรือ ขอหยุดเถิด ขอให้ข้าพระองค์อยู่ลำพัง เพื่อข้าพระองค์จะชื่นใจสักหน่อย
โยบ 31.17 หรือข้ารับประทานอาหารของข้าแต่ลำพัง และคนกำพร้าพ่อไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารนั้นด้วย
สภษ 9.12 ถ้าเจ้าฉลาด เจ้าก็ฉลาดเพื่อตนเอง แต่ถ้าเจ้าเยาะเย้ย เจ้าก็จะทนแต่ลำพัง
สภษ 29.15 ไม้เรียวและคำตักเตือนให้เกิดปัญญา แต่ถ้าปล่อยเด็กไว้แต่ลำพังจะนำความอับอายมาสู่มารดาของตน
อสย 5.8 วิบัติแก่ผู้เหล่านั้นที่เสริมบ้านหลังหนึ่งเข้ากับอีกหลังหนึ่ง และเสริมนาเข้ากับนา จนไม่มีที่อีกแล้ว เพื่อเขาทั้งหลายต้องอยู่ลำพังในท่ามกลางแผ่นดินนั้น
อสย 44.24 พระเยโฮวาห์ผู้ไถ่ของเจ้า ผู้ปั้นเจ้าตั้งแต่ในครรภ์ ตรัสดังนี้ว่า “เราคือพระเยโฮวาห์ ผู้ทรงสร้างสิ่งสารพัด ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์แต่ลำพัง ผู้ทรงกางแผ่นดินโลกด้วยตัวเราเอง
อสย 63.3 “เราได้ย่ำบ่อองุ่นแต่ลำพัง และไม่มีใครจากชนชาติทั้งหลายอยู่กับเราเลย เราจะย่ำมันด้วยความโกรธของเรา เราเหยียบมันด้วยความพิโรธของเรา โลหิตของเขาจะพรมอยู่บนเสื้อผ้าของเรา และเราจะทำให้เสื้อผ้าของเราเปื้อนหมด
ยรม 49.31 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงลุกขึ้น รุดหน้าไปสู้ประชาชาติหนึ่งที่มั่งมี ซึ่งอาศัยอยู่อย่างมั่นคง ไม่มีประตูเมืองและไม่มีดาลประตู อยู่แต่ลำพัง
พคค 3.28 ให้เขานั่งเงียบๆอยู่แต่ลำพัง เพราะพระองค์ทรงวางแอกนั้นเอง
อสค 9.8 ต่อมาขณะที่เขากำลังฆ่าฟันอยู่นั้นเหลือข้าพเจ้าแต่ลำพัง ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดินร้องว่า “อนิจจา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์จะทรงทำลายคนอิสราเอลที่เหลืออยู่นั้นทั้งสิ้นในการที่พระองค์ทรงระบายความกริ้วของพระองค์เหนือเยรูซาเล็มหรือ”
ดนล 10.8 แล้วข้าพเจ้าอยู่แต่ลำพัง และข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตใหญ่ยิ่งนี้ ข้าพเจ้าก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง หน้าตาสุกใสของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีด ข้าพเจ้าหมดแรง
ฮชย 4.17 เอฟราอิมก็ผูกพันอยู่กับรูปเคารพแล้ว ปล่อยเขาแต่ลำพัง
ฮชย 8.9 เขาทั้งหลายขึ้นไปหาอัสซีเรียดังลาป่าที่ท่องเที่ยวอยู่ลำพัง เอฟราอิมได้จ้างคนรักมา
มธ 14.13 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้ว พระองค์จึงลงเรือเสด็จไปจากที่นั่น ไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพังพระองค์ เมื่อประชาชนทั้งปวงได้ยิน เขาก็ออกจากเมืองต่างๆเดินตามพระองค์ไป
มธ 14.23 และเมื่อให้ประชาชนเหล่านั้นไปหมดแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาโดยลำพังเพื่อจะอธิษฐาน เมื่อถึงเวลาค่ำ พระองค์ยังทรงอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว
มธ 17.1 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ ขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง
มธ 20.17 เมื่อพระเยซูจะเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ขณะอยู่ตามหนทางได้พาเหล่าสาวกสิบสองคนไปแต่ลำพัง และตรัสกับเขาว่า
มก 6.32 พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับสาวกไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพัง
มก 9.2 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา
ลก 9.10 ครั้นอัครสาวกกลับมาแล้ว เขาทูลพระองค์ถึงบรรดาการซึ่งเขาได้กระทำนั้น พระองค์จึงพาเขาไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพังใกล้เมืองที่เรียกว่าเบธไซดา
ลก 9.18 ต่อมาเมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่แต่ลำพัง เหล่าสาวกอยู่กับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “คนทั้งปวงพูดกันว่า เราเป็นผู้ใด”
ยน 6.15 เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า เขาทั้งหลายจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จไปที่ภูเขาอีกแต่ลำพัง
ยน 8.16 แต่ถึงแม้ว่าเราจะพิพากษา การพิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้พิพากษาโดยลำพัง แต่เราพิพากษาร่วมกับพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
ยน 18.34 พระเยซูตรัสตอบท่านว่า “ท่านถามอย่างนั้นแต่ลำพังท่านเองหรือ หรือมีคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา”
กจ 23.19 นายพันจึงจูงมือชายนั้นไปแต่ลำพัง แล้วถามว่า “เจ้าจะแจ้งความอะไรแก่เรา”
ยก 2.17 ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าปราศจากการกระทำ ก็ตายโดยลำพังแล้ว

ล้ำลึก ( 1 )
รม 11.33 โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเท่าใด คำตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้

ล้ำเลิศ ( 3 )
พซม 5.9 โอ แม่สาวงามล้ำเลิศในท่ามกลางสาวอื่นๆ คู่รักของเธอนั้นวิเศษอะไรไปกว่าคู่รักของใครๆ คู่รักของเธอนั้นวิเศษอะไรไปกว่าคู่รักของใครอื่นหรือ เธอจึงได้มาให้พวกฉันปฏิญาณให้เช่นนั้น
พซม 6.1 โอ แม่สาวงามล้ำเลิศในท่ามกลางสาวอื่นๆคู่รักของเธอไปไหนเสีย คู่รักของเธอกลับไปไหนเสียแล้วเล่า เพื่อพวกเราจะไปสืบหากับเธอ
ฟป 4.8 พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ สิ่งใดที่จริง สิ่งใดที่น่านับถือ สิ่งใดที่ยุติธรรม สิ่งใดที่บริสุทธิ์ สิ่งใดที่น่ารัก สิ่งใดที่น่าฟัง คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดูสิ่งเหล่านี้

ล่ำสัน ( 1 )
วนฉ 3.29 ในคราวนั้นเขาประหารคนโมอับเสียประมาณหนึ่งหมื่นคนล้วนแต่คนฉกรรจ์และล่ำสันทั้งสิ้น ไม่พ้นไปได้สักคนเดียว

ลำไส้ ( 3 )
2พศด 21.15 และตัวเจ้าเองจะมีความเจ็บป่วยสาหัสด้วยโรคลำไส้ของเจ้า จนกว่าลำไส้ของเจ้าจะออกมาเพราะเหตุโรคนั้นวันแล้ววันเล่า’”
2พศด 21.18 ภายหลังเรื่องเหล่านี้ พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ลำไส้ของเยโฮรัมเป็นโรคซึ่งรักษาไม่ได้
2พศด 21.19 ต่อมาเป็นเวลาสิ้นสองปีลำไส้ของพระองค์ก็ออกมาเพราะโรคนั้น และพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ด้วยความทุรนทุรายอย่างยิ่ง ประชาชนของพระองค์มิได้ก่อเพลิงถวายเกียรติแก่พระองค์ อย่างกับก่อเพลิงให้กับบรรพบุรุษของพระองค์

ล้ำหน้า ( 1 )
ยรม 5.28 เขาจึงอ้วนพีจนตัวเกลี้ยงเกลา ในเรื่องการกระทำความชั่วเขาล้ำหน้า เขามิได้ตัดสินคดี คือคดีของลูกกำพร้าพ่อ ด้วยความยุติธรรม ถึงกระนั้นเขาก็เจริญ เขามิได้ป้องกันสิทธิของคนขัดสน”

ลำห้วย ( 2 )
ยชว 11.5 กษัตริย์เหล่านี้ได้ร่วมกำลังกันเข้าและมาตั้งค่ายอยู่ที่ลำห้วยเมโรม เพื่อจะสู้รบกับอิสราเอล
ยชว 15.9 แล้วพรมแดนก็ยื่นไปจากยอดภูเขาถึงน้ำพุแห่งลำห้วยเนฟโทอาห์ จากที่นั่นก็มาถึงหัวเมืองแห่งภูเขาเอโฟรน แล้วพรมแดนก็เลี้ยวโค้งไปหาเมืองบาอาลาห์ คือเมืองคีริยาทเยอาริม

ลำเอียง ( 7 )
อพย 23.2 อย่าทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมากที่เขาทำกันนั้นเลย อย่าอ้างพยานลำเอียงเข้าข้างหมู่มาก จะทำให้ขาดความยุติธรรมไป
อพย 23.3 ทั้งอย่าลำเอียงเข้าข้างคนจนในคดีของเขา
ลนต 19.15 เจ้าอย่าพิพากษาด้วยความอยุติธรรม เจ้าอย่าลำเอียงเข้าข้างคนจนหรือเห็นแก่หน้าผู้เป็นใหญ่ แต่เจ้าจงพิพากษาเพื่อนบ้านของเจ้าด้วยความชอบธรรม
พบญ 1.17 ท่านทั้งหลายอย่าลำเอียงในการพิพากษา จงฟังผู้น้อยและผู้ใหญ่ให้เหมือนกัน ท่านทั้งหลายอย่ากลัวหน้ามนุษย์เลย เพราะการพิพากษานั้นเป็นการของพระเจ้า และคดีใดที่ยากเกินไปสำหรับท่านจงนำมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะพิจารณาเอง’
พบญ 16.19 ท่านอย่ากระทำให้เสียความยุติธรรม อย่าลำเอียง อย่ารับสินบน เพราะว่าสินบนทำให้ตาของคนมีปัญญามืดมัวไป และกลับคดีของคนชอบธรรมเสีย
สภษ 18.5 ที่จะลำเอียงเข้าข้างคนชั่วร้ายเพื่อจะบังคับคนชอบธรรมเรื่องความยุติธรรมก็ไม่ดี
ยก 2.4 พวกท่านเองมิได้ลำเอียง และกลายเป็นผู้วินิจฉัยด้วยใจชั่วหรือ

ลิคฮี ( 1 )
1พศด 7.19 บุตรชายของเชมิดาคือ อาหิยัน เชเคม ลิคฮี และอานียัม

ลิคาโอเนีย ( 2 )
กจ 14.6 ท่านทั้งสองทราบแล้วจึงหนีไปยังเมืองที่อยู่ในแคว้นลิคาโอเนีย คือเมืองลิสตรา เมืองเดอร์บี กับชนบทที่อยู่ล้อมรอบ
กจ 14.11 เมื่อหมู่ชนเห็นการซึ่งเปาโลได้กระทำนั้น จึงพากันร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “พวกพระแปลงเป็นมนุษย์ลงมาหาเราแล้ว”

ลิง ( 2 )
1พกษ 10.22 เพราะว่ากษัตริย์มีกองกำปั่นเมืองทารชิช เดินทะเลพร้อมกับกองกำปั่นของฮีราม กองกำปั่นเมืองทารชิชนำทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และนกยูงมาสามปีต่อครั้ง
2พศด 9.21 เพราะเรือของกษัตริย์แล่นไปยังทารชิชพร้อมกับข้าราชการของหุราม กำปั่นทารชิชนำทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และนกยูง มาสามปีต่อครั้ง

ลิงโลด ( 14 )
2ซมอ 1.20 อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท อย่าประกาศเรื่องนี้ในถนนเมืองเอชเคโลน เกรงว่าบุตรสาวคนฟีลิสเตียจะร่าเริง เกรงว่าบุตรสาวของผู้ที่มิได้เข้าสุหนัตจะลิงโลด
1พศด 16.35 และท่านจงกล่าวว่า ‘โอ ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอจงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด และขอทรงรวบรวมข้าพระองค์ทั้งหลาย และทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งปวงให้พ้นจากประชาชาติทั้งหลาย เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะโมทนาขอบพระคุณพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และลิงโลดในการสรรเสริญพระองค์’
โยบ 31.29 ถ้าข้าเปรมปรีดิ์เมื่อผู้ที่เกลียดชังข้านั้นพินาศ หรือลิงโลดเมื่อเหตุร้ายมาทันเขา
สดด 35.9 แล้วจิตวิญญาณของข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์ในพระเยโฮวาห์ ลิงโลดอยู่ในการช่วยให้รอดของพระองค์
สดด 68.3 แต่ขอให้คนชอบธรรมชื่นบาน ให้เขาเต้นโลดต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ให้เขาลิงโลดด้วยความชื่นบาน
สดด 68.4 จงร้องเพลงถวายพระเจ้า จงร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์ จงยกย่องพระองค์ผู้ทรงเมฆเป็นพาหนะโดยพระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์ จงลิงโลดต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
สดด 94.3 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ คนชั่วจะนานเท่าใด คนชั่วจะลิงโลดอยู่นานเท่าใด
สดด 149.5 ให้วิสุทธิชนลิงโลดในสง่าราศี ให้เขาร้องเพลงบนที่นอนของเขา
อสย 23.12 และพระองค์ตรัสว่า “โอ ธิดาพรหมจารีผู้ถูกบีบบังคับแห่งไซดอนเอ๋ย เจ้าจะไม่ลิงโลดต่อไปอีก จงลุกขึ้นข้ามไปคิทธิมเถิด แม้ที่นั่นเจ้าก็จะไม่มีความสงบ”
อสย 29.19 คนใจอ่อนสุภาพจะได้ความชื่นบานสดใสในพระเยโฮวาห์เพิ่มขึ้น และคนยากจนท่ามกลางมนุษย์จะลิงโลดในองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
อสย 49.13 โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลง โอ แผ่นดินโลกเอ๋ย จงลิงโลดเถิด โอ ภูเขาเอ๋ย จงเปรมปรีดิ์ร้องเพลง เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงเล้าโลมชนชาติของพระองค์แล้ว และจะทรงเมตตาแก่คนของพระองค์ ผู้ที่ถูกข่มใจ
อสย 61.10 ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในพระเยโฮวาห์ จิตใจของข้าพเจ้าจะลิงโลดในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ได้ทรงสวมข้าพเจ้าด้วยเสื้อผ้าแห่งความรอด พระองค์ทรงคลุมข้าพเจ้าด้วยเสื้อแห่งความชอบธรรม อย่างเจ้าบ่าวประดับตัวด้วยเครื่องประดับ และอย่างเจ้าสาวตกแต่งตัวด้วยเพชรนิลจินดา
ยรม 50.11 โอ บรรดาผู้ปล้นมรดกของเราเอ๋ย แม้ว่าเจ้าเปรมปรีดิ์ แม้ว่าเจ้าลิงโลด แม้เจ้าอ้วนพีอย่างวัวสาวอยู่ที่หญ้า และร้องอย่างวัวตัวผู้
ศฟย 3.14 โอ บุตรสาวแห่งศิโยนเอ๋ย จงร้องเพลงเสียงดัง โอ อิสราเอลเอ๋ย จงโห่ร้องเถิด จงเปรมปรีดิ์และลิงโลดด้วยเต็มใจของเจ้าเถิด โอ บุตรสาวแห่งเยรูซาเล็ม

ลิด ( 4 )
ลนต 25.3 เจ้าจงหว่านพืชในนาของเจ้าหกปี และจงลิดแขนงสวนองุ่นของเจ้าและเก็บผลหกปี
ลนต 25.4 แต่ในปีที่เจ็ดนั้นเป็นปีสะบาโตแห่งการหยุดพักผ่อนสำหรับแผ่นดิน เป็นปีสะบาโตแด่พระเยโฮวาห์ เจ้าอย่าหว่านพืชในนา หรือลิดแขนงสวนองุ่นของเจ้า
อสย 5.6 เราจะกระทำมันให้เป็นที่ร้าง จะไม่มีใครลิดแขนงหรือพรวนดิน หนามย่อยหนามใหญ่ก็จะงอกขึ้น และเราจะบัญชาเมฆไม่ให้โปรยฝนรดมัน
ยน 15.2 กิ่งทุกกิ่งในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และกิ่งทุกกิ่งที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น

ลิดดา ( 3 )
กจ 9.32 ต่อมาเมื่อเปโตรเที่ยวไปตลอดทุกแห่งแล้ว ก็ลงมาหาพวกวิสุทธิชนซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองลิดดาด้วย
กจ 9.35 ฝ่ายคนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองลิดดา และที่ราบชาโรนได้เห็นแล้วจึงกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
กจ 9.38 เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา พวกสาวกได้ยินว่าเปโตรอยู่ที่นั่น จึงใช้ชายสองคนไปหาท่าน เชิญท่านมาหาเขาโดยเร็ว

ลิเดีย ( 2 )
กจ 16.14 มีหญิงคนหนึ่งชื่อลิเดียมาจากเมืองธิยาทิราเป็นคนขายผ้าสีม่วง เป็นผู้นมัสการพระเจ้า หญิงนั้นได้ฟังเรา และองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเปิดใจของเขาให้สนใจในถ้อยคำซึ่งเปาโลได้กล่าว
กจ 16.40 ท่านทั้งสองจึงออกจากคุก แล้วได้เข้าไปในบ้านของนางลิเดีย เมื่อพบพวกพี่น้องก็พูดจาหนุนใจเขาแล้วก็ลาไป

ลิตร ( 1 )
2พกษ 6.25 มีการกันดารอาหารอย่างหนักในสะมาเรีย และดูเถิด ขณะเมื่อเขาล้อมอยู่จนหัวลาตัวหนึ่งเขาขายกันเป็นเงินแปดสิบเชเขล และมูลนกเขาครึ่งลิตรเป็นเงินห้าเชเขล

ลิ้น ( 110 )
ยชว 10.21 ประชาชนทั้งปวงก็กลับมาหาโยชูวา ณ ค่ายที่มักเคดาห์โดยสันติภาพทุกคน หามีผู้ใดกล้ากระดิกลิ้นถึงคนอิสราเอลต่อไปไม่
วนฉ 7.5 ท่านจึงพาประชาชนลงไปที่น้ำ พระเยโฮวาห์ตรัสกับกิเดโอนว่า “ทุกคนที่ใช้ลิ้นเลียน้ำดังสุนัข จงรวมเขาไว้พวกหนึ่ง ทุกคนที่คุกเข่าลงดื่มน้ำ จงรวมไว้อีกพวกหนึ่งดุจกัน”
2ซมอ 23.2 “โดยข้าพเจ้า พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ได้ตรัส พระวจนะของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า
โยบ 5.21 จะทรงซ่อนท่านไว้จากการใส่ร้ายของลิ้น และจะไม่กลัวการทำลายเมื่อมันมาถึง
โยบ 6.30 มีความชั่วช้าสิ่งใดบนลิ้นข้าหรือ ข้าไม่รู้ถึงรสภัยพิบัติหรือ”
โยบ 15.5 เพราะปากของท่านกล่าวความชั่วช้าของท่าน และท่านเลือกเอาลิ้นของคนฉลาดแกมโกง
โยบ 20.12 แม้ว่าความชั่วจะหวานอยู่ในปากของเขา แม้เขาซ่อนไว้ใต้ลิ้นของเขา
โยบ 20.16 เขาจะดูดพิษของงูเห่า ลิ้นของงูร้ายจะฆ่าเขา
โยบ 27.4 ริมฝีปากของข้าจะไม่พูดความเท็จและลิ้นของข้าจะไม่เปล่งคำหลอกลวง
โยบ 29.10 เสียงของขุนนางก็สงบลง และลิ้นของเขาก็เกาะติดเพดานปาก
โยบ 33.2 ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าได้อ้าปาก ลิ้นภายในปากของข้าพเจ้าก็พูด
โยบ 41.1 “เจ้าจะลากเลวีอาธานออกมาด้วยเบ็ดได้หรือ หรือจะเอาเชือกกดลิ้นของมันลงได้
สดด 5.9 เพราะในปากของเขาเหล่านั้นไม่มีความสัตย์ซื่อ จิตใจของเขาก็คือความชั่วร้าย ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาประจบสอพลอด้วยลิ้นของเขา
สดด 10.7 การแช่งด่า การล่อลวง และการฉ้อฉลอยู่เต็มปากของเขา ความชั่วร้ายและความเลวทรามอยู่ใต้ลิ้นของเขา
สดด 12.3 พระเยโฮวาห์จะทรงตัดริมฝีปากที่ป้อยอออกเสียสิ้น และลิ้นที่พูดวาจาเย่อหยิ่งนั้นด้วย
สดด 12.4 คือบรรดาผู้ที่กล่าวว่า “เราจะชนะด้วยลิ้นของเรา ริมฝีปากของเราเป็นฝ่ายเรา ใครจะเป็นนายเรา”
สดด 15.3 ผู้ซึ่งไม่ใช้ลิ้นของตนในการนินทาว่าร้าย ไม่กระทำชั่วต่อเพื่อนบ้าน และไม่ตำหนิเพื่อนบ้านของตน
สดด 22.15 กำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไปเหมือนเศษหม้อดิน และลิ้นของข้าพระองค์ก็เกาะติดที่ขากรรไกร พระองค์ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในผงคลีมัจจุราช
สดด 31.20 พระองค์ทรงซ่อนเขาไว้ในความลึกลับแห่งพระพักตร์พระองค์ให้พ้นจากการปองร้ายของมนุษย์ พระองค์ทรงยึดเขาไว้อย่างลึกลับในที่กำบังของพระองค์ให้พ้นจากลิ้นที่ทะเลาะวิวาท
สดด 34.13 จงระวังลิ้นของเจ้าจากความชั่ว และอย่าให้ริมฝีปากพูดเป็นอุบายล่อลวง
สดด 35.28 แล้วลิ้นของข้าพระองค์จะบอกเล่าถึงความชอบธรรมของพระองค์ และจะสรรเสริญพระองค์วันยังค่ำ
สดด 37.30 ปากของคนชอบธรรมเปล่งสติปัญญา และลิ้นของเขาพูดความยุติธรรม
สดด 39.1 ข้าพเจ้าว่า “ข้าพเจ้าจะระแวดระวังทางของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะไม่ทำบาปด้วยลิ้นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะใส่บังเหียนปากของข้าพเจ้า ตราบเท่าที่คนชั่วอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า”
สดด 39.3 จิตใจข้าพเจ้าร้อนอยู่ภายในข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรำพึงอยู่นั้นไฟก็ลุก ข้าพเจ้าจึงพูดด้วยลิ้นของข้าพเจ้าว่า
สดด 45.1 จิตใจข้าพเจ้าล้นไหลด้วยแนวคิดดี ข้าพเจ้าเล่าบทประพันธ์ของข้าพเจ้าถวายกษัตริย์ ลิ้นของข้าพเจ้าเหมือนปากไก่ของอาลักษณ์ที่ชำนาญ
สดด 50.19 เจ้าปล่อยปากของเจ้าให้พูดชั่ว และลิ้นของเจ้าประกอบการหลอกลวง
สดด 51.14 โอ ข้าแต่พระเจ้า คือพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดเพราะทำโลหิตเขาตก และลิ้นของข้าพระองค์จะร้องเพลงเรื่องความชอบธรรมของพระองค์
สดด 52.2 ลิ้นของเจ้าออกอุบายประสงค์ร้าย และหลอกลวงอย่างมีดโกนคม
สดด 52.4 เจ้ารักทุกคำที่ทำลาย โอ ลิ้นแห่งการหลอกลวง
สดด 57.4 จิตใจข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางเหล่าสิงโต ข้าพเจ้านอนท่ามกลางผู้ที่ไฟติดตัวคือบุตรทั้งหลายของมนุษย์ ฟันของเขาทั้งหลายคือหอกและลูกธนู ลิ้นของเขาคือดาบคม
สดด 64.3 ผู้ลับลิ้นของเขาอย่างลับดาบ ผู้เอาคำขมขื่นเล็งอย่างลูกธนู
สดด 64.8 เพราะว่าเขาทำให้ลิ้นของเขาเป็นสิ่งสะดุดแก่เขาเอง ทุกคนที่เห็นเขาจะหนีไป
สดด 66.17 ปากข้าพเจ้าได้ร้องทูลพระองค์ และลิ้นข้าพเจ้าได้ยกย่องพระองค์
สดด 68.23 เพื่อเจ้าจะเอาเท้าอาบเลือดของคู่อริของเจ้า เพื่อลิ้นสุนัขของเจ้าจะมีส่วนด้วย”
สดด 71.24 และลิ้นของข้าพระองค์จะพูดถึงความชอบธรรมของพระองค์ตลอดวันยังค่ำ เพราะผู้ซึ่งแสวงหาที่จะทำอันตรายข้าพระองค์ได้รับความอับอายและอัปยศ
สดด 73.9 เขาอ้าปากสู้ฟ้าสวรรค์ และลิ้นของเขาก็คะนองไปในโลก
สดด 78.36 แต่เขายอพระองค์ด้วยปากของเขา และมุสาต่อพระองค์ด้วยลิ้นของเขา
สดด 109.2 เพราะปากของคนชั่วและปากของคนหลอกลวงอ้าใส่ข้าพระองค์อยู่แล้ว พวกเขาได้พูดปรักปรำข้าพระองค์ด้วยลิ้นมุสา
สดด 119.172 ลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวเรื่องพระดำรัสของพระองค์ เพราะพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ชอบธรรม
สดด 120.2 คือทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงช่วยจิตใจข้าพระองค์ให้พ้นจากริมฝีปากมุสา จากลิ้นที่หลอกลวง”
สดด 120.3 แน่ะ ลิ้นหลอกลวงเอ๋ย จะประทานสิ่งใดแก่เจ้าและจะเพิ่มเติมอะไรให้เจ้าอีก
สดด 126.2 ปากของเราได้หัวเราะเต็มที่ และลิ้นของเราได้เปล่งเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน แล้วเขาได้พูดกันท่ามกลางประชาชาติว่า “พระเยโฮวาห์ทรงกระทำการมโหฬารให้เขา”
สดด 137.6 ขอให้ลิ้นของข้าพเจ้าเกาะติดเพดานปากของข้าพเจ้า ถ้าว่าข้าพเจ้าไม่ระลึกถึงเธอ ถ้าว่าข้าพเจ้ามิได้ตั้งเยรูซาเล็มไว้เหนือความชื่นบานอันสูงที่สุดของข้าพเจ้า
สดด 139.4 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด ดูเถิด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว
สดด 140.3 เขาทำลิ้นของเขาให้คมเหมือนลิ้นงู และภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูพิษ เซลาห์
สภษ 6.17 ตายโส ลิ้นมุสา และมือที่ทำโลหิตไร้ผิดให้ตก
สภษ 6.24 เพื่อสงวนเจ้าไว้จากหญิงชั่วร้าย จากลิ้นพะเน้าพะนอของหญิงสัญจร
สภษ 10.20 ลิ้นของคนชอบธรรมก็เหมือนเงินเนื้อบริสุทธิ์ ความคิดของคนชั่วร้ายมีค่าแต่น้อย
สภษ 10.31 ปากของคนชอบธรรมนำปัญญาออกมา แต่ลิ้นของคนตลบตะแลงจะถูกตัดออก
สภษ 12.18 มีบางคนที่คำพูดพล่อยๆของเขาเหมือนดาบแทง แต่ลิ้นของปราชญ์นำการรักษามาให้
สภษ 12.19 ริมฝีปากที่พูดจริงจะทนอยู่ได้เป็นนิตย์ แต่ลิ้นที่พูดมุสาอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว
สภษ 15.2 ลิ้นของปราชญ์ใช้ความรู้อย่างถูกต้อง แต่ปากของคนโง่เทความโง่ออกมา
สภษ 15.4 ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิต แต่ลิ้นตลบตะแลงทำน้ำใจให้แตกสลาย
สภษ 16.1 ทั้งแผนงานของจิตใจมนุษย์ และคำตอบของลิ้น มาจากพระเยโฮวาห์
สภษ 17.4 ผู้กระทำความชั่วฟังริมฝีปากเท็จ และคนมุสาเงี่ยหูแก่ลิ้นเหลวไหล
สภษ 17.20 ผู้หนึ่งผู้ใดมีใจตลบตะแลงก็ไม่พบสิ่งที่ดีอันใด และผู้ที่ลิ้นวิปลาสก็ตกอยู่ในความยากลำบาก
สภษ 18.21 ความตายและความเป็นอยู่ที่อำนาจของลิ้น และบรรดาผู้ที่รักมันก็จะกินผลของมัน
สภษ 21.6 การได้คลังทรัพย์มาด้วยลิ้นมุสาก็คือความอนิจจังที่เคลื่อนไปๆมาๆของคนที่เสาะหาความตาย
สภษ 21.23 บุคคลที่รักษาปากและลิ้นของตนก็รักษาจิตใจเขาเองให้พ้นความลำบาก
สภษ 25.15 ความพากเพียรจะชักนำผู้ครอบครองได้ และลิ้นที่อ่อนหวานจะทำให้กระดูกหักได้
สภษ 25.23 ลมเหนือไล่ฝนไปเสียฉันใด สีหน้าที่โกรธแค้นก็ไล่ลิ้นที่ส่อเสียดไปเสียฉันนั้น
สภษ 26.28 ลิ้นที่มุสาเกลียดชังผู้ที่มันทำลาย และปากที่ป้อยอก็ทำความพินาศ
สภษ 28.23 บุคคลที่ขนาบคนหนึ่งคนใด ทีหลังเขาจะได้รับความชอบมากกว่าคนที่ป้อยอด้วยลิ้นของตัว
สภษ 31.26 เธออ้าปากกล่าวด้วยสติปัญญา และกฎเกณฑ์แห่งความกรุณาก็อยู่ที่ลิ้นของเธอ
พซม 4.11 โอ เจ้าสาวของฉันจ๋า ริมฝีปากของเธอเสมือนน้ำผึ้งกำลังจะหยดย้อย น้ำผึ้งและน้ำนมอยู่ใต้ลิ้นของเธอ กลิ่นเสื้อผ้าของเธอหอมดุจกลิ่นมาจากเลบานอน
อสย 3.8 เพราะเยรูซาเล็มก็ล่มจมและยูดาห์ก็ล้มคว่ำ เพราะว่าลิ้นของเขาและการกระทำของเขาก็ต่อสู้พระเยโฮวาห์ กบฏต่อพระเนตรอันรุ่งโรจน์ของพระองค์
อสย 11.15 และพระเยโฮวาห์จะทรงทำลายลิ้นของทะเลแห่งอียิปต์อย่างสิ้นเชิง และจะทรงโบกพระหัตถ์เหนือแม่น้ำนั้น ด้วยลมอันแรงกล้าของพระองค์ และจะตีมันให้แตกเป็นธารน้ำเจ็ดสาย และให้คนเดินข้ามไปได้โดยที่เท้าไม่เปียกน้ำ
อสย 32.4 จิตใจของคนที่หุนหันจะเข้าใจความรู้ และลิ้นของคนติดอ่างจะพูดฉะฉานอย่างทันควัน
อสย 35.6 แล้วคนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง และลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลง เพราะน้ำจะพลุ่งขึ้นมาในถิ่นทุรกันดาร และลำธารจะพลุ่งขึ้นในทะเลทราย
อสย 41.17 เมื่อคนจนและคนขัดสนแสวงหาน้ำและไม่มี และลิ้นของเขาก็แห้งผากเพราะความกระหาย เราคือพระเยโฮวาห์จะได้ยินเขาเอง เรา พระเจ้าของอิสราเอล จะไม่ละทิ้งเขา
อสย 45.23 เราได้ปฏิญาณโดยตัวเราเอง ถ้อยคำได้ออกไปจากปากของเราด้วยความชอบธรรมซึ่งจะไม่กลับว่า ‘หัวเข่าทุกหัวเข่าจะต้องคุกกราบลงต่อเรา และลิ้นทุกลิ้นจะต้องปฏิญาณต่อเรา’
อสย 50.4 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าได้ประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้นของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ที่จะค้ำชูผู้ที่เหน็ดเหนื่อยไว้ด้วยถ้อยคำ ทุกๆเช้าพระองค์ทรงปลุก ทรงปลุกหูของข้าพเจ้าเพื่อให้ฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน
อสย 54.17 ไม่มีอาวุธใดที่สร้างเพื่อต่อสู้เจ้าจะจำเริญได้ และเจ้าจะปรับโทษลิ้นทุกลิ้นที่ลุกขึ้นต่อสู้เจ้าในการพิพากษา นี่เป็นมรดกของบรรดาผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ และความชอบธรรมของเขามาจากเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้
อสย 59.3 เพราะมือของเจ้ามลทินด้วยโลหิต และนิ้วมือของเจ้าด้วยความชั่วช้า ริมฝีปากของเจ้าได้พูดคำเท็จ ลิ้นของเจ้าพึมพำความอธรรม
ยรม 9.3 “เขาทั้งหลายงอลิ้นของเขาเหมือนคันธนูเพื่อกล่าวความเท็จ แต่เขาทั้งหลายไม่กล้าสู้เพื่อความจริงในแผ่นดิน เพราะเขาทั้งหลายจากความชั่วอย่างนี้ไปสู่ความชั่วอย่างนั้น และเขาทั้งหลายไม่รู้จักเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 9.5 ทุกคนจะล่อลวงเพื่อนบ้านของตัว ไม่มีใครจะพูดความจริงสักคนเดียว เขาได้สอนลิ้นของเขาให้พูดมุสา เขาได้กระทำความชั่วช้าจนน่าเบื่อหน่าย
ยรม 9.8 ลิ้นของเขาเป็นลูกศรมฤตยู มันพูดมารยา เขาพูดอย่างสันติกับเพื่อนบ้านของเขาด้วยปาก แต่ในใจของเขา เขาวางแผนการคอยดักเขาอยู่”
ยรม 18.18 แล้วเขากล่าวว่า “มาเถิด ให้เราปองร้ายเยเรมีย์ เพราะว่าพระราชบัญญัติจะไม่พินาศไปจากบรรดาปุโรหิต หรือคำปรึกษาย่อมไม่ขาดจากนักปราชญ์ หรือถ้อยคำไม่ขาดจากผู้พยากรณ์ มาเถิด ให้เราโจมตีเขาด้วยลิ้น และอย่าให้เราฟังคำของเขาเลย”
ยรม 23.31 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด เราต่อสู้กับบรรดาผู้พยากรณ์ ผู้ใช้ลิ้นของเขากล่าวว่า ‘พระเจ้าตรัสว่า’”
พคค 4.4 ลิ้นของทารกที่ยังไม่หย่านมกระหายจนติดเพดาน พวกเด็กได้ขออาหาร แต่ไม่มีใครยื่นให้เขา
อสค 3.26 และเราจะกระทำให้ลิ้นของเจ้าติดกับเพดานปากของเจ้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นใบ้ ไม่สามารถว่ากล่าวเขาได้ เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ
ฮชย 7.16 เขากลับไป แต่ไม่กลับไปหาพระองค์ผู้สูงสุด เขาเป็นคันธนูที่หลอกลวง เจ้านายของเขาจะล้มลงด้วยดาบเพราะลิ้นที่โทโสของเขา เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ให้เขาเย้ยหยันกันในแผ่นดินอียิปต์
มคา 6.12 บรรดาคนมั่งมีของเจ้าก็เต็มไปด้วยความทารุณ และชาวเมืองของเจ้าก็พูดมุสา และลิ้นของเขาก็ล่อลวงอยู่ในปากของเขา
ศฟย 3.13 บรรดาคนที่เหลืออยู่ในอิสราเอล เขาจะไม่กระทำความชั่วช้า และไม่กล่าวคำมุสา และในปากของเขานั้นจะหาลิ้นที่ล่อลวงก็ไม่มี เพราะเขาทั้งหลายจะเที่ยวหากินและนอนลง และไม่มีผู้ใดกระทำให้เขากลัวเกรง
ศคย 14.12 ต่อไปนี้เป็นภัยพิบัติซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงใช้โจมตีบรรดาชนชาติทั้งหลายที่ทำสงครามกับเยรูซาเล็ม คือเนื้อของเขาจะเน่าไปเมื่อเขายังยืนอยู่ได้ ตาของเขาจะเน่าคาเบ้าตา และลิ้นของเขาจะเน่าคาปาก
มก 7.33 พระองค์จึงทรงนำคนนั้นออกจากประชาชนไปอยู่ต่างหาก ทรงเอานิ้วพระหัตถ์ยอนเข้าที่หูของชายผู้นั้น และทรงบ้วนน้ำลายเอานิ้วพระหัตถ์จิ้มแตะลิ้นคนนั้น
มก 7.35 แล้วในทันใดนั้นหูคนนั้นก็ปกติ สิ่งที่ขัดลิ้นนั้นก็หลุดและเขาพูดได้ชัด
ลก 1.64 ในทันใดนั้นปากและลิ้นของท่านก็คืนดีอีก แล้วท่านกล่าวสรรเสริญพระเจ้า
ลก 16.24 เศรษฐีจึงร้องว่า ‘อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้’
กจ 2.3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขา และกระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน
กจ 2.26 เพราะฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี และลิ้นของข้าพเจ้าจึงเปรมปรีดิ์ ยิ่งกว่านี้เนื้อหนังของข้าพเจ้าจะพักพิงอยู่ในความหวังใจด้วย
รม 3.13 ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง ภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูร้าย
รม 14.11 เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสว่า “เรามีชีวิตอยู่ฉันใด หัวเข่าทุกหัวเข่าจะต้องคุกกราบลงต่อเรา และลิ้นทุกลิ้นจะต้องร้องสรรเสริญพระเจ้า”’
ฟป 2.11 และเพื่อ ‘ลิ้นทุกลิ้นจะยอมรับ’ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา
ยก 1.26 ถ้าผู้ใดในพวกท่านดูเหมือนว่าเคร่งครัดในความเชื่อ และมิได้เหนี่ยวรั้งลิ้นของตนไว้ แต่ล่อลวงใจของตนเอง การเคร่งครัดในความเชื่อของผู้นั้นก็ไร้ประโยชน์
ยก 3.5 เช่นนั้นแหละลิ้นก็เป็นอวัยวะเล็กๆด้วย และพูดโอ้อวดอ้างการใหญ่ จงดูเถิด ไฟนิดเดียวอาจเผาไหม้มากเท่าใด
ยก 3.6 และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ เป็นโลกแห่งการชั่วช้าซึ่งตั้งอยู่ในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายเป็นมลทินไป ทำให้วิถีแห่งธรรมชาติเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟจากนรก
ยก 3.8 แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่วซึ่งยับยั้งไม่ได้ และเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย
ยก 3.9 เราทั้งหลายสรรเสริญพระเจ้าคือพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า
1ปต 3.10 เพราะว่า ‘ผู้ที่จะรักชีวิตและปรารถนาที่จะเห็นวันดี ก็ให้ผู้นั้นบังคับลิ้นของตนจากความชั่ว และห้ามริมฝีปากไม่พูดเป็นอุบายล่อลวง
1ยน 3.18 ลูกเล็กๆทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยลิ้นเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง
วว 16.10 ทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเทขันของตนลงบนที่นั่งของสัตว์ร้ายนั้น และอาณาจักรของมันก็มืดไป คนเหล่านั้นได้กัดลิ้นของตนด้วยความเจ็บปวด

ลินิน ( 4 )
สภษ 7.16 ฉันได้ประดับเตียงของฉันด้วยผ้าคลุม เป็นผ้าลินินอียิปต์สีต่างๆ
สภษ 31.22 เธอทำผ้าปูสำหรับเธอด้วยสิ่งทอ เสื้อผ้าของเธอทำด้วยผ้าลินินและผ้าสีม่วง
สภษ 31.24 เธอทำเครื่องแต่งกายด้วยผ้าลินินไว้ขาย เธอส่งผ้าคาดเอวให้แก่พ่อค้า
อสย 3.23 กระจก เสื้อผ้าลินิน ผ้าโพกศีรษะ และผ้าคลุมตัว

ลิบ ( 1 )
อสย 37.24 เจ้าได้เย้ยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยผู้รับใช้ของเจ้า และเจ้าได้ว่า “ด้วยรถรบเป็นอันมากของข้า ข้าได้ขึ้นที่สูงของภูเขา ถึงที่ไกลสุดของเลบานอน ข้าจะโค่นต้นสนสีดาร์ที่สูงที่สุดของมันลง ทั้งต้นสนสามใบที่ดีที่สุดของมัน ข้าจะเข้าไปยังที่ยอดลิบที่สุดในชายแดนของมัน ที่ป่าไม้แห่งคารเมล

ลิบนาห์ ( 16 )
กดว 33.20 และเขายกเดินจากริมโมนเปเรศ และตั้งค่ายที่ลิบนาห์
กดว 33.21 และเขายกเดินจากลิบนาห์ และตั้งค่ายที่ริสสาห์
ยชว 10.29 แล้วโยชูวาและบรรดาคนอิสราเอลก็ยกกองทัพจากเมืองมักเคดาห์มาถึงลิบนาห์ และเข้าสู้รบกับเมืองลิบนาห์
ยชว 10.31 และโยชูวาออกจากเมืองลิบนาห์พร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดไปยังลาคีช แล้วล้อมเมืองไว้และเข้าโจมตีเมืองนั้น
ยชว 10.32 และพระเยโฮวาห์ทรงมอบเมืองลาคีชไว้ในมือคนอิสราเอล และท่านก็ได้ยึดเมืองนั้นในวันที่สอง และประหารเสียด้วยคมดาบ ทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้น ดังที่ท่านได้กระทำแก่เมืองลิบนาห์
ยชว 10.39 ท่านได้ยึดเมืองนั้นรวมทั้งกษัตริย์และชนบททั้งหมดของเมือง และได้ไปประหารเขาทั้งหลายเสียด้วยคมดาบ และได้ทำลายทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นเสียอย่างสิ้นเชิง ท่านไม่ให้เหลือสักคนเดียว ท่านได้กระทำแก่เมืองเฮโบรนอย่างไร ท่านก็ได้กระทำแก่เมืองเดบีร์และแก่กษัตริย์ของเมืองอย่างนั้น ดังทำแก่เมืองลิบนาห์และแก่กษัตริย์ของเมืองเช่นกัน
ยชว 12.15 กษัตริย์เมืองลิบนาห์องค์หนึ่ง กษัตริย์เมืองอดุลลัมองค์หนึ่ง
ยชว 15.42 ลิบนาห์ เอเธอร์ อาชัน
ยชว 21.13 เขาได้ให้เมืองเฮโบรนแก่ลูกหลานของอาโรนปุโรหิต อันเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ฆ่าคนพร้อมทั้งทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองลิบนาห์พร้อมทุ่งหญ้า
2พกษ 8.22 เอโดมจึงได้กบฏออกห่างจากการปกครองของยูดาห์จนทุกวันนี้ แล้วลิบนาห์ก็ได้กบฏในคราวเดียวกัน
2พกษ 19.8 รับชาเคห์ได้กลับไป และได้พบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียสู้รบเมืองลิบนาห์ เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์ออกจากลาคีชแล้ว
1พศด 6.57 เขาให้เมืองต่างๆแห่งยูดาห์แก่ลูกหลานของอาโรน คือเมืองเฮโบรนซึ่งเป็นเมืองลี้ภัย เมืองลิบนาห์กับทุ่งหญ้า เมืองยาททีร์ เมืองเอชเทโมอากับทุ่งหญ้า
2พศด 21.10 เอโดมจึงได้กบฏออกห่างจากการปกครองของยูดาห์จนทุกวันนี้ ครั้งนั้นลิบนาห์ก็ได้กบฏออกห่างจากการปกครองของพระองค์ด้วย เพราะว่าพระองค์ได้ทรงทอดทิ้งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพระองค์
อสย 37.8 รับชาเคห์ได้กลับไป และได้พบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียสู้รบเมืองลิบนาห์ เพราะเขาได้ยินว่ากษัตริย์ออกจากลาคีชแล้ว
ยรม 52.1 เศเดคียาห์มีพระชนมายุยี่สิบเอ็ดพรรษาเมื่อท่านขึ้นเสวยราชย์ และท่านครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี พระมารดาของท่านมีชื่อว่าฮามุทาล เป็นบุตรสาวของเยเรมีย์แห่งลิบนาห์

ลิบนี ( 10 )
อพย 6.17 บุตรชายของเกอร์โชนชื่อ ลิบนี และซิมอี ตามครอบครัวของเขา
กดว 3.18 ชื่อบุตรชายของเกอร์โชนตามครอบครัว คือลิบนีและชิเมอี
กดว 3.21 วงศ์เกอร์โชนมีครอบครัวลิบนีและครอบครัวชิเมอี เหล่านี้เป็นครอบครัวเกอร์โชน
กดว 26.58 ต่อไปนี้เป็นครอบครัวของเลวี คือคนครอบครัวลิบนี คนครอบครัวเฮโบรน คนครอบครัวมาลี คนครอบครัวมูชี คนครอบครัวโคราห์ และโคฮาทให้กำเนิดบุตรชื่ออัมราม
1พศด 6.17 ต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรชายของเกอร์โชมคือ ลิบนี และชิเมอี
1พศด 6.20 บุตรชายของเกอร์โชมคือลิบนี บุตรชายของลิบนีคือยาหาท บุตรชายของยาหาทคือศิมมาห์
1พศด 6.29 บุตรชายของเมรารีคือมาห์ลี บุตรชายของมาห์ลีคือลิบนี บุตรชายของลิบนีคือชิเมอี บุตรชายของชิเมอีคืออุสซาห์
นฮม 3.9 เอธิโอเปียเป็นกำลังของเมืองนี้ทั้งอียิปต์ และก็ไม่จำกัดเสียด้วย พูตและลิบนีเป็นผู้ช่วยเมืองนั้น

ลิเบระติน ( 1 )
กจ 6.9 แต่มีบางคนมาจากธรรมศาลาที่เรียกว่า ธรรมศาลาของพวกลิเบระติน มีทั้งชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดอร์ กับบางคนจากซิลีเซียและเอเชีย ได้ลุกขึ้นพากันมาไล่เลียงกับสเทเฟน

ลิเบีย ( 2 )
อสค 30.5 เอธิโอเปีย และพูต และลูด และคนที่ปะปนกันทั้งปวง และลิเบีย และประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นที่อยู่ในสันนิบาตจะล้มลงพร้อมกับเขาด้วยดาบ
กจ 2.10 ในแคว้นฟรีเจีย แคว้นปัมฟีเลียและประเทศอียิปต์ ในแคว้นเมืองลิเบียซึ่งขึ้นกับนครไซรีน และคนมาจากกรุงโรม ทั้งพวกยิวกับคนเข้าจารีตยิว

ลิ้ม ( 1 )
ลก 14.24 เพราะเราบอกเจ้าว่า ในพวกคนทั้งหลายที่ได้รับเชิญไว้นั้น ไม่มีสักคนหนึ่งจะได้ลิ้มเครื่องของเราเลย’”

ลิ้มรส ( 5 )
2ซมอ 3.35 แล้วประชาชนทั้งปวงก็มาทูลชวนเชิญให้ดาวิดเสวยพระกระยาหารเมื่อเวลายังวันอยู่ แต่ดาวิดทรงปฏิญาณว่า “ถ้าเราลิ้มรสขนมปังหรือสิ่งใดๆก่อนดวงอาทิตย์ตก ขอพระเจ้าทรงทำโทษเราและให้หนักยิ่งกว่า”
2ซมอ 19.35 วันนี้ข้าพระองค์มีอายุแปดสิบปีแล้ว ข้าพระองค์จะสังเกตว่าอะไรเป็นที่พอใจและไม่พอใจได้หรือ ผู้รับใช้ของพระองค์จะลิ้มรสอร่อยของสิ่งที่กินและดื่มได้หรือ ข้าพระองค์จะฟังเสียงชายหญิงร้องเพลงได้หรือ ทำไมจะให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นภาระเพิ่มแก่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์อีกเล่า
พซม 2.3 ต้นแอบเปิ้ลขึ้นอยู่กลางต้นไม้ป่าอย่างไร ที่รักของดิฉันก็อยู่ท่ามกลางชายหนุ่มอื่นๆอย่างนั้น ดิฉันได้นั่งอยู่ใต้ร่มของเขาด้วยความยินดีเป็นอันมาก และผลของเขาดิฉันได้ลิ้มรสหวาน
ดนล 5.2 เมื่อเบลชัสซาร์ทรงลิ้มรสเหล้าองุ่นแล้ว จึงมีพระบัญชาให้นำภาชนะทองคำและเงินซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ราชบิดาได้ทรงกวาดมาจากพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ออกมาให้กษัตริย์และเจ้านายของพระองค์ ทั้งพระสนมและนางห้ามจะได้ใช้ใส่เหล้าดื่ม
ยนา 3.7 พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ โดยอำนาจกษัตริย์และบรรดาขุนนางทั้งหลายว่า “คนหรือสัตว์ ไม่ว่าฝูงสัตว์ใหญ่หรือฝูงสัตว์เล็ก ห้ามลิ้มรสสิ่งใดๆ อย่าให้กินอาหาร อย่าให้ดื่มน้ำ

ลิสตรา ( 6 )
กจ 14.6 ท่านทั้งสองทราบแล้วจึงหนีไปยังเมืองที่อยู่ในแคว้นลิคาโอเนีย คือเมืองลิสตรา เมืองเดอร์บี กับชนบทที่อยู่ล้อมรอบ
กจ 14.8 ที่เมืองลิสตรามีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ใช้เท้าไม่ได้ เขาพิการตั้งแต่ครรภ์มารดา ยังไม่เคยเดินเลย
กจ 14.21 และเมื่อท่านทั้งสองได้ประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้น และได้สั่งสอนคนเป็นอันมาก จึงกลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอกอีก
กจ 16.1 แล้วเปาโลไปยังเมืองเดอร์บีกับเมืองลิสตรา และดูเถิด ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธี เป็นบุตรชายของหญิงชาติยิวคนหนึ่งที่เชื่อแล้ว แต่บิดาเป็นชาติกรีก
กจ 16.2 ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พวกพี่น้องที่อยู่ในเมืองลิสตรา และเมืองอิโคนียูม
2ทธ 3.11 การถูกข่มเหง การทนทุกข์ยากลำบากของข้าพเจ้า ซึ่งได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ณ เมืองอันทิโอก เมืองอิโคนียูม และเมืองลิสตรา การกดขี่ข่มเหงที่ข้าพเจ้าได้ทนเอา ถึงกระนั้นก็ดีองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด

ลี้ ( 2 )
โยบ 14.2 เขาออกมาเหมือนดอกไม้ แล้วก็ถูกตัดให้ล้มลง เขาลี้ไปอย่างเงา และไม่อยู่ต่อไปอีก
โยบ 20.24 เขาจะลี้จากอาวุธเหล็ก คันธนูเหล็กกล้าจะแทงเขาทะลุ

ลีซาเนียส ( 1 )
ลก 3.1 เมื่อปีที่สิบห้าในรัชกาลทิเบริอัส ซีซาร์ ปอนทิอัสปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูเดีย เฮโรดเป็นเจ้าเมืองกาลิลี ฟีลิปน้องชายของเฮโรดเป็นเจ้าเมืองอิทูเรียกับบริเวณแคว้นตราโคนิติส ลีซาเนียสเป็นเจ้าเมืองอาบีเลน

ลีเซีย ( 1 )
กจ 27.5 เมื่อแล่นข้ามทะเลที่อยู่ตรงแคว้นซีลีเซียกับแคว้นปัมฟีเลีย ก็มาถึงเมืองมิราที่อยู่ในแคว้นลีเซีย

ลีเซียส ( 3 )
กจ 23.26 “คลาวดิอัสลีเซียสเรียนเจ้าคุณเฟลิกส์ ท่านผู้ว่าราชการทราบ
กจ 24.7 แต่นายพันลีเซียสได้มาใช้อำนาจแย่งตัวเขาไปเสียจากมือของเรา
กจ 24.22 เมื่อเฟลิกส์ได้ยินสิ่งเหล่านี้ ท่านก็เลื่อนการพิจารณาไว้ก่อน เพราะท่านได้รู้เรื่องของทางนั้นถี่ถ้วนแล้ว ท่านจึงกล่าวว่า “เมื่อลีเซียสนายพันลงมา เราจะชำระความของเจ้า”

ลีนัส ( 1 )
2ทธ 4.21 ท่านจงพยายามมาให้ถึงก่อนฤดูหนาว ยูบูลัส ปูเดนส์ ลีนัส คลาวเดีย และพี่น้องทั้งหลายฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย

ลีบ ( 14 )
ปฐก 41.6 แล้วดูเถิด มีรวงข้าวเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลัง เป็นข้าวลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออก
ปฐก 41.7 รวงข้าวลีบเจ็ดรวงนั้นได้กลืนกินรวงข้าวเมล็ดเต่งงามดีเจ็ดรวงนั้นเสีย แล้วฟาโรห์ก็ตื่นบรรทม และดูเถิด รู้ว่าเป็นพระสุบิน
ปฐก 41.23 และดูเถิด ข้าวอีกเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลังเป็นข้าวเหี่ยวลีบ และเกรียมเพราะลมตะวันออก
ปฐก 41.24 รวงข้าวลีบนั้นกลืนกินรวงข้าวดีเจ็ดรวงนั้นเสีย เราเล่าความฝันนี้ให้โหรฟัง แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายให้เราได้”
ปฐก 41.27 วัวเจ็ดตัวซูบผอมน่าเกลียดที่ขึ้นมาภายหลังคือเจ็ดปี กับรวงข้าวเจ็ดรวงลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออกนั้น คือเจ็ดปีที่กันดารอาหาร
กดว 5.21 ก็ให้ปุโรหิตกระทำให้หญิงนั้นกล่าวคำปฏิญาณสาปแช่ง และปุโรหิตจะกล่าวแก่ผู้หญิงนั้นว่า ‘ขอให้พระเยโฮวาห์ทรงกระทำเจ้าให้เป็นคำสาปแช่ง และเป็นคำปฏิญาณท่ามกลางชนชาติของเจ้า ในเมื่อพระเยโฮวาห์กระทำให้โคนขาเจ้าลีบและกระทำท้องเจ้าให้ป่องแล้ว
กดว 5.22 ขอให้น้ำแห่งคำสาปแช่งนี้เข้าในตัวเจ้ากระทำให้ท้องเจ้าป่อง และกระทำให้โคนขาเจ้าลีบไป’ และนางนั้นจะต้องกล่าวว่า ‘เอเมน เอเมน’
กดว 5.27 เมื่อให้หญิงนั้นดื่มน้ำแล้ว ต่อมา ถ้านางกระทำตัวให้มลทินและประพฤตินอกใจสามี น้ำที่นำการสาปแช่งนั้นจะเข้าในตัวนางเป็นความเฝื่อนฝาด ท้องจะป่องและโคนขาจะลีบไป และหญิงนั้นจะเป็นคำสาปแช่งท่ามกลางชนชาติของนาง
ศคย 11.17 วิบัติแก่เมษบาลผู้ไร้ค่าของเรา ผู้ที่ทอดทิ้งฝูงแพะแกะเสีย ขอให้ดาบฟันแขนของเขาและฟันตาขวาของเขาเถิด ขอให้แขนของเขาลีบไปเสีย และให้ตาขวาของเขาบอดทีเดียว”
มธ 12.10 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งมือข้างหนึ่งลีบ คนทั้งหลายถามพระองค์ว่า “การรักษาโรคในวันสะบาโตนั้นพระราชบัญญัติห้ามไว้หรือไม่” เพื่อเขาจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้
มก 3.1 แล้วพระองค์ได้เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอีก และที่นั่นมีชายคนหนึ่งมือข้างหนึ่งลีบ
มก 3.3 พระองค์ตรัสแก่คนมือลีบว่า “มายืนข้างหน้าเถอะ”
ลก 6.6 ต่อมาในวันสะบาโตอีกวันหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาและสั่งสอน ที่นั่นมีชายคนหนึ่งมือขวาลีบ
ลก 6.8 แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสแก่คนมือลีบนั้นว่า “จงลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างหน้า” เขาก็ลุกขึ้นยืน

ลี้ภัย ( 50 )
กดว 35.6 เมืองซึ่งเจ้าจะยกให้แก่คนเลวี คือ เมืองลี้ภัยหกเมือง ซึ่งเจ้าจะอนุญาตให้คนฆ่าคนหนีไปอยู่ และเจ้าจงเพิ่มให้เขาอีกสี่สิบสองเมือง
กดว 35.11 เจ้าจงเลือกเมืองให้เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับเจ้า เพื่อคนที่ได้ฆ่าคนด้วยมิได้เจตนาจะหลบหนีไปอยู่ที่นั่นก็ได้
กดว 35.12 ให้เมืองเหล่านั้นเป็นเมืองลี้ภัยจากผู้ที่อาฆาต เพื่อมิให้คนฆ่าคนจะต้องตายก่อนที่เขาจะยืนต่อหน้าชุมนุมชนเพื่อรับการพิพากษา
กดว 35.13 และเมืองที่เจ้ายกไว้นั้นให้เป็นเมืองลี้ภัยหกเมือง
กดว 35.14 เจ้าจงให้ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้สามเมือง และอีกสามเมืองในแผ่นดินคานาอัน ให้เป็นเมืองลี้ภัย
กดว 35.15 ทั้งหกเมืองนี้ให้เป็นเมืองลี้ภัยของคนอิสราเอลและสำหรับคนต่างด้าว และสำหรับคนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเขา เพื่อคนหนึ่งคนใดที่ได้ฆ่าเขาโดยมิได้เจตนาจะได้หลบหนีไปที่นั่น
กดว 35.25 ให้ชุมนุมชนช่วยผู้ฆ่าให้พ้นจากมือผู้อาฆาตโลหิต ให้ชุมนุมชนพาตัวเขากลับไปถึงเมืองลี้ภัยซึ่งเขาได้หนีไปอยู่นั้น ให้เขาอยู่ที่นั่นจนกว่ามหาปุโรหิตผู้ได้ถูกเจิมไว้ด้วยน้ำมันบริสุทธิ์ถึงแก่ความตาย
กดว 35.26 แต่ถ้าผู้ฆ่าคนออกไปพ้นเขตเมืองลี้ภัย ซึ่งเขาหนีเข้าไปอยู่ในเวลาใด
กดว 35.27 และผู้อาฆาตโลหิตพบเขานอกเขตเมืองลี้ภัย และผู้อาฆาตโลหิตได้ฆ่าผู้ฆ่าคนนั้นเสีย ผู้อาฆาตโลหิตจะไม่มีความผิดเนื่องด้วยโลหิตตกของเขา
กดว 35.28 เพราะว่าชายผู้นั้นต้องอยู่ในเขตเมืองลี้ภัยจนมหาปุโรหิตถึงแก่ความตาย ภายหลังเมื่อมหาปุโรหิตถึงแก่ความตายแล้ว ผู้ฆ่าคนนั้นจะกลับไปยังแผ่นดินที่เขาถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็ได้
กดว 35.32 และเจ้าอย่ารับค่าไถ่คนที่หลบหนีไปยังเมืองลี้ภัยเพื่อให้กลับมาอยู่ในแผ่นดินของเขาก่อนที่มหาปุโรหิตสิ้นชีวิต
พบญ 33.27 พระเจ้าผู้ดำรงเป็นนิตย์เป็นที่ลี้ภัยของท่าน และพระกรนิรันดร์รับรองท่านอยู่ พระองค์จะทรงผลักศัตรูให้ออกไปพ้นหน้าท่าน และจะตรัสว่า ‘ทำลายเสียเถอะ’
ยชว 20.2 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ‘จงกำหนดตั้งเมืองลี้ภัย ซึ่งเราได้พูดกับเจ้าทั้งหลายทางโมเสสแล้วนั้น
ยชว 20.3 เพื่อว่าผู้ฆ่าคนที่ได้ฆ่าคนใดด้วยมิได้เจตนาหรือไม่จงใจจะได้หนีไปอยู่ที่นั่น เมืองเหล่านี้จะได้เป็นที่ลี้ภัยของเจ้าเพื่อให้พ้นจากผู้อาฆาตโลหิต
ยชว 21.13 เขาได้ให้เมืองเฮโบรนแก่ลูกหลานของอาโรนปุโรหิต อันเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ฆ่าคนพร้อมทั้งทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองลิบนาห์พร้อมทุ่งหญ้า
ยชว 21.21 เมืองที่เขาให้ คือเมืองเชเคม เป็นเมืองลี้ภัยของผู้ฆ่าคนพร้อมทุ่งหญ้าในแดนเทือกเขาของเอฟราอิม เมืองเกเซอร์พร้อมทุ่งหญ้า
ยชว 21.27 เขาให้เมืองจากคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูลแก่คนเกอร์โชน ครอบครัวหนึ่งของคนเลวี คือเมืองโกลานในบาชาน เป็นเมืองลี้ภัยของผู้ฆ่าคน พร้อมทุ่งหญ้า และเมืองเบเอชเท-ราห์พร้อมทุ่งหญ้า รวมเป็นสองหัวเมือง
ยชว 21.32 และจากตระกูลนัฟทาลี เมืองคาเดชในกาลิลี เป็นเมืองลี้ภัยของผู้ฆ่าคน พร้อมทุ่งหญ้า เมืองฮัมโมทโดร์พร้อมทุ่งหญ้า และเมืองคารทานพร้อมทุ่งหญ้า รวมสามหัวเมือง
ยชว 21.38 และจากตระกูลกาด มีเมืองราโมทในกิเลอาด เป็นเมืองลี้ภัยของผู้ฆ่าคน พร้อมทุ่งหญ้า เมืองมาหะนาอิมพร้อมทุ่งหญ้า
2ซมอ 22.3 เป็นพระเจ้าซึ่งทรงเป็นศิลาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์ พระองค์เป็นโล่และเป็นเขาแห่งความรอดของข้าพเจ้า เป็นที่กำบังเข้มแข็งและเป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า องค์พระผู้ช่วยของข้าพระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความทารุณ
1พศด 6.57 เขาให้เมืองต่างๆแห่งยูดาห์แก่ลูกหลานของอาโรน คือเมืองเฮโบรนซึ่งเป็นเมืองลี้ภัย เมืองลิบนาห์กับทุ่งหญ้า เมืองยาททีร์ เมืองเอชเทโมอากับทุ่งหญ้า
1พศด 6.67 คนอิสราเอลได้ให้หัวเมืองลี้ภัย คือเมืองเชเคมพร้อมกับทุ่งหญ้าในถิ่นภูเขาเอฟราอิม เมืองเกเซอร์พร้อมกับทุ่งหญ้า
สดด 9.9 พระเยโฮวาห์จะทรงเป็นที่ลี้ภัยของคนที่ถูกกดขี่ ทรงเป็นที่ลี้ภัยในเวลายากลำบาก
สดด 14.6 เจ้าได้คว่ำแผนงานของคนยากจนเสีย แต่พระเยโฮวาห์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของเขา
สดด 17.7 โอ ข้าแต่พระผู้ช่วยของบรรดาผู้แสวงหาที่ลี้ภัยจากปฏิปักษ์ของเขา ณ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ ขอทรงสำแดงความเมตตาอย่างมหัศจรรย์ของพระองค์
สดด 36.7 โอ ข้าแต่พระเจ้า ความเมตตาของพระองค์ประเสริฐสักเท่าใด บุตรทั้งหลายของมนุษย์เข้าลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์
สดด 46.1 พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก
สดด 46.7 พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่ลี้ภัยของพวกเรา เซลาห์
สดด 46.11 พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่ลี้ภัยของพวกเรา เซลาห์
สดด 48.3 ภายในปราสาททั้งหลายของนครนั้นก็เป็นที่ทราบกันแล้วว่า พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยอันมั่นคง
สดด 57.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ เพราะจิตวิญญาณของข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์จนกว่าภัยอันตรายเหล่านี้จะผ่านพ้นไป
สดด 59.16 แต่ข้าพระองค์จะร้องเพลงถึงอานุภาพของพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงถึงความเมตตาของพระองค์ในเวลาเช้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ เป็นที่ลี้ภัยในยามทุกข์ของข้าพระองค์
สดด 61.3 เพราะพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ เป็นหอคอยเข้มแข็งที่ประจันหน้าศัตรู
สดด 62.7 ความช่วยให้รอดและสง่าราศีของข้าพเจ้าอยู่ที่พระเจ้า ศิลาอันทรงมหิทธิฤทธิ์และที่ลี้ภัยของข้าพเจ้าคือพระเจ้า
สดด 62.8 ประชาชนเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ตลอดเวลา จงระบายความในใจของท่านต่อพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา เซลาห์
สดด 71.3 ขอพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยเข้มแข็งของข้าพระองค์ที่ข้าพระองค์อาศัยเสมอ พระองค์ทรงบัญชาที่จะช่วยข้าพระองค์ให้รอด เพราะพระองค์ทรงเป็นศิลาและเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
สดด 71.7 ข้าพระองค์เป็นที่อัศจรรย์ใจของคนเป็นอันมาก แต่พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยเข้มแข็งของข้าพระองค์
สดด 91.2 ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงพระเยโฮวาห์ว่า “พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์และป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ผู้ที่ข้าพระองค์จะไว้วางใจ”
สดด 91.9 เพราะท่านได้กระทำให้พระเยโฮวาห์ผู้เป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้าคือองค์ผู้สูงสุด เป็นที่อยู่ของท่าน
สดด 94.22 แต่พระเยโฮวาห์ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าของข้าพเจ้าเป็นศิลาที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
สดด 104.18 ภูเขาสูงนั้นเป็นที่ลี้ภัยของเลียงผา หินเป็นของตัวกระจงผา
สดด 142.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์ ข้าพระองค์ว่า “พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ เป็นส่วนของข้าพระองค์ในแผ่นดินของคนเป็น
สภษ 14.26 ความยำเกรงพระเยโฮวาห์ทำให้คนอยู่อย่างมั่นใจมาก ลูกหลานของเขาจะมีที่ลี้ภัย
อสย 4.6 จะมีพลับพลาทำร่มกลางวันบังแดด และเป็นที่ลี้ภัยและที่กำบังพายุและฝน
อสย 25.4 เพราะพระองค์ได้ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนยากจน ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนขัดสนเมื่อเขาทุกข์ใจ ทรงเป็นที่ลี้ภัยจากพายุ และเป็นร่มกันความร้อน เมื่อลมของผู้ที่ทารุณก็เหมือนพายุพัดกำแพง
อสย 28.15 เพราะเจ้าทั้งหลายได้กล่าวแล้วว่า “เราได้กระทำพันธสัญญาไว้กับความตาย และเราทำความตกลงไว้กับนรก เมื่อภัยพิบัติอันท่วมท้นผ่านไป จะไม่มาถึงเรา เพราะเราทำให้ความเท็จเป็นที่ลี้ภัยของเรา และเราได้กำบังอยู่ในความมุสา”
อสย 28.17 และเราจะกระทำความยุติธรรมให้เป็นเชือกวัด และความชอบธรรมให้เป็นลูกดิ่ง และลูกเห็บจะกวาดเอาความเท็จอันเป็นที่ลี้ภัยไปเสีย และน้ำจะท่วมท้นที่กำบัง”
ยรม 16.19 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ กำลังและที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์ เป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ในวันยากลำบาก บรรดาประชาชาติจะมาเฝ้าพระองค์จากที่สุดปลายโลก และทูลว่า “บรรพบุรุษของเราไม่ได้รับมรดกอันใด นอกจากสิ่งมุสา สิ่งไร้ค่า และสิ่งซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรในตัว
ฮบ 6.18 เพื่อด้วยสองประการนั้นที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในที่ซึ่งพระองค์จะตรัสมุสาไม่ได้นั้น เราซึ่งได้หนีมาหาที่ลี้ภัยนั้นจึงจะได้รับการหนุนน้ำใจอย่างจริงจัง ที่จะฉวยเอาความหวังซึ่งมีอยู่ตรงหน้าเรา

ลี้ลับ ( 10 )
พบญ 29.29 สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลาย และของลูกหลานของเราเป็นนิตย์ เพื่อเราจะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของพระราชบัญญัตินี้”
อสย 45.3 เราจะให้ทรัพย์สมบัติแห่งความมืดแก่เจ้า และขุมทรัพย์ในที่ลี้ลับ เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่า คือเรา พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งเรียกเจ้าตามชื่อของเจ้า
อสย 45.19 เรามิได้พูดในที่ลี้ลับ ในที่มืดแห่งแผ่นดินโลก เรามิได้กล่าวแก่เชื้อสายของยาโคบว่า ‘จงแสวงหาเราในที่ยุ่งเหยิง’ เราคือพระเยโฮวาห์พูดความชอบธรรม เราแจ้งสิ่งที่ถูกต้องให้ทราบ
อสย 48.16 จงเข้ามาใกล้เรา ฟังเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นเรามิได้พูดในที่ลี้ลับ ตั้งแต่มันเกิดมา เราก็ได้อยู่ที่นั่นแล้ว” และบัดนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าและพระวิญญาณของพระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา
ดนล 2.22 พระองค์ทรงเผยสิ่งที่ลึกซึ้งและลี้ลับ พระองค์ทรงทราบสิ่งที่อยู่ในความมืด และความสว่างก็อยู่กับพระองค์
มธ 6.4 เพื่อทานของท่านจะเป็นการลับ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับ พระองค์เองจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่านอย่างเปิดเผย
มธ 6.6 ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่านอย่างเปิดเผย
มธ 6.18 เพื่อท่านจะไม่ปรากฏแก่คนอื่นว่าถืออดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่านอย่างเปิดเผย

ลึก ( 100 )
ปฐก 7.11 เมื่อโนอาห์มีชีวิตอยู่ได้หกร้อยปี ในเดือนที่สอง วันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น ในวันเดียวกันนั้นเอง น้ำพุทั้งหลายที่อยู่ที่ลึกใต้บาดาลก็พลุ่งขึ้นมา และช่องฟ้าก็เปิดออก
อพย 15.5 น้ำท่วมเขา เขาจมลงในทะเลที่ลึกประดุจก้อนหิน
ลนต 13.3 ให้ปุโรหิตตรวจผิวหนังตรงที่เป็นโรค ถ้าขนในที่นั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและเห็นว่าโรคนั้นอยู่ลึกกว่าผิวหนังลงไป นับว่าเป็นโรคเรื้อน เมื่อปุโรหิตตรวจเขาเสร็จแล้วให้ประกาศว่าเขาเป็นมลทิน
ลนต 13.4 ถ้าผิวหนังตรงที่ด่างขึ้นนั้นขาว และปรากฏว่ากินไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง และขนในบริเวณนั้นก็ไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตกักตัวผู้ป่วยไว้เจ็ดวัน
ลนต 13.20 และปุโรหิตจะตรวจดู ดูเถิด ถ้าที่เป็นนั้นลึกกว่าผิวหนัง และขนที่บริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคนั้นเป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลฝี
ลนต 13.21 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูแล้ว และดูเถิด ขนที่นั่นก็ไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว และเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนังแต่จาง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน
ลนต 13.25 ให้ปุโรหิตตรวจดู และดูเถิด ถ้าขนในบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและปรากฏว่าเป็นลึกกว่าผิวหนังก็เป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลไฟลวก และให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
ลนต 13.26 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดู และดูเถิด ขนในที่ด่างขึ้นนั้นไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว และเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง แต่จาง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน
ลนต 13.30 ให้ปุโรหิตตรวจดูโรคนั้น และดูเถิด ถ้าเป็นลึกกว่าผิวหนัง และผมตรงนั้นเหลืองและบาง ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคคัน เป็นโรคเรื้อนที่ศีรษะหรือที่เครา
ลนต 13.31 และถ้าปุโรหิตตรวจดูโรคคันนั้น และดูเถิด เป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง และไม่มีผมดำอยู่ในบริเวณนั้น ให้ปุโรหิตกักตัวบุคคลที่เป็นโรคคันนั้นไว้เจ็ดวัน
ลนต 13.32 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจโรคนั้น ดูเถิด ถ้าอาการคันนั้นไม่ลามออกไป และไม่มีขนเหลืองในบริเวณนั้น และปรากฏว่าอาการคันไม่ลึกกว่าผิวหนัง
ลนต 13.34 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตรงที่คัน ดูเถิด ถ้าที่คันนั้นไม่ลามออกไปในผิวหนัง และปรากฏว่าเป็นไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด ให้เขาซักเสื้อผ้า แล้วจะสะอาด
ลนต 14.37 และปุโรหิตจะตรวจดูโรค ดูเถิด ถ้าโรคนั้นอยู่ที่ผนังของเรือนเป็นรอยสีเขียวๆแดงๆและปรากฏว่าอยู่ลึกกว่าผิว
พบญ 32.22 เพราะมีไฟก่อขึ้นด้วยเหตุความกริ้วของเรานั้น ไฟก็ไหม้ลุกลามไปจนถึงก้นลึกของนรก เผาแผ่นดินโลกและพืชผลในนั้น และก่อเพลิงติดรากภูเขา
1ซมอ 24.3 และพระองค์เสด็จมาที่คอกแกะริมทาง มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งที่นั่น และซาอูลก็เสด็จเข้าไปส่งทุกข์ ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านนั่งอยู่ที่ส่วนลึกที่สุดของถ้ำ
1พกษ 6.3 มุขหน้าห้องโถงของพระนิเวศนั้นยาวยี่สิบศอก เท่ากับด้านกว้างของพระนิเวศ และลึกเข้าไปหน้าพระนิเวศสิบศอก
1พกษ 7.31 ช่องเปิดอยู่ในบัวคว่ำ ซึ่งยื่นขึ้นไปหนึ่งศอก ช่องเปิดนั้นกลมอย่างที่เขาทำแท่น ลึกหนึ่งศอกคืบ ตรงช่องเปิดมีลายสลัก และแผงนั้นก็สี่เหลี่ยมไม่กลม
นหม 9.11 และพระองค์ได้ทรงแยกทะเลต่อหน้าเขาทั้งหลาย เขาจึงเดินไปกลางทะเลบนดินแห้ง และพระองค์ได้ทรงเหวี่ยงผู้ข่มเหงเขาทั้งหลายลงในที่ลึกอย่างกับทรงเหวี่ยงหินลงไปในมหาสมุทร
โยบ 11.8 นั่นสูงเท่าฟ้าสวรรค์ ท่านจะทำอะไรได้ ลึกกว่านรก ท่านจะทราบอะไรได้
โยบ 12.22 พระองค์ทรงเปิดสิ่งที่ลึกออกมาจากความมืด และทรงนำเงามัจจุราชมาสู่ความสว่าง
โยบ 41.31 มันทำให้น้ำลึกเดือดเหมือนหม้อ มันทำให้ทะเลเหมือนหม้อน้ำมันทา
สดด 33.7 พระองค์ทรงรวบรวมน้ำทะเลไว้ด้วยกันเป็นกองใหญ่ และทรงเก็บที่ลึกไว้ในคลัง
สดด 36.6 ความชอบธรรมของพระองค์เหมือนภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คำตัดสินของพระองค์เหมือนที่ลึกยิ่ง โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงช่วยมนุษย์และสัตว์ให้รอด
สดด 42.7 เมื่อเสียงน้ำแก่งตกที่ลึกก็กู่เรียกที่ลึก บรรดาคลื่นและระลอกของพระองค์ท่วมข้าพระองค์แล้ว
สดด 63.9 แต่บรรดาผู้แสวงหาชีวิตของข้าพระองค์เพื่อทำลาย จะลงไปในที่ลึกแห่งแผ่นดินโลก
สดด 68.22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะนำเขาทั้งหลายกลับมาจากบาชาน เราจะนำประชาชนของเรากลับมาจากที่ลึกของทะเล
สดด 69.2 ข้าพระองค์จมอยู่ในเลนลึกไม่มีที่ยืน ข้าพระองค์มาอยู่ในน้ำลึกและน้ำท่วมข้าพระองค์
สดด 69.14 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากจมลงในเลน ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคนที่เกลียดชังข้าพระองค์และจากน้ำลึก
สดด 69.15 ขออย่าให้น้ำท่วมข้าพระองค์ หรือน้ำที่ลึกกลืนข้าพระองค์เสีย หรือปากแดนผู้ตายงับข้าพระองค์ไว้
สดด 71.20 พระองค์ผู้ทรงกระทำให้ข้าพระองค์ประสบความทุกข์ยากลำบากเป็นอันมากจะทรงรื้อข้าพระองค์ขึ้นมาอีก พระองค์จะทรงนำข้าพระองค์ขึ้นมาอีกจากที่ลึกของโลก
สดด 77.16 โอ ข้าแต่พระเจ้า เมื่อน้ำเห็นพระองค์ น้ำเห็นพระองค์ มันก็เกรงกลัวแน่ทีเดียว ที่ลึกก็สั่นสะท้าน
สดด 78.15 พระองค์ทรงผ่าหินในถิ่นทุรกันดาร ประทานน้ำเป็นอันมากให้เขาดื่มเหมือนมาจากที่ลึก
สดด 80.9 พระองค์ทรงปราบดินให้ มันก็หยั่งรากลึกและแผ่เต็มแผ่นดิน
สดด 86.13 เพราะความเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อข้าพระองค์นั้นใหญ่ยิ่งนัก และพระองค์ทรงช่วยจิตวิญญาณของข้าพระองค์ให้พ้นจากที่ลึกที่สุดของนรก
สดด 88.6 พระองค์ทรงใส่ข้าพระองค์ไว้ในส่วนลึกของปากแดนผู้ตาย ในแดนที่มืดและลึก
สดด 95.4 ที่ลึกของแผ่นดินโลกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ที่สูงของภูเขาเป็นของพระองค์ด้วย
สดด 104.6 พระองค์ทรงคลุมมันไว้ด้วยน้ำลึกอย่างกับเครื่องนุ่งห่ม น้ำอยู่เหนือภูเขา
สดด 106.9 พระองค์ทรงขนาบทะเลแดง มันก็แห้งไป และพระองค์ทรงนำท่านข้ามที่ลึกอย่างกับเดินข้ามถิ่นทุรกันดาร
สดด 107.24 เขาได้เห็นพระราชกิจของพระเยโฮวาห์ และการมหัศจรรย์ของพระองค์ในที่น้ำลึก
สดด 107.26 คนเหล่านั้นถูกซัดขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและลงไปสู่ที่ลึก ใจของเขาละลายไปเพราะเหตุความยากลำบาก
สดด 130.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์จากที่ลึก
สดด 135.6 พระเยโฮวาห์พอพระทัยสิ่งใด พระองค์ก็ทรงกระทำในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ในทะเลและที่น้ำลึกทั้งสิ้น
สดด 139.15 เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลับลี้ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์
สดด 148.7 จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์จากแผ่นดินโลกนะ เจ้ามังกรทั้งหลายและที่น้ำลึกทั้งปวง
สภษ 9.18 แต่เขาไม่ทราบว่าคนตายอยู่ที่นั่น และแขกของนางก็อยู่ในห้วงลึกของนรก
สภษ 17.10 คำขนาบเข้าไปในคนฉลาดลึกกว่าเฆี่ยนคนโง่สักร้อยที
สภษ 18.4 คำปากของคนเราเป็นน้ำลึก น้ำพุแห่งปัญญาเหมือนลำธารน้ำเชี่ยว
สภษ 20.5 คำปรึกษาในใจของคนเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะสามารถโพงมันออกมาได้
สภษ 20.27 จิตวิญญาณของมนุษย์เป็นประทีปของพระเยโฮวาห์ ส่องดูส่วนลึกที่สุดของเขาทั้งสิ้น
สภษ 20.30 ความฟกช้ำดำเขียวของบาดแผลก็ชำระความชั่วเสีย การโบยตีกระทำให้ส่วนลึกที่สุดสะอาดสะอ้าน
สภษ 22.14 ปากของหญิงชั่วเป็นหลุมลึก บุคคลซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธจะตกลงในที่นั้น
สภษ 23.27 เพราะหญิงแพศยาเป็นหลุมลึก และหญิงสัญจรเป็นเหมือนบ่อแคบ
สภษ 25.3 ฟ้าสวรรค์สูงฉันใด และแผ่นดินโลกลึกฉันใด พระทัยของกษัตริย์ก็เหลือจะหยั่งรู้ฉันนั้น
อสย 7.11 “จงขอหมายสำคัญจากพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า จงขอในที่ลึกหรือที่สูงเบื้องบนก็ได้”
อสย 14.15 แต่เจ้าจะถูกนำลงมาสู่นรก ยังที่ลึกของปากแดน
อสย 29.4 และเจ้าจะถูกเหยียบลง เจ้าจะพูดมาจากที่ลึกของแผ่นดินโลก คำของเจ้าจะมาจากที่ต่ำลงในผงคลี เสียงของเจ้าจะมาจากพื้นดินเหมือนเสียงผี และคำพูดของเจ้าจะกระซิบออกมาจากผงคลี
อสย 29.15 วิบัติแก่ผู้ที่พยายามซ่อนแผนงานของเขาไว้ลึกจากพระเยโฮวาห์ ซึ่งการกระทำของเขาอยู่ในความมืด ผู้ซึ่งกล่าวว่า “ใครเห็นเรา ใครจำเราได้”
อสย 30.33 เพราะโทเฟทก็จัดไว้นานแล้ว เออ เตรียมไว้สำหรับกษัตริย์ เชิงตะกอนก็ลึกและกว้าง พร้อมไฟและฟืนมากมาย คือพระปัสสาสะของพระเยโฮวาห์เหมือนธารกำมะถันมาจุดให้ลุก
อสย 44.23 โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลงเพราะพระเยโฮวาห์ทรงกระทำการนี้ ห้วงลึกของแผ่นดินโลกเอ๋ย จงโห่ร้อง ภูเขาเอ๋ย จงร้องเป็นเพลงออกมา โอ ป่าไม้เอ๋ย และต้นไม้ทุกต้นในนั้นด้วย เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงไถ่ยาโคบ และจะทรงรับเกียรติในอิสราเอล
อสย 44.27 ผู้กล่าวแก่ที่ลึกว่า ‘จงแห้งเสีย เราจะให้แม่น้ำของเจ้าแห้ง’
อสย 51.10 ท่านไม่ใช่หรือที่ทำให้ทะเลแห้งไป คือน้ำของมหาสมุทรใหญ่ด้วย ซึ่งทำที่ลึกของทะเลให้เป็นหนทาง เพื่อให้ผู้ที่ได้ไถ่ไว้แล้วเดินผ่านไป
ยรม 49.8 โอ ชาวเมืองเดดานเอ๋ย จงหนี จงหันกลับ จงอาศัยในที่ลึก เพราะว่าเราจะนำภัยพิบัติของเอซาวมาเหนือเขา เวลาเมื่อเราจะลงโทษเขา
ยรม 49.30 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า โอ ชาวเมืองฮาโซร์เอ๋ย หนีเถิด จงสัญจรไปไกล ไปอาศัยในที่ลึก เพราะเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ดำริแผนงานต่อสู้เจ้า และก่อตั้งความประสงค์ไว้สู้เจ้า
พคค 3.55 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ได้ร้องออกพระนามของพระองค์จากที่ลึกในคุกใต้ดิน
อสค 23.32 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะต้องดื่มจากถ้วยของพี่สาวเจ้า ซึ่งลึกและใหญ่ เจ้าจะเป็นที่หัวเราะเยาะและถูกสบประมาทเพราะถ้วยนั้นจุมาก
อสค 26.19 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เมื่อเราจะกระทำให้เจ้าเป็นเมืองรกร้างเหมือนอย่างเมืองที่ไม่มีคนอาศัย เมื่อเราจะนำทะเลลึกมาท่วมเจ้า และน้ำมากหลายจะคลุมเจ้าไว้
อสค 27.26 ฝีกรรเชียงของเจ้านำเจ้าออกไปที่ในทะเลลึก ลมตะวันออกทำให้เจ้าอับปางในท้องทะเล
อสค 27.34 ในเมื่อเจ้าอับปางเสียด้วยทะเลในห้วงน้ำลึก สินค้าของเจ้าและพรรคพวกทั้งหลายของเจ้าจะได้จมลงพร้อมกับเจ้า
อสค 31.4 สายน้ำทำให้มันใหญ่ขึ้น น้ำลึกทำให้มันงอกสูง พร้อมกับมีแม่น้ำของสายน้ำลึกนั้นไหลรอบที่ที่ปลูกมันไว้ และก่อให้เกิดสายน้ำเล็กๆ จากแม่น้ำลึกแยกออกไปทั่วต้นไม้ทั้งสิ้นในทุ่งนั้น
อสค 31.7 มันก็งดงามด้วยความใหญ่ยิ่งของมัน ด้วยความยาวแห่งก้านของมัน เพราะรากของมันหยั่งลึกลงไปยังน้ำอุดม
อสค 32.14 แล้วเราจะทำให้น้ำของเขาทั้งหลายลึก และกระทำให้แม่น้ำทั้งหลายของเขาไหลไปเหมือนน้ำมันไหล องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
อสค 34.18 ที่จะหากินในลานหญ้าอย่างดีนั้นยังไม่พออีกหรือ เจ้าจึงต้องเอาเท้าเหยียบลานหญ้าที่เหลืออยู่ของเจ้า และดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่ลึกยังไม่พอหรือ จึงเอาเท้าของเจ้ากวนน้ำที่เหลืออยู่ให้ขุ่น
อสค 40.6 แล้วท่านเข้าไปตามหอประตูซึ่งหันหน้าไปทิศตะวันออกขึ้นไปตามบันได และวัดธรณีหอประตูได้ลึกหนึ่งไม้วัดและอีกธรณีหนึ่งได้ลึกหนึ่งไม้วัด
อสค 47.3 ชายผู้นั้นได้เดินไปทางตะวันออกมีเชือกวัดอยู่ในมือ ท่านวัดได้หนึ่งพันศอก แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป และน้ำลึกเพียงตาตุ่ม
อสค 47.4 แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไปและน้ำลึกถึงเข่า แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป น้ำนั้นลึกเพียงเอว
อสค 47.5 ภายหลังท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน และกลายเป็นแม่น้ำที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน้ำนั้นขึ้นแล้วลึกพอที่จะว่ายได้ เป็นแม่น้ำที่ลุยข้ามไม่ได้
ฮชย 5.2 พวกกบฏได้ฆ่าฟันให้ลึก แม้ว่าเราได้ตีสอนเขาเหล่านี้ทั้งหมด
ฮชย 9.9 เขาเสื่อมทรามลึกลงไปในความชั่วอย่างมากมายดังสมัยเมืองกิเบอาห์ พระองค์จึงจะทรงระลึกถึงความชั่วช้าของเขา พระองค์จะทรงลงโทษเพราะบาปของเขา
ยนา 2.3 เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงไปในที่ลึกในท้องทะเล และน้ำก็ท่วมล้อมรอบข้าพระองค์ไว้ บรรดาคลื่นและระลอกของพระองค์ท่วมข้าพระองค์แล้ว
ยนา 2.5 น้ำก็ท่วมมิดข้าพระองค์ คือถึงจิตใจข้าพระองค์ ที่ลึกก็อยู่รอบตัวข้าพระองค์ สาหร่ายทะเลก็พันศีรษะข้าพระองค์อยู่
มคา 7.19 พระองค์จะทรงหันกลับมาอีก พระองค์จะทรงเมตตาเราทั้งหลาย พระองค์จะทรงเหยียบความชั่วช้าของเราไว้ พระองค์จะทรงเหวี่ยงบาปทั้งหลายของเขาลงไปในที่ลึกของทะเล
ศคย 10.11 พระองค์จะเสด็จผ่านข้ามทะเลแห่งความระทม และจะทรงทุบคลื่นทะเล และที่ลึกทั้งสิ้นของแม่น้ำจะแห้งไป ความเห่อเหิมของอัสซีเรียจะตกต่ำ และคทาของอียิปต์จะพรากไปเสีย
มธ 13.5 บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก
มธ 18.6 แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่เชื่อในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึกก็ดีกว่า
มก 4.5 บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก
ลก 5.4 เมื่อพระองค์ตรัสสอนเสร็จแล้ว จึงตรัสแก่ซีโมนว่า “จงถอยออกไปที่น้ำลึกหย่อนอวนต่างๆลงจับปลา”
ลก 6.48 เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างเรือน เขาขุดลึกลงไป แล้วตั้งรากบนศิลา และเมื่อน้ำมาท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่ง แต่ทำให้เรือนนั้นหวั่นไหวไม่ได้ เพราะได้ตั้งรากบนศิลา
ลก 8.31 ผีนั้นจึงอ้อนวอนขอพระองค์มิให้สั่งให้มันลงไปยังนรกขุมลึก
ยน 4.11 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำประกอบด้วยชีวิตนั้นมาจากไหน
กจ 27.28 ครั้นหยั่งน้ำดูก็วัดได้ลึกสี่สิบเมตร เมื่อไปอีกหน่อยหนึ่งก็หยั่งน้ำวัดอีกได้สามสิบเมตร
รม 7.22 เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในพระราชบัญญัติของพระเจ้า
รม 8.39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งอื่นใดๆที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
รม 10.7 หรือ “ใครจะลงไปยังที่ลึก” (คือจะเชิญพระคริสต์ขึ้นมาจากความตายอีก)

ลึกซึ้ง ( 1 )
ดนล 2.22 พระองค์ทรงเผยสิ่งที่ลึกซึ้งและลี้ลับ พระองค์ทรงทราบสิ่งที่อยู่ในความมืด และความสว่างก็อยู่กับพระองค์

ลึกลับ ( 16 )
ปฐก 49.6 โอ จิตวิญญาณของเราเอ๋ย อย่าเข้าไปในที่ลึกลับของเขา ยศบรรดาศักดิ์ของเราเอ๋ย อย่าเข้าร่วมในที่ประชุมของเขาเลย เหตุว่าเขาฆ่าคนด้วยความโกรธ เขาทำลายกำแพงเมืองตามอำเภอใจเขา
โยบ 15.11 ท่านเห็นคำเล้าโลมของพระเจ้าเป็นของเล็กน้อยไปหรือ มีเรื่องลึกลับอะไรบ้างอยู่กับท่านหรือ
โยบ 20.26 ความมืดทั้งปวงจะซ่อนไว้ในที่ลึกลับของเขา ไฟที่ไม่ต้องเป่าจะกลืนเขาเสีย สิ่งใดที่เหลืออยู่ในเต็นท์ของเขาจะถูกเผาผลาญ
สดด 31.20 พระองค์ทรงซ่อนเขาไว้ในความลึกลับแห่งพระพักตร์พระองค์ให้พ้นจากการปองร้ายของมนุษย์ พระองค์ทรงยึดเขาไว้อย่างลึกลับในที่กำบังของพระองค์ให้พ้นจากลิ้นที่ทะเลาะวิวาท
สดด 51.6 ดูเถิด พระองค์มีพระประสงค์ความจริงภายใน และจะทรงสอนสติปัญญาแก่ข้าพระองค์ภายในจิตใจลึกลับของข้าพระองค์
สภษ 1.6 เพื่อให้เข้าใจสุภาษิตและปริศนา ทั้งถ้อยคำของปราชญ์และปริศนาที่ลึกลับของเขา
ยรม 2.34 ที่ชายเสื้อของเจ้าจะเห็นโลหิตของคนจนที่ไร้ความผิดด้วย เรามิได้พบโดยการสืบหาอย่างลึกลับ แต่โดยเรื่องต่างๆเหล่านี้
มธ 13.11 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เพราะว่าข้อความลึกลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้
มก 4.11 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ฝ่ายคนนอกนั้นบรรดาข้อความเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทุกอย่าง
ลก 8.10 พระองค์จึงตรัสว่า “ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นได้ให้เป็นคำอุปมา เพื่อเมื่อเขาดูก็ไม่เห็น และเมื่อเขาได้ยินก็ไม่เข้าใจ
รม 11.25 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านทั้งหลายเขลาในข้อความลึกลับนี้ เกลือกว่าท่านจะอวดรู้ คือเรื่องที่บางคนในพวกอิสราเอลได้มีใจแข็งกระด้างไป จนถึงพวกต่างชาติได้เข้ามาครบจำนวน
รม 16.25 บัดนี้จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์สามารถให้ท่านทั้งหลายตั้งมั่นคง ตามข่าวประเสริฐซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น และตามที่ได้ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการเปิดเผยข้อความอันลึกลับซึ่งได้ปิดบังไว้ตั้งแต่สร้างโลก
1คร 4.1 ให้ทุกคนถือว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ และเป็นผู้อารักขาสิ่งลึกลับของพระเจ้า
คส 1.26 คือข้อความลึกลับซึ่งซ่อนเร้นอยู่หลายยุคและหลายชั่วอายุนั้น แต่บัดนี้ได้ทรงโปรดให้เป็นที่ประจักษ์แก่วิสุทธิชนของพระองค์แล้ว
2ธส 2.7 เพราะว่าอำนาจลึกลับนอกกฎหมายนั้นก็เริ่มทำงานอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวเดี๋ยวนี้นั้นจะยังหน่วงเหนี่ยวอยู่ จนกว่าผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวนั้นจะถูกพาออกไปเสีย
1ทธ 3.16 ทางของพระเจ้าอันยิ่งใหญ่และลึกลับซึ่งไม่มีใครปฏิเสธได้ก็คือ พระเจ้าทรงปรากฏในเนื้อหนัง พระวิญญาณได้ทรงพิสูจน์แล้ว หมู่ทูตสวรรค์ก็เห็น และมีผู้ประกาศพระองค์แก่ชนต่างชาติ มีชาวโลกเชื่อถือพระองค์ และพระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปในสง่าราศี

ลึกล้ำ ( 3 )
สดด 64.6 เขาทั้งหลายค้นหาความชั่วช้า เขาทั้งหลายค้นหาอย่างขมีขมันจนสำเร็จ เพราะความคิดภายในและจิตใจของมนุษย์นั้นลึกล้ำนัก
สดด 92.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระราชกิจของพระองค์ใหญ่หลวงนัก พระดำริของพระองค์สุดลึกล้ำ
ปญจ 7.24 สิ่งที่อยู่ไกลและลึกล้ำเหลือเกิน ใครผู้ใดจะค้นออกมาได้

ลื่น ( 6 )
พบญ 32.35 การแก้แค้นและการตอบสนองเป็นของเรา เท้าของเขาจะลื่นไถลไปตามกำหนดเวลา เพราะว่าวันแห่งหายนะของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว และสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับเขาก็จะมาโดยพลัน
สดด 35.6 ขอให้ทางของเขามืดและลื่น และขอให้ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ข่มเหงพวกเขา
สดด 55.21 คำพูดจากปากของเขาเรียบลื่นยิ่งกว่าเนย แต่สงครามอยู่ภายในใจของเขา ถ้อยคำของเขาอ่อนนุ่มยิ่งกว่าน้ำมัน แต่ทว่าเป็นดาบที่ชักออกมาแล้ว
สดด 73.18 จริงละ พระองค์ทรงวางเขาไว้ในที่ลื่น พระองค์ทรงกระทำให้เขาล้มถึงความพินาศ
สภษ 5.3 เพราะริมฝีปากของหญิงชั่วนั้นก็หยาดน้ำผึ้งออกมา และปากของนางก็ลื่นยิ่งกว่าน้ำมัน
ยรม 23.12 เพราะฉะนั้น หนทางของเขาทั้งหลายจะเป็นเหมือนทางลื่นในความมืดแก่เขา เขาจะถูกขับไล่เข้าไปและล้มลงในนั้น เพราะเราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเขาในปีแห่งการลงโทษเขา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ

ลืม ( 126 )
ปฐก 27.45 จนกว่าความโกรธของพี่ชายเจ้าจะคลายลง และเขาลืมสิ่งที่เจ้าได้ทำแก่เขา แล้วแม่จะส่งให้คนไปพาเจ้ากลับมาจากที่นั่น แม่ต้องสูญเสียลูกทั้งสองคนในวันเดียวกันทำไมเล่า”
ปฐก 40.23 แต่หัวหน้าพนักงานน้ำองุ่นนั้นมิได้ระลึกถึงโยเซฟ กลับลืมเขาเสีย
ปฐก 41.30 หลังจากนั้นจะบังเกิดการกันดารอาหารอีกเจ็ดปี จนจะลืมความอุดมสมบูรณ์ในประเทศอียิปต์เสีย การกันดารอาหารจะล้างผลาญแผ่นดิน
ปฐก 41.51 โยเซฟเรียกบุตรหัวปีว่า มนัสเสห์ กล่าวว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงโปรดให้ข้าพเจ้าลืมความยากลำบากทั้งปวง และวงศ์วานทั้งสิ้นของบิดาเสีย”
พบญ 4.9 แต่จงระวังตัว และรักษาจิตวิญญาณของตัวให้ดี เกรงว่าพวกท่านจะลืมสิ่งซึ่งนัยน์ตาได้เห็นนั้น และเกรงว่าสิ่งเหล่านั้นจะหันไปเสียจากใจของท่านตลอดวันคืนแห่งชีวิตของพวกท่าน จงสอนเรื่องเหล่านี้ให้แก่ลูกของพวกท่านและหลานของพวกท่านว่า
พบญ 4.23 จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าท่านทั้งหลายจะลืมพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ซึ่งพระองค์ทรงกระทำไว้แก่ท่าน และสร้างรูปเคารพสลักเป็นสัณฐานสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงห้ามไว้นั้น
พบญ 4.31 (เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระเมตตา) พระองค์จะไม่ทรงละทิ้งหรือทำลายท่านทั้งหลาย หรือลืมพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของท่านโดยการปฏิญาณ
พบญ 6.12 แล้วจงระวังกลัวว่าพวกท่านจะลืมพระเยโฮวาห์ผู้ทรงพาท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ออกจากเรือนทาสนั้น
พบญ 8.11 ท่านทั้งหลายจงระวังตัวอย่าลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ด้วยไม่รักษาพระบัญญัติ และคำตัดสินและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้
พบญ 8.14 จิตใจของท่านทั้งหลายจะผยองขึ้น และท่านทั้งหลายก็ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงนำท่านทั้งหลายออกจากแผ่นดินอียิปต์ ออกจากเรือนทาส
พบญ 8.19 และถ้าท่านลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ไปดำเนินตามพระอื่นและปฏิบัตินมัสการพระเหล่านั้น ข้าพเจ้าขอเตือนท่านจริงๆในวันนี้ว่าท่านจะต้องพินาศเป็นแน่
พบญ 9.7 จงจำไว้และอย่าลืมเสียว่าพวกท่านได้กระทำให้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านพิโรธที่ในถิ่นทุรกันดาร ตั้งแต่วันที่ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ กระทั่งท่านมาถึงที่นี่ ท่านมักกบฏต่อพระเยโฮวาห์อยู่
พบญ 24.19 เมื่อท่านเกี่ยวข้าวในนาของท่าน และลืมฟ่อนข้าวไว้ในนาฟ่อนหนึ่ง อย่ากลับไปเอามาเลย ให้เป็นของคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย เพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะอวยพระพรแก่กิจการทั้งหลายแห่งมือของท่าน
พบญ 25.19 เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่านหยุดพักจากบรรดาศัตรูที่อยู่รอบข้างแล้ว ในแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดกให้เป็นกรรมสิทธิ์นั้น ท่านทั้งหลายจงทำลายล้างคนอามาเลขเสียจากความทรงจำภายใต้ฟ้า ท่านทั้งหลายอย่าลืมเสีย”
พบญ 26.13 แล้วท่านจงทูลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า ‘ข้าพระองค์ยกส่วนศักดิ์สิทธิ์ออกจากบ้านของข้าพระองค์แล้ว และยิ่งกว่านั้นข้าพระองค์ได้ให้แก่คนเลวีและคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย ตามพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้แก่ข้าพระองค์ทุกประการ ข้าพระองค์มิได้ละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ในข้อใดเลย และข้าพระองค์มิได้ลืมเลย
พบญ 31.21 และต่อมาเมื่อสิ่งร้ายและความลำบากหลายอย่างมาถึงเขาแล้ว เพลงบทนี้จะเผชิญหน้าเป็นพยาน เพราะว่าเพลงนี้จะอยู่ที่ปากเชื้อสายของเขาไม่มีวันลืม เพราะแม้แต่เวลานี้เองเรารู้ถึงความมุ่งหมายที่เขากำลังจะก่อขึ้นมาแล้ว ก่อนที่เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้นั้น”
วนฉ 3.7 คนอิสราเอลได้กระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตนเสีย ไปปรนนิบัติพระบาอัลและเสารูปเคารพ
1ซมอ 1.11 นางก็ปฏิญาณไว้ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของหญิงผู้รับใช้ของพระองค์จริงๆ และยังระลึกถึงข้าพระองค์ และยังไม่ลืมหญิงผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะทรงประทานบุตรชายแก่หญิงผู้รับใช้ของพระองค์สักคนหนึ่งแล้ว ข้าพระองค์จะถวายเขาไว้แด่พระเยโฮวาห์ตลอดชีวิตของเขา และมีดโกนจะไม่แตะต้องศีรษะของเขาเลย”
1ซมอ 12.9 แต่เขาทั้งหลายลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาเสีย พระองค์จึงทรงขายเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพแห่งเมืองฮาโซร์ และมอบไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย และไว้ในมือของกษัตริย์แห่งเมืองโมอับ และเขาเหล่านั้นก็ต่อสู้บรรพบุรุษของท่าน
1พกษ 8.29 เพื่อว่าพระเนตรของพระองค์จะทรงลืมอยู่เหนือพระนิเวศนี้ ทั้งกลางคืนและกลางวัน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า ‘นามของเราจะอยู่ที่นั่น’ เพื่อว่าพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะได้อธิษฐานตรงต่อสถานที่นี้
1พกษ 8.52 ขอพระเนตรของพระองค์จงลืมอยู่ต่อคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ และต่อคำวิงวอนของอิสราเอลประชาชนของพระองค์ ขอทรงสดับบรรดาเรื่องที่เขาทั้งหลายร้องต่อพระองค์
2พกษ 17.38 เจ้าทั้งหลายอย่าลืมพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำไว้กับเจ้า และอย่ายำเกรงพระอื่นเลย
2พศด 6.20 เพื่อว่าพระเนตรของพระองค์จะทรงลืมอยู่เหนือพระนิเวศนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า จะตั้งพระนามของพระองค์ไว้ที่นั่น เพื่อว่าพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐานซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะได้อธิษฐานตรงต่อสถานที่นี้
2พศด 6.40 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ บัดนี้ขอพระเนตรของพระองค์ทรงลืมอยู่ และขอพระกรรณของพระองค์สดับคำอธิษฐานแห่งสถานที่นี้
2พศด 7.15 บัดนี้ตาของเราจะลืมอยู่และหูของเราจะฟังคำอธิษฐานซึ่งเขาทั้งหลายอธิษฐาน ณ สถานที่นี้
นหม 1.6 ขอพระองค์ทรงเงี่ยพระกรรณสดับ และขอทรงลืมพระเนตรของพระองค์ดูอยู่ เพื่อจะทรงฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ทูลอธิษฐานต่อพระพักตร์พระองค์ ณ บัดนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อประชาชนอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ สารภาพบาปของประชาชนอิสราเอล ซึ่งข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์กับเรือนบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทำบาปแล้ว
โยบ 8.13 ทางของบรรดาผู้ที่ลืมพระเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ ความหวังของคนหน้าซื่อใจคดจะพินาศไป
โยบ 9.27 ถ้าข้าพระองค์ว่า “ข้าจะลืมคำร้องทุกข์ของข้า ข้าจะทิ้งหน้าเศร้าของข้าเสีย และเบิกบาน”
โยบ 11.16 เพราะท่านจะลืมความทุกข์ยากของท่าน ท่านจะจดจำได้เหมือนน้ำที่ได้ไหลผ่านพ้นไป
โยบ 14.3 และพระองค์ทรงลืมพระเนตรมองคนอย่างนี้หรือ และทรงนำข้าพระองค์มาในการพิพากษาของพระองค์หรือ
โยบ 19.14 ญาติของข้าละข้าเสีย และเพื่อนสนิทของข้าได้ลืมข้าเสียแล้ว
โยบ 24.20 ครรภ์จะลืมเขา ตัวหนอนจะกินเขาอย่างอร่อย ไม่มีใครจำเขาได้ต่อไป ความชั่วจะหักลงเหมือนต้นไม้
โยบ 28.4 เขาขุดปล่องไกลจากที่ฝูงคนอาศัยอยู่ คนสัญจรไปมาลืมเขาแล้ว เขาแขวนอยู่แกว่งไปแกว่งมาไกลจากฝูงคน
โยบ 39.15 ลืมไปว่าตีนหนึ่งอาจจะเหยียบมันแหลก และสัตว์ป่าทุ่งจะย่ำมัน
โยบ 39.17 เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้มันลืมสติปัญญา และมิได้ทรงให้มันมีความเข้าใจ
สดด 9.12 เมื่อพระองค์ทรงไต่สวนเรื่องโลหิต พระองค์ทรงจำเขาทั้งหลายไว้ พระองค์มิได้ทรงลืมคำร้องทุกข์ของผู้ถ่อมตัวลง
สดด 9.17 คนชั่วจะต้องถอยไปสู่นรก คือประชาชาติทั้งมวลที่ลืมพระเจ้า
สดด 9.18 เพราะพระองค์จะไม่ทรงลืมคนขัดสนเสมอไป และความหวังของคนยากจนจะไม่พินาศไปเป็นนิตย์
สดด 10.11 เขาคิดในใจว่า “พระเจ้าลืมแล้ว พระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์และจะไม่ทรงเห็นเลย”
สดด 10.12 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลุกขึ้น โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงชูพระหัตถ์ของพระองค์ขึ้น ขออย่าทรงลืมคนที่ถ่อมตัวลง
สดด 13.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ อีกนานเท่าใดพระองค์จะทรงลืมข้าพระองค์เสีย เป็นนิตย์หรือ พระองค์จะปิดบังพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์นานเท่าใด
สดด 31.12 เขาลืมข้าพระองค์เสียประหนึ่งว่าเป็นคนตายแล้ว ข้าพระองค์เหมือนอย่างภาชนะที่แตก
สดด 42.9 ข้าพเจ้าทูลพระเจ้าศิลาของข้าพเจ้าว่า “ไฉนพระองค์ทรงลืมข้าพระองค์เสีย ไฉนข้าพระองค์จึงต้องไปอย่างเป็นทุกข์ เพราะการบีบบังคับของศัตรู”
สดด 44.17 สิ่งทั้งปวงนี้เกิดแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย แม้ว่าข้าพระองค์ไม่ลืมพระองค์ หรือทุจริตต่อพันธสัญญาของพระองค์
สดด 44.20 ถ้าเราได้ลืมพระนามพระเจ้าของเรา หรือพนมมือของเราให้แก่พระอื่น
สดด 44.24 ไฉนพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์เสีย ไฉนพระองค์ทรงลืมการที่ข้าพระองค์ทั้งหลายทุกข์ยากและถูกบีบบังคับเสีย
สดด 45.10 โอ ธิดาเอ๋ย จงพิเคราะห์ ฟังและเอียงหูของเธอลง จงลืมชนชาติของเธอ และลืมบ้านบิดาของเธอเสีย
สดด 50.22 เจ้าทั้งหลายผู้ลืมพระเจ้า จงพิจารณาเรื่องนี้ หาไม่เราจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ และจะไม่มีสักคนที่ช่วยเจ้าให้พ้นได้
สดด 59.11 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระโล่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขออย่าทรงสังหารเขาเสีย เกรงว่าชนชาติของข้าพระองค์จะลืม ขอให้เขาระหกระเหินไปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์และทำให้เขาล้มลง
สดด 74.19 โอ ขออย่าทรงมอบวิญญาณนกเขาของพระองค์แก่ฝูงชนโหดร้าย ขออย่าทรงลืมชุมนุมชนยากจนของพระองค์เป็นนิตย์
สดด 74.23 ขออย่าทรงลืมเสียงของคู่อริของพระองค์ เสียงอึงคะนึงของคนที่ลุกขึ้นสู้พระองค์ก็เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ
สดด 77.9 พระเจ้าทรงลืมที่จะทรงพระกรุณาหรือ เพราะพระพิโรธพระองค์จึงทรงปิดความสังเวชเสียหรือ” เซลาห์
สดด 78.7 เพื่อเขาจะตั้งความหวังของเขาไว้ในพระเจ้า และไม่ลืมพระราชกิจของพระเจ้า แต่รักษาพระบัญญัติของพระองค์
สดด 78.11 เขาลืมสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำและการมหัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงสำแดงแก่เขา
สดด 102.4 จิตใจของข้าพระองค์ถูกนาบและเหี่ยวไปเหมือนหญ้า ข้าพระองค์จึงลืมรับประทานอาหารของข้าพระองค์
สดด 103.2 โอ จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเยโฮวาห์ และอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์
สดด 106.13 แต่ไม่ช้าท่านก็ลืมพระราชกิจของพระองค์เสีย ท่านไม่คอยพระดำรัสปรึกษาของพระองค์
สดด 106.21 ท่านลืมพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ผู้ได้ทรงกระทำพระราชกิจใหญ่โตในอียิปต์
สดด 119.16 ข้าพระองค์จะปีติยินดีในกฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ลืมพระวจนะของพระองค์
สดด 119.61 แม้หมู่คนชั่วดักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่ลืมพระราชบัญญัติของพระองค์
สดด 119.83 เพราะว่าข้าพระองค์เป็นเหมือนถุงหนังถูกรมควัน แต่ข้าพระองค์ยังไม่ลืมกฎเกณฑ์ของพระองค์
สดด 119.93 ข้าพระองค์จะไม่ลืมข้อบังคับของพระองค์เลย เพราะพระองค์ทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์โดยข้อบังคับนั้น
สดด 119.109 ชีวิตของข้าพระองค์อยู่ในมือของข้าพระองค์เสมอ แต่ข้าพระองค์ไม่ลืมพระราชบัญญัติของพระองค์
สดด 119.139 ความเร่าร้อนของข้าพระองค์เผาข้าพระองค์อยู่ เพราะคู่อริของข้าพระองค์ลืมพระวจนะของพระองค์
สดด 119.141 ข้าพระองค์ต่ำต้อยและเป็นที่ดูถูก แต่ข้าพระองค์ไม่ลืมข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.153 ขอทอดพระเนตรความทุกข์ยากของข้าพระองค์ และขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้น เพราะข้าพระองค์มิได้ลืมพระราชบัญญัติของพระองค์
สดด 119.176 ข้าพระองค์หลงเจิ่นดังแกะที่หายไป ขอทรงเสาะหาผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์ไม่ลืมพระบัญญัติของพระองค์
สดด 137.5 โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย ถ้าข้าพเจ้าลืมเธอก็ขอให้มือขวาของข้าพเจ้าลืมฝีมือเสีย
สภษ 2.17 ผู้ทอดทิ้งคู่เคียงที่นางได้มาเมื่อยังสาวๆนั้นเสีย และลืมพันธสัญญาแห่งพระเจ้าของตน
สภษ 3.1 บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าลืมกฎเกณฑ์ของเรา แต่ให้ใจของเจ้ารักษาบัญญัติของเรา
สภษ 4.5 อย่าลืมและอย่าหันกลับจากถ้อยคำแห่งปากของเรา จงเอาปัญญา และเอาความเข้าใจ
สภษ 31.7 จงให้เขาดื่มและลืมความยากจนของเขา เพื่อจะจดจำความระทมทุกข์ของเขาไม่ได้อีกต่อไป
ปญจ 2.16 เพราะตลอดไปไม่มีใครระลึกถึงคนมีสติปัญญามากกว่าคนเขลา ด้วยเห็นว่าในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว แล้วคนมีสติปัญญาตายอย่างไร ก็เหมือนคนเขลา
ปญจ 8.10 ข้าพเจ้าได้เห็นเขาฝังคนชั่วร้าย ผู้ซึ่งเคยเข้าออกที่สถานบริสุทธิ์ และมีคนลืมเขาในเมืองที่คนชั่วร้ายนั้นเองกระทำสิ่งเช่นนั้น นี่ก็อนิจจังด้วย
ปญจ 9.5 เพราะว่าคนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองจะตาย แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย เขาหาได้รับรางวัลอีกไม่ ด้วยว่าใครๆก็พากันลืมเขาเสียหมด
อสย 23.15 ต่อมาในวันนั้น เขาจะลืมเมืองไทระเจ็ดสิบปี อย่างกับอายุของกษัตริย์องค์เดียว พอสิ้นเจ็ดสิบปีไทระจะร้องเพลงอย่างหญิงแพศยาว่า
อสย 23.16 “หญิงแพศยาที่เขาลืมแล้วเอ๋ย จงหยิบพิณเขาคู่เดินไปทั่วเมือง จงบรรเลงเพลงไพเราะ ร้องเพลงหลายๆบท เพื่อเขาจะระลึกเจ้าได้”
อสย 44.21 โอ ยาโคบและอิสราเอลเอ๋ย จงจำสิ่งเหล่านี้ เพราะเจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา เราได้ปั้นเจ้า เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา โอ อิสราเอลเอ๋ย เราจะไม่ลืมเจ้า
อสย 49.14 แต่ศิโยนกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ได้ทรงละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว”
อสย 49.15 “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตรชายจากครรภ์ของนางได้หรือ แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า
อสย 51.13 และที่ได้ลืมพระเยโฮวาห์ผู้สร้างของตนเสีย ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์และวางรากฐานของแผ่นดินโลก และที่กลัวอยู่เรื่อยไปตลอดวัน เพราะความเกรี้ยวกราดของผู้บีบบังคับ เมื่อเขาตั้งตัวเขาที่จะทำลาย และความเกรี้ยวกราดของผู้บีบบังคับอยู่ที่ไหนเล่า
อสย 54.4 อย่ากลัวเลย เพราะเจ้าจะไม่ต้องอับอาย อย่าอดสูเลย เพราะเจ้าจะไม่ต้องละอาย เพราะเจ้าจะลืมความอายในวัยสาวของเจ้า และเจ้าจะไม่จำที่เขาติความเป็นม่ายของเจ้าอีก
อสย 65.11 แต่เจ้าทั้งหลายจะทอดทิ้งพระเยโฮวาห์ ผู้ลืมภูเขาบริสุทธิ์ของเรา ผู้จัดสำรับไว้ให้แก่พระโชค และจัดหาเครื่องดื่มบูชาให้แก่พระเคราะห์
อสย 65.16 ดังนั้น ผู้ใดที่ขอพรให้ตนเองในแผ่นดินโลก จะขอพรให้ตนเองในพระนามพระเจ้าแห่งความจริง และผู้ใดที่ปฏิญาณในแผ่นดินโลก จะปฏิญาณในนามพระเจ้าแห่งความจริง เพราะความลำบากเก่าแก่นั้นก็ลืมเสียแล้ว และซ่อนเสียจากตาของเรา
ยรม 2.32 สาวพรหมจารีจะลืมอาภรณ์ของเธอได้หรือ เจ้าสาวจะลืมเครื่องพันกายของตนได้หรือ แต่ประชาชนของเราได้ลืมเรา เป็นเวลากี่วันก็นับไม่ไหวแล้ว
ยรม 3.21 เขาได้ยินเสียงมาจากที่สูง เป็นเสียงร้องไห้และเสียงวิงวอนของบุตรทั้งหลายของอิสราเอล เพราะเขาได้แปรวิถีของเขาเสียแล้ว เขาได้ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา
ยรม 13.25 นี่เป็นส่วนของเจ้า เป็นส่วนที่เราได้ตวงออกให้แก่เจ้า” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ “เพราะเจ้าได้ลืมเราเสีย และไว้วางใจในการมุสา
ยรม 18.15 เพราะเหตุว่าประชาชนของเราได้ลืมเราเสีย เขาทั้งหลายจึงเผาเครื่องหอมบูชาสิ่งไร้สาระ ทำให้เขาได้สะดุดในหนทางของเขาในถนนโบราณ และเดินตามทางซอยไม่ไปตามถนนหลวง
ยรม 20.11 แต่พระเยโฮวาห์ทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าดังนักรบที่น่ากลัว เพราะฉะนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุด เขาจะไม่ชนะข้าพเจ้า เขาจะขายหน้ามาก เพราะเขาจะไม่เจริญขึ้น ความอัปยศอดสูเป็นนิตย์ของเขานั้นจะไม่มีวันลืม
ยรม 23.27 ผู้ซึ่งคิดว่าจะกระทำให้ประชาชนของเราลืมนามของเราโดยความฝันของเขาทั้งหลาย ซึ่งเขาเล่าสู่กันและกันฟัง อย่างกับบรรพบุรุษของเขาลืมนามของเราไปติดตามพระบาอัล
ยรม 23.39 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะลืมเจ้าทั้งหลายเสียเป็นแน่ และโยนเจ้าไปเสียจากหน้าเรา ทั้งเจ้าและเมืองซึ่งเราได้ให้แก่เจ้าและแก่บรรพบุรุษของเจ้า
ยรม 23.40 และเราจะนำความถูกตำหนิเป็นนิตย์และความอายเนืองนิตย์มาเหนือเจ้าทั้งหลาย ซึ่งจะลืมเสียไม่ได้เลย”
ยรม 30.14 คนรักทั้งสิ้นของเจ้าได้ลืมเจ้าเสีย เขาทั้งหลายไม่แสวงหาเจ้าแล้ว เพราะเราตีเจ้าอย่างการโบยตีของศัตรู เป็นการลงโทษอย่างของคนโหดร้าย เพราะว่าความชั่วช้าของเจ้าก็มากมาย เพราะว่าบาปของเจ้าก็ทวีขึ้น
ยรม 44.9 เจ้าได้ลืมความชั่วของบรรพบุรุษของเจ้า ความชั่วของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ บรรดาความชั่วของนางสนมและมเหสีของเขาทั้งหลาย ความชั่วของเจ้าเองและความชั่วของภรรยาของเจ้า ซึ่งเขาทั้งหลายได้กระทำในแผ่นดินยูดาห์ และในถนนหนทางของกรุงเยรูซาเล็มเสียแล้วหรือ
ยรม 50.5 เขาทั้งหลายจะถามหาทางไปศิโยนโดยหันหน้าตรงไปเมืองนั้น กล่าวว่า ‘มาเถิด ให้พวกเรามาติดสนิทกับพระเยโฮวาห์โดยทำพันธสัญญาเนืองนิตย์ซึ่งจะไม่ลืมเลย’
ยรม 50.6 ประชาชนของเราเป็นแกะที่หลง บรรดาผู้เลี้ยงของเขาทั้งหลายได้พาเขาหลงไป หันเขาทั้งหลายไปเสียบนภูเขา เขาทั้งหลายได้เดินจากภูเขาไปหาเนินเขา เขาลืมคอกของเขาเสียแล้ว
พคค 3.17 พระองค์กระทำให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้าขาดความสงบสุข จนข้าพเจ้าลืมความมั่งคั่งว่าเป็นอะไร
พคค 5.20 เป็นไฉนพระองค์ทรงลืมพวกข้าพระองค์เสียเป็นนิตย์ เป็นไฉนได้ทรงทอดทิ้งพวกข้าพระองค์เสียนานดังนี้
อสค 22.12 ในเจ้ามีคนรับสินบนเพื่อกระทำให้โลหิตตก เจ้าเอาดอกเบี้ยและเอาเงินเพิ่มและทำกำไรจากเพื่อนบ้านของเจ้าโดยการบีบบังคับ และเจ้าได้ลืมเราเสีย องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
อสค 23.35 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้าลืมเราและเหวี่ยงเราไปไว้เบื้องหลังเจ้าเสีย เพราะฉะนั้นเจ้าจงรับโทษราคะและการเล่นชู้ของเจ้าเถิด”
ดนล 9.18 โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับฟัง ขอทรงลืมพระเนตรดูความรกร้างของข้าพระองค์ทั้งหลาย ทั้งนครซึ่งเรียกขานกันตามพระนามของพระองค์ เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายมิได้ถวายคำวิงวอนต่อพระพักตร์พระองค์ โดยอาศัยความชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย แต่โดยอาศัยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
ฮชย 2.13 เราจะทำโทษนางเนื่องในวันเทศกาลเลี้ยงพระบาอัล เมื่อนางเผาเครื่องหอมบูชาพระเหล่านั้น แล้วก็แต่งกายของนางด้วยแหวนและเพชรพลอยต่างๆ และติดตามบรรดาคนรักของนางไป และลืมเราเสีย พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ฮชย 4.6 ประชาชนของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระราชบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมวงศ์วานของเจ้าเสียด้วย
ฮชย 8.14 เพราะว่าอิสราเอลได้ลืมพระผู้สร้างของตนเสียแล้ว จึงสร้างวิหารขึ้นหลายแห่ง และยูดาห์ก็ทวีจำนวนเมืองที่มีกำแพงขึ้นอีก แต่เราจะส่งไฟมายังเมืองเหล่านี้ของเขา และไฟจะเผาผลาญปราสาทของเมืองเหล่านี้เสีย
ฮชย 13.6 เมื่อเขาได้รับประทานเต็มคราบแล้ว เขาก็อิ่มหนำ และจิตใจของเขาก็ผยองขึ้น เพราะฉะนั้นเขาจึงลืมเราเสีย
อมส 8.7 โดยศักดิ์ศรีของยาโคบ พระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณว่า “แน่นอนทีเดียว เราจะไม่ลืมการกระทำของเขาสักอย่างเดียวเป็นนิตย์
มธ 16.5 ฝ่ายพวกสาวกของพระองค์ เมื่อข้ามฟากนั้นได้ลืมเอาขนมปังไปด้วย
มก 8.14 ฝ่ายเหล่าสาวกลืมเอาขนมปังไป และในเรือเขามีขนมปังอยู่ก้อนเดียวเท่านั้น
มก 14.40 ครั้นพระองค์เสด็จกลับมาก็ทรงพบสาวกนอนหลับอยู่อีก (เพราะตาเขาลืมไม่ขึ้น) และเขาไม่รู้ว่าจะทูลประการใด
ลก 12.6 นกกระจอกห้าตัวเขาขายสองบาทมิใช่หรือ และนกนั้นแม้สักตัวเดียว พระเจ้ามิได้ทรงลืมเลย
กท 2.10 ท่านเหล่านั้นขอแต่เพียงไม่ให้เราลืมนึกถึงคนจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะกระทำ
ฟป 3.13 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
ฮบ 6.10 เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงอธรรมที่จะทรงลืมการงานและการทำงานหนักด้วยความรักซึ่งท่านได้แสดงต่อพระนามของพระองค์ คือการรับใช้วิสุทธิชนนั้นและยังรับใช้อยู่
ฮบ 12.5 และท่านได้ลืมคำเตือนนั้นเสีย ซึ่งได้เตือนท่านเหมือนกับเตือนบุตรว่า ‘บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าดูหมิ่นการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าระอาใจเมื่อพระองค์ทรงติเตียนท่านนั้น
ฮบ 13.16 แต่อย่าลืมที่จะกระทำการดี และที่จะแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
ยก 1.24 ด้วยว่าคนนั้นแลดูตัวเองแล้วไปเสีย แล้วในทันใดนั้นก็ลืมว่าตัวเป็นอย่างไร
2ปต 1.9 เพราะว่าผู้ใดที่ขาดสิ่งเหล่านี้ก็เป็นคนตาบอดตาสั้น และลืมไปว่าตนได้รับการชำระจากความผิดบาปเมื่อก่อนนั้นเสียแล้ว
2ปต 3.5 เพราะว่าเขาแกล้งลืมข้อนี้เสีย คือโดยคำตรัสของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ได้อุบัติขึ้นตั้งแต่โบราณ และแผ่นดินโลกจึงได้บังเกิดขึ้นแยกออกจากน้ำและท่ามกลางน้ำ
2ปต 3.8 แต่พวกที่รัก อย่าลืมข้อนี้เสีย คือวันเดียวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว

ลืมตา ( 7 )
2พกษ 4.35 แล้วท่านก็ลุกขึ้นอีกเดินไปเดินมาในเรือนนั้นครั้งหนึ่ง แล้วขึ้นไปเหยียดตัวของท่านบนเขา เด็กนั้นก็จามเจ็ดครั้ง และเด็กนั้นก็ลืมตาของตน
โยบ 27.19 คนมั่งคั่งจะนอนลง แต่เขาจะไม่ถูกรวบรวมไว้ เขาลืมตาของเขาขึ้น และเขาไม่อยู่แล้ว
สภษ 20.13 อย่ารักการหลับไหล เกรงว่าเจ้าจะมาถึงความยากจน จงลืมตาของเจ้า และเจ้าจะได้กินอาหารอิ่ม
ศคย 12.4 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ในวันนั้น เราจะให้ม้าทุกตัววุ่นวาย และกระทำให้คนขี่บ้าคลั่ง แต่เราจะลืมตาดูวงศ์วานยูดาห์ และเราจะกระทำให้ม้าทุกตัวของชนชาติทั้งหลายตาบอดไป
มธ 26.43 ครั้นพระองค์เสด็จกลับมาก็ทรงพบสาวกนอนหลับอีก เพราะเขาลืมตาไม่ขึ้น
กจ 9.8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
กจ 9.40 ฝ่ายเปโตรให้คนทั้งปวงออกไปข้างนอก และได้คุกเข่าลงอธิษฐาน แล้วหันมายังศพนั้นกล่าวว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น” ทาบิธาก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง

ลืมเลือน ( 1 )
พคค 2.6 พระองค์ได้ทรงพังพลับพลาของพระองค์เสียเหมือนหนึ่งเป็นเพิงในสวน ทรงทำลายสถานที่ประชุมทั้งหลายของพระองค์ พระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำทั้งเทศกาลตามกำหนดและวันสะบาโตให้ลืมเลือนไปในศิโยน ด้วยพระพิโรธอันเดือดดาลพระองค์ทรงดูถูกองค์กษัตริย์และปุโรหิต

ลือ ( 16 )
อพย 2.14 และเขาตอบว่า “ใครแต่งตั้งท่านให้เป็นเจ้านาย และเป็นตุลาการปกครองพวกข้าพเจ้า ท่านตั้งใจจะฆ่าข้าพเจ้าเหมือนกับที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ” โมเสสจึงกลัว และนึกว่า “เรื่องนั้นได้ลือกันไปทั่วแล้วเป็นแน่”
1พศด 14.17 กิตติศัพท์ของดาวิดก็ลือไปสู่บรรดาประเทศทั้งหลาย และพระเยโฮวาห์ทรงให้ประชาชาติทั้งปวงครั่นคร้ามดาวิด
2พศด 26.15 ในเยรูซาเล็มพระองค์ทรงกระทำเครื่องกลไกโดยคนช่างประดิษฐ์ทำขึ้น ไว้บนป้อมและตามมุม เพื่อยิงลูกธนูและโยนก้อนหินใหญ่ๆ และพระนามของพระองค์ก็ลือไปไกล เพราะพระองค์ทรงรับความช่วยเหลืออย่างมหัศจรรย์จนพระองค์เข้มแข็ง
นหม 9.10 และพระองค์ทรงกระทำหมายสำคัญและการมหัศจรรย์สู้ฟาโรห์และข้าราชการทั้งสิ้น และต่อประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินของฟาโรห์ เพราะพระองค์ทรงทราบว่าเขาทั้งหลายได้ประพฤติอย่างหยิ่งยโสต่อบรรพบุรุษของข้าพระองค์ และพระนามของพระองค์ก็ลือไป ดังทุกวันนี้
โยบ 28.22 แดนพินาศและมัจจุราชกล่าวว่า ‘เราได้ยินเสียงลือเรื่องพระปัญญากับหูของเรา’
ยรม 10.22 ดูเถิด เสียงลือมาถึงแล้ว เสียงโกลาหลยิ่งใหญ่จากแดนเหนือมากระทำให้หัวเมืองยูดาห์เป็นที่รกร้าง และให้เป็นถ้ำของมังกร
อสค 16.14 ชื่อเสียงของเจ้าก็ลือไปท่ามกลางประชาชาติเพราะความงามของเจ้า ด้วยความงามนั้นก็สมบูรณ์ทีเดียว เนื่องจากความสง่างามที่เราได้ทุ่มเทให้เจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
ดนล 9.15 แล้วบัดนี้ โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงนำชนชาติของพระองค์ออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และได้ทำให้พระนามลือมาจนทุกวันนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาป และข้าพระองค์ทั้งหลายกระทำความชั่ว
ยนา 3.6 กิตติศัพท์นี้ลือไปถึงกษัตริย์นครนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออกเสีย ทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า
ศฟย 3.19 ดูเถิด ในคราวนั้นเราจะกวาดล้างผู้ที่บีบบังคับเจ้าทุกคน เราจะช่วยคนขาพิการให้รอดพ้น และรวบรวมคนที่กระจัดกระจายไป และเราจะเปลี่ยนความอับอายของเขาให้เป็นความน่าสรรเสริญ และให้เป็นเสียงลือไปทั่วโลก
มธ 9.26 แล้วกิตติศัพท์นี้ก็ลือไปทั่วแคว้นนั้น
มก 14.9 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ที่ไหนๆทั่วโลกซึ่งข่าวประเสริฐนี้จะประกาศไป การซึ่งผู้หญิงนี้ได้กระทำก็จะลือไปเป็นที่ระลึกถึงเขาที่นั่น”
ยน 21.23 เหตุฉะนั้นคำที่ว่า สาวกคนนั้นจะไม่ตาย จึงลือไปท่ามกลางพวกพี่น้อง แต่พระเยซูมิได้ตรัสแก่เขาว่า “สาวกคนนั้นจะไม่ตาย” แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของท่านเล่า”
กจ 9.42 เหตุการณ์นั้นลือไปตลอดทั่วเมืองยัฟฟา คนเป็นอันมากมาเชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า
กจ 19.17 เรื่องนั้นได้ลือกันไปถึงหูคนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองเอเฟซัสทั้งพวกยิวกับพวกกรีก และคนทั้งปวงก็พากันมีความเกรงกลัว และพระนามของพระเยซูเจ้าก็เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ
กจ 21.31 เมื่อเขากำลังหาช่องจะฆ่าเปาโล ข่าวนั้นลือไปยังนายพันกองทัพว่า กรุงเยรูซาเล็มเกิดการวุ่นวายขึ้นทั้งเมือง

ลุ ( 2 )
ลก 20.35 แต่เขาเหล่านั้นที่สมควรจะลุถึงโลกหน้า และลุถึงการฟื้นขึ้นมาจากความตาย ไม่มีการสมรสกัน หรือยกให้เป็นสามีภรรยากัน

ลุก ( 57 )
ปฐก 25.34 ยาโคบจึงให้ขนมปังและถั่วแดงต้มแก่เอซาว เขาก็กินและดื่ม แล้วลุกไป ดังนี้เอซาวก็ดูหมิ่นสิทธิบุตรหัวปีของตน
อพย 10.23 เขามองกันไม่เห็น ไม่มีใครลุกไปจากที่ของเขาสามวัน แต่บรรดาชนชาติอิสราเอลนั้นมีแสงสว่างอยู่ในที่อาศัยของเขา
อพย 21.19 ถ้าผู้ที่ถูกเจ็บนั้นลุกขึ้น ถือไม้เท้าเดินออกไปได้อีก ผู้ตีนั้นก็พ้นโทษ แต่เขาจะต้องเสียค่าป่วยการ และค่ารักษาบาดแผลจนหายเป็นปกติ
ลนต 6.9 “จงบัญชาแก่อาโรนและบุตรชายของเขาว่า ต่อไปนี้เป็นพระราชบัญญัติเรื่องเครื่องเผาบูชา เครื่องเผาบูชานั้นจะต้องเผาอยู่บนแท่นตลอดคืนจนรุ่งเช้า จงให้ไฟบนแท่นเผาเครื่องบูชาลุกอยู่เรื่อยไป
ลนต 6.12 ให้รักษาไฟที่บนแท่นให้ลุกอยู่ อย่าให้ดับเลยทีเดียว ให้ปุโรหิตใส่ฟืนทุกเช้าและให้เรียงเครื่องเผาบูชาให้เป็นระเบียบไว้บนแท่น และเผาไขมันของเครื่องสันติบูชาบนนั้น
ลนต 16.12 และอาโรนจะเอากระถางไฟที่มีถ่านลุกอยู่เต็มมาจากแท่นบูชาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และเครื่องหอมทุบละเอียดสองกำมือนำเข้าไปภายในม่าน
ลนต 24.2 “เจ้าจงบัญชาแก่คนอิสราเอลให้นำน้ำมันอย่างบริสุทธิ์สกัดจากมะกอกเทศเพื่อเติมประทีป เพื่อให้ตะเกียงลุกอยู่เสมอ
พบญ 2.24 ‘พวกเจ้าจงลุกเดินทางไปข้ามลุ่มแม่น้ำอารโนน ดูเถิด เราได้มอบสิโหนชาวอาโมไรต์ผู้เป็นกษัตริย์เมืองเฮชโบน และเมืองของเขาไว้ในมือของพวกเจ้า เจ้าทั้งหลายจงตั้งต้นยึดเมืองนั้นและสู้รบกับเขา
พบญ 5.23 ต่อมาเมื่อท่านทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงออกมาจากท่ามกลางความมืดนั้น (ขณะเมื่อภูเขานั้นมีเพลิงลุกอยู่) ท่านทั้งหลายเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า คือหัวหน้าตระกูลของท่านทั้งหมด และพวกผู้ใหญ่ของท่าน
พบญ 9.15 ข้าพเจ้าจึงกลับลงมาจากภูเขา และภูเขานั้นก็มีเพลิงลุกอยู่ และศิลาพันธสัญญาสองแผ่นนั้นก็อยู่ในมือทั้งสองของข้าพเจ้า
ยชว 8.7 แล้วท่านทั้งหลายจงลุกจากที่ซุ่มซ่อนเข้ายึดเมืองนั้นไว้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในมือท่าน
ยชว 8.19 ทหารที่ซุ่มอยู่ก็ลุกออกจากที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว พอโยชูวายื่นมือของท่านออก ทหารก็วิ่งตรงเข้าไปในเมืองและยึดเมืองไว้ แล้วเขาก็รีบจุดไฟเผาเมือง
วนฉ 20.33 คนอิสราเอลทั้งหมดก็ลุกออกจากที่ของตนเรียงรายเข้าไปที่บาอัลทามาร์ ส่วนคนอิสราเอลที่คอยซุ่มอยู่ก็ออกจากที่ของตนคือออกจากทุ่งหญ้าแห่งเมืองกิเบอาห์
วนฉ 20.40 แต่อาณัติสัญญาณเป็นควันไฟลุกพลุ่งขึ้นมาจากในเมือง คนเบนยามินก็เหลียวหลังมาดู ดูเถิด ทั้งเมืองก็มีควันพลุ่งขึ้นถึงท้องฟ้า
2ซมอ 12.17 บรรดาพวกผู้ใหญ่ในราชสำนักของพระองค์ก็ลุกขึ้นมายืนเข้าเฝ้าอยู่ หมายจะทูลเชิญให้พระองค์ทรงลุกจากพื้นดิน แต่พระองค์หาทรงยอมไม่ หรือหาทรงรับประทานกับเขาทั้งหลายไม่
2ซมอ 22.13 ถ่านลุกเป็นเพลิงจากความสุกใสข้างหน้าพระองค์
2พศด 13.4 และอาบียาห์ทรงลุกยืนอยู่บนภูเขาเศมาราอิมซึ่งอยู่ในถิ่นเทือกเขาเอฟราอิม และตรัสว่า “ข้าแต่เยโรโบอัมและอิสราเอลทั้งปวง ขอฟังข้าพเจ้า
2พศด 13.11 เขาถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ทุกเช้าทุกเย็น ทั้งเครื่องหอม ตั้งขนมปังหน้าพระพักตร์บนโต๊ะบริสุทธิ์ และดูแลคันประทีปทองคำพร้อมทั้งตะเกียง เพื่อให้ประทีปลุกอยู่ทุกเย็น เพราะเราได้รักษาพระบัญชากำชับของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา แต่ท่านได้ทอดทิ้งพระองค์เสีย
โยบ 4.15 มีวิญญาณองค์หนึ่งผ่านหน้าของข้า ขนที่เนื้อของข้าลุกชัน
โยบ 41.21 ลมหายใจของมันจุดถ่านลุก เปลวเพลิงออกมาจากปากของมัน
สดด 2.12 จงจุบพระบุตรเถิดเกลือกว่าพระองค์จะทรงพระพิโรธ และเจ้าต้องพินาศจากทางนั้น เมื่อพระพิโรธของพระองค์นั้นจุดให้ลุกแต่น้อย ความสุขเป็นของคนทั้งหลายผู้วางใจในพระองค์
สดด 39.3 จิตใจข้าพเจ้าร้อนอยู่ภายในข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรำพึงอยู่นั้นไฟก็ลุก ข้าพเจ้าจึงพูดด้วยลิ้นของข้าพเจ้าว่า
สดด 41.8 เขาทั้งหลายกล่าวว่า “โรคร้ายเข้าไปอยู่ในตัวเขาแล้ว เขาจะไม่ลุกไปจากที่ที่เขานอนนั้นอีก”
สดด 76.9 เมื่อพระเจ้าทรงลุกขั้นพิพากษา เพื่อช่วยผู้ถ่อมตัวทั้งสิ้นของแผ่นดินโลกให้รอด เซลาห์
สดด 78.21 เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยโฮวาห์ทรงสดับแล้ว พระองค์ทรงพระพิโรธ มีไฟลุกโพลงขึ้นสู้ยาโคบ พระพิโรธของพระองค์สูงขึ้นสู้อิสราเอล
สดด 83.14 อย่างไฟเผาผลาญป่าไม้ อย่างเปลวเพลิงที่ให้ภูเขาลุกโพลง
สดด 97.3 ไฟลุกอยู่ข้างหน้าพระองค์และไหม้ปฏิปักษ์ของพระองค์รอบข้างเสีย
สดด 120.4 ลูกธนูคมของนักรบกับถ่านไม้จำพวกสนจูนิเปอร์ที่ลุกโพลง น่ะซี
สดด 140.10 ขอให้ถ่านที่ลุกอยู่ตกใส่เขา ขอให้เขาถูกทิ้งในไฟลงไปในบ่อ ไม่ให้ลุกขึ้นมาอีก
สภษ 6.28 หรือผู้ใดจะเดินบนถ่านที่ลุกโพลง โดยไม่ให้เท้าของเขาถูกไฟลวกได้หรือ
สภษ 25.22 เพราะเจ้าจะกองถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา และพระเยโฮวาห์จะทรงให้บำเหน็จแก่เจ้า
อสย 24.20 โลกก็จะซวนเซไปอย่างคนเมา มันจะแกว่งไปอย่างเพิง การละเมิดของโลกจะหนักอยู่บนมัน และมันจะล้มและจะไม่ลุกอีก
อสย 30.33 เพราะโทเฟทก็จัดไว้นานแล้ว เออ เตรียมไว้สำหรับกษัตริย์ เชิงตะกอนก็ลึกและกว้าง พร้อมไฟและฟืนมากมาย คือพระปัสสาสะของพระเยโฮวาห์เหมือนธารกำมะถันมาจุดให้ลุก
อสย 34.9 และลำธารแห่งเอโดมจะกลายเป็นยางมะตอย และดินของเมืองนี้จะกลายเป็นกำมะถัน แผ่นดินนี้จะกลายเป็นยางมะตอยที่ลุกอยู่
อสย 42.3 ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก และไส้ตะเกียงที่ลุกริบหรี่อยู่ท่านจะไม่ดับ ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปด้วยความจริง
อสย 49.7 พระเยโฮวาห์ ผู้ไถ่ของอิสราเอลและองค์บริสุทธิ์ ตรัสแก่ผู้ที่คนดูหมิ่นและแก่ผู้ที่ประชาชาติรังเกียจ ผู้เป็นผู้รับใช้ของผู้ครอบครองทั้งหลาย ดังนี้ว่า “กษัตริย์ทั้งหลายจะทอดพระเนตรและทรงลุกยืน บรรดาเจ้านายจะกราบลง เพราะเหตุพระเยโฮวาห์ผู้สัตย์ซื่อ องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล จะทรงเลือกสรรเจ้า”
อสย 62.1 เพื่อเห็นแก่ศิโยน ข้าพเจ้าจะไม่ระงับเสียง และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจะไม่นิ่งเฉยอยู่ จนกว่าความชอบธรรมของกรุงนี้จะออกไปอย่างความสุกใส และความรอดของกรุงนี้อย่างคบเพลิงที่ลุกอยู่
ยรม 36.22 เวลานั้นเป็นเดือนที่เก้า กษัตริย์ประทับอยู่ในพระราชวังเหมันต์ และมีไฟลุกอยู่ในโถไฟหน้าพระพักตร์
พคค 2.3 พระองค์ได้ทรงตัดบรรดาเขาแห่งอิสราเอลให้ขาดสิ้นไปด้วยพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์ พระองค์ทรงดึงพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์กลับมาเสียจากเขาต่อหน้าศัตรู และพระองค์ทรงเผาผลาญคนยาโคบดุจเพลิงลุกโพลงไหม้ไปรอบๆ
พคค 3.63 ดูเถิด ไม่ว่าเขาจะนั่งหรือลุก ตัวข้าพระองค์ก็เป็นเนื้อเพลงให้เขาร้องเล่น
อสค 1.4 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดู ลมหมุนก็พัดมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่ที่มีความสว่างอยู่รอบ และมีไฟลุกวาบออกมาอยู่เสมอ ท่ามกลางไฟนั้นดูประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ ซึ่งออกมาจากท่ามกลางไฟนั้น
อสค 20.47 จงกล่าวแก่ป่าไม้แห่งถิ่นใต้ว่า จงฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะก่อไฟไว้ในเจ้า มันจะเผาผลาญต้นไม้เขียวและต้นไม้แห้งทุกต้นที่อยู่ในเจ้าเสีย จะดับเปลวเพลิงอันลุกโพลงนั้นไม่ได้ และดวงหน้าทุกหน้าตั้งแต่ทิศใต้จนทิศเหนือจะถูกไฟลวก
ดนล 3.6 ผู้ใดที่มิได้กราบลงนมัสการก็ให้โยนผู้นั้นทันทีเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่”
ดนล 3.11 และผู้ใดที่ไม่กราบลงนมัสการก็ให้โยนเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่
ดนล 3.15 บัดนี้ถ้าเจ้าพร้อมใจแล้ว พอเจ้าได้ยินเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด เจ้าจงกราบลงนมัสการปฏิมากรซึ่งเราได้สร้างไว้ แต่ถ้าเจ้าไม่นมัสการ จะต้องโยนเจ้าทันทีเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่ และผู้ใดเล่าจะเป็นพระเจ้าที่จะช่วยให้เจ้าพ้นจากมือของเราได้”
ดนล 3.17 ถ้าพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ผู้ซึ่งพวกข้าพระองค์ปรนนิบัติ สามารถช่วยพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากเตาที่ไฟลุกอยู่ โอ ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ก็จะทรงช่วยพวกข้าพระองค์ให้พ้นพระหัตถ์ของพระองค์
ดนล 3.20 และพระองค์รับสั่งให้บางคนที่มีกำลังมากที่สุดในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก และให้โยนเขาเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่
ดนล 3.21 แล้วคนเหล่านี้ก็ถูกมัดไว้ทั้งเสื้อ กางเกง หมวก และเครื่องแต่งกายอื่นๆ และเขาก็ถูกโยนเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่
ดนล 3.23 และชายทั้งสามนี้ คือชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกก็ตกลงไปกลางเตาไฟที่ลุกอยู่ทั้งยังมัดอยู่
ดนล 3.26 แล้วเนบูคัดเนสซาร์เสด็จมาใกล้ประตูเตาที่ไฟลุกอยู่นั้น ทรงกล่าวว่า “ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุด จงออกมาเถิด จงมาที่นี่” แล้วชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกก็เดินออกมาจากกลางไฟ
ดนล 7.9 ขณะที่ข้าพเจ้าดูอยู่มีหลายบัลลังก์ถูกล้มลง และผู้หนึ่งผู้เจริญด้วยวัยวุฒิมาประทับ ฉลองพระองค์ขาวอย่างหิมะ พระเกศาที่พระเศียรของพระองค์เหมือนขนแกะบริสุทธิ์ พระบัลลังก์ของพระองค์เป็นเปลวเพลิง กงจักรของบัลลังก์นั้นเป็นไฟลุก
อบด 1.1 นิมิตของโอบาดีห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสเกี่ยวด้วยเรื่องเอโดมดังนี้ว่า เราได้ยินข่าวลือจากพระเยโฮวาห์ ทูตคนหนึ่งถูกส่งไปท่ามกลางบรรดาประชาชาติให้พูดว่า “จงลุกขึ้นเถิด ให้เราลุกไปทำสงครามกับเมืองเอโดม”
มธ 13.42 และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มธ 13.50 แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
รม 12.20 เหตุฉะนั้น ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหาย จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำอย่างนั้นเป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา’
วว 8.8 เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สองเป่าแตรขึ้น ก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนภูเขาใหญ่กำลังลุกไหม้ถูกทิ้งลงไปในทะเล และทะเลนั้นได้กลายเป็นเลือดเสียหนึ่งในสามส่วน
วว 8.10 เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สามเป่าแตรขึ้น ก็มีดาวใหญ่ดวงหนึ่งเป็นเปลวไฟลุกโพลงดุจโคมไฟตกจากท้องฟ้า ดาวนั้นตกลงบนแม่น้ำหนึ่งในสามส่วน และตกที่บ่อน้ำพุทั้งหลาย

ลุกขึ้น ( 489 )
ปฐก 4.8 คาอินพูดกับอาแบลน้องชายของเขา ต่อมาเมื่อเขาทั้งสองอยู่ในที่นาด้วยกัน คาอินได้ลุกขึ้นต่อสู้อาแบลน้องชายของเขาและฆ่าเขา
ปฐก 13.17 จงลุกขึ้นเดินไปทั่วแผ่นดินทางด้านยาวด้านกว้าง เพราะเราจะยกให้เจ้า”
ปฐก 18.16 บุรุษเหล่านั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่นและมองไปทางเมืองโสโดม อับราฮัมไปกับท่านเหล่านั้นเพื่อตามไปส่ง
ปฐก 19.1 ทูตสวรรค์สององค์มาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทได้นั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นแล้วก็ลุกขึ้นไปพบทูตเหล่านั้นและได้ก้มหน้าของเขาลงถึงดิน
ปฐก 19.14 โลทจึงออกไปพูดกับบุตรเขยของเขาซึ่งได้แต่งงานกับบุตรสาวของเขาว่า “ลุกขึ้น เจ้าจงออกไปจากสถานที่นี้ เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงทำลายเมืองนี้” แต่บุตรเขยของเขากลับดูเหมือนว่าเขาพูดล้อเล่น
ปฐก 19.15 เมื่อรุ่งเช้าทูตสวรรค์เหล่านั้นจึงเร่งเร้าโลทว่า “จงลุกขึ้น พาภรรยาของเจ้า และบุตรสาวทั้งสองของเจ้า ซึ่งอยู่ที่นี่ไปเสีย เกรงว่าพวกเจ้าจะถูกทำลายพร้อมกับความชั่วช้าของเมืองนี้”
ปฐก 19.27 อับราฮัมลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ไปยังสถานที่ที่ท่านเคยยืนต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ปฐก 19.33 ในคืนวันนั้นพวกเธอจึงให้บิดาของพวกเธอดื่มเหล้าองุ่น บุตรสาวหัวปีเข้าไปนอนกับบิดาของเธอ และเขาไม่สังเกตว่าเธอมานอนด้วยเมื่อไรและเธอลุกขึ้นไปเมื่อไร
ปฐก 19.35 พวกเธอจึงให้บิดาของพวกเธอดื่มเหล้าองุ่นในคืนวันนั้นด้วย น้องสาวก็ลุกขึ้นไปนอนกับเขา และเขาไม่สังเกตว่าเธอมานอนด้วยเมื่อไรและเธอลุกขึ้นไปเมื่อไร
ปฐก 21.14 อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ให้ขนมปังและน้ำหนึ่งถุงหนังแก่ฮาการ์ ใส่บ่าให้นางพร้อมกับเด็กนั้นแล้วส่งนางออกไป นางก็จากไปและพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารแห่งเบเออร์เชบา
ปฐก 21.18 ลุกขึ้นอุ้มเด็กนั้น เอามือจับเขาไว้ให้แน่น เพราะเราจะทำให้เขาเป็นชาติใหญ่ชาติหนึ่ง”
ปฐก 21.32 ทั้งสองกระทำพันธสัญญากันที่เบเออร์เชบาดังนี้แหละ แล้วอาบีเมเลคและฟีโคล์ผู้บัญชาการทหารของพระองค์ได้ลุกขึ้นแล้วก็กลับไปยังแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย
ปฐก 22.3 อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรชายของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา แล้วลุกขึ้นเดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงตรัสแก่ท่าน
ปฐก 22.19 อับราฮัมจึงกลับไปหาคนใช้หนุ่มของท่าน เขาก็ลุกขึ้นแล้วพากันกลับไปยังเมืองเบเออร์เชบา อับราฮัมก็อาศัยอยู่ที่เบเออร์เชบา
ปฐก 23.7 อับราฮัมก็ลุกขึ้นกราบลงต่อหน้าลูกหลานของเฮทชาวแผ่นดินนั้น
ปฐก 24.10 คนใช้นำอูฐสิบตัวของนายมาแล้วออกเดินทางไป ด้วยว่าข้าวของทั้งสิ้นของนายเขาอยู่ในอำนาจของเขา เขาลุกขึ้นไปยังเมโสโปเตเมีย ถึงเมืองของนาโฮร์
ปฐก 24.54 แล้วพวกเขาก็รับประทานและดื่ม คือเขากับคนที่มากับเขา และค้างคืนที่นั่น และพวกเขาลุกขึ้นในเวลาเช้า คนใช้นั้นก็กล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้ากลับไปหานายข้าพเจ้าเถิด”
ปฐก 27.19 ยาโคบตอบบิดาของตนว่า “ลูกเป็นเอซาวบุตรหัวปีของท่าน ลูกทำตามที่ท่านสั่งลูกแล้ว เชิญลุกขึ้นนั่งรับประทานเนื้อที่ลูกหามาเถิด เพื่อจิตวิญญาณของท่านจะได้อวยพรแก่ลูก”
ปฐก 27.31 และเขาเตรียมอาหารอร่อยนำมาให้บิดาด้วย และพูดกับบิดาว่า “ขอท่านลุกขึ้นรับประทานเนื้อที่ลูกชายหามา เพื่อจิตวิญญาณของท่านจะได้อวยพรลูก”
ปฐก 27.43 เพราะฉะนั้น ลูกเอ๋ย บัดนี้ฟังเสียงของแม่เถิด จงลุกขึ้นหนีไปหาลาบันพี่ชายของแม่ที่เมืองฮาราน
ปฐก 28.2 แต่ลุกขึ้นไปเมืองปัดดานอารัม ไปยังบ้านเบธูเอลบิดาของแม่เจ้า ที่นั่นเจ้าจงแต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งของลาบันพี่ชายแม่ของเจ้า
ปฐก 28.18 ยาโคบจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด เอาก้อนหินที่ทำหมอนหนุนศีรษะ ตั้งขึ้นเป็นเสาสำคัญ และเทน้ำมันบนยอดเสานั้น
ปฐก 31.13 เราเป็นพระเจ้าแห่งเบธเอลที่เจ้าเจิมเสาสำคัญไว้และปฏิญาณต่อเรา บัดนี้จงลุกขึ้นออกจากแผ่นดินนี้ และกลับไปยังแผ่นดินพี่น้องของเจ้า’”
ปฐก 31.17 ดังนั้น ยาโคบจึงลุกขึ้นให้บุตรภรรยาขึ้นขี่อูฐ
ปฐก 31.21 ยาโคบเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดลุกขึ้นหนีข้ามแม่น้ำบ่ายหน้าไปยังถิ่นเทือกเขากิเลอาด
ปฐก 31.35 นางราเชลก็พูดกับบิดาของตนว่า “ขอนายอย่าโกรธเลยที่ข้าพเจ้าลุกขึ้นต้อนรับไม่ได้ ด้วยว่าธรรมดาที่ผู้หญิงเคยมีกำลังเป็นอยู่กับข้าพเจ้า” ลาบันก็ค้นดูแล้ว แต่ไม่พบรูปเคารพนั้นเลย
ปฐก 32.22 กลางคืนนั้นเอง ยาโคบก็ลุกขึ้น พาภรรยาทั้งสอง สาวใช้ทั้งสองและบุตรชายสิบเอ็ดคนข้ามลำธารชื่อยับบอกไป
ปฐก 35.1 พระเจ้าตรัสแก่ยาโคบว่า “จงลุกขึ้นแล้วขึ้นไปยังเบธเอล และอาศัยอยู่ที่นั่น ทำแท่นที่นั่นบูชาพระเจ้าผู้สำแดงพระองค์แก่เจ้าเมื่อเจ้าหนีไปจากหน้าเอซาวพี่ชายของเจ้า”
ปฐก 35.3 และให้พวกเราลุกขึ้นแล้วขึ้นไปยังเบธเอล ที่นั่นข้าจะทำแท่นบูชาแด่พระเจ้า ผู้ทรงตอบข้าในวันที่ข้ามีความทุกข์ใจ และทรงอยู่กับข้าในทางที่ข้าไปนั้น”
ปฐก 38.19 นางจึงลุกขึ้นไปเสียและเอาผ้าคลุมหน้านั้นออก นุ่งห่มเสื้อผ้าสำหรับหญิงม่ายอีก
ปฐก 43.8 ยูดาห์จึงพูดกับอิสราเอลบิดาของเขาว่า “ขอพ่อให้เด็กนั้นไปกับข้าพเจ้า เราจะได้ลุกขึ้นออกเดินทางไปเพื่อจะได้มีชีวิตและไม่ตาย ทั้งพวกลูกและพ่อกับลูกอ่อนทั้งหลายของเราด้วย
ปฐก 43.13 จงพาน้องชายของเจ้าด้วย แล้วลุกขึ้นกลับไปหาท่านนั้นอีก
ปฐก 43.15 คนเหล่านั้นก็เอาของกำนัลและเงินสองเท่าติดมือไปพร้อมกับเบนยามิน แล้วลุกขึ้นพากันเดินทางลงไปยังประเทศอียิปต์ และเข้าเฝ้าโยเซฟ
ปฐก 44.4 เมื่อพี่น้องออกไปจากเมืองยังไม่สู้ไกลนักโยเซฟสั่งคนต้นเรือนว่า “ลุกขึ้นไปตามคนเหล่านั้น เมื่อไปทันแล้วให้ถามพวกเขาว่า ‘ทำไมพวกเจ้าจึงทำความชั่วตอบความดีเล่า
ปฐก 48.2 มีคนบอกยาโคบว่า “ดูเถิด โยเซฟบุตรชายมาหาท่าน” อิสราเอลก็รวบรวมกำลังลุกขึ้นนั่งบนที่นอน
ปฐก 49.9 ยูดาห์เป็นลูกสิงโต ลูกเอ๋ย เจ้าก็ได้ลุกขึ้นจากการจับสัตว์ เขาก้มลง เขาหมอบลงเหมือนสิงโตตัวผู้ และเหมือนสิงโตแก่ ใครจะแหย่เขาให้ลุกขึ้น
อพย 2.17 และพวกเลี้ยงแกะมาไล่หญิงเหล่านั้น แต่โมเสสลุกขึ้นช่วยหญิงเหล่านั้น และให้ฝูงแพะแกะของเธอกินน้ำ
อพย 8.20 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ลุกขึ้นแต่เช้าไปคอยเฝ้าฟาโรห์ ดูเถิด ฟาโรห์จะมายังแม่น้ำ แล้วบอกฟาโรห์ว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยพลไพร่ของเราเพื่อเขาจะไปปรนนิบัติเรา
อพย 24.13 โมเสสจึงลุกขึ้นพร้อมกับโยชูวาผู้รับใช้ โมเสสขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้า
อพย 32.1 เมื่อพลไพร่เห็นโมเสสล่าช้าอยู่ ไม่ลงมาจากภูเขาจึงได้พากันมาหาอาโรน เรียนว่า “ลุกขึ้น ขอท่านสร้างพระให้แก่พวกข้าพเจ้า ซึ่งจะนำพวกข้าพเจ้าไป ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำข้าพเจ้าออกมาจากประเทศอียิปต์เป็นอะไรไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
อพย 32.6 ครั้นรุ่งขึ้นเขาตื่นขึ้นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องเผาบูชา และนำเครื่องสันติบูชามา พลไพร่ก็นั่งลงกินและดื่มแล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกกัน
อพย 33.8 และต่อมาเมื่อไรที่โมเสสออกไปยังพลับพลานั้น พลไพร่ทั้งปวงก็จะลุกขึ้นยืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน มองดูโมเสสจนท่านเข้าไปในพลับพลา
อพย 33.10 เวลาพลไพร่ทั้งปวงเห็นเสาเมฆนั้นตั้งอยู่ที่ประตูพลับพลาเมื่อไร ทุกคนก็จะลุกขึ้นยืนนมัสการอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน
ลนต 19.32 เจ้าจงลุกขึ้นคำนับคนผมหงอก และเคารพต่อหน้าคนชรา และจงยำเกรงพระเจ้าของเจ้า เราคือพระเยโฮวาห์
กดว 10.35 ต่อมาเมื่อหีบยกออกเดินเมื่อไร โมเสสกราบทูลว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลุกขึ้นเถิด ให้ศัตรูทั้งหลายของพระองค์กระจัดกระจายไป ให้ผู้ที่ชังพระองค์หลีกหนีพระองค์ไป”
กดว 11.32 วันนั้นประชาชนก็ลุกขึ้นเที่ยวจับนกคุ่มทั้งวันและคืนและตลอดวันรุ่งขึ้นด้วย คนที่จับได้น้อยที่สุดได้ถึงสิบโฮเมอร์ แล้วเขาเอามาวางตากทั่วค่าย
กดว 14.40 และคนทั้งปวงได้ลุกขึ้นแต่เช้า ขึ้นไปยังที่สูงบนภูเขากล่าวว่า “ดูเถิด เราทั้งหลายมาอยู่ที่นี่แล้ว เราจะเข้าไปยังที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงสัญญาไว้ เพราะเราได้กระทำผิดแล้ว”
กดว 16.25 แล้วโมเสสลุกขึ้นไปหาดาธานและอาบีรัมและพวกผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลก็ตามท่านไป
กดว 22.13 รุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นกล่าวแก่เจ้านายของบาลาคว่า “จงกลับไปแผ่นดินของท่านเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ทรงปฏิเสธมิให้เราไปกับท่าน”
กดว 22.14 เพราะฉะนั้นเจ้านายแห่งโมอับก็ลุกขึ้นกลับไปหาบาลาคกล่าวว่า “บาลาอัมปฏิเสธไม่ยอมมากับเรา”
กดว 22.20 และพระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมในกลางคืนตรัสแก่เขาว่า “ถ้ามีผู้ชายมาเรียกเจ้าจงลุกขึ้นไปกับเขา แต่เจ้าจงกระทำตามที่เราสั่งเจ้าเท่านั้น”
กดว 22.21 ดังนั้นรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นผูกอานลา ไปกับเจ้านายแห่งโมอับ
กดว 23.18 บาลาอัมก็ได้กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า “บาลาค ลุกขึ้นเถิดและคอยฟัง บุตรชายของศิปโปร์ จงฟังข้าพเจ้าเถิด
กดว 23.24 ดูเถิด ชนชาติหนึ่งซึ่งลุกขึ้นอย่างสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ และยืนขึ้นอย่างสิงโตหนุ่ม ไม่ยอมนอนจนกว่าจะกินเหยื่อเสีย และดื่มเลือดของสิ่งที่ฆ่าตาย”
กดว 24.9 เขาหมอบลงและนอนลงอย่างสิงโต เขาเหมือนสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ ใครเล่าจะมาปลุกให้เขาลุกขึ้น ผู้ใดที่อวยพรแก่ท่าน ขอให้เขาได้รับพร ผู้ใดที่แช่งท่าน ขอให้เขาได้รับคำแช่ง”
กดว 24.25 แล้วบาลาอัมก็ลุกขึ้นกลับไปที่อยู่ของเขา และบาลาคก็ไปตามทางของตนด้วย
กดว 25.7 ครั้นฟีเนหัสบุตรชายเอเลอาซาร์ บุตรชายของอาโรนปุโรหิตเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นไปจากชุมนุมชน มือถือทวน
พบญ 4.11 ท่านทั้งหลายได้เข้ามาใกล้ยืนอยู่ที่เชิงภูเขา และภูเขานั้นมีเพลิงลุกขึ้นถึงท้องฟ้า มีความมืด เมฆ และความมืดคลุ้มคลุมอยู่
พบญ 6.7 และพวกท่านจงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่ลูกหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนี้
พบญ 9.12 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงลุกขึ้นลงไปจากที่นี่โดยเร็วเถิด เพราะชนชาติของเจ้าซึ่งเจ้านำออกจากอียิปต์ได้หลงกระทำผิด เขาได้หันเสียจากทางซึ่งเราบัญชาเขาไว้นั้นอย่างรวดเร็ว เขาได้หล่อรูปเคารพไว้สำหรับตัวเขาทั้งหลาย’
พบญ 10.11 พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงลุกขึ้นเดินทางนำหน้าประชาชนต่อไปเถิด เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เข้าไปยึดแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้แก่บรรพบุรุษว่าจะให้แก่เขานั้น’
พบญ 11.19 และท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านี้แก่ลูกหลานของท่านทั้งหลาย จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน และเมื่อท่านเดินอยู่ตามทาง เมื่อท่านนอนลงหรือลุกขึ้น
พบญ 17.8 ถ้าคดีใดเกิดขึ้นเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินได้ว่า เป็นคดีฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่ เป็นคดีเกี่ยวด้วยการเกี่ยงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ เป็นคดีทำร้ายร่างกาย เป็นคดีใดๆซึ่งโต้แย้งกันภายในประตูเมืองของท่าน ท่านจงลุกขึ้นพากันไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้
พบญ 28.7 พระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ศัตรูผู้ลุกขึ้นต่อสู้ท่านพ่ายแพ้ต่อหน้าท่าน เขาจะออกมาต่อสู้ท่านทางหนึ่ง และหนีให้พ้นหน้าท่านเจ็ดทาง
พบญ 31.16 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด ตัวเจ้าจวนจะต้องหลับอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว และชนชาตินี้จะลุกขึ้นและเล่นชู้กับพระของคนต่างด้าวแห่งแผ่นดินนี้ ในที่ที่เขาไปอยู่ท่ามกลางนั้น เขาทั้งหลายจะทอดทิ้งเราเสียและหักพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำไว้กับเขา
พบญ 32.38 คือผู้ที่รับประทานไขมันของเครื่องสัตวบูชาของเขา และดื่มน้ำองุ่นที่เป็นเครื่องดื่มบูชาของเขา ให้บรรดาพระเหล่านั้นลุกขึ้นช่วย ให้พระเหล่านั้นเป็นผู้ป้องกันเจ้าซิ
พบญ 33.11 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอพระองค์ทรงอำนวยพระพรแก่ข้าวของของเขา และโปรดการงานที่มือเขาทำ ขอทรงตีทำลายบั้นเอวแห่งศัตรูของเขา คือผู้ที่เกลียดชังเขา อย่าให้ลุกขึ้นอีกได้”
ยชว 1.2 “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว ฉะนั้นบัดนี้จงลุกขึ้น ยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ ทั้งเจ้าและชนชาตินี้ทั้งหมดไปยังแผ่นดินซึ่งเรายกให้แก่เขาทั้งหลาย คือแก่คนอิสราเอล
ยชว 6.15 ต่อมาในวันที่เจ็ดเขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เดินกระบวนรอบเมืองอย่างเคยเจ็ดครั้ง เฉพาะวันเดียวนั้นเขาได้เดินกระบวนรอบเมืองเจ็ดครั้ง
ยชว 6.26 ในคราวนั้นโยชูวาให้คนทั้งหลายปฏิญาณว่า “ผู้ใดที่ลุกขึ้นสร้างเมืองนี้ใหม่คือเมืองเยรีโค ก็ให้ผู้นั้นได้รับคำสาปแช่งเฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ผู้ใดวางรากลงก็ให้ผู้นั้นเสียบุตรหัวปี ผู้ใดตั้งประตูเมืองขึ้นก็ให้เสียบุตรสุดท้อง”
ยชว 7.10 ฝ่ายพระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “จงลุกขึ้นเถิด ไฉนเจ้าจึงซบหน้าลงดังนี้เล่า
ยชว 7.13 จงลุกขึ้นชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และกล่าวว่า ‘จงชำระตัวเสียเพื่อวันพรุ่งนี้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนอิสราเอลกล่าวเช่นนี้ว่า “โอ อิสราเอลเอ๋ย มีสิ่งของที่ถูกสาปแช่งอยู่ในหมู่พวกเจ้า เจ้าจะยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของเจ้าไม่ได้จนกว่าเจ้าจะนำสิ่งของที่ถูกสาปแช่งนั้นออกเสียจากหมู่พวกเจ้า”’
ยชว 7.16 โยชูวาจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และนำคนอิสราเอลเข้ามาทีละตระกูล และตระกูลยูดาห์ถูกทรงเลือก
ยชว 8.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวหรือขยาดเลย จงนำทหารทั้งหมดไปกับเจ้า ลุกขึ้นไปยังเมืองอัยเถิด ดูเถิด เราได้มอบกษัตริย์เมืองอัยไว้ในมือเจ้าแล้ว พร้อมทั้งประชาชนของเขา เมืองของเขาและแผ่นดินของเขาด้วย
ยชว 8.3 โยชูวาจึงลุกขึ้นพร้อมกับบรรดาทหารไปยังเมืองอัย และโยชูวาได้คัดทแกล้วทหารสามหมื่นคนให้ยกไปในเวลากลางคืน
ยชว 8.14 ต่อมาเมื่อกษัตริย์เมืองอัยเห็นดังนั้น ชาวเมืองก็รีบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ออกไปสู้รบกับอิสราเอล ณ ที่ปะทะกันหน้าที่ราบ ทั้งท่านและประชาชนทั้งหมดของท่าน แต่ท่านไม่ทราบว่ามีกองซุ่มคอยอยู่ต่อสู้ท่านข้างหลังเมือง
ยชว 24.9 คราวนั้นบาลาคบุตรชายศิปโปร์กษัตริย์เมืองโมอับได้ลุกขึ้นต่อสู้กับอิสราเอล เขาใช้ให้ไปตามบาลาอัมบุตรชายเบโอร์มาให้แช่งเจ้าทั้งหลาย
วนฉ 3.20 และเอฮูดก็เข้าไปเฝ้าท่าน ขณะนั้นท่านประทับอยู่ลำพังในห้องเย็นชั้นบนของท่าน และเอฮูดทูลว่า “ข้าพระองค์มีพระดำรัสจากพระเจ้าถวายพระองค์” ท่านจึงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง
วนฉ 4.9 นางจึงตอบว่า “ดิฉันจะไปกับท่านแน่ แต่ว่าทางที่ท่านไปนั้นจะไม่นำท่านไปถึงศักดิ์ศรี เพราะว่าพระเยโฮวาห์จะขายสิเสราไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง” แล้วนางเดโบราห์ก็ลุกขึ้นไปกับบาราคถึงเมืองเคเดช
วนฉ 4.14 นางเดโบราห์จึงกล่าวแก่บาราคว่า “ลุกขึ้นเถิด เพราะว่านี่เป็นวันที่พระเยโฮวาห์ทรงมอบสิเสราไว้ในมือของท่าน พระเยโฮวาห์เสด็จนำหน้าท่านไปมิใช่หรือ” บาราคจึงลงไปจากภูเขาทาโบร์พร้อมกับทหารหนึ่งหมื่นคนติดตามท่านไป
วนฉ 5.12 ตื่นเถิด ตื่นเถิด เดโบราห์เอ๋ย ตื่นเถิด ตื่นมาร้องเพลง ลุกขึ้นเถิด บาราค บุตรชายอาบีโนอัมเอ๋ย พาพวกเชลยของท่านไป
วนฉ 6.21 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็เอาปลายไม้ที่ถืออยู่แตะต้องเนื้อและขนมไร้เชื้อ และมีไฟลุกขึ้นมาจากศิลาไหม้เนื้อและขนมไร้เชื้อจนหมด และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็หายไปพ้นสายตาของเขา
วนฉ 7.1 เยรุบบาอัล คือกิเดโอน และบรรดาคนที่อยู่กับท่านก็ลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ไปตั้งค่ายอยู่ที่ริมน้ำพุฮาโรด ฝ่ายค่ายของพวกมีเดียนอยู่ทางเหนือของเขา อยู่ในหุบเขาที่ภูเขาโมเรห์
วนฉ 7.9 อยู่มาในคืนวันนั้นพระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านว่า “จงลุกขึ้น ลงไปยังค่ายเถิด ด้วยเรามอบเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว
วนฉ 7.15 เมื่อกิเดโอนได้ยินเขาเล่าความฝันและคำแก้ฝันเช่นนั้นแล้ว ท่านก็นมัสการ และกลับไปสู่ค่ายอิสราเอลสั่งว่า “จงลุกขึ้นเถิด เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงมอบกองทัพคนมีเดียนไว้ในมือของท่านทั้งหลายแล้ว”
วนฉ 8.20 แล้วท่านสั่งเยเธอร์บุตรหัวปีของท่านว่า “จงลุกขึ้นฆ่าเขาทั้งสองเสีย” แต่หนุ่มคนนั้นไม่ยอมชักดาบออก ด้วยว่าเขากลัว เพราะเขายังหนุ่มอยู่
วนฉ 8.21 ฝ่ายเศบาห์กับศัลมุนนาจึงว่า “ท่านลุกขึ้นฟันเราเองซิ เป็นผู้ใหญ่เท่าใดกำลังก็แข็งเท่านั้น” กิเดโอนก็ลุกขึ้นฆ่าเศบาห์และศัลมุนนาเสีย แล้วเก็บเครื่องประดับที่คออูฐของเขาไว้
วนฉ 9.18 แต่ในวันนี้เจ้าทั้งหลายได้ลุกขึ้นประทุษร้ายต่อครอบครัวบิดาของเรา ได้ฆ่าบุตรชายทั้งเจ็ดสิบคนของท่านเสียบนศิลาแผ่นเดียว แล้วตั้งอาบีเมเลคบุตรชายของสาวคนใช้ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเหนือชาวเชเคม เพราะว่าเขาเป็นญาติของเจ้าทั้งหลาย)
วนฉ 9.32 ฉะนั้นบัดนี้ขอท่านจงลุกขึ้นในเวลากลางคืน ทั้งท่านและคนที่อยู่กับท่าน ไปซุ่มคอยอยู่ในทุ่งนา
วนฉ 9.33 รุ่งเช้าพอดวงอาทิตย์ขึ้นท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ รีบรุกเข้าเมือง และดูเถิด เมื่อกาอัลกับกองทัพออกมาต่อสู้ท่าน ท่านจงกระทำแก่เขาตามแต่โอกาสจะอำนวย”
วนฉ 9.34 ฝ่ายอาบีเมเลค และกองทัพทั้งสิ้นที่อยู่กับท่านก็ลุกขึ้นในเวลากลางคืน แบ่งออกเป็นสี่กองไปซุ่มคอยสู้เมืองเชเคม
วนฉ 9.35 กาอัลบุตรชายเอเบดก็ออกไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง อาบีเมเลคก็ลุกขึ้นพร้อมกับกองทัพที่อยู่กับท่าน ออกมาจากที่ซุ่มซ่อน
วนฉ 9.43 ท่านจึงแบ่งคนของท่านออกเป็นสามกอง ซุ่มคอยอยู่ที่ทุ่งนา ท่านมองดู ดูเถิด คนออกมาจากในเมือง ท่านจึงลุกขึ้นประหารเขา
วนฉ 13.11 มาโนอาห์ก็ลุกขึ้นตามภรรยาไป เมื่อมาถึงบุรุษผู้นั้นเขาจึงว่า “ท่านเป็นบุรุษผู้ที่พูดกับผู้หญิงคนนี้หรือ” ผู้นั้นตอบว่า “เราเป็นผู้นั้นแหละ”
วนฉ 16.3 แต่แซมสันนอนอยู่จนถึงเที่ยงคืน พอถึงเที่ยงคืนท่านก็ลุกขึ้น ยกประตูเมืองรวมทั้งเสาสองต้น พร้อมทั้งดาลประตูใส่บ่าแบกไปถึงยอดภูเขาซึ่งอยู่ตรงหน้าเมืองเฮโบรน
วนฉ 18.9 เขาตอบว่า “จงลุกขึ้น ให้เราไปรบกับเขาเถิด เพราะเราได้เห็นแผ่นดินนั้นแล้ว และดูเถิด เป็นแผ่นดินดีจริงๆ ท่านทั้งหลายจะไม่ทำอะไรเลยหรือ อย่าชักช้าที่จะไปกันและเข้ายึดครองแผ่นดินนั้น
วนฉ 19.3 สามีของนางก็ลุกขึ้นไปตามนาง เพื่อไปพูดกับนางด้วยจิตเมตตาและจะพานางกลับ เขาพาคนใช้คนหนึ่งและลาคู่หนึ่งไปด้วย นางพาเขาเข้าในบ้านบิดาของนาง เมื่อบิดาของผู้หญิงเห็นเข้าก็มีความยินดีต้อนรับเขา
วนฉ 19.5 อยู่มาถึงวันที่สี่เขาทั้งหลายก็ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด และคนนั้นลุกขึ้นจะออกเดิน แต่พ่อของผู้หญิงพูดกับบุตรเขยของเขาว่า “จงรับประทานอาหารอีกสักหน่อยหนึ่งให้ชื่นใจแล้วภายหลังจึงค่อยออกเดิน”
วนฉ 19.7 เมื่อชายคนนั้นลุกขึ้นจะออกเดิน พ่อตาก็ชักชวนไว้ จนเขาต้องพักอยู่ที่นั่นอีก
วนฉ 19.9 เมื่อชายคนนั้นและภรรยาน้อยกับคนใช้ลุกขึ้นจะออกเดิน พ่อตาของเขาคือบิดาของผู้หญิงก็บอกเขาว่า “ดูเถิด นี่ก็บ่ายใกล้ค่ำแล้ว ขอค้างอยู่อีกคืนหนึ่งเถิด ดูเถิด จะสิ้นวันอยู่แล้ว พักนอนที่นี่เถิด เพื่อใจของเจ้าจะเบิกบาน พรุ่งนี้เช้าขอเจ้าตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทาง เจ้าจะได้ไปบ้าน”
วนฉ 19.10 แต่ชายคนนั้นไม่ยอมค้างอีกคืนหนึ่ง เขาจึงลุกขึ้นออกเดินทางไปจนถึงตรงข้ามกับเมืองเยบุส คือเยรูซาเล็ม เขามีลาสองตัวที่มีอาน และภรรยาน้อยก็ไปด้วย
วนฉ 19.27 รุ่งเช้านายของนางก็ลุกขึ้นเมื่อเปิดประตูบ้าน จะออกเดินทาง ดูเถิด ผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาน้อยของเขาก็นอนอยู่ที่ประตูบ้าน มือเหยียดออกไปถึงธรณีประตู
วนฉ 19.28 เขาจึงบอกนางว่า “ลุกขึ้นไปกันเถิด” แต่ก็ไม่มีคำตอบ เขาจึงเอานางขึ้นหลังลา ชายนั้นก็ลุกขึ้นเดินทางไปบ้านของตน
วนฉ 20.5 เวลากลางคืนผู้ชายในเมืองกิเบอาห์ก็ลุกขึ้นล้อมบ้านที่ข้าพเจ้าพักอยู่ เขาหมายจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย เขาข่มขืนภรรยาน้อยของข้าพเจ้าจนตาย
วนฉ 20.8 ประชาชนทุกคนก็ลุกขึ้นกล่าวเป็นใจเดียวกันว่า “พวกเราจะไม่กลับไปเต็นท์ของเรา เราจะไม่กลับไปเรือนของเรา
วนฉ 20.18 คนอิสราเอลก็ลุกขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้า และทูลถามพระเจ้าว่า “ผู้ใดในพวกข้าพระองค์ที่จะขึ้นไปสู้รบกับคนเบนยามินก่อน” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ให้ยูดาห์ขึ้นไปก่อน”
วนฉ 20.19 รุ่งเช้าคนอิสราเอลก็ลุกขึ้นตั้งค่ายต่อสู้เมืองกิเบอาห์
วนฉ 21.4 อยู่มารุ่งขึ้นประชาชนก็ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และสร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่ง ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชา
นรธ 1.6 แล้วนางนั้นพร้อมกับลูกสะใภ้ทั้งสองก็ลุกขึ้นออกเดินทางจากแผ่นดินโมอับ เพราะว่าเมื่ออยู่ในแผ่นดินโมอับนั้น นางได้ยินข่าวว่า พระเยโฮวาห์ได้ทรงเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์และประทานอาหารแก่เขาทั้งหลาย
นรธ 2.15 เมื่อนางลุกขึ้นไปเก็บข้าว โบอาสก็บัญชาชายหนุ่มของท่านว่า “จงยอมให้นางเก็บข้าวตกระหว่างฟ่อนข้าวเถอะ อย่าได้ตำหนินางเลย
นรธ 3.14 ดังนั้นนางจึงนอนอยู่ที่เท้าของท่านจนรุ่งเช้า แต่นางลุกขึ้นก่อนคนจะจำหน้ากันได้ เพราะท่านคิดว่า “อย่าให้ใครทราบว่ามีผู้หญิงมาที่ลานนวดข้าว”
1ซมอ 1.9 หลังจากที่ได้รับประทานอาหารและดื่มที่เมืองชีโลห์แล้ว ฮันนาห์ก็ลุกขึ้น ฝ่ายเอลีปุโรหิตนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเสาประตูพระวิหารของพระเยโฮวาห์
1ซมอ 1.19 เขาทั้งหลายลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ นมัสการต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ แล้วเขาทั้งหลายก็กลับไปบ้านที่รามาห์ และเอลคานาห์ก็สมสู่กับฮันนาห์ภรรยาของตน และพระเยโฮวาห์ทรงระลึกถึงนาง
1ซมอ 3.6 และพระเยโฮวาห์ทรงเรียกขึ้นอีกว่า “ซามูเอลเอ๋ย” และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า” แต่เอลีตอบว่า “ลูกเอ๋ย เรามิได้เรียกเจ้า จงนอนอีก”
1ซมอ 3.8 และพระเยโฮวาห์ทรงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สาม ซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า” แล้วเอลีจึงหยั่งรู้ว่าพระเยโฮวาห์ทรงเรียกเด็กนั้น
1ซมอ 9.3 ฝ่ายฝูงแม่ลาของคีชบิดาของซาอูลหายไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูลบุตรชายของตนว่า “ลุกขึ้นเอาคนใช้คนหนึ่งไปกับเจ้า เพื่อไปหาลา”
1ซมอ 9.26 และเขาทั้งสองตื่นแต่เช้าตรู่ และอยู่มาเมื่อสว่างแล้ว ซามูเอลก็เรียกซาอูลผู้อยู่บนดาดฟ้าว่า “จงลุกขึ้นเถิด เพื่อฉันจะส่งท่านไปตามทางของท่าน” ซาอูลก็ลุกขึ้น ท่านทั้งสองก็เดินออกไปที่ถนน ทั้งท่านและซามูเอล
1ซมอ 13.15 และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปจากกิลกาลถึงกิเบอาห์แห่งคนเบนยามิน และซาอูลทรงนับพลซึ่งอยู่กับพระองค์ได้ประมาณหกร้อยคน
1ซมอ 15.12 และซามูเอลลุกขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อจะไปหาซาอูลในเช้าวันนั้น และมีคนไปเรียนซามูเอลว่า “ซาอูลเสด็จมาที่ภูเขาคารเมล และดูเถิด ทรงมาสร้างที่ระลึกของพระองค์แล้วก็หันและผ่านเรื่อยไปจนลงไปถึงกิลกาล”
1ซมอ 16.12 เจสซีก็ใช้คนไปนำเขามา ฝ่ายเขาเป็นคนผิวแดงๆ มีใบหน้าสวยและรูปร่างงามน่าดู และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเจิมตั้งเขาไว้ เพราะเป็นคนนี้แหละ”
1ซมอ 16.13 ซามูเอลจึงนำขวดเขาน้ำมันและเจิมตั้งเขาไว้ท่ามกลางพี่ชายของเขา และพระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ก็สวมทับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป และซามูเอลก็ลุกขึ้นกลับไปยังรามาห์
1ซมอ 17.20 ดาวิดจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด และทิ้งแกะไว้กับผู้ดูแลนำเสบียงอาหารเดินทางไปตามที่เจสซีได้บัญชาแก่เขา และเขาก็มาถึงเขตค่ายขณะเมื่อกองทัพกำลังยกออกไปสู่แนวรบพลางร้องกราวศึก
1ซมอ 17.35 ข้าพระองค์ก็ไล่ตามฆ่ามัน และช่วยลูกแกะนั้นให้พ้นมาจากปากของมัน ถ้ามันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จับหนวดเคราของมัน และทุบตีมันจนตาย
1ซมอ 17.48 อยู่มาเมื่อคนฟีลิสเตียคนนั้นลุกขึ้นเข้ามาใกล้เพื่อปะทะดาวิด ดาวิดก็วิ่งเข้าหาแนวรบเพื่อปะทะกับคนฟีลิสเตียคนนั้นอย่างรวดเร็ว
1ซมอ 17.52 คนอิสราเอลกับคนยูดาห์ก็ลุกขึ้นโห่ร้องไล่ติดตามคนฟีลิสเตียไกลไปจนถึงหุบเขาและถึงประตูเมืองเอโครน ทหารฟีลิสเตียที่บาดเจ็บจึงล้มลงตามทางจากชาอาราอิม ไกลไปจนถึงเมืองกัทและเมืองเอโครน
1ซมอ 18.27 ดาวิดก็ลุกขึ้นไปพร้อมกับคนของเธอ ได้ฆ่าคนฟีลิสเตียเสียสองร้อยคน และดาวิดก็นำหนังปลายองคชาตของคนเหล่านั้นมาถวายแก่กษัตริย์ครบจำนวน เพื่อเธอจะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์ ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็นภรรยาของดาวิด
1ซมอ 20.34 โยนาธานจึงลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความโกรธยิ่งนัก มิได้รับประทานอาหารในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะท่านเศร้าใจด้วยเรื่องดาวิด เพราะว่าพระราชบิดาของท่านได้หยามน้ำหน้าดาวิด
1ซมอ 20.41 เมื่อเด็กนั้นไปแล้ว ดาวิดก็ลุกขึ้นมาจากที่ที่อยู่ทิศใต้ ซบหน้าลงถึงดิน แล้วกราบลงสามครั้ง และทั้งสองก็จุบกัน และร้องไห้กัน จนดาวิดร้องมากเหลือเกิน
1ซมอ 20.42 โยนาธานจึงกล่าวกับดาวิดว่า “ขอจงไปเป็นสุขเถิด เพราะเราทั้งสองได้ปฏิญาณไว้แล้วในพระนามแห่งพระเยโฮวาห์ว่า ‘พระเยโฮวาห์จะทรงเป็นพยานระหว่างฉันและเธอ และระหว่างเชื้อสายของฉันกับเชื้อสายของเธอสืบไปเป็นนิตย์’” ดาวิดก็ลุกขึ้นจากไป และโยนาธานก็เข้าไปในเมือง
1ซมอ 21.10 และดาวิดก็ลุกขึ้นในวันนั้นหนีจากพระพักตร์ซาอูลไปหาอาคีชกษัตริย์เมืองกัท
1ซมอ 22.13 และซาอูลตรัสแก่เขาว่า “ทำไมเจ้าจึงร่วมกันกบฏต่อเรา ทั้งเจ้าและบุตรของเจสซี ในการที่เจ้าได้ให้ขนมปังและดาบแก่เขา และได้ทูลถามพระเจ้าให้เขา เขาจึงลุกขึ้นต่อสู้เรา และคอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้”
1ซมอ 23.4 แล้วดาวิดก็ทูลถามพระเยโฮวาห์อีก และพระเยโฮวาห์ตรัสตอบท่านว่า “จงลุกขึ้นลงไปยังเคอีลาห์เถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้า”
1ซมอ 23.13 แล้วดาวิดกับคนของท่านซึ่งมีประมาณหกร้อยคนก็ลุกขึ้นไปเสียจากเคอีลาห์ และเขาทั้งหลายก็ไปตามแต่ที่เขาจะไปได้ เมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดหนีไปจากเคอีลาห์แล้ว ซาอูลก็ทรงเลิกการติดตาม
1ซมอ 23.16 และโยนาธานราชบุตรของซาอูลได้ลุกขึ้นไปหาดาวิดที่ป่าไม้ และสนับสนุนมือของเธอให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า
1ซมอ 23.24 เขาทั้งหลายก็ลุกขึ้นไปยังศิฟก่อนซาอูล ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอนในที่ราบใต้เยชิโมน
1ซมอ 24.4 คนของดาวิดก็เรียนท่านว่า “ดูเถิด วันนี้เป็นวันที่พระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านว่า ‘ดูเถิด เราจะมอบศัตรูของเจ้าไว้ในมือของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้ทำกับเขาตามที่เจ้าเห็นควร’” แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นเข้าไปตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูลอย่างลับๆ
1ซมอ 24.7 ดาวิดก็ห้ามผู้รับใช้ของท่านด้วยถ้อยคำเหล่านี้ และไม่ยอมให้เขาทั้งหลายทำร้ายซาอูล และซาอูลก็ทรงลุกขึ้นออกจากถ้ำเสด็จไปตามทางของพระองค์
1ซมอ 24.8 ภายหลังดาวิดก็ลุกขึ้นด้วย และออกไปจากถ้ำร้องทูลซาอูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์” และเมื่อซาอูลทรงเหลียวดู ดาวิดก็ก้มลงถึงดินกราบไหว้
1ซมอ 25.1 ฝ่ายซามูเอลก็สิ้นชีวิตและคนอิสราเอลทั้งปวงก็ประชุมกันไว้ทุกข์ให้ท่าน และเขาทั้งหลายก็ฝังศพท่านไว้ในบ้านของท่านที่รามาห์ และดาวิดก็ลุกขึ้นลงไปยังถิ่นทุรกันดารปาราน
1ซมอ 25.29 แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่านและแสวงหาชีวิตของท่าน ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับกลุ่มชีวิตซึ่งอยู่ในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน แต่ชีวิตศัตรูของท่านจะถูกเหวี่ยงออกไปดั่งออกไปจากรังสลิง
1ซมอ 25.41 และนางก็ลุกขึ้นซบหน้าลงถึงดินกล่าวว่า “ดูเถิด หญิงผู้รับใช้ของท่านเป็นผู้รับใช้ที่จะล้างเท้าให้แก่ผู้รับใช้แห่งเจ้านายของดิฉัน”
1ซมอ 25.42 อาบีกายิลก็รีบลุกขึ้นขี่ลาตัวหนึ่งพร้อมกับสาวใช้ปรนนิบัติเธออีกห้าคน นางตามผู้สื่อสารของดาวิดไป และได้เป็นภรรยาของดาวิด
1ซมอ 26.2 ซาอูลจึงทรงลุกขึ้นลงไปที่ถิ่นทุรกันดารศิฟ พร้อมกับชายอิสราเอลที่คัดเลือกแล้วสามพันคน เพื่อแสวงหาดาวิดในถิ่นทุรกันดารศิฟ
1ซมอ 26.5 แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นมายังที่ซึ่งซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ และดาวิดก็เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตรชายเนอร์แม่ทัพ ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย ฝ่ายกองทัพก็ตั้งค่ายอยู่รอบพระองค์
1ซมอ 27.2 ดาวิดจึงลุกขึ้นยกข้ามไป ทั้งตัวท่านและคนที่อยู่กับท่านหกร้อยคนด้วยกัน ไปหาอาคีชบุตรชายมาโอค กษัตริย์เมืองกัท
1ซมอ 28.23 พระองค์ก็ทรงปฏิเสธ รับสั่งว่า “ไม่กิน” แต่มหาดเล็กกับหญิงนั้นอ้อนวอนพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเสียงของเขา พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพื้นดินประทับบนเตียง
1ซมอ 28.25 นางก็นำมาถวายแก่ซาอูลและทรงเสวยกับให้มหาดเล็ก เขารับประทาน แล้วก็ทรงลุกขึ้นเสด็จกลับไปในคืนนั้น
1ซมอ 29.10 เมื่อเป็นอย่างนี้ ขอท่านลุกขึ้นแต่เช้าพร้อมกับพวกพลแห่งนายของท่าน คือคนที่มากับท่าน เมื่อพวกท่านลุกขึ้นในเวลาเช้ามืด พอมีแสงก็จงออกเดิน”
1ซมอ 29.11 ดาวิดกับคนของท่านจึงลุกขึ้นตั้งแต่มืดเพื่อออกเดินในตอนเช้า กลับไปยังแผ่นดินฟีลิสเตีย แต่คนฟีลิสเตียขึ้นไปยังยิสเรเอล
1ซมอ 31.12 ชายที่กล้าหาญทุกคนก็ลุกขึ้นเดินคืนยังรุ่งไปปลดพระศพของซาอูล และศพราชโอรสทั้งสามลงเสียจากกำแพงเมืองเบธชาน และมาที่เมืองยาเบช ถวายพระเพลิงเสียที่นั่น
2ซมอ 2.14 อับเนอร์จึงพูดกับโยอาบว่า “ขอให้พวกคนหนุ่มลุกขึ้นรบเล่นกันให้เราดูเถิด” และโยอาบตอบว่า “ให้เขาลุกขึ้นเล่นซี”
2ซมอ 2.15 เขาก็ลุกขึ้นไปตามที่นับไว้ฝ่ายเบนยามินและฝ่ายอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลมีสิบสองคน และข้าราชการทหารของดาวิดก็มีสิบสองคน
2ซมอ 3.21 และอับเนอร์ทูลดาวิดว่า “ข้าพระองค์จะลุกขึ้นกลับไป และจะรวบรวมคนอิสราเอลทั้งสิ้นมายังกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ เพื่อเขาทั้งหลายจะกระทำพันธสัญญากับพระองค์ และเพื่อพระองค์จะทรงปกครองให้กว้างขวางตามชอบพระทัยของพระองค์” ดาวิดก็ทรงส่งอับเนอร์กลับไป และเขาก็ไปโดยสันติภาพ
2ซมอ 4.4 โยนาธานราชโอรสของซาอูล มีบุตรชายคนหนึ่งเป็นง่อย เมื่อมีข่าวเรื่องซาอูลกับโยนาธานมาจากยิสเรเอลนั้น เด็กคนนี้มีอายุห้าขวบ พี่เลี้ยงก็อุ้มลุกขึ้นหนีไป อยู่มาเมื่อเธอรีบหนีไปนั้นเด็กนั้นก็หล่นลงและเป็นง่อย ท่านชื่อเมฟีโบเชท
2ซมอ 6.2 และดาวิดก็ทรงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์จากบาอาเลยูดาห์ เพื่อทรงนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่น ซึ่งเรียกตามพระนามคือพระนามของพระเยโฮวาห์จอมโยธาผู้ประทับระหว่างพวกเครูบ
2ซมอ 11.2 อยู่มาเวลาเย็นวันหนึ่งเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นจากพระแท่น และดำเนินอยู่บนดาดฟ้าหลังคาพระราชวัง ทอดพระเนตรจากหลังคาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอาบน้ำอยู่ หญิงคนนั้นสวยงามมาก
2ซมอ 12.17 บรรดาพวกผู้ใหญ่ในราชสำนักของพระองค์ก็ลุกขึ้นมายืนเข้าเฝ้าอยู่ หมายจะทูลเชิญให้พระองค์ทรงลุกจากพื้นดิน แต่พระองค์หาทรงยอมไม่ หรือหาทรงรับประทานกับเขาทั้งหลายไม่
2ซมอ 12.20 แล้วดาวิดทรงลุกขึ้นจากพื้นดิน ชำระพระกาย ชโลมพระองค์ และทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ ทรงดำเนินเข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์และทรงนมัสการ แล้วเสด็จไปสู่พระราชวังของพระองค์ รับสั่งให้นำพระกระยาหารมา เขาก็จัดพระกระยาหารให้พระองค์เสวย
2ซมอ 12.21 ข้าราชการจึงทูลถามพระองค์ว่า “เป็นไฉนพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ พระองค์ทรงอดพระกระยาหารและกันแสงเพื่อพระกุมารนั้นเมื่อทรงพระชนม์อยู่ แต่เมื่อพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นเสวยพระกระยาหาร”
2ซมอ 13.15 ต่อมาอัมโนนเกลียดชังเธอยิ่งนัก ความเกลียดชังครั้งนี้ก็มากยิ่งกว่าความรักซึ่งท่านได้รักเธอมาก่อน และอัมโนนรับสั่งกับเธอว่า “จงลุกขึ้นไป”
2ซมอ 13.29 และมหาดเล็กของอับซาโลมก็กระทำกับอัมโนนตามที่อับซาโลมได้บัญชาไว้ แล้วบรรดาราชโอรสของกษัตริย์ก็พากันลุกขึ้นทรงล่อของแต่ละองค์หนีไปสิ้น
2ซมอ 13.31 กษัตริย์ทรงลุกขึ้นฉีกฉลองพระองค์ และทรงบรรทมบนพื้นดิน บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นสวมเสื้อผ้าฉีกขาดยืนเฝ้าอยู่
2ซมอ 14.23 โยอาบจึงลุกขึ้นไปยังเมืองเกชูร์และพาอับซาโลมมายังกรุงเยรูซาเล็ม
2ซมอ 14.31 โยอาบก็ลุกขึ้นไปหาอับซาโลมที่วังของท่าน ถามท่านว่า “ทำไมมหาดเล็กของท่านจึงเอาไฟเผานาของหม่อมฉัน”
2ซมอ 15.9 กษัตริย์ตรัสตอบท่านว่า “จงไปเป็นสุขเถิด” ท่านก็ลุกขึ้นไปยังเมืองเฮโบรน
2ซมอ 15.14 แล้วดาวิดรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ ณ เยรูซาเล็มว่า “จงลุกขึ้นให้เราหนีไปเถิด มิฉะนั้นเราจะหนีไม่พ้นจากอับซาโลมสักคนเดียว จงรีบไป เกรงว่าเขาจะตามเราทันโดยเร็วและนำเหตุร้ายมาถึงเรา และทำลายกรุงนี้เสียด้วยคมดาบ”
2ซมอ 17.21 อยู่มาเมื่อคนเหล่านั้นไปแล้ว ชายทั้งสองก็ขึ้นมาจากบ่อ ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เขาทูลดาวิดว่า “ขอทรงลุกขึ้น และรีบข้ามแม่น้ำไป เพราะอาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษาต่อสู้อย่างนั้นอย่างนี้”
2ซมอ 17.22 ดาวิดก็ทรงลุกขึ้นพร้อมกับพวกพลทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์และข้ามแม่น้ำจอร์แดน พอรุ่งเช้าก็ไม่มีเหลือสักคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน
2ซมอ 18.31 ดูเถิด คูชีก็มาถึง และคูชีกราบทูลว่า “มีข่าวดีถวายแด่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ เพราะในวันนี้พระเยโฮวาห์ทรงช่วยพระองค์ให้แก้แค้นบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้พระองค์”
2ซมอ 18.32 กษัตริย์ตรัสถามคูชีว่า “อับซาโลมชายหนุ่มนั้นเป็นสุขอยู่หรือ” คูชีทูลตอบว่า “ขอให้ศัตรูของกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์และบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นกระทำอันตรายต่อพระองค์เป็นเหมือนชายหนุ่มผู้นั้นเถิด”
2ซมอ 19.7 ฉะนั้น ขอพระองค์ทรงลุกขึ้น ณ บัดนี้ขอเสด็จออกไปตรัสให้ถึงใจข้าราชการทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ได้ปฏิญาณในพระนามพระเยโฮวาห์ว่า ถ้าพระองค์ไม่เสด็จจะไม่มีชายสักคนหนึ่งอยู่กับพระองค์ในคืนนี้ เรื่องนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุร้ายอื่นๆทั้งสิ้นซึ่งบังเกิดแก่พระองค์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนบัดนี้”
2ซมอ 19.8 กษัตริย์ก็ทรงลุกขึ้นประทับที่ประตูเมือง เขาไปบอกประชาชนทั้งหลายว่า “ดูเถิด กษัตริย์ประทับอยู่ที่ประตูเมือง” ประชาชนทั้งหลายก็มาเฝ้ากษัตริย์ ฝ่ายอิสราเอลนั้นต่างคนต่างก็หนีไปยังเต็นท์ของตนหมดแล้ว
2ซมอ 22.39 ข้าพระองค์ผลาญเขา ข้าพระองค์แทงเขาทะลุ เขาจึงไม่สามารถลุกขึ้นอีกได้พ่ะย่ะค่ะ เขาล้มลงใต้เท้าของข้าพระองค์แล้ว
2ซมอ 22.40 เพราะพระองค์ทรงคาดเอวข้าพระองค์ไว้ด้วยกำลังเพื่อทำสงคราม พระองค์ทรงกระทำให้พวกที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์จมลงใต้ข้าพระองค์
2ซมอ 22.49 ผู้ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากศัตรูของข้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงยกข้าพระองค์ให้เหนือผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดพ้นจากคนทารุณ
2ซมอ 23.10 ท่านได้ลุกขึ้นฆ่าฟันคนฟีลิสเตียจนมือของท่านเมื่อยล้า มือของท่านเป็นเหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง ทหารก็กลับตามท่านมาเพื่อปล้นข้าวของเท่านั้น
2ซมอ 24.11 และเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นในตอนเช้า พระวจนะของพระเยโฮวาห์ก็มายังกาดผู้พยากรณ์ผู้ทำนายของดาวิดว่า
1พกษ 1.49 แล้วบรรดาแขกทั้งปวงของอาโดนียาห์ก็กลัว และลุกขึ้น ต่างคนต่างไปตามทางของตน
1พกษ 1.50 ฝ่ายอาโดนียาห์ก็กลัวซาโลมอน จึงลุกขึ้นไปจับเชิงงอนของแท่นบูชา
1พกษ 2.19 พระนางบัทเชบาจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอน เพื่อทูลพระองค์ให้อาโดนียาห์ และกษัตริย์ทรงลุกขึ้นต้อนรับพระนาง และทรงคำนับพระนาง แล้วก็เสด็จประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ รับสั่งให้นำพระเก้าอี้มาถวายพระชนนี พระนางก็เสด็จประทับที่เบื้องขวาของพระองค์
1พกษ 2.40 ชิเมอีก็ลุกขึ้นผูกอานขี่ลาไปเฝ้าอาคีชที่เมืองกัทเพื่อเสาะหาทาสของตน ชิเมอีได้ไปนำทาสของตนมาจากเมืองกัท
1พกษ 3.20 พอเที่ยงคืนนางก็ลุกขึ้น และเอาบุตรชายของข้าพระองค์ไปเสียจากข้างข้าพระองค์ ขณะที่สาวใช้ของพระองค์หลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของเธอ และเธอเอาบุตรของเธอที่ตายแล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระองค์
1พกษ 8.54 ครั้นซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐาน และคำวิงวอนทั้งสิ้นนี้ต่อพระเยโฮวาห์แล้ว ก็ทรงลุกขึ้นจากหน้าแท่นบูชาของพระเยโฮวาห์ ที่ซึ่งทรงคุกเข่าพร้อมกับกางพระหัตถ์สู่ฟ้าสวรรค์
1พกษ 11.40 ฉะนั้นซาโลมอนจึงทรงหาช่องจะประหารเยโรโบอัมเสีย แต่เยโรโบอัมได้ลุกขึ้นหนีเข้าไปในอียิปต์ ไปยังชิชักกษัตริย์อียิปต์ และอยู่ในอียิปต์จนถึงซาโลมอนสิ้นพระชนม์
1พกษ 14.2 และเยโรโบอัมรับสั่งกับมเหสีของพระองค์ว่า “จงลุกขึ้นปลอมตัวของเธอ อย่าให้รู้ว่าเธอเป็นมเหสีของเยโรโบอัม และจงไปยังชีโลห์ ดูเถิด อาหิยาห์ผู้พยากรณ์อยู่ที่นั่น ผู้ได้กล่าวเรื่องฉันว่าฉันจะได้เป็นกษัตริย์เหนือชนชาตินี้
1พกษ 14.4 มเหสีของเยโรโบอัมก็กระทำดังนั้น พระนางลุกขึ้น เสด็จไปยังชีโลห์เสด็จมาถึงบ้านของอาหิยาห์ ฝ่ายอาหิยาห์มองไม่เห็น เพราะว่าตาของท่านแข็งด้วยอายุของท่าน
1พกษ 14.17 แล้วมเหสีของเยโรโบอัมทรงลุกขึ้นเสด็จออกไป และมาถึงเมืองทีรซาห์ และเมื่อพระนางเสด็จถึงธรณีทวาร กุมารก็ถึงแก่มรณา
1พกษ 17.9 “ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัทเถิด ซึ่งขึ้นแก่เมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้บัญชาหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า”
1พกษ 17.10 ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง ดูเถิด หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า “ขอน้ำเล็กน้อยใส่ภาชนะมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้ดื่มน้ำ”
1พกษ 18.43 และท่านสั่งคนใช้ของท่านว่า “จงลุกขึ้นมองไปทางทะเล” เขาก็ลุกขึ้นมองและตอบว่า “ไม่มีอะไรเลย” และท่านบอกว่า “จงไปดูอีกเจ็ดครั้ง”
1พกษ 19.3 เมื่อท่านทราบแล้วก็ลุกขึ้นหนีไปเอาชีวิตรอด และมาถึงเบเออร์เชบาเขตประเทศยูดาห์ และละคนใช้ของท่านไว้ที่นั่น
1พกษ 19.5 และท่านก็นอนลงหลับอยู่ใต้ต้นไม้จำพวกสนจูนิเปอร์ ดูเถิด มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาถูกต้องท่าน และพูดกับท่านว่า “ลุกขึ้นรับประทานซี”
1พกษ 19.7 และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็มาอีกเป็นครั้งที่สอง ถูกต้องท่านแล้วว่า “ลุกขึ้นรับประทานซี เพราะว่าทางเดินนั้นเกินกำลังของท่าน”
1พกษ 19.8 และท่านก็ลุกขึ้นรับประทานและดื่ม และเดินไปด้วยกำลังของอาหารนั้นสี่สิบวันสี่สิบคืนถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า
1พกษ 19.21 และเอลีชาก็กลับจากติดตามเอลียาห์จับวัวคู่นั้นฆ่าเสียเอาเครื่องแอกต้มเนื้อวัว และให้แก่ประชาชนและเขาก็รับประทาน แล้วเอลีชาก็ลุกขึ้นตามเอลียาห์ไปและปรนนิบัติท่าน
1พกษ 21.7 และเยเซเบลมเหสีของพระองค์ทูลพระองค์ว่า “พระองค์เป็นผู้ครอบครองราชอาณาจักรอิสราเอลอยู่หรือเพคะ เชิญเสด็จลุกขึ้นเสวยพระกระยาหารเถิด และให้พระทัยของพระองค์ร่าเริง หม่อมฉันจะมอบสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลให้แก่พระองค์เอง”
1พกษ 21.15 อยู่มาพอเยเซเบลทรงได้ยินว่านาโบทถูกขว้างด้วยหินตายแล้ว เยเซเบลจึงทูลอาหับว่า “ขอเชิญเสด็จลุกขึ้น ไปยึดสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล ซึ่งเขาได้ปฏิเสธไม่ขายให้แก่พระองค์ เพราะว่านาโบทไม่อยู่ เขาตายเสียแล้ว”
1พกษ 21.16 และอยู่มาพออาหับทรงได้ยินว่านาโบทตายแล้ว อาหับก็ทรงลุกขึ้นไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์
1พกษ 21.18 “จงลุกขึ้นแล้วลงไปพบอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล ผู้อยู่ในสะมาเรีย ดูเถิด เขาอยู่ในสวนองุ่นของนาโบท ที่เขาไปยึดเอาเป็นกรรมสิทธิ์
2พกษ 1.3 แต่ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์พูดกับเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “จงลุกขึ้นไปพบบรรดาผู้สื่อสารของกษัตริย์แห่งสะมาเรีย และจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลแล้วหรือ ท่านจึงไปถามบาอัลเซบูบ พระแห่งเอโครน’
2พกษ 1.15 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์กล่าวแก่เอลียาห์ว่า “จงลงไปกับเขาเถิด อย่ากลัวเขาเลย” ท่านก็ลุกขึ้นลงไปกับเขาเข้าเฝ้ากษัตริย์
2พกษ 3.24 แต่เมื่อเขามาถึงค่ายอิสราเอล คนอิสราเอลก็ลุกขึ้นต่อสู้กับคนโมอับจนเขาทั้งหลายหนีไป และเขาก็รุกหน้าเข้าไปในแผ่นดินฆ่าฟันคนโมอับ
2พกษ 4.30 แล้วมารดาของเด็กนั้นเรียนว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่และตัวท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ดิฉันจะไม่พรากจากท่านไป” ดังนั้นท่านจึงลุกขึ้นตามนางไป
2พกษ 4.35 แล้วท่านก็ลุกขึ้นอีกเดินไปเดินมาในเรือนนั้นครั้งหนึ่ง แล้วขึ้นไปเหยียดตัวของท่านบนเขา เด็กนั้นก็จามเจ็ดครั้ง และเด็กนั้นก็ลืมตาของตน
2พกษ 7.5 ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นในเวลาโพล้เพล้เพื่อจะไปยังค่ายของคนซีเรีย แต่เมื่อเขามาถึงริมค่ายของคนซีเรียแล้ว ดูเถิด ไม่มีใครที่นั่นสักคน
2พกษ 7.7 เขาจึงลุกขึ้นหนีไปในเวลาโพล้เพล้ และทิ้งเต็นท์ ม้าและลาของเขา ทิ้งค่ายไว้อย่างนั้นเอง และหนีไปเอาชีวิตรอด
2พกษ 8.1 ฝ่ายเอลีชาได้บอกหญิงคนที่ท่านได้ให้บุตรชายของนางกลับคืนชีวิตมาว่า “จงลุกขึ้นและออกไปทั้งครัวเรือนของเจ้า ไปอาศัยอยู่ที่ใดซึ่งเจ้าจะอาศัยอยู่ได้ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงเรียกให้เกิดการกันดารอาหาร และจะเป็นแก่แผ่นดินนี้เจ็ดปี”
2พกษ 8.2 หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นกระทำตามถ้อยคำของคนแห่งพระเจ้า นางยกออกไปทั้งครัวเรือนของนาง ไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตียเจ็ดปี
2พกษ 8.21 แล้วโยรัมก็เสด็จพร้อมกับบรรดารถรบของพระองค์ผ่านไปถึงศาอีร์ พอกลางคืนพระองค์ก็ลุกขึ้นโจมตีคนเอโดมซึ่งมาล้อมพระองค์นั้น พร้อมกับผู้บัญชาการรถรบ แล้วกองทัพได้หนีกลับเต็นท์เสีย
2พกษ 9.2 และเมื่อเจ้าไปถึงแล้ว จงมองดูเยฮูบุตรเยโฮชาฟัทบุตรนิมซี จงเข้าไปหาเขา ให้ลุกขึ้นจากหมู่พวกพี่น้อง และนำเขาเข้าไปในห้องชั้นใน
2พกษ 9.6 ท่านก็ลุกขึ้นเข้าไปในเรือน และคนหนุ่มนั้นก็เทน้ำมันบนศีรษะของท่าน กล่าวว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนของพระเยโฮวาห์คือเหนืออิสราเอล
2พกษ 10.12 แล้วพระองค์ก็ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังสะมาเรีย เมื่อพระองค์ประทับที่โรงตัดขนแกะตามทางที่เสด็จ
2พกษ 11.1 เมื่ออาธาลิยาห์พระมารดาของอาหัสยาห์ทรงเห็นว่าโอรสของพระนางสิ้นพระชนม์ พระนางก็ลุกขึ้นทรงทำลายเชื้อพระวงศ์เสียสิ้น
2พกษ 12.20 ข้าราชการของพระองค์ลุกขึ้นกระทำการทรยศและประหารโยอาชเสียในวังมิลโลตามทางที่ลงไปยังสิลลา
2พกษ 13.21 อยู่มาเมื่อเขากำลังส่งศพคนหนึ่งไป ดูเถิด เขาเห็นโจรหมู่หนึ่ง เขาจึงโยนศพชายคนนั้นลงไปในอุโมงค์ของเอลีชา พอศพชายคนนั้นลงไปแตะต้องกระดูกของเอลีชา เขาก็คืนชีวิตลุกขึ้นยืน
2พกษ 16.7 อาหัสจึงทรงส่งผู้สื่อสารไปยังทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนใช้ของท่าน และเป็นบุตรของท่าน ขอเชิญขึ้นมาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของกษัตริย์แห่งซีเรีย และจากมือของกษัตริย์แห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งลุกขึ้นต่อสู้ข้าพเจ้า”
2พกษ 19.35 และอยู่มาในคืนนั้นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ได้ออกไป และได้ประหารคนในค่ายแห่งคนอัสซีเรียเสียหนึ่งแสนแปดหมื่นห้าพันคน และเมื่อคนลุกขึ้นในเวลาเช้ามืด ดูเถิด พวกเหล่านั้นเป็นศพทั้งนั้น
2พกษ 25.26 แล้วประชาชนทั้งปวง ทั้งเล็กและใหญ่ และผู้บังคับบัญชาพลรบได้ลุกขึ้น และไปยังอียิปต์ เพราะเขากลัวคนเคลเดีย
1พศด 10.12 ทหารเก่งกล้าทั้งสิ้นก็ลุกขึ้นไปเชิญพระศพของซาอูลและศพโอรสของพระองค์ นำมาที่ยาเบช และเขาก็ฝังพระอัฐินั้นใต้ต้นโอ๊กในยาเบช และได้อดอาหารเจ็ดวัน
1พศด 22.16 ส่วนทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ และเหล็กนั้นก็มีมากมายเหลือที่จะนับได้ ลุกขึ้นทำไปเถิด ขอพระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับเจ้า”
1พศด 22.19 บัดนี้จงตั้งจิตตั้งใจของเจ้าที่จะแสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า จงลุกขึ้นสร้างสถานบริสุทธิ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้า เพื่อว่าหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ก็ดี และเครื่องใช้อันบริสุทธิ์ของพระเจ้าก็ดี จะได้นำเอามาไว้ในพระนิเวศที่จะสร้างขึ้นเพื่อพระนามของพระเยโฮวาห์”
1พศด 28.2 แล้วกษัตริย์ดาวิดทรงลุกขึ้นประทับยืน และตรัสว่า “พี่น้องของข้าพเจ้า และประชาชนของข้าพเจ้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีใจประสงค์ที่จะสร้างพระนิเวศอันเป็นที่พักของหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และเพื่อเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้าของเรา และข้าพเจ้าได้จัดเตรียมการก่อสร้างไว้เสร็จแล้ว
2พศด 6.41 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า ฉะนั้นบัดนี้ขอทรงลุกขึ้น เสด็จไปยังที่พำนักของพระองค์ ทั้งพระองค์และหีบแห่งฤทธานุภาพของพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า ขอให้ปุโรหิตของพระองค์สวมความรอด และให้วิสุทธิชนของพระองค์เปรมปรีดิ์ในความประเสริฐของพระองค์
2พศด 13.6 ถึงกระนั้นเยโรโบอัมบุตรชายเนบัท ข้าราชการของซาโลมอนโอรสของดาวิด ได้ลุกขึ้นกบฏต่อเจ้านายของตน
2พศด 20.20 และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้า และออกไปในถิ่นทุรกันดารแห่งเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า “โอ ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงเชื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ จงเชื่อบรรดาผู้พยากรณ์ของพระองค์ และท่านจะสำเร็จผล”
2พศด 20.23 เพราะว่าคนของอัมโมนและของโมอับได้ลุกขึ้นต่อสู้กับชาวภูเขาเสอีร์ ทำลายเขาเสียอย่างสิ้นเชิง และเมื่อเขาทั้งหลายทำลายชาวเสอีร์หมดแล้ว เขาทั้งสิ้นช่วยกันทำลายซึ่งกันและกัน
2พศด 21.9 แล้วเยโฮรัมก็เสด็จออกไปพร้อมกับบรรดาเจ้านายและรถรบทั้งสิ้นของพระองค์ และพระองค์ทรงลุกขึ้นในกลางคืนโจมตีคนเอโดม ซึ่งมาล้อมพระองค์และผู้บังคับบัญชารถรบไว้
2พศด 22.10 เมื่ออาธาลิยาห์พระมารดาของอาหัสยาห์เห็นว่าโอรสของพระนางสิ้นพระชนม์แล้ว พระนางก็ลุกขึ้นทำลายเชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์ของยูดาห์เสียสิ้น
2พศด 28.15 และผู้ชายซึ่งถูกระบุชื่อนั้นได้ลุกขึ้นเอาเสื้อผ้าอันเป็นของที่ริบมาให้แก่คนที่เปลือยกายอยู่ในพวกเชลยและเขาก็นุ่งห่มให้เขาไว้ และให้รองเท้า และจัดหาอาหารและเครื่องดื่มให้ และชโลมเขา และนำคนที่อ่อนเปลี้ยในพวกเขาขึ้นลา นำเขากลับมายังญาติพี่น้องของเขาที่เมืองเยรีโค คือเมืองต้นอินทผลัม และเขาทั้งหลายก็กลับไปยังสะมาเรีย
2พศด 29.12 แล้วคนเลวีก็ลุกขึ้น คือมาฮาทบุตรชายอามาสัย และโยเอลบุตรชายอาซาริยาห์ ผู้เป็นลูกหลานของโคฮาท และลูกหลานของเมรารี มีคีชบุตรชายอับดี และอาซาริยาห์บุตรชายเยฮาลเลเลล และของคนเกอร์โชน มีโยอาห์บุตรชายศิมมาห์ และเอเดนบุตรชายโยอาห์
2พศด 29.20 แล้วกษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงลุกขึ้นแต่เช้า และรวบรวมเจ้านายของกรุง และเสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พศด 30.14 พวกเขาลุกขึ้นและได้กำจัดแท่นบูชาที่อยู่ในเยรูซาเล็มและแท่นสำหรับเผาเครื่องหอมทั้งปวงนั้น เขาขนไปทิ้งเสียในลำธารขิดโรน
2พศด 30.27 แล้วบรรดาปุโรหิตและคนเลวีได้ลุกขึ้นอวยพรประชาชน เสียงของเขาก็ถึงพระกรรณ และคำอธิษฐานของเขาก็ขึ้นมายังที่ประทับบริสุทธิ์ของพระองค์คือสวรรค์
อสร 1.5 แล้วประมุขของบรรพบุรุษแห่งยูดาห์และเบนยามินได้ลุกขึ้น ทั้งบรรดาปุโรหิตและคนเลวี คือทุกคนที่พระเจ้าทรงเร้าจิตใจของเขาให้ไปสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม
อสร 3.2 แล้วเยชูอาบุตรชายโยซาดักได้ลุกขึ้นพร้อมกับพวกปุโรหิตผู้เป็นญาติของเขาด้วยกัน กับเศรุบบาเบลบุตรชายเชอัลทิเอล พร้อมกับญาติของเขา และได้สร้างแท่นบูชาของพระเจ้าแห่งอิสราเอล เพื่อถวายเครื่องเผาบูชาบนนั้น ตามที่บันทึกไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสสคนของพระเจ้า
อสร 4.19 และเราได้ออกคำสั่ง และได้สอบสวนแล้ว เห็นว่าเมืองนี้แต่ก่อนโน้นได้ลุกขึ้นต่อสู้กษัตริย์ และการกบฏ และการปลุกปั่นได้เกิดขึ้นในเมืองนั้น
อสร 5.2 แล้วเศรุบบาเบลบุตรชายเชอัลทิเอล และเยชูอาบุตรชายโยซาดัก ได้ลุกขึ้นตั้งต้นสร้างพระนิเวศแห่งพระเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ และผู้พยากรณ์ของพระเจ้าได้อยู่กับท่านช่วยเหลือท่าน
อสร 9.5 ณ เวลาสักการบูชาตอนเย็นนั้นข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นจากการถ่อมตัว มีเครื่องแต่งกายและเสื้อคลุมของข้าพเจ้าฉีกขาด และข้าพเจ้าก็คุกเข่าลงและชูมือขึ้นต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้า
อสร 10.4 จงลุกขึ้นเถิด เพราะเป็นหน้าที่ของท่าน และเราทั้งหลายจะสนับสนุนท่าน ขอจงเข้มแข็งและกระทำเสียเถิด”
อสร 10.5 แล้วเอสราได้ลุกขึ้นให้บรรดาปุโรหิตใหญ่และเลวีและอิสราเอลทั้งปวงกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า เขาจะกระทำตามที่ได้พูดแล้ว เขาทั้งหลายจึงกระทำสัตย์ปฏิญาณ
อสร 10.10 และเอสราปุโรหิตได้ลุกขึ้นพูดกับเขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายได้ละเมิดและได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ จึงได้ทวีการละเมิดของอิสราเอล
นหม 2.12 แล้วข้าพเจ้าลุกขึ้นในกลางคืน คือข้าพเจ้ากับบางคนที่อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้บอกผู้หนึ่งผู้ใดถึงเรื่องที่พระเจ้าของข้าพเจ้าดลใจข้าพเจ้าให้กระทำเพื่อเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าไม่มีสัตว์อื่นกับข้าพเจ้านอกจากสัตว์ที่ข้าพเจ้าขี่อยู่
นหม 2.18 แล้วข้าพเจ้าบอกเขาถึงการที่พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับข้าพเจ้า เพื่อยังผลดี ทั้งพระวจนะซึ่งกษัตริย์ตรัสกับข้าพเจ้า และเขาทั้งหลายพูดว่า “ให้เราลุกขึ้นสร้างเถิด” เขาก็ปลงใจลงมือทำการดีนั้น
นหม 2.20 แล้วข้าพเจ้าตอบเขาทั้งหลายว่า “พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงให้เรากระทำสำเร็จ และเราทั้งหลายผู้รับใช้ของพระองค์จะลุกขึ้นสร้าง แต่ท่านทั้งหลายไม่มีส่วนหรือสิทธิหรือที่ระลึกในเยรูซาเล็ม”
นหม 3.1 แล้วเอลียาชีบมหาปุโรหิตได้ลุกขึ้นพร้อมกับพี่น้องของท่าน บรรดาปุโรหิต และเขาทั้งหลายได้สร้างประตูแกะ เขาได้ทำพิธีชำระให้บริสุทธิ์และได้ตั้งบานประตู เขาทั้งหลายได้ทำพิธีชำระให้บริสุทธิ์จนถึงหอคอยเมอาห์ไกลไปจนถึงหอคอยฮานันเอล
นหม 4.12 ต่อมาเมื่อพวกยิวที่อยู่ใกล้เขาทั้งหลายมาก็ได้บอกเราตั้งสิบครั้งว่า “เขาจะลุกขึ้นมาต่อสู้เราจากที่อยู่ของเขาทุกแห่ง”
นหม 4.14 ข้าพเจ้ามองดู แล้วลุกขึ้นพูดกับขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย กับคนนอกนั้นว่า “อย่ากลัวเขาเลย จงระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและน่าเกรงกลัว และต่อสู้เพื่อพี่น้องของท่าน บุตรชายบุตรสาวของท่าน ภรรยาและเรือนของท่าน”
นหม 9.3 และเขาลุกขึ้นในที่ของเขา และอ่านหนังสือพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาอยู่สามชั่วโมง อีกสามชั่วโมงเขาสารภาพและนมัสการพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลาย
อสธ 7.7 กษัตริย์ทรงลุกขึ้นจากการเลี้ยงเหล้าองุ่นด้วยทรงพระพิโรธ และเสด็จเข้าไปในราชอุทยาน แต่ฮามานยังอยู่เพื่อทูลขอชีวิตจากพระราชินีเอสเธอร์ เพราะท่านเห็นว่ากษัตริย์ทรงมุ่งร้ายต่อท่านแล้ว
อสธ 8.4 กษัตริย์จึงทรงยื่นธารพระกรทองคำแก่พระนางเอสเธอร์ พระนางเอสเธอร์ก็ทรงลุกขึ้นประทับยืนเฝ้ากษัตริย์
โยบ 1.20 แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ
โยบ 7.4 เมื่อข้านอนลง ข้าว่า ‘เมื่อไรหนอข้าจะลุกขึ้น และกลางคืนจะผ่านพ้นไป’ และข้าก็พลิกไปพลิกมาจนรุ่งเช้า
โยบ 14.12 ฉันนั้นแหละ มนุษย์ก็นอนลงและไม่ลุกขึ้นอีก จนท้องฟ้าไม่มีอีก เขาก็ไม่ตื่นขึ้น และปลุกเขาก็ไม่ได้
โยบ 16.8 และพระองค์ได้ให้ข้าเต็มไปด้วยรอยย่นซึ่งสภาพนี้เป็นพยานปรักปรำข้า และความผ่ายผอมของข้าลุกขึ้นปรักปรำข้า มันเป็นพยานใส่หน้าข้า
โยบ 19.18 แม้เด็กๆดูหมิ่นข้า เมื่อข้าลุกขึ้นเขาก็ว่าข้า
โยบ 20.27 ฟ้าสวรรค์จะสำแดงความชั่วช้าของเขา และแผ่นดินโลกจะลุกขึ้นปรักปรำเขา
โยบ 24.14 ฆาตกรลุกขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เขาฆ่าคนยากจนและคนขัดสน และในกลางคืนเขาเป็นเหมือนขโมย
โยบ 24.22 เขาได้ทำลายคนที่มีกำลังด้วยอำนาจของตน เขาลุกขึ้น แล้วไม่มีใครมั่นใจเรื่องชีวิตของตน
โยบ 27.7 ขอให้ศัตรูของข้าเป็นเหมือนคนชั่ว และขอให้ผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าเป็นเหมือนคนอธรรม
โยบ 29.8 คนหนุ่มๆเห็นข้าแล้วก็หลีกไป คนสูงอายุลุกขึ้นยืน
โยบ 30.12 คนหนุ่มลุกขึ้นข้างขวามือของข้า เขาผลักดันเท้าของข้าออกไป เขาเหวี่ยงทางแห่งความพินาศไว้ต่อสู้ข้า
โยบ 31.14 เมื่อพระเจ้าทรงลุกขึ้น แล้วข้าจะทำอะไรได้ เมื่อพระองค์ทรงสอบถาม ข้าจะทูลตอบพระองค์อย่างไร
สดด 3.1 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ศัตรูของข้าพระองค์ทวีมากขึ้นเหลือเกิน คู่อริมากมายเหล่านี้กำลังลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์
สดด 3.7 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ โปรดทรงลุกขึ้น โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้น เพราะพระองค์ทรงตบแก้มศัตรูทั้งหลายของข้าพระองค์ และทรงทุบฟันของคนอธรรมทั้งปวง
สดด 7.6 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอพระองค์ทรงลุกขึ้นด้วยพระพิโรธของพระองค์ ขอทรงขึ้นสู้ความเกรี้ยวกราดของศัตรูของข้าพระองค์ ขอทรงตื่นขึ้นเพื่อทำการพิพากษาที่พระองค์ทรงกำหนดแล้ว
สดด 9.19 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลุกขึ้น อย่าให้มนุษย์มีชัยได้ แต่ให้บรรดาประชาชาติถูกพิพากษาในสายพระเนตรของพระองค์ทั้งสิ้น
สดด 10.12 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลุกขึ้น โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงชูพระหัตถ์ของพระองค์ขึ้น ขออย่าทรงลืมคนที่ถ่อมตัวลง
สดด 12.5 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราจะลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ เพราะคนยากจนถูกบีบบังคับ และคนขัดสนคร่ำครวญ เราจะจัดเขาไว้ในที่ปลอดภัยจากคนที่พ่นความร้ายใส่เขา”
สดด 17.13 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลุกขึ้นปะทะเขาไว้ และคว่ำเขาลงเสีย ขอทรงช่วยชีวิตของข้าพระองค์ให้พ้นจากคนชั่วด้วยดาบของพระองค์
สดด 18.38 ข้าพระองค์ได้แทงเขาทะลุ เขาจึงไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก เขาล้มลงที่ใต้เท้าของข้าพระองค์
สดด 18.39 เพราะพระองค์ทรงเอากำลังคาดเอวข้าพระองค์ไว้เพื่อทำสงคราม พระองค์ทรงกระทำให้พวกที่ลุกขึ้นต่อสู้กับข้าพระองค์สยบลงอย่างราบคาบ
สดด 18.48 ผู้ทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากศัตรู พระเจ้าข้า พระองค์ทรงยกข้าพระองค์ขึ้นเหนือพวกที่ลุกขึ้นต่อสู้กับข้าพระองค์ พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคนทารุณโหดร้าย
สดด 20.8 เขาทั้งหลายจะล้มพับลงไป แต่เราจะลุกขึ้นยืนตรงอยู่
สดด 27.12 ขออย่าทรงมอบข้าพระองค์ไว้กับปฏิปักษ์ให้เขาทำตามใจชอบ เพราะพยานเท็จได้ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์ และเขาหายใจออกมาเป็นความทารุณ
สดด 35.2 ขอทรงถือโล่และดั้ง และทรงลุกขึ้นช่วยข้าพระองค์
สดด 35.11 มีพยานเท็จลุกขึ้น เขาฟ้องสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่ทราบ
สดด 36.12 แล้วคนกระทำความชั่วช้าก็ล้มอยู่ที่นั่น เขาถูกผลักลง ลุกขึ้นอีกไม่ได้
สดด 44.5 ข้าพระองค์ทั้งหลายดันศัตรูออกไปโดยพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเหยียบคนที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ลงด้วยพระนามของพระองค์
สดด 44.26 ลุกขึ้นเถิด พระเจ้าข้า ขอเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงไถ่ข้าพระองค์ไว้เพื่อเห็นแก่ความเมตตาของพระองค์
สดด 54.3 เพราะคนแปลกหน้าได้ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์ ผู้บีบบังคับเสาะหาชีวิตของข้าพระองค์ เขามิได้ตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าเขา เซลาห์
สดด 59.1 โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากศัตรูของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยป้องกันข้าพระองค์ให้พ้นจากบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์
สดด 68.1 ขอพระเจ้าทรงลุกขึ้น ให้ศัตรูของพระองค์กระจายไป ให้บรรดาผู้ที่เกลียดชังพระองค์หนีไปต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
สดด 74.22 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้น สู้คดีของพระองค์ ขอทรงระลึกว่าคนโง่เย้ยพระองค์อยู่วันยังค่ำ
สดด 74.23 ขออย่าทรงลืมเสียงของคู่อริของพระองค์ เสียงอึงคะนึงของคนที่ลุกขึ้นสู้พระองค์ก็เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ
สดด 78.6 เพื่อชั่วอายุรุ่นต่อไปจะทราบเรื่องคือลูกหลานที่จะเกิดมา และที่จะลุกขึ้นบอกลูกหลานของเขา
สดด 82.8 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้นพิพากษาแผ่นดินโลก เพราะบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นจะเป็นมรดกของพระองค์
สดด 86.14 โอ ข้าแต่พระเจ้า คนหยิ่งยโสได้ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ หมู่คนทารุณเสาะหาชีวิตข้าพระองค์ เขามิได้ประดิษฐานพระองค์ไว้ตรงหน้าเขา
สดด 88.10 พระองค์จะทรงกระทำการมหัศจรรย์เพื่อคนตายหรือ ชาวแดนผู้ตายจะลุกขึ้นสรรเสริญพระองค์ได้หรือ เซลาห์
สดด 92.11 นัยน์ตาของข้าพระองค์จะเห็นความปรารถนาของข้าพระองค์ต่อพวกศัตรูของข้าพระองค์นั้นสำเร็จ หูของข้าพระองค์จะได้ยินถึงความปรารถนาของข้าพระองค์ต่อคนชั่วที่ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์นั้นสำเร็จ
สดด 94.2 ข้าแต่ผู้พิพากษาโลก ขอทรงลุกขึ้น ให้คนโอหังได้รับผลสนองอันสมกับเขา
สดด 94.16 ผู้ใดจะลุกขึ้นต่อต้านคนกระทำความชั่วแทนข้าพเจ้า ผู้ใดจะยืนต่อสู้คนกระทำความชั่วช้าแทนข้าพเจ้า
สดด 102.13 พระองค์จะทรงลุกขึ้นเมตตาศิโยน เพราะถึงเวลาที่จะทรงพระกรุณาเธอ เออ เวลากำหนดมาถึงแล้ว
สดด 109.28 ให้เขาแช่งไป แต่ขอพระองค์ทรงอำนวยพระพร เมื่อเขาลุกขึ้น ขอให้เขาได้อาย แต่ขอให้ผู้รับใช้ของพระองค์ยินดี
สดด 119.62 พอเที่ยงคืน ข้าพระองค์จะลุกขึ้นโมทนาพระคุณพระองค์เนื่องด้วยคำตัดสินอันชอบธรรมของพระองค์
สดด 124.2 “ถ้าพระเยโฮวาห์มิได้ทรงสถิตฝ่ายพวกเรา เมื่อคนลุกขึ้นต่อสู้เรา
สดด 127.2 เป็นการเหนื่อยเปล่าที่ท่านลุกขึ้นแต่เช้ามืด นอนดึก และกินอาหารแห่งความเศร้าโศก เพราะพระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักของพระองค์ให้หลับสบาย
สดด 132.8 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลุกขึ้นเสด็จไปยังที่พำนักของพระองค์ ทั้งพระองค์และหีบแห่งอานุภาพของพระองค์
สดด 139.2 เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกล
สดด 139.21 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์มิได้เกลียดผู้ที่เกลียดพระองค์หรือ และข้าพระองค์มิได้สะอิดสะเอียนคนเหล่านั้นผู้ลุกขึ้นต่อสู้พระองค์ดอกหรือ
สดด 140.10 ขอให้ถ่านที่ลุกอยู่ตกใส่เขา ขอให้เขาถูกทิ้งในไฟลงไปในบ่อ ไม่ให้ลุกขึ้นมาอีก
สดด 145.14 พระเยโฮวาห์ทรงชูทุกคนที่กำลังจะล้มลง และทรงยกทุกคนที่โน้มตัวลงให้ลุกขึ้น
สดด 146.8 พระเยโฮวาห์ทรงเบิกตาของคนตาบอด พระเยโฮวาห์ทรงยกคนที่ตกต่ำให้ลุกขึ้น พระเยโฮวาห์ทรงรักคนชอบธรรม
สภษ 6.9 โอ คนเกียจคร้านเอ๋ย เจ้าจะนอนนานเท่าใด เมื่อไรเจ้าจะลุกขึ้นจากหลับ
สภษ 24.16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก แต่คนชั่วร้ายจะตกอยู่ในอาการร้าย
สภษ 31.15 เธอลุกขึ้นตั้งแต่ยังมืดอยู่และจัดอาหารให้ครัวเรือนของเธอ และจัดส่วนแบ่งให้แก่สาวใช้ของเธอ
ปญจ 4.10 ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พะยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง เพราะไม่มีผู้อื่นพะยุงยกเขาให้ลุกขึ้น
ปญจ 12.4 และประตูคู่ที่เปิดออกถนนจะปิดเสีย เมื่อเสียงโม่อ่อยลง เมื่อมีเสียงนก เขาจะลุกขึ้น และบรรดานักร้องสตรีจะย่อตัวลง
พซม 2.10 ที่รักของดิฉันได้เอ่ยปากพูดกับดิฉันว่า “ที่รักของฉันเอ๋ย เธอจงลุกขึ้นเถอะ คนสวยงามของฉันเอ๋ย จงมาเถิด
พซม 2.13 ต้นมะเดื่อกำลังบ่มผลดิบให้สุก และเถาองุ่นมีดอกบานอยู่มันส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ที่รักของฉันเอ๋ย จงลุกขึ้นเถอะ คนสวยงามของฉันเอ๋ย จงมาเถิด
พซม 3.2 “บัดนี้ดิฉันจะลุกขึ้น แล้วจะเที่ยวไปในเมืองให้ตลอดไป ตามถนนและลานเมือง ดิฉันจะแสวงหาเขาผู้นั้นที่ดวงใจของดิฉันรักใคร่” ดิฉันมองหาเขา แต่หาได้พบไม่
พซม 5.5 ดิฉันลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ที่รักของดิฉัน และมือของดิฉันทำให้มดยอบหยด และนิ้วของดิฉันทำให้น้ำมดยอบย้อยบนลูกสลักกลอน
อสย 2.19 และคนจะเข้าไปในถ้ำหินและในโพรงดินให้พ้นจากความน่าเกรงขามของพระเยโฮวาห์ และจากสง่าราศีแห่งความโอ่อ่าตระการของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นกระทำให้โลกสั่นสะท้าน
อสย 2.21 เพื่อเขาจะเข้าถ้ำหินและเข้าซอกผา ให้พ้นจากความน่าเกรงขามของพระเยโฮวาห์ และจากสง่าราศีแห่งความโอ่อ่าตระการของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นกระทำให้โลกสั่นสะท้าน
อสย 5.11 วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่ลุกขึ้นแต่เช้ามืด เพื่อวิ่งไปตามเมรัย ผู้เฉื่อยแฉะอยู่จนดึก จนเหล้าองุ่นทำให้เขาเมาหยำเป
อสย 14.9 นรกเบื้องล่างก็ตื่นเต้นเพื่อต้อนรับเจ้าเมื่อเจ้ามา มันปลุกให้ชาวแดนคนตายมาต้อนรับเจ้า คือบรรดาผู้ซึ่งเคยเป็นผู้นำของโลก มันทำให้บรรดาผู้ที่เคยเป็นกษัตริย์แห่งประชาชาติทั้งหลายลุกขึ้นมาจากพระที่นั่งของเขา
อสย 14.21 จงเตรียมสังหารลูกๆของเขาเถิด เพราะความชั่วช้าแห่งบิดาของเขา เกรงว่าเขาทั้งหลายจะลุกขึ้นเป็นเจ้าของแผ่นดิน และกระทำให้พื้นโลกเต็มไปด้วยหัวเมือง’”
อสย 14.22 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “เพราะเราจะลุกขึ้นสู้กับเขา และจะตัดชื่อกับคนที่เหลืออยู่และลูกหลานออกจากบาบิโลน” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อสย 21.5 จงเตรียมสำรับไว้ จงเฝ้าอยู่บนหอคอย จงกิน จงดื่ม เจ้านายทั้งหลายเอ๋ย จงลุกขึ้นชโลมโล่ไว้ด้วยน้ำมัน
อสย 23.12 และพระองค์ตรัสว่า “โอ ธิดาพรหมจารีผู้ถูกบีบบังคับแห่งไซดอนเอ๋ย เจ้าจะไม่ลิงโลดต่อไปอีก จงลุกขึ้นข้ามไปคิทธิมเถิด แม้ที่นั่นเจ้าก็จะไม่มีความสงบ”
อสย 26.19 คนตายของพระองค์จะมีชีวิต ศพของเขาทั้งหลายจะลุกขึ้นพร้อมกับศพของข้าพระองค์ ผู้อาศัยอยู่ในผงคลีเอ๋ย จงตื่นเถิดและร้องเพลง เพราะน้ำค้างของเจ้าเป็นเหมือนน้ำค้างบนผัก และแผ่นดินโลกจะให้ชาวแดนคนตายเป็นขึ้น
อสย 28.21 เพราะว่าพระเยโฮวาห์จะทรงลุกขึ้นอย่างที่บนภูเขาเปริซิม พระองค์จะพระพิโรธอย่างที่ในหุบเขากิเบโอน เพื่อกระทำพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์นั้นประหลาด และเพื่อกระทำงานของพระองค์ งานของพระองค์ก็แปลก
อสย 31.2 แต่ถึงกระนั้น พระองค์ยังทรงเฉลียวฉลาดและจะนำภัยพิบัติมาให้ พระองค์จะมิได้ทรงเรียกพระวจนะของพระองค์คืนมา แต่จะทรงลุกขึ้นต่อสู้กับวงศ์วานผู้กระทำความผิด และต่อสู้กับผู้ช่วยเหลือของคนเหล่านั้นที่กระทำความชั่วช้า
อสย 32.9 หญิงทั้งหลายที่อยู่อย่างสบายเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด และฟังเสียงของข้าพเจ้า ท่านบุตรสาวที่ไม่ระมัดระวังเอ๋ย จงเงี่ยหูฟังคำพูดของข้าพเจ้า
อสย 33.3 เมื่อได้ยินเสียงกัมปนาท ชนชาติทั้งหลายหนีไป พระองค์ทรงลุกขึ้น บรรดาประชาชาติก็กระจัดกระจายไป
อสย 33.10 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “บัดนี้เราจะลุกขึ้น บัดนี้เราจะเป็นที่ยกย่อง บัดนี้เราจะเป็นที่เชิดชู
อสย 37.36 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์จึงได้ออกไป และได้ประหารคนในค่ายแห่งคนอัสซีเรียเสียหนึ่งแสนแปดหมื่นห้าพันคน และเมื่อคนลุกขึ้นในเวลาเช้ามืด ดูเถิด พวกเหล่านั้นเป็นศพทั้งนั้น
อสย 43.17 ผู้ทรงนำรถรบและม้า กองทัพ และอานุภาพออกมา เขาทั้งหลายนอนลงด้วยกันและลุกขึ้นไม่ได้ เขาทั้งหลายสูญไปและดับเสียเหมือนไส้ตะเกียง ตรัสดังนี้ว่า
อสย 47.13 เจ้าเหน็ดเหนื่อยกับที่ปรึกษาเป็นอันมากของเจ้า ให้เขาลุกขึ้นออกมาและช่วยเจ้าให้รอด คือบรรดาผู้ที่แบ่งฟ้าสวรรค์และเพ่งดูดวงดาว ผู้ซึ่งทำนายให้เจ้าในวันขึ้นค่ำว่า จะเกิดอะไรขึ้นแก่เจ้า
อสย 52.2 โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย จงสลัดตัวจากผงคลี จงลุกขึ้น และนั่งลง โอ ธิดาแห่งศิโยนที่เป็นเชลยเอ๋ย จงแก้พันธนะออกจากคอของเจ้า
อสย 54.17 ไม่มีอาวุธใดที่สร้างเพื่อต่อสู้เจ้าจะจำเริญได้ และเจ้าจะปรับโทษลิ้นทุกลิ้นที่ลุกขึ้นต่อสู้เจ้าในการพิพากษา นี่เป็นมรดกของบรรดาผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ และความชอบธรรมของเขามาจากเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้
อสย 60.1 “จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ขึ้นมาเหนือเจ้า
ยรม 1.17 เพราะฉะนั้นส่วนเจ้าจงคาดเอวของเจ้าไว้ จงลุกขึ้นและบอกทุกอย่างที่เราบัญชาเจ้าไว้นั้นให้เขาฟัง อย่าสะดุ้งกลัวเพราะหน้าเขาเลย เกรงว่าเราจะทำให้เจ้าหงอต่อหน้าเขาทั้งหลาย
ยรม 2.27 ผู้กล่าวแก่ลำต้นว่า ‘ท่านเป็นบิดาของข้าพเจ้า’ และกล่าวแก่ศิลาว่า ‘ท่านคลอดข้าพเจ้ามา’ เพราะเขาทั้งหลายได้หันหลังให้แก่เรา มิใช่หันหน้ามาให้ แต่เมื่อถึงเวลาลำบากเขาจะกล่าวว่า ‘ขอทรงลุกขึ้นช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด’
ยรม 2.28 แต่บรรดาพระของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า ซึ่งเป็นพระที่เจ้าสร้างไว้สำหรับตัวเอง ถ้ามันช่วยเจ้าให้รอดได้ ก็ให้มันลุกขึ้นช่วย เมื่อถึงเวลาลำบากของเจ้า โอ ยูดาห์เอ๋ย เจ้ามีหัวเมืองมากเท่าใด เจ้าก็มีพระมากเท่านั้น”
ยรม 6.4 “จงเตรียมทำสงครามกับเธอ ลุกขึ้น ให้เราโจมตีเวลาเที่ยงวัน” “วิบัติแก่พวกเรา เพราะว่ากลางวันคล้อยเสียแล้ว เงาของเวลาเย็นก็ยาวออกไป”
ยรม 6.5 “ลุกขึ้น ให้เราเข้าตีเวลากลางคืน และทำลายบรรดาวังของเธอเสีย”
ยรม 8.4 เจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เมื่อมนุษย์ล้มลง เขาจะไม่ลุกขึ้นอีกหรือ ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดหันไป เขาจะไม่หันกลับมาหรือ
ยรม 13.4 “จงเอาผ้าคาดเอวซึ่งเจ้าได้ซื้อมา ซึ่งอยู่ที่เอวของเจ้า และจงลุกขึ้นไปยังแม่น้ำยูเฟรติส แล้วซ่อนผ้านั้นไว้ในซอกหินแห่งหนึ่ง”
ยรม 13.6 ต่อมาอีกหลายวันพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นไปยังแม่น้ำยูเฟรติส และเอาผ้าคาดเอวซึ่งเราได้สั่งเจ้าให้ซ่อนไว้ที่นั่นนั้นมาเสียจากที่นั่น”
ยรม 18.2 “จงลุกขึ้นไปที่บ้านของช่างหม้อ เราจะให้เจ้าได้ยินถ้อยคำของเราที่นั่น”
ยรม 25.27 “แล้วเจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงดื่มให้เมาแล้วก็อาเจียน จงล้มลงและอย่าลุกขึ้นอีกเลย เนื่องด้วยดาบซึ่งเราจะส่งมาท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย’
ยรม 26.17 และผู้ใหญ่บางคนแห่งแผ่นดินนั้นก็ลุกขึ้นพูดกับประชาชนทั้งสิ้นที่ประชุมกันอยู่ว่า
ยรม 31.6 เพราะว่าจะมีวันเมื่อคนเฝ้ายามที่อยู่บนแดนเทือกเขาเอฟราอิมจะร้องเรียกว่า ‘จงลุกขึ้น ให้เราไปยังศิโยนเถิด ไปเฝ้าพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเรา’”
ยรม 37.10 ถึงแม้ว่าเจ้ากระทำให้กองทัพทั้งสิ้นของคนเคลเดียที่กำลังต่อสู้เจ้าให้พ่ายแพ้ และมีเหลือแต่คนที่บาดเจ็บเท่านั้น เขาทั้งหลายจะลุกขึ้น ทุกคนในเต็นท์ของเขา และเผากรุงนี้เสียด้วยไฟ’”
ยรม 41.2 แล้วอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์กับคนทั้งสิบที่อยู่กับเขาก็ได้ลุกขึ้นฆ่าเกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัม ผู้เป็นบุตรชายชาฟาน ผู้ที่กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการที่แผ่นดินนั้นเสียด้วยดาบจนตาย
ยรม 44.4 อย่างไรก็ดีเราได้ใช้บรรดาผู้รับใช้ของเราคือผู้พยากรณ์ไปหาเจ้าโดยได้ลุกขึ้นแต่เนิ่นๆ และใช้เขาไปกล่าวว่า ‘โอ อย่ากระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ ซึ่งเราเกลียดชัง’
ยรม 46.16 พระองค์ทรงทำให้คนเป็นอันมากสะดุด เออ เขาล้มลงกันและกัน และเขาทั้งหลายพูดว่า ‘ลุกขึ้นเถอะ ให้เรากลับไปยังชนชาติของเรา ไปยังแผ่นดินที่เราถือกำเนิด เพราะเรื่องดาบของผู้บีบบังคับ’
ยรม 49.14 ข้าพเจ้าได้ยินข่าวลือจากพระเยโฮวาห์ ทูตคนหนึ่งถูกส่งไปท่ามกลางบรรดาประชาชาติ บอกว่า “จงรวบรวมเจ้าทั้งหลายเข้า และมาต่อสู้เมืองนั้น และลุกขึ้นเพื่อกระทำสงครามเถิด
ยรม 49.28 เกี่ยวด้วยเรื่องคนเคดาร์และราชอาณาจักรฮาโซร์ ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะโจมตี พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า จงลุกขึ้น รุดเข้าไปสู้คนเคดาร์ จงทำลายประชาชนแห่งตะวันออกเสีย
ยรม 49.31 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงลุกขึ้น รุดหน้าไปสู้ประชาชาติหนึ่งที่มั่งมี ซึ่งอาศัยอยู่อย่างมั่นคง ไม่มีประตูเมืองและไม่มีดาลประตู อยู่แต่ลำพัง
ยรม 51.1 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะปลุกกระแสลมแห่งการทำลาย ต่อสู้กับบาบิโลน และต่อสู้กับคนที่อาศัยท่ามกลางพวกที่ลุกขึ้นสู้กับเรา
ยรม 51.3 อย่าให้นักธนูโก่งคันธนูได้ อย่าให้เขาสวมเสื้อเกราะลุกขึ้นได้ อย่าไว้ชีวิตคนหนุ่มๆของเธอเลย จงทำลายพลโยธาของเธอทั้งหมด
พคค 2.19 จงลุกขึ้นร้องไห้ในกลางคืน ในต้นยามจงระบายความในใจของเจ้าออกอย่างน้ำตรงพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า จงชูมือทั้งสองของเจ้าขึ้นตรงไปยังพระองค์เพื่อขอชีวิตของบรรดาลูกเล็กเด็กแดงของเจ้า ที่หิวจนเป็นลมสลบไป ตามหัวถนนหนทางทุกแห่ง
อสค 3.22 ณ ที่นั่นพระหัตถ์แห่งพระเยโฮวาห์ได้มาอยู่เหนือข้าพเจ้า และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นออกไปยังที่ราบ และเราจะพูดกับเจ้าที่นั่น”
อสค 3.23 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นออกไปยังที่ราบ และดูเถิด สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็อยู่ที่นั่นอย่างเดียวกับสง่าราศีซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน
ดนล 3.24 ขณะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประหลาดพระทัยทรงลุกขึ้นโดยฉับพลัน พระองค์ตรัสกับองคมนตรีของพระองค์ว่า “เรามัดสามคนโยนเข้าไปกลางไฟมิใช่หรือ” เขาทูลตอบกษัตริย์ว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ จริงพระเจ้าข้า”
ดนล 6.19 พอเช้าตรู่ กษัตริย์ก็ลุกขึ้นรีบเสด็จไปยังถ้ำสิงโต
ดนล 7.5 และดูเถิด มีสัตว์อีกตัวหนึ่งเป็นตัวที่สองเหมือนหมี มันขยับตัวข้างหนึ่งขึ้น มีกระดูกซี่โครงสามซี่อยู่ในปากของมันระหว่างซี่ฟัน มีเสียงบอกมันว่า ‘จงลุกขึ้นกินเนื้อให้มากๆ’
ดนล 8.25 ด้วยความฉลาดของท่าน ท่านจะกระทำให้การล่อลวงแพร่หลายขึ้นด้วยน้ำมือของท่าน ท่านจะพองตัวของท่านในใจของท่านเอง ท่านจะทำลายคนมากหลายโดยความสงบ แล้วจะลุกขึ้นต่อสู้กับจอมเจ้านาย แต่ท่านจะต้องถูกหักทำลาย ไม่ใช่ด้วยมือเลย
ดนล 8.27 และข้าพเจ้าดาเนียลก็อ่อนเพลีย และนอนเจ็บอยู่หลายวัน แล้วข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นไปปฏิบัติราชการของกษัตริย์ต่อไป แต่ข้าพเจ้าก็งงงันโดยนิมิตนั้น และไม่เข้าใจเรื่องราวเลย
ดนล 12.1 “ในครั้งนั้น มีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น และจะมีเวลายากลำบากอย่างไม่เคยมีมาตั้งแต่ครั้งมีประชาชาติจนถึงสมัยนั้น แต่ในครั้งนั้นชนชาติของท่านจะรับการช่วยให้พ้น คือทุกคนที่มีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือ
อมส 5.2 “พรหมจารีอิสราเอลล้มลงแล้ว และเธอจะไม่ลุกขึ้นอีก เธอถูกทิ้งไว้บนแผ่นดินของเธอ ไม่มีผู้ใดพยุงเธอขึ้นอีก”
อมส 7.9 สถานที่อันสูงทั้งหลายของอิสอัคจะรกร้างไป และสถานบริสุทธิ์ทั้งหลายของอิสราเอลจะถูกทิ้งไว้เสียเปล่า และเราจะลุกขึ้นต่อสู้วงศ์วานเยโรโบอัมด้วยดาบ”
อมส 8.14 บรรดาผู้ที่ปฏิญาณโดยความบาปแห่งสะมาเรีย และกล่าวว่า ‘โอ ดานเอ๋ย พระของท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด’ และว่า ‘พระมรรคาของเบเออร์เชบามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด’ เขาเหล่านี้จะล้มลง และจะไม่ลุกขึ้นอีกเลย”
อบด 1.1 นิมิตของโอบาดีห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสเกี่ยวด้วยเรื่องเอโดมดังนี้ว่า เราได้ยินข่าวลือจากพระเยโฮวาห์ ทูตคนหนึ่งถูกส่งไปท่ามกลางบรรดาประชาชาติให้พูดว่า “จงลุกขึ้นเถิด ให้เราลุกไปทำสงครามกับเมืองเอโดม”
ยนา 1.2 “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และร้องกล่าวโทษชาวเมืองนั้น เหตุความชั่วของเขาทั้งหลายได้ขึ้นมาเบื้องหน้าเราแล้ว”
ยนา 1.3 แต่โยนาห์ได้ลุกขึ้นหนีไปยังเมืองทารชิชจากพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ท่านได้ลงไปยังเมืองยัฟฟา และพบกำปั่นลำหนึ่งกำลังไปเมืองทารชิช ดังนั้นท่านจึงชำระค่าโดยสาร และขึ้นเรือเดินทางร่วมกับเขาทั้งหลายไปยังเมืองทารชิชให้พ้นจากพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ยนา 1.6 นายเรือจึงมาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า “โอ เจ้าคนขี้เซาเอ๋ย อย่างไรกันนี่ ลุกขึ้นซิ จงร้องขอต่อพระเจ้าของเจ้า ชะรอยพระเจ้านั้นจะทรงระลึกถึงพวกเราบ้าง เราจะได้ไม่พินาศ”
ยนา 3.2 “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า”
ยนา 3.3 ดังนั้นโยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ฝ่ายนีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมากทีเดียว ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน
ยนา 3.6 กิตติศัพท์นี้ลือไปถึงกษัตริย์นครนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออกเสีย ทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า
มคา 2.8 ในตอนหลังๆนี้ประชาชนของเราลุกขึ้นต่อสู้อย่างกับเป็นศัตรู เจ้าริบเอาเสื้อคลุมกับเสื้อผ้าจากผู้ที่ผ่านไปโดยไว้วางใจ ด้วยไม่นึกฝันว่าจะมีสงคราม
มคา 2.10 จงลุกขึ้นและจากไป เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่พักของเจ้า เพราะความไม่สะอาดซึ่งจะทำลายเจ้า ด้วยความพินาศอย่างทุกข์ระทม
มคา 4.13 โอ บุตรสาวศิโยนเอ๋ย จงลุกขึ้นและนวดเถิด เพราะว่าเราจะทำเขาของเจ้าให้เป็นเหล็ก และกีบเท้าของเจ้าให้เป็นทองสัมฤทธิ์ และเจ้าจะตีชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากให้เป็นชิ้นๆ และเราจะมอบสิ่งที่ได้มาถวายแด่พระเยโฮวาห์ มอบสมบัติของเขาทั้งหลายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพิภพจบสิ้น
มคา 6.1 จงฟังสิ่งที่พระเยโฮวาห์ตรัส จงลุกขึ้น แถลงคดีของเจ้าต่อหน้าภูเขาทั้งหลาย จงให้เนินเขาฟังเสียงของเจ้า
มคา 7.6 เพราะว่าลูกชายดูหมิ่นพ่อ และลูกสาวลุกขึ้นต่อสู้แม่ของเธอ ลูกสะใภ้ต่อสู้แม่สามี ศัตรูของใครๆก็คือคนที่อยู่ร่วมเรือนของเขาเอง
มคา 7.8 โอ ศัตรูของข้าพเจ้าเอ๋ย อย่าเปรมปรีดิ์เย้ยข้าพเจ้าเลย เมื่อข้าพเจ้าล้มลง ข้าพเจ้าจะลุกขึ้นอีก เมื่อข้าพเจ้านั่งอยู่ในความมืด พระเยโฮวาห์จะทรงเป็นความสว่างแก่ข้าพเจ้า
ฮบก 2.7 ลูกหนี้ของเจ้าจะไม่ลุกขึ้นมาในปัจจุบันทันด่วนหรือ และผู้ใดที่กระทำให้เจ้าตัวสั่นจะไม่ตื่นขึ้นหรือ แล้วเจ้าก็จะถูกเขาริบบ้างละ
ฮบก 2.19 วิบัติแก่ผู้ที่กล่าวแก่สิ่งที่ทำด้วยไม้ว่า ‘จงตื่นเถิด’ แก่หินใบ้ว่า ‘จงลุกขึ้นเถิด’ สิ่งนี้สั่งสอนอะไรได้หรือ ดูเถิด สิ่งนั้นกะไหล่ทองคำหรือเงิน แต่ไม่มีลมหายใจในสิ่งนั้นเลย
ศฟย 3.8 พระเยโฮวาห์จึงตรัสว่า “เพราะฉะนั้นจงคอยเรา คอยวันที่เราลุกขึ้นเพื่อทำการปล้น เพราะการตกลงใจของเราก็คือจะรวมประชาชาติ ให้ราชอาณาจักรชุมนุมกัน เพื่อเทความกริ้วของเราบนเขาทั้งหลาย คือความร้อนแรงแห่งความโกรธของเรา เพราะว่าพิภพทั้งสิ้นจะถูกเผาผลาญในไฟแห่งความหวงแหนของเรา
มธ 2.13 ครั้นเขาไปแล้ว ดูเถิด ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมารเพื่อจะประหารชีวิตเสีย”
มธ 2.14 ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์
มธ 2.20 สั่งว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะคนเหล่านั้นที่แสวงหาชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว”
มธ 2.21 โยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล
มธ 8.15 พระองค์ทรงถูกต้องมือนาง ไข้นั้นก็หาย นางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติเขาทั้งหลาย
มธ 8.26 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เหตุไฉนเจ้าจึงหวาดกลัว โอ เจ้าผู้มีความเชื่อน้อย” แล้วพระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและทะเล คลื่นลมก็สงบเงียบทั่วไป
มธ 9.5 ที่จะว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
มธ 9.6 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” (พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า) “จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด”
มธ 9.7 เขาจึงลุกขึ้นไปบ้านของตน
มธ 9.9 ครั้นพระเยซูเสด็จเลยที่นั่นไป ก็ทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
มธ 9.19 ฝ่ายพระเยซูจึงทรงลุกขึ้นเสด็จตามเขาไป และพวกสาวกของพระองค์ก็ตามไปด้วย
มธ 9.25 แต่เมื่อทรงขับฝูงคนออกไปแล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้าไปจับมือเด็กหญิง และเด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้น
มธ 12.41 ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษเขา ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเสียใหม่เพราะคำประกาศของโยนาห์ และดูเถิด ผู้เป็นใหญ่กว่าโยนาห์อยู่ที่นี่
มธ 12.42 นางกษัตริย์ฝ่ายทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษเขา ด้วยว่าพระนางนั้นได้มาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และดูเถิด ผู้เป็นใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่
มธ 17.7 พระเยซูจึงเสด็จมาถูกต้องเขาแล้วตรัสว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย”
มธ 24.7 เพราะประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อสู้ราชอาณาจักร ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและโรคระบาดอย่างร้ายแรงและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ
มธ 25.7 บรรดาหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน
มธ 26.46 ลุกขึ้นไปกันเถิด ดูเถิด ผู้ที่จะทรยศเรามาใกล้แล้ว”
มธ 26.62 มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า “ท่านจะไม่ตอบอะไรหรือ คนเหล่านี้เป็นพยานปรักปรำท่านด้วยเรื่องอะไร”
มก 1.35 ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น
มก 2.9 ที่จะว่ากับคนอัมพาตว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
มก 2.11 “เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกแคร่ไปบ้านของเจ้าเถิด”
มก 2.12 ทันใดนั้นคนอัมพาตได้ลุกขึ้นแล้วก็ยกแคร่เดินออกไปต่อหน้าคนทั้งปวง คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “เราไม่เคยเห็นการเช่นนี้เลย”
มก 2.14 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จไปนั้น พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นเลวีบุตรชายอัลเฟอัสนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี จึงตรัสแก่เขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
มก 5.41 พระองค์จึงจับมือเด็กหญิงนั้นตรัสแก่เขาว่า “ทาลิธา คูมิ” แปลว่า “เด็กหญิงเอ๋ย เราว่าแก่เจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด”
มก 5.42 ในทันใดนั้นเด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้นเดิน เพราะว่าเด็กนั้นอายุได้สิบสองปี คนทั้งปวงก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง
มก 7.24 พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน แล้วเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่งประสงค์จะมิให้ผู้ใดรู้ แต่พระองค์จะซ่อนอยู่มิได้
มก 10.1 ฝ่ายพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จจากที่นั่น เข้าในเขตแดนแคว้นยูเดีย ไปตามทางแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น และประชาชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์จึงตรัสสั่งสอนเขาอีกตามที่พระองค์ทรงเคยสอนนั้น
มก 10.49 พระเยซูทรงหยุดประทับยืนอยู่ แล้วตรัสสั่งให้เรียกคนนั้นมา เขาจึงเรียกคนตาบอดนั้นว่าแก่เขาว่า “จงชื่นใจและลุกขึ้นเถิด พระองค์ทรงเรียกเจ้า”
มก 10.50 คนนั้นก็ทิ้งผ้าห่มเสียลุกขึ้นมาหาพระเยซู
มก 13.8 เพราะประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อสู้ราชอาณาจักร ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ และจะเกิดกันดารอาหารและความทุกข์ยาก เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก
มก 14.42 ลุกขึ้นไปกันเถิด ดูเถิด ผู้ที่จะทรยศเรามาใกล้แล้ว”
มก 14.60 มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นยืนท่ามกลางที่ชุมนุมถามพระเยซูว่า “ท่านไม่ตอบอะไรบ้างหรือ ซึ่งเขาเบิกความปรักปรำท่านนั้นจะว่าอย่างไร”
ลก 4.29 จึงลุกขึ้นผลักพระองค์ออกจากเมือง พาไปยังแง่ของเงื้อมเขาที่เมืองของเขา ซึ่งตั้งอยู่บนเนินนั้น หมายจะผลักพระองค์ลงไป
ลก 4.38 ฝ่ายพระองค์ทรงลุกขึ้นออกจากธรรมศาลา เสด็จเข้าไปในเรือนของซีโมน แม่ยายซีโมนป่วยเป็นไข้หนัก เขาทั้งหลายจึงอ้อนวอนพระองค์ให้ช่วยหญิงนั้น
ลก 4.39 พระองค์ทรงยืนอยู่ข้างคนเจ็บ ทรงห้ามไข้ ไข้ก็หาย และในทันใดนั้นแม่ยายของซีโมนก็ลุกขึ้นปรนนิบัติเขาทั้งหลาย
ลก 5.23 ที่จะว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
ลก 5.24 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีฤทธิ์อำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” (พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า) “เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกที่นอนไปบ้านของเจ้าเถิด”
ลก 5.25 ในทันใดนั้น เขาจึงลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวง ยกที่นอนซึ่งเขาได้นอนนั้น กลับไปบ้านของตน พลางร้องสรรเสริญพระเจ้า
ลก 5.28 เขาก็ละทิ้งสิ่งสารพัด ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
ลก 6.8 แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสแก่คนมือลีบนั้นว่า “จงลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างหน้า” เขาก็ลุกขึ้นยืน
ลก 7.14 แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ถูกต้องโลง คนหามศพนั้นก็หยุดยืนอยู่ พระองค์จึงตรัสว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย เราสั่งเจ้าว่า ลุกขึ้นเถิด”
ลก 7.15 คนที่ตายนั้นก็ลุกขึ้นนั่งเริ่มพูด พระองค์จึงทรงมอบชายหนุ่มให้แก่มารดาของเขา
ลก 8.54 ฝ่ายพระองค์ทรงไล่คนทั้งหมดออกไป แล้วทรงจับมือเด็กนั้น ตรัสว่า “ลูกเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด”
ลก 8.55 แล้วจิตวิญญาณก็กลับเข้าในเด็กนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันที พระองค์จึงตรัสสั่งให้เอาอาหารมาให้เขากิน
ลก 11.7 ฝ่ายมิตรสหายที่อยู่ข้างในจะตอบว่า ‘อย่ารบกวนฉันเลย ประตูก็ปิดเสียแล้ว ทั้งพวกลูกก็นอนร่วมเตียงกับฉันแล้ว ฉันจะลุกขึ้นหยิบให้ท่านไม่ได้’
ลก 11.8 เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นมิตรสหายกัน แต่ว่าเพราะวิงวอนมากเข้า เขาจึงจะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่เขาต้องการ
ลก 11.31 นางกษัตริย์ฝ่ายทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษคนในยุคนี้ ด้วยว่าพระนางนั้นได้มาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และดูเถิด ซึ่งใหญ่กว่าซาโลมอนก็มีอยู่ที่นี่
ลก 11.32 ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษคนในยุคนี้ ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจใหม่เพราะคำประกาศของโยนาห์ และดูเถิด ซึ่งใหญ่กว่าโยนาห์มีอยู่ที่นี่
ลก 13.25 เมื่อเจ้าบ้านลุกขึ้นปิดประตูแล้ว และท่านทั้งหลายเริ่มยืนอยู่ภายนอกเคาะที่ประตูว่า ‘นายเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเถิด’ และเจ้าบ้านนั้นจะตอบท่านทั้งหลายว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าว่าเจ้ามาจากไหน’
ลก 15.18 จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อสวรรค์และทำผิดต่อหน้าท่านด้วย
ลก 15.20 แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา
ลก 17.19 แล้วพระองค์ตรัสกับคนนั้นว่า “จงลุกขึ้นไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ”
ลก 21.10 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “‘ประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อสู้ราชอาณาจักร’
ลก 22.45 เมื่อทรงอธิษฐานเสร็จและลุกขึ้นแล้ว พระองค์เสด็จมาถึงเหล่าสาวก พบเขานอนหลับอยู่ด้วยกำลังทุกข์โศก
ลก 22.46 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “นอนหลับทำไม จงลุกขึ้นอธิษฐานเพื่อท่านจะไม่เข้าในการทดลอง”
ลก 23.1 เขาทั้งปวงจึงลุกขึ้นพาพระองค์ไปหาปีลาต
ลก 24.12 แต่เปโตรลุกขึ้นวิ่งไปถึงอุโมงค์ ก้มลงมองดูก็เห็นแต่ผ้าป่านวางอยู่ต่างหาก แล้วกลับไปคิดพิศวงถึงเหตุการณ์ซึ่งได้เป็นไปนั้น
ลก 24.33 แล้วคนทั้งสองนั้นก็ลุกขึ้นในโมงนั้นเองกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และพบพวกสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมทั้งพรรคพวก
ยน 5.8 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าและเดินไปเถิด”
ยน 8.7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามพระองค์อยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นและตรัสกับเขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีบาป ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน”
ยน 8.10 เมื่อพระเยซูทรงลุกขึ้นแล้ว และมิได้ทอดพระเนตรเห็นผู้ใด เห็นแต่หญิงผู้นั้น พระองค์ตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาที่ฟ้องเจ้าไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ”
ยน 11.29 เมื่อมารีย์ได้ยินแล้ว เธอก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์
ยน 11.31 พวกยิวที่อยู่กับมารีย์ในเรือนและกำลังปลอบโยนเธออยู่ เมื่อเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นและเดินออกไปจึงตามเธอไปพูดกันว่า “เธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์”
ยน 13.4 พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหารเย็น ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวพระองค์ไว้
ยน 14.31 แต่เราได้กระทำตามที่พระบิดาได้ทรงบัญชาเรา เพื่อโลกจะได้รู้ว่าเรารักพระบิดา จงลุกขึ้น ให้เราทั้งหลายไปกันเถิด”
กจ 3.6 เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองข้าพเจ้าไม่มี แต่ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ข้าพเจ้าจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงลุกขึ้นเดินไปเถิด”
กจ 5.6 พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝัง
กจ 5.17 ฝ่ายมหาปุโรหิตและพรรคพวกของท่านก็ลุกขึ้น (คือพวกสะดูสี) มีความโกรธอย่างยิ่ง
กจ 6.9 แต่มีบางคนมาจากธรรมศาลาที่เรียกว่า ธรรมศาลาของพวกลิเบระติน มีทั้งชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดอร์ กับบางคนจากซิลีเซียและเอเชีย ได้ลุกขึ้นพากันมาไล่เลียงกับสเทเฟน
กจ 8.26 แต่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้นไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา ซึ่งเป็นทางป่าทราย”
กจ 8.27 ฝ่ายฟีลิปก็ลุกขึ้นไป และดูเถิด มีชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสี พระราชินีของชาวเอธิโอเปีย และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีนั้น ได้มานมัสการในกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 9.6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าจะต้องทำประการใด จะมีคนบอกให้รู้”
กจ 9.8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
กจ 9.11 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในบ้านของยูดาส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่
กจ 9.18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา
กจ 9.34 เปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสต์ทรงโปรดท่านให้หายโรค จงลุกขึ้นเก็บที่นอนของท่านเถิด” ในทันใดนั้นไอเนอัสได้ลุกขึ้น
กจ 9.39 ฝ่ายเปโตรจึงลุกขึ้นไปกับเขา เมื่อถึงแล้วเขาพาท่านขึ้นไปในห้องชั้นบน และบรรดาหญิงม่ายได้ยืนอยู่กับท่านพากันร้องไห้และชี้ให้ท่านดูเสื้อคลุมกับเสื้อผ้าต่างๆซึ่งโดรคัสทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่
กจ 9.40 ฝ่ายเปโตรให้คนทั้งปวงออกไปข้างนอก และได้คุกเข่าลงอธิษฐาน แล้วหันมายังศพนั้นกล่าวว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น” ทาบิธาก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง
กจ 10.13 มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า “เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด”
กจ 10.20 จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา”
กจ 10.26 ฝ่ายเปโตรจึงจับตัวโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “จงยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกัน”
กจ 11.7 แล้วข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้น ฆ่ากินเถิด’
กจ 11.28 ฝ่ายผู้หนึ่งในจำนวนนั้นชื่ออากาบัส ได้ลุกขึ้นกล่าวโดยพระวิญญาณว่าจะบังเกิดการกันดารอาหารมากยิ่งทั่วแผ่นดินโลก การกันดารอาหารนั้นได้บังเกิดขึ้นในรัชสมัยคลาวดิอัส ซีซาร์
กจ 12.7 ดูเถิด มีทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และมีแสงสว่างส่องเข้ามาในคุก ทูตองค์นั้นจึงกระตุ้นเปโตรที่สีข้างให้ตื่นขึ้นแล้วว่า “จงลุกขึ้นเร็วๆ” โซ่นั้นก็หลุดตกจากมือของเปโตร
กจ 14.10 จึงร้องสั่งด้วยเสียงอันดังว่า “จงลุกขึ้นยืนตรง” คนนั้นก็กระโดดขึ้นเดินไป
กจ 14.20 แต่พวกสาวกได้ล้อมท่านไว้แล้วท่านก็ลุกขึ้นเข้าไปในเมือง วันรุ่งขึ้นท่านจึงเลยไปยังเมืองเดอร์บีกับบารนาบัส
กจ 22.10 ข้าพเจ้าจึงทูลถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด’ องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมืองดามัสกัส และที่นั่นเขาจะบอกเจ้าให้รู้ถึงการทุกสิ่งซึ่งได้กำหนดไว้ให้เจ้าทำนั้น’
กจ 22.16 เดี๋ยวนี้ท่านจะรอช้าอยู่ทำไม จงลุกขึ้นรับบัพติศมา ด้วยออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย’
กจ 23.9 แล้วก็อื้ออึงเกิดโกลาหล และพวกธรรมาจารย์บางคนที่อยู่ฝ่ายพวกฟาริสีก็ลุกขึ้นเถียงว่า “เราไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดอะไร แต่ถ้าวิญญาณก็ดีหรือทูตสวรรค์ก็ดีได้พูดกับเขา พวกเราอย่าต่อสู้กับพระเจ้าเลย”
กจ 26.16 แต่ว่าจงลุกขึ้นยืนเถิด ด้วยว่าเราได้ปรากฏแก่เจ้าเพื่อจะตั้งเจ้าไว้ให้เป็นผู้รับใช้และเป็นพยานถึงเหตุการณ์ซึ่งเจ้าเห็น และถึงเหตุการณ์ที่เราจะแสดงตัวเราเองแก่เจ้าในเวลาภายหน้า
กจ 26.30 และเมื่อเปาโลกล่าวสิ่งเหล่านี้แล้ว กษัตริย์กับผู้ว่าราชการเมืองและพระนางเบอร์นิส และคนทั้งปวงที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงลุกขึ้น
1คร 10.7 ท่านทั้งหลายอย่านับถือรูปเคารพ เหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘ประชาชนก็นั่งลงกินและดื่ม แล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกกัน’
วว 11.1 ท่านผู้หนึ่งจึงเอาไม้อ้อท่อนหนึ่งให้ข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนไม้เรียว และทูตสวรรค์องค์นั้นยืนอยู่กล่าวว่า “จงลุกขึ้นไปวัดพระวิหารของพระเจ้า และแท่นบูชา และคำนวณคนทั้งหลายซึ่งนมัสการในนั้น
วว 11.11 เมื่อเวลาผ่านไปสามวันครึ่งแล้ว ลมปราณแห่งชีวิตจากพระเจ้าก็เข้าสู่ศพของเขาอีก และเขาก็ลุกขึ้นยืน คนทั้งหลายที่ได้เห็นเขาก็มีความหวาดกลัวเป็นอันมาก

ลุกโชน ( 1 )
อพย 3.2 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็ปรากฏแก่โมเสสในเปลวไฟซึ่งอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ โมเสสจึงมองดูและดูเถิด พุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่พุ่มไม้นั้นมิได้ไหม้โทรมไป

ลุกลาม ( 1 )
พบญ 32.22 เพราะมีไฟก่อขึ้นด้วยเหตุความกริ้วของเรานั้น ไฟก็ไหม้ลุกลามไปจนถึงก้นลึกของนรก เผาแผ่นดินโลกและพืชผลในนั้น และก่อเพลิงติดรากภูเขา

ลุง ( 30 )
ปฐก 29.25 และต่อมาพอรุ่งขึ้น ดูเถิด เป็นนางเลอาห์ ยาโคบจึงกล่าวแก่ลาบันว่า “ลุงทำอะไรกับข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้ารับใช้ลุงเพื่อได้ราเชลมิใช่หรือ ทำไมลุงจึงล่อลวงข้าพเจ้าเล่า”
ปฐก 29.27 ขอให้ครบเจ็ดวันของหญิงนี้ก่อน แล้วเราจะยกคนนั้นให้ด้วย เพื่อตอบแทนที่เจ้าจะได้รับใช้ลุงอีกเจ็ดปี”
ปฐก 30.27 แต่ลาบันตอบเขาว่า “ถ้าลุงเป็นที่พอใจเจ้าแล้ว จงอยู่ต่อเถิด เพราะลุงเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงอวยพรเราเพราะเจ้า”
ปฐก 30.28 และเขาพูดว่า “เจ้าจะเรียกค่าจ้างเท่าไรก็บอกมาเถิด ลุงจะให้”
ปฐก 30.29 ยาโคบตอบเขาว่า “ข้าพเจ้ารับใช้ลุงอย่างไร และสัตว์ของลุงอยู่กับข้าพเจ้าอย่างไร ลุงก็ทราบอยู่แล้ว
ปฐก 30.30 เพราะว่าก่อนข้าพเจ้ามานั้นลุงมีแต่น้อย แต่บัดนี้ก็มีทวีขึ้นเป็นอันมาก ตั้งแต่ข้าพเจ้ามาถึง พระเยโฮวาห์ได้ทรงอวยพระพรแก่ลุง และบัดนี้เมื่อไรข้าพเจ้าจะบำรุงครอบครัวของตนเองได้บ้างเล่า”
ปฐก 30.31 ลาบันจึงถามว่า “ลุงควรจะให้อะไรเจ้า” ยาโคบตอบว่า “ลุงไม่ต้องให้อะไรข้าพเจ้าดอก แต่หากว่าลุงจะทำสิ่งนี้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเลี้ยงระวังสัตว์ของลุงต่อไป
ปฐก 30.32 คือวันนี้ข้าพเจ้าจะไปตรวจดูฝูงสัตว์ของลุงทั้งฝูง ข้าพเจ้าจะคัดแกะที่มีจุดและด่างทุกตัวออกจากฝูง และคัดแกะดำทุกตัวออกจากฝูงแกะ และแพะด่างกับที่มีจุดออกจากฝูงแพะ ให้สัตว์เหล่านี้เป็นค่าจ้างของข้าพเจ้า
ปฐก 30.33 ดังนั้นความชอบธรรมของข้าพเจ้าจะเป็นคำตอบของข้าพเจ้าในเวลาภายหน้า คือเมื่อลุงมาตรวจดูค่าจ้างของข้าพเจ้า ถ้าพบตัวไม่มีจุดและที่ไม่ด่างอยู่ในฝูงแพะและตัวที่ไม่ดำในฝูงแกะ ก็ให้ถือเสียว่าข้าพเจ้ายักยอกสัตว์เหล่านี้มา”
ปฐก 30.34 ลาบันจึงตอบว่า “ดูเถิด ลุงตกลงตามที่เจ้าพูดนั้น”
ลนต 20.20 ถ้าชายคนใดคนหนึ่งหลับนอนกับภรรยาของลุง เขาได้เปิดกายที่เปลือยเปล่าของลุง ทั้งสองจะต้องรับโทษบาปของเขา เขาจะต้องตายโดยไม่มีบุตร
ลนต 25.49 หรือลุงหรือลูกพี่ลูกน้องจะทำการไถ่ถอนเขาก็ได้ หรือญาติสนิทของครอบครัวของเขาจะไถ่ถอนเขาก็ได้ หรือถ้าเขามีความสามารถ เขาจะไถ่ถอนตัวเองก็ได้
1ซมอ 10.14 ฝ่ายลุงของซาอูลจึงถามซาอูลกับคนใช้ว่า “เจ้าไปไหนมา” และท่านตอบว่า “ไปหาลา และเมื่อเราเห็นว่าเราไม่พบลานั้นแล้ว เราจึงไปหาซามูเอล”
1ซมอ 10.15 ลุงของซาอูลกล่าวว่า “ซามูเอลบอกอะไรแก่เจ้าบ้าง ขอเล่าให้ฟัง”
1ซมอ 10.16 และซาอูลตอบลุงของท่านว่า “เขาบอกเราแจ่มแจ้งว่าพบลาแล้ว” แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลกล่าวถึงนั้นท่านไม่ได้บอกสิ่งใดเลย
1ซมอ 14.50 ชื่อมเหสีของซาอูลคืออาหิโนอัม บุตรสาวของอาหิมาอัส และชื่อแม่ทัพของพระองค์ คืออับเนอร์ บุตรชายเนอร์ ลุงของซาอูล
1พศด 27.32 โยนาธานลุงของดาวิดเป็นที่ปรึกษา เป็นคนที่มีความเข้าใจและเป็นอาลักษณ์ และเยฮีเอลบุตรชายฮัคโมนีเป็นผู้เลี้ยงดูราชโอรส
อสธ 2.7 ท่านได้เลี้ยงดูฮาดาชาห์คือเอสเธอร์บุตรสาวลุงของท่าน เพราะเธอไม่มีพ่อแม่ สาวคนนี้รูปงามและน่าดู เมื่อบิดามารดาของเธอสิ้นชีวิตแล้ว โมรเดคัยก็รับเธอมาเลี้ยงเป็นบุตรสาว
อสธ 2.15 บัดนี้เมื่อถึงเวรของเอสเธอร์ บุตรสาวของอาบีฮาอิล ลุงของโมรเดคัยผู้ซึ่งรับเธอไว้เป็นบุตรสาว จะเข้าเฝ้ากษัตริย์ เธอมิได้ขอสิ่งใด นอกจากสิ่งที่เฮกัยข้าราชสำนักของกษัตริย์ผู้ดูแลพวกสตรีแนะนำ ฝ่ายเอสเธอร์ได้รับความโปรดปรานในสายตาของทุกคนที่ได้พบเห็น
อมส 6.10 และเมื่อลุงของผู้ใด คือผู้ที่เผาเพื่อเขา จะยกศพขึ้นเพื่อจะนำกระดูกออกนอกเรือน และจะกล่าวกับคนที่อยู่ในห้องชั้นในที่สุดของเรือนนั้นว่า “ยังมีใครอยู่กับเจ้าหรือ” เขาจะตอบว่า “ไม่มี” และเขาจะกล่าวว่า “จุ๊จุ๊ อย่าให้เราออกพระนามของพระเยโฮวาห์”

ลุ่ม ( 8 )
ปฐก 13.10 โลทเงยหน้าขึ้นแลดูและเห็นว่าบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดนมีน้ำบริบูรณ์อยู่ทุกแห่ง เหมือนพระอุทยานของพระเยโฮวาห์ เหมือนกับแผ่นดินอียิปต์ไปทางเมืองโศอาร์ ก่อนที่พระเยโฮวาห์ทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์
ปฐก 13.11 ดังนั้นโลทจึงเลือกบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน โลทเดินทางไปทิศตะวันออกและเขาทั้งสองจึงแยกจากกันไป
ปฐก 13.12 อับรามอาศัยอยู่ในแผ่นดินคานาอัน โลทอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆที่ราบลุ่มและตั้งเต็นท์ใกล้เมืองโสโดม
ปฐก 19.17 ต่อมาเมื่อทูตเหล่านั้นนำพวกเขาออกมาภายนอกแล้ว ทูตพูดว่า “จงหนีเอาชีวิตรอด อย่าได้เหลียวหลังมาดูหรือพักอยู่ที่ราบลุ่มทั้งหลาย จงหนีไปที่ภูเขาเกรงว่าเจ้าจะถูกทำลาย”
ปฐก 19.25 พระองค์ทรงทำลายล้างเมืองทั้งหลายเหล่านั้น บรรดาที่ราบลุ่ม ชาวเมืองทั้งปวงและสิ่งที่งอกขึ้นมาบนแผ่นดิน
ปฐก 19.28 ท่านมองไปทางเมืองโสโดม เมืองโกโมราห์และดินแดนที่ราบลุ่มทั้งหลาย และดูเถิด ก็เห็นควันจากแผ่นดินนั้นพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาไฟใหญ่
ปฐก 19.29 ต่อมาเมื่อพระเจ้าทรงทำลายเมืองทั้งหลายในที่ราบลุ่มแล้วนั้น พระเจ้าทรงระลึกถึงอับราฮัม และส่งโลทออกไปจากท่ามกลางการทำลายล้าง เมื่อพระองค์ทรงทำลายล้างเมืองทั้งหลายซึ่งโลทอาศัยอยู่
1พกษ 7.46 กษัตริย์ทรงหล่อสิ่งเหล่านี้ในที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน และในที่ดินโคลนระหว่างเมืองสุคคทและศาเรธาน

ลุ่มน้ำ ( 1 )
พบญ 3.16 แก่คนรูเบนและคนกาดนั้นเราให้ตำบลตั้งแต่กิเลอาดถึงลุ่มแม่น้ำอารโนน ถือเอากลางลุ่มน้ำเป็นแดนเรื่อยมาถึงแม่น้ำยับบอกอันเป็นแดนของคนอัมโมน

ลุ่มแม่น้ำ ( 20 )
กดว 21.14 ดังนั้นในหนังสือสงครามของพระเยโฮวาห์จึงมีว่า “พระองค์ทรงชนะที่ทะเลแดง และลุ่มแม่น้ำอารโนน
พบญ 2.24 ‘พวกเจ้าจงลุกเดินทางไปข้ามลุ่มแม่น้ำอารโนน ดูเถิด เราได้มอบสิโหนชาวอาโมไรต์ผู้เป็นกษัตริย์เมืองเฮชโบน และเมืองของเขาไว้ในมือของพวกเจ้า เจ้าทั้งหลายจงตั้งต้นยึดเมืองนั้นและสู้รบกับเขา
พบญ 2.36 ตั้งแต่อาโรเออร์ที่อยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนนและตั้งแต่เมืองที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำนั้นจนถึงเมืองกิเลอาด ไม่มีเมืองใดที่ต่อต้านเราได้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราได้ทรงมอบทั้งหมดไว้แก่เรา
พบญ 3.8 ครั้งนั้นเราได้ยึดแผ่นดินเสียจากมือของกษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ผู้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำอารโนนถึงภูเขาเฮอร์โมน
พบญ 3.12 แผ่นดินนี้ที่เรายึดครองได้ครั้งนั้น คือตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน และแดนเทือกเขากิเลอาดครึ่งหนึ่ง กับหัวเมืองทั้งหลายเหล่านั้น เราก็ได้ให้แก่คนรูเบนและคนกาด
พบญ 3.16 แก่คนรูเบนและคนกาดนั้นเราให้ตำบลตั้งแต่กิเลอาดถึงลุ่มแม่น้ำอารโนน ถือเอากลางลุ่มน้ำเป็นแดนเรื่อยมาถึงแม่น้ำยับบอกอันเป็นแดนของคนอัมโมน
พบญ 4.48 ตั้งแต่อาโรเออร์ที่อยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน ไปจนถึงภูเขาสีออน คือเฮอร์โมน
ยชว 12.1 ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินนั้นซึ่งประชาชนอิสราเอลได้กระทำให้แพ้ไป และได้ยึดครองแผ่นดินฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นทางดวงอาทิตย์ขึ้น จากที่ลุ่มแม่น้ำอารโนนถึงภูเขาเฮอร์โมน และที่ราบซึ่งอยู่ด้านตะวันออกทั้งหมด
ยชว 12.2 คือสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ผู้อยู่ที่เฮชโบน และปกครองจากอาโรเออร์ ซึ่งอยู่ ณ ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน และจากกลางที่ลุ่มไกลไปจนถึงแม่น้ำยับบอก เขตแดนคนอัมโมน คือครึ่งหนึ่งของกิเลอาด
ยชว 13.9 ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน และเมืองที่อยู่กลางลุ่มแม่น้ำนี้ และที่ราบเมเดบาตลอดจนถึงดีโบน
ยชว 13.16 ดังนั้นเขตแดนของเขาจึงตั้งแต่อาโรเออร์ซึ่งอยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนนและเมืองซึ่งอยู่กลางลุ่มแม่น้ำนั้นและที่ราบเมืองเมเดบาทั้งสิ้น
2ซมอ 17.13 ยิ่งกว่านั้น ถ้าท่านจะถอยร่นเข้าไปในเมือง คนอิสราเอลทั้งสิ้นก็จะเอาเชือกมาลากเมืองนั้นลงไปที่ลุ่มแม่น้ำ จนกระทั่งก้อนกรวดสักก้อนหนึ่งก็ไม่มีให้เห็นที่นั่น”
2พกษ 10.33 ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก ทั่วแผ่นดินกิเลอาด คนกาด คนรูเบนและคนมนัสเสห์ ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ข้างที่ลุ่มแม่น้ำอารโนน คือกิเลอาดและบาชาน
1พศด 12.15 เหล่านี้เป็นคนที่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนในเดือนแรก เมื่อน้ำท่วมฝั่งทั้งสิ้น และให้คนที่อยู่ ณ ลุ่มแม่น้ำแตกหนีไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
ยรม 12.5 “ถ้าเจ้าวิ่งแข่งกับทหารราบ และเขาทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อย เจ้าจะแข่งกับม้าได้อย่างไร และถ้าเจ้ายังเหน็ดเหนื่อยในแผ่นดินแห่งสันติภาพซึ่งเจ้าวางใจนั้น เจ้าจะทำอย่างไรในคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดน
ยรม 49.19 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ยรม 50.44 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้

ลุ่มหลง ( 8 )
พบญ 11.16 จงระวังตัวอย่าให้จิตใจของท่านทั้งหลายลุ่มหลงและหันเหไปปรนนิบัตินมัสการพระอื่น
อสค 23.5 โอโฮลาห์เล่นชู้เมื่อเธอเป็นของเรา เธอลุ่มหลงพวกคนรักของเธอ คืออัสซีเรียเพื่อนบ้านของเธอ
อสค 23.7 เธอเล่นชู้กับคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นบุคคลที่คัดเลือกแล้วของอัสซีเรียทุกคน และเธอก็กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพของทุกคนที่เธอลุ่มหลงนั้น
อสค 23.9 เพราะฉะนั้นเราจึงมอบเธอให้ตกอยู่ในมือพวกคนรักของเธอ คือในมือคนอัสซีเรียซึ่งเธอลุ่มหลงนั้น
อสค 23.12 เธอลุ่มหลงอัสซีเรียเพื่อนบ้านของเธอ เจ้าเมืองและผู้บังคับบัญชา ซึ่งแต่งเกราะเต็ม พลม้าขี่ม้า ทุกคนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา
อสค 23.16 เมื่อเธอเห็นรูปนั้นก็ลุ่มหลงเขาเสียแล้ว และส่งผู้สื่อสารไปหาเขาที่เคลเดีย
อสค 23.20 เธอลุ่มหลงชู้ของเธอที่นั่น ลำเนื้อของเขาก็เหมือนของลา และของเขาก็เหมือนของม้า
วว 18.23 และในเจ้าจะไม่มีแสงประทีปส่องสว่างอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวในเจ้าอีกต่อไป เพราะว่าบรรดาพ่อค้าของเจ้าได้เป็นคนใหญ่โตแห่งแผ่นดินโลกแล้ว และโดยวิทยาคมของเจ้าได้ล่อลวงบรรดาประชาชาติให้ลุ่มหลง

ลุย ( 25 )
ลนต 18.21 เจ้าอย่าถวายเชื้อสายของเจ้าให้พระโมเลคด้วยให้ลุยไฟ และอย่ากระทำให้พระนามพระเจ้าของเจ้าเสื่อมเกียรติ เราคือพระเยโฮวาห์
พบญ 18.10 อย่าให้มีคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านซึ่งให้บุตรชายหรือบุตรสาวของเขาลุยไฟ อย่าให้ผู้ใดเป็นคนทำนาย เป็นหมอดู เป็นหมอจับยามดูเหตุการณ์ หรือเป็นนักวิทยาคม
2พกษ 16.3 แต่พระองค์ทรงดำเนินตามทางของกษัตริย์ทั้งหลายแห่งอิสราเอล และถวายโอรสของพระองค์ให้ลุยไฟ ตามการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของประชาชาติ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ออกไปจากเบื้องหน้าประชาชนอิสราเอล
2พกษ 17.17 และเขาทั้งหลายได้ถวายบุตรชายหญิงของเขาให้ลุยไฟ ใช้การทำนายและใช้เวทมนตร์ และยอมขายตัวเองเพื่อกระทำความชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ซึ่งเป็นการยั่วยุให้พระองค์ทรงกริ้วโกรธ
2พกษ 21.6 และพระองค์ได้ทรงถวายโอรสของพระองค์ให้ลุยไฟ ถือฤกษ์ยาม การใช้เวทมนตร์ ทรงเจ้าเข้าผี และพ่อมดหมอผี พระองค์ทรงกระทำความชั่วร้ายเป็นอันมากในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ซึ่งเป็นการยั่วยุให้พระองค์ทรงกริ้วโกรธ
2พกษ 23.10 และทรงกระทำให้โทเฟทเสียความศักดิ์สิทธิ์ คือที่ที่หุบเขาบุตรแห่งฮินโนม เพื่อจะไม่มีผู้ใดถวายบุตรชายหญิงของตนให้ลุยไฟต่อพระโมเลค
2พศด 33.6 และพระองค์ได้ทรงถวายโอรสของพระองค์ให้ลุยไฟในหุบเขาบุตรชายของฮินโนม ถือฤกษ์ยาม ใช้เวทมนตร์ ใช้ไสยศาสตร์ ติดต่อกับคนทรงและพ่อมดหมอผี พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายเป็นอันมากในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ซึ่งเป็นการยั่วยุให้พระองค์ทรงกริ้วโกรธ
สดด 66.12 พระองค์ทรงให้คนขับรถรบทับศีรษะของข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องลุยไฟลุยน้ำ แต่พระองค์ยังทรงนำข้าพระองค์มาสู่ที่อิ่มเอิบ
อสย 16.2 เหมือนนกที่กำลังบินหนีอย่างลูกนกที่พลัดรัง ธิดาของโมอับจะเป็นอย่างนั้นตรงท่าลุยข้ามแม่น้ำอารโนน
อสย 43.2 เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้และเปลวเพลิงจะไม่เผาผลาญเจ้า
อสย 47.2 จับโม่เข้า โม่แป้งซี เอาผ้าคลุมหน้าของเจ้าออกเสีย ถอดเสื้อคลุมของเจ้าเสีย ไม่ต้องคลุมขาของเจ้า ลุยน้ำไป
ยรม 32.35 เขาทั้งหลายได้สร้างปูชนียสถานสูงสำหรับพระบาอัลซึ่งอยู่ในหุบเขาแห่งบุตรชายของฮินโนม เพื่อให้บุตรชายและบุตรสาวของเขาลุยไฟถวายแก่พระโมเลค ซึ่งเรามิได้บัญชาเขาเลยและไม่ได้มีอยู่ในจิตใจของเราว่า เขาควรจะกระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนี้เพื่อเป็นเหตุให้ยูดาห์กระทำผิดบาปไป
ยรม 51.32 ท่าลุยข้ามก็ถูกยึดแล้ว ที่เป็นบึงเป็นหนองก็ถูกไฟไหม้และบรรดาทหารก็ระส่ำระสาย
อสค 16.21 เจ้าจึงได้ฆ่าลูกของเราถวายแก่รูปเหล่านั้นโดยให้ลุยไฟ
อสค 20.26 และเราก็ได้ให้เขามลทินไปด้วยของถวายของเขาเอง โดยให้เขาถวายบุตรหัวปีให้ลุยไฟ เพื่อเราจะกระทำให้เขารกร้างไป เพื่อให้เขาทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 20.31 เมื่อเจ้าถวายของบูชาและถวายบุตรชายให้ลุยไฟ เจ้าได้กระทำตัวให้มลทินด้วยบรรดารูปเคารพของเจ้าจนทุกวันนี้ โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เราจะให้เจ้ามาถามเราหรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะไม่ให้เจ้ามาถามเราฉันนั้น
อสค 23.37 เพราะว่าเธอได้กระทำการล่วงประเวณี และโลหิตอยู่ในมือของเธอ เธอกระทำการล่วงประเวณีกับรูปเคารพของเธอ และเธอยังถวายบุตรชายซึ่งเธอบังเกิดให้แก่เรานั้นให้ลุยไฟเพื่อเผาผลาญเขาเสีย
อสค 47.3 ชายผู้นั้นได้เดินไปทางตะวันออกมีเชือกวัดอยู่ในมือ ท่านวัดได้หนึ่งพันศอก แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป และน้ำลึกเพียงตาตุ่ม
อสค 47.4 แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไปและน้ำลึกถึงเข่า แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป น้ำนั้นลึกเพียงเอว
อสค 47.5 ภายหลังท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน และกลายเป็นแม่น้ำที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน้ำนั้นขึ้นแล้วลึกพอที่จะว่ายได้ เป็นแม่น้ำที่ลุยข้ามไม่ได้
2ปต 2.22 พฤติกรรมได้เกิดกับเขาตามสุภาษิตซึ่งเป็นความจริงว่า “สุนัขได้กลับกินสิ่งที่มันสำรอกออกมาแล้ว และสุกรที่ได้ชำระล้างตัวแล้วก็กลับลุยลงไปนอนในปลักอีก”

ลุล่วง ( 1 )
2พศด 8.16 บรรดาพระราชกิจของซาโลมอนก็ลุล่วงไปตั้งแต่วันที่วางรากพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จนถึงวันสำเร็จงาน ดังนั้นพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็สำเร็จครบถ้วน

ลูก ( 448 )
ปฐก 1.22 พระเจ้าได้ทรงอวยพรสัตว์เหล่านั้นว่า “จงมีลูกดกและทวีมากขึ้น ให้น้ำในทะเลบริบูรณ์ไปด้วยสัตว์ และจงให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน”
ปฐก 1.28 พระเจ้าได้ทรงอวยพรพวกเขา และพระเจ้าตรัสแก่พวกเขาว่า “จงมีลูกดกและทวีมากขึ้น จนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลก”
ปฐก 8.17 จงพาสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวงที่อยู่ด้วยกันกับเจ้า คือบรรดาเนื้อหนัง ทั้งนก สัตว์ใช้งาน และสัตว์เลื้อยคลานทั้งปวงที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลกให้ออกมา เพื่อพวกมันจะทวีมากขึ้นบนแผ่นดินโลก และมีลูกดกทวีมากขึ้นบนแผ่นดินโลก”
ปฐก 9.1 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่โนอาห์และบุตรชายทั้งหลายของท่าน และตรัสแก่พวกเขาว่า “จงมีลูกดก และทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน
ปฐก 9.7 เจ้าจงมีลูกดกทวีมากขึ้นอุดมบริบูรณ์ในแผ่นดินโลกและทวีมากขึ้นในนั้น”
ปฐก 12.8 ท่านย้ายไปจากที่นั่นมาถึงภูเขาลูกหนึ่งทางทิศตะวันออกของเมืองเบธเอลแล้วตั้งเต็นท์ของท่าน โดยเมืองเบธเอลอยู่ทางทิศตะวันตกและเมืองอัยอยู่ทางทิศตะวันออก ณ ที่นั่นท่านสร้างแท่นบูชาแด่พระเยโฮวาห์ และร้องออกพระนามของพระเยโฮวาห์
ปฐก 17.6 เราจะกระทำให้เจ้ามีลูกดกทวีมากขึ้น เราจะกระทำให้เจ้าเป็นชนหลายชาติ กษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า
ปฐก 17.20 สำหรับอิชมาเอลนั้นเราได้ฟังเจ้าแล้ว ดูเถิด เราได้อวยพรเขาและจะกระทำให้เขามีลูกดกทวีมากขึ้นอุดมบริบูรณ์อย่างยิ่ง เขาจะให้กำเนิดเจ้านายสิบสององค์และเราจะกระทำให้เขาเป็นชนชาติใหญ่ชนชาติหนึ่ง
ปฐก 22.2 พระองค์ตรัสว่า “จงพาบุตรชายของเจ้าคืออิสอัค บุตรชายคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารักไปยังแผ่นดินโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า”
ปฐก 22.6 อับราฮัมเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชาใส่บ่าอิสอัคบุตรชายของตน ถือไฟและมีดแล้วพ่อลูกไปด้วยกัน
ปฐก 22.7 อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาว่า “บิดาเจ้าข้า” และท่านตอบว่า “ลูกเอ๋ย พ่ออยู่ที่นี่” ลูกจึงว่า “นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน”
ปฐก 22.8 อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา” พ่อลูกทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน
ปฐก 27.1 และต่อมาเมื่ออิสอัคแก่ ตามัวจนมองไม่เห็น ท่านก็เรียกเอซาวบุตรชายคนโตของท่านมาและกล่าวแก่เขาว่า “ลูกเอ๋ย” เขาตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่”
ปฐก 27.8 เพราะฉะนั้น ลูกเอ๋ย บัดนี้จงฟังเสียงของแม่ตามที่แม่สั่งเจ้า
ปฐก 27.13 มารดาของเขาพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้การสาปแช่งของเจ้าตกอยู่กับแม่เถิด ฟังเสียงของแม่เท่านั้น ไปเอาลูกแพะมาให้แม่เถิด”
ปฐก 27.18 เขาจึงเข้าไปหาบิดาของตนและพูดว่า “บิดาเจ้าข้า” และท่านว่า “พ่ออยู่นี่ ลูกเอ๋ย เจ้าคือใคร”
ปฐก 27.19 ยาโคบตอบบิดาของตนว่า “ลูกเป็นเอซาวบุตรหัวปีของท่าน ลูกทำตามที่ท่านสั่งลูกแล้ว เชิญลุกขึ้นนั่งรับประทานเนื้อที่ลูกหามาเถิด เพื่อจิตวิญญาณของท่านจะได้อวยพรแก่ลูก”
ปฐก 27.20 แต่อิสอัคพูดกับบุตรชายของตนว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าทำอย่างไรจึงพบมันเร็วนัก” บุตรจึงตอบว่า “เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านนำมันมาให้แก่ลูก”
ปฐก 27.21 แล้วอิสอัคจึงพูดกับยาโคบว่า “ลูกเอ๋ย มาใกล้ๆ พ่อจะได้คลำดูเจ้า เพื่อจะได้รู้ว่าเจ้าเป็นเอซาวบุตรชายของพ่อแน่หรือไม่”
ปฐก 27.26 แล้วอิสอัคบิดาของเขาจึงพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย เข้ามาใกล้และจุบพ่อ”
ปฐก 27.31 และเขาเตรียมอาหารอร่อยนำมาให้บิดาด้วย และพูดกับบิดาว่า “ขอท่านลุกขึ้นรับประทานเนื้อที่ลูกชายหามา เพื่อจิตวิญญาณของท่านจะได้อวยพรลูก”
ปฐก 27.37 อิสอัคตอบเอซาวว่า “ดูเถิด พ่อตั้งให้เขาเป็นนายเหนือเจ้า และมอบบรรดาพี่น้องของเขาให้เป็นคนใช้ของเขา ทั้งข้าวและน้ำองุ่นพ่อก็จัดให้เขา ลูกเอ๋ย พ่อจะทำอะไรให้เจ้าได้อีกเล่า”
ปฐก 27.38 เอซาวพูดกับบิดาว่า “บิดาเจ้าข้า ท่านมีพรแต่เพียงพรเดียวเท่านั้นหรือ โอ บิดาเจ้าข้า ขออวยพรลูก ขออวยพรลูกด้วยเถิด” แล้วเอซาวก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้
ปฐก 27.43 เพราะฉะนั้น ลูกเอ๋ย บัดนี้ฟังเสียงของแม่เถิด จงลุกขึ้นหนีไปหาลาบันพี่ชายของแม่ที่เมืองฮาราน
ปฐก 27.45 จนกว่าความโกรธของพี่ชายเจ้าจะคลายลง และเขาลืมสิ่งที่เจ้าได้ทำแก่เขา แล้วแม่จะส่งให้คนไปพาเจ้ากลับมาจากที่นั่น แม่ต้องสูญเสียลูกทั้งสองคนในวันเดียวกันทำไมเล่า”
ปฐก 28.3 ขอพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงอวยพระพรแก่เจ้า และโปรดให้เจ้ามีลูกดกทวียิ่งขึ้น จนได้เป็นมวลชนชาติทั้งหลาย
ปฐก 30.39 ฝูงสัตว์ก็ตั้งท้องตรงหน้าไม้นั้น ดังนั้นฝูงสัตว์จึงมีลูกที่มีลายมีจุดและด่าง
ปฐก 31.8 ถ้าบิดาบอกว่า ‘สัตว์ที่มีจุดจะเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็มีลูกมีจุด และถ้าบิดาบอกว่า ‘สัตว์ตัวที่ลายเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็มีลูกลายหมด
ปฐก 32.11 ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากเงื้อมมือพี่ชายข้าพระองค์ คือจากเงื้อมมือของเอซาว เพราะข้าพระองค์กลัวเขา เกรงว่าเขาจะมาตีข้าพระองค์ ทั้งมารดากับลูกด้วย
ปฐก 33.1 ยาโคบเงยหน้าขึ้นดู และดูเถิด เอซาวกำลังมาพร้อมกับพวกผู้ชายสี่ร้อยคน ยาโคบจึงแบ่งลูกๆให้นางเลอาห์ นางราเชลและสาวใช้ทั้งสอง
ปฐก 33.2 เขาให้สาวใช้ทั้งสองกับลูกอยู่ข้างหน้า ถัดมานางเลอาห์กับลูก ส่วนนางราเชลกับโยเซฟอยู่ท้ายสุด
ปฐก 33.5 เอซาวก็เงยหน้าขึ้นแลเห็นพวกผู้หญิงกับลูกๆจึงถามว่า “คนที่อยู่กับเจ้านี้คือใคร” ยาโคบตอบว่า “คือลูกๆที่พระเจ้าโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน”
ปฐก 33.6 แล้วสาวใช้ทั้งสองคนกับลูกๆก็เข้ามาใกล้และกราบลง
ปฐก 33.7 นางเลอาห์กับลูกของเขาก็เข้ามาใกล้และกราบลงด้วย ภายหลังโยเซฟและนางราเชลก็เข้ามาใกล้และกราบลง
ปฐก 37.32 แล้วก็ส่งเสื้อยาวหลากสีนั้นไปยังบิดา บอกว่า “พวกเราได้พบเสื้อตัวนี้ ขอพ่อจงพิจารณาดูว่าใช่เสื้อลูกของพ่อหรือไม่”
ปฐก 37.33 บิดารู้จักแล้วร้องว่า “นี่เป็นเสื้อลูกเรา สัตว์ร้ายกัดกินเขาเสียแล้ว โยเซฟย่อยยับเสียแล้วเป็นแน่”
ปฐก 37.35 ฝ่ายบุตรชายหญิงทั้งหมดก็พากันมาปลอบโยนบิดา แต่ท่านไม่ยอมรับการปลอบโยนกล่าวว่า “เราจะโศกเศร้าถึงลูกเราจนกว่าเราจะตามลงไปยังหลุมฝังศพ” บิดาของเขาร้องไห้คิดถึงเขาดังนี้
ปฐก 40.11 ถ้วยของฟาโรห์อยู่ในมือเรา แล้วเราเก็บลูกองุ่นนั้นบีบให้น้ำลงในถ้วยของฟาโรห์ และวางถ้วยนั้นในพระหัตถ์ของฟาโรห์”
ปฐก 42.36 ฝ่ายยาโคบบิดาของเขาจึงว่า “พวกเจ้าทำให้เราพลัดพรากจากลูกของเรา โยเซฟก็เสียไปแล้ว สิเมโอนก็เสียไปแล้ว แล้วพวกเจ้ายังจะเอาเบนยามินไปอีกคน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทำให้เรามีความทุกข์”
ปฐก 42.37 รูเบนจึงบอกบิดาของตนว่า “ถ้าลูกไม่พาเบนยามินกลับมาให้พ่อ พ่อจงเอาบุตรชายทั้งสองคนของลูกฆ่าเสีย จงมอบเบนยามินไว้ในความดูแลของลูกเถิด แล้วลูกจะนำเขากลับมาหาพ่ออีก”
ปฐก 42.38 ยาโคบบอกว่า “ลูกของเราจะไม่ลงไปกับเจ้า เพราะพี่ชายของเขาก็ตายเสียแล้ว เหลือแต่เบนยามินคนเดียว ถ้าเกิดอันตรายแก่เขาในเวลาเดินทางไปกับเจ้า เจ้าจะพาผมหงอกของเราลงสู่หลุมฝังศพด้วยความทุกข์”
ปฐก 43.3 แต่ยูดาห์ตอบบิดาว่า “ท่านกำชับพวกลูกอย่างเด็ดขาดว่า ‘ถ้าไม่ได้พาน้องชายมาด้วย พวกเจ้าจะไม่เห็นหน้าเราอีก’
ปฐก 43.4 ถ้าพ่อใช้ให้น้องชายไปกับพวกลูก ลูกจะลงไปซื้ออาหารให้พ่อ
ปฐก 43.5 แต่ถ้าแม้พ่อไม่ให้น้องไป พวกลูกจะไม่ลงไป เพราะเจ้านายท่านบัญชาแก่พวกลูกว่า ‘ถ้าไม่ได้พาน้องชายมาด้วย พวกเจ้าจะไม่เห็นหน้าเราอีก’”
ปฐก 43.7 เขาจึงตอบว่า “เจ้านายท่านซักไซ้ไต่ถามถึงพวกลูก และญาติพี่น้องของพวกลูกว่า ‘บิดายังอยู่หรือ เจ้ามีน้องชายอีกหรือเปล่า’ พวกลูกก็ตอบตามคำถามนั้น จะล่วงรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะสั่งว่า ‘พาน้องชายของเจ้ามา’”
ปฐก 43.8 ยูดาห์จึงพูดกับอิสราเอลบิดาของเขาว่า “ขอพ่อให้เด็กนั้นไปกับข้าพเจ้า เราจะได้ลุกขึ้นออกเดินทางไปเพื่อจะได้มีชีวิตและไม่ตาย ทั้งพวกลูกและพ่อกับลูกอ่อนทั้งหลายของเราด้วย
ปฐก 43.9 ลูกรับประกันน้องคนนี้ พ่อจะเรียกร้องให้ลูกรับผิดชอบก็ได้ ถ้าลูกไม่นำเขากลับมาหาพ่อและส่งเขาต่อหน้าพ่อ ก็ขอให้ลูกรับผิดต่อพ่อตลอดไปเป็นนิตย์
ปฐก 43.10 ด้วยว่าถ้าพวกลูกไม่ช้าอยู่เช่นนี้ ก็จะได้กลับมาเป็นครั้งที่สองแล้วเป็นแน่”
ปฐก 43.29 โยเซฟเงยหน้าดูเห็นเบนยามินน้องชายมารดาเดียวกัน แล้วถามว่า “คนนี้เป็นน้องชายสุดท้องที่พวกเจ้าบอกแก่เราครั้งก่อนหรือ” โยเซฟกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้พระเจ้าทรงเมตตาแก่เจ้า”
ปฐก 45.9 เจ้าจงรีบขึ้นไปหาบิดาเราบอกท่านว่า ‘โยเซฟบุตรชายของท่านพูดดังนี้ว่า “พระเจ้าทรงโปรดให้ลูกเป็นเจ้าเหนืออียิปต์ทั้งสิ้น ขอลงมาหาลูก อย่าได้ช้า
ปฐก 45.10 พ่อจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินโกเชน และพ่อจะได้อยู่ใกล้ลูก ทั้งตัวพ่อกับลูกหลานและฝูงแพะแกะ ฝูงวัว และทรัพย์ทั้งหมดของพ่อ
ปฐก 45.11 ลูกจะบำรุงรักษาพ่อที่นั่น ด้วยยังจะกันดารอาหารอีกห้าปี มิฉะนั้นพ่อและครอบครัวของพ่อและผู้คนที่พ่อมีอยู่จะยากจนไป”’
ปฐก 45.28 อิสราเอลจึงว่า “เราอิ่มใจแล้ว โยเซฟลูกเรายังมีชีวิตอยู่ เราจะไปเห็นลูกก่อนเราตาย”
ปฐก 48.4 และตรัสแก่พ่อว่า ‘ดูเถิด เราจะให้เจ้ามีลูกดกทวียิ่งขึ้นและเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ และจะยกแผ่นดินนี้ให้แก่เชื้อสายของเจ้าที่มาภายหลังเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์เป็นนิตย์’
ปฐก 48.9 โยเซฟตอบบิดาของตนว่า “นี่เป็นบุตรชายของลูกที่พระเจ้าประทานแก่ลูกในแผ่นดินนี้” อิสราเอลจึงว่า “ขอเจ้าพาบุตรทั้งสองเข้ามาเพื่อพ่อจะได้ให้พรแก่เขา”
ปฐก 48.19 บิดาก็ไม่ยอมจึงตอบว่า “พ่อรู้แล้ว ลูกเอ๋ย พ่อรู้แล้ว เขาจะเป็นคนตระกูลหนึ่งด้วย และเขาจะใหญ่โตด้วย แต่แท้จริงน้องชายจะใหญ่โตกว่าพี่ และเชื้อสายของน้องนั้นจะเป็นคนหลายประชาชาติด้วยกัน”
ปฐก 49.9 ยูดาห์เป็นลูกสิงโต ลูกเอ๋ย เจ้าก็ได้ลุกขึ้นจากการจับสัตว์ เขาก้มลง เขาหมอบลงเหมือนสิงโตตัวผู้ และเหมือนสิงโตแก่ ใครจะแหย่เขาให้ลุกขึ้น
อพย 2.6 และเมื่อเปิดตะกร้านั้นออกก็เห็นทารก และดูเถิด ทารกนั้นกำลังร้องไห้ พระนางจึงทรงกรุณาทารกนั้น และตรัสว่า “นี่เป็นลูกชาวฮีบรู”
อพย 13.12 ทุกอย่างที่เบิกครรภ์ครั้งแรกนั้น ท่านจงแยกถวายแด่พระเยโฮวาห์ และลูกสัตว์หัวปีตัวผู้ที่เกิดจากสัตว์ใช้งานของท่าน จงเป็นของพระเยโฮวาห์
อพย 16.33 โมเสสบอกอาโรนว่า “เอาหม้อลูกหนึ่ง ตวงมานาให้เต็มโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ตลอดชั่วอายุของท่าน”
อพย 21.5 ถ้าทาสนั้นมากล่าวเป็นที่เข้าใจชัดเจนว่า ‘ข้าพเจ้ารักนายและลูกเมียของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปเป็นไทย’
อพย 22.30 สำหรับวัวและแพะแกะของเจ้า จงทำดังนั้นเหมือนกัน ให้ลูกมันอยู่กับแม่เจ็ดวัน ถึงวันที่แปดจงพามาถวายแก่เรา
อพย 28.34 ลูกพรวนทองคำลูกหนึ่ง ผลทับทิมผลหนึ่ง ลูกพรวนทองคำอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่งรอบชายล่างของเสื้อคลุม
อพย 39.26 คือลูกพรวนลูกหนึ่ง ผลทับทิมผลหนึ่ง และลูกพรวนอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่งสลับกันดังนี้ รอบชายเสื้อคลุมนั้น สำหรับสวมเวลาปรนนิบัติพระองค์ ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแก่โมเสส
ลนต 3.4 และไตทั้งสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวนั้น และให้เอาพังผืดที่ติดอยู่เหนือตับนั้นออกเสียพร้อมกับไต
ลนต 3.10 และไตทั้งสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวนั้น และให้เอาพังผืดที่ติดอยู่เหนือตับนั้นออกเสียพร้อมกับไต
ลนต 3.15 และไตทั้งสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวนั้น และให้เอาพังผืดที่ติดอยู่เหนือตับนั้นออกเสียพร้อมกับไต
ลนต 4.9 และไตทั้งสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวนั้น และให้เอาพังผืดที่ติดอยู่เหนือตับนั้นออกเสียพร้อมกับไต
ลนต 7.4 และไตทั้งสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวนั้น และให้เอาพังผืดที่ติดอยู่เหนือตับนั้นออกเสียพร้อมกับไต
ลนต 8.16 และท่านนำไขมันทั้งหมดที่อยู่กับเครื่องในและพังผืดเหนือตับ และไตสองลูกพร้อมกับไขมันแล้วโมเสสก็เผาสิ่งเหล่านี้เสียบนแท่น
ลนต 8.25 แล้วท่านจึงนำไขมันและหางที่เป็นไขมัน และไขมันทั้งหมดที่อยู่กับเครื่องใน และพังผืดเหนือตับและไตสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ และโคนขาข้างขวา
ลนต 22.28 แม้ว่าแม่สัตว์นั้นจะเป็นวัวหรือแกะก็ดี เจ้าอย่าฆ่ามันพร้อมกับลูกของมันในวันเดียวกัน
ลนต 25.54 ถ้าเขาไม่ไถ่ถอนตามที่กล่าวมานี้ก็ให้ปล่อยเขาในปีเสียงแตร ทั้งเขาพร้อมกับลูกของเขา
ลนต 26.9 เพราะเราจะคิดถึงเจ้า จะกระทำให้เจ้ามีลูกดกและทวีมากขึ้น และตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับเจ้า
ลนต 27.26 แต่ลูกสัตว์หัวปีนั้นอย่าให้ใครนำมาถวาย เพราะที่เป็นสัตว์หัวปีก็ตกเป็นของพระเยโฮวาห์แล้ว วัวก็ดี แกะก็ดี เป็นของพระเยโฮวาห์
กดว 7.13 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล และชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.14 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.19 เขาถวายของถวายของเขาเป็นจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.20 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.25 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.26 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.31 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.32 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.37 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.38 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.43 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.44 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.49 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.50 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.55 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.56 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.61 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.62 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.67 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.68 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.73 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.74 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.79 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.80 ช้อนทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
กดว 7.84 ต่อไปนี้เป็นของถวายในงานมอบถวายแท่นบูชาจากประมุขของคนอิสราเอล ในวันที่มีพิธีเจิมแท่นบูชานั้นคือจานเงินสิบสองลูก ชามเงินสิบสองลูก ช้อนทองคำสิบสองลูก
กดว 7.85 จานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล และชามลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล เงินที่ทำภาชนะทั้งหมดหนักสองพันสี่ร้อยเชเขล ตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์
กดว 7.86 ช้อนทองคำสิบสองลูกมีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม หนักลูกละสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ทองคำที่ทำช้อนทั้งหมดหนักหนึ่งร้อยยี่สิบเชเขล
กดว 14.3 พระเยโฮวาห์นำเราเข้ามาในประเทศนี้ให้ตายด้วยดาบทำไมเล่า ลูกเมียของเราต้องตกเป็นเหยื่อ ที่เราจะกลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ”
กดว 14.31 แต่ลูกเล็กที่เจ้าทั้งหลายว่าจะเป็นเหยื่อนั้นเราจะพาเขาทั้งหลายเข้าไป และเขาจะรู้จักแผ่นดินที่เจ้าทั้งหลายได้สบประมาท
กดว 16.27 ดังนั้นเขาทั้งหลายก็ออกไปให้ห่างจากเต็นท์ของโคราห์ ดาธาน และอาบีรัม และดาธานกับอาบีรัมออกมายืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน พร้อมกับภรรยา บุตรชายและลูกเล็กๆของเขา
กดว 19.15 ภาชนะทุกลูกที่ไม่มีฝาปิดต้องเป็นมลทิน
กดว 32.16 แล้วเขาทั้งหลายเข้ามาใกล้ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะสร้างคอกสำหรับฝูงแพะแกะที่นี่ และสร้างเมืองสำหรับลูกเด็กเล็กๆทั้งหลาย
พบญ 4.9 แต่จงระวังตัว และรักษาจิตวิญญาณของตัวให้ดี เกรงว่าพวกท่านจะลืมสิ่งซึ่งนัยน์ตาได้เห็นนั้น และเกรงว่าสิ่งเหล่านั้นจะหันไปเสียจากใจของท่านตลอดวันคืนแห่งชีวิตของพวกท่าน จงสอนเรื่องเหล่านี้ให้แก่ลูกของพวกท่านและหลานของพวกท่านว่า
พบญ 4.25 เมื่อพวกท่านมีลูกและมีหลานและได้อยู่ในแผ่นดินนั้นมาช้านาน และท่านกระทำตัวให้เสื่อมทรามโดยการทำรูปเคารพสลักเป็นสัญฐานสิ่งใด และกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นการยั่วยุให้พระองค์ทรงกริ้วโกรธ
พบญ 12.17 ส่วนสิบชักหนึ่งของพืช หรือน้ำองุ่น หรือน้ำมัน หรือลูกคอกรุ่นแรกจากฝูงวัวหรือฝูงแพะแกะ หรือของถวายปฏิญาณตามที่ท่านปฏิญาณไว้ หรือของถวายตามใจสมัคร หรือของที่ท่านนำมายื่นถวาย ท่านทั้งหลายอย่ารับประทานภายในประตูเมืองของท่าน
พบญ 22.6 ถ้าท่านเผอิญไปพบรังนกอยู่ตามทาง บนต้นไม้หรือพื้นดิน มีลูกนกหรือไข่และแม่นกกกอยู่บนลูกนกหรือไข่นั้น ท่านอย่าเอาแม่นกกับลูกนกไป
พบญ 22.7 ท่านจงปล่อยแม่นกไปเสีย แต่ลูกนกนั้นท่านจะเอาไปเป็นของท่านก็ได้ เพื่อท่านจะไปดีมาดี และท่านจะมีอายุยืนนาน
พบญ 24.6 อย่าให้ผู้ใดยึดโม่หรือหินโม่ลูกปฏิญาณไว้เป็นประกัน เพราะสิ่งที่ยึดเป็นประกันนั้นเขาใช้เลี้ยงชีพของเขา
พบญ 28.4 ผลแห่งตัวของท่าน ผลแห่งพื้นดินของท่านและผลแห่งสัตว์ของท่านจะรับพระพร คือฝูงวัวของท่านที่เพิ่มขึ้น ฝูงแกะของท่านที่เพิ่มลูกขึ้น
พบญ 28.54 ผู้ชายสำรวยและสำอางเหลือเกินในหมู่พวกท่านทั้งหลาย ตาเขาจะชั่วร้ายต่อพี่น้องของตน ต่อภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกของตนและต่อลูกๆคนสุดท้ายที่เหลืออยู่กับตน
พบญ 28.55 จนเขาจะไม่ยอมให้ใครกินเนื้อลูกของตนซึ่งกำลังกินอยู่ เพราะไม่มีอะไรเหลือให้เขาอีกแล้วในการล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทั้งหลายทุกข์ลำบากทุกประตูเมือง
พบญ 32.11 เหมือนนกอินทรีที่กวนรังของมัน กระพือปีกอยู่เหนือลูกโต กางปีกออกรองรับลูกไว้ให้เกาะอยู่บนปีก
พบญ 33.9 ผู้กล่าวถึงบิดามารดาของเขาว่า ‘ข้าพเจ้ามิได้เห็นเขา’ เขาไม่จำพี่น้องของเขา และไม่รู้จักลูกของตนเอง เพราะว่าเขาปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ และรักษาพันธสัญญาของพระองค์
พบญ 33.22 และท่านกล่าวถึงดานว่า “ดานเป็นลูกสิงโตที่กระโดดมาจากเมืองบาชาน”
ยชว 1.14 จงให้ภรรยาของท่านทั้งหลาย ลูกเล็กของท่าน และฝูงสัตว์ของท่านอยู่ในแผ่นดินซึ่งโมเสสยกให้ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ แต่ผู้ชายที่ชำนาญศึกทั้งหลายในพวกท่านต้องถืออาวุธข้ามไปเป็นทัพหน้า เพื่อช่วยพี่น้องของตน
ยชว 7.19 ฝ่ายโยชูวาจึงกล่าวแก่อาคานว่า “ลูกเอ๋ย จงถวายสง่าราศีแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล และจงสารภาพต่อพระองค์ จงบอกข้ามาว่าเจ้าได้กระทำอะไรไป อย่าปิดบังไว้จากข้าเลย”
ยชว 15.19 นางตอบว่า “ขอของขวัญให้ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เมื่อพ่อให้ลูกมาอยู่ในแผ่นดินภาคใต้แล้ว ลูกขอน้ำพุด้วย” คาเลบก็ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง
วนฉ 1.15 นางจึงตอบท่านว่า “ขอของขวัญให้ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เมื่อพ่อให้ลูกมาอยู่ในแผ่นดินภาคใต้แล้ว ลูกขอน้ำพุด้วย” และคาเลบก็ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง
วนฉ 6.30 แล้วชาวเมืองจึงบอกโยอาชว่า “จงมอบลูกของเจ้านั้นมาให้ประหารชีวิตเสีย เพราะเขาได้พังแท่นของพระบาอัลและโค่นเสารูปเคารพที่อยู่ข้างแท่นนั้น”
วนฉ 11.2 ภรรยาแท้ของกิเลอาดคลอดบุตรชายหลายคน และเมื่อพวกบุตรเหล่านั้นโตขึ้นแล้ว จึงผลักไสเยฟธาห์ออกไปเสียโดยกล่าวว่า “เจ้าจะมีส่วนในมรดกของครอบครัวบิดาเราไม่ได้ เพราะเจ้าเป็นลูกของหญิงคนอื่น”
วนฉ 11.36 เธอจึงพูดกับพ่อว่า “คุณพ่อขา เมื่อคุณพ่อออกปากสัญญากับพระเยโฮวาห์ไว้อย่างไร ขอคุณพ่อกระทำกับลูกตามคำที่ออกจากปากของคุณพ่อเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงแก้แค้นคนอัมโมนศัตรูเพื่อคุณพ่อแล้ว”
วนฉ 11.37 และเธอพูดกับบิดาของเธอว่า “ขอให้ลูกอย่างนี้เถิด ขอปล่อยลูกไว้สักสองเดือน ลูกจะได้จากบ้านและลงไปบนภูเขา ร้องไห้คร่ำครวญถึงความเป็นพรหมจารีของลูก ลูกกับเพื่อนๆของลูก”
วนฉ 17.2 เขาพูดกับมารดาของเขาว่า “เงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยแผ่น ซึ่งมีคนลักไปจากแม่และแม่ก็ได้สาปแช่ง และพูดเข้าหูฉันนั้น ดูเถิด เงินนั้นอยู่ที่ฉัน ฉันเอาไปเอง” มารดาของเขาจึงพูดว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรให้ลูกของแม่เถิด”
วนฉ 17.3 เขาจึงนำเงินพันหนึ่งร้อยแผ่นนั้นมาคืนให้แก่มารดา และมารดาของเขาพูดว่า “เงินรายนี้แม่ได้ถวายแล้วแด่พระเยโฮวาห์จากมือแม่เพื่อลูกให้ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อ บัดนี้แม่จึงคืนให้แก่เจ้า”
วนฉ 17.11 เลวีคนนั้นก็พอใจที่จะอยู่กับชายคนนั้น และชายหนุ่มคนนั้นก็เป็นเหมือนลูกของเขา
นรธ 2.19 แม่สามีจึงกล่าวแก่นางว่า “วันนี้ลูกไปเก็บข้าวตกที่ไหนมา ลูกไปทำงานที่ไหน ขอให้ชายที่เอาใจใส่ลูกได้รับพระพรเถิด” นางจึงบอกแก่แม่สามีให้ทราบว่านางไปทำงานกับผู้ใด นางว่า “ผู้ชายที่ฉันไปทำงานด้วยในวันนี้นั้นชื่อโบอาส”
1ซมอ 2.24 ลูกเราเอ๋ย อย่าทำเลย เพราะเรื่องที่เราได้ยินไม่ดีเลย ลูกทำให้ประชาชนของพระเยโฮวาห์ทำการละเมิด
1ซมอ 3.6 และพระเยโฮวาห์ทรงเรียกขึ้นอีกว่า “ซามูเอลเอ๋ย” และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า” แต่เอลีตอบว่า “ลูกเอ๋ย เรามิได้เรียกเจ้า จงนอนอีก”
1ซมอ 4.16 ชายคนนั้นบอกเอลีว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนที่มาจากแนวรบ ข้าพเจ้าหนีมาจากแนวรบวันนี้” เอลีก็ถามว่า “ลูกเอ๋ย เป็นอย่างไรบ้าง”
1ซมอ 6.4 และเขากล่าวว่า “จัดอะไรเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดเล่า ที่เราจะต้องถวายให้พระองค์” เขาทั้งหลายตอบว่า “ลูกริดสีดวงทวารขั้นรุนแรงทองคำห้าลูกกับหนูทองคำห้าตัว ตามจำนวนเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตีย เพราะว่าโรคอย่างเดียวกันนั้นติดต่อท่านทั้งหลายและเจ้านายด้วย
1ซมอ 6.7 ฉะนั้นบัดนี้จงเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งมาเทียมเข้ากับแม่วัวคู่หนึ่งซึ่งยังไม่เคยเข้าเทียมแอกเลย จงเอาแม่วัวมาเทียมเกวียนแล้วพรากลูกๆของมันกลับไปบ้านเสียให้พ้นจากมัน
1ซมอ 6.10 คนเหล่านั้นก็กระทำตาม นำเอาแม่วัวคู่หนึ่งเทียมเข้ากับเกวียน แล้วขังลูกๆของมันไว้ที่บ้าน
1ซมอ 17.55 เมื่อซาอูลทรงเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย จึงตรัสถามอับเนอร์แม่ทัพของพระองค์ว่า “อับเนอร์ ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร” และอับเนอร์ทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระองค์ไม่ทราบ”
1ซมอ 17.56 กษัตริย์จึงรับสั่งว่า “ไปสืบถามดูว่า เจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นลูกของใคร”
1ซมอ 17.58 ซาอูลจึงตรัสถามเขาว่า “เจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าเป็นลูกของใคร” และดาวิดทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นบุตรของเจสซีชาวเบธเลเฮมผู้รับใช้ของพระองค์”
1ซมอ 20.20 ฉันจะยิงลูกธนูสามลูกไปข้างๆที่นั่น อย่างกับว่าฉันยิงเป้า
1ซมอ 20.30 แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน พระองค์ตรัสกับท่านว่า “เจ้า ลูกของหญิงกบฏและวิปลาส ข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเลือกบุตรเจสซีมาให้ความอับอายแก่เจ้าเองและให้ความอับอายแก่ความเปลือยเปล่าแห่งแม่ของเจ้า
1ซมอ 20.31 ตราบใดที่ลูกของเจสซีมีชีวิตอยู่บนดิน ตัวเจ้าหรือราชอาณาจักรของเจ้าก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงใช้คนไปตามเขามาให้เรา เพราะเขาจะต้องตายแน่”
1ซมอ 20.36 และท่านสั่งเด็กนั้นว่า “จงวิ่งไปหาลูกธนูที่ฉันยิงไป” เมื่อเด็กนั้นวิ่งไป โยนาธานก็ยิงธนูลูกหนึ่งขึ้นหน้าไป
1ซมอ 22.8 เจ้าทั้งหลายจึงได้คิดกบฏต่อเรา ไม่มีใครแจ้งแก่เราเลย เมื่อลูกของเราทำพันธไมตรีกับบุตรของเจสซีนั้น ไม่มีผู้ใดร่วมทุกข์กับเรา หรือแจ้งแก่เราว่า ลูกของเราปลุกปั่นผู้รับใช้ของเราให้ต่อสู้เรา คอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้”
2ซมอ 13.25 แต่กษัตริย์ตรัสกับอับซาโลมว่า “ลูกเอ๋ย อย่าเลย อย่าให้พวกเราไปกันหมดเลย จะเป็นภาระแก่เจ้าเปล่าๆ” อับซาโลมคะยั้นคะยอพระองค์ ถึงกระนั้นพระองค์มิได้ยอมเสด็จ แต่ทรงอำนวยพระพรให้
2ซมอ 16.11 ดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ว่า “ดูเถิด ลูกของเราเองที่ได้ออกมาจากบั้นเอวของเรายังแสวงหาชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น ทำไมกับคนเบนยามินคนนี้จะไม่กระทำเล่า ช่างเขาเถิด ให้เขาด่าไป เพราะพระเยโฮวาห์ทรงบอกเขาแล้ว
2ซมอ 17.8 หุชัยกราบทูลต่อไปว่า “พระองค์ทรงทราบแล้วว่า เสด็จพ่อและคนที่อยู่ด้วยเป็นทหารแข็งกล้า และเขาทั้งหลายกำลังโกรธเหมือนหมีที่ลูกถูกลักเอาไปในป่า นอกจากนั้นเสด็จพ่อของพระองค์ทรงชำนาญศึก ท่านคงไม่พักอยู่กับพวกพล
2ซมอ 18.22 อาหิมาอัสบุตรชายศาโดกจึงเรียนโยอาบอีกว่า “จะอย่างไรก็ช่างเถิด ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งตามคูชีไปด้วย” โยอาบตอบว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจะวิ่งไปทำไม ด้วยว่าเจ้าไม่มีข่าวที่จะส่งไป”
1พกษ 7.20 บัวคว่ำซึ่งอยู่บนเสาสองต้นนั้นมีลูกทับทิมด้วย และอยู่เหนือคิ้วซึ่งอยู่ถัดตาข่าย มีลูกทับทิมสองร้อยลูกอยู่ล้อมรอบเป็นสองแถว บัวคว่ำอีกอันหนึ่งก็มีเหมือนกัน
1พกษ 7.24 ใต้ขอบเป็นลูกดอกตูม ในระยะหนึ่งศอกมีลูกดอกตูมสิบลูก อยู่รอบขันสาคร ดอกตูมอยู่สองแถวหล่อพร้อมกับเมื่อหล่อขันสาคร
1พกษ 7.38 ท่านทำขันทองสัมฤทธิ์สิบลูก ขันลูกหนึ่งจุสี่สิบบัท ขนาดขันลูกหนึ่งสี่ศอก มีขันแท่นละลูกทั้งสิบแท่น
1พกษ 7.43 แท่นสิบแท่น และขันสิบลูกซึ่งอยู่บนแท่น
1พกษ 7.44 และขันสาครลูกหนึ่ง และวัวสิบสองตัวที่อยู่ใต้ขันสาคร
1พกษ 19.6 และท่านก็มองดู ดูเถิด ตรงที่ศีรษะของท่านมีขนมปังที่ปิ้งบนก้อนหินร้อนและมีไหน้ำลูกหนึ่ง ท่านก็รับประทานและดื่ม และนอนลงอีก
1พกษ 20.7 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ทั้งปวงของแผ่นดินตรัสว่า “ขอตรองดูเถิด ดูว่าชายผู้นี้หาช่องก่อความลำบาก เพราะเขาให้คนมารับเมียและลูกของฉัน ทั้งเงินและทองคำของฉัน และฉันก็มิได้ปฏิเสธเขา”
2พกษ 2.20 ท่านพูดว่า “จงเอาชามใหม่มาลูกหนึ่ง ใส่เกลือไว้ในนั้น” แล้วเขาทั้งหลายก็หามาให้
2พกษ 4.4 แล้วจงเข้าไปในเรือน ปิดประตูขังตัวเจ้าและบุตรชายของเจ้าไว้ และจงเทน้ำมันใส่ภาชนะทั้งหมด เมื่อลูกหนึ่งๆเต็มแล้วก็ตั้งไว้ต่างหาก”
2พกษ 4.6 และอยู่มาเมื่อภาชนะเต็มหมดแล้วนางจึงบอกบุตรชายว่า “เอาภาชนะมาให้แม่อีกลูกหนึ่ง” และเขาตอบนางว่า “ไม่มีอีกแล้ว” แล้วน้ำมันก็หยุดไหล
2พกษ 4.38 เอลีชามาถึงกิลกาลอีก เมื่อแผ่นดินเกิดกันดารอาหาร และเมื่อเหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์นั่งอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านก็บอกกับคนใช้ของท่านว่า “จงตั้งหม้อลูกใหญ่และต้มข้าวให้แก่เหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์”
2พกษ 17.31 และชาวอิฟวาห์สร้างพระนิบหัสและพระทารทัก และชาวเสฟารวาอิมเผาลูกของตนในไฟถวายพระอัดรัมเมเลคและพระอานัมเมเลค ซึ่งเป็นพระของเมืองเสฟารวาอิม
2พกษ 17.41 ประชาชาติเหล่านี้จึงเกรงกลัวพระเยโฮวาห์ และปรนนิบัติรูปเคารพสลักของเขาด้วย ลูกของเขาก็เช่นเดียวกัน หลานของเขาก็เช่นเดียวกัน บรรพบุรุษของเขาทำอย่างไร เขาก็กระทำอย่างนั้นจนทุกวันนี้
2พกษ 20.18 และลูกบางคนซึ่งถือกำเนิดจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาแก่เจ้า จะถูกนำเอาไป และเขาจะเป็นขันทีในวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน”
2พกษ 25.16 ส่วนเสาสองต้น ขันสาครหนึ่งลูก และเชิงซึ่งซาโลมอนทรงสร้างสำหรับพระนิเวศของพระเยโฮวาห์นั้น ทองสัมฤทธิ์ของภาชนะทั้งหมดนี้ก็เหลือที่จะชั่งได้
1พศด 22.7 ดาวิดรับสั่งซาโลมอนว่า “ลูกเอ๋ย เรามีใจประสงค์ที่จะสร้างพระนิเวศถวายพระนามแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา
1พศด 22.11 นี่แหละ ลูกของข้าเอ๋ย ขอพระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับเจ้า และขอให้เจ้ามีความสำเร็จ และสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าสำเร็จดังที่พระองค์ตรัสถึงเรื่องเจ้า
1พศด 28.6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ซาโลมอนบุตรชายของเจ้าจะสร้างนิเวศของเราและลานนิเวศของเรา เพราะเราได้เลือกเขาให้เป็นลูกของเรา และเราจะเป็นพ่อของเขา
1พศด 28.17 และขอเกี่ยวเนื้อ ชาม กับคนโทเป็นทองคำบริสุทธิ์ ชามทองคำและน้ำหนักทองคำของแต่ละลูก ชามเงินและน้ำหนักเงินของแต่ละลูก
2พศด 3.16 พระองค์ทรงทำลูกโซ่เหมือนในห้องหลังติดไว้ที่ยอดเสา และพระองค์ทรงทำทับทิมหนึ่งร้อยลูกแขวนไว้ที่โซ่
2พศด 4.3 ภายใต้ขันนี้มีรูปวัวอยู่รอบขันสาคร ในระยะหนึ่งศอกมีรูปวัวสิบลูก อยู่รอบขันสาคร วัวเหล่านี้เป็นสองแถว หล่อพร้อมกับเมื่อหล่อขันสาคร
2พศด 4.6 พระองค์ทรงทำขันสิบลูก วางอยู่ด้านขวาห้าลูก ด้านซ้ายห้าลูก เพื่อใช้ล้างของในนั้น เขาจะล้างของซึ่งใช้เป็นเครื่องเผาบูชาในนี้ ขันสาครนั้นสำหรับให้ปุโรหิตล้างในนั้น
2พศด 4.8 พระองค์ทรงสร้างโต๊ะสิบตัวด้วย และตั้งไว้ในพระวิหาร อยู่ด้านขวาห้าตัวด้านซ้ายห้าตัว และพระองค์ทรงทำชามทองคำหนึ่งร้อยลูก
2พศด 4.13 และลูกทับทิมสี่ร้อยลูกสำหรับตาข่ายทั้งสองผืน ตาข่ายผืนหนึ่งมีลูกทับทิมสองแถว เพื่อคลุมคิ้วทั้งสองของบัวคว่ำซึ่งอยู่บนยอดเสา
2พศด 4.15 และขันสาครลูกหนึ่ง และวัวสิบสองตัวรองอยู่นั้น
2พศด 24.8 กษัตริย์จึงทรงบัญชาและเขาได้ทำหีบลูกหนึ่งวางไว้นอกประตูพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พศด 31.18 และขึ้นทะเบียนทั้งลูกเล็กๆของเขา ภรรยาของเขา บุตรชายบุตรสาวของเขามวลชนทั้งสิ้น เพราะในตำแหน่งหน้าที่นั้นเขาทั้งหลายได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์
อสร 8.27 ชามทองคำยี่สิบลูกมีค่าหนึ่งพันดาริค และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์เนื้อละเอียดสุกใสสองลูกมีค่าเท่ากับทองคำ
อสร 10.3 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ให้เรากระทำพันธสัญญากับพระเจ้าของเราที่จะทิ้งภรรยาและลูกเหล่านี้ซึ่งเกิดมาจากเขาทั้งหลายเสียทั้งสิ้น ตามคำปรึกษาของเจ้านายของข้าพเจ้า และของบรรดาผู้ที่สั่นสะท้านด้วยพระบัญญัติของพระเจ้าของเราทั้งหลาย และขอให้กระทำตามพระราชบัญญัติเถิด
นหม 3.3 และลูกหลานของหัสเสนาอาห์ได้สร้างประตูปลา เขาได้วางวงกบและได้ตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
นหม 3.6 และเยโฮยาดาบุตรชายปาเสอาห์ และเมชุลลามบุตรชายเบโสไดอาห์ได้ซ่อมแซมประตูเก่า เขาวางวงกบและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
นหม 3.13 ฮานูนและชาวเมืองศาโนอาห์ได้ซ่อมแซมประตูหุบเขา เขาสร้างประตูขึ้นใหม่และตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู และซ่อมแซมกำแพงระยะพันศอกไกลไปจนถึงประตูกองขยะ
นหม 3.14 มัลคิยาห์บุตรชายเรคาบ ผู้ปกครองส่วนหนึ่งของแขวงเบธฮัคเคเรม ได้ซ่อมประตูกองขยะ เขาสร้างและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
นหม 3.15 ชัลลูนบุตรชายคลโฮเซห์ ผู้ปกครองส่วนหนึ่งของแขวงมิสปาห์ ได้ซ่อมแซมประตูน้ำพุ ได้สร้างประตู สร้างมุงและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู ท่านได้สร้างกำแพงสระชิโลอาห์ตรงไปทางราชอุทยานไกลไปจนถึงบันไดซึ่งลงไปจากนครดาวิด
นหม 5.5 เนื้อของเราเป็นเหมือนเนื้อพี่น้องของเรา ลูกของเราก็เหมือนลูกของเขา แต่ดูเถิด เราก็ยังให้บุตรชายและบุตรสาวของเราเป็นทาส บุตรสาวของเราบางคนเป็นทาสแล้ว และเราไม่มีกำลังที่จะไถ่เขาเลย เพราะคนอื่นยึดนาและสวนองุ่นของเรา”
นหม 7.70 ประมุขของบรรพบุรุษบางคนได้ถวายให้แก่งาน ผู้ว่าราชการถวายเข้าพระคลังเป็นทองคำหนึ่งพันดาริค ชามห้าสิบลูก เสื้อปุโรหิตห้าร้อยสามสิบตัว
โยบ 3.16 หรือทำไมข้าไม่เป็นอย่างลูกที่แท้งซึ่งซ่อนไว้ อย่างทารกซึ่งไม่เคยเห็นแสงสว่าง
โยบ 4.11 สิงโตแก่พินาศเพราะขาดเหยื่อ และลูกของสิงโตที่แข็งแรงก็กระจัดกระจายไป
โยบ 11.12 แต่คนไร้ค่าอยากฉลาด ถึงแม้ว่ามนุษย์เกิดมาเหมือนลูกลาป่า
โยบ 15.33 เขาจะเป็นประดุจเถาองุ่นที่เขย่าลูกองุ่นดิบของมัน และเป็นดังต้นมะกอกเทศที่สลัดทิ้งดอกบานของมัน
โยบ 18.19 เขาจะไม่มีลูกหรือหลานท่ามกลางประชาชนของเขา และจะไม่มีใครเหลืออยู่ในที่ซึ่งเขาเคยอาศัยอยู่
โยบ 19.17 ลมหายใจข้าเป็นที่ขยะแขยงแก่ภรรยาของข้า ถึงแม้ข้าได้อ้อนวอนเพื่อลูกๆที่บังเกิดแก่ข้าเอง
โยบ 24.21 เขารีดเอาจากหญิงหมันที่ไม่มีลูก และไม่ทำดีอะไรให้แก่หญิงม่าย
โยบ 28.8 ลูกสิงโตไม่เคยเดินที่นั่น สิงโตดุร้ายไม่ผ่านมาที่นั่น
โยบ 30.8 เขาเป็นลูกของคนถ่อย เออ เป็นลูกของคนเสียชื่อ เขาถูกกวาดออกไปเสียจากแผ่นดิน
โยบ 38.32 เจ้านำดาวนักษัตรออกมาตามฤดูของมันได้หรือ หรือเจ้านำทางของหมู่ดาวจระเข้และลูกของมันได้ไหม
โยบ 39.16 มันรุนแรงต่อลูกอ่อนของมันอย่างกับว่าไม่ใช่ลูกของมัน ถึงมันจะเหนื่อยเปล่า มันก็ไม่กลัว
โยบ 41.28 ลูกธนูทำให้มันหนีไปไม่ได้ หินลูกสลิงก็กลายเป็นตอข้าว
สดด 75.8 เพราะในพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์มีถ้วยลูกหนึ่ง มีน้ำองุ่นเป็นฟอง ประสมไว้ดี พระองค์ทรงเทของดื่มจากถ้วยนั้นและคนชั่วของแผ่นดินโลกทั้งสิ้นจะดื่มหมดทั้งตะกอน
สดด 105.24 และพระเจ้าทรงกระทำให้ประชาชนของพระองค์มีลูกดก และทรงกระทำให้เขาแข็งแรงกว่าคู่อริของเขา
สดด 107.16 เพราะพระองค์ทรงพังประตูทองสัมฤทธิ์และทรงตัดซี่ลูกกรงเหล็กเสีย
สดด 109.9 ขอให้ลูกของเขากำพร้าพ่อ และภรรยาของเขาเป็นม่าย
สดด 109.10 ขอให้ลูกของเขาต้องเร่ร่อนขอทานเรื่อยไป ขอให้เขาหาอาหารจากที่รกร้างว่างเปล่าของเขา
สดด 128.3 ภรรยาของท่านจะเป็นอย่างเถาองุ่นลูกดกอยู่ข้างบ้านของท่าน ลูกๆของท่านจะเป็นเหมือนหน่อมะกอกเทศรอบโต๊ะของท่าน
สดด 144.13 เพื่อยุ้งฉางของข้าพระองค์ทั้งหลายจะเต็ม มีของบรรจุอยู่ทุกอย่าง เพื่อแกะของข้าพระองค์ทั้งหลายมีลูกตั้งพันตั้งหมื่นตามถนนของข้าพระองค์ทั้งหลาย
สดด 147.9 พระองค์ทรงประทานอาหารแก่สัตว์และแก่ลูกกาที่ร้อง
สภษ 17.12 ให้คนไปพบแม่หมีที่ลูกถูกขโมยไป ยังดีกว่าไปพบคนโง่ในความโง่ของเขา
สภษ 30.15 ปลิงมีลูกตัวเมียสองตัว มันร้องว่า “ให้ ให้” แต่สิ่งสามสิ่งนี้ไม่เคยอิ่ม เออ สี่สิ่งไม่เคยพูดว่า “พอแล้ว”
สภษ 31.2 อะไรเล่า ลูกแม่เอ๋ย อะไรเล่า ลูกแห่งท้องแม่เอ๋ย อะไรเล่า ลูกแห่งคำปฏิญาณของแม่เอ๋ย
สภษ 31.28 ลูกๆของเธอตื่นขึ้นมาก็ชมเชยเธอ สามีของเธอก็สรรเสริญเธอ
พซม 4.5 ถันทั้งสองของเธอเหมือนลูกละมั่งสองตัวซึ่งเป็นละมั่งฝาแฝดที่กำลังหากินในท่ามกลางหมู่ดอกบัว
พซม 5.5 ดิฉันลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ที่รักของดิฉัน และมือของดิฉันทำให้มดยอบหยด และนิ้วของดิฉันทำให้น้ำมดยอบย้อยบนลูกสลักกลอน
พซม 7.3 ถันทั้งสองของเธอเหมือนลูกละมั่งสองตัวซึ่งเป็นละมั่งฝาแฝด
อสย 5.2 ท่านทำรั้วไว้รอบแล้วเก็บก้อนหินออกหมดและปลูกเถาองุ่นอย่างดีไว้ ท่านสร้างหอเฝ้าไว้ท่ามกลาง และสกัดบ่อย่ำองุ่นไว้ในสวนนั้นด้วย ท่านมุ่งหวังว่ามันจะบังเกิดลูกองุ่น แต่มันบังเกิดลูกเถาเปรี้ยว
อสย 5.4 มีอะไรอีกที่จะทำได้เพื่อสวนองุ่นของเรา ซึ่งเรายังไม่ได้ทำให้ ก็เมื่อเรามุ่งหวังว่ามันจะบังเกิดลูกองุ่น ไฉนมันจึงเกิดลูกเถาเปรี้ยว
อสย 9.18 เพราะความชั่วก็ไหม้เหมือนไฟไหม้ มันจะผลาญทั้งหนามย่อยและหนามใหญ่ มันจะจุดไฟเข้าที่ป่าทึบ และป่าทึบก็จะม้วนขึ้นข้างบนเหมือนควันเป็นลูก
อสย 11.7 แม่วัวกับหมีจะกินด้วยกัน ลูกของมันก็จะนอนอยู่ด้วยกัน และสิงโตจะกินฟางเหมือนวัวผู้
อสย 14.21 จงเตรียมสังหารลูกๆของเขาเถิด เพราะความชั่วช้าแห่งบิดาของเขา เกรงว่าเขาทั้งหลายจะลุกขึ้นเป็นเจ้าของแผ่นดิน และกระทำให้พื้นโลกเต็มไปด้วยหัวเมือง’”
อสย 16.2 เหมือนนกที่กำลังบินหนีอย่างลูกนกที่พลัดรัง ธิดาของโมอับจะเป็นอย่างนั้นตรงท่าลุยข้ามแม่น้ำอารโนน
อสย 17.6 จะมีผลองุ่นเหลืออยู่บ้างในนั้น เหมือนอย่างเมื่อตีต้นมะกอกเทศให้ลูกหล่น จะมีเหลืออยู่ที่ยอดสูงที่สุดสองสามลูก หรือที่เหลือบนกิ่งไม้ ผลสี่ห้าลูก พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้แหละ
อสย 30.9 เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็นชนชาติดื้อดึง เป็นลูกขี้ปด เป็นหลานที่ไม่ยอมฟังพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์
อสย 38.19 คนเป็น คนเป็น เขาจะสรรเสริญพระองค์ อย่างที่ข้าพระองค์กระทำในวันนี้ บิดาจะได้สำแดงความจริงของพระองค์แก่ลูกของเขา
อสย 39.7 และลูกบางคนซึ่งถือกำเนิดจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาแก่เจ้าจะถูกนำเอาไป และเขาจะเป็นขันทีในวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน”
อสย 45.2 “เราจะไปข้างหน้าเจ้า และปราบที่คดให้เป็นที่ตรง เราจะพังประตูทองสัมฤทธิ์ให้เป็นชิ้นๆ และตัดลูกกรงเหล็กให้ขาด
อสย 47.8 ฉะนั้น เจ้าผู้รักความเพลิดเพลิน จงฟังเรื่องนี้ คือผู้นั่งอย่างไร้กังวล ผู้คิดในใจของตนว่า “ข้านี่แหละ และไม่มีผู้ใดอื่นอีก ข้าจะไม่นั่งอยู่เป็นแม่ม่าย หรือรู้จักที่จะพรากจากลูก”
อสย 47.9 ทั้งสองเรื่องนี้จะมาถึงเจ้าในขณะเดียวกันในวันเดียว คือความที่ต้องพรากจากลูกและความที่เป็นแม่ม่าย จะมาถึงเจ้าอย่างเต็มขนาดทั้งที่มีวิทยาคมเป็นอันมาก และอานุภาพใหญ่ยิ่งในเวทมนตร์ของเจ้า
อสย 49.20 เด็กที่เกิดแก่เจ้าหลังจากลูกเสียไปแล้ว จะพูดที่หูของเจ้าอีกว่า ‘ที่นี้แคบเกินสำหรับฉันแล้ว จงหาที่ให้ฉันอยู่’
อสย 49.21 แล้วเจ้าจะกล่าวในใจของเจ้าว่า ‘ใครหนอได้ให้กำเนิดคนเหล่านี้แก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าสูญเสียลูกๆไปแล้ว และข้าพเจ้าก็โดดเดี่ยว ถูกกวาดไปเป็นเชลยและย้ายไปโน่นมานี่ แต่ใครหนอชุบเลี้ยงคนเหล่านี้ ดูเถิด ข้าพเจ้าถูกทิ้งอยู่ตามลำพัง แล้วคนเหล่านี้มาจากไหนกัน’”
อสย 57.4 เจ้าทั้งหลายพูดเย้ยหยันใคร เจ้าอ้าปากเย้ยแลบลิ้นหลอกผู้ใด เจ้าเป็นลูกแห่งการละเมิด เป็นเชื้อสายแห่งความมุสามิใช่หรือ
อสย 57.5 คือเจ้าผู้ร้อนเร่าด้วยรูปเคารพภายใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น ผู้ฆ่าลูกของเจ้าในหุบเขาใต้ซอกหิน
อสย 59.5 เขาฟักไข่งูทับทาง เขาทอใยแมงมุม เขาผู้กินไข่นั้นก็ตาย แม้ไข่ลูกใดถูกทุบ งูร้ายก็เป็นตัวขึ้นมา
อสย 65.23 เขาทั้งหลายจะไม่ทำงานโดยเปล่าประโยชน์ หรือคลอดบุตรเพื่อความสยดสยอง เพราะเขาเป็นเชื้อสายของผู้ที่ได้รับพรของพระเยโฮวาห์ กับลูกๆของเขาด้วย
ยรม 3.6 พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าในรัชกาลของกษัตริย์โยสิยาห์ว่า “เธอทำอะไรเจ้าเห็นหรือ คืออิสราเอลผู้กลับสัตย์ เธอขึ้นไปบนภูเขาสูงทุกลูก และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น แล้วก็ไปเล่นชู้อยู่ที่นั่น
ยรม 3.23 แท้จริงความหวังว่าจะได้ความรอดจากเนินเขาและจากภูเขาหลายลูกก็เป็นความไร้สาระ แท้จริงความรอดของอิสราเอลนั้นอยู่ในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา
ยรม 10.20 เต็นท์ของข้าพเจ้าก็ถูกทำลาย และเชือกของข้าพเจ้าก็ขาดสิ้น ลูกๆของข้าพเจ้าจากข้าพเจ้าไปหมด และไม่มีเขาอีกแล้ว ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะกางเต็นท์ให้ข้าพเจ้าอีก และแขวนม่านของข้าพเจ้าให้
ยรม 13.12 ฉะนั้นเจ้าจงกล่าวถ้อยคำนี้แก่เขาทั้งหลาย พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘น้ำองุ่นจะเต็มไหทุกลูก’ และเขาทั้งหลายจะพูดกับเจ้าว่า ‘เราไม่รู้หรือว่าน้ำองุ่นจะต้องเต็มไหทุกลูก’
ยรม 13.14 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะเหวี่ยงเขาทั้งหลายให้ชนกันและกัน พวกพ่อก็ชนพวกลูก เราจะไม่สงสาร หรือไม่ไว้ชีวิต หรือไม่เมตตา แต่เราจะทำลายเขา”
ยรม 14.5 แม้กวางตัวเมียที่อยู่ในท้องทุ่งก็ละทิ้งลูกที่ตกใหม่ของมันเสีย เพราะว่าไม่มีหญ้า
ยรม 15.7 เราจะซัดเขาด้วยส้อมซัดข้าวในบรรดาประตูเมืองแห่งแผ่นดินนั้น เราจะทำให้ลูกของเขาทั้งหลายตาย เราจะทำลายประชาชนของเรา เพราะเขาทั้งหลายมิได้หันกลับจากพฤติการณ์ของเขา
ยรม 16.16 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ดูเถิด เราจะส่งชาวประมงมาเป็นอันมาก และเขาจะจับเขาทั้งหลาย ภายหลังเราจะให้เขาพาพรานมาเป็นอันมาก พรานจะล่าเขาทั้งหลายตามภูเขาทุกแห่งและตามเนินเขาทุกลูกและตามซอกหิน
ยรม 18.4 และภาชนะซึ่งทำด้วยดินก็เสียอยู่ในมือของช่างหม้อ เขาจึงปั้นใหม่ให้เป็นภาชนะอีกลูกหนึ่งตามที่ช่างหม้อเห็นว่าควรทำ
ยรม 19.1 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “จงไปซื้อเหยือกดินของช่างหม้อมาลูกหนึ่ง แล้วพาผู้ใหญ่บางคนของประชาชนและปุโรหิตอาวุโสบางคน
ยรม 23.3 แล้วเราจะรวบรวมฝูงแกะของเราที่เหลืออยู่ออกจากประเทศทั้งปวงซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น และจะนำเขากลับมายังคอกของเขา เขาจะมีลูกดกและทวีมากขึ้น”
ยรม 24.1 หลังจากเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้จับเยโคนิยาห์ราชบุตรของเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ไปเป็นเชลยเสียจากเยรูซาเล็ม พร้อมกับเจ้านายแห่งยูดาห์ ทั้งพวกช่างไม้และช่างเหล็ก และนำเขามายังกรุงบาบิโลนแล้ว พระเยโฮวาห์ก็ทรงสำแดงนิมิตแก่ข้าพเจ้าดังนี้ ดูเถิด มีกระจาดสองลูกใส่มะเดื่อ วางไว้หน้าพระวิหารของพระเยโฮวาห์
ยรม 24.2 กระจาดลูกหนึ่งมีมะเดื่ออย่างดีนัก เหมือนมะเดื่อที่สุกต้นฤดู แต่กระจาดอีกลูกหนึ่งนั้นมีมะเดื่ออย่างเลวทีเดียว เลวจนรับประทานไม่ได้
ยรม 27.7 บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นจะต้องปรนนิบัติตัวเขา ลูกและหลานของเขา จนกว่าเวลากำหนดแห่งแผ่นดินของท่านเองจะมาถึง แล้วหลายประชาชาติและบรรดามหากษัตริย์จะกระทำให้ท่านเป็นทาสของเขาทั้งหลาย
ยรม 31.12 เขาทั้งหลายจึงจะมาร้องเพลงอยู่บนที่สูงแห่งศิโยน และเขาจะไปอย่างราบรื่นเพราะความดีของพระเยโฮวาห์ เพราะเมล็ดข้าว น้ำองุ่น และน้ำมัน และเพราะลูกของแกะและวัว ชีวิตของเขาทั้งหลายจะเหมือนกับสวนที่มีน้ำรด และเขาจะไม่โศกเศร้าอีกต่อไป
ยรม 31.20 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เอฟราอิมเป็นบุตรชายที่รักของเราหรือ เขาเป็นลูกที่รักของเราหรือ เพราะตั้งแต่เราพูดกล่าวโทษเขาตราบใด เราก็ยังระลึกถึงเขาอยู่ตราบนั้น เพราะฉะนั้นจิตใจของเราจึงอาลัยเขา เราจะมีความกรุณาต่อเขาแน่
ยรม 32.8 แล้วฮานัมเอลลูกของอาของข้าพเจ้ามาหาข้าพเจ้าที่บริเวณของทหารรักษาพระองค์ถูกต้องตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ และพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘จงซื้อนาของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ที่อานาโธทในแผ่นดินเบนยามิน เพราะสิทธิของการถือกรรมสิทธิ์และการไถ่เป็นของท่าน จงซื้อไว้เถิด’ แล้วข้าพระองค์จึงทราบว่านี่เป็นพระวจนะของพระเยโฮวาห์
ยรม 32.9 และข้าพระองค์ก็ซื้อนาที่อานาโธทจากฮานัมเอลลูกของอาของข้าพระองค์ และได้ชั่งเงินให้แก่เขา คือเงินสิบเจ็ดเชเขล
ยรม 32.12 และข้าพระองค์ก็มอบโฉนดของการซื้อให้แก่บารุคบุตรชายเนริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายของมาอาเสอาห์ ต่อสายตาของฮานัมเอลลูกของอาของข้าพระองค์ ต่อหน้าพยานผู้ที่ลงนามในโฉนดการซื้อและต่อหน้าบรรดาพวกยิว ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์
ยรม 35.5 แล้วข้าพเจ้าก็วางเหยือกเหล้าองุ่นกับถ้วยหลายลูกไว้หน้าเหล่าบุตรชายแห่งวงศ์วานเรคาบ และข้าพเจ้าพูดกับเขาทั้งหลายว่า “เชิญดื่มเหล้าองุ่น”
ยรม 47.3 เมื่อได้ยินเสียงกีบม้าตัวแข็งแรงของเขากระทืบ และเสียงรถรบของเขากรูกันมา และเสียงล้อรถดังกึกก้อง พวกพ่อก็จะมิได้หันกลับมาดูลูกทั้งหลายของตน เพราะมือของเขาอ่อนเปลี้ยเต็มทีแล้ว
ยรม 51.38 เขาทั้งหลายจะคำรามด้วยกันอย่างสิงโต เขาทั้งหลายจะคำรามอย่างลูกสิงโต
ยรม 52.20 ส่วนเสาสองเสา และขันสาครหนึ่งลูก กับวัวทองสัมฤทธิ์สิบสองตัวซึ่งอยู่ใต้เชิงทั้งหลาย ซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนได้สร้างไว้สำหรับพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ทองสัมฤทธิ์ของสิ่งของเหล่านี้ทั้งสิ้นก็ชั่งกันไม่ไหว
ยรม 52.23 ข้างๆมีลูกทับทิมเก้าสิบหกลูก บนตาข่ายโดยรอบนั้นมีลูกทับทิมทั้งหมดหนึ่งร้อยลูก
พคค 1.16 เพราะเรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้าจึงร้องไห้ นัยน์ตาของข้าพเจ้า เออ นัยน์ตาของข้าพเจ้ามีน้ำตาไหลลงมา เพราะผู้ปลอบโยนที่ควรจะปลอบประโลมใจข้าพเจ้าก็อยู่ไกลจากข้าพเจ้า ลูกๆของข้าพเจ้าก็โดดเดี่ยวอ้างว้าง เพราะพวกศัตรูได้ชัยชนะ”
พคค 2.12 ลูกทั้งหลายถามแม่ของตัวว่า “แม่จ๋า ข้าวและน้ำองุ่นอยู่ที่ไหน” ขณะเมื่อเขาเป็นลมดุจคนที่ถูกบาดเจ็บตามถนนในกรุง เมื่อชีวิตของเขาต้องเทออกที่อกแม่ของเขาทั้งหลาย
พคค 2.20 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทอดพระเนตรและพิจารณาเถิดว่า พระองค์ได้ทรงกระทำการเช่นนี้แก่ผู้ใด ควรที่พวกผู้หญิงจะกินลูกของตนหรือ จะกินทารกที่ยังอุ้มอยู่หรือ พวกปุโรหิตและพวกผู้พยากรณ์ควรจะถูกประหารในสถานบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ
พคค 4.3 แม้แต่สัตว์ประหลาดทะเลยังได้เอานมออกให้ลูกของมันดูด แต่ธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้าก็ใจร้าย ดุจนกกระจอกเทศในถิ่นทุรกันดาร
พคค 4.10 มือของหญิงที่ใจอ่อนกลับเอาลูกของตัวต้มกิน ลูกที่ถูกต้มเป็นอาหารนั้นกินกันเมื่อยามหายนะมาสู่ธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้า
อสค 4.9 เจ้าจงเอาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วยาง และถั่วแดง ข้าวฟ่าง และเทียนแดง มาใส่ในภาชนะลูกเดียวใช้ทำเป็นขนมปังให้เจ้า ระหว่างที่เจ้านอนตะแคงตามกำหนดวันสามร้อยเก้าสิบวันนั้น เจ้าจะรับประทานอาหารนี้
อสค 16.21 เจ้าจึงได้ฆ่าลูกของเราถวายแก่รูปเหล่านั้นโดยให้ลุยไฟ
อสค 16.36 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะความโสโครกของเจ้าก็เทออกเสียแล้ว และการเปลือยเปล่าของเจ้าก็เผยออก โดยการเล่นชู้ของเจ้ากับคนรักของเจ้า และกับบรรดารูปเคารพซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเจ้า และโดยโลหิตลูกของเจ้าที่เจ้าถวายให้แก่มัน
อสค 19.2 กล่าวว่า “มารดาของเจ้าเป็นอย่างไรหนอ ก็เป็นแม่สิงโต เธอนอนอยู่ท่ามกลางสิงโตทั้งหลาย เธอเลี้ยงดูลูกของเธอท่ามกลางสิงโตหนุ่ม
อสค 19.3 เธอเลี้ยงลูกสิงโตตัวหนึ่งให้เติบโตขึ้น กลายเป็นสิงโตหนุ่ม มันฝึกหัดจับเหยื่อและมันกินคน
อสค 19.5 เมื่อแม่สิงโตเห็นว่าเธอคอยนานแล้ว และความหวังของเธอสูญไป เธอก็เอาลูกมาอีกตัวหนึ่งเลี้ยงให้เป็นสิงโตหนุ่ม
อสค 23.39 คือขณะเมื่อเธอฆ่าลูกของเธอเป็นเครื่องบูชารูปเคารพ ในวันนั้นเธอก็เข้ามาในสถานบริสุทธิ์ของเรา และกระทำสถานที่นั้นให้เป็นมลทิน ดูเถิด เธอกระทำสิ่งเหล่านี้ในนิเวศของเรา
อสค 36.11 เราจะทวีทั้งคนและสัตว์ให้แก่เจ้า จะเพิ่มขึ้นและมีลูกดก และเราจะกระทำให้เจ้ามีคนอาศัยอยู่อย่างในกาลก่อน และจะเป็นประโยชน์แก่เจ้ามากกว่าแต่ก่อน แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 36.12 เออ เราจะให้คนดำเนินบนเจ้า คืออิสราเอลประชาชนของเราด้วย และเขาทั้งหลายจะได้เจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ และเจ้าจะเป็นมรดกของเขา และเจ้าจะไม่เอาลูกของเขาไปอีก
อสค 36.13 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะคนกล่าวแก่เจ้าว่า ‘เจ้ากินคนและเจ้าได้เอาลูกของประชาชาติของเจ้าไป’
อสค 36.14 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่กินคน และจะไม่เอาลูกของเจ้าจากประชาชาติของเจ้าไปอีกเลย
ฮชย 2.4 เราจะไม่มีความสงสารต่อบุตรทั้งหลายของนาง เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็นลูกของการเล่นชู้
ฮชย 3.1 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงไปอีกครั้งหนึ่ง ไปสมานรักกับหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนรักของชู้และเป็นหญิงล่วงประเวณี เหมือนพระเยโฮวาห์ทรงรักวงศ์วานอิสราเอลอย่างนั้นแหละ แม้ว่าเขาจะหลงใหลไปตามพระอื่น และนิยมชมชอบกับขนมลูกองุ่นแห้ง”
ฮชย 5.7 เขาได้ทรยศต่อพระเยโฮวาห์ เพราะเขาเกิดลูกนอกรีต บัดนี้วันขึ้นค่ำจะผลาญเขาเสียพร้อมกับไร่นาของเขา
ฮชย 9.12 ถึงแม้ว่าเขาจะเลี้ยงลูกไว้ได้จนโต เราก็จะพรากเขาไปเสียจนไม่เหลือสักคนเดียว เออ วิบัติแก่เขา เมื่อเราพรากจากเขาไป
ฮชย 10.14 เหตุฉะนั้นเสียงสงครามจึงจะเกิดขึ้นท่ามกลางชนชาติของเจ้า ป้อมปราการทั้งสิ้นของเจ้าจะถูกทำลายอย่างกับกษัตริย์ชัลมันทำลายเมืองเบธาร์เบลในวันสงคราม พวกแม่ถูกฟาดลงอย่างยับเยินพร้อมกับลูกของนาง
ฮชย 13.8 เราจะตะครุบเขาอย่างกับแม่หมีที่ถูกพรากลูก เราจะฉีกอกของเขาและจะกินเขาเสียที่นั่นอย่างสิงโต สัตว์ป่าทุ่งจะฉีกเขา
ยอล 1.3 จงบอกให้ลูกของท่านทราบ และให้ลูกบอกหลาน และให้หลานบอกเหลนอีกชั่วอายุหนึ่ง
มคา 1.16 จงกล้อนผมและโกนหนวดโกนเคราเสีย เพื่อไว้ทุกข์ให้แก่ลูกรักที่พอใจของเจ้า จงทำตัวให้ล้านมากขึ้นเหมือนนกอินทรี เพราะเขาทั้งหลายได้จากเจ้าไปเป็นเชลย
นฮม 2.11 ที่อาศัยของสิงโตอยู่ที่ไหน คือที่เลี้ยงอาหารของสิงโตหนุ่ม ที่ที่สิงโตคือสิงโตแก่เคยเดินเข้าไป ที่ที่ลูกของมันเคยอยู่ ไม่มีผู้ใดทำให้มันกลัวได้
นฮม 2.12 สิงโตนั้นได้ฉีกอาหารให้ลูกของมันพอกิน และได้คาบคอเหยื่อมาให้เหล่าเมียของมัน มันสะสมเหยื่อเต็มถ้ำและสะสมเนื้อที่ฉีกแล้วเต็มรัง
ศคย 5.8 และเขากล่าวว่า “นี่คือความชั่ว” และท่านก็ผลักนางนั้นเข้าไปในเอฟาห์ แล้วก็ผลักลูกน้ำหนักที่ทำด้วยตะกั่วนั้นปิดปากมันไว้
ศคย 6.1 และข้าพเจ้าได้หันกลับ เงยหน้าขึ้นอีกแลเห็น ดูเถิด มีรถรบสี่คันออกมาระหว่างภูเขาสองลูก ภูเขาเหล่านั้นเป็นภูเขาทองสัมฤทธิ์
ศคย 8.12 เพราะว่าเมล็ดพืชจะเกิดเจริญงอกงาม เถาองุ่นจะมีลูกและแผ่นดินจะให้ผล และท้องฟ้าจะให้น้ำค้าง และเราจะกระทำให้ประชาชนที่เหลืออยู่นี้ถือกรรมสิทธิ์สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
ศคย 14.21 เออ และหม้อทุกลูกในเยรูซาเล็มและยูดาห์จะเป็นของบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์จอมโยธา เพื่อว่าทุกคนที่มาถวายสัตวบูชาจะเอาหม้อไปบ้าง และจะต้มเนื้อในหม้อเหล่านั้น ในวันนั้นจะไม่มีคนคานาอันในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จอมโยธาอีกต่อไป
มลค 4.6 และท่านผู้นั้นจะกระทำให้จิตใจของพ่อหันไปหาลูก และจิตใจของลูกหันไปหาพ่อ หาไม่ เราจะมาโจมตีแผ่นดินนั้นด้วยคำสาปแช่ง”
มธ 8.12 แต่บรรดาลูกของอาณาจักรจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
มธ 9.2 ดูเถิด เขาหามคนอัมพาตคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับคนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
มธ 10.21 แม้ว่าพี่ก็จะมอบน้องให้ถึงความตาย พ่อจะมอบลูก และลูกก็จะทรยศต่อพ่อแม่ให้ถึงแก่ความตาย
มธ 13.55 คนนี้เป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ มารดาของเขาชื่อมารีย์มิใช่หรือ และน้องชายของเขาชื่อยากอบ โยเสส ซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ
มธ 15.26 พระองค์จึงตรัสตอบว่า “ซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็ไม่ควร”
มธ 18.25 เจ้านายของเขาจึงสั่งให้ขายตัวกับทั้งภรรยาและลูก และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้
มธ 21.2 ตรัสสั่งเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ทันทีท่านจะพบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้จูงมาให้เรา
มธ 21.5 ‘จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า ดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ โดยพระทัยอ่อนสุภาพ ทรงแม่ลากับลูกของมัน’
มธ 21.7 จึงจูงแม่ลากับลูกของมันมา และเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลัง แล้วเขาให้พระองค์ทรงลานั้น
มธ 21.28 แต่ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ชายผู้หนึ่งมีบุตรชายสองคน บิดาไปหาบุตรคนแรกว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นของพ่อเถิด’
มธ 23.15 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไปเพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้วเจ้าก็ทำให้เขากลายเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า
มธ 23.37 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์ และเอาหินขว้างผู้ที่ได้รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
มก 2.5 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย พระองค์จึงตรัสกับคนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
มก 3.17 และยากอบบุตรชายเศเบดีกับยอห์นน้องชายของยากอบ ทั้งสองคนนี้พระองค์ทรงประทานชื่ออีกว่า โบอาเนอเย แปลว่า ลูกฟ้าร้อง
มก 7.27 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่นางนั้นว่า “ให้พวกลูกกินอิ่มเสียก่อน เพราะว่าซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็ไม่ควร”
มก 7.28 แต่นางทูลตอบพระองค์ว่า “จริงด้วย พระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นย่อมกินเดนอาหารของลูก”
มก 7.30 ฝ่ายหญิงนั้นเมื่อไปยังเรือนของตน ได้เห็นลูกนอนอยู่บนที่นอน และทราบว่าผีออกแล้ว
มก 10.24 เหล่าสาวกก็ประหลาดใจด้วยคำตรัสของพระองค์ และพระเยซูตรัสแก่เขาอีกว่า “ลูกเอ๋ย คนที่วางใจในทรัพย์สมบัติจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนักหนา
มก 13.12 แม้ว่าพี่ก็จะทรยศน้องให้ถึงความตาย พ่อก็จะมอบลูก และลูกก็จะทรยศต่อพ่อแม่ให้ถึงแก่ความตาย
ลก 1.17 เขาจะนำหน้าพระองค์โดยแสดงอารมณ์และฤทธิ์เดชอย่างเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูกและคนที่ไม่เชื่อฟังให้กลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า”
ลก 2.48 ฝ่ายเขาทั้งสองเมื่อเห็นพระกุมารแล้วก็ประหลาดใจ มารดาจึงถามพระกุมารว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำแก่เราอย่างนี้ ดูเถิด พ่อกับแม่แสวงหาเป็นทุกข์นัก”
ลก 8.50 ฝ่ายพระเยซูเมื่อได้ยินจึงตรัสแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้นและลูกจะหายดี”
ลก 8.54 ฝ่ายพระองค์ทรงไล่คนทั้งหมดออกไป แล้วทรงจับมือเด็กนั้น ตรัสว่า “ลูกเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด”
ลก 10.6 ถ้าลูกแห่งสันติสุขอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านจะอยู่กับเขา ถ้าหาไม่ สันติสุขของท่านจะกลับอยู่กับท่านอีก
ลก 11.7 ฝ่ายมิตรสหายที่อยู่ข้างในจะตอบว่า ‘อย่ารบกวนฉันเลย ประตูก็ปิดเสียแล้ว ทั้งพวกลูกก็นอนร่วมเตียงกับฉันแล้ว ฉันจะลุกขึ้นหยิบให้ท่านไม่ได้’
ลก 13.34 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์และเอาหินขว้างผู้ที่ได้รับใช้มาหาเจ้าให้ถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
ลก 15.19 ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด”’
ลก 15.21 ฝ่ายบุตรนั้นจึงกล่าวแก่บิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อสวรรค์และต่อสายตาของท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านอีกต่อไป’
ลก 15.24 เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้ว แต่ได้พบกันอีก’ เขาทั้งหลายต่างก็เริ่มมีความรื่นเริงยินดี
ลก 15.27 ผู้รับใช้จึงตอบเขาว่า ‘น้องของท่านกลับมาแล้ว และบิดาได้ให้ฆ่าลูกวัวอ้วนพี เพราะได้ลูกกลับมาโดยสวัสดิภาพ’
ลก 15.30 แต่เมื่อลูกคนนี้ของท่าน ผู้ได้ผลาญสิ่งเลี้ยงชีพของท่านโดยคบหญิงโสเภณีมาแล้ว ท่านยังได้ฆ่าลูกวัวอ้วนพีเลี้ยงเขา’
ลก 15.31 บิดาจึงตอบเขาว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับเราเสมอ และสิ่งของทั้งหมดของเราก็เป็นของเจ้า
ลก 16.8 แล้วเศรษฐีก็ชมคนต้นเรือนอธรรมนั้น เพราะเขาได้กระทำโดยความฉลาด ด้วยว่าลูกทั้งหลายของโลกนี้ ตามกาลสมัยเดียวกัน เขาใช้สติปัญญาฉลาดกว่าลูกของความสว่างอีก
ลก 16.25 แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม แต่เจ้าได้รับความทุกข์ทรมาน
ลก 19.9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “วันนี้ความรอดมาถึงครอบครัวนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นลูกของอับราฮัมด้วย
ลก 19.44 แล้วจะเหวี่ยงเจ้าลงให้ราบบนพื้นดิน กับลูกทั้งหลายของเจ้าซึ่งอยู่ในเจ้า และเขาจะไม่ปล่อยให้ศิลาซ้อนทับกันไว้ภายในเจ้าเลย เพราะเจ้าไม่ได้รู้เวลาที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเจ้า”
ลก 20.36 และเขาจะตายอีกไม่ได้ เพราะเขาเป็นเหมือนทูตสวรรค์ เป็นบุตรของพระเจ้า ด้วยว่าเป็นลูกแห่งการฟื้นขึ้นมาจากความตาย
ลก 23.28 พระเยซูจึงหันพระพักตร์มาทางเขาตรัสว่า “ธิดาเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้เพราะเราเลย แต่จงร้องไห้เพราะตนเอง และเพราะลูกทั้งหลายของตนเถิด
ยน 12.36 เมื่อท่านทั้งหลายมีความสว่าง ก็จงเชื่อในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง” เมื่อพระเยซูตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จจากไป และซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา
ยน 13.33 ลูกเล็กๆเอ๋ย เรายังจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกขณะหนึ่ง เจ้าจะเสาะหาเรา และดังที่เราได้พูดกับพวกยิวแล้ว บัดนี้เราจะพูดกับเจ้าคือ ‘ที่เราไปนั้นเจ้าทั้งหลายไปไม่ได้’
ยน 17.12 เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่กับคนเหล่านั้นในโลกนี้ ข้าพระองค์ก็ได้พิทักษ์รักษาพวกเขาไว้โดยพระนามของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ปกป้องเขาไว้และไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเสียไปนอกจากลูกของความพินาศ เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จ
ยน 21.5 พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า “ลูกเอ๋ย มีอาหารบ้างหรือเปล่า” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ไม่มี”
กจ 4.36 ฝ่ายโยเสส ที่อัครสาวกเรียกว่า บารนาบัส (แปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ) เป็นพวกเลวี ชาวเกาะไซปรัส
กจ 13.10 และพูดว่า “โอ เจ้าเป็นคนเต็มไปด้วยอุบายและใจร้ายทุกอย่าง ลูกของพญามาร เป็นศัตรูต่อบรรดาความชอบธรรม เจ้าจะไม่หยุดพยายามทำทางตรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้เขวไปหรือ
รม 9.27 และท่านอิสยาห์ได้ร้องประกาศเรื่องพวกอิสราเอลด้วยว่า ‘แม้พวกลูกอิสราเอลจะมากเหมือนเม็ดทรายที่ทะเล แต่คนที่เหลืออยู่เท่านั้นจะรอด
1คร 4.14 ข้าพเจ้ามิได้เขียนข้อความเหล่านี้เพื่อจะให้ท่านได้อาย แต่เขียนเพื่อเตือนสติในฐานะที่ท่านเป็นลูกที่รักของข้าพเจ้า
1คร 4.17 เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้ใช้ทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนสัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้มาหาท่าน เพื่อนำท่านให้ระลึกถึงแบบการประพฤติของข้าพเจ้าในพระคริสต์ ตามที่ข้าพเจ้าสอนอยู่ในทุกคริสตจักร
1คร 7.14 ด้วยว่าสามีที่ไม่เชื่อนั้นได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางภรรยา และภรรยาที่ไม่เชื่อก็ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางสามี มิฉะนั้นลูกของท่านก็เป็นมลทิน แต่บัดนี้ลูกเหล่านั้นก็บริสุทธิ์
2คร 12.14 ดูเถิด ข้าพเจ้าเตรียมพร้อมที่จะมาเยี่ยมพวกท่านเป็นครั้งที่สาม และข้าพเจ้าจะไม่เป็นภาระแก่พวกท่าน เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใดจากท่าน แต่ต้องการตัวท่าน เพราะว่าที่ลูกจะสะสมไว้สำหรับพ่อแม่ก็ไม่สมควร แต่พ่อแม่ควรสะสมไว้สำหรับลูก
กท 4.19 ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดเพราะท่านอีกจนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในตัวท่าน
กท 4.24 ข้อความนี้เป็นอุปไมย ผู้หญิงสองคนนั้นได้แก่พันธสัญญาสองอย่าง คนหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย คลอดลูกเป็นทาส คือ นางฮาการ์
อฟ 5.8 เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง
1ธส 2.7 แต่ว่าเราอยู่ในหมู่พวกท่านด้วยความสุภาพอ่อนโยน เหมือนพี่เลี้ยงที่เลี้ยงดูลูกของตน
1ทธ 5.10 และจะต้องเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าได้กระทำดี เช่นได้เอาใจใส่เลี้ยงดูลูก ได้มีน้ำใจรับรองแขก ได้ล้างเท้าวิสุทธิชน ได้สงเคราะห์คนที่มีความทุกข์ยาก และได้บำเพ็ญคุณความดีทุกอย่าง
ฟม 1.10 ข้าพเจ้าขออ้อนวอนท่านด้วยเรื่องโอเนสิมัส ลูกของข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดเมื่อข้าพเจ้าถูกจองจำอยู่
ฮบ 12.8 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนทั้งปวง ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตร แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ
2ปต 2.14 ตาเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาแห่งการล่วงประเวณี และเขาหยุดกระทำบาปไม่ได้เลย เขาวางกับดักคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง เขามีใจชินกับการโลภ เขาเป็นลูกแห่งความสาปแช่ง
1ยน 2.1 ลูกเล็กๆของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ช่วยเหลือสถิตอยู่กับพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงชอบธรรมนั้น
1ยน 2.12 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าบาปของท่านได้รับการอภัยแล้วเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
1ยน 2.13 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชัยชนะแก่มารร้าย ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูกเล็กๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระบิดา
1ยน 2.18 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาว่า ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะมา บัดนี้ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ก็มีอยู่มากแล้ว ฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว
1ยน 2.28 และบัดนี้ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย จงดำรงอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงมาปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่มีความละอายจำเพาะพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา
1ยน 3.7 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติการชอบธรรมก็เป็นผู้ชอบธรรม เหมือนอย่างพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม
1ยน 3.10 ดังนี้แหละจึงเห็นได้ว่าผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า และผู้ใดเป็นลูกของพญามาร คือว่าผู้ใดที่มิได้ประพฤติตามความชอบธรรม และไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นก็มิได้มาจากพระเจ้า
1ยน 3.18 ลูกเล็กๆทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยลิ้นเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง
1ยน 4.4 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก
1ยน 5.21 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย จงระวังรักษาตัวไว้ให้พ้นจากรูปเคารพ เอเมน
วว 2.23 เราจะประหารลูกทั้งหลายของหญิงนั้นเสียให้ตาย และคริสตจักรทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราเป็นผู้พินิจพิจารณาจิตใจ และเราจะให้สิ่งตอบแทนแก่เจ้าทั้งหลายทุกคนให้เหมาะสมกับการงานของเจ้า
วว 6.14 ท้องฟ้าก็หายไปเหมือนกับหนังสือที่เขาม้วนขึ้นไปหมด และภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็เลื่อนไปจากที่เดิม
วว 14.18 และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งผู้มีฤทธิ์เหนือไฟ ได้ออกมาจากแท่นบูชา และร้องบอกทูตองค์นั้นที่ถือเคียวคมนั้นด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านจงใช้เคียวคมของท่านเกี่ยวเก็บพวงองุ่นแห่งแผ่นดินโลก เพราะลูกองุ่นนั้นสุกดีแล้ว”

ลูกกำพร้าพ่อ ( 24 )
อพย 22.22 อย่าข่มเหงหญิงม่ายหรือลูกกำพร้าพ่อเลย
พบญ 10.18 พระองค์ประทานความยุติธรรมแก่ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย และทรงรักคนต่างด้าวประทานอาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่เขา
พบญ 14.29 คนเลวี (เพราะเขาไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกกับท่าน) และคนต่างด้าวและลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย ผู้ซึ่งอยู่ภายในประตูเมืองของท่าน จะได้มารับประทานอย่างอิ่มหนำ เพื่อว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่บรรดากิจการซึ่งมือของท่านทั้งหลายได้กระทำนั้น”
พบญ 24.17 ท่านทั้งหลายอย่าให้เสียความยุติธรรมซึ่งควรได้แก่คนต่างด้าว หรือควรได้แก่ลูกกำพร้าพ่อ และอย่ารับเสื้อผ้าของแม่ม่ายไว้เป็นประกัน
พบญ 24.19 เมื่อท่านเกี่ยวข้าวในนาของท่าน และลืมฟ่อนข้าวไว้ในนาฟ่อนหนึ่ง อย่ากลับไปเอามาเลย ให้เป็นของคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย เพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะอวยพระพรแก่กิจการทั้งหลายแห่งมือของท่าน
พบญ 24.20 เมื่อท่านฟาดต้นมะกอกเทศ ท่านอย่าเก็บที่กิ่งเดิมซ้ำครั้งที่สอง ให้เหลือไว้สำหรับคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย
พบญ 24.21 เมื่อท่านเก็บผลองุ่นจากสวนองุ่นของท่าน ท่านอย่าไปเก็บเล็มอีก จงเหลือไว้สำหรับคนต่างด้าว ทั้งลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย
พบญ 26.12 เมื่อท่านถวายสิบชักหนึ่งทั้งหลายจากผลไม้ของท่านเสร็จแล้วในปีที่สามอันเป็นปีสิบชักหนึ่ง คือให้สิบชักหนึ่งนั้นแก่คนเลวีและคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย เพื่อเขาจะได้รับประทานให้อิ่มหนำภายในประตูเมืองของท่าน
พบญ 26.13 แล้วท่านจงทูลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า ‘ข้าพระองค์ยกส่วนศักดิ์สิทธิ์ออกจากบ้านของข้าพระองค์แล้ว และยิ่งกว่านั้นข้าพระองค์ได้ให้แก่คนเลวีและคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย ตามพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้แก่ข้าพระองค์ทุกประการ ข้าพระองค์มิได้ละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ในข้อใดเลย และข้าพระองค์มิได้ลืมเลย
พบญ 27.19 ‘ผู้ใดทำให้เสียความยุติธรรมอันควรได้แก่คนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง’ ให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘เอเมน’
โยบ 6.27 เออ ท่านทั้งหลายเอาเปรียบลูกกำพร้าพ่อ และขุดบ่อดักจับเพื่อนของท่าน
โยบ 22.9 ท่านไล่แม่ม่ายออกไปมือเปล่า และแขนของลูกกำพร้าพ่อก็หัก
สดด 94.6 เขาสังหารแม่ม่ายและคนต่างด้าว และกระทำฆาตกรรมลูกกำพร้าพ่อ
สดด 109.12 ขออย่าให้ผู้ใดเอ็นดูเขา อย่าให้ผู้ใดสงสารลูกกำพร้าพ่อของเขา
สดด 146.9 พระเยโฮวาห์ทรงเฝ้าดูคนต่างด้าว พระองค์ทรงชูลูกกำพร้าพ่อและหญิงม่าย แต่พระองค์ทรงพลิกทางของคนชั่ว
อสย 1.17 จงฝึกกระทำดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงบรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ จงป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย”
อสย 1.23 เจ้านายของเจ้าเป็นพวกกบฏและเป็นเพื่อนของโจร ทุกคนรักสินบนและวิ่งตามของกำนัล เขามิได้ป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ และคดีของหญิงม่ายก็ไม่มาถึงเขา
ยรม 5.28 เขาจึงอ้วนพีจนตัวเกลี้ยงเกลา ในเรื่องการกระทำความชั่วเขาล้ำหน้า เขามิได้ตัดสินคดี คือคดีของลูกกำพร้าพ่อ ด้วยความยุติธรรม ถึงกระนั้นเขาก็เจริญ เขามิได้ป้องกันสิทธิของคนขัดสน”
ยรม 7.6 ถ้าเจ้าไม่บีบบังคับคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อหรือแม่ม่าย และไม่หลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตายในที่นี้ และเจ้าทั้งหลายไม่ติดตามพระอื่นไปให้เจ็บตัวเอง
ยรม 22.3 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า จงกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม จงช่วยผู้ที่ถูกปล้นให้พ้นมือของผู้ที่บีบบังคับ และอย่าได้กระทำความผิดหรือความทารุณแก่ชนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย หรือหลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตายในสถานที่นี้
อสค 22.7 บิดามารดาถูกเหยียดหยามอยู่ในเจ้า คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ก็ถูกเบียดเบียนอยู่ท่ามกลางเจ้า ลูกกำพร้าพ่อและหญิงม่ายก็ถูกข่มเหงอยู่ในเจ้า
ฮชย 14.3 อัสซูรจะไม่ช่วยข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหมดจะไม่ขี่ม้า ข้าพระองค์ทั้งหลายจะไม่กล่าวต่อไปว่า ‘พระของเราทั้งหลาย’ แก่สิ่งที่มือของข้าพระองค์ได้สร้างขึ้น เพราะว่าในพระองค์ลูกกำพร้าพ่อพบพระกรุณาคุณ”
ศคย 7.10 อย่าบีบบังคับหญิงม่าย ลูกกำพร้าพ่อ คนต่างด้าวหรือคนยากจน และอย่าคิดอุบายชั่วในใจต่อพี่น้องของตน”
มลค 3.5 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า แล้วเราจะมาใกล้เจ้าเพื่อการพิพากษา เราจะเป็นพยานที่รวดเร็วที่กล่าวโทษนักวิทยาคม พวกผิดประเวณี ผู้ที่ปฏิญาณเท็จ ผู้ที่บีบบังคับลูกจ้างในเรื่องค่าจ้าง และแม่ม่ายและลูกกำพร้าพ่อ ผู้ที่ผลักไสหันเหคนต่างด้าวจากสิทธิของเขา และผู้ที่ไม่ยำเกรงเรา

ลูกกุญแจ ( 7 )
อสย 22.22 และเราจะวางลูกกุญแจของวังดาวิดไว้บนบ่าของเขา เขาจะเปิดและไม่มีผู้ใดปิด เขาจะปิดและไม่มีผู้ใดเปิด
มธ 16.19 เราจะมอบลูกกุญแจของอาณาจักรแห่งสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะผูกมัดสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกมัดในสวรรค์ และท่านจะปล่อยสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะถูกปล่อยในสวรรค์”
ลก 11.52 วิบัติแก่เจ้า พวกนักกฎหมาย ด้วยว่าเจ้าได้เอาลูกกุญแจแห่งความรู้ไปเสีย คือพวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และคนที่กำลังเข้าไปนั้นเจ้าก็ได้ขัดขวางไว้”
วว 1.18 และเป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ เราได้ตายแล้ว แต่ ดูเถิด เราก็ยังดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ เอเมน และเราถือลูกกุญแจแห่งนรกและแห่งความตาย
วว 3.7 จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองฟีลาเดลเฟีย ว่า ‘พระองค์ผู้บริสุทธิ์ ผู้สัตย์จริง ผู้ทรงถือลูกกุญแจของดาวิด ผู้ทรงเปิดแล้วจะไม่มีผู้ใดปิด ผู้ทรงปิดแล้วจะไม่มีผู้ใดเปิด ได้ตรัสดังนี้ว่า
วว 9.1 เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเป่าแตรขึ้น ข้าพเจ้าก็เห็นดาวดวงหนึ่งตกจากฟ้าลงมาที่แผ่นดินโลก และประทานลูกกุญแจสำหรับเหวที่ไม่มีก้นเหวให้แก่ดาวดวงนั้น
วว 20.1 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านถือลูกกุญแจของเหวที่ไม่มีก้นเหวนั้นและถือโซ่ใหญ่

ลูกแกะ ( 151 )
ปฐก 21.28 อับราฮัมได้แยกลูกแกะตัวเมียจากฝูงไว้ต่างหากเจ็ดตัว
ปฐก 21.29 อาบีเมเลคตรัสถามอับราฮัมว่า “ลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวที่ท่านแยกไว้ต่างหากนั้นหมายความว่าอะไร”
ปฐก 21.30 ท่านทูลว่า “ขอพระองค์รับลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวนี้จากมือข้าพระองค์ เพื่อจะได้เป็นพยานแก่ข้าพระองค์ว่า ข้าพระองค์ได้ขุดบ่อน้ำนี้”
ปฐก 22.7 อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาว่า “บิดาเจ้าข้า” และท่านตอบว่า “ลูกเอ๋ย พ่ออยู่ที่นี่” ลูกจึงว่า “นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน”
ปฐก 22.8 อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา” พ่อลูกทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน
ปฐก 30.40 ยาโคบก็แยกลูกแกะและให้ฝูงแพะแกะนั้นอยู่ตรงหน้าแกะที่มีลาย และแกะดำทุกตัวในฝูงของลาบัน แต่ฝูงแพะแกะของตนนั้นอยู่ต่างหาก ไม่ให้ปะปนกับฝูงสัตว์ของลาบัน
อพย 12.3 จงสั่งชุมนุมคนอิสราเอลทั้งหมดว่า ในวันที่สิบเดือนนี้ ให้ผู้ชายทุกคนเตรียมลูกแกะ ครอบครัวละตัวตามเรือนบรรพบุรุษของตน
อพย 12.4 ถ้าครอบครัวใดมีคนน้อยกินลูกแกะตัวหนึ่งไม่หมด ก็ให้รวมกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันเตรียมลูกแกะตัวหนึ่งตามจำนวนคนตามที่เขาจะกินได้กี่มากน้อย ให้นับจำนวนคนที่จะกินลูกแกะนั้น
อพย 12.5 ลูกแกะของเจ้าต้องปราศจากตำหนิเป็นตัวผู้อายุไม่เกินหนึ่งขวบ เจ้าจงเอามาจากฝูงแกะ หรือฝูงแพะ
อพย 12.6 จงเก็บไว้ให้ดีถึงวันที่สิบสี่เดือนนี้ แล้วในเย็นวันนั้นให้ที่ประชุมของคนอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะของเขา
อพย 12.21 แล้วโมเสสเรียกบรรดาพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลมาพร้อมกันสั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงไปเอาลูกแกะตามครอบครัวของท่านมาฆ่าเป็นลูกแกะปัสกา
อพย 13.13 จงเอาลูกแกะไถ่ลูกลาหัวปี ถ้าไม่ไถ่จงหักคอมันเสีย จงไถ่บุตรหัวปีทั้งหลายของมนุษย์ไว้ทั้งหมด
อพย 29.3 แล้วจงใส่ขนมปังต่างๆเหล่านั้นไว้ในกระบุงเดียวกัน จงนำมาในกระบุงพร้อมกับวัวตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้สองตัว
อพย 29.38 ต่อไปนี้เป็นสิ่งซึ่งเจ้าต้องถวายบนแท่นนั้นทุกวันเสมอไป คือลูกแกะสองตัว อายุหนึ่งขวบ
อพย 29.39 จงนำลูกแกะตัวหนึ่งมาบูชาเวลาเช้า และนำลูกแกะอีกตัวหนึ่งมาบูชาเวลาเย็น
อพย 29.40 พร้อมกับลูกแกะตัวที่หนึ่งนั้น จงถวายยอดแป้งหนึ่งในสิบเอฟาห์คลุกกับน้ำมันที่คั้นไว้นั้นหนึ่งในสี่ฮิน และน้ำองุ่นหนึ่งในสี่ฮินคู่กัน เป็นเครื่องดื่มบูชา
อพย 29.41 จงถวายลูกแกะอีกตัวหนึ่งนั้นในเวลาเย็น ถวายธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันด้วย เหมือนอย่างในเวลาเช้า ให้เป็นกลิ่นพอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์
อพย 34.20 ส่วนลูกลาหัวปีนั้นเจ้าจงนำลูกแกะมาไถ่ไว้ ถ้าแม้เจ้ามิได้ไถ่ก็จงหักคอมันเสีย บุตรชายหัวปีทั้งหลายของพวกเจ้านั้นจะต้องไถ่ไว้ด้วย อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย
ลนต 3.7 ถ้าเขาจะถวายลูกแกะเป็นเครื่องบูชาก็ให้เขานำมาถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 4.32 ถ้าเขานำลูกแกะมาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปก็ให้เขานำลูกแกะตัวเมียไม่มีตำหนิมา
ลนต 4.35 และเขาจะเอาไขมันทั้งหมดออกเสียอย่างที่เอาไขมันของลูกแกะออกจากเครื่องสันติบูชา และปุโรหิตจะเผาไขมันบนแท่นเหมือนเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ และปุโรหิตจะทำการลบมลทินของเขาซึ่งเขาได้กระทำผิด และเขาจะได้รับการอภัย”
ลนต 5.6 และให้เขานำเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาถวายแด่พระเยโฮวาห์ เพราะบาปซึ่งเขาได้กระทำนั้น เครื่องบูชานั้นจะเป็นสัตว์ตัวเมียจากฝูง คือลูกแกะหรือลูกแพะ ก็เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปได้ ดังนี้ปุโรหิตจะทำการลบมลทินแทนผู้ที่กระทำผิดนั้น
ลนต 5.7 ถ้าเขาไม่สามารถถวายลูกแกะตัวหนึ่ง ก็ให้เขานำนกเขาสองตัวหรือนกพิราบหนุ่มสองตัว มาเป็นเครื่องถวายพระเยโฮวาห์ไถ่การละเมิด นกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และนกอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา
ลนต 9.3 และกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ‘จงเอาลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และลูกวัวตัวหนึ่งกับลูกแกะตัวหนึ่ง ทั้งสองให้มีอายุหนึ่งขวบ ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชา
ลนต 12.6 และเมื่อวันชำระของนางครบแล้ว ไม่ว่าเป็นกำหนดของบุตรชายหรือบุตรสาว ให้นางไปหาปุโรหิตที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม นำลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งไปเป็นเครื่องเผาบูชาและนกพิราบหนุ่มตัวหนึ่งหรือนกเขาตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
ลนต 12.8 และถ้านางไม่สามารถหาลูกแกะตัวหนึ่งได้ก็ให้นางนำนกเขาสองตัวหรือนกพิราบหนุ่มสองตัว ตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชาและอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และให้ปุโรหิตทำการลบมลทินให้นาง แล้วนางจะสะอาด”
ลนต 14.13 ให้ปุโรหิตฆ่าลูกแกะนั้นในที่ที่เขาฆ่าสัตว์อันเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปและสัตว์อันเป็นเครื่องเผาบูชาในที่บริสุทธิ์ เพราะว่าเครื่องบูชาไถ่การละเมิดก็เหมือนเครื่องบูชาไถ่บาป เป็นของที่ตกแก่ปุโรหิต เป็นของบริสุทธิ์ที่สุด
ลนต 14.21 ถ้าผู้นั้นเป็นคนยากจนและไม่สามารถจะหามาได้เท่านั้น ก็ให้เขานำลูกแกะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดเพื่อแกว่งไปแกว่งมา กระทำการลบมลทินของเขา และนำยอดแป้งหนึ่งในสิบเอฟาห์คลุกกับน้ำมัน เป็นธัญญบูชากับน้ำมันลกหนึ่ง
ลนต 14.24 และปุโรหิตจะนำลูกแกะที่เป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดและน้ำมันลกหนึ่งนั้น และปุโรหิตจะแกว่งไปแกว่งมาเป็นเครื่องบูชาแกว่งถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 14.25 และเขาจะฆ่าลูกแกะเครื่องบูชาไถ่การละเมิด และปุโรหิตจะเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาบ้าง เจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้รับการชำระ และที่นิ้วหัวแม่มือขวา กับที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 17.3 ถ้าคนใดในวงศ์วานอิสราเอลฆ่าวัวหรือลูกแกะ หรือแพะในค่าย หรือฆ่าภายนอกค่าย
ลนต 22.23 วัวหรือลูกแกะที่มีอวัยวะยาวเกินไปหรือสั้นเกินไปสักส่วนหนึ่ง ท่านจะนำมาถวายเป็นเครื่องบูชาด้วยใจสมัครก็ได้ แต่ถ้าเป็นเครื่องบูชาปฏิญาณก็ไม่เป็นที่โปรดปราน
ลนต 23.18 พร้อมกับขนมปังนั้นเจ้าจงนำลูกแกะเจ็ดตัวอายุหนึ่งขวบปราศจากตำหนิ วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้สองตัว มาเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์ พร้อมกับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาอันเป็นคู่กัน ให้เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นพอพระทัยถวายแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 23.19 เจ้าจงถวายลูกแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และลูกแกะอายุหนึ่งขวบสองตัวเป็นเครื่องสันติบูชา
ลนต 23.20 ให้ปุโรหิตแกว่งไปแกว่งมาถวายพร้อมกับขนมปังซึ่งเป็นผลรุ่นแรกเป็นเครื่องแกว่งถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ พร้อมกับลูกแกะสองตัว จะเป็นสิ่งบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์สำหรับปุโรหิต
กดว 6.12 และให้เขาปลีกตัวออกถวายแด่พระเยโฮวาห์ตลอดเวลาการปลีกตัวของเขา และนำลูกแกะอายุหนึ่งขวบมาเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิด แต่เวลาก่อนนั้นนับไม่ได้ เพราะการปฏิญาณปลีกตัวของเขานั้นมีมลทินเสียแล้ว
กดว 7.15 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.17 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของนาโชนบุตรชายของอัมมีนาดับ
กดว 7.21 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.23 และวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเนธันเอลบุตรชายของศุอาร์
กดว 7.27 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.29 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีอับบุตรชายของเฮโลน
กดว 7.33 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.35 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีซูร์บุตรชายของเชเดเออร์
กดว 7.39 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.41 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเชลูมิเอลบุตรชายของซูริชัดดัย
กดว 7.45 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.47 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลียาสาฟบุตรชายของเดอูเอล
กดว 7.51 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.53 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีชามาบุตรชายของอัมมีฮูด
กดว 7.57 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.59 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของกามาลิเอลบุตรชายของเปดาซูร์
กดว 7.63 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.65 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาบีดันบุตรชายของกิเดโอนี
กดว 7.69 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.71 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาหิเยเซอร์บุตรชายของอัมมีชัดดัย
กดว 7.75 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.77 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของปากีเอลบุตรชายของโอคราน
กดว 7.81 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.83 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาหิราบุตรชายของเอนัน
กดว 7.87 สัตว์สำหรับเครื่องเผาบูชา มีวัวผู้สิบสองตัว แกะผู้สิบสอง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบสิบสอง พร้อมกับเครื่องธัญญบูชาคู่กัน และแพะผู้สิบสองตัวสำหรับเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.88 สัตว์ทั้งหมดที่ถวายเป็นเครื่องสันติบูชา มีวัวผู้ยี่สิบสี่ แกะผู้หกสิบ แพะผู้หกสิบ และลูกแกะอายุหนึ่งขวบหกสิบ นี่แหละเป็นของถวายในงานมอบถวายแท่นบูชาเมื่อได้กระทำการเจิมแล้ว
กดว 15.5 และเจ้าจงจัดน้ำองุ่นหนึ่งในสี่ฮินสำหรับลูกแกะทุกตัว เป็นเครื่องดื่มบูชาคู่กับเครื่องเผาบูชาคู่กับเครื่องสัตวบูชา
กดว 15.11 จงกระทำอย่างนี้สำหรับวัวผู้หรือแกะผู้ทุกตัว หรือสำหรับลูกแกะหรือลูกแพะทุกตัว
กดว 28.3 และเจ้าจงกล่าวแก่เขาว่า นี่เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟซึ่งเจ้าทั้งหลายควรถวายแด่พระเยโฮวาห์ คือลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสองตัว เป็นเครื่องบูชาเนืองนิตย์ทุกวัน
กดว 28.4 เจ้าจงถวายลูกแกะเป็นเครื่องบูชาในตอนเช้าตัวหนึ่ง และลูกแกะอีกตัวหนึ่งนั้นเจ้าจงถวายบูชาเวลาเย็น
กดว 28.8 ลูกแกะอีกตัวหนึ่งเจ้าจงถวายบูชาเวลาเย็น เจ้าจงถวายบูชาด้วยไฟเช่นเดียวกับธัญญบูชาของเวลาเช้า และเช่นเดียวกับเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์
กดว 28.9 ในวันสะบาโตลูกแกะอายุหนึ่งขวบสองตัวที่ไม่มีตำหนิ และยอดแป้งสองในสิบเอฟาห์คลุกกับน้ำมันให้เป็นธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
กดว 28.11 เวลาต้นเดือนทุกเดือน เจ้าทั้งหลายจงถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ คือวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเจ็ดตัว
กดว 28.13 สำหรับลูกแกะทุกตัวจงเอายอดแป้งหนึ่งในสิบเอฟาห์คลุกกับน้ำมันเป็นธัญญบูชา ให้เป็นเครื่องเผาบูชาเป็นกลิ่นที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์
กดว 28.14 ส่วนเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัวผู้ตัวหนึ่งจงเอาน้ำองุ่นครึ่งฮิน สำหรับแกะผู้ตัวหนึ่งจงเอาหนึ่งในสามฮิน สำหรับลูกแกะตัวหนึ่งจงเอาหนึ่งในสี่ฮิน นี่เป็นเครื่องเผาบูชาประจำเดือน ทุกเดือนตลอดปี
กดว 28.19 แต่จงถวายบูชาด้วยไฟ เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ คือเอาวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้ตัวหนึ่ง และลูกแกะอายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ดูให้ดีว่าไม่มีตำหนิ
กดว 28.21 สำหรับลูกแกะตัวหนึ่งๆในลูกแกะเจ็ดตัวนั้น จงเอาแป้งหนึ่งในสิบเอฟาห์
กดว 28.27 แต่จงถวายเครื่องเผาบูชาให้เป็นกลิ่นพอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์ คือถวายวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว
กดว 28.29 สำหรับลูกแกะเจ็ดตัวๆละหนึ่งในสิบเอฟาห์
กดว 29.2 เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์ คือถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเจ็ดตัว
กดว 29.4 ลูกแกะเจ็ดตัว ตัวละหนึ่งในสิบเอฟาห์
กดว 29.8 แต่เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัย คือถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว เจ้าอย่าให้มีตำหนิ
กดว 29.10 สำหรับลูกแกะเจ็ดตัวนั้น ตัวละหนึ่งในสิบเอฟาห์
กดว 29.13 เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์ คือวัวหนุ่มสิบสามตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว สัตว์เหล่านี้อย่าให้มีตำหนิ
กดว 29.15 สำหรับลูกแกะสิบสี่ตัว ตัวละหนึ่งในสิบเอฟาห์
กดว 29.17 ในวันที่สองจงถวายวัวหนุ่มสิบสองตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.18 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้นสำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้นตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.20 ในวันที่สามจงถวายวัวสิบเอ็ดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.21 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.23 ในวันที่สี่จงถวายวัวสิบตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.24 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.26 ในวันที่ห้าจงถวายวัวเก้าตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.27 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.29 ในวันที่หกจงถวายวัวแปดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.30 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.32 ในวันที่เจ็ดเจ้าจงถวายวัวเจ็ดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.33 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
กดว 29.36 แต่เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์ คือวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเจ็ดตัว
กดว 29.37 และถวายธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามลักษณะ
พบญ 28.51 และจะรับประทานผลของฝูงสัตว์ของท่าน และพืชผลจากพื้นดินของท่าน จนท่านจะถูกทำลาย ทั้งเขาจะไม่เหลือข้าว น้ำองุ่นหรือน้ำมัน ลูกวัว หรือลูกแกะอ่อนไว้ให้ท่าน จนกว่าเขาจะกระทำให้ท่านพินาศ
พบญ 32.14 ให้ได้นมเปรี้ยวจากวัว และให้ได้น้ำนมจากแพะแกะ ได้ไขมันจากลูกแกะ และแกะผู้พันธุ์บาชาน และฝูงแพะ กับข้าวสาลีอย่างดีที่สุด และท่านได้ดื่มเลือดขององุ่น คือน้ำองุ่น
1ซมอ 7.9 ซามูเอลก็เอาลูกแกะอ่อนที่ยังกินนมอยู่ตัวหนึ่งมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาทั้งตัวแด่พระเยโฮวาห์ และซามูเอลร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์เพื่อคนอิสราเอล และพระเยโฮวาห์ทรงสดับท่าน
1ซมอ 15.9 แต่ซาอูลและประชาชนได้ไว้ชีวิตอากัก และที่ดีที่สุดของแกะกับวัวและสัตว์อ้วนพีกับลูกแกะ และสิ่งดีๆทั้งหมด ไม่ยอมทำลายเสียอย่างสิ้นเชิง ทุกสิ่งที่เขาดูถูกและไร้ค่า เขาก็ทำลายเสียสิ้น
1ซมอ 17.34 แต่ดาวิดทูลซาอูลว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์เคยดูแลแพะแกะของบิดา และเมื่อมีสิงโตหรือหมีมาเอาลูกแกะตัวหนึ่งไปจากฝูง
1ซมอ 17.35 ข้าพระองค์ก็ไล่ตามฆ่ามัน และช่วยลูกแกะนั้นให้พ้นมาจากปากของมัน ถ้ามันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จับหนวดเคราของมัน และทุบตีมันจนตาย
2พกษ 3.4 ฝ่ายเมชากษัตริย์แห่งโมอับทรงเป็นผู้ดำเนินกิจการเลี้ยงแกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะหนึ่งแสนตัว และแกะผู้หนึ่งแสนตัวพร้อมกับขนของมันให้แก่กษัตริย์อิสราเอล
1พศด 29.21 และเขาทั้งหลายได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์ และถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ในวันรุ่งขึ้นต่อจากวันนั้น เป็นวัวผู้หนึ่งพันตัว แกะผู้หนึ่งพันตัว ลูกแกะหนึ่งพันตัว พร้อมกับเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน และถวายสัตวบูชาอย่างมากมายเพื่ออิสราเอลทั้งปวง
2พศด 29.21 และเขาได้นำวัวผู้เจ็ดตัว แกะผู้เจ็ดตัว ลูกแกะเจ็ดตัว และแพะผู้เจ็ดตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับราชอาณาจักร สถานบริสุทธิ์และยูดาห์ และพระองค์ทรงบัญชาให้ลูกหลานของอาโรน คือปุโรหิตให้ถวายของเหล่านั้นบนแท่นบูชาของพระเยโฮวาห์
2พศด 29.22 เขาทั้งหลายจึงฆ่าวัวผู้และปุโรหิตก็รับเลือดและพรมที่แท่นบูชา และเขาทั้งหลายฆ่าแกะผู้ และเอาเลือดของมันพรมแท่นบูชา และฆ่าลูกแกะ เอาเลือดของมันพรมแท่นบูชา
2พศด 29.32 จำนวนเครื่องเผาบูชาซึ่งชุมนุมชนนำมา คือวัวผู้เจ็ดสิบตัว แกะผู้หนึ่งร้อยและลูกแกะสองร้อย ทั้งสิ้นนี้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์
2พศด 35.7 แล้วโยสิยาห์ได้ทรงบริจาคแก่ประชาชนเป็นเครื่องปัสกาบูชาสำหรับคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่น เป็นลูกแกะและลูกแพะจากฝูงแพะแกะจำนวนสามหมื่นตัว และวัวผู้สามพันตัว สัตว์เหล่านี้ได้มาจากทรัพย์สินของกษัตริย์
2พศด 35.8 และเจ้านายของพระองค์บริจาคด้วยความเต็มใจแก่ประชาชน แก่ปุโรหิต และแก่คนเลวี ฮิลคียาห์ เศคาริยาห์และเยฮีเอล เจ้าหน้าที่ชั้นหัวหน้าของพระนิเวศแห่งพระเจ้า ได้มอบลูกแกะและลูกแพะสองพันหกร้อยตัวกับวัวผู้สามร้อยตัวแก่ปุโรหิตเป็นเครื่องปัสกาบูชา
2พศด 35.9 กับโคนานิยาห์ และเชไมอาห์ กับเนธันเอล พวกน้องชายของเขา และฮาชาบิยาห์ และเยอีเอล กับโยซาบาด หัวหน้าของคนเลวี ได้ให้ลูกแกะและลูกแพะห้าพันตัวกับวัวผู้ห้าร้อยตัวแก่คนเลวีเป็นเครื่องปัสกาบูชา
อสร 6.17 ณ การถวายพระนิเวศแห่งพระเจ้านี้ เขาทั้งหลายได้ถวายวัวผู้หนึ่งร้อยตัว แกะผู้สองร้อยตัว ลูกแกะสี่ร้อยตัว และส่วนเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับอิสราเอลทั้งปวงนั้นมีแพะผู้สิบสองตัว ตามจำนวนตระกูลของอิสราเอล
อสร 7.17 แล้วด้วยเงินนี้เจ้าจงขยันขันแข็งซื้อวัวผู้ แกะผู้และลูกแกะ กับธัญญบูชาคู่กัน และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน และเจ้าจงถวายสิ่งเหล่านี้บนแท่นบูชาของพระนิเวศแห่งพระเจ้าของเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม
อสร 8.35 บรรดาลูกหลานของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย ซึ่งมาจากการเป็นเชลย ได้ถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าแห่งอิสราเอล มีวัวผู้สิบสองตัวสำหรับพวกอิสราเอลทั้งปวง แกะผู้เก้าสิบหกตัว ลูกแกะเจ็ดสิบเจ็ดตัว และแพะผู้สิบสองตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ทั้งสิ้นนี้เป็นเครื่องเผาบูชาถวายพระเยโฮวาห์
สดด 37.20 แต่คนชั่วจะพินาศ ศัตรูของพระเยโฮวาห์จะเหมือนสง่าของลูกแกะ เขาจะอันตรธานไป อันตรธานไปเหมือนควัน
สดด 114.4 ภูเขากระโดดเหมือนแกะผู้ เนินเขากระโดดเหมือนลูกแกะ
สดด 114.6 ภูเขาเอ๋ย เจ้าจึงกระโดดเหมือนแกะผู้ เนินเขาเอ๋ย เจ้าจึงกระโดดเหมือนลูกแกะ
สภษ 27.26 ลูกแกะจะให้เสื้อผ้าแก่เจ้า และแพะก็จะเป็นค่านา
อสย 1.11 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เครื่องบูชาอันมากมายของเจ้านั้นจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เรา เราเอือมแกะตัวผู้อันเป็นเครื่องเผาบูชา และไขมันของสัตว์ที่ขุนไว้นั้นแล้ว เรามิได้ปีติยินดีในเลือดของวัวผู้หรือลูกแกะหรือแพะผู้
อสย 5.17 แล้วลูกแกะจะเที่ยวหากินที่นั่นตามลักษณะท่าทางของมัน คนแปลกหน้าจะหากินในที่ปรักหักพังของสัตว์ที่อ้วน
อสย 11.6 สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ และเสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ ลูกวัวกับสิงโตหนุ่มกับสัตว์อ้วนพีจะอยู่ด้วยกัน และเด็กเล็กๆจะนำมันไป
อสย 16.1 เจ้าจงส่งลูกแกะไปยังผู้ปกครองแผ่นดินจากเส-ลาตามทางถิ่นทุรกันดาร ไปยังภูเขาแห่งธิดาของศิโยน
อสย 34.6 พระแสงของพระเยโฮวาห์เต็มไปด้วยโลหิต เกรอะกรังไปด้วยไขมัน กับเลือดของลูกแกะและแพะ กับไขมันของไตแกะผู้ เพราะพระเยโฮวาห์มีการฆ่าบูชาในเมืองโบสราห์ การฆ่าขนาดใหญ่ในแผ่นดินเอโดม
อสย 40.11 พระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแพะแกะของพระองค์อย่างผู้เลี้ยงแกะ พระองค์จะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ในพระกรของพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มไว้ที่พระทรวง และทรงค่อยๆนำบรรดาที่มีลูกอ่อนไป
อสย 53.7 ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น
อสย 65.25 สุนัขป่าและลูกแกะจะหากินอยู่ด้วยกัน สิงโตจะกินฟางเหมือนวัว และผงคลีจะเป็นอาหารของงู มันทั้งหลายจะไม่ทำอันตรายหรือทำลายทั่วภูเขาบริสุทธิ์ของเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้
อสย 66.3 เขาผู้ฆ่าวัวราวกับเขาฆ่าคน เขาผู้ถวายลูกแกะเป็นเครื่องบูชาราวกับเขาตัดคอสุนัข เขาผู้ถวายเครื่องบูชาราวกับเขาถวายเลือดหมู เขาผู้เผาเครื่องหอมราวกับเขาสาธุการรูปเคารพ คนเหล่านี้ต่างก็เลือกทางของเขาเอง และจิตใจของเขาปีติยินดีอยู่ในสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของเขา
ยรม 11.19 แต่ข้าพระองค์เป็นเหมือนลูกแกะหรือวัวซึ่งถูกพามาถึงที่ฆ่า ข้าพระองค์ไม่ทราบเลยว่า พวกเขาได้ออกอุบายต่อสู้ข้าพระองค์โดยกล่าวว่า “ให้เราทำลายต้นไม้กับผลของมันเสียด้วย ให้เราตัดเขาออกเสียจากแผ่นดินของคนเป็น เพื่อชื่อของเขาจะไม่เป็นที่ระลึกถึงอีกเลย”
ยรม 51.40 เราจะนำเขาทั้งหลายลงมาดุจลูกแกะไปยังการฆ่า เหมือนแกะผู้และแพะผู้
อสค 27.21 เมืองอาระเบียและเจ้านายทั้งหลายของเมืองเคดาร์ เป็นพ่อค้าขาประจำในเรื่องลูกแกะ แกะผู้ แพะ เขาไปมาค้าขายกับเจ้าในเรื่องเหล่านี้
อสค 39.18 เจ้าจะรับประทานเนื้อของผู้แกล้วกล้า และดื่มโลหิตของเจ้านายแห่งพิภพ ของแกะผู้ ของลูกแกะ และของแพะกับของวัวผู้ ทั้งสิ้นนี้เป็นสัตว์อ้วนพีแห่งเมืองบาชาน
อสค 46.4 เครื่องเผาบูชาที่เจ้านายจะถวายแด่พระเยโฮวาห์ในวันสะบาโตนั้น คือลูกแกะปราศจากตำหนิหกตัว และแกะผู้ปราศจากตำหนิตัวหนึ่ง
อสค 46.5 และธัญญบูชาที่คู่กับแกะผู้นั้นคือแป้งเอฟาห์หนึ่ง และธัญญบูชาที่คู่กับลูกแกะนั้นก็สุดแท้แต่ที่ท่านจะสามารถจะถวายได้ พร้อมกับน้ำมันฮินหนึ่งต่อแป้งหนึ่งเอฟาห์
อสค 46.6 ในวันขึ้นค่ำท่านจะถวายวัวหนุ่มปราศจากตำหนิตัวหนึ่ง และลูกแกะหกตัวกับแกะผู้ตัวหนึ่ง ซึ่งต้องปราศจากตำหนิ
อสค 46.7 ส่วนธัญญบูชานั้นท่านจะจัดแป้งหนึ่งเอฟาห์คู่กับวัวผู้ตัวนั้น และหนึ่งเอฟาห์คู่กับแกะผู้ตัวหนึ่ง และคู่กับลูกแกะ ท่านจะจัดตามที่สามารถจัดได้ พร้อมกับน้ำมันหนึ่งฮินต่อแป้งหนึ่งเอฟาห์
อสค 46.11 ธัญญบูชาที่ใช้ ณ เทศกาลเลี้ยงและเทศกาลที่กำหนดนั้น ให้เป็นเอฟาห์หนึ่งคู่กับวัวหนุ่มตัวหนึ่ง และคู่กับแกะผู้ก็เอฟาห์หนึ่ง และคู่กับลูกแกะก็ตามแต่ท่านสามารถจะถวายได้ พร้อมกับน้ำมันฮินหนึ่งต่อแป้งเอฟาห์หนึ่ง
อสค 46.13 เจ้าจะจัดการหาลูกแกะตัวหนึ่งอายุหนึ่งขวบปราศจากตำหนิถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์เป็นประจำวัน เจ้าจะจัดหาทุกๆเช้า
อสค 46.15 ดังนี้แหละจะต้องจัดหาลูกแกะและเครื่องธัญญบูชาพร้อมกับน้ำมันทุกๆเช้า เพื่อเป็นเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์
อมส 6.4 วิบัติแก่ผู้ที่นอนบนเตียงงาช้าง และผู้ซึ่งเหยียดตัวอยู่บนเก้าอี้ยาว และกินลูกแกะที่ได้มาจากฝูงแกะ และลูกวัวจากท่ามกลางคอกวัว
มก 14.12 เมื่อวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ถึงเวลาเขาเคยฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกานั้น พวกสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายไปจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน”
ลก 10.3 ไปเถอะ ดูเถิด เราใช้ท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า
ลก 22.7 พอถึงวันกินขนมปังไร้เชื้อ เมื่อเขาต้องฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกา
ยน 21.15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วพระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกเหล่านี้หรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ถูกแล้ว พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด”
กจ 8.32 พระคัมภีร์ตอนที่ท่านอ่านอยู่นั้นคือข้อเหล่านี้ ‘เขาได้นำท่านเหมือนแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนลูกแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น
1ปต 1.19 แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตอันมีราคามากของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่างพร้อย
วว 13.11 และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มีสองเขาเหมือนลูกแกะ และพูดเหมือนพญานาค

ลูกแกะผู้ ( 4 )
ลนต 14.10 ในวันที่แปดให้เขาเอาลูกแกะผู้สองตัวปราศจากตำหนิ และลูกแกะเมียอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งปราศจากตำหนิ และยอดแป้งคลุกน้ำมันสามในสิบเอฟาห์เป็นธัญญบูชา กับน้ำมันลกหนึ่ง
ลนต 14.12 ให้ปุโรหิตนำลูกแกะผู้นั้นตัวหนึ่งไปถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดพร้อมกับน้ำมันลกหนึ่ง ให้แกว่งไปแกว่งมาเป็นเครื่องบูชาแกว่งถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 23.12 ในวันที่เจ้าแกว่งถวายฟ่อนข้าว เจ้าจงถวายลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์
กดว 6.14 ให้เขาถวายเครื่องบูชาแด่พระเยโฮวาห์ คือลูกแกะผู้อายุขวบหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชา และลูกแกะเมียอายุขวบหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และแกะผู้ตัวหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องสันติบูชา

ลูกแกะเมีย ( 2 )
ลนต 14.10 ในวันที่แปดให้เขาเอาลูกแกะผู้สองตัวปราศจากตำหนิ และลูกแกะเมียอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งปราศจากตำหนิ และยอดแป้งคลุกน้ำมันสามในสิบเอฟาห์เป็นธัญญบูชา กับน้ำมันลกหนึ่ง
กดว 6.14 ให้เขาถวายเครื่องบูชาแด่พระเยโฮวาห์ คือลูกแกะผู้อายุขวบหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชา และลูกแกะเมียอายุขวบหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และแกะผู้ตัวหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องสันติบูชา

ลูกโค ( 2 )
ฮบ 9.13 เพราะถ้าเลือดวัวตัวผู้และเลือดแพะ และเถ้าของลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนบาป สามารถชำระเนื้อหนังให้บริสุทธิ์ได้
วว 4.7 สัตว์ตัวที่หนึ่งนั้นเหมือนสิงโต สัตว์ตัวที่สองนั้นเหมือนลูกโค สัตว์ตัวที่สามนั้นมีหน้าเหมือนมนุษย์ และสัตว์ตัวที่สี่เหมือนนกอินทรีกำลังบิน

ลูกจ้าง ( 20 )
อพย 12.45 ส่วนแขกหรือลูกจ้างอย่าให้กินเลย
ลนต 19.13 เจ้าอย่าฉ้อโกงเพื่อนบ้านหรือปล้นเขา อย่าให้ค่าจ้างของลูกจ้างค้างอยู่กับเจ้าจนถึงรุ่งเช้า
ลนต 22.10 อย่าให้คนภายนอกรับประทานสิ่งบริสุทธิ์ ผู้ที่มาอาศัยอยู่กับปุโรหิตหรือลูกจ้างอย่าให้รับประทานสิ่งบริสุทธิ์นั้น
ลนต 25.6 แผ่นดินในปีสะบาโตนั้นจะยังพืชผลให้แก่เจ้าทั้งหลาย คือแก่ตัวเจ้าเอง แก่ทาสชายทาสหญิงของเจ้า แก่ลูกจ้างของเจ้า และแก่คนต่างด้าวที่อยู่กับเจ้า
ลนต 25.40 ให้เขาอยู่กับเจ้าอย่างลูกจ้างหรือคนที่อาศัยอยู่ด้วย ให้เขาปรนนิบัติเจ้าไปถึงปีเสียงแตร
ลนต 25.50 จงให้ผู้ที่ขายตัวนับปีทั้งหลายที่ขายตัวกับผู้ที่ซื้อตัวเขาไป ว่าเขาได้ขายตัวกี่ปีจนถึงปีเสียงแตร ค่าตัวของเขาเป็นค่าตามจำนวนปีเหล่านั้น เวลาที่เขาอยู่กับเจ้าของตัวเขานั้นคิดตามเวลาของลูกจ้าง
ลนต 25.53 ผู้ขายตัวนั้นจะต้องอยู่กับผู้ซื้อตัวดังลูกจ้างที่จ้างเป็นปี อย่าให้นายปกครองเขาอย่างกดขี่ในสายตาของเจ้า
พบญ 15.18 เมื่อท่านปล่อยเขาให้เป็นอิสระนั้นท่านอย่ารู้สึกหนักอกหนักใจ เพราะว่าเขาได้รับใช้ท่านมาหกปีด้วยมีค่าแรงมากกว่าลูกจ้างเป็นสองเท่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่ท่านในการทั้งปวงที่ท่านได้กระทำนั้น
พบญ 24.14 ท่านอย่าข่มขี่ลูกจ้างที่เป็นคนยากจนและขัดสน ไม่ว่าเขาจะเป็นพี่น้องของท่าน หรือคนต่างด้าวอยู่ในแผ่นดินภายในประตูเมืองของท่าน
โยบ 7.1 “มนุษย์ไม่มีเวลากำหนดบนแผ่นดินโลกหรือ และชีวิตของเขาไม่เหมือนชีวิตของลูกจ้างดอกหรือ
โยบ 7.2 เหมือนอย่างทาสที่ปรารถนาเงา และเหมือนอย่างลูกจ้างผู้มองหาค่าจ้างแห่งงานของตน
โยบ 14.6 ฉะนั้น ขอทรงหันพระพักตร์ไปจากเขา และทรงเลิกเถิดพระเจ้าข้า เพื่อให้เขาชื่นบานด้วยวันของเขาอย่างลูกจ้าง
อสย 16.14 แต่บัดนี้ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ภายในสามปี ตามปีจ้างลูกจ้าง สง่าราศีของโมอับจะถูกเหยียดหยาม แม้มวลชนมหึมาของเขาทั้งสิ้นก็ดี และคนที่เหลืออยู่นั้นก็จะน้อยและกะปลกกะเปลี้ย”
อสย 21.16 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “สง่าราศีทั้งสิ้นของเคดาร์จะถึงที่สุดภายในปีเดียวตามปีจ้างลูกจ้าง
มลค 3.5 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า แล้วเราจะมาใกล้เจ้าเพื่อการพิพากษา เราจะเป็นพยานที่รวดเร็วที่กล่าวโทษนักวิทยาคม พวกผิดประเวณี ผู้ที่ปฏิญาณเท็จ ผู้ที่บีบบังคับลูกจ้างในเรื่องค่าจ้าง และแม่ม่ายและลูกกำพร้าพ่อ ผู้ที่ผลักไสหันเหคนต่างด้าวจากสิทธิของเขา และผู้ที่ไม่ยำเกรงเรา
มธ 20.2 ครั้นตกลงกับลูกจ้างวันละเดนาริอันแล้ว จึงใช้ให้ไปทำงานในสวนองุ่นของเขา
มก 1.20 ในทันใดนั้นพระองค์ได้ทรงเรียกเขา เขาจึงละเศเบดีบิดาของเขาไว้ที่เรือกับลูกจ้าง และได้ตามพระองค์ไป
ลก 15.17 เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้วจึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียเพราะอดอาหาร
ลก 15.19 ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด”’
ยน 10.13 ผู้ที่รับจ้างนั้นหนีเพราะเขาเป็นลูกจ้างและไม่เป็นห่วงแกะเลย

ลูกชาย ( 18 )
ปฐก 27.27 เขาจึงเข้ามาใกล้และจุบท่าน และท่านก็ดมกลิ่นที่เสื้อของเขา และอวยพรเขาว่า “ดูซิ กลิ่นลูกชายข้าเหมือนกลิ่นท้องทุ่ง ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพร
ปฐก 27.31 และเขาเตรียมอาหารอร่อยนำมาให้บิดาด้วย และพูดกับบิดาว่า “ขอท่านลุกขึ้นรับประทานเนื้อที่ลูกชายหามา เพื่อจิตวิญญาณของท่านจะได้อวยพรลูก”
อพย 23.12 จงทำการงานของเจ้าหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดนั้นจงหยุดงาน เพื่อวัว ลาของเจ้าจะได้พัก และลูกชายทาสีของเจ้า กับคนต่างด้าวจะได้พักผ่อนให้สดชื่นด้วย
พบญ 1.31 และในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งในที่นั้นพวกท่านได้เห็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงอุ้มชูพวกท่าน ดังพ่ออุ้มลูกชายของตน ตลอดทางที่ท่านได้ไปนั้น จนท่านทั้งหลายได้มาถึงที่นี่’
2พกษ 6.28 และกษัตริย์ทรงถามนางว่า “เจ้าเป็นอะไรไป” นางทูลตอบว่า “หญิงคนนี้บอกข้าพระองค์ว่า ‘เอาลูกชายของเจ้ามาให้เรากินเสียวันนี้เถิด และเราจะกินลูกชายของฉันวันพรุ่งนี้’
2พกษ 6.29 เราจึงต้มลูกชายของข้าพระองค์และกิน และรุ่งขึ้นข้าพระองค์ก็พูดกับนางว่า ‘เอาลูกชายของเจ้ามา เพื่อเราจะกินเสีย’ และนางก็ซ่อนลูกชายของนางเสีย”
สดด 50.20 เจ้านั่งพูดใส่ร้ายพี่น้องของเจ้า เจ้านินทาลูกชายมารดาของเจ้าเอง
สภษ 4.3 เพราะเราเป็นลูกชายของพ่อเรา ดูอ่อนโยนและเป็นที่รักยิ่งในสายตาของแม่เรา
อมส 7.14 อาโมสจึงตอบอามาซิยาห์ว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้พยากรณ์ หรือลูกชายของผู้พยากรณ์ ข้าพเจ้าเป็นคนเลี้ยงสัตว์ และเป็นคนเก็บผลมะเดื่อ
มคา 7.6 เพราะว่าลูกชายดูหมิ่นพ่อ และลูกสาวลุกขึ้นต่อสู้แม่ของเธอ ลูกสะใภ้ต่อสู้แม่สามี ศัตรูของใครๆก็คือคนที่อยู่ร่วมเรือนของเขาเอง
มธ 10.35 ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี
ลก 12.53 พ่อจะแตกแยกจากลูกชาย และลูกชายจะแตกแยกจากพ่อ แม่จากลูกสาว และลูกสาวจากแม่ แม่สามีจากลูกสะใภ้ และลูกสะใภ้จากแม่สามี”
ยน 6.42 เขาทั้งหลายว่า “คนนี้เป็นเยซูลูกชายของโยเซฟมิใช่หรือ พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก เหตุใดคนนี้จึงพูดว่า ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’”
คส 4.10 อาริสทารคัส เพื่อนร่วมในการถูกจองจำกับข้าพเจ้าและมาระโก ลูกชายของน้องสาวบารนาบัส ฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย (ท่านก็ได้รับคำสั่งถึงเรื่องมาระโกแล้วว่า ถ้าเขามาหาท่าน ก็จงรับรองเขา)

ลูกชู้ ( 1 )
ฮชย 1.2 เมื่อพระเยโฮวาห์ตรัสทางโฮเชยาเป็นครั้งแรกนั้น พระเยโฮวาห์ตรัสกับโฮเชยาว่า “ไปซี ไปรับหญิงเจ้าชู้มาเป็นภรรยา และเกิดลูกชู้กับนาง เพราะว่าแผ่นดินนี้เล่นชู้อย่างยิ่ง โดยการละทิ้งพระเยโฮวาห์เสีย”

ลูกโซ่ ( 2 )
2พศด 3.5 ห้องโถงพระองค์ทรงบุด้วยไม้สนสามใบ และบุด้วยทองคำเนื้อดี และทำต้นอินทผลัมและลูกโซ่ประดับไว้บนนั้น
2พศด 3.16 พระองค์ทรงทำลูกโซ่เหมือนในห้องหลังติดไว้ที่ยอดเสา และพระองค์ทรงทำทับทิมหนึ่งร้อยลูกแขวนไว้ที่โซ่

ลูกดิ่ง ( 3 )
2พกษ 21.13 และเราจะเอาเชือกอย่างที่วัดกรุงสะมาเรียขึงเหนือกรุงเยรูซาเล็ม และใช้ลูกดิ่งอย่างที่วัดราชวงศ์อาหับ และเราจะล้างเยรูซาเล็มอย่างเขาล้างชาม ล้างและพลิกคว่ำ
อสย 28.17 และเราจะกระทำความยุติธรรมให้เป็นเชือกวัด และความชอบธรรมให้เป็นลูกดิ่ง และลูกเห็บจะกวาดเอาความเท็จอันเป็นที่ลี้ภัยไปเสีย และน้ำจะท่วมท้นที่กำบัง”
อสย 34.11 แต่นกกระทุงและอีกาบ้านจะยึดมันเป็นกรรมสิทธิ์ นกทึดทือและกาจะอาศัยอยู่ที่นั่น พระองค์จะทรงขึงสายแห่งความยุ่งเหยิงเหนือมัน และปล่อยลูกดิ่งแห่งความว่างเปล่า

ลูกแดง ( 2 )
กดว 11.12 ข้าพระองค์ตั้งครรภ์คนเหล่านี้มาหรือ ข้าพระองค์ยังคนเหล่านี้ให้เกิดมาหรือ พระองค์จึงตรัสแก่ข้าพระองค์ว่า ‘จงอุ้มเขาไว้ในอกของเจ้าอย่างพ่อบุญธรรมอุ้มลูกแดงนำมาสู่แผ่นดินที่พระองค์ปฏิญาณจะให้แก่บรรพบุรุษของเขา’
พบญ 28.57 ต่อรกซึ่งเพิ่งออกมาจากหว่างขาของเธอ และต่อลูกแดงที่เพิ่งคลอด เพราะว่าเธอจะกินเป็นอาหารเงียบๆเพราะขัดสนทุกอย่าง ในการถูกล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทั้งหลายทุกข์ลำบากทุกประตูเมือง

ลูกตา ( 1 )
อสย 59.10 เราทั้งหลายคลำหากำแพงเหมือนคนตาบอด เราคลำหาราวกับว่าเราไม่มีลูกตา เราสะดุดในเวลาเที่ยงเหมือนในเวลากลางคืน เราอยู่ในที่โดดเดี่ยวเหมือนคนตาย

ลูกตุ้ม ( 8 )
ลนต 19.36 เจ้าจงใช้ตาชั่งเที่ยงตรง ลูกตุ้มเที่ยงตรง เอฟาห์เที่ยงตรง และฮินเที่ยงตรง เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้พาเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
พบญ 25.13 ท่านอย่ามีลูกตุ้มสำหรับตาชั่งต่างกันไว้ในถุง อันหนึ่งหนักอันหนึ่งเบา
พบญ 25.15 ท่านจงมีลูกตุ้มอันสมบูรณ์และเที่ยงตรงและมีถังตวงอันสมบูรณ์และเที่ยงตรง เพื่อว่าวันคืนของท่านจะยืนนานในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
สภษ 11.1 ตราชูเทียมเท็จนั้นเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเยโฮวาห์ แต่ลูกตุ้มเที่ยงตรงเป็นความปีติยินดีของพระองค์
สภษ 16.11 ตราชูและตาชั่งเที่ยงตรงเป็นของพระเยโฮวาห์ ลูกตุ้มทั้งสิ้นในถุงเป็นพระราชกิจของพระองค์
สภษ 20.10 ลูกตุ้มฉ้อฉลและเครื่องตวงคดโกง ทั้งสองสิ่งเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเยโฮวาห์พอๆกัน
สภษ 20.23 ลูกตุ้มฉ้อฉลเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเยโฮวาห์ และตราชูเทียมเท็จก็ไม่ดี
มคา 6.11 เราจะถือพวกที่มีตาชั่งที่ชั่วร้าย และมีถุงเต็มด้วยลูกตุ้มขี้โกงว่า ไม่มีความผิดได้หรือ

ลูกเต้า ( 2 )
พบญ 32.20 และพระองค์ตรัสว่า ‘เราจะซ่อนหน้าของเราเสียจากเขา เราจะคอยดูว่าปลายทางของเขาจะเป็นอย่างไร เพราะเขาเป็นยุคที่ดื้อรั้น เป็นลูกเต้าที่ไม่มีความเชื่อ
พคค 1.5 พวกคู่อริของเธอกลายเป็นหัวหน้า พวกศัตรูของเธอได้จำเริญขึ้น ด้วยว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำให้เธอทนทุกข์ เพราะความทรยศอันมหันต์ของเธอ ลูกเต้าทั้งหลายของเธอตกไปเป็นเชลยต่อหน้าคู่อริ

ลูกทับทิม ( 13 )
อพย 39.24 ที่ชายเสื้อคลุม เขาทั้งหลายปักเป็นรูปลูกทับทิม ใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อละเอียด
1พกษ 7.18 ท่านทำเสานั้นพร้อมด้วยลูกทับทิม มีสองแถวล้อมทับตาข่ายผืนหนึ่ง เพื่อคลุมบัวคว่ำที่อยู่ยอดเสา และท่านก็ทำเช่นเดียวกันสำหรับบัวคว่ำอีกอันหนึ่ง
1พกษ 7.20 บัวคว่ำซึ่งอยู่บนเสาสองต้นนั้นมีลูกทับทิมด้วย และอยู่เหนือคิ้วซึ่งอยู่ถัดตาข่าย มีลูกทับทิมสองร้อยลูกอยู่ล้อมรอบเป็นสองแถว บัวคว่ำอีกอันหนึ่งก็มีเหมือนกัน
1พกษ 7.42 และลูกทับทิมสี่ร้อยสำหรับตาข่ายสองผืน ตาข่ายผืนหนึ่งมีลูกทับทิมสองแถว เพื่อคลุมคิ้วทั้งสองของบัวคว่ำซึ่งอยู่บนเสา
2พกษ 25.17 เสาต้นหนึ่งสูงสิบแปดศอก และบัวคว่ำทองสัมฤทธิ์มีบนเสา บัวคว่ำนั้นสูงสามศอก มีตาข่ายกับลูกทับทิมล้วนทองสัมฤทธิ์อยู่บนบัวคว่ำโดยรอบ และเสาต้นที่สองก็เหมือนกันพร้อมตาข่าย
2พศด 4.13 และลูกทับทิมสี่ร้อยลูกสำหรับตาข่ายทั้งสองผืน ตาข่ายผืนหนึ่งมีลูกทับทิมสองแถว เพื่อคลุมคิ้วทั้งสองของบัวคว่ำซึ่งอยู่บนยอดเสา
ยรม 52.22 บนเสานี้มีบัวคว่ำยอดทองสัมฤทธิ์ บัวคว่ำยอดอันหนึ่งสูงห้าศอก มีตาข่ายและลูกทับทิม ทั้งหมดทำด้วยทองสัมฤทธิ์อยู่รอบบัวคว่ำยอด และเสาที่สองก็มีเหมือนกัน ทั้งลูกทับทิมด้วย
ยรม 52.23 ข้างๆมีลูกทับทิมเก้าสิบหกลูก บนตาข่ายโดยรอบนั้นมีลูกทับทิมทั้งหมดหนึ่งร้อยลูก

ลูกธนู ( 55 )
ปฐก 21.16 แล้วนางก็ไปนั่งลงห่างออกไปตรงหน้าเด็กนั้น ประมาณเท่ากับระยะลูกธนูตก เพราะนางพูดว่า “อย่าให้ข้าเห็นความตายของเด็กนั้นเลย” นางก็นั่งอยู่ตรงหน้าเด็กนั้นแล้วตะเบ็งเสียงร้องไห้
พบญ 32.23 เราจะสุมสิ่งร้ายไว้บนเขาทั้งหลาย และปล่อยลูกธนูของเรามายิงเขา
พบญ 32.42 เราจะให้ลูกธนูของเราเมาโลหิต และดาบของเราจะกินเนื้อหนัง ด้วยโลหิตของผู้ที่ถูกฆ่าและของเชลย ตั้งแต่เริ่มแก้แค้นต่อศัตรู”’
1ซมอ 20.20 ฉันจะยิงลูกธนูสามลูกไปข้างๆที่นั่น อย่างกับว่าฉันยิงเป้า
1ซมอ 20.21 และดูเถิด ฉันจะใช้เด็กไปสั่งว่า ‘จงไปหาลูกธนู’ ถ้าฉันพูดกับเด็กนั้นว่า ‘ดูเถิด ลูกธนูอยู่ทางข้างนี้ของเจ้า ไปเอามา’ แล้วขอเธอเข้ามา เพราะพระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์แน่ฉันใด เธอก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีอันตรายอันใดฉันนั้น
1ซมอ 20.22 แต่ถ้าฉันพูดกับเด็กหนุ่มนั้นว่า ‘ดูเถิด ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าโน้น’ เธอจงไปเถิด เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงส่งเธอไปแล้ว
1ซมอ 20.36 และท่านสั่งเด็กนั้นว่า “จงวิ่งไปหาลูกธนูที่ฉันยิงไป” เมื่อเด็กนั้นวิ่งไป โยนาธานก็ยิงธนูลูกหนึ่งขึ้นหน้าไป
1ซมอ 20.37 และเมื่อเด็กนั้นมาถึงที่ที่ลูกธนูซึ่งโยนาธานยิงไปนั้น โยนาธานก็ร้องสั่งเด็กนั้นว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าโน้นไม่ใช่หรือ”
1ซมอ 20.38 และโยนาธานร้องสั่งเด็กนั้นว่า “จงรีบไปโดยเร็วอย่าหยุดอยู่” เด็กของโยนาธานก็ไปเก็บลูกธนู และกลับมาหานายของตน
2ซมอ 22.15 และพระองค์ทรงใช้ลูกธนูของพระองค์ออกมา ทำให้เขากระจายไป พระองค์ทรงปล่อยฟ้าแลบและทำให้เขาโกลาหล
2พกษ 9.24 และเยฮูก็โก่งธนูด้วยสุดกำลัง ยิงถูกเยโฮรัมระหว่างพระอังสาทั้งสอง ลูกธนูจึงแทงทะลุพระหทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงล้มลงในรถรบของพระองค์
2พกษ 13.15 และเอลีชาทูลพระองค์ว่า “ขอทรงเอาคันธนูและลูกธนูมา” พระองค์จึงทรงเอาคันธนูและลูกธนูมา
2พกษ 13.17 และท่านทูลว่า “ขอทรงเปิดหน้าต่างด้านตะวันออก” และพระองค์ทรงเปิด แล้วเอลีชาทูลว่า “ขอทรงยิง” และพระองค์ก็ทรงยิง และท่านทูลว่า “ลูกธนูแห่งการช่วยให้รอดพ้นของพระเยโฮวาห์ ลูกธนูแห่งการช่วยให้รอดพ้นจากซีเรีย เพราะพระองค์จะทรงต่อสู้กับคนซีเรียที่อาเฟก จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้เขาสิ้นไป”
2พกษ 13.18 และท่านทูลว่า “ขอทรงหยิบลูกธนู” และพระองค์ทรงหยิบมัน และท่านทูลกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “เอาลูกธนูตีพื้นดิน” และพระองค์ทรงตีสามครั้งแล้วทรงหยุดเสีย
2พกษ 19.32 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จึงตรัสเกี่ยวกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียดังนี้ว่า ‘ท่านจะไม่เข้าในนครนี้หรือยิงลูกธนูไปที่นั่น หรือถือโล่เข้ามาข้างหน้านคร หรือสร้างเชิงเทินสู้มัน
2พศด 26.15 ในเยรูซาเล็มพระองค์ทรงกระทำเครื่องกลไกโดยคนช่างประดิษฐ์ทำขึ้น ไว้บนป้อมและตามมุม เพื่อยิงลูกธนูและโยนก้อนหินใหญ่ๆ และพระนามของพระองค์ก็ลือไปไกล เพราะพระองค์ทรงรับความช่วยเหลืออย่างมหัศจรรย์จนพระองค์เข้มแข็ง
โยบ 41.28 ลูกธนูทำให้มันหนีไปไม่ได้ หินลูกสลิงก็กลายเป็นตอข้าว
สดด 7.13 พระองค์ทรงเตรียมอาวุธแห่งความตาย พระองค์ทรงกระทำให้ลูกธนูของพระองค์ต่อสู้ผู้ข่มเหงทั้งหลาย
สดด 11.2 เพราะดูเถิด คนชั่วโก่งธนูและเอาลูกธนูพาดสายไว้แล้ว เพื่อจะยิงเข้าไปอย่างลับๆให้ถูกคนใจเที่ยงธรรม
สดด 18.14 พระองค์ทรงยิงลูกธนูของพระองค์ออกไป ทำให้เขาต่างกระจัดกระจายไป พระองค์ทรงปล่อยฟ้าแลบแปลบปลาบ ทำให้เขาโกลาหล
สดด 38.2 เพราะลูกธนูของพระองค์จมเข้าไปในข้าพระองค์ และพระหัตถ์ของพระองค์ลงมาเหนือข้าพระองค์
สดด 45.5 ลูกธนูของพระองค์ท่านก็คมอยู่ในจิตใจของศัตรูของกษัตริย์ ชนชาติทั้งหลายจึงล้มอยู่ใต้พระองค์ท่าน
สดด 57.4 จิตใจข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางเหล่าสิงโต ข้าพเจ้านอนท่ามกลางผู้ที่ไฟติดตัวคือบุตรทั้งหลายของมนุษย์ ฟันของเขาทั้งหลายคือหอกและลูกธนู ลิ้นของเขาคือดาบคม
สดด 64.3 ผู้ลับลิ้นของเขาอย่างลับดาบ ผู้เอาคำขมขื่นเล็งอย่างลูกธนู
สดด 76.3 ที่นั่นพระองค์ทรงหักลูกธนูทั้งโล่ ดาบ และการยุทธ์ เซลาห์
สดด 77.17 เมฆเทน้ำลงมา ท้องฟ้าก็คะนองเสียง ลูกธนูของพระองค์ก็ปลิวไปปลิวมา
สดด 91.5 ท่านจะไม่กลัวความสยดสยองในกลางคืน หรือกลัวลูกธนูที่ปลิวไปในกลางวัน
สดด 120.4 ลูกธนูคมของนักรบกับถ่านไม้จำพวกสนจูนิเปอร์ที่ลุกโพลง น่ะซี
สดด 127.4 บุตรทั้งหลายที่เกิดเมื่อเขายังหนุ่มก็เหมือนลูกธนูในมือนักรบ
สดด 127.5 ชายใดๆที่มีลูกธนูเต็มแล่งก็เป็นสุข เขาจะไม่ต้องละอาย แต่เขาจะพูดกับศัตรูของเขาที่ประตูเมือง
สดด 144.6 ขอทรงพุ่งฟ้าผ่าออกมาและกระจายเขาไป ขอทรงยิงลูกธนูของพระองค์และทรงทำลายพวกเขา
สภษ 7.23 จนลูกธนูปักเข้าไปถึงตับ อย่างนกรนเข้าไปหาบ่วง เขาหาทราบไม่ว่านี่มีค่าถึงชีวิต
สภษ 25.18 คนใดที่เป็นพยานเท็จกล่าวโทษเพื่อนบ้านของเขา ก็เหมือนกระบองศึก หรือดาบ หรือลูกธนูที่คม
สภษ 26.18 คนบ้าที่โยนดุ้นไฟ ลูกธนูและความตายออกไป
อสย 5.28 ลูกธนูของเขาก็แหลม บรรดาคันธนูของเขาก็ก่งไว้ กีบม้าทั้งหลายของเขาจะเหมือนกับหินเหล็กไฟ และล้อของเขาทั้งหลายเหมือนลมหมุน
อสย 7.24 คนจะมาที่นั่นพร้อมกับคันธนูและลูกธนู เพราะว่าแผ่นดินทั้งสิ้นนั้นจะกลายเป็นที่หนามย่อยและหนามใหญ่
อสย 37.33 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จึงตรัสเกี่ยวกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียดังนี้ว่า ‘ท่านจะไม่เข้าในนครนี้หรือยิงลูกธนูไปที่นั่น หรือถือโล่เข้ามาข้างหน้านคร หรือสร้างเชิงเทินสู้มัน
ยรม 50.9 เพราะ ดูเถิด เราจะเร้าและนำบรรดาประชาชาติใหญ่หมู่หนึ่งจากประเทศเหนือมาต่อสู้บาบิโลน และเขาทั้งหลายจะเรียงรายพวกเขามาต่อสู้กับเธอ ตรงนั้นแหละเธอจะถูกยึด ลูกธนูของเขาทั้งหลายก็เหมือนนักรบที่มีฝีมือ ไม่มีคนใดจะกลับมือเปล่า
ยรม 50.14 จงเรียงรายตัวของเจ้าทั้งหลายเข้ามาสู้บาบิโลนให้รอบข้าง บรรดาเจ้าที่โก่งคันธนูจงยิงเธอ อย่าเสียดายลูกธนู เพราะเธอได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์
ยรม 51.11 จงฝนลูกธนู จงหยิบโล่ขึ้นมา พระเยโฮวาห์ทรงเร้าใจบรรดากษัตริย์คนมีเดีย เพราะว่าพระประสงค์ของพระองค์เกี่ยวด้วยเรื่องบาบิโลน ก็คือการทำลายมันเสีย เพราะนั่นแหละเป็นการแก้แค้นของพระเยโฮวาห์ คือการแก้แค้นแทนพระวิหารของพระองค์
พคค 3.12 พระองค์ทรงโก่งธนูของพระองค์และเอาข้าพเจ้าตั้งเป็นเป้าสำหรับลูกธนู
พคค 3.13 พระองค์ทรงเอาลูกธนูในแล่งของพระองค์ ยิงเข้าในหัวใจของข้าพเจ้าแล้ว
อสค 5.16 เมื่อเราจะปล่อยลูกธนูมฤตยูแห่งการกันดารอาหาร คือลูกธนูแห่งการทำลายในท่ามกลางเจ้า ซึ่งเราจะปล่อยไปทำลายเจ้า และเมื่อเราเพิ่มการกันดารอาหารให้เจ้า และทำลายอาหารหลักของเจ้าเสีย
อสค 21.21 เพราะว่ากษัตริย์บาบิโลนยืนอยู่ที่ทางแพร่ง อยู่ที่หัวถนนสองถนน กำหนดหาคำทำนาย ท่านเขย่าลูกธนู และปรึกษาเทราฟิม ท่านมองดูที่ตับ
อสค 39.3 แล้วเราจะตีคันธนูให้หลุดจากมือซ้ายของเจ้า และเราจะให้ลูกธนูตกจากมือขวาของเจ้า
อสค 39.9 แล้วบรรดาคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในบรรดาหัวเมืองอิสราเอลจะออกไป และจะเอาไฟสุมเครื่องอาวุธเผาเสียคือโล่และดั้ง คันธนูและลูกธนู หอกยาวและหอกซัด และเขาจะเอาไฟสุมเป็นเวลาเจ็ดปี
ฮบก 3.11 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นิ่งเฉยอยู่ในที่ของมัน เมื่อแสงแห่งลูกธนูของพระองค์พุ่งผ่านไป เมื่อแสงแห่งหอกอันวาววับของพระองค์พุ่งไป
ศคย 9.13 เพราะเราได้ดัดยูดาห์เหมือนโค้งคันธนู เราได้กระทำเอฟราอิมให้เป็นลูกธนู โอ ศิโยนเอ๋ย เราปลุกเร้าบุตรชายทั้งหลายของเจ้าให้ต่อสู้กับบุตรชายทั้งหลายของเจ้านะ โอ กรีกเอ๋ย และแกว่งเจ้าอย่างดาบของนักรบ
ศคย 9.14 แล้วพระเยโฮวาห์จะทรงปรากฏเหนือเขาทั้งหลาย และลูกธนูของพระองค์จะออกไปเหมือนฟ้าแลบ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะทรงเป่าแตร และจะเสด็จไปในลมหมุนทิศใต้

ลูกนอกกฎหมาย ( 2 )
พบญ 23.2 ห้ามลูกนอกกฎหมายเข้าในชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์ อย่าให้ลูกหลานของเขาเข้าในชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์จนถึงสิบชั่วอายุคน
ศคย 9.6 ลูกนอกกฎหมายจะมาอยู่ในเมืองอัชโดด เราจะตัดความหยิ่งผยองของคนฟีลิสเตียออกเสีย

ลูกนัท ( 1 )
ปฐก 43.11 ฝ่ายอิสราเอลบิดาของพวกเขาจึงบอกบุตรชายทั้งหลายว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ทำดังนี้ คือเอาผลิตผลอย่างดีที่สุดที่มีในแผ่นดินนี้ คือพิมเสนบ้าง น้ำผึ้งบ้าง ยางไม้และมดยอบ ลูกนัทและลูกอัลมันด์ ใส่ภาชนะไปเป็นของกำนัลแก่ท่าน

ลูกน้ำ ( 1 )
มธ 23.24 คนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออก แต่กลืนตัวอูฐเข้าไป

ลูกบอลล์ ( 1 )
อสย 22.18 และม้วนเจ้า และขว้างเจ้าไปอย่างลูกบอลล์ยังแผ่นดินกว้างเจ้าจะตายที่นั่น และที่นั่นจะมีรถรบอันตระการของเจ้า เจ้าผู้เป็นที่อดสูแก่เรือนนายของเจ้า

ลูกบ้าน ( 1 )
มธ 10.25 ซึ่งศิษย์จะได้เป็นเสมอครูของตน และทาสเสมอนายของตนก็พออยู่แล้ว ถ้าเขาได้เรียกเจ้าบ้านว่าเบเอลเซบูล เขาจะเรียกลูกบ้านของเขามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด

ลูกปัด ( 1 )
พซม 1.11 พวกฉันจะทำเครื่องประดับทองคำมีลูกปัดเงินประกอบ

ลูกผู้ชาย ( 9 )
1ซมอ 4.9 โอ คนฟีลิสเตียเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด จงกระทำตัวเป็นลูกผู้ชาย เพื่อว่าเจ้าจะไม่เป็นทาสของคนฮีบรู ดังที่เขาเคยเป็นทาสเจ้า จงกระทำตัวให้เป็นลูกผู้ชายและเข้ารบ”
1ซมอ 4.20 เมื่อนางกำลังจะตายนั้น พวกผู้หญิงที่เฝ้านางอยู่ได้บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเจ้าคลอดลูกผู้ชายคนหนึ่ง” แต่นางไม่ตอบไม่ฟัง
2ซมอ 10.12 จงมีความกล้าหาญเถิด ให้เราเป็นลูกผู้ชายเพื่อชนชาติของเรา และเพื่อหัวเมืองแห่งพระเจ้าของเรา และขอพระเยโฮวาห์ทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด”
1พกษ 2.2 “เรากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว จงเข้มแข็งและสำแดงตัวของเจ้าให้เป็นลูกผู้ชาย
โยบ 38.3 จงคาดเอวไว้อย่างกับลูกผู้ชายหน่อยซิ เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา
โยบ 40.7 “จงคาดเอวไว้อย่างลูกผู้ชายหน่อยซี เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา
อสย 46.8 จำข้อนี้ไว้และจงเป็นลูกผู้ชายแท้ โอ เจ้าผู้ละเมิดทั้งหลาย จงนึกไว้ในใจ
1คร 16.13 ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง จงมั่นคงในความเชื่อ จงเป็นลูกผู้ชายแท้ จงเข้มแข็ง

ลูกแฝด ( 6 )
ปฐก 25.24 เมื่อกำหนดคลอดของนางมาถึงแล้ว ดูเถิด มีลูกแฝดอยู่ในครรภ์ของนาง
ปฐก 25.26 ภายหลังน้องชายของเขาก็คลอดออกมา มือของเขาจับส้นเท้าของเอซาวไว้ เขาจึงตั้งชื่อว่า ยาโคบ เมื่อนางคลอดลูกแฝดนั้น อิสอัคมีอายุได้หกสิบปี
ปฐก 38.27 อยู่มาเมื่อถึงเวลากำหนดคลอดบุตร ดูเถิด ก็มีลูกแฝดอยู่ในครรภ์
พซม 4.2 ซี่ฟันของเธอดังฝูงแกะตัวเมียที่กำลังจะตัดขน เพิ่งขึ้นมาจากการชำระล้าง มีลูกแฝดติดมาทุกตัว และหามีตัวใดเป็นหมันไม่
พซม 6.6 ซี่ฟันของเธอดังฝูงแกะตัวเมียเพิ่งขึ้นมาจากการชำระล้าง มีลูกแฝดติดมาทุกตัว และหามีตัวใดเป็นหมันไม่
กจ 28.11 ครั้นล่วงไปสามเดือน พวกเราจึงลงในเรือกำปั่นซึ่งมาจากเมืองอเล็กซานเดรียและค้างอยู่ที่เกาะนั้นในฤดูหนาว กำปั่นลำนั้นมีรูปลูกแฝดชื่อแคสเตอร์และพอลลักซ์เป็นเครื่องหมาย

ลูกพรวน ( 9 )
อพย 28.33 ที่ชายล่างของเสื้อคลุมให้ปักรูปทับทิม ใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มรอบชายเสื้อ และติดลูกพรวนทองคำสลับกับผลทับทิม
อพย 28.34 ลูกพรวนทองคำลูกหนึ่ง ผลทับทิมผลหนึ่ง ลูกพรวนทองคำอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่งรอบชายล่างของเสื้อคลุม
อพย 28.35 อาโรนจะสวมเสื้อตัวนั้นเมื่อทำงานปรนนิบัติ และจะได้ยินเสียงลูกพรวนเมื่อเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ในที่บริสุทธิ์ และเมื่อเดินออกมา ด้วยเกรงว่าเขาจะต้องตาย
อพย 39.25 เขาทั้งหลายทำลูกพรวนด้วยทองคำบริสุทธิ์แล้วติดลูกพรวนระหว่างผลทับทิมรอบชายเสื้อคลุมนั้น
อพย 39.26 คือลูกพรวนลูกหนึ่ง ผลทับทิมผลหนึ่ง และลูกพรวนอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่งสลับกันดังนี้ รอบชายเสื้อคลุมนั้น สำหรับสวมเวลาปรนนิบัติพระองค์ ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแก่โมเสส
ศคย 14.20 และในวันนั้นลูกพรวนที่ผูกม้าจะมีคำจารึกว่า “บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์” และหม้อซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะเป็นเหมือนชามซึ่งอยู่หน้าแท่นบูชา

ลูกพี่ลูกน้อง ( 1 )
ลนต 25.49 หรือลุงหรือลูกพี่ลูกน้องจะทำการไถ่ถอนเขาก็ได้ หรือญาติสนิทของครอบครัวของเขาจะไถ่ถอนเขาก็ได้ หรือถ้าเขามีความสามารถ เขาจะไถ่ถอนตัวเองก็ได้

ลูกแพะ ( 29 )
ปฐก 27.9 บัดนี้ไปที่ฝูงแพะแกะ นำลูกแพะดีๆสองตัวมาให้แม่ แม่จะเอามันปรุงอาหารอร่อยให้บิดาเจ้าอย่างที่ท่านชอบ
ปฐก 27.13 มารดาของเขาพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้การสาปแช่งของเจ้าตกอยู่กับแม่เถิด ฟังเสียงของแม่เท่านั้น ไปเอาลูกแพะมาให้แม่เถิด”
ปฐก 38.17 ยูดาห์ตอบว่า “เราจะส่งลูกแพะจากฝูงมาให้เจ้าตัวหนึ่ง” นางก็ถามว่า “ท่านจะให้ของมัดจำไว้ก่อนจนกว่าจะส่งลูกแพะนั้นมาได้ไหม”
ปฐก 38.20 ฝ่ายยูดาห์ฝากลูกแพะมากับเพื่อนคนอดุลลามให้ไถ่ของมัดจำจากมือหญิงนั้น แต่เขาหานางไม่พบ
ปฐก 38.23 ยูดาห์จึงว่า “ให้หญิงนั้นเก็บของนั้นไว้เถิด มิฉะนั้นเราจะละอายใจ ดูเถิด เราฝากลูกแพะตัวนี้ไปให้ แต่ท่านก็หาหญิงนั้นไม่พบ”
อพย 23.19 พืชผลอันดีเลิศซึ่งได้เก็บครั้งแรกจากไร่นาของเจ้านั้นจงนำมาถวายในพระนิเวศพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า อย่าต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมของแม่มันเลย
อพย 34.26 จงคัดพืชผลแรกจากผลรุ่นแรกในไร่นามาถวายในพระนิเวศพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า อย่าต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมันเลย”
ลนต 4.23 เมื่อเขารู้ตัวว่ากระทำผิดดังนั้นแล้ว ก็ให้เขานำลูกแพะตัวผู้ที่ไม่มีตำหนิตัวหนึ่งมาเป็นเครื่องบูชา
ลนต 4.28 เมื่อเขารู้ตัวว่ากระทำผิดดังนั้นแล้ว ก็ให้เขานำลูกแพะตัวเมียตัวหนึ่งซึ่งไม่มีตำหนิมาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปที่เขาได้กระทำไปนั้น
ลนต 5.6 และให้เขานำเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาถวายแด่พระเยโฮวาห์ เพราะบาปซึ่งเขาได้กระทำนั้น เครื่องบูชานั้นจะเป็นสัตว์ตัวเมียจากฝูง คือลูกแกะหรือลูกแพะ ก็เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปได้ ดังนี้ปุโรหิตจะทำการลบมลทินแทนผู้ที่กระทำผิดนั้น
ลนต 23.19 เจ้าจงถวายลูกแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และลูกแกะอายุหนึ่งขวบสองตัวเป็นเครื่องสันติบูชา
กดว 15.11 จงกระทำอย่างนี้สำหรับวัวผู้หรือแกะผู้ทุกตัว หรือสำหรับลูกแกะหรือลูกแพะทุกตัว
พบญ 7.13 พระองค์จะทรงรักท่าน อวยพระพรแก่ท่านให้จำเริญยิ่งทวีขึ้น พระองค์จะทรงอำนวยพระพรผู้บังเกิดจากครรภ์ของพวกท่าน และผลแห่งพื้นดินของท่าน ทั้งข้าว น้ำองุ่น และน้ำมันของท่านทั้งหลาย ให้ลูกวัวและลูกแพะแกะของท่านทวีขึ้นในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่านที่จะให้แก่ท่าน
พบญ 14.21 ท่านอย่ารับประทานสัตว์ชนิดใดที่ตายเอง ท่านจะให้แก่คนต่างด้าวที่อยู่ภายในประตูเมืองของท่านรับประทานก็ได้ หรือท่านจะขายให้แก่คนต่างประเทศก็ได้ เพราะว่าท่านเป็นชนชาติที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ท่านอย่าต้มลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมันเลย
วนฉ 6.19 กิเดโอนก็กลับเข้าบ้าน จัดลูกแพะตัวหนึ่งกับแป้งเอฟาห์หนึ่งทำขนมไร้เชื้อ เขาเอาเนื้อใส่กระจาด ส่วนน้ำแกงใส่ในหม้อ นำสิ่งเหล่านี้มาถวายพระองค์ที่ใต้ต้นโอ๊ก
วนฉ 13.15 มาโนอาห์กล่าวแก่ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ว่า “ขอท่านรออยู่ก่อน ข้าพเจ้าทั้งสองจะไปเตรียมลูกแพะตัวหนึ่งให้ท่าน”
วนฉ 13.19 มาโนอาห์ก็เอาลูกแพะกับธัญญบูชามาถวายบูชาบนศิลาแด่พระเยโฮวาห์ และทูตสวรรค์นั้นกระทำการมหัศจรรย์ มาโนอาห์และภรรยาก็มองดู
วนฉ 14.6 พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ก็ทรงสถิตกับแซมสันอย่างมาก ท่านจึงฉีกสิงโตออกอย่างคนฉีกลูกแพะ ทั้งที่ไม่มีอะไรในมือ แต่ท่านมิได้บอกให้บิดาหรือมารดาของท่านทราบว่าท่านได้ทำอะไรไป
วนฉ 15.1 ครั้นล่วงมาหลายวันถึงฤดูเกี่ยวข้าวสาลี แซมสันก็เอาลูกแพะตัวหนึ่งไปเยี่ยมภรรยาพูดว่า “ฉันจะเข้าไปหาภรรยาของฉันที่ในห้อง” แต่พ่อตาไม่ยอมให้ท่านเข้าไป
1ซมอ 10.3 และท่านจะเดินเลยที่นั่นไปถึงที่ราบตำบลทาโบร์ ที่นั่นชายสามคนซึ่งกำลังขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอลจะพบท่าน คนหนึ่งอุ้มลูกแพะสามตัว อีกคนหนึ่งถือขนมปังสามก้อน และอีกคนหนึ่งถือถุงหนังน้ำองุ่นถุงหนึ่ง
1ซมอ 16.20 และเจสซีก็จัดลาตัวหนึ่งบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่น้ำองุ่นถุงหนึ่ง กับลูกแพะตัวหนึ่ง ฝากไปกับดาวิดบุตรชายของท่านให้ถวายซาอูล
2พศด 35.7 แล้วโยสิยาห์ได้ทรงบริจาคแก่ประชาชนเป็นเครื่องปัสกาบูชาสำหรับคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่น เป็นลูกแกะและลูกแพะจากฝูงแพะแกะจำนวนสามหมื่นตัว และวัวผู้สามพันตัว สัตว์เหล่านี้ได้มาจากทรัพย์สินของกษัตริย์
2พศด 35.8 และเจ้านายของพระองค์บริจาคด้วยความเต็มใจแก่ประชาชน แก่ปุโรหิต และแก่คนเลวี ฮิลคียาห์ เศคาริยาห์และเยฮีเอล เจ้าหน้าที่ชั้นหัวหน้าของพระนิเวศแห่งพระเจ้า ได้มอบลูกแกะและลูกแพะสองพันหกร้อยตัวกับวัวผู้สามร้อยตัวแก่ปุโรหิตเป็นเครื่องปัสกาบูชา
2พศด 35.9 กับโคนานิยาห์ และเชไมอาห์ กับเนธันเอล พวกน้องชายของเขา และฮาชาบิยาห์ และเยอีเอล กับโยซาบาด หัวหน้าของคนเลวี ได้ให้ลูกแกะและลูกแพะห้าพันตัวกับวัวผู้ห้าร้อยตัวแก่คนเลวีเป็นเครื่องปัสกาบูชา
อสย 11.6 สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ และเสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ ลูกวัวกับสิงโตหนุ่มกับสัตว์อ้วนพีจะอยู่ด้วยกัน และเด็กเล็กๆจะนำมันไป
อสค 43.22 และในวันที่สองท่านจงถวายลูกแพะตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และพวกปุโรหิตจะชำระแท่นบูชา อย่างที่ชำระด้วยวัวผู้
ลก 15.29 แต่เขาบอกบิดาว่า ‘ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติท่านกี่ปีมาแล้ว และมิได้ละเมิดคำบัญชาของท่านสักข้อหนึ่งเลย แม้แต่เพียงลูกแพะสักตัวหนึ่งท่านก็ยังไม่เคยให้ข้าพเจ้า เพื่อจะเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงยินดีกับเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า
ฮบ 9.19 เพราะว่าเมื่อโมเสสประกาศข้อบังคับทุกข้อแก่บรรดาพลไพร่ตามพระราชบัญญัติแล้ว ท่านจึงได้เอาเลือดลูกวัวและเลือดลูกแพะกับน้ำ และเอาขนแกะสีแดงและต้นหุสบมาประพรมหนังสือม้วนนั้นกับทั้งบรรดาคนทั้งปวง

ลูกแพะผู้ ( 23 )
ปฐก 37.31 พวกเขาก็เอาเสื้อของโยเซฟมา และฆ่าลูกแพะผู้ตัวหนึ่ง จุ่มเสื้อของโยเซฟลงในเลือด
ลนต 9.3 และกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ‘จงเอาลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และลูกวัวตัวหนึ่งกับลูกแกะตัวหนึ่ง ทั้งสองให้มีอายุหนึ่งขวบ ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.16 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.22 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.28 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.34 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.40 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.46 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.52 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.58 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.64 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.70 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.76 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.82 ลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 15.24 แล้วถ้าประชาชนได้กระทำผิดโดยไม่เจตนา โดยที่ชุมนุมชนไม่รู้เห็น ชุมนุมชนทั้งหมดต้องถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์ พร้อมกับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันตามลักษณะ และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 28.15 และเอาลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปถวายแด่พระเยโฮวาห์ ให้นำมาบูชานอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
กดว 28.30 พร้อมกับลูกแพะผู้ตัวหนึ่งสำหรับลบมลทินของเจ้า
กดว 29.5 และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อลบมลทินบาปของเจ้า
กดว 29.11 และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องบูชาไถ่บาปลบมลทินและเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ซึ่งคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
กดว 29.16 และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ ซึ่งคู่กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
กดว 29.19 และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ ซึ่งคู่กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
กดว 29.25 และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ ซึ่งคู่กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
อสค 45.23 และในเจ็ดวันที่มีเทศกาลเลี้ยงให้เจ้านายจัดหาวัวหนุ่มเจ็ดตัวกับแกะผู้เจ็ดตัวที่ปราศจากตำหนิ ให้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ทุกๆวันตลอดเจ็ดวันนั้น และจัดหาลูกแพะผู้ตัวหนึ่งทุกวันให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

ลูกเรือ ( 5 )
อสค 27.27 ทรัพย์สินของเจ้า ของขายของเจ้า สินค้าของเจ้า ลูกเรือของเจ้า และต้นหนของเจ้า ช่างไม้ประจำของเจ้า ผู้ค้าสินค้าของเจ้า นักรบทั้งสิ้นของเจ้าผู้อยู่ในเจ้าพร้อมกับพรรคพวกทั้งสิ้นของเจ้าที่อยู่ท่ามกลางเจ้า จะจมลงในท้องทะเลในวันล่มจมของเจ้า
อสค 27.29 บรรดาผู้ที่ถือกรรเชียง พวกลูกเรือและบรรดาต้นหนแห่งทะเลจะลงมาจากเรือของเขา มายืนอยู่บนฝั่ง
ยนา 1.5 แล้วบรรดาลูกเรือก็กลัว ต่างก็ร้องขอต่อพระของตน และเขาโยนสินค้าในกำปั่นลงในทะเลเพื่อให้กำปั่นเบาขึ้น แต่โยนาห์เข้าไปข้างในเรือ นอนลงและหลับสนิท
ยนา 1.13 ถึงกระนั้นก็ดีพวกลูกเรือก็ช่วยกันตีกรรเชียงอย่างแข็งแรงเพื่อจะนำเรือกลับเข้าฝั่งแต่ไม่ได้ เพราะว่าทะเลยิ่งกำเริบมากขึ้นต้านเขาไว้
วว 18.17 เพียงในชั่วโมงเดียว ทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่นั้นก็พินาศสูญไปสิ้น” และนายเรือทุกคน คนที่โดยสารเรือ พวกลูกเรือ และคนทั้งหลายที่มีอาชีพทางทะเล ก็ได้ยืนอยู่แต่ห่างๆ

ลูกลา ( 18 )
ปฐก 32.15 อูฐแม่ลูกอ่อนสามสิบกับลูกวัวตัวเมียสี่สิบ วัวตัวผู้สิบ ลาตัวเมียยี่สิบ และลูกลาสิบ
ปฐก 49.11 เขาผูกลาของเขาไว้ที่เถาองุ่น และผูกลูกลาของเขาไว้ที่เถาองุ่นดีที่สุด เขาซักผ้าของเขาด้วยน้ำองุ่น เขาซักเสื้อผ้าของเขาด้วยเลือดแห่งผลองุ่น
อพย 13.13 จงเอาลูกแกะไถ่ลูกลาหัวปี ถ้าไม่ไถ่จงหักคอมันเสีย จงไถ่บุตรหัวปีทั้งหลายของมนุษย์ไว้ทั้งหมด
อพย 34.20 ส่วนลูกลาหัวปีนั้นเจ้าจงนำลูกแกะมาไถ่ไว้ ถ้าแม้เจ้ามิได้ไถ่ก็จงหักคอมันเสีย บุตรชายหัวปีทั้งหลายของพวกเจ้านั้นจะต้องไถ่ไว้ด้วย อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย
ศคย 9.9 โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด โอ บุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้อง ดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ ทรงความชอบธรรมและความรอด พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลา ทรงลูกลา
มก 11.2 สั่งเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ครั้นเข้าไปแล้วในทันใดนั้นจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด
มก 11.3 ถ้าผู้ใดถามท่านว่า ‘ท่านทำอย่างนี้ทำไม’ จงบอกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องประสงค์ลูกลานี้ และประเดี๋ยวพระองค์จะส่งกลับคืนมาให้ที่นี่”
มก 11.4 สาวกสองคนนั้นจึงไป แล้วพบลูกลาตัวนั้นผูกอยู่นอกประตูที่สี่แยก เขาจึงแก้มัน
มก 11.5 บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นถามเขาว่า “แก้ลูกลานั้นทำไม”
มก 11.7 สาวกจึงจูงลูกลามาถึงพระเยซู แล้วเอาเสื้อผ้าของตนปูลงบนหลังลา แล้วพระองค์จึงทรงลานั้น
ลก 19.30 สั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่ยังไม่เคยมีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด
ลก 19.31 ถ้ามีผู้ใดถามท่านว่า ‘ท่านแก้มันทำไม’ จงบอกเขาว่า ‘เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ลูกลานี้’”
ลก 19.33 เมื่อเขากำลังแก้ลูกลานั้น พวกเจ้าของก็ถามเขาว่า “ท่านแก้ลูกลาทำไม”
ลก 19.34 ฝ่ายเขาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ลูกลานี้”
ลก 19.35 แล้วเขาก็จูงลูกลามาถึงพระเยซูและเอาเสื้อของตนปูลงบนหลังลา และเชิญพระเยซูขึ้นทรงลานั้น
ยน 12.14 และเมื่อพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่งจึงทรงลานั้นเหมือนดังที่มีคำเขียนไว้ว่า
ยน 12.15 ‘ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย ดูเถิด กษัตริย์ของเธอทรงลูกลาเสด็จมา’

ลูกเล็กเด็กแดง ( 3 )
สดด 137.9 ความสุขจงมีแก่ผู้ที่เอาลูกเล็กเด็กแดงของเจ้าเหวี่ยงกระแทกลงกับก้อนหิน
พคค 2.19 จงลุกขึ้นร้องไห้ในกลางคืน ในต้นยามจงระบายความในใจของเจ้าออกอย่างน้ำตรงพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า จงชูมือทั้งสองของเจ้าขึ้นตรงไปยังพระองค์เพื่อขอชีวิตของบรรดาลูกเล็กเด็กแดงของเจ้า ที่หิวจนเป็นลมสลบไป ตามหัวถนนหนทางทุกแห่ง
นฮม 3.10 ถึงกระนั้นเมืองนั้นก็ยังถูกกวาดไป เธอตกไปเป็นเชลย ลูกเล็กเด็กแดงของเธอก็ถูกเหวี่ยงลงแหลกเป็นชิ้นๆที่หัวถนนทุกสาย เขาจับสลากแบ่งผู้มีเกียรติของเมืองนั้น และคนใหญ่คนโตทั้งสิ้นของเมืองนั้นก็ถูกล่ามโซ่

ลูกวัว ( 35 )
ปฐก 18.7 อับราฮัมจึงวิ่งไปที่ฝูงสัตว์เอาลูกวัวอ่อนและดีตัวหนึ่งมอบให้ชายหนุ่มคนหนึ่งและเขาก็รีบปรุงเป็นอาหาร
ปฐก 18.8 เขาเอาเนย น้ำนมและลูกวัวซึ่งเขาได้ปรุงแล้วนั้นมาวางไว้ต่อหน้าท่านเหล่านั้น และเขายืนอยู่ข้างท่านเหล่านั้นใต้ต้นไม้แล้วท่านเหล่านั้นได้รับประทาน
ปฐก 32.15 อูฐแม่ลูกอ่อนสามสิบกับลูกวัวตัวเมียสี่สิบ วัวตัวผู้สิบ ลาตัวเมียยี่สิบ และลูกลาสิบ
ลนต 9.2 และท่านกล่าวแก่อาโรนว่า “จงนำลูกวัวตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และแกะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา ทั้งสองอย่าให้มีตำหนิ จงถวายบูชาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 9.3 และกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ‘จงเอาลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และลูกวัวตัวหนึ่งกับลูกแกะตัวหนึ่ง ทั้งสองให้มีอายุหนึ่งขวบ ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชา
ลนต 9.8 อาโรนจึงเข้าไปใกล้แท่นบูชาและฆ่าลูกวัวอันเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปซึ่งเป็นของเพื่อตน
พบญ 7.13 พระองค์จะทรงรักท่าน อวยพระพรแก่ท่านให้จำเริญยิ่งทวีขึ้น พระองค์จะทรงอำนวยพระพรผู้บังเกิดจากครรภ์ของพวกท่าน และผลแห่งพื้นดินของท่าน ทั้งข้าว น้ำองุ่น และน้ำมันของท่านทั้งหลาย ให้ลูกวัวและลูกแพะแกะของท่านทวีขึ้นในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่านที่จะให้แก่ท่าน
พบญ 28.51 และจะรับประทานผลของฝูงสัตว์ของท่าน และพืชผลจากพื้นดินของท่าน จนท่านจะถูกทำลาย ทั้งเขาจะไม่เหลือข้าว น้ำองุ่นหรือน้ำมัน ลูกวัว หรือลูกแกะอ่อนไว้ให้ท่าน จนกว่าเขาจะกระทำให้ท่านพินาศ
พบญ 33.17 สง่าราศีของเขาเหมือนลูกวัวหัวปีของเขา เขาของเขาเหมือนเขาม้ายูนิคอน และด้วยเขานั้นเขาจะดันชนชาติทั้งหลายออกไปจนสุดปลายพิภพ คนเอฟราอิมนับหมื่นเป็นเช่นนี้ คนมนัสเสห์นับพันก็เหมือนกัน”
1ซมอ 14.32 และพวกพลก็วิ่งเข้าหาของที่ริบได้ เอาแกะและวัวและลูกวัวมาฆ่าเสีย ณ ที่นั้นเอง และพวกพลก็กินเนื้อพร้อมกับเลือด
1ซมอ 28.24 หญิงนั้นมีลูกวัวอ้วนอยู่ในบ้านตัวหนึ่ง ก็รีบฆ่าเสีย เอาแป้งมานวดปิ้งทำขนมปังไร้เชื้อ
2ซมอ 6.13 และเมื่อผู้ที่หามหีบของพระเยโฮวาห์เดินไปได้หกก้าว ดาวิดก็ทรงถวายวัวกับลูกวัวอ้วน
1พกษ 12.28 ดังนั้นกษัตริย์จึงทรงปรึกษา และได้ทรงสร้างลูกวัวสองตัวด้วยทองคำ และพระองค์ตรัสแก่ประชาชนว่า “ที่ท่านทั้งหลายขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มนานพออยู่แล้ว โอ อิสราเอลเอ๋ย จงดูพระของท่าน ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงนำท่านทั้งหลายออกจากประเทศอียิปต์”
2พกษ 17.16 และเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตน และได้หล่อรูปเคารพสำหรับตนเป็นลูกวัวสองตัว และเขาได้สร้างเสารูปเคารพ และนมัสการบรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์ และปรนนิบัติพระบาอัล
2พศด 13.8 และบัดนี้ท่านคิดว่าจะต่อต้านราชอาณาจักรของพระเยโฮวาห์ซึ่งอยู่ในมือของลูกหลานของดาวิด เพราะท่านทั้งหลายเป็นคนหมู่ใหญ่และมีลูกวัวทองคำซึ่งเยโรโบอัมสร้างไว้ให้ท่านเป็นพระ
สดด 29.6 พระองค์ทรงกระทำให้พวกเขากระโดดเหมือนลูกวัว เลบานอนและสีรีออนเหมือนม้ายูนิคอนหนุ่ม
สดด 68.30 ขอทรงขนาบหมู่คนที่แทงด้วยหอก ฝูงวัวกับลูกวัวแห่งชนชาติทั้งหลาย จนเขาทุกคนยินยอมด้วยถวายเงินแผ่น ขอให้ชนชาติทั้งหลายผู้ปีติยินดีในสงครามได้กระจัดพลัดพรากไป
สดด 106.19 ท่านได้สร้างลูกวัวในโฮเรบและนมัสการรูปเคารพหล่อ
อสย 11.6 สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ และเสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ ลูกวัวกับสิงโตหนุ่มกับสัตว์อ้วนพีจะอยู่ด้วยกัน และเด็กเล็กๆจะนำมันไป
อสย 27.10 เพราะเมืองหน้าด่านก็จะรกร้าง ที่อาศัยก็ถูกละทิ้งและทอดทิ้งอย่างกับถิ่นทุรกันดาร ลูกวัวจะหากินอยู่ที่นั่น มันจะนอนลงที่นั่นและกินกิ่งไม้ในที่นั้น
ยรม 31.18 เราได้ยินเอฟราอิมคร่ำครวญว่า ‘พระองค์ทรงตีสอนข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็ถูกตีสอน อย่างลูกวัวที่ยังไม่เชื่อง ขอทรงนำข้าพระองค์กลับ เพื่อข้าพระองค์จะได้กลับสู่สภาพเดิม เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์
ยรม 34.18 และคนที่ละเมิดต่อพันธสัญญาของเรา และมิได้กระทำตามข้อตกลงในพันธสัญญาซึ่งเขาได้กระทำต่อหน้าเรานั้น เป็นดังลูกวัวที่เขาตัดออกเป็นสองท่อน และเดินผ่านกลางท่อนเหล่านั้นไป
ยรม 34.19 เจ้านายแห่งยูดาห์ก็ดี เจ้านายแห่งกรุงเยรูซาเล็มก็ดี ขันทีก็ดี ปุโรหิตและบรรดาประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นก็ดี ผู้ผ่านระหว่างท่อนลูกวัวนั้น
ยรม 46.21 ทหารรับจ้างที่อยู่ท่ามกลางเธอ ก็เหมือนลูกวัวที่ได้ขุนไว้ให้อ้วน เออ ด้วยเขาทั้งหลายหันกลับและหนีไปด้วยกัน เขาทั้งหลายไม่ยอมยืนหยัด เพราะวันแห่งหายนะของเขาได้มาเหนือเขาทั้งหลาย และเป็นเวลาแห่งการลงโทษเขา
อสค 1.7 เท้าของสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้นตรง และฝ่าเท้าก็เหมือนฝ่าตีนลูกวัว และเป็นประกายอย่างทองสัมฤทธิ์ขัด
ฮชย 10.5 ชาวสะมาเรียจะหวาดกลัวเพราะเหตุลูกวัวที่เบธาเวน คนที่นั่นจะไว้ทุกข์เพราะรูปนั้น และปฏิมากรปุโรหิตของที่นั่นซึ่งเคยชื่นชมยินดีกับรูปนั้นก็จะพิลาปร่ำไห้ เพราะเหตุสง่าราศีที่หมดไปจากรูปนั้น
ฮชย 14.2 จงนำถ้อยคำมาด้วยและกลับมาหาพระเยโฮวาห์ จงทูลพระองค์ว่า “ขอทรงโปรดยกความชั่วช้าทั้งหมด ขอทรงพระกรุณารับข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์จึงจะนำลูกวัวแห่งริมฝีปากของข้าพระองค์ทั้งหลายมาถวาย
อมส 6.4 วิบัติแก่ผู้ที่นอนบนเตียงงาช้าง และผู้ซึ่งเหยียดตัวอยู่บนเก้าอี้ยาว และกินลูกแกะที่ได้มาจากฝูงแกะ และลูกวัวจากท่ามกลางคอกวัว
มคา 6.6 “ข้าพเจ้าจะนำอะไรเข้ามาเฝ้าพระเยโฮวาห์ และกราบไหว้ต่อพระพักตร์พระเจ้าเบื้องสูง ควรข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยเครื่องเผาบูชาหรือ ด้วยลูกวัวอายุหนึ่งขวบหลายตัวหรือ
มลค 4.2 แต่ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมซึ่งมีปีกรักษาโรคภัยได้จะขึ้นมาสำหรับคนเหล่านั้นที่ยำเกรงนามของเรา เจ้าจะกระโดดโลดเต้นออกไปเหมือนลูกวัวออกไปจากคอก
ลก 15.23 จงเอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด
ลก 15.27 ผู้รับใช้จึงตอบเขาว่า ‘น้องของท่านกลับมาแล้ว และบิดาได้ให้ฆ่าลูกวัวอ้วนพี เพราะได้ลูกกลับมาโดยสวัสดิภาพ’
ลก 15.30 แต่เมื่อลูกคนนี้ของท่าน ผู้ได้ผลาญสิ่งเลี้ยงชีพของท่านโดยคบหญิงโสเภณีมาแล้ว ท่านยังได้ฆ่าลูกวัวอ้วนพีเลี้ยงเขา’
ฮบ 9.12 พระองค์เสด็จเข้าไปในที่บริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์แก่เรา
ฮบ 9.19 เพราะว่าเมื่อโมเสสประกาศข้อบังคับทุกข้อแก่บรรดาพลไพร่ตามพระราชบัญญัติแล้ว ท่านจึงได้เอาเลือดลูกวัวและเลือดลูกแพะกับน้ำ และเอาขนแกะสีแดงและต้นหุสบมาประพรมหนังสือม้วนนั้นกับทั้งบรรดาคนทั้งปวง

ลูกศร ( 6 )
กดว 24.8 พระเจ้าผู้ทรงนำเขาออกมาจากอียิปต์ ทรงเป็นเสมือนพลังแห่งม้ายูนิคอน เขาจะกินประชาชาติซึ่งเป็นศัตรูเสีย และหักกระดูกของศัตรูเหล่านั้น และแทงเขาทั้งหลายทะลุด้วยลูกศร
สดด 58.7 ให้พวกเขาละลายไปเหมือนน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย เมื่อเขาเล็งธนูเพื่อยิงลูกศร ให้ลูกศรนั้นถูกตัดเป็นชิ้นๆ
อสย 49.2 พระองค์ทรงทำปากของข้าพเจ้าเหมือนดาบคม พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำข้าพเจ้าให้เป็นลูกศรขัดมัน พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้เสียในแล่งของพระองค์
ยรม 9.8 ลิ้นของเขาเป็นลูกศรมฤตยู มันพูดมารยา เขาพูดอย่างสันติกับเพื่อนบ้านของเขาด้วยปาก แต่ในใจของเขา เขาวางแผนการคอยดักเขาอยู่”
อฟ 6.16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของผู้ชั่วร้ายนั้นเสีย

ลูกสะใภ้ ( 11 )
ลนต 18.15 เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของลูกสะใภ้ของเจ้า เธอเป็นภรรยาบุตรชายเจ้า เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของเธอเลย
ลนต 20.12 ถ้าผู้ใดเข้านอนกับลูกสะใภ้ ต้องให้ทั้งสองคนนั้นมีโทษถึงตายเป็นแน่ เพราะเขาได้กระทำกามวิปลาส ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
นรธ 1.6 แล้วนางนั้นพร้อมกับลูกสะใภ้ทั้งสองก็ลุกขึ้นออกเดินทางจากแผ่นดินโมอับ เพราะว่าเมื่ออยู่ในแผ่นดินโมอับนั้น นางได้ยินข่าวว่า พระเยโฮวาห์ได้ทรงเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์และประทานอาหารแก่เขาทั้งหลาย
นรธ 1.9 ขอพระเยโฮวาห์ทรงโปรดให้เจ้ามีความสงบ ขอให้ต่างก็ได้เข้าอยู่ในเรือนของสามี” แล้วนาโอมีก็จุบลูกสะใภ้ทั้งสอง ต่างก็ส่งเสียงร้องไห้
นรธ 1.22 ดังนั้นนาโอมีจึงกลับมา และรูธลูกสะใภ้ชาวโมอับก็กลับมาด้วย ผู้กลับมาจากแผ่นดินโมอับ และเขาทั้งสองมายังเมืองเบธเลเฮมในต้นฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์
นรธ 4.15 ให้เด็กคนนี้เป็นผู้ชุบชีวิตของเจ้าและเลี้ยงดูเจ้าเมื่อชรา เพราะว่าเด็กคนนี้เกิดมาจากลูกสะใภ้ที่รักเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าบุตรชายเจ็ดคน”
อสค 22.11 คนหนึ่งกระทำการอันน่าสะอิดสะเอียนกับภรรยาของเพื่อนบ้าน อีกคนหนึ่งกระทำให้ลูกสะใภ้ของตนเป็นมลทินอย่างชั่วช้าลามก และอีกคนหนึ่งในพวกเจ้ากระทำหยามเกียรติน้องสาวของเขาเอง คือลูกสาวของบิดาของตน
มคา 7.6 เพราะว่าลูกชายดูหมิ่นพ่อ และลูกสาวลุกขึ้นต่อสู้แม่ของเธอ ลูกสะใภ้ต่อสู้แม่สามี ศัตรูของใครๆก็คือคนที่อยู่ร่วมเรือนของเขาเอง
มธ 10.35 ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี
ลก 12.53 พ่อจะแตกแยกจากลูกชาย และลูกชายจะแตกแยกจากพ่อ แม่จากลูกสาว และลูกสาวจากแม่ แม่สามีจากลูกสะใภ้ และลูกสะใภ้จากแม่สามี”

ลูกสาว ( 37 )
พบญ 22.16 และบิดาของหญิงสาวนั้นจะบอกกับพวกผู้ใหญ่ว่า ‘ข้าได้ยกลูกสาวของข้าให้เป็นภรรยาชายคนนี้ และเขากลับเกลียดชัง
พบญ 22.17 ดูเถิด ชายผู้นี้หาเหตุกล่าวติเตียนว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าบุตรสาวของท่านเป็นพรหมจารีเลย” นี่แหละเป็นของสำคัญว่าลูกสาวของข้าเป็นหญิงพรหมจารี’ แล้วเขาจะคลี่ผ้านั้นออกต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นให้เป็นพยาน
วนฉ 11.35 และต่อมาเมื่อท่านเห็นเธอแล้ว ท่านก็ฉีกเสื้อผ้าของท่าน กล่าวว่า “อนิจจา ลูกสาวเอ๋ย เจ้าให้พ่อแย่แล้ว เพราะเจ้าเป็นเหตุให้พ่อเดือดร้อนมากยิ่ง เพราะพ่อได้อ้าปากปฏิญาณต่อพระเยโฮวาห์ไว้ จะคืนคำก็ไม่ได้”
วนฉ 19.24 ดูเถิด นี่ มีลูกสาวพรหมจารีคนหนึ่งและเมียน้อยของเขา ข้าพเจ้าจะพาออกมาให้ท่านเดี๋ยวนี้ จงกระทำหยามเกียรติหรือทำอะไรแก่พวกเขาตามชอบใจเถิด แต่ขออย่าทำลามกกับชายคนนี้เลย”
นรธ 1.11 แต่นาโอมีตอบว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงกลับไปเสียเถอะ จะไปกับแม่ทำไมเล่า แม่ยังจะมีบุตรชายในครรภ์ให้เป็นสามีของเจ้าหรือ
นรธ 1.12 ลูกสาวของแม่เอ๋ย กลับไปเสียเถอะ กลับไปตามทางของเจ้า แม่แก่เกินที่จะมีสามีแล้ว หากแม่จะว่าแม่ยังมีความหวังอยู่ ถ้าแม่จะมีสามีคืนวันนี้และให้กำเนิดบุตรชาย
นรธ 1.13 แล้วเจ้าจะรออยู่จนบุตรชายนั้นเติบโตได้หรือ เจ้าจะอดใจไม่แต่งงานหรือ อย่าเลยลูกสาวของแม่เอ๋ย แม่มีความขมขื่นมากเพราะเห็นแก่เจ้า ที่พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ได้กระทำแก่แม่ถึงเพียงนี้”
นรธ 2.2 และรูธชาวโมอับจึงพูดกับนาโอมีว่า “บัดนี้ขอให้ฉันไปที่ทุ่งนา เพื่อจะเก็บรวงข้าวตกตามหลังผู้ที่มีสายตากรุณาต่อฉัน” นาโอมีตอบนางว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงไปเถิด”
นรธ 2.8 แล้วโบอาสจึงพูดกับรูธว่า “ลูกสาวเอ๋ย ขอฟังหน่อย อย่าไปเก็บข้าวที่นาอื่น หรือทิ้งนานี้ไปเสียเลย จงอยู่ใกล้ๆสาวใช้ของฉัน
นรธ 2.22 นาโอมีพูดกับรูธบุตรสะใภ้ว่า “ดีแล้ว ลูกสาวของแม่เอ๋ย ที่เจ้าจะไปทำงานกับสาวใช้ของเขา เพื่อว่าเขาจะไม่พบเจ้าในนาอื่น”
นรธ 3.1 นาโอมีแม่สามีของนางพูดกับนางว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย ถ้าแม่จะหาที่พึ่งพักให้เจ้า เพื่อเจ้าจะได้มีความสุขไม่ควรหรือ
นรธ 3.10 ท่านจึงว่า “ลูกสาวเอ๋ย ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรแก่เจ้าเถิด คุณของเจ้าครั้งหลังนี้ก็ใหญ่ยิ่งกว่าครั้งก่อน ด้วยว่าเจ้ามิได้ไปหาคนหนุ่ม ไม่ว่าจนหรือมั่งมี
นรธ 3.11 บัดนี้ ลูกสาวเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย สิ่งที่เจ้าขอร้องเราจะกระทำตามทุกอย่าง บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองเราทราบดีอยู่ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงที่ดี
นรธ 3.16 เมื่อนางมาถึง แม่สามีจึงถามว่า “เป็นใครหนอ ลูกสาวของแม่เอ๋ย” แล้วนางก็เล่าตามที่ท่านได้กระทำต่อนางให้แม่สามีฟังทุกอย่าง
นรธ 3.18 แม่สามีจึงว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงคอยอยู่ก่อน จนกว่าจะทราบว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร เพราะว่าท่านจะไม่หยุดเลยจนกว่าท่านจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จในวันนี้”
อสค 16.44 ดูเถิด ทุกคนที่ใช้สุภาษิตจะใช้สุภาษิตต่อไปนี้ในเรื่องเจ้า คือ ‘แม่เป็นอย่างไร ลูกสาวก็เป็นอย่างนั้น’
อสค 16.45 เจ้าเป็นลูกสาวของแม่ของเจ้า ผู้เกลียดสามีและบุตรของตน เจ้าเป็นสาวคนกลางของพี่และน้องสาวของเจ้า ผู้เกลียดชังสามีและบุตรของตน แม่ของเจ้าเป็นคนฮิตไทต์ พ่อของเจ้าเป็นคนอาโมไรต์
อสค 16.46 และพี่สาวของเจ้าคือสะมาเรีย ผู้อยู่กับบุตรสาวเหนือเจ้าทางด้านซ้าย และน้องสาวของเจ้า ผู้อยู่ทางด้านขวาของเจ้า คือโสโดมกับลูกสาวของเธอ
อสค 16.48 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด โสโดมน้องสาวของเจ้ากับบุตรสาวของเขาก็มิได้กระทำอย่างที่เจ้าและลูกสาวของเจ้าได้กระทำ
อสค 16.49 ดูเถิด นี่แหละเป็นความชั่วช้าของโสโดมน้องสาวของเจ้าคือตัวเธอและลูกสาวของเธอมีความจองหอง มีอาหารเหลือรับประทานและมีความสบายเกิน ไม่ชูกำลังมือคนยากจนและคนขัดสน
อสค 22.11 คนหนึ่งกระทำการอันน่าสะอิดสะเอียนกับภรรยาของเพื่อนบ้าน อีกคนหนึ่งกระทำให้ลูกสะใภ้ของตนเป็นมลทินอย่างชั่วช้าลามก และอีกคนหนึ่งในพวกเจ้ากระทำหยามเกียรติน้องสาวของเขาเอง คือลูกสาวของบิดาของตน
มคา 7.6 เพราะว่าลูกชายดูหมิ่นพ่อ และลูกสาวลุกขึ้นต่อสู้แม่ของเธอ ลูกสะใภ้ต่อสู้แม่สามี ศัตรูของใครๆก็คือคนที่อยู่ร่วมเรือนของเขาเอง
มธ 9.18 เมื่อพระองค์กำลังตรัสคำเหล่านี้แก่เขานั้น ดูเถิด มีขุนนางคนหนึ่งมานมัสการพระองค์แล้วทูลว่า “ลูกสาวของข้าพระองค์พึ่งตาย ขอพระองค์เสด็จไปวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตัวเขา แล้วเขาจะฟื้นขึ้นอีก”
มธ 9.22 ฝ่ายพระเยซูทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรเห็นนางจึงตรัสว่า “ลูกสาวเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายเป็นปกติ” นับตั้งแต่เวลานั้น ผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ
มธ 10.35 ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี
มธ 15.22 ดูเถิด มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากเขตแดนนั้นร้องทูลพระองค์ว่า “โอ พระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์เถิด ลูกสาวของข้าพระองค์มีผีสิงอยู่เป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก”
มธ 15.28 แล้วพระเยซูตรัสตอบเขาว่า “โอ หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด” และลูกสาวของเขาก็หายเป็นปกติตั้งแต่ขณะนั้น
มก 5.23 แล้วทูลอ้อนวอนพระองค์เป็นอันมากว่า “ลูกสาวเล็กๆของข้าพระองค์ป่วยเกือบจะตายแล้ว ขอเชิญพระองค์ไปวางพระหัตถ์บนเขา เพื่อเขาจะได้หายโรคและไม่ตาย”
มก 5.34 พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า “ลูกสาวเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด”
มก 5.35 เมื่อพระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ มีบางคนได้มาจากบ้านนายธรรมศาลาบอกว่า “ลูกสาวของท่านตายเสียแล้ว ยังจะรบกวนอาจารย์ทำไมอีกเล่า”
มก 7.25 เพราะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีลูกสาวที่มีผีโสโครกสิง เมื่อได้ยินข่าวถึงพระองค์ก็มากราบลงที่พระบาทของพระองค์
มก 7.26 ผู้หญิงนั้นเป็นชาวกรีก ชาติซีเรียฟีนิเซีย และนางทูลอ้อนวอนขอพระองค์ให้ขับผีออกจากลูกสาวของตน
มก 7.29 แล้วพระองค์ตรัสแก่นางว่า “เพราะเหตุถ้อยคำนี้จงกลับไปเถิด ผีออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”
ลก 8.48 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ลูกสาวเอ๋ย จงมีกำลังใจเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้เจ้าหายโรคแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด”
ลก 8.49 เมื่อพระองค์กำลังตรัสอยู่ มีคนหนึ่งมาจากบ้านนายธรรมศาลา บอกเขาว่า “ลูกสาวของท่านตายเสียแล้ว ไม่ต้องรบกวนท่านอาจารย์ต่อไป”
ลก 12.53 พ่อจะแตกแยกจากลูกชาย และลูกชายจะแตกแยกจากพ่อ แม่จากลูกสาว และลูกสาวจากแม่ แม่สามีจากลูกสะใภ้ และลูกสะใภ้จากแม่สามี”

ลูกหนี้ ( 6 )
อสค 18.7 มิได้บีบบังคับผู้หนึ่งผู้ใด แต่คืนของประกันให้แก่ลูกหนี้ ไม่เคยใช้ความรุนแรงปล้นผู้ใด ให้อาหารของเขาแก่ผู้ที่หิว และให้เสื้อผ้าคลุมกายที่เปลือย
ฮบก 2.7 ลูกหนี้ของเจ้าจะไม่ลุกขึ้นมาในปัจจุบันทันด่วนหรือ และผู้ใดที่กระทำให้เจ้าตัวสั่นจะไม่ตื่นขึ้นหรือ แล้วเจ้าก็จะถูกเขาริบบ้างละ
มธ 18.26 ผู้รับใช้ลูกหนี้ผู้นั้นจึงกราบลงนมัสการท่านว่า ‘ข้าแต่ท่าน ขอโปรดอดทนต่อข้าพเจ้าเถิด แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น’
มธ 18.30 แต่เขาไม่ยอม จึงนำผู้รับใช้ลูกหนี้นั้นไปขังคุกไว้ จนกว่าจะใช้เงินนั้น
ลก 7.41 พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าสิบเหรียญ
ลก 16.5 คนนั้นจึงเรียกลูกหนี้ของนายมาทุกคน แล้วถามคนแรกว่า ‘ท่านเป็นหนี้นายข้าพเจ้ากี่มากน้อย’

ลูกหลาน ( 300 )
ปฐก 18.19 เพราะว่าเรารู้จักเขา เขาจะสั่งลูกหลานและครอบครัวของเขาที่สืบมา พวกเขาจะรักษาพระมรรคาของพระเยโฮวาห์ เพื่อทำความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม เพื่อพระเยโฮวาห์จะประทานแก่อับราฮัมตามสิ่งซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้เกี่ยวกับเขา”
ปฐก 23.3 อับราฮัมยืนขึ้นหน้าศพพูดกับลูกหลานของเฮทว่า
ปฐก 23.5 ลูกหลานของเฮทตอบอับราฮัมว่า
ปฐก 23.7 อับราฮัมก็ลุกขึ้นกราบลงต่อหน้าลูกหลานของเฮทชาวแผ่นดินนั้น
ปฐก 23.10 ฝ่ายเอโฟรนอาศัยอยู่ท่ามกลางลูกหลานของเฮท เอโฟรนคนฮิตไทต์จึงตอบอับราฮัมให้บรรดาลูกหลานของเฮทผู้ที่เข้าไปที่ประตูเมืองของเขาฟังว่า
ปฐก 23.11 “อย่าเลย นายเจ้าข้า โปรดฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้นานั้นแก่ท่านและให้ถ้ำที่อยู่ในนานั้นแก่ท่าน ด้วยข้าพเจ้าให้แก่ท่านต่อหน้าลูกหลานประชาชนของข้าพเจ้า ขอเชิญฝังผู้ตายของท่านเถิด”
ปฐก 23.16 อับราฮัมก็ฟังคำของเอโฟรน แล้วอับราฮัมก็ชั่งเงินให้เอโฟรนตามจำนวนที่เขาบอกให้ลูกหลานของเฮทฟังแล้ว คือเงินสี่ร้อยเชเขลตามน้ำหนักที่พวกพ่อค้าใช้กันในเวลานั้น
ปฐก 23.18 ให้แก่อับราฮัมเป็นกรรมสิทธิ์ต่อหน้าลูกหลานของเฮท คือต่อหน้าบรรดาผู้ที่เข้าไปที่ประตูเมืองของเขา
ปฐก 23.20 นาและถ้ำซึ่งอยู่ในนั้นลูกหลานของเฮทยอมขายให้แก่อับราฮัมเป็นกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นสุสาน
ปฐก 25.4 บุตรชายของมีเดียนคือ เอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดาและเอลดาอาห์ ทั้งหมดนี้เป็นลูกหลานของนางเคทูราห์
ปฐก 25.10 เป็นนาที่อับราฮัมซื้อมาจากลูกหลานของเฮท เขาก็ฝังอับราฮัมไว้ที่นั่น อยู่กับซาราห์ภรรยาของท่าน
ปฐก 31.16 ทรัพย์สมบัติทั้งปวงที่พระเจ้าทรงเอามาจากบิดาของเรา นั่นแหละเป็นของของเรากับลูกหลานของเรา บัดนี้พระเจ้าตรัสสั่งท่านอย่างไร ก็ขอให้ทำอย่างนั้นเถิด”
ปฐก 36.16 เจ้านายโคราห์ เจ้านายกาทาม เจ้านายอามาเลข คนเหล่านี้เป็นเจ้านายของเอลีฟัสในแผ่นดินเอโดม พวกเขาเป็นลูกหลานของนางอาดาห์
ปฐก 36.17 ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของเรอูเอลผู้เป็นบุตรชายของเอซาว คือเจ้านายนาหาท เจ้านายเศ-ราห์ เจ้านายชัมมาห์และเจ้านายมิสซาห์ คนเหล่านี้เป็นเจ้านายของเรอูเอลในแผ่นดินเอโดม พวกเขาเป็นลูกหลานของนางบาเสมัทภรรยาของเอซาว
ปฐก 45.10 พ่อจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินโกเชน และพ่อจะได้อยู่ใกล้ลูก ทั้งตัวพ่อกับลูกหลานและฝูงแพะแกะ ฝูงวัว และทรัพย์ทั้งหมดของพ่อ
ปฐก 46.5 ยาโคบก็ยกไปจากเบเออร์เชบา บรรดาบุตรชายอิสราเอลก็พายาโคบบิดาขึ้นรถบรรทุกที่ฟาโรห์ส่งมารับไปกับลูกหลานเล็กๆและภรรยาของเขา
ปฐก 46.7 คือลูกหลานชายหญิงและเชื้อสายทั้งหมดของท่านเข้าไปในอียิปต์
ปฐก 46.8 ต่อไปนี้เป็นชื่อลูกหลานของอิสราเอลที่เข้าไปในอียิปต์ ทั้งยาโคบและบุตรชายของท่านคือ รูเบน บุตรหัวปีของยาโคบ
ปฐก 47.27 พวกอิสราเอลอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์ ณ แผ่นดินโกเชน เขามีทรัพย์สมบัติที่นั่น และมีลูกหลานทวีขึ้นมากมาย
ปฐก 49.32 นากับถ้ำที่อยู่ในนานั้นเราซื้อจากลูกหลานของเฮท”
ปฐก 50.23 โยเซฟได้เห็นลูกหลานเหลนของเอฟราอิม บุตรของมาคีร์ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ก็เกิดมาบนเข่าของโยเซฟ
ปฐก 50.25 โยเซฟก็ให้ลูกหลานของอิสราเอลปฏิญาณตัวว่า “พระเจ้าจะทรงเยี่ยมเยียนพวกท่านเป็นแน่แล้วท่านทั้งหลายต้องนำกระดูกของเราไปจากที่นี่”
อพย 1.7 และบุตรของอิสราเอลมีลูกหลานมากและเพิ่มจำนวนขึ้นมาก พวกเขาทวีมากขึ้น และมีกำลังมากทีเดียว และแพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดินนั้น
อพย 10.2 เพื่อเจ้าจะได้เล่าเหตุการณ์ที่เราได้กระทำแก่ชาวอียิปต์ให้ลูกหลานฟัง รวมทั้งหมายสำคัญซึ่งเราได้กระทำท่ามกลางพวกเขา เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์”
อพย 12.24 ท่านทั้งหลายจงถือพิธีนี้ให้เป็นกฎถาวรของท่านและของลูกหลานท่าน
อพย 12.26 ครั้นสืบไปภายหน้าเมื่อลูกหลานของท่านถามว่า ‘พิธีนี้หมายความว่ากระไร’
อพย 20.5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษเพราะความชั่วช้าของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน
อพย 32.26 แล้วโมเสสยืนอยู่ที่ประตูค่ายร้องว่า “ผู้ใดอยู่ฝ่ายพระเยโฮวาห์ให้ผู้นั้นมาหาเราเถิด” ฝ่ายลูกหลานของเลวีได้มาหาโมเสสพร้อมกัน
อพย 32.28 ฝ่ายลูกหลานของเลวีก็ทำตามโมเสสสั่ง และพลไพร่ประมาณสามพันคนตายลงในวันนั้น
อพย 34.7 ผู้ทรงสำแดงความเมตตาต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ ผู้ทรงโปรดยกโทษความชั่วช้า การละเมิดและบาปของเขาเสีย แต่จะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้ และให้โทษเพราะความชั่วช้าของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่วสี่ชั่วอายุคน”
ลนต 17.14 เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังทั้งปวงอยู่ในเลือด เลือดของสิ่งใดก็คือชีวิตของสิ่งนั้นเอง เพราะฉะนั้นเราจึงได้กล่าวแก่ลูกหลานอิสราเอลว่า เจ้าอย่ารับประทานเลือดของเนื้อหนังใดๆเลย เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังทั้งปวงคือเลือดนั่นเอง ผู้ใดก็ตามรับประทานเลือดนั้นก็ต้องถูกตัดขาดเสีย
ลนต 19.18 เจ้าอย่าแก้แค้นหรือผูกพยาบาทลูกหลานญาติพี่น้องของเจ้า แต่เจ้าจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือพระเยโฮวาห์
ลนต 21.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงกล่าวแก่บรรดาปุโรหิต คือลูกหลานของอาโรนและสั่งเขาว่า อย่าให้ผู้ใดกระทำตัวให้มลทินด้วยเรื่องศพในหมู่ประชาชน
ลนต 21.24 โมเสสจึงบอกอาโรนและลูกหลานของอาโรนและบรรดาคนอิสราเอลดังนั้น
ลนต 22.2 “จงบอกอาโรนกับลูกหลานของเขาให้ออกห่างเสียจากสิ่งบริสุทธิ์ของคนอิสราเอล เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะมิได้ลบหลู่นามบริสุทธิ์ของเราด้วยสิ่งที่เขาทั้งหลายถวายแก่เรา เราคือพระเยโฮวาห์
ลนต 22.18 “จงกล่าวแก่อาโรนและลูกหลานของอาโรน และแก่คนอิสราเอลทั้งหมดว่า เมื่อคนในวงศ์วานอิสราเอลหรือคนต่างด้าวในอิสราเอลผู้ใดถวายเครื่องบูชาสำหรับบรรดาเครื่องปฏิญาณ และบรรดาเครื่องบูชาด้วยใจสมัครของตน ซึ่งถวายบูชาแด่พระเยโฮวาห์เป็นเครื่องเผาบูชา
ลนต 25.41 แล้วเขาและลูกหลานของเขาจะออกไปจากเจ้ากลับไปสู่ครอบครัวของเขา และกลับไปอยู่ในที่ดินของบิดาของเขา
ลนต 25.46 เจ้าจะทำพินัยกรรมยกเขาให้แก่ลูกหลานของเจ้า ให้เป็นมรดกแก่เขาเป็นกรรมสิทธิ์ เจ้าใช้เขาได้อย่างทาสเป็นนิตย์ก็ได้ แต่เจ้าทั้งหลายอย่าปกครองพี่น้องคนอิสราเอลด้วยความรุนแรง
ลนต 26.22 เราจะปล่อยสัตว์ป่าเข้ามาท่ามกลางพวกเจ้าด้วย มันจะแย่งชิงลูกหลานของเจ้า และทำลายสัตว์ใช้งานของเจ้า และทำให้เจ้าเหลือน้อย และถนนหลวงของเจ้าก็จะร้างเปล่าไป
กดว 1.10 จากลูกหลานของโยเซฟ มีเอลีชามาบุตรชายอัมมีฮูด จากตระกูลเอฟราอิม และกามาลิเอลบุตรชายเปดาซูร์ จากตระกูลมนัสเสห์
กดว 1.32 จากลูกหลานของโยเซฟ คือคนเอฟราอิม โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 3.29 บรรดาครอบครัวลูกหลานของโคฮาทจะตั้งค่ายอยู่ทางด้านใต้ของพลับพลา
กดว 3.36 งานที่กำหนดให้แก่ลูกหลานเมรารีคืองานดูแลไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสา ฐานรองและเครื่องประกอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
กดว 3.38 และบุคคลที่จะตั้งค่ายอยู่หน้าพลับพลาด้านตะวันออกหน้าพลับพลาแห่งชุมนุม ด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้น มีโมเสสและอาโรนกับลูกหลานของท่าน มีหน้าที่ดูแลการปรนนิบัติภายในสถานบริสุทธิ์และบรรดากิจการที่พึงกระทำเพื่อคนอิสราเอล และผู้ใดอื่นที่เข้ามาใกล้จะต้องถูกลงโทษถึงตาย
กดว 3.48 และมอบเงินซึ่งต้องเสียเป็นค่าไถ่ของคนที่เกินเหล่านั้นให้ไว้แก่อาโรนและลูกหลานของท่าน”
กดว 3.51 และโมเสสได้นำเอาเงินค่าไถ่ให้แก่อาโรนและลูกหลานของอาโรน ตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้
กดว 4.2 “จงทำสำมะโนครัวลูกหลานโคฮาท จากคนเลวี ตามครอบครัวและตามเรือนบรรพบุรุษ
กดว 4.4 นี่เป็นงานที่ลูกหลานโคฮาทจะกระทำในพลับพลาแห่งชุมนุม คืองานที่กระทำต่อสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด
กดว 4.15 เมื่ออาโรนและบุตรชายคลุมสถานบริสุทธิ์และคลุมบรรดาเครื่องใช้ของสถานบริสุทธิ์เสร็จแล้ว เมื่อถึงเวลาเคลื่อนย้ายค่ายลูกหลานโคฮาทจึงจะเข้ามาหาม แต่เขาต้องไม่แตะต้องของบริสุทธิ์เหล่านั้นเกลือกว่าเขาจะต้องตาย สิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นของประจำพลับพลาแห่งชุมนุมซึ่งลูกหลานของโคฮาทจะต้องหาม
กดว 4.22 “จงทำสำมะโนครัวลูกหลานเกอร์โชน ตามเรือนบรรพบุรุษตามครอบครัวของเขาด้วย
กดว 4.38 จำนวนคนในลูกหลานเกอร์โชน ตามครอบครัวตามเรือนบรรพบุรุษ
กดว 14.18 ‘พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธช้า ทรงอุดมในความเมตตา ทรงโปรดยกโทษความชั่วช้าและให้อภัยการละเมิด แต่ถือว่าไม่มีโทษหามิได้ ให้โทษเพราะความชั่วช้าของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่วสี่ชั่วอายุ’
กดว 14.33 ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายจะพเนจรอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เขาจะทนโทษการเล่นชู้ของเจ้า จนกว่าจำนวนซากศพของเจ้าจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ครบ
กดว 16.10 และพระองค์ทรงนำท่านมาใกล้พระองค์รวมทั้งพี่น้องทั้งสิ้นของท่าน คือลูกหลานของเลวี ท่านทั้งหลายแสวงหาตำแหน่งปุโรหิตด้วยหรือ
กดว 18.8 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับอาโรนว่า “ดูเถิด เราได้ให้เครื่องบูชาของเราส่วนหนึ่งแก่เจ้า คือบรรดาของถวายของคนอิสราเอล เราให้แก่เจ้าส่วนหนึ่งและแก่ลูกหลานของเจ้าเป็นกฎถาวรเพราะเหตุพวกเจ้าได้รับการเจิมแล้ว
กดว 18.9 ในบรรดาของบริสุทธิ์ที่สุดส่วนซึ่งไม่ได้เผาไฟที่เป็นของของเจ้ามีดังนี้ บรรดาของถวายของเขา บรรดาธัญญบูชาของเขา บรรดาเครื่องบูชาไถ่บาปของเขา บรรดาเครื่องบูชาไถ่การละเมิดของเขา ซึ่งเขาถวายแก่เรา จะเป็นของบริสุทธิ์ที่สุดแก่เจ้าและแก่ลูกหลานของเจ้า
กดว 24.17 ข้าพเจ้าจะเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าจะดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้ ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกรอันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล จะตีเขตแดนของโมอับและทำลายบรรดาลูกหลานของเชท
กดว 34.23 จากลูกหลานของโยเซฟ จากตระกูลคนมนัสเสห์ มีประมุขชื่อฮันนีเอลบุตรชายเอโฟด
พบญ 1.36 เว้นแต่คาเลบบุตรชายเยฟุนเนห์ เขาจะเห็นแผ่นดินนั้น และเราจะให้แผ่นดินที่เขาได้เหยียบนั้นแก่เขาและแก่ลูกหลาน เพราะเขาได้ตามพระเยโฮวาห์อย่างสุดใจ’
พบญ 2.4 และจงบัญชาคนทั้งปวงว่า เจ้าทั้งหลายจวนจะเดินผ่านเขตแดนเมืองพี่น้องของเจ้า คือลูกหลานของเอซาวที่อยู่ตำบลเสอีร์แล้ว และเขาทั้งหลายจะกลัวพวกเจ้า ฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงระวังตัว
พบญ 2.8 แล้วเราทั้งหลายได้เดินเลยไปจากพี่น้องของเราพวกลูกหลานเอซาวผู้อยู่ที่เสอีร์ ไปจากทางที่ราบจากเอลัทและจากเอซีโอนเกเบอร์ และเราได้เลี้ยวไปเดินตามทางถิ่นทุรกันดารโมอับ
พบญ 2.9 และพระเยโฮวาห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าทั้งหลายอย่าราวีพวกโมอับหรือสู้รบกับเขาเลย เพราะเราจะไม่ให้ที่ของเขาแก่เจ้าเพื่อยึดครอง ด้วยเราได้ให้ที่ตำบลอาร์นั้นแก่ลูกหลานของโลทให้ปกครองแล้ว’
พบญ 2.12 เมื่อก่อนพวกโฮรีได้อยู่ที่เสอีร์ด้วย แต่ลูกหลานเอซาวได้มาอยู่แทนเขา และได้ทำลายเขาเสียให้พ้นหน้า และได้อาศัยอยู่ในที่ของเขาเหมือนพวกอิสราเอลได้กระทำแก่เมืองที่พระเยโฮวาห์ประทานให้เขายึดครองนั้น
พบญ 2.19 และเมื่อเข้าใกล้แนวหน้าของคนอัมโมนอย่าราวีหรือรบกับเขาเลย เพราะเราจะไม่ให้ที่อยู่ของลูกหลานคนอัมโมนแก่เจ้าให้ยึดครองเลย ด้วยเราได้ให้ที่นั่นแก่ลูกหลานของโลทเป็นผู้ยึดครองแล้ว’
พบญ 2.22 เหมือนพระองค์ได้ทรงกระทำให้แก่พวกลูกหลานเอซาวผู้อยู่ที่เสอีร์ เมื่อพระองค์ทรงทำลายพวกโฮรีเสียให้พ้นหน้า และเขาได้ยึดที่ของพวกโฮรีแล้วตั้งอยู่แทนจนทุกวันนี้
พบญ 2.29 (ดุจพวกลูกหลานเอซาวที่อยู่ตำบลเสอีร์ และพวกโมอับที่อยู่ตำบลอาร์ ได้กระทำแก่ข้าพเจ้านั้น) จนข้าพเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้า’
พบญ 4.10 ในวันนั้นที่พวกท่านได้ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านที่โฮเรบ พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงรวบรวมประชาชนให้เข้ามาต่อหน้าเรา เพื่อเราจะให้เขาได้ยินคำของเรา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้ฝึกตนที่จะยำเกรงเราตลอดวันคืนที่เขามีชีวิตอยู่ในโลก และเพื่อว่าเขาจะได้สอนลูกหลานของเขาด้วย’
พบญ 4.40 เพราะฉะนั้นพวกท่านจงรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาแก่ท่านในวันนี้ เพื่อท่านและลูกหลานที่เกิดมาภายหลังท่านจะไปดีมาดี และวันคืนของท่านจะยืนนานอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านประทานแก่ท่านเป็นนิตย์นั้น”
พบญ 5.9 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษเพราะความชั่วช้าของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน
พบญ 5.29 โอ อยากให้มีจิตใจเช่นนี้อยู่เสมอไปหนอ คือที่จะยำเกรงเราและรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา เขาทั้งหลายก็จะสุขเจริญอยู่ตลอดชั่วลูกหลานของเขาเป็นนิตย์
พบญ 6.2 เพื่อว่าพวกท่านจะได้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านโดยรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่าน ทั้งตัวท่านและลูกหลานของท่าน ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของท่านเพื่อว่าวันคืนของพวกท่านจะได้ยืนยาว
พบญ 6.7 และพวกท่านจงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่ลูกหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนี้
พบญ 9.2 ประชาชนที่สูงใหญ่ เป็นลูกหลานของคนอานาค ผู้ที่ท่านทั้งหลายรู้จักแล้ว และผู้ที่ท่านได้ยินเขาพูดว่า ‘ใครจะยืนหยัดต่อสู้กับลูกหลานของอานาคได้’
พบญ 11.2 ท่านทั้งหลายจงทราบในวันนี้ เพราะข้าพเจ้ามิได้กล่าวกับลูกหลานของท่านทั้งหลาย ผู้ไม่ได้รู้เรื่องหรือเห็นถึงวินัยของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และพระกรที่เหยียดออกของพระองค์
พบญ 11.19 และท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านี้แก่ลูกหลานของท่านทั้งหลาย จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน และเมื่อท่านเดินอยู่ตามทาง เมื่อท่านนอนลงหรือลุกขึ้น
พบญ 11.21 เพื่ออายุของท่านและอายุของลูกหลานของท่านจะได้ยืนนานในแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณที่จะประทานแก่บรรพบุรุษของท่าน ตราบเท่าบรรดาวันที่ฟ้าสวรรค์อยู่เหนือโลก
พบญ 12.25 ท่านอย่ารับประทานเลือด เพื่อท่านเองและลูกหลานของท่านที่มาภายหลังท่านจะจำเริญเป็นสุข เมื่อท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องตามสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
พบญ 12.28 จงระวังที่จะฟังบรรดาถ้อยคำเหล่านี้ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้ เพื่อท่านเองและลูกหลานของท่านที่มาภายหลังท่านจะจำเริญเป็นนิตย์ เมื่อท่านกระทำสิ่งที่ประเสริฐและถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
พบญ 17.20 เพื่อว่าจิตใจของเขาจะมิได้พองขึ้นสูงกว่าพี่น้องของตน และเพื่อเขาเองจะมิได้หันเหจากพระบัญญัติไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ เพื่อเขาจะได้ปกครองราชอาณาจักรของเขาอยู่ได้นาน ทั้งตนเองและลูกหลานของตนในอิสราเอล”
พบญ 18.5 เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้เลือกเขาจากตระกูลชนทั้งสิ้นของท่าน ให้ยืนปรนนิบัติในพระนามพระเยโฮวาห์ ทั้งตัวเขาและลูกหลานของเขาสืบต่อกันไปเป็นนิตย์
พบญ 21.5 และปุโรหิตผู้เป็นลูกหลานของเลวีจะต้องเข้ามาใกล้ ด้วยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ทรงเลือกเขาไว้ให้ปรนนิบัติพระองค์ และให้อวยพรในพระนามของพระเยโฮวาห์ ให้การวิวาทและการทำร้ายทุกเรื่องสิ้นสุดลงด้วยคำของปุโรหิตเหล่านี้
พบญ 23.2 ห้ามลูกนอกกฎหมายเข้าในชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์ อย่าให้ลูกหลานของเขาเข้าในชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์จนถึงสิบชั่วอายุคน
พบญ 23.3 อย่าให้คนอัมโมนหรือคนโมอับเข้าในชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์ บุคคลที่เป็นลูกหลานของคนทั้งสองตระกูลนี้ห้ามเข้าในชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์เลยจนถึงสิบชั่วอายุคน
พบญ 29.22 และคนชั่วอายุต่อมาคือลูกหลานซึ่งเกิดมาภายหลังท่าน และชนต่างด้าวซึ่งมาจากแผ่นดินที่อยู่ห่างไกล จะกล่าวเมื่อเขาเห็นภัยพิบัติต่างๆของแผ่นดินนั้นและโรคภัยซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้เป็น
พบญ 29.29 สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลาย และของลูกหลานของเราเป็นนิตย์ เพื่อเราจะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของพระราชบัญญัตินี้”
พบญ 30.2 และท่านก็หันกลับมาหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งตัวท่านและลูกหลานของท่าน และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน
พบญ 31.9 โมเสสได้เขียนพระราชบัญญัตินี้ และมอบให้แก่ปุโรหิตลูกหลานของเลวี ผู้ซึ่งหามหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และแก่พวกผู้ใหญ่ทั้งปวงของคนอิสราเอล
พบญ 31.13 และเพื่อลูกหลานทั้งหลายของเขา ผู้ยังไม่ทราบจะได้ยินและเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ตราบเท่าเวลาซึ่งท่านอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”
พบญ 32.8 เมื่อผู้สูงสุดประทานมรดกแก่บรรดาประชาชาติ เมื่อพระองค์ทรงแยกลูกหลานของอาดัม พระองค์ทรงกั้นเขตของชนชาติทั้งหลายตามจำนวนคนอิสราเอล
พบญ 32.46 ท่านก็กล่าวแก่เขาว่า “จงใส่ใจในถ้อยคำทั้งหลายซึ่งข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านในวันนี้ เพื่อท่านจะได้บัญชาแก่ลูกหลานของท่าน เพื่อเขาจะได้ระวังที่จะกระทำตามถ้อยคำแห่งพระราชบัญญัตินี้ทั้งสิ้น
ยชว 4.6 เพื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นหมายสำคัญในหมู่พวกท่านทั้งหลาย ในเมื่อลูกหลานของท่านจะถามบิดาในเวลาต่อไปว่า ‘ศิลาเหล่านี้มีความหมายอะไร’
ยชว 4.7 แล้วท่านจงตอบพวกเขาว่า ‘น้ำที่จอร์แดนขาดจากกันต่อหน้าหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ เมื่อหีบนั้นข้ามแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็ขาดจากกัน ศิลาเหล่านี้จะเป็นที่รำลึกแก่ลูกหลานอิสราเอลเป็นนิตย์’”
ยชว 4.21 ท่านจึงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า “เวลาภายหน้าเมื่อลูกหลานจะถามบิดาของเขาว่า ‘ศิลาเหล่านี้มีความหมายอะไร’
ยชว 4.22 แล้วท่านจงตอบแก่ลูกหลานให้ทราบว่า ‘อิสราเอลได้ข้ามจอร์แดนนี้บนดินแห้ง’
ยชว 14.4 เพราะว่าลูกหลานของโยเซฟมีสองตระกูล คือมนัสเสห์และเอฟราอิม และพวกเลวีหาได้มีส่วนแบ่งในแผ่นดินนั้นไม่ ได้แต่หัวเมืองที่จะเข้าอาศัยอยู่ กับลานทุ่งหญ้ารอบเมืองสำหรับฝูงสัตว์และทรัพย์สินของเขาเท่านั้น
ยชว 14.9 ในวันนั้นโมเสสได้ปฏิญาณว่า ‘แท้จริงแผ่นดินซึ่งเท้าของท่านได้เหยียบย่ำไปนั้นจะตกเป็นมรดกของท่าน และของลูกหลานของท่านสืบไปเป็นนิตย์ เพราะว่าท่านได้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ’
ยชว 16.1 ที่ดินตามสลากของลูกหลานโยเซฟนั้นเริ่มจากแม่น้ำจอร์แดนใกล้ๆเมืองเยรีโค ทิศตะวันออกของน้ำแห่งเยรีโคเข้าไปในถิ่นทุรกันดารขึ้นไปจากเยรีโคเข้าไปในแดนเทือกเขาเบธเอล
ยชว 16.4 ลูกหลานของโยเซฟ คือคนมนัสเสห์และคนเอฟราอิม ได้รับมรดกของเขา
ยชว 21.4 สลากออกมาเป็นของครอบครัวคนโคฮาท ดังนั้นแหละ คนเลวีซึ่งเป็นลูกหลานของอาโรนปุโรหิต ได้รับหัวเมืองโดยจับสลากสิบสามหัวเมือง จากตระกูลยูดาห์ ตระกูลสิเมโอน และตระกูลเบนยามิน
ยชว 21.13 เขาได้ให้เมืองเฮโบรนแก่ลูกหลานของอาโรนปุโรหิต อันเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ฆ่าคนพร้อมทั้งทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองลิบนาห์พร้อมทุ่งหญ้า
ยชว 21.19 หัวเมืองที่เป็นของลูกหลานอาโรนปุโรหิต รวมกันสิบสามหัวเมือง พร้อมกับทุ่งหญ้ารอบทุกเมือง
ยชว 22.24 เปล่าเลย แต่พวกเราได้สร้างไว้ด้วยเกรงว่า ในเวลาต่อไปภายหน้าลูกหลานของท่านอาจจะกล่าวต่อลูกหลานของเราว่า ‘เจ้ามีส่วนเกี่ยวพันอะไรกับพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล
ยชว 22.25 เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงกำหนดแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดนระหว่างเรากับเจ้าทั้งหลายนะ คนรูเบนและคนกาดเอ๋ย พวกเจ้าไม่มีส่วนในพระเยโฮวาห์’ ดังนั้นแหละลูกหลานของท่านอาจกระทำให้ลูกหลานของเราทั้งหลายหยุดเกรงกลัวพระเยโฮวาห์
ยชว 22.27 แต่เพื่อเป็นพยานระหว่างเรากับท่านทั้งหลาย และระหว่างคนชั่วอายุต่อจากเราว่า เราทั้งหลายจะกระทำการปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ต่อพระพักตร์ของพระองค์ ด้วยเครื่องเผาบูชา และเครื่องสัตวบูชา และเครื่องสันติบูชา ด้วยเกรงว่าลูกหลานของท่านจะกล่าวแก่ลูกหลานของเราในเวลาต่อไปว่า “เจ้าไม่มีส่วนในพระเยโฮวาห์”’
ยชว 24.4 เราให้ยาโคบและเอซาวแก่อิสอัค และเราได้ให้แดนเทือกเขาเสอีร์แก่เอซาวเป็นกรรมสิทธิ์ แต่ยาโคบและลูกหลานของเขาได้ลงไปในอียิปต์
ยชว 24.32 กระดูกของโยเซฟซึ่งชนอิสราเอลนำมาจากอียิปต์นั้น เขาฝังไว้ที่เมืองเชเคม ในส่วนที่ดินซึ่งยาโคบซื้อไว้จากลูกหลานของฮาโมร์บิดาของเชเคมเป็นเงินหนึ่งร้อยแผ่น ที่นี้ตกเป็นมรดกของลูกหลานโยเซฟ
วนฉ 4.11 มีชายคนหนึ่งชื่อเฮเบอร์คนเคไนต์ คือจากลูกหลานของโฮบับพ่อตาของโมเสส ได้แยกออกจากคนเคไนต์ทั้งหลาย มาตั้งเต็นท์อยู่ไกลออกไปถึงที่ราบศานันนิม ซึ่งอยู่ใกล้เมืองเคเดช
วนฉ 8.22 ครั้งนั้นคนอิสราเอลก็เรียนกิเดโอนว่า “ขอจงปกครองพวกข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ทั้งตัวท่านและลูกหลานของท่านสืบไปด้วย เพราะว่าท่านได้ช่วยเราทั้งหลายให้พ้นจากมือของมีเดียน”
1พกษ 2.4 เพื่อพระเยโฮวาห์จะได้รักษาพระวจนะของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราว่า ‘ถ้าลูกหลานทั้งหลายของเจ้าระมัดระวังในวิถีทางทั้งหลายของเขา ที่จะดำเนินต่อหน้าเราด้วยความจริงอย่างสุดจิตสุดใจของเขา (พระองค์ตรัสว่า) ราชวงศ์จะไม่ขาดชายที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล’
1พกษ 8.25 ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอทรงรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ราชบิดาของข้าพระองค์ว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดชายผู้หนึ่งในสายตาของเราที่จะนั่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล เพื่อว่าลูกหลานทั้งหลายของเจ้าจะระมัดระวังในวิถีทางของเขา ที่เขาจะดำเนินไปต่อหน้าเราอย่างที่เจ้าได้ดำเนินต่อหน้าเรานั้น’
1พกษ 9.6 แต่ถ้าเจ้าหันไปจากการติดตามเรา ตัวเจ้าเองหรือลูกหลานของเจ้าก็ดี และมิได้รักษาบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้ตั้งไว้ต่อหน้าเจ้า แต่ไปปรนนิบัติพระอื่นและนมัสการพระนั้น
1พกษ 9.21 ลูกหลานของเขาที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน ซึ่งประชาชนอิสราเอลไม่สามารถจะทำลายให้สิ้นได้ บุคคลเหล่านี้ซาโลมอนทรงเกณฑ์ให้เป็นทาสอยู่จนทุกวันนี้
2พกษ 9.26 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘เราได้เห็นโลหิตของนาโบทและโลหิตของลูกหลานของเขาเมื่อวานนี้’ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘แน่ทีเดียวเราจะสนองเจ้าบนที่ดินแปลงนี้แหละ’ ฉะนั้นบัดนี้จงยกเขาขึ้นทิ้งไว้บนที่ดินแปลงนี้แหละตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์”
2พกษ 10.30 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับเยฮูว่า “เพราะเจ้าได้ทำดีในการที่กระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา และได้กระทำต่อราชวงศ์อาหับตามทุกอย่างที่อยู่ในใจของเรา ลูกหลานของเจ้าชั่วอายุที่สี่จะได้นั่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล”
2พกษ 14.6 แต่พระองค์มิได้ทรงประหารชีวิตลูกหลานของเหล่าฆาตกรนั้น ตามซึ่งได้บันทึกไว้ในหนังสือพระราชบัญญัติของโมเสส ที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาว่า “อย่าให้บิดาต้องรับโทษถึงตายแทนบุตรของตน หรือให้บุตรต้องรับโทษถึงตายแทนบิดาของตน ให้ทุกคนรับโทษถึงตายเนื่องด้วยบาปของคนนั้นเอง”
2พกษ 17.34 ทุกวันนี้เขาก็กระทำตามอย่างเดิม เขาทั้งหลายไม่ยำเกรงพระเยโฮวาห์ และเขาทั้งหลายไม่กระทำตามกฎเกณฑ์ หรือกฎ หรือพระราชบัญญัติ หรือพระบัญญัติ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแก่ลูกหลานของยาโคบ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงประทานนามว่าอิสราเอล
1พศด 1.33 บุตรชายของมีเดียน ชื่อ เอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดา และเอลดาอาห์ ทั้งหมดนี้เป็นลูกหลานของนางเคทูราห์
1พศด 2.23 แต่จากหัวเมืองเหล่านั้น เขาได้ยึดเกชูร์กับอารัม พร้อมกับหัวเมืองต่างๆของยาอีร์ และหัวเมืองเคนาท กับบรรดาชนบทของหัวเมืองหกสิบชนบทด้วยกัน ทั้งสิ้นเหล่านี้เป็นของลูกหลานมาคีร์บิดาของกิเลอาด
1พศด 2.33 บุตรชายของโยนาธานชื่อ เปเลธ และศาซา เหล่านี้เป็นลูกหลานของเยราเมเอล
1พศด 2.50 เหล่านี้เป็นลูกหลานของคาเลบบุตรชายของเฮอร์ บุตรหัวปีของเอฟราธาห์ ชื่อ โชบาล บิดาของคีริยาทเยอาริม
1พศด 3.21 บุตรชายของฮานันยาห์คือ เป-ลาทียาห์และเยชายาห์ ลูกหลานของเรไฟยาห์ ลูกหลานของอารนัน ลูกหลานของโอบาดีห์ ลูกหลานของเชคานิยาห์
1พศด 5.11 ลูกหลานของกาดอาศัยอยู่ตรงหน้าเขาในแผ่นดินบาชานไปจนถึงเมืองสาเลคาห์
1พศด 6.54 ต่อไปนี้เป็นที่อาศัยของเขาตามค่ายในเขตแดนของเขา คือลูกหลานของอาโรน ครอบครัวคนโคฮาท เพราะสลากตกเป็นของเขา
1พศด 6.57 เขาให้เมืองต่างๆแห่งยูดาห์แก่ลูกหลานของอาโรน คือเมืองเฮโบรนซึ่งเป็นเมืองลี้ภัย เมืองลิบนาห์กับทุ่งหญ้า เมืองยาททีร์ เมืองเอชเทโมอากับทุ่งหญ้า
1พศด 7.13 บุตรชายของนัฟทาลีคือ ยาซีเอล กุนี เยเซอร์ และชัลลูม ลูกหลานของนางบิลฮาห์
1พศด 7.29 และตามพรมแดนของคนมนัสเสห์ มีเมืองเบธชานพร้อมกับบรรดาหัวเมือง ทาอานาคพร้อมกับบรรดาหัวเมือง เมกิดโดพร้อมกับบรรดาหัวเมือง โดร์พร้อมกับบรรดาหัวเมือง ลูกหลานโยเซฟบุตรชายอิสราเอลได้อาศัยอยู่ในที่เหล่านี้
1พศด 8.40 บุตรชายของอุลามเป็นคนที่เป็นทแกล้วทหาร นักธนู มีลูกหลานมากหนึ่งร้อยห้าสิบคน คนเหล่านี้ทั้งสิ้นเป็นลูกหลานของเบนยามิน
1พศด 9.7 จากลูกหลานของเบนยามินคือ สัลลู ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายโฮดาวิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายหัสเสนูอาห์
1พศด 9.14 จากคนเลวีมี เชไมอาห์ ผู้เป็นบุตรชายหัสชูบ ผู้เป็นบุตรชายอัสรีคัม ผู้เป็นบุตรชายฮาซาบิยาห์ ลูกหลานของเมรารี
1พศด 9.23 ดังนั้นเขาและลูกหลานของเขาจึงเป็นผู้ดูแลประตูรั้วพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เป็นผู้เฝ้าประตูรั้วพระนิเวศแห่งพลับพลา
1พศด 9.30 และบางคนซึ่งเป็นลูกหลานของปุโรหิตก็เตรียมเครื่องเทศประสม
1พศด 11.34 ลูกหลานฮาเชมคนกิมโซ โยนาธาน บุตรชายชากีชาวฮาราห์
1พศด 15.4 และดาวิดทรงรวบรวมลูกหลานของอาโรนและคนเลวี
1พศด 15.5 คือจากลูกหลานของโคฮาท ได้อุรีเอลเป็นหัวหน้า พร้อมกับพี่น้องของเขาหนึ่งร้อยยี่สิบคน
1พศด 15.6 จากลูกหลานของเมรารี ได้อาสายาห์เป็นหัวหน้า พร้อมกับพี่น้องของเขาสองร้อยยี่สิบคน
1พศด 15.7 จากลูกหลานของเกอร์โชม ได้โยเอลเป็นหัวหน้า กับพี่น้องของเขาหนึ่งร้อยสามสิบคน
1พศด 15.8 จากลูกหลานของเอลีชาฟาน ได้เชไมอาห์เป็นหัวหน้า กับพี่น้องของเขาสองร้อยคน
1พศด 15.9 จากลูกหลานของเฮโบรน ได้เอลีเอลเป็นหัวหน้า กับพี่น้องของเขาแปดสิบคน
1พศด 15.10 จากลูกหลานของอุสซีเอล ได้อัมมีนาดับเป็นหัวหน้า กับพี่น้องของเขาหนึ่งร้อยสิบสองคน
1พศด 15.17 คนเลวีจึงแต่งตั้งเฮมานบุตรชายโยเอล และพี่น้องของเขาคือ อาสาฟบุตรชายเบเรคิยาห์ และจากลูกหลานเมรารีพี่น้องของเขาคือ เอธานบุตรชายคูชายาห์
1พศด 16.13 โอ เชื้อสายของอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ ลูกหลานของยาโคบ ผู้เลือกสรรของพระองค์
1พศด 16.42 และพร้อมกับเขาเฮมานและเยดูธูนมีแตรและฉาบเพื่อบรรเลง และเครื่องดนตรีประกอบเพลงถวายพระเจ้า ลูกหลานของเยดูธูนได้รับแต่งตั้งให้ประจำประตู
1พศด 20.4 และอยู่มาภายหลังเกิดสงครามขึ้นกับคนฟีลิสเตียที่เมืองเกเซอร์ แล้วสิบเบคัยคนหุชาห์ได้สังหารสิปปัยผู้เป็นลูกหลานของคนยักษ์เสีย และคนฟีลิสเตียก็ถูกปราบปราม
1พศด 24.1 กองเวรของลูกหลานอาโรนมีดังนี้ บุตรชายของอาโรนคือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์
1พศด 24.20 ฝ่ายลูกหลานของเลวีที่เหลืออยู่คือ จากบุตรชายของอัมรามมี ชูบาเอล จากบุตรชายของชูบาเอลมี เยเดยาห์
1พศด 24.27 ฝ่ายลูกหลานของเมรารีคือ ของยาอาซียาห์มี เบโน โชฮัม ศักเกอร์ และอิบรี
1พศด 24.30 บุตรชายของมูชีคือ มาห์ลี เอเดอร์ และเยรีโมท คนเหล่านี้เป็นลูกหลานของคนเลวี ตามเรือนบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย
1พศด 25.1 ดาวิดและบรรดาหัวหน้าของผู้ปรนนิบัติได้จัดแยกบางคนไว้สำหรับการปรนนิบัติ คือจากลูกหลานของอาสาฟ และของเฮมาน และของเยดูธูน ผู้ซึ่งจะพยากรณ์ด้วยพิณเขาคู่ ด้วยพิณใหญ่และด้วยฉาบ รายชื่อของผู้ทำงานตามหน้าที่ของเขา คือ
1พศด 25.2 จากลูกหลานของอาสาฟคือ ศักเกอร์ โยเซฟ เนธานิยาห์ และอาชาเรลาห์ ลูกหลานของอาสาฟ ภายใต้การนำของอาสาฟ ผู้พยากรณ์ภายใต้พระราชดำรัสสั่งของกษัตริย์
1พศด 25.3 จากเยดูธูน คือลูกหลานของเยดูธูนมี เกดาลิยาห์ เศรี เยชายาห์ ฮาชาบิยาห์ และมัททีธิยาห์ หกคนภายใต้การนำของเยดูธูนบิดาของเขา ผู้พยากรณ์ด้วยพิณเขาคู่ในการโมทนาและสรรเสริญต่อพระเยโฮวาห์
1พศด 25.4 จากเฮมาน คือลูกหลานของเฮมานมี บุคคียาห์ มัทธานิยาห์ อุสซีเอล เชบูเอล และเยรีโมท ฮานานิยาห์ ฮานานี เอลียาธาห์ กิดดาลที และโรมัมทีเอเซอร์ โยชเบคาชาห์ มัลโลธี โฮธีร์ และมาหะซิโอท
1พศด 26.1 ฝ่ายกองเวรเฝ้าประตู จากคนโคราห์มี เมเชเลมิยาห์บุตรชายโคเร เป็นลูกหลานของอาสาฟ
1พศด 26.10 และโฮสาห์ผู้เป็นลูกหลานของเมรารีมีบุตรชายคือ ชิมรี ผู้เป็นหัวหน้า (เพราะถึงเขาจะไม่เป็นบุตรหัวปี บิดาของเขาก็ให้เขาเป็นหัวหน้า)
1พศด 26.19 คนเหล่านี้เป็นเวรเฝ้าประตูจากลูกหลานของโคราห์ และลูกหลานของเมรารี
1พศด 26.21 ลูกหลานของลาดานคือ ลูกหลานของคนเกอร์โชน ที่เป็นบุตรชายของลาดาน บรรดาหัวหน้าของลาดาน คนเกอร์โชนคือ เยฮีเอลี
1พศด 27.3 เขาเป็นลูกหลานของเปเรศ และเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการกองทัพทั้งสิ้นในเดือนต้น
1พศด 28.8 เพราะฉะนั้นบัดนี้ท่ามกลางสายตาของคนอิสราเอลทั้งปวงอันเป็นชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์ และต่อพระกรรณของพระเจ้าของเรา จงรักษาและแสวงหาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย เพื่อเจ้าจะได้กรรมสิทธิ์แผ่นดินอันดีนี้ และมอบไว้ให้เป็นมรดกของลูกหลานผู้มาภายหลังเจ้าสืบไปเป็นนิตย์
2พศด 6.16 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอทรงรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ราชบิดาของข้าพระองค์ว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดชายผู้หนึ่งในสายตาของเราที่จะนั่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล เพื่อว่าลูกหลานทั้งหลายของเจ้าจะระมัดระวังในวิถีทางของเขา ที่จะดำเนินตามราชบัญญัติของเรา อย่างที่เจ้าได้ดำเนินต่อหน้าเรานั้น’
2พศด 8.8 จากลูกหลานของชนเหล่านี้ ผู้เหลือต่อมาในแผ่นดิน ผู้ซึ่งประชาชนอิสราเอลมิได้ทำลาย ซาโลมอนได้ทรงกระทำให้ประชาชนเหล่านี้เป็นทาสแรงงานและเขาทั้งหลายก็เป็นอยู่จนทุกวันนี้
2พศด 13.5 ไม่ควรหรือที่ท่านทั้งหลายจะรู้ว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลพระราชทานตำแหน่งกษัตริย์เหนืออิสราเอลเป็นนิตย์แก่ดาวิด และลูกหลานของพระองค์โดยพันธสัญญาเกลือ
2พศด 13.8 และบัดนี้ท่านคิดว่าจะต่อต้านราชอาณาจักรของพระเยโฮวาห์ซึ่งอยู่ในมือของลูกหลานของดาวิด เพราะท่านทั้งหลายเป็นคนหมู่ใหญ่และมีลูกวัวทองคำซึ่งเยโรโบอัมสร้างไว้ให้ท่านเป็นพระ
2พศด 13.9 ท่านทั้งหลายมิได้ขับไล่ปุโรหิตของพระเยโฮวาห์ ลูกหลานของอาโรน และคนเลวีออกไป และตั้งปุโรหิตสำหรับตนเองอย่างชนชาติทั้งหลายหรือ ผู้ใดที่นำวัวหนุ่มและแกะผู้เจ็ดตัวมาชำระตัวให้บริสุทธิ์ไว้ จะได้เป็นปุโรหิตของสิ่งที่ไม่ใช่พระ
2พศด 13.10 แต่สำหรับเราทั้งหลาย พระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าของเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายมิได้ทอดทิ้งพระองค์ เรามีปุโรหิตผู้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ เป็นลูกหลานของอาโรน ทั้งมีคนเลวีทำงานหน้าที่ของเขาทั้งหลาย
2พศด 20.13 ในระหว่างนั้นคนทั้งปวงของยูดาห์ก็ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พร้อมกับภรรยาและลูกหลานของเขา
2พศด 20.14 และพระวิญญาณของพระเยโฮวาห์เสด็จมาสถิตกับยาฮาซีเอลบุตรชายเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเบไนยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเยอีเอล ผู้เป็นบุตรชายมัทธานิยาห์ เป็นคนเลวี ลูกหลานของอาสาฟ เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางที่ประชุมนั้น
2พศด 20.19 และคนเลวี จากลูกหลานคนโคฮาท และลูกหลานคนโคราห์ ได้ยืนขึ้นถวายสรรเสริญแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วยเสียงอันดังในที่สูง
2พศด 21.7 อย่างไรก็ดีพระเยโฮวาห์จะไม่ทรงทำลายราชวงศ์ของดาวิด เพราะเหตุพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำไว้กับดาวิด และเหตุที่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะประทานประทีปแก่ดาวิดและแก่ลูกหลานของพระองค์เป็นนิตย์
2พศด 21.14 ดูเถิด พระเยโฮวาห์จะทรงนำภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่มาเหนือชนชาติของเจ้า ลูกหลานของเจ้า เมียของเจ้า และข้าวของทั้งสิ้นของเจ้า
2พศด 25.4 แต่พระองค์มิได้ทรงประหารชีวิตลูกหลานของเขา แต่ได้ทรงกระทำตามที่มีบันทึกไว้ในหนังสือพระราชบัญญัติของโมเสส ที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาไว้นั้นว่า “อย่าให้บิดาต้องรับโทษถึงตายแทนบุตรของตน หรือให้บุตรต้องรับโทษถึงตายแทนบิดาของตน ให้ทุกคนรับโทษถึงตายเนื่องด้วยบาปของคนนั้นเอง”
2พศด 26.18 และเขาทั้งหลายได้ขัดขวางกษัตริย์อุสซียาห์และทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่อุสซียาห์ มิใช่หน้าที่ของพระองค์ที่จะเผาเครื่องหอมถวายแด่พระเยโฮวาห์ แต่เป็นหน้าที่ของปุโรหิตลูกหลานของอาโรน ผู้ซึ่งชำระไว้ให้บริสุทธิ์เพื่อเผาเครื่องหอม ขอเชิญพระองค์เสด็จออกไปจากสถานบริสุทธิ์นี้ เพราะพระองค์ได้ทรงล่วงเกิน และพระองค์จะไม่ได้รับเกียรติอันใดจากพระเยโฮวาห์พระเจ้าเลย”
2พศด 29.12 แล้วคนเลวีก็ลุกขึ้น คือมาฮาทบุตรชายอามาสัย และโยเอลบุตรชายอาซาริยาห์ ผู้เป็นลูกหลานของโคฮาท และลูกหลานของเมรารี มีคีชบุตรชายอับดี และอาซาริยาห์บุตรชายเยฮาลเลเลล และของคนเกอร์โชน มีโยอาห์บุตรชายศิมมาห์ และเอเดนบุตรชายโยอาห์
2พศด 29.13 และลูกหลานของเอลีซาฟาน มีชิมรีและเยอีเอล และลูกหลานของอาสาฟ มีเศคาริยาห์และมัทธานิยาห์
2พศด 29.14 และลูกหลานของเฮมาน มีเยฮีเอลและชิเมอี และลูกหลานของเยดูธูน มีเชไมอาห์และอุสซีเอล
2พศด 29.21 และเขาได้นำวัวผู้เจ็ดตัว แกะผู้เจ็ดตัว ลูกแกะเจ็ดตัว และแพะผู้เจ็ดตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับราชอาณาจักร สถานบริสุทธิ์และยูดาห์ และพระองค์ทรงบัญชาให้ลูกหลานของอาโรน คือปุโรหิตให้ถวายของเหล่านั้นบนแท่นบูชาของพระเยโฮวาห์
2พศด 30.9 เพราะถ้าท่านทั้งหลายหันกลับมายังพระเยโฮวาห์ พี่น้องของท่านและลูกหลานของท่านจะประสบความเอ็นดูจากผู้ที่จับเขาไปเป็นเชลย และจะได้กลับมายังแผ่นดินนี้อีก เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระเมตตาและกรุณา ถ้าท่านกลับมาหาพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงหันพระพักตร์ไปจากท่าน”
2พศด 31.19 สำหรับลูกหลานของอาโรนคือพวกปุโรหิต ผู้อยู่ในทุ่งนารวมรอบหัวเมืองของเขานั้น มีผู้ชายในหัวเมืองต่างๆ ผู้ถูกระบุชื่อให้แจกจ่ายส่วนแบ่งแก่ผู้ชายทุกคนในพวกปุโรหิต และทุกคนในพวกคนเลวีผู้ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนไว้
2พศด 34.12 และคนทั้งหลายก็ทำงานอย่างสัตย์ซื่อ ผู้คุมงานมียาหาทและโอบาดีห์คนเลวีลูกหลานของเมรารี และเศคาริยาห์กับเมชุลลัมลูกหลานของคนโคฮาทเป็นผู้ดูแล คนเลวีทุกคนที่ชำนาญเครื่องดนตรี
2พศด 35.14 ภายหลังเขาทั้งหลายจึงเตรียมสำหรับตนเองและสำหรับปุโรหิต เพราะว่าปุโรหิตลูกหลานของอาโรนติดธุระในการถวายเครื่องเผาบูชาและส่วนไขมันจนกลางคืน คนเลวีจึงเตรียมเพื่อตนเองและเพื่อปุโรหิตลูกหลานของอาโรน
2พศด 35.15 บรรดานักร้องซึ่งเป็นลูกหลานของอาสาฟอยู่ประจำที่ของตน ตามบัญชาของดาวิด อาสาฟ และเฮมาน กับเยดูธูนผู้ทำนายของกษัตริย์ และคนเฝ้าประตูก็อยู่ประจำทุกประตู เขาไม่จำเป็นละงานหน้าที่ของเขา เพราะคนเลวีพี่น้องของเขาได้เตรียมไว้ให้เขา
อสร 2.6 คนปาหัทโมอับ คือลูกหลานของเยชูอาและโยอาบ สองพันแปดร้อยสิบสองคน
อสร 2.42 ลูกหลานคนเฝ้าประตูคือ คนชัลลูม คนอาเทอร์ คนทัลโมน คนอักขูบ คนฮาทิธา และคนโชบัย รวมกันหนึ่งร้อยสามสิบเก้าคน
อสร 2.55 ลูกหลานข้าราชการของซาโลมอนคือ คนโสทัย คนโสเฟเรท คนเปรุดา
อสร 2.58 คนใช้ประจำพระวิหารและลูกหลานของข้าราชการของซาโลมอนทั้งสิ้น เป็นสามร้อยเก้าสิบสองคน
อสร 2.61 และจากลูกหลานของปุโรหิตด้วยคือ คนฮาบายาห์ คนฮักโขส และคนบารซิลลัย ผู้ได้ภรรยาจากบุตรสาวของบารซิลลัย คนกิเลอาด จึงได้ชื่อตามนั้น
อสร 4.1 เมื่อปฏิปักษ์ของยูดาห์และเบนยามินได้ยินว่า ลูกหลานของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย กำลังสร้างพระวิหารถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
อสร 6.16 และชนชาติอิสราเอล บรรดาปุโรหิตและคนเลวี และลูกหลานของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยที่เหลืออยู่ ได้ฉลองการมอบถวายพระนิเวศแห่งพระเจ้านี้ด้วยความชื่นบาน
อสร 6.19 ในวันที่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่งลูกหลานของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยได้ถือเทศกาลปัสกา
อสร 6.20 เพราะบรรดาปุโรหิตและคนเลวีได้ชำระตนทุกคน เขาบริสุทธิ์หมดด้วยกัน เขาจึงฆ่าแกะปัสกาสำหรับลูกหลานของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยทั้งหมด สำหรับพวกพี่น้องที่เป็นปุโรหิต และสำหรับตัวเขาทั้งหลายเอง
อสร 8.15 ข้าพเจ้าได้รวบรวมเขาทั้งหลายเข้ามายังแม่น้ำที่ไหลไปสู่อาหะวา เราตั้งค่ายอยู่ที่นั่นสามวัน เมื่อข้าพเจ้าสำรวจดูประชาชนและปุโรหิต ข้าพเจ้าไม่เห็นลูกหลานของเลวีที่นั่นเลย
อสร 8.18 และโดยพระหัตถ์อันทรงพระคุณของพระเจ้าของเราอยู่กับเรา เขาได้นำคนที่มีความสุขุมมาให้เรา เป็นลูกหลานของมาห์ลีบุตรชายเลวี ผู้เป็นบุตรชายอิสราเอล ชื่อเชเรบิยาห์ กับบุตรชายและญาติพี่น้อง รวมสิบแปดคน
อสร 8.19 ทั้งฮาชาบิยาห์และเยชายาห์ ลูกหลานของเมรารีกับญาติพี่น้องและบุตรชายของเขารวมยี่สิบคน
อสร 8.21 แล้วข้าพเจ้าก็ประกาศให้ถืออดอาหารที่นั่น คือที่แม่น้ำอาหะวา เพื่อเราทั้งหลายจะได้ถ่อมตัวลงต่อพระพักตร์พระเจ้าของเรา เพื่อจะทูลขอหนทางอันถูกต้องจากพระองค์ สำหรับเรา ลูกหลานของเรา และข้าวของทั้งสิ้นของเรา
อสร 8.35 บรรดาลูกหลานของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย ซึ่งมาจากการเป็นเชลย ได้ถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าแห่งอิสราเอล มีวัวผู้สิบสองตัวสำหรับพวกอิสราเอลทั้งปวง แกะผู้เก้าสิบหกตัว ลูกแกะเจ็ดสิบเจ็ดตัว และแพะผู้สิบสองตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ทั้งสิ้นนี้เป็นเครื่องเผาบูชาถวายพระเยโฮวาห์
อสร 9.12 เพราะฉะนั้นบัดนี้ อย่ามอบพวกบุตรสาวของเจ้าแก่พวกบุตรชายของเขา หรืออย่ารับพวกบุตรสาวของเขาให้พวกบุตรชายของเจ้า หรืออย่าเสริมสันติภาพและความเจริญมั่งคั่งของเขาทั้งหลายเป็นนิตย์ เพื่อเจ้าทั้งหลายจะแข็งแรง และกินของดีๆแห่งแผ่นดินนั้น และมอบแผ่นดินนั้นไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายเป็นนิตย์’
อสร 10.7 และเขาทำการป่าวร้องทั่วยูดาห์และเยรูซาเล็ม แก่ลูกหลานทั้งสิ้นของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยว่า ให้มาชุมนุมกันที่เยรูซาเล็ม
อสร 10.16 แล้วลูกหลานของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยก็ได้กระทำตาม เอสราปุโรหิต และประมุขของบรรพบุรุษบางคน ตามเรือนบรรพบุรุษของเขา แต่ละคนที่ระบุชื่อไว้ได้ถูกเลือก ในวันที่หนึ่งของเดือนที่สิบเขานั่งประชุมกันพิจารณาเรื่องนี้
อสร 10.18 ลูกหลานของปุโรหิตผู้ได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ จากคนเยชูอาบุตรชายโยซาดักและพี่น้องของท่านมี มาอาเสอาห์ เอลีเยเซอร์ ยารีบและเกดาลิยาห์
นหม 3.3 และลูกหลานของหัสเสนาอาห์ได้สร้างประตูปลา เขาได้วางวงกบและได้ตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
นหม 7.11 คนปาหัทโมอับ คือลูกหลานของเยชูอาและโยอาบ สองพันแปดร้อยสิบแปดคน
นหม 7.57 ลูกหลานผู้รับใช้ของซาโลมอน คนโสทัย คนโสเฟเรท คนเปรีดา
นหม 7.60 คนใช้ประจำพระวิหารทั้งสิ้น และลูกหลานแห่งข้าราชการของซาโลมอน มีสามร้อยเก้าสิบสองคน
นหม 9.23 พระองค์ทรงทวีลูกหลานของเขาอย่างดวงดาวแห่งฟ้าสวรรค์ และพระองค์ทรงนำเขาเข้าไปในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ตรัสสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเขาให้เข้าไปยึดนั้น
นหม 9.24 ลูกหลานเหล่านั้นจึงเข้าไปและยึดแผ่นดินนั้น พระองค์ทรงปราบปรามชาวแผ่นดินนั้น คือคนคานาอันให้พ้นหน้าเขา และทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของเขา พร้อมกับกษัตริย์และชนชาติทั้งหลายแห่งแผ่นดินนั้น ให้ได้กระทำแก่คนเหล่านั้นตามชอบใจเขา
นหม 10.9 และคนเลวีคือ เยชูอาผู้เป็นบุตรชายอาซันยาห์ บินนุยลูกหลานเฮนาดัด ขัดมีเอล
นหม 10.38 และปุโรหิต ลูกหลานของอาโรน จะอยู่กับคนเลวีเมื่อคนเลวีได้รับสิบชักหนึ่ง และคนเลวีจะนำสิบชักหนึ่งของสิบชักหนึ่งมายังพระนิเวศของพระเจ้าของเรา มายังห้อง ยังคลังพัสดุ
นหม 11.3 ต่อไปนี้เป็นหัวหน้ามณฑลที่มาอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม แต่ในหัวเมืองของประเทศยูดาห์ต่างคนต่างอาศัยอยู่ในที่ดินของตนในหัวเมืองของตน คืออิสราเอล บรรดาปุโรหิต คนเลวี คนใช้ประจำพระวิหาร และลูกหลานข้าราชการของซาโลมอน
นหม 11.4 บางคนในลูกหลานของยูดาห์และลูกหลานของเบนยามินอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม ลูกหลานของยูดาห์มี อาธายาห์บุตรชายอุสซียาห์ ผู้เป็นบุตรชายเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายอามาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเชฟาทิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมาหะลาเลล แห่งคนเปเรศ
นหม 11.6 ลูกหลานของเปเรศทั้งสิ้นที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม มีคนเก่งกล้า สี่ร้อยหกสิบแปดคน
นหม 11.22 ผู้ดูแลคนเลวีในเยรูซาเล็มคือ อุสซีบุตรชายบานี ผู้เป็นบุตรชายฮาชาบิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมัทธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมีคา สำหรับลูกหลานของอาสาฟ พวกนักร้องดูแลการงานพระนิเวศของพระเจ้า
นหม 12.23 ลูกหลานของเลวี ประมุขของบรรพบุรุษ มีบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดาร จนสมัยของโยฮานันบุตรชายเอลียาชีบ
นหม 12.28 ลูกหลานพวกนักร้องได้รวมกันมาจากมณฑลรอบเยรูซาเล็ม และจากชนบทของชาวเนโทฟาห์
นหม 12.47 และอิสราเอลทั้งปวงในสมัยของเศรุบบาเบลและในสมัยของเนหะมีย์ ได้ให้ปันส่วนตามต้องการทุกวันแก่นักร้องและคนเฝ้าประตู และเขาได้กันส่วนของคนเลวีไว้ต่างหาก และคนเลวีได้กันส่วนของลูกหลานอาโรนไว้ต่างหาก
โยบ 5.25 ท่านจะทราบด้วยว่าเชื้อสายของท่านจะมากมาย และลูกหลานของท่านจะเป็นอย่างหญ้าแห่งแผ่นดินโลก
โยบ 17.5 ผู้ที่กล่าวคำประจบประแจงแก่เพื่อนของเขา นัยน์ตาของลูกหลานของเขาจะมัวมืดไป
โยบ 20.10 ลูกหลานของเขาจะเสาะหาเป็นที่โปรดปรานของคนยากจน และมือของเขาจะคืนทรัพย์สมบัติของเขา
โยบ 21.8 เชื้อสายของเขาก็ตั้งมั่นคงอยู่ในสายตาของเขา และลูกหลานของเขาก็อยู่ต่อหน้าต่อตาเขา
โยบ 21.11 เขาส่งเด็กๆออกไปอยู่อย่างฝูงแพะแกะ และลูกหลานเล็กของเขาก็เต้นรำ
โยบ 21.19 พระเจ้าทรงสะสมความชั่วช้าของเขาไว้ให้ลูกหลานของเขาหรือ พระองค์ทรงตอบแทนแก่เขาเอง และเขาก็จะทราบ
โยบ 27.14 ถ้าลูกหลานของเขาเพิ่มขึ้น ก็เพื่อถูกดาบ และลูกหลานของเขาก็หาไม่พอกิน
โยบ 29.5 เมื่อองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังอยู่กับข้า และลูกหลานห้อมล้อมข้า
สดด 17.14 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากมนุษย์ผู้ซึ่งเป็นพระหัตถ์ของพระองค์ จากมนุษย์แห่งโลกนี้ จากมนุษย์ผู้ซึ่งมีส่วนของชีวิตนี้ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงให้ท้องของเขาเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติที่พระองค์ทรงซ่อนไว้ พวกเขามีลูกหลานอุดมสมบูรณ์ และส่วนที่เหลือเขามอบไว้ให้แก่ลูกอ่อนของเขา
สดด 21.10 พระองค์จะทรงทำลายลูกหลานของเขาเสียจากแผ่นดินโลก และพรากเชื้อสายของเขาจากบุตรทั้งหลายของมนุษย์
สดด 72.4 ท่านจะสู้คดีของคนยากจนแห่งประชาชน ให้การช่วยให้พ้นแก่ลูกหลานของคนขัดสน และจะทุบผู้บีบบังคับเป็นชิ้นๆ
สดด 77.15 พระองค์ได้ทรงไถ่ประชาชนของพระองค์ด้วยพระกรของพระองค์ คือลูกหลานของยาโคบและโยเซฟ เซลาห์
สดด 78.4 เราจะไม่ซ่อนไว้จากลูกหลานของเขา แต่จะบอกแก่ชั่วอายุที่กำลังเกิดมา ถึงการสรรเสริญพระเยโฮวาห์ และฤทธานุภาพของพระองค์ และการมหัศจรรย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ
สดด 78.5 เพราะพระองค์ทรงสถาปนาพระโอวาทไว้ในยาโคบ และทรงแต่งตั้งพระราชบัญญัติไว้ในอิสราเอล ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาแก่บรรพบุรุษของเรา ว่าให้แจ้งเรื่องราวเหล่านั้นแก่ลูกหลานของเขา
สดด 78.6 เพื่อชั่วอายุรุ่นต่อไปจะทราบเรื่องคือลูกหลานที่จะเกิดมา และที่จะลุกขึ้นบอกลูกหลานของเขา
สดด 83.8 อัสซีเรียก็สมทบเขาด้วย เขาได้ช่วยลูกหลานของโลท เซลาห์
สดด 89.6 เพราะผู้ใดเล่าที่ในฟ้าสวรรค์จะเปรียบกับพระเยโฮวาห์ได้ ในบรรดาลูกหลานของผู้มีอำนาจผู้ใดจะเหมือนพระเยโฮวาห์
สดด 89.30 ถ้าลูกหลานของเขาทิ้งราชบัญญัติของเรา และไม่ดำเนินตามคำตัดสินของเรา
สดด 90.16 ขอให้พระราชกิจของพระองค์ปรากฏแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ และให้สง่าราศีของพระองค์ปรากฏแก่ลูกหลานของเขา
สดด 102.28 ลูกหลานของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะอยู่มั่นคง และเชื้อสายของเขาจะได้รับการสถาปนาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
สดด 115.14 พระเยโฮวาห์จะทรงให้ท่านเพิ่มพูนขึ้นทั้งท่านและลูกหลานของท่าน
สดด 128.6 เออ ท่านจะเห็นลูกหลานของท่าน และสันติภาพมีอยู่ในอิสราเอล
สภษ 14.26 ความยำเกรงพระเยโฮวาห์ทำให้คนอยู่อย่างมั่นใจมาก ลูกหลานของเขาจะมีที่ลี้ภัย
อสย 14.22 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “เพราะเราจะลุกขึ้นสู้กับเขา และจะตัดชื่อกับคนที่เหลืออยู่และลูกหลานออกจากบาบิโลน” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อสย 22.24 และเขาทั้งหลายจะแขวนไว้บนตัวเขาซึ่งสง่าราศีทั้งสิ้นของวงศ์วานบิดาของเขา ลูกหลานผู้สืบสาย ภาชนะเล็กๆทุกชิ้น ตั้งแต่ถ้วยจนถึงเหยือกทั้งสิ้น
อสย 29.23 เพราะเมื่อเขาเห็นลูกหลานของเขาซึ่งเป็นผลงานแห่งมือของเราในหมู่พวกเขา เขาทั้งหลายจะถือว่านามของเราบริสุทธิ์ เขาทั้งหลายจะถือว่าองค์บริสุทธิ์ของยาโคบบริสุทธิ์ และจะกลัวเกรงพระเจ้าแห่งอิสราเอล
อสย 30.1 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “วิบัติแก่ลูกหลานที่ดื้อดึง ผู้กระทำแผนงาน แต่ไม่ใช่ของเรา ผู้ปกคลุมด้วยเครื่องปกปิด แต่ไม่ใช่ตามน้ำใจเรา เขาจะเพิ่มบาปซ้อนบาป
อสย 44.3 เพราะเราจะเทน้ำลงบนผู้ที่กระหาย และลำธารลงบนดินแห้ง เราจะเทวิญญาณของเราเหนือเชื้อสายของเจ้า และพรของเราเหนือลูกหลานของเจ้า
อสย 45.11 พระเยโฮวาห์ องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล ผู้สร้างของเขาตรัสดังนี้ว่า “เจ้าถามเราถึงสิ่งที่จะเกิดมีมาถึงลูกหลานของเรา และถึงการงานแห่งมือของเรา เจ้าสั่งเราเชียว
อสย 48.19 เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเหมือนทรายเช่นกัน และลูกหลานจากบั้นเอวของเจ้าเหมือนเม็ดทราย ชื่อของเขาจะไม่ถูกตัดออกเลย หรือถูกทำลายเสียจากหน้าเรา”
อสย 49.17 ลูกหลานของเจ้าก็จะเร่งรีบ ผู้ทำลายเจ้าและบรรดาผู้ที่ทำให้เจ้าถูกทิ้งร้างก็จะออกไปจากเจ้า
อสย 61.9 เชื้อสายของเขาทั้งหลายจะเป็นที่รู้จักกันท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และลูกหลานของเขาในท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ทุกคนที่ได้เห็นเขาจะจำเขาได้ ว่าเขาเป็นเชื้อสายซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพร”
ยรม 2.9 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้นเราจะยังโต้แย้งกับเจ้า เราจะโต้แย้งกับลูกหลานของเจ้า
ยรม 2.30 เราได้โบยตีลูกหลานของเจ้าเสียเปล่า เขาทั้งหลายก็ไม่ดีขึ้น ดาบของเจ้าเองได้กลืนผู้พยากรณ์ของเจ้า เหมือนอย่างสิงโตที่ทำลาย
ยรม 3.14 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “โอ ลูกหลานที่กลับสัตย์เอ๋ย กลับมาเถิด เพราะเราแต่งงานกับเจ้าแล้ว เราจะรับเจ้าจากเมืองละคนและจากครอบครัวละสองคน และเราจะนำเจ้ามาถึงศิโยน
ยรม 4.22 “เพราะประชาชนของเราโง่เขลา เขาทั้งหลายไม่รู้จักเรา เขาทั้งหลายเป็นลูกหลานที่โง่ทึบ เขาทั้งหลายไม่มีความเข้าใจ เขาทั้งหลายทำความชั่วเก่ง แต่เขาไม่เข้าใจที่จะทำดี”
ยรม 5.7 “เราจะให้อภัยเจ้าได้อย่างไร ลูกหลานของเจ้าได้ละทิ้งเราแล้ว และได้อ้างผู้ที่ไม่ใช่พระในการทำสัตย์ปฏิญาณ เมื่อเราเลี้ยงเขาให้อิ่ม เขาก็ทำการล่วงประเวณี แล้วก็ยกขบวนกันไปที่เรือนของหญิงแพศยา
ยรม 17.2 ฝ่ายลูกหลานของเขาก็ระลึกถึงแท่นบูชาและเหล่าเสารูปเคารพของเขาข้างต้นไม้สดทุกต้นบนเนินเขาสูง
ยรม 18.21 เพราะฉะนั้น ขอทรงมอบลูกหลานของเขาให้แก่การกันดารอาหาร ให้โลหิตของเขาทั้งหลายไหลออกด้วยอำนาจของดาบ ให้ภรรยาของเขาทั้งหลายขาดบุตร และเป็นหญิงม่าย ขอให้ผู้ชายของเขาประสบความตาย ให้อนุชนของเขาถูกดาบตายในสงคราม
ยรม 30.20 ลูกหลานของเขาจะเป็นเหมือนสมัยก่อน และชุมนุมของเขาจะได้ถูกสถาปนาไว้ต่อหน้าเรา และทุกคนที่บีบบังคับเขา เราจะลงโทษ
ยรม 31.17 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เรื่องอนาคตของเจ้ายังมีหวัง ว่าลูกหลานของเจ้าจะกลับมายังพรมแดนของเขาเอง
ยรม 32.18 ผู้ทรงสำแดงความเมตตาต่อคนเป็นพันๆ แต่ทรงตอบสนองความชั่วช้าของบิดาให้ตกถึงอกของลูกหลานสืบต่อมา ข้าแต่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและทรงฤทธิ์ พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา
ยรม 32.39 เราจะให้ใจเดียวและทางเดียวแก่เขา เพื่อเขาจะยำเกรงเราอยู่เป็นนิตย์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่เขา และแก่ลูกหลานของเขาที่ตามเขามา
ยรม 35.6 แต่เขาทั้งหลายตอบว่า “เราจะไม่ดื่มเหล้าองุ่น เพราะโยนาดับบุตรชายเรคาบผู้เป็นบิดาของเราบัญชาเราว่า ‘เจ้าทั้งหลายอย่าดื่มเหล้าองุ่น ทั้งตัวเจ้าและลูกหลานของเจ้าเป็นนิตย์
อสค 5.17 เราจะส่งการกันดารอาหารและสัตว์ป่าร้ายมาสู้เจ้า และมันจะริบลูกหลานของเจ้าไปเสีย โรคระบาดและโลหิตจะผ่านเจ้า และเราจะนำดาบมาเหนือเจ้า เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว”
อสค 20.18 แต่เราพูดกับลูกหลานของเขาในถิ่นทุรกันดารนั้นว่า อย่าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษของเจ้า หรือรักษาคำตัดสินของเขา หรือกระทำตัวเจ้าให้มลทินไปด้วยรูปเคารพของเขา
อสค 20.21 แต่ลูกหลานเหล่านั้นก็กบฏต่อเรา เขาทั้งหลายมิได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และไม่รักษาคำตัดสินของเราเพื่อจะประพฤติตาม ซึ่งถ้ามนุษย์คนหนึ่งคนใดปฏิบัติตามก็จะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยกฎเกณฑ์และคำตัดสินเหล่านั้น เขาได้กระทำให้บรรดาวันสะบาโตของเรามัวหมอง เราจึงกล่าวว่า เราจะเทความเดือดดาลของเราออกเหนือเขา และให้ความโกรธของเราที่มีต่อเขาที่ในถิ่นทุรกันดารบรรลุลงเสียที
อสค 37.25 เขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าอาศัยอยู่ ซึ่งเราได้ให้แก่ยาโคบผู้รับใช้ของเรา ตัวเขาและลูกหลานของเขาจะอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นนิตย์ และดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นเจ้าของเขาเป็นนิตย์
อสค 47.22 ต่อมาเจ้าทั้งหลายจงแบ่งแผ่นดินเป็นมรดกของตัวเจ้าทั้งหลายโดยการจับสลาก และสำหรับคนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้า และบังเกิดลูกหลานอยู่ท่ามกลางเจ้า เขาทั้งหลายจะมีสัญชาติอิสราเอล ให้เขาได้รับส่วนมรดกท่ามกลางตระกูลอิสราเอลพร้อมกับเจ้าทั้งหลาย
ฮชย 9.13 เอฟราอิมนั้น ดังที่เราเห็นเมืองไทระ ก็ปลูกไว้ในสถานที่ถูกใจ แต่เอฟราอิมต้องนำลูกหลานของตนไปมอบให้ฆาตกร
ฮชย 9.16 เอฟราอิมถูกทำลายเสียแล้ว รากของเขาก็เหี่ยวแห้งไป เขาทั้งหลายจะไม่มีผลอีก เออ แม้ว่าเขาจะเกิดลูกหลาน เราก็จะฆ่าผู้บังเกิดจากครรภ์ซึ่งเป็นที่รักของเขาเสีย
ฮชย 10.9 โอ อิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้กระทำบาปตั้งแต่สมัยกิเบอาห์ เขายังหยัดอยู่อย่างนั้น สงครามในกิเบอาห์ไม่มาทันลูกหลานแห่งความชั่วช้า
ศคย 10.7 แล้วคนเอฟราอิมจะเป็นเหมือนชายฉกรรจ์ และจิตใจของเขาทั้งหลายจะเปรมปรีดิ์เหมือนได้ดื่มน้ำองุ่น เออ ลูกหลานของเขาจะได้เห็นและเปรมปรีดิ์ และจิตใจของเขาจะยินดีเหลือล้นในพระเยโฮวาห์
ศคย 10.9 แม้เราจะหว่านเขาไปท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย แต่เขาจะระลึกถึงเราในประเทศที่ห่างไกลนั้น เขาจะดำรงชีวิตอยู่กับลูกหลานของเขาและกลับมา
มลค 3.3 ท่านจะนั่งลงอย่างช่างหลอมและช่างถลุงเงิน และท่านจะชำระลูกหลานของเลวีให้บริสุทธิ์ และถลุงเขาอย่างถลุงทองคำและถลุงเงิน เพื่อเขาจะได้นำเครื่องบูชาอันชอบธรรมถวายแด่พระเยโฮวาห์
มธ 13.38 นานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่ลูกหลานแห่งอาณาจักร แต่ข้าวละมานได้แก่ลูกหลานของมารร้าย
กจ 2.39 ด้วยว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของท่านด้วย และแก่คนทั้งหลายที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกมาเฝ้าพระองค์”
กจ 3.25 ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของศาสดาพยากรณ์นั้น และของพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของเรา คือได้ตรัสแก่อับราฮัมว่า ‘บรรดาครอบครัวทั่วแผ่นดินโลกจะได้รับพระพรเพราะเชื้อสายของเจ้า’
กจ 13.33 พระเจ้าได้ทรงให้สำเร็จตามนั้นแก่เราผู้เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้น คือในการที่พระองค์ทรงให้พระเยซูกลับคืนพระชนม์ เหมือนมีคำเขียนไว้ในหนังสือสดุดีบทที่สองว่า ‘ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่ท่านแล้ว’
1ทธ 5.4 แต่ถ้าแม่ม่ายคนใดมีลูกหลานก็ให้ลูกหลานนั้นเรียนเพื่อให้รู้จักที่จะปฏิบัติกับครอบครัวของตนก่อน และให้ตอบแทนคุณบิดามารดาของตน เพราะว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการดีและเป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้า
1ปต 3.6 เช่นนางซาราห์เชื่อฟังอับราฮัมและเรียกท่านว่านาย ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติดี และไม่มีความหวาดกลัวด้วยตกตะลึงสิ่งใด ท่านก็เป็นลูกหลานของนาง

ลูกหัวปี ( 22 )
อพย 11.5 และพวกลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของทาสหญิง ซึ่งอยู่หลังหินโม่แป้ง ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เดียรัจฉานด้วยจะต้องตาย
อพย 12.12 เพราะในคืนวันนั้น เราจะผ่านไปในประเทศอียิปต์ และเราจะประหารลูกหัวปีทั้งหมดในประเทศอียิปต์ ทั้งของมนุษย์และของสัตว์ และเราจะพิพากษาลงโทษพระทั้งปวงของอียิปต์ เราคือพระเยโฮวาห์
อพย 12.29 ต่อมาในเวลาเที่ยงคืน พระเยโฮวาห์ทรงประหารบุตรหัวปีทุกคนในประเทศอียิปต์ ตั้งแต่พระราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของเชลยที่อยู่ในคุกใต้ดิน ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เลี้ยงทุกตัว
อพย 13.2 “จงถวายลูกหัวปีทั้งปวงแก่เรา คือทุกสิ่งของชนชาติอิสราเอลที่ออกจากครรภ์ครั้งแรก จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ สิ่งนั้นเป็นของของเรา”
อพย 13.15 ต่อมาครั้นพระทัยของฟาโรห์ดื้อไม่ยอมปล่อยให้พวกเราไป พระเยโฮวาห์จึงทรงประหารลูกหัวปีทั้งหลายในประเทศอียิปต์ ทั้งลูกหัวปีของมนุษย์และลูกหัวปีของสัตว์ด้วย เหตุฉะนี้ เราจึงถวายบรรดาสัตว์หัวปีตัวผู้ที่เบิกครรภ์ครั้งแรกแด่พระเยโฮวาห์ แต่บุตรหัวปีทั้งหลายของเรา เราก็ไถ่ไว้’
อพย 34.19 ทุกสิ่งซึ่งออกจากครรภ์ครั้งแรกเป็นของเรา คือสัตว์ตัวผู้ทั้งหมดของเจ้า ลูกหัวปีของวัวและของแกะ
กดว 8.17 เพราะว่าลูกหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอลเป็นของเรา ทั้งคนและสัตว์ ในวันที่เราได้สังหารบรรดาลูกหัวปีในแผ่นดินอียิปต์ เราได้เลือกเขาไว้เป็นของเรา
กดว 18.15 บรรดาเนื้อหนังที่เบิกครรภ์ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ ซึ่งเขาถวายแด่พระเยโฮวาห์จะเป็นของเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม บุตรหัวปีของมนุษย์เจ้าจะต้องไถ่ไว้ เจ้าต้องไถ่ลูกหัวปีของบรรดาสัตว์ทั้งปวงที่มลทินด้วย
กดว 18.17 แต่ลูกหัวปีของวัว หรือลูกหัวปีของแกะ หรือลูกหัวปีของแพะ เจ้าไม่ต้องไถ่เพราะเป็นของบริสุทธิ์ เจ้าจงเอาเลือดของมันพรมบนแท่นบูชา และเอาไขมันของมันเผาเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์
กดว 33.4 ขณะนั้นชาวอียิปต์กำลังฝังศพลูกหัวปีทั้งหลายของตน เป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงประหารชีวิตท่ามกลางพวกเขา พระเยโฮวาห์ทรงลงโทษพระทั้งหลายของเขาด้วย
นหม 10.36 และจะนำบุตรชายหัวปี และสัตว์หัวปีของเรา ตามที่บันทึกไว้ในพระราชบัญญัติ และลูกหัวปีแห่งฝูงวัว และฝูงแพะแกะของเรามายังพระนิเวศของพระเจ้าของเรา ยังปุโรหิตผู้ปรนนิบัติอยู่ในพระนิเวศแห่งพระเจ้าของเรา
สดด 78.51 พระองค์ทรงประหารลูกหัวปีทั้งสิ้นในอียิปต์ คือผลแรกแห่งกำลังของเขาในเต็นท์ของฮาม
สดด 105.36 พระองค์ทรงสังหารบรรดาลูกหัวปีในแผ่นดินของเขา คือผลแรกแห่งกำลังทั้งสิ้นของเขา
สดด 135.8 พระองค์คือผู้ทรงสังหารลูกหัวปีของอียิปต์ ทั้งของคนและของสัตว์
สดด 136.10 ถวายแด่พระองค์ ผู้ทรงตีอียิปต์ทางบรรดาลูกหัวปี เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
อสย 14.30 และลูกหัวปีของคนยากจนจะมีอาหารกิน และคนขัดสนจะนอนลงอย่างปลอดภัย แต่เราจะฆ่ารากเง่าของเจ้าด้วยการกันดารอาหาร และคนที่เหลืออยู่ของเจ้าจะถูกสังหารเสีย

ลูกเห็บ ( 38 )
อพย 9.18 ดูเถิด พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ เราจะทำให้ลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก อย่างที่ไม่เคยมีในอียิปต์ ตั้งแต่เริ่มสร้างบ้านเมืองมาจนบัดนี้
อพย 9.19 เหตุฉะนั้น บัดนี้จงต้อนฝูงสัตว์ และทุกสิ่งที่เจ้ามีอยู่ในทุ่งนาให้เข้าที่กำบัง เพราะคนทุกคนและสัตว์ทุกตัวที่อยู่ในทุ่งนาที่มิได้เข้ามาอยู่ในบ้านจะถูกลูกเห็บตายหมด”’”
อพย 9.22 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือขึ้นยังท้องฟ้า เพื่อลูกเห็บจะได้ตกลงมาทั่วแผ่นดินอียิปต์ บนมนุษย์ บนสัตว์และบนผักหญ้าทุกอย่างซึ่งอยู่ในทุ่งนาทั่วแผ่นดินอียิปต์”
อพย 9.23 โมเสสก็ชูไม้เท้าของตนขึ้นยังท้องฟ้าแล้วพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้มีเสียงฟ้าร้อง มีลูกเห็บ และไฟตกลงมาบนแผ่นดิน และพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้ลูกเห็บตกบนแผ่นดินอียิปต์
อพย 9.24 มีลูกเห็บและลูกเห็บปนไฟตกหนักยิ่งนักอย่างที่ไม่เคยมีทั่วแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่เริ่มตั้งเป็นประเทศมา
อพย 9.25 สิ่งทั้งปวงที่อยู่ในทุ่งนาทั่วแผ่นดินอียิปต์ ก็ถูกลูกเห็บทำลายเสียสิ้นทั้งคนและสัตว์ ลูกเห็บยังทำลายผักและต้นไม้ทุกอย่างที่อยู่ในทุ่งนาหักโค่นลง
อพย 9.26 เว้นแต่ที่แผ่นดินโกเชน ที่ชนชาติอิสราเอลอยู่นั้น หามีลูกเห็บตกไม่
อพย 9.28 ขอทูลวิงวอนพระเยโฮวาห์ (เพราะภัยพิบัติเสียที) ให้เลิกมีฟ้าร้องและลูกเห็บ และเราจะปล่อยพวกท่านไป และพวกท่านจะไม่ถูกกักต่อไปอีก”
อพย 9.29 โมเสสทูลฟาโรห์ว่า “ทันทีที่ข้าพระองค์ออกไปจากกรุงนี้แล้วข้าพระองค์จะยกมือทูลพระเยโฮวาห์ เสียงฟ้าร้องก็จะเงียบ และจะไม่มีลูกเห็บตกอีก เพื่อพระองค์จะได้ทราบว่าโลกนี้เป็นของพระเยโฮวาห์
อพย 9.33 โมเสสทูลลาฟาโรห์ไปจากกรุง และก็ยกมือขึ้นทูลพระเยโฮวาห์ เสียงฟ้าร้องกับลูกเห็บนั้นก็หยุด ฝนก็มิได้ตกบนแผ่นดิน
อพย 9.34 เมื่อฟาโรห์เห็นว่า ฝน ลูกเห็บและฟ้าร้องนั้นหยุดแล้ว พระองค์ก็กลับทรงกระทำผิดบาปต่อไปอีก พระทัยแข็งกระด้าง ทั้งพระองค์และข้าราชการ
อพย 10.5 ฝูงตั๊กแตนนั้นจะปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลไม่เห็นพื้นดิน และสิ่งที่เหลือจากลูกเห็บทำลาย มันจะกิน และต้นไม้ทุกต้นซึ่งงอกขึ้นให้เจ้าในทุ่งนานั้น มันจะกินเสียหมด
อพย 10.12 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเหยียดมือออกเหนือประเทศอียิปต์ให้ฝูงตั๊กแตนมาเหนือแผ่นดินอียิปต์ ให้กินผักทั่วไปของแผ่นดินซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย”
อพย 10.15 เพราะมันปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลมืดไป มันกินผักในแผ่นดินทุกอย่าง และผลไม้ทุกอย่างซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย ไม่มีพืชใบเขียวเหลือเลย ไม่ว่าต้นไม้หรือผักในทุ่ง ทั่วแผ่นดินอียิปต์
ยชว 10.11 ต่อมาขณะเมื่อเขาหนีไปข้างหน้าพวกอิสราเอลลงไปตามทางเบธโฮโรนนั้น พระเยโฮวาห์ทรงโยนลูกเห็บใหญ่ๆลงมาจากฟ้า ตลอดถึงเมืองอาเซคาห์ เขาทั้งหลายก็ตาย ผู้ที่ตายด้วยลูกเห็บนั้นก็มากกว่าผู้ที่คนอิสราเอลฆ่าเสียด้วยดาบ
โยบ 38.22 เจ้าเข้าไปในคลังหิมะแล้วหรือ หรือเจ้าเห็นคลังลูกเห็บแล้วหรือ
สดด 18.12 มีลูกเห็บและถ่านเพลิงแตกออกมาทะลุเมฆจากความสว่างสุกใสข้างหน้าพระองค์
สดด 18.13 พระเยโฮวาห์ทรงคะนองกึกก้องในฟ้าสวรรค์ และองค์ผู้สูงสุดก็เปล่งพระสุรเสียง คือลูกเห็บและถ่านเพลิง
สดด 78.47 พระองค์ทรงทำลายเถาองุ่นของเขาด้วยลูกเห็บ และต้นมะเดื่อของเขาด้วยน้ำค้างแข็ง
สดด 78.48 พระองค์ทรงมอบฝูงวัวของเขาไว้กับลูกเห็บ และฝูงแพะแกะของเขากับฟ้าผ่า
สดด 105.32 พระองค์ประทานลูกเห็บแก่เขาแทนฝน และไฟไหม้ทั่วแผ่นดินของเขา
สดด 148.8 ไฟกับลูกเห็บ หิมะกับหมอก ลมพายุ กระทำตามพระวจนะของพระองค์
อสย 28.2 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีผู้หนึ่งที่มีกำลังและแข็งแรง เหมือนพายุลูกเห็บ อันเป็นพายุทำลาย เหมือนพายุน้ำที่กำลังไหลท่วม ซึ่งจะเหวี่ยงลงถึงดินด้วยพระหัตถ์
อสย 28.17 และเราจะกระทำความยุติธรรมให้เป็นเชือกวัด และความชอบธรรมให้เป็นลูกดิ่ง และลูกเห็บจะกวาดเอาความเท็จอันเป็นที่ลี้ภัยไปเสีย และน้ำจะท่วมท้นที่กำบัง”
อสย 30.30 และพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้พระสุรเสียงกัมปนาทของพระองค์เป็นที่ได้ยิน และจะทรงให้เห็นพระกรฟาดลงของพระองค์ ด้วยความกริ้วอย่างเกรี้ยวกราด และเปลวแห่งเพลิงเผาผลาญ พร้อมกับฝนกระหน่ำและพายุ และลูกเห็บ
อสย 32.19 เมื่อป่าพังทลาย ลูกเห็บจะตกและเมืองจะยุบลงทีเดียว
อสค 13.11 จงกล่าวแก่ผู้ที่ฉาบปูนขาวนั้นว่า กำแพงนั้นจะพัง จะมีฝนตกท่วม และเจ้า โอ ลูกเห็บใหญ่เอ๋ย จะตกลงมา และลมพายุจะฉีกมัน
อสค 13.13 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะกระทำให้ลมพายุฉีกมันด้วยความกริ้วของเรา และด้วยความโกรธของเราจะมีฝนท่วม ด้วยความกริ้วของเราจะมีลูกเห็บใหญ่ทำลายเสีย
อสค 38.22 เราจะพิพากษาลงโทษเขาด้วยโรคระบาดและโลหิตตก เราจะให้ฝนตกอย่างน้ำไหลเชี่ยว ทั้งลูกเห็บและไฟ และไฟกำมะถันตกใส่เขาและกองทัพของเขาและชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเขา
ฮกก 2.17 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราได้โจมตีเจ้าและผลงานทั้งสิ้นจากมือของเจ้าด้วยให้ข้าวม้าน และขึ้นรา และด้วยลูกเห็บ แต่เจ้าทั้งหลายก็ยังไม่หันมาหาเรา
วว 8.7 เมื่อทูตสวรรค์องค์แรกเป่าแตรขึ้น ลูกเห็บและไฟปนด้วยเลือดก็ถูกทิ้งลงบนแผ่นดิน ต้นไม้ไหม้ไปหนึ่งในสามส่วน และหญ้าเขียวสดไหม้ไปหมดสิ้น
วว 11.19 แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก ในพระวิหารนั้นเห็นมีหีบพันธสัญญาของพระองค์ แล้วก็มีฟ้าแลบ และเสียงต่างๆ ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว ลูกเห็บก็ตกอย่างหนัก
วว 16.21 และมีลูบเห็บใหญ่ตกลงมาจากฟ้าถูกคนทั้งปวง แต่ละก้อนหนักประมาณห้าสิบกิโลกรัม คนทั้งหลายจึงพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะภัยพิบัติที่เกิดจากลูกเห็บนั้น เพราะว่าภัยพิบัติจากลูกเห็บนั้นร้ายแรงยิ่งนัก

ลูกแห่งความพินาศ ( 1 )
2ธส 2.3 อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดล่อลวงท่านโดยทางหนึ่งทางใดเลย เพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึง เว้นแต่จะมีการล้มลงเสียก่อน และคนแห่งการบาปนั้นจะประจักษ์แจ้ง คือลูกแห่งความพินาศ

ลูกอ่อน ( 17 )
ปฐก 21.7 นางกล่าวอีกว่า “ใครจะพูดกับอับราฮัมได้ว่าซาราห์จะให้ลูกอ่อนกินนม เพราะข้าพเจ้าก็ได้คลอดบุตรชายคนหนึ่งให้ท่านเมื่อท่านชราแล้ว”
ปฐก 32.15 อูฐแม่ลูกอ่อนสามสิบกับลูกวัวตัวเมียสี่สิบ วัวตัวผู้สิบ ลาตัวเมียยี่สิบ และลูกลาสิบ
ปฐก 33.13 แต่ยาโคบตอบเขาว่า “นายท่านย่อมทราบอยู่แล้วว่าเด็กๆนั้นอ่อนแอ และข้าพเจ้ายังมีฝูงแพะแกะและโคที่มีลูกอ่อนยังกินนมอยู่ ถ้าจะต้อนให้เดินเกินไปสักวันหนึ่งฝูงสัตว์ก็จะตายหมด
ปฐก 43.8 ยูดาห์จึงพูดกับอิสราเอลบิดาของเขาว่า “ขอพ่อให้เด็กนั้นไปกับข้าพเจ้า เราจะได้ลุกขึ้นออกเดินทางไปเพื่อจะได้มีชีวิตและไม่ตาย ทั้งพวกลูกและพ่อกับลูกอ่อนทั้งหลายของเราด้วย
โยบ 38.41 ใครจัดหาเหยื่อให้กา เมื่อลูกอ่อนของมันร้องต่อพระเจ้า และระเหระหนไปเพราะขาดอาหาร”
โยบ 39.4 ลูกอ่อนของมันแข็งแรงขึ้น มันเติบโตใหญ่ด้วยมีข้าวกิน มันออกไปแล้วไม่กลับมาหาอีก
โยบ 39.16 มันรุนแรงต่อลูกอ่อนของมันอย่างกับว่าไม่ใช่ลูกของมัน ถึงมันจะเหนื่อยเปล่า มันก็ไม่กลัว
โยบ 39.30 ลูกอ่อนของมันดูดเลือด และมีอะไรถูกฆ่าตายที่ไหน มันอยู่ที่นั่นแหละ”
สดด 17.14 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากมนุษย์ผู้ซึ่งเป็นพระหัตถ์ของพระองค์ จากมนุษย์แห่งโลกนี้ จากมนุษย์ผู้ซึ่งมีส่วนของชีวิตนี้ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงให้ท้องของเขาเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติที่พระองค์ทรงซ่อนไว้ พวกเขามีลูกหลานอุดมสมบูรณ์ และส่วนที่เหลือเขามอบไว้ให้แก่ลูกอ่อนของเขา
สดด 78.71 พระองค์ทรงพาท่านมาจากการดูแลแม่แกะที่มีลูกอ่อนให้เป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชาชนของพระองค์ และอิสราเอลมรดกของพระองค์อย่างเลี้ยงแกะ
อสย 34.15 นกฮูกจะทำรังและตกฟองที่นั่น และกกไข่และรวบรวมลูกอ่อนไว้ในเงาของมัน เออ เหยี่ยวปีกดำจะรวมกันที่นั่น ต่างคู่ก็อยู่กับของมัน
อสย 40.11 พระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแพะแกะของพระองค์อย่างผู้เลี้ยงแกะ พระองค์จะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ในพระกรของพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มไว้ที่พระทรวง และทรงค่อยๆนำบรรดาที่มีลูกอ่อนไป
มธ 24.19 แต่ในวันเหล่านั้น วิบัติจะเกิดขึ้นแก่หญิงที่มีครรภ์ หรือหญิงที่มีลูกอ่อนกินนมอยู่
มก 13.17 แต่ในวันเหล่านั้น วิบัติจะเกิดขึ้นแก่หญิงที่มีครรภ์ หรือหญิงที่มีลูกอ่อนกินนมอยู่
ลก 21.23 แต่ในวันเหล่านั้นวิบัติแก่หญิงที่มีครรภ์หรือมีลูกอ่อนกินนมอยู่ เพราะว่าจะมีความทุกข์ร้อนใหญ่หลวงบนแผ่นดิน และจะทรงพระพิโรธแก่พลเมืองนี้
กจ 7.19 กษัตริย์องค์นั้นได้ทรงออกอุบายทำกับญาติของเรา ข่มเหงบรรพบุรุษของเรา บังคับให้ทิ้งลูกอ่อนของเขาเสียไม่ให้มีชีวิตรอดอยู่ได้
กจ 7.21 และเมื่อลูกอ่อนนั้นถูกทิ้งไว้นอกบ้านแล้ว ราชธิดาของฟาโรห์จึงรับมาเลี้ยงไว้ต่างบุตรชายของตน

ลูกอัณฑะ ( 2 )
ลนต 21.20 คนหลังค่อม คนแคระ คนเสียตา คนเป็นขี้กลากหรือหิด หรือคนมีลูกอัณฑะฝ่อ
พบญ 23.1 “ชายคนใดได้รับบาดเจ็บที่ลูกอัณฑะหรืออวัยวะสืบพันธุ์ถูกตัดออก อย่าให้เข้าในที่ชุมนุมของพระเยโฮวาห์

ลูกอัลมันด์ ( 1 )
ปฐก 43.11 ฝ่ายอิสราเอลบิดาของพวกเขาจึงบอกบุตรชายทั้งหลายว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ทำดังนี้ คือเอาผลิตผลอย่างดีที่สุดที่มีในแผ่นดินนี้ คือพิมเสนบ้าง น้ำผึ้งบ้าง ยางไม้และมดยอบ ลูกนัทและลูกอัลมันด์ ใส่ภาชนะไปเป็นของกำนัลแก่ท่าน

ลูกา ( 4 )
2คร 13.14 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า ความรักแห่งพระเจ้า และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [จดหมายฉบับที่สองถึงชาวโครินธ์ ได้เขียนจากเมืองฟีลิปปี แคว้นมาซิโดเนีย และส่งโดยทิตัสและลูกา]
คส 4.14 ลูกาแพทย์ที่รักกับเดมาสฝากความคิดถึงมายังพวกท่าน
2ทธ 4.11 ลูกาคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับข้าพเจ้า จงไปตามมาระโกและพาเขามาด้วย เพราะเขาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าสำหรับการรับใช้นี้
ฟม 1.24 มาระโก อาริสทารคัส เดมาส และลูกา ผู้เป็นเพื่อนร่วมงานกับข้าพเจ้า ก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย

ลูซีเฟอร์ ( 1 )
อสย 14.12 โอ ลูซีเฟอร์เอ๋ย โอรสแห่งรุ่งอรุณ เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซิ เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติตกต่ำน่ะ

ลูด ( 5 )
ปฐก 10.22 บุตรของเชมชื่อเอลาม อัสชูร อารฟัคชาด ลูด และอารัม
1พศด 1.17 บุตรชายทั้งหลายของเชม ชื่อ เอลาม อัสชูร อารฟัคชาด ลูด อารัม อูส ฮุล เกเธอร์ และเมเชค
อสย 66.19 และเราจะตั้งหมายสำคัญไว้ท่ามกลางเขา และเราจะส่งผู้รอดพ้นจากพวกเขานั้นไปยังบรรดาประชาชาติ ยังทารชิช ปูลและลูด ผู้โก่งธนู ยังทูบัลและยาวาน ยังเกาะทั้งหลายที่ไกลออกไป ที่เขายังไม่ได้ยินชื่อเสียงของเราและเห็นสง่าราศีของเรา และเขาจะประกาศสง่าราศีของเราท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
อสค 27.10 ชาวเปอร์เซีย และลูด และพูต ก็อยู่ในกองทัพของเจ้า เขาทั้งหลายเป็นทหารของเจ้า เขาแขวนโล่และหมวกเหล็กในเจ้า เขากระทำให้เจ้ามีสง่า
อสค 30.5 เอธิโอเปีย และพูต และลูด และคนที่ปะปนกันทั้งปวง และลิเบีย และประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นที่อยู่ในสันนิบาตจะล้มลงพร้อมกับเขาด้วยดาบ

ลูดิม ( 2 )
ปฐก 10.13 มิสรายิมให้กำเนิดบุตรชื่อลูดิม อานามิม เลหะบิม นัฟทูฮิม
1พศด 1.11 มิสรายิมให้กำเนิดบุตรชื่อลูดิม อานามิม เลหะบิม นัฟทูฮิม

ลูบเห็บ ( 1 )
วว 16.21 และมีลูบเห็บใหญ่ตกลงมาจากฟ้าถูกคนทั้งปวง แต่ละก้อนหนักประมาณห้าสิบกิโลกรัม คนทั้งหลายจึงพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะภัยพิบัติที่เกิดจากลูกเห็บนั้น เพราะว่าภัยพิบัติจากลูกเห็บนั้นร้ายแรงยิ่งนัก

ลูส ( 8 )
ปฐก 28.19 เขาเรียกสถานที่นั้นว่า เบธเอล แต่ก่อนเมืองนั้นชื่อ ลูส
ปฐก 35.6 ดังนั้นยาโคบมาถึงตำบลลูส คือเบธเอล ซึ่งอยู่ในแผ่นดินคานาอัน ทั้งตัวเขาและทุกคนที่อยู่กับเขา
ปฐก 48.3 ยาโคบจึงพูดกับโยเซฟว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้สำแดงพระองค์แก่พ่อที่ตำบลลูสในแผ่นดินคานาอัน และทรงอวยพระพรแก่พ่อ
ยชว 16.2 จากเมืองเบธเอลไปยังเมืองลูส ผ่านเรื่อยไปถึงเมืองอาทาโรท ยังเขตของคนอารคี
ยชว 18.13 จากที่นั่นพรมแดนก็ยื่นไปทางทิศใต้ตรงไปเมืองลูสไปยังไหล่เขาที่เมืองลูส คือเมืองเบธเอล แล้วพรมแดนก็ลงไปถึงอาทาโรทอัดดาร์บนภูเขาซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเบธโฮโรนล่าง
วนฉ 1.23 วงศ์วานโยเซฟได้ใช้คนไปสอดแนมเมืองเบธเอล (แต่ก่อนเมืองนี้ชื่อ ลูส)
วนฉ 1.26 ชายคนนั้นก็เข้าไปในแผ่นดินของคนฮิตไทต์และสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง เรียกชื่อว่าเมืองลูส ซึ่งเป็นชื่ออยู่จนทุกวันนี้

ลูสิอัส ( 2 )
กจ 13.1 คราวนั้นในคริสตจักรที่อยู่ในเมืองอันทิโอก มีบางคนที่เป็นผู้พยากรณ์และอาจารย์ มีบารนาบัส สิเมโอนที่เรียกว่านิเกอร์ กับลูสิอัสชาวเมืองไซรีน มานาเอน ผู้ได้รับการเลี้ยงดูเติบโตขึ้นด้วยกันกับเฮโรดเจ้าเมือง และเซาโล
รม 16.21 ทิโมธีผู้ร่วมงานกับข้าพเจ้า ลูสิอัส ยาโสน และโสสิปาเทอร์ บรรดาญาติของข้าพเจ้า ฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย

ลูฮีท ( 2 )
อสย 15.5 จิตใจของข้าพเจ้าจะร้องออกมาเพื่อโมอับ ผู้หลบภัยของโมอับนั้นจะหนีไปยังโศอาร์ เหมือนยังวัวสาวที่มีอายุสามปี เพราะตามทางขึ้นไปเมืองลูฮีท เขาจะขึ้นไปคร่ำครวญ ตามถนนสู่เมืองโฮโรนาอิม เขาจะเปล่งเสียงร้องถึงการทำลาย
ยรม 48.5 เพราะเขาทั้งหลายจะขึ้นไปร้องไห้ที่ทางขึ้นเมืองลูฮีท เพราะพวกศัตรูได้ยินเสียงร้องไห้เพราะการทำลาย ที่ทางลงจากเมืองโฮโรนาอิม

เล็ก ( 132 )
ปฐก 1.16 พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงสว่างใหญ่สองดวง ให้ดวงสว่างที่ใหญ่กว่านั้นครองกลางวัน และให้ดวงที่เล็กกว่าครองกลางคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่างๆด้วยเช่นกัน
ปฐก 19.20 ดูเถิด กรุณาเถิด เมืองนี้อยู่ใกล้ที่จะหนีไปถึงได้และเป็นเมืองเล็ก โอ โปรดให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่น (เป็นเมืองเล็กๆมิใช่หรือ) และชีวิตของข้าพเจ้าจะรอด”
ปฐก 42.19 ถ้าพวกเจ้าเป็นคนสัตย์จริง จงให้คนหนึ่งในพวกเจ้าถูกจำอยู่ที่ห้องเล็กในคุก คนอื่นนำข้าวไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหารที่บ้านของเจ้า
ปฐก 44.20 พวกข้าพเจ้าตอบนายของข้าพเจ้าว่า ‘ข้าพเจ้าทั้งหลายมีบิดาที่ชราแล้ว มีบุตรคนหนึ่งเกิดเมื่อบิดาชรา เป็นน้องเล็ก พี่ชายของเด็กนั้นตายเสียแล้ว บุตรของมารดานั้นยังอยู่แต่คนนี้คนเดียวและบิดารักเด็กคนนี้มาก’
ปฐก 45.19 เราสั่งเจ้าแล้ว จงทำดังนี้ เอารถบรรทุกจากประเทศอียิปต์ไปรับเด็กเล็กๆและภรรยาของเจ้ากับนำบิดาของเจ้ามา
ปฐก 46.5 ยาโคบก็ยกไปจากเบเออร์เชบา บรรดาบุตรชายอิสราเอลก็พายาโคบบิดาขึ้นรถบรรทุกที่ฟาโรห์ส่งมารับไปกับลูกหลานเล็กๆและภรรยาของเขา
ปฐก 47.24 และต่อมาเมื่อได้ผลแล้วจงถวายส่วนหนึ่งในห้าส่วนแก่ฟาโรห์ เก็บสี่ส่วนไว้เป็นของตน สำหรับใช้เป็นเมล็ดข้าวบ้าง เป็นอาหารสำหรับเจ้าและครอบครัวกับเด็กเล็กบ้าง”
ปฐก 50.8 กับครอบครัวทั้งหมดของโยเซฟ พวกพี่น้องและครอบครัวของบิดาท่านก็ไปด้วยเหมือนกัน เว้นแต่เด็กเล็กๆและฝูงแพะแกะฝูงวัวเท่านั้น เขาให้อยู่ในแผ่นดินโกเชน
อพย 16.14 เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว ดูเถิด สิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆเท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่พื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น
อพย 23.30 แต่เราจะไล่เขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าทีละเล็กละน้อยจนพวกเจ้าทวีจำนวนมากขึ้น แล้วได้รับมอบดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
กดว 14.31 แต่ลูกเล็กที่เจ้าทั้งหลายว่าจะเป็นเหยื่อนั้นเราจะพาเขาทั้งหลายเข้าไป และเขาจะรู้จักแผ่นดินที่เจ้าทั้งหลายได้สบประมาท
กดว 16.27 ดังนั้นเขาทั้งหลายก็ออกไปให้ห่างจากเต็นท์ของโคราห์ ดาธาน และอาบีรัม และดาธานกับอาบีรัมออกมายืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน พร้อมกับภรรยา บุตรชายและลูกเล็กๆของเขา
กดว 22.18 แต่บาลาอัมได้ตอบคนใช้ของบาลาคว่า “แม้ว่าบาลาคจะให้เงินและทองเต็มบ้านเต็มเรือนของท่านแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกระทำอะไรนอกเหนือพระบัญชาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
กดว 31.9 และคนอิสราเอลได้จับสตรีชาวมีเดียนทั้งหมดมาเป็นเชลย พร้อมกับพวกเด็กเล็กทั้งหลาย และกวาดเอาฝูงวัวฝูงแพะแกะและข้าวของทั้งปวงไปสิ้น เป็นทรัพย์ที่ปล้นได้
กดว 31.17 ฉะนั้นบัดนี้จงประหารชีวิตเด็กผู้ชายเล็กเสียทุกคน และประหารชีวิตผู้หญิงซึ่งได้เคยนอนร่วมกับชายเสียทุกคน
กดว 32.16 แล้วเขาทั้งหลายเข้ามาใกล้ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะสร้างคอกสำหรับฝูงแพะแกะที่นี่ และสร้างเมืองสำหรับลูกเด็กเล็กๆทั้งหลาย
กดว 32.17 แต่เราทั้งหลายจะถืออาวุธพร้อมที่จะไปข้างหน้าคนอิสราเอล จนกว่าเราทั้งหลายจะนำเขาไปถึงที่ของเขา เด็กเล็กของเราจะได้อยู่ในเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบเพราะกลัวชาวแผ่นดินนี้
กดว 32.24 จงสร้างเมืองสำหรับเด็กเล็กๆทั้งหลายของท่าน และสร้างคอกสำหรับแพะแกะของท่าน และกระทำตามคำที่ออกจากปากของท่าน”
กดว 32.26 เด็กเล็กๆทั้งหลาย ภรรยาทั้งหลาย ฝูงสัตว์และสัตว์ใช้ทั้งหมดของเรา จะอยู่ที่นี่ในเมืองกิเลอาด
กดว 32.41 และยาอีร์บุตรชายมนัสเสห์ยกไปยึดเมืองเล็กๆของเขาเหล่านั้น และเรียกชื่อว่าฮาโวทยาอีร์
พบญ 1.39 ยิ่งกว่านั้นเด็กเล็กของเจ้าทั้งหลายที่เจ้าทั้งหลายว่าจะตกเป็นเหยื่อ และบุตรของเจ้าที่ในวันนี้ยังไม่รู้จักผิดและชอบ จะได้เข้าไปที่นั่น เราจะให้แผ่นดินนั้นแก่เขา และเขาจะถือกรรมสิทธิ์อยู่ที่นั่น
พบญ 3.19 แต่ภรรยาของท่าน บุตรเล็กๆทั้งหลายของท่านกับฝูงสัตว์ของท่าน (เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่แล้วว่า ท่านทั้งหลายมีฝูงสัตว์เป็นอันมาก) จงอยู่ในเขตเมืองที่เรายกให้นั้นก่อน
พบญ 25.14 ในเรือนของท่านอย่าให้มีเครื่องตวงสองชนิด ใหญ่อันหนึ่งเล็กอันหนึ่ง
ยชว 1.14 จงให้ภรรยาของท่านทั้งหลาย ลูกเล็กของท่าน และฝูงสัตว์ของท่านอยู่ในแผ่นดินซึ่งโมเสสยกให้ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ แต่ผู้ชายที่ชำนาญศึกทั้งหลายในพวกท่านต้องถืออาวุธข้ามไปเป็นทัพหน้า เพื่อช่วยพี่น้องของตน
1ซมอ 1.24 และเมื่อนางให้เขาหย่านมแล้ว นางก็พาเขาขึ้นไปพร้อมกับวัวผู้สามตัว แป้งหนึ่งเอฟาห์ และน้ำองุ่นหนึ่งขวดหนัง และนางก็นำเขามาที่พระนิเวศของพระเยโฮวาห์ที่เมืองชีโลห์ และเด็กนั้นก็ยังเล็กอยู่
1ซมอ 2.19 ฝ่ายมารดาเคยเย็บเสื้อเล็กๆนำมาให้เขาทุกปี เมื่อนางขึ้นไปพร้อมกับสามีเพื่อถวายเครื่องบูชาประจำปี
1ซมอ 30.19 ไม่มีอะไรขาดจากท่านไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตรสาว ในสิ่งที่ริบไปหรือสิ่งที่เขาเหล่านั้นเอาไป ดาวิดได้คืนมาหมด
2ซมอ 9.12 เมฟีโบเชทมีบุตรชายเล็กคนหนึ่งชื่อมีคา ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเรือนของศิบาก็ได้เป็นมหาดเล็กของเมฟีโบเชท
1พกษ 8.64 ในวันเดียวกันนั้นกษัตริย์ทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลาน ซึ่งอยู่หน้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เพราะว่าที่นั่นพระองค์ได้ถวายเครื่องเผาบูชา และธัญญบูชา และส่วนไขมันของสันติบูชา เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์นั้นเล็กเกินไป ไม่พอรับเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชา และส่วนไขมันของสันติบูชา
1พกษ 11.17 ฮาดัดได้หนีไปอียิปต์ พร้อมกับคนเอโดมบางคนผู้เป็นข้าราชการของบิดาของท่าน ครั้งนั้นฮาดัดยังเป็นเด็กเล็กๆอยู่
1พกษ 17.13 และเอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรชายของเจ้า
1พกษ 18.44 และอยู่มาเมื่อถึงครั้งที่เจ็ดเขาบอกว่า “ดูเถิด มีเมฆก้อนหนึ่งเล็กเท่าฝ่ามือคนขึ้นมาจากทะเล” และท่านก็บอกว่า “จงไปทูลอาหับว่า ‘ขอทรงเตรียมราชรถและเสด็จลงไปเพื่อพระองค์จะไม่ติดฝน’”
1พกษ 20.27 และประชาชนอิสราเอลก็ถูกเกณฑ์ และอยู่พร้อมกันหมด และยกออกไปต่อสู้กับเขา ประชาชนอิสราเอลตั้งค่ายตรงหน้าเขาเหมือนอย่างแพะสองฝูงเล็กๆ แต่คนซีเรียเต็มท้องทุ่งไปหมด
2พกษ 2.23 ท่านได้ขึ้นไปจากที่นั่นถึงเมืองเบธเอล และขณะเมื่อท่านขึ้นไปตามทางมีเด็กชายเล็กๆบางคนออกมาจากเมืองล้อเลียนท่านว่า “อ้ายหัวล้าน จงขึ้นไปเถิด อ้ายหัวล้าน จงขึ้นไปเถิด”
2พกษ 4.10 ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนกำแพง วางเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น”
2พกษ 5.14 ท่านจึงลงไปจุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดนตามถ้อยคำของคนแห่งพระเจ้า และเนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อเด็กเล็กๆ และท่านก็สะอาด
2พกษ 6.1 ฝ่ายเหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์กล่าวกับเอลีชาว่า “ดูเถิด สถานที่ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลายอยู่ใต้ความดูแลของท่านนั้นก็เล็กเกินไป ไม่พอแก่พวกเรา
2พกษ 23.2 และกษัตริย์เสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และคนยูดาห์ทั้งสิ้น และบรรดาชาวกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์ และปุโรหิต และผู้พยากรณ์ และประชาชนทั้งปวงทั้งเล็กและใหญ่ และพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือพันธสัญญา ซึ่งได้พบในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ให้เขาฟัง
2พกษ 25.26 แล้วประชาชนทั้งปวง ทั้งเล็กและใหญ่ และผู้บังคับบัญชาพลรบได้ลุกขึ้น และไปยังอียิปต์ เพราะเขากลัวคนเคลเดีย
1พศด 4.23 คนเหล่านี้เป็นช่างหม้อ เขาอยู่กับต้นไม้เล็กๆและรั้วต้นไม้ ที่นั่นเขาอาศัยอยู่กับกษัตริย์รับราชการ
1พศด 15.28 ดังนี้แหละคนอิสราเอลทั้งปวงได้นำหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้อง เสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก เสียงแตร และฉาบ และทำเพลงเสียงดังด้วยพิณใหญ่และพิณเขาคู่
2พศด 15.13 และว่าผู้ใดที่ไม่แสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลควรจะมีโทษถึงตาย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ชายหรือหญิง
2พศด 15.14 เขาทั้งหลายได้กระทำสัตย์ปฏิญาณต่อพระเยโฮวาห์ด้วยเสียงอันดัง และด้วยเสียงโห่ร้อง และด้วยเสียงแตรและแตรทองเหลืองขนาดเล็ก
2พศด 31.18 และขึ้นทะเบียนทั้งลูกเล็กๆของเขา ภรรยาของเขา บุตรชายบุตรสาวของเขามวลชนทั้งสิ้น เพราะในตำแหน่งหน้าที่นั้นเขาทั้งหลายได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์
2พศด 34.30 และกษัตริย์เสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ พร้อมกับคนทั้งปวงของยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มกับปุโรหิตและคนเลวี คนทั้งปวงทั้งใหญ่และเล็ก และพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งสิ้นในหนังสือพันธสัญญา ซึ่งได้พบในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ให้เขาฟัง
2พศด 36.18 และเครื่องใช้ทั้งสิ้นของพระนิเวศของพระเจ้า ทั้งใหญ่และเล็ก และทรัพย์สมบัติแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และทรัพย์สมบัติแห่งกษัตริย์และแห่งเจ้านายของพระองค์ สิ่งทั้งหมดนี้พระองค์ทรงนำมายังบาบิโลน
โยบ 21.11 เขาส่งเด็กๆออกไปอยู่อย่างฝูงแพะแกะ และลูกหลานเล็กของเขาก็เต้นรำ
สดด 97.1 พระเยโฮวาห์ทรงครอบครอง จงให้แผ่นดินโลกเปรมปรีดิ์ ให้เกาะเล็กๆมากมายนั้นยินดี
สดด 98.6 ด้วยเสียงแตรและเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็กจงกระทำเสียงชื่นบานต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ คือพระมหากษัตริย์
สดด 104.25 ทะเลอยู่ข้างโน้น ทั้งใหญ่และกว้าง ซึ่งในนั้นมีสิ่งเคลื่อนไหวนับไม่ถ้วน คือสัตว์ที่มีชีวิตทั้งเล็กและใหญ่
สภษ 30.24 มีสี่สิ่งในแผ่นดินโลกที่เล็กเหลือเกิน แต่มีปัญญามากเหลือล้น
ปญจ 9.14 ยังมีเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง มีคนอยู่ในเมืองนั้นน้อยคน แล้วมีมหากษัตริย์มาตีเมืองนั้นและล้อมเมืองนั้นไว้ และสร้างเครื่องล้อมไว้รอบเมือง
พซม 2.15 จงจับสุนัขจิ้งจอกมาให้เรา คือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กที่ทำลายสวนองุ่น เพราะว่าสวนองุ่นของเรากำลังมีดอกช่อแล้ว”
อสย 11.6 สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ และเสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ ลูกวัวกับสิงโตหนุ่มกับสัตว์อ้วนพีจะอยู่ด้วยกัน และเด็กเล็กๆจะนำมันไป
อสย 13.16 เด็กเล็กๆของเขาจะถูกฟาดลงเป็นชิ้นๆต่อหน้าต่อตาเขา เรือนของเขาจะถูกปล้นและภรรยาของเขาจะถูกขืนใจ
อสย 22.24 และเขาทั้งหลายจะแขวนไว้บนตัวเขาซึ่งสง่าราศีทั้งสิ้นของวงศ์วานบิดาของเขา ลูกหลานผู้สืบสาย ภาชนะเล็กๆทุกชิ้น ตั้งแต่ถ้วยจนถึงเหยือกทั้งสิ้น
อสย 58.5 อย่างนี้หรือเป็นการอดอาหารที่เราเลือก คือวันที่คนข่มตัว การก้มศีรษะของเขาลงเหมือนอ้อเล็ก และปูผ้ากระสอบและขี้เถ้ารองใต้เขา อย่างนี้หรือเจ้าจะเรียกการอย่างนี้ว่าการอดอาหาร และเป็นวันที่พระเยโฮวาห์โปรดปรานอย่างนั้นหรือ
ยรม 37.16 เมื่อเยเรมีย์เข้าไปในคุกใต้ดินและในห้องเล็กแล้ว เยเรมีย์ก็ค้างอยู่ที่นั่นหลายวันแล้ว
ยรม 48.4 เมืองโมอับถูกทำลายเสียแล้ว ได้ยินเสียงร้องไห้จากพวกเด็กเล็กๆของเธอ
ยรม 49.15 เพราะว่า ดูเถิด เราจะกระทำเจ้าให้เล็กท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ให้เป็นที่ดูหมิ่นท่ามกลางมนุษย์
ยรม 49.20 เพราะฉะนั้นจงฟังคำปรึกษาซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเตรียมไว้ต่อสู้เมืองเอโดม และพระประสงค์ทั้งหลายซึ่งพระองค์ได้ดำริไว้ต่อสู้ชาวเมืองเทมาน แน่ล่ะ ถึงตัวเล็กที่สุดในฝูงก็จะต้องถูกลากเอาไป แน่ละ พระองค์จะทรงกระทำให้ที่อาศัยของเขาร้างเปล่าไปพร้อมกับเขาด้วย
ยรม 50.45 เพราะฉะนั้นจงฟังแผนงานซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงกระทำไว้ต่อสู้บาบิโลน และบรรดาพระประสงค์ซึ่งพระองค์ได้ดำริขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินของชาวเคลเดีย แน่ละตัวเล็กที่สุดที่อยู่ในฝูงก็ต้องถูกลากเอาไป แน่ละคอกของเขานั้นจะรกร้างไป
พคค 2.11 นัยน์ตาของข้าพเจ้าก็ร่วงโรยเพราะร้องไห้ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าก็ระทม เพราะความพินาศของธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้า ตับของข้าพเจ้าเทออกบนพื้นดิน และเพราะเหล่าเด็กเล็กและเด็กที่ยังดูดนมนั้นเป็นลมสลบอยู่ตามถนนในกรุง
อสค 11.16 เพราะฉะนั้นจงกล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า แม้เราได้ย้ายเขาให้ห่างออกไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย แม้เราได้กระจายเขาไปอยู่ท่ามกลางประเทศทั้งปวง เราก็จะเป็นสถานบริสุทธิ์อันเล็กสำหรับเขาในประเทศที่เขาจะได้ไปอยู่’
อสค 29.15 จะเป็นราชอาณาจักรที่ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาราชอาณาจักรทั้งหลาย และจะไม่เคยยกตนขึ้นเหนือประชาชาติทั้งหลายอีกเลย เพราะเราจะทำให้เขาเป็นราชอาณาจักรเล็กจนไม่สามารถจะปกครองประชาชาติอื่นได้
อสค 31.4 สายน้ำทำให้มันใหญ่ขึ้น น้ำลึกทำให้มันงอกสูง พร้อมกับมีแม่น้ำของสายน้ำลึกนั้นไหลรอบที่ที่ปลูกมันไว้ และก่อให้เกิดสายน้ำเล็กๆ จากแม่น้ำลึกแยกออกไปทั่วต้นไม้ทั้งสิ้นในทุ่งนั้น
อสค 43.14 จากตอนฐานที่อยู่บนดินมาถึงข้างล่างสูงสองศอก กว้างหนึ่งศอก จากขั้นเล็กไปถึงขั้นใหญ่สูงสี่ศอก กว้างหนึ่งศอก
อสค 46.22 คือที่มุมทั้งสี่ของลาน มีลานเล็กๆยาวสี่สิบศอก กว้างสามสิบศอก ลานทั้งสี่ขนาดเดียวกัน
ดนล 3.5 เมื่อท่านได้ยินเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด ให้ท่านทั้งหลายกราบลงนมัสการปฏิมากรทองคำ ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งไว้
ดนล 3.7 เพราะฉะนั้นพอประชาชนได้ยินเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่และเครื่องดนตรีทุกชนิด บรรดาชนชาติ ประชาชาติทั้งปวงและภาษาทั้งหลาย ก็กราบลงนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งไว้
ดนล 3.10 โอ ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ทรงออกกฤษฎีกาแล้วว่า ทุกคนผู้ได้ยินเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด ก็ให้กราบลงนมัสการปฏิมากรทองคำ
ดนล 3.15 บัดนี้ถ้าเจ้าพร้อมใจแล้ว พอเจ้าได้ยินเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด เจ้าจงกราบลงนมัสการปฏิมากรซึ่งเราได้สร้างไว้ แต่ถ้าเจ้าไม่นมัสการ จะต้องโยนเจ้าทันทีเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่ และผู้ใดเล่าจะเป็นพระเจ้าที่จะช่วยให้เจ้าพ้นจากมือของเราได้”
ดนล 7.8 ข้าพเจ้าพิเคราะห์เรื่องเขาเหล่านั้น ดูเถิด มีอีกเขาหนึ่งเล็กๆงอกขึ้นมาท่ามกลางเขาเหล่านั้น เขารุ่นแรกสามเขาได้ถูกถอนรากออกไปต่อหน้ามัน และดูเถิด ในเขาอันนี้มีตาเหมือนตามนุษย์ มีปากพูดเรื่องใหญ่โต
ดนล 7.11 ข้าพเจ้าก็จ้องดู เพราะเสียงพูดใหญ่โตของเขาเล็กนั้น และเมื่อข้าพเจ้าจ้องดูสัตว์ตัวนั้นก็ถูกฆ่า และศพก็ถูกทำลาย มอบให้เผาเสียด้วยไฟ
ดนล 8.9 และมีเขาเล็กๆเขาหนึ่งงอกออกมาจากเขาหนึ่งในพวกเขาเหล่านี้ ซึ่งงอกขึ้นใหญ่โตเหลือเกิน ตรงไปทางใต้ ตรงไปทางตะวันออก และตรงไปยังแผ่นดินอันรุ่งโรจน์นั้น
ดนล 11.23 ตั้งแต่เวลาที่กระทำพันธมิตรกับเขา เขาจะประกอบกิจล่อลวงอยู่เสมอ เพราะเขาจะขึ้นมา และเขาจะเข้มแข็งขึ้นด้วยชนชาติเล็ก
ฮชย 5.8 จงเป่าแตรทองเหลืองขนาดเล็กที่ในกิเบอาห์ จงเป่าแตรที่ในรามาห์ จงร้องตะโกนที่เบธาเวน โอ เบนยามินเอ๋ย มีคนตามหาเจ้า
อมส 6.11 เพราะดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแล้ว พระองค์จะทรงฟาดเรือนใหญ่ให้แตกเป็นชิ้นๆ และเรือนเล็กก็จะแตกเป็นจุณ
อมส 7.2 และต่อมาเมื่อตั๊กแตนกินหญ้าในแผ่นดินนั้นหมดแล้ว ข้าพเจ้าจึงว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ขอทรงให้อภัย ยาโคบจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะเขาเล็กนิดเดียว”
อมส 7.5 ข้าพเจ้าจึงทูลว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ขอพระองค์ทรงยับยั้งไว้ ยาโคบจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะเขาเล็กนิดเดียว”
อบด 1.2 ดูเถิด เราได้กระทำเจ้าให้เล็กท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ให้เจ้าเป็นที่ดูหมิ่นอย่างมาก
ยนา 3.7 พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ โดยอำนาจกษัตริย์และบรรดาขุนนางทั้งหลายว่า “คนหรือสัตว์ ไม่ว่าฝูงสัตว์ใหญ่หรือฝูงสัตว์เล็ก ห้ามลิ้มรสสิ่งใดๆ อย่าให้กินอาหาร อย่าให้ดื่มน้ำ
มคา 5.2 เบธเลเฮม เอฟราธาห์เอ๋ย แต่เจ้าผู้เป็นหน่วยเล็กในบรรดาคนยูดาห์ที่นับเป็นพันๆ จากเจ้าจะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล ดั้งเดิมของท่านมาจากสมัยเก่า จากสมัยโบราณกาล
ศคย 13.7 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “โอ ดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้นต่อสู้เมษบาลของเรา จงต่อสู้ผู้ที่สนิทกับเรา จงตีเมษบาล และฝูงแกะนั้นจะกระจัดกระจายไป เราจะกลับมือของเราต่อสู้กับตัวเล็กตัวน้อย
มธ 13.32 เมล็ดนั้นที่จริงก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่ที่สุดท่ามกลางผักทั้งหลาย และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้”
มธ 15.34 พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า “ท่านมีขนมปังกี่ก้อน” เขาทูลว่า “มีเจ็ดก้อนกับปลาเล็กๆสองสามตัว”
มธ 18.2 พระเยซูจึงทรงเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้อยู่ท่ามกลางเขา
มธ 18.3 แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ได้เลย
มธ 18.4 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดจะถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์
มธ 18.5 ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเรา
มธ 19.13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงวางพระหัตถ์และอธิษฐาน แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้
มธ 19.14 ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์ย่อมเป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น”
มก 3.9 พระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกของพระองค์ให้เอาเรือเล็กมาคอยรับพระองค์ เพื่อมิให้ประชาชนเบียดเสียดพระองค์
มก 4.31 ก็เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง เวลาเพาะลงในดินนั้นก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน
มก 4.36 เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้น และมีเรืออื่นเล็กๆหลายลำไปกับพระองค์ด้วย
มก 5.23 แล้วทูลอ้อนวอนพระองค์เป็นอันมากว่า “ลูกสาวเล็กๆของข้าพระองค์ป่วยเกือบจะตายแล้ว ขอเชิญพระองค์ไปวางพระหัตถ์บนเขา เพื่อเขาจะได้หายโรคและไม่ตาย”
มก 8.7 และเขามีปลาเล็กๆอยู่บ้าง พระองค์จึงขอบพระคุณ แล้วสั่งให้เอาปลานั้นแจกด้วย
มก 9.21 พระองค์จึงตรัสถามบิดานั้นว่า “เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร” บิดาทูลตอบว่า “ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆมา
มก 9.36 พระองค์จึงทรงเอาเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเหล่าสาวก แล้วทรงอุ้มเด็กนั้นไว้ ตรัสแก่เหล่าสาวกว่า
มก 9.37 “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็มิใช่รับเรา แต่รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา”
มก 10.13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามคนที่พาเด็กมานั้น
มก 10.14 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ไม่พอพระทัย จึงตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น
มก 10.15 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรนั้นไม่ได้”
มก 10.16 แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้น วางพระหัตถ์บนเขา แล้วทรงอวยพรให้
ลก 9.48 แล้วตรัสกับเขาว่า “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆคนนี้ในนามของเรา ผู้นั้นก็ได้รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็ได้รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เพราะว่าในพวกท่านทั้งหลาย ผู้ใดเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ใหญ่”
ลก 18.16 แต่พระเยซูทรงเรียกเขามา แล้วตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น
ลก 18.17 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรนั้นไม่ได้”
ยน 6.7 ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเหรียญเดนาริอันก็ไม่พอซื้ออาหารให้เขากินกันคนละเล็กละน้อย”
ยน 6.9 “ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาเล็กๆสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้”
ยน 13.33 ลูกเล็กๆเอ๋ย เรายังจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกขณะหนึ่ง เจ้าจะเสาะหาเรา และดังที่เราได้พูดกับพวกยิวแล้ว บัดนี้เราจะพูดกับเจ้าคือ ‘ที่เราไปนั้นเจ้าทั้งหลายไปไม่ได้’
ยน 21.8 แต่สาวกอื่นๆนั้นนั่งเรือเล็กๆมา ลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย (เพราะเขาอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น)
กจ 27.16 เมื่อแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อว่าคลาวดา เราจึงยกเรือเล็กขึ้นผูกไว้ได้แต่มีความลำบากมาก
กจ 27.30 เมื่อพวกกะลาสีหาช่องจะหนีจากกำปั่นและได้หย่อนเรือเล็กลงที่ทะเลแล้วทำทีว่าจะทอดสมอจากหัวเรือ
กจ 27.32 พวกทหารจึงตัดเชือกที่ผูกเรือเล็กให้เรือตกลงไป
ทต 1.11 จำเป็นต้องให้เขาสงบปากเสีย ด้วยเขาพลิกบ้านคว่ำทั้งครัวเรือนให้เสียไป โดยสอนสิ่งที่ไม่ควรจะสอนเลย เพราะเห็นแก่เล็กแก่น้อย
ยก 3.4 จงดูเรือด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเป็นเรือใหญ่ และถูกลมแรงพัดแล่นไป เรือก็ยังหันไปมาด้วยหางเสือเล็กๆตามใจนายท้ายที่จะให้ไปทางไหน
ยก 3.5 เช่นนั้นแหละลิ้นก็เป็นอวัยวะเล็กๆด้วย และพูดโอ้อวดอ้างการใหญ่ จงดูเถิด ไฟนิดเดียวอาจเผาไหม้มากเท่าใด
1ยน 2.1 ลูกเล็กๆของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ช่วยเหลือสถิตอยู่กับพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงชอบธรรมนั้น
1ยน 2.12 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าบาปของท่านได้รับการอภัยแล้วเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
1ยน 2.13 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชัยชนะแก่มารร้าย ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูกเล็กๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระบิดา
1ยน 2.18 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาว่า ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะมา บัดนี้ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ก็มีอยู่มากแล้ว ฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว
1ยน 2.28 และบัดนี้ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย จงดำรงอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงมาปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่มีความละอายจำเพาะพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา
1ยน 3.7 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติการชอบธรรมก็เป็นผู้ชอบธรรม เหมือนอย่างพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม
1ยน 3.18 ลูกเล็กๆทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยลิ้นเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง
1ยน 4.4 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก
1ยน 5.21 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย จงระวังรักษาตัวไว้ให้พ้นจากรูปเคารพ เอเมน
วว 10.2 ท่านถือหนังสือเล็กๆม้วนหนึ่งซึ่งคลี่อยู่ในมือของท่าน ท่านวางเท้าขวาของท่านบนทะเล และเท้าซ้ายของท่านบนบก
วว 10.8 และพระสุรเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินจากสวรรค์นั้นตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “จงไปรับหนังสือเล็กๆม้วนนั้นที่คลี่อยู่ในมือของทูตสวรรค์องค์ที่ยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนบกนั้น”
วว 10.9 ข้าพเจ้าจึงไปหาทูตสวรรค์องค์นั้นและกล่าวแก่ท่านว่า “ขอหนังสือม้วนเล็กนั้นเถิด” ท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “เอาไปเถิด และกินมันเสีย มันจะทำให้ท้องเจ้าขม แต่เมื่ออยู่ในปากของเจ้า มันจะหวานเหมือนน้ำผึ้ง”
วว 10.10 ข้าพเจ้ารับหนังสือม้วนเล็กนั้นจากมือทูตสวรรค์แล้วก็กินเข้าไป ขณะที่มันอยู่ในปากของข้าพเจ้านั้นมันก็หวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เมื่อข้าพเจ้ากินมันเข้าไปแล้วท้องข้าพเจ้าก็ขม

เล็กน้อย ( 46 )
ปฐก 32.10 ข้าพระองค์ไม่สมควรจะรับบรรดาพระกรุณาและความจริงแม้เล็กน้อยที่สุด ที่พระองค์ได้ทรงโปรดสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้เมื่อมีแต่ไม้เท้า และบัดนี้ข้าพระองค์มีผู้คนเป็นสองพวก
ลนต 4.7 และปุโรหิตจะเอาเลือดเล็กน้อยเจิมที่เชิงงอนของแท่นเผาเครื่องหอมซึ่งอยู่ในพลับพลาแห่งชุมนุมต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ส่วนเลือดวัวที่เหลืออยู่นั้นเขาจะเทลงที่ฐานแท่นเผาเครื่องเผาบูชาซึ่งอยู่ที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
พบญ 32.47 เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับท่านทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องชีวิตของท่านทั้งหลาย และเรื่องนี้จะกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตยืนนานในแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”
1ซมอ 9.21 ซาอูลตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเบนยามินดอกหรือ เป็นตระกูลเล็กน้อยที่สุดในอิสราเอล และครอบครัวของข้าพเจ้าไม่ใช่ครอบครัวที่ด้อยที่สุดในตระกูลเบนยามินดอกหรือ ทำไมท่านจึงพูดกับข้าพเจ้าอย่างนี้เล่า”
1ซมอ 14.29 แล้วโยนาธานจึงกล่าวว่า “บิดาของข้ากระทำให้แผ่นดินลำบาก ดูซิว่าตาของข้าแจ่มแจ้งเพียงไร เพราะข้าได้รับประทานน้ำผึ้งนี้แต่เล็กน้อย
1ซมอ 14.43 แล้วซาอูลจึงตรัสกับโยนาธานว่า “เจ้าได้กระทำอะไร จงบอกเรามา” โยนาธานก็ทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ชิมน้ำผึ้งที่ติดปลายไม้เท้าซึ่งอยู่ในมือของข้าพระองค์เล็กน้อยเท่านั้น และดูเถิด ข้าพระองค์ต้องตาย”
1ซมอ 18.23 และมหาดเล็กของซาอูลพูดเรื่องนี้ให้ดาวิดฟัง ดาวิดก็ถามว่า “ท่านทั้งหลายเห็นว่า ที่จะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือ ด้วยข้าพเจ้าเป็นแต่คนจน และไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย”
2ซมอ 7.19 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า แต่นี่ก็เป็นสิ่งเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ และพระองค์ทรงลั่นพระวาจาถึงราชวงศ์ของผู้รับใช้พระองค์ในอนาคตอันไกลที่จะมาถึงนั้น โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า และนี่เป็นธรรมดาของมนุษย์หรือ
1พกษ 16.31 และอยู่มาประหนึ่งว่าการที่พระองค์ดำเนินในบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายเนบัทนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อย พระองค์ทรงรับเยเซเบลพระราชธิดาของเอ็ทบาอัลกษัตริย์ของชาวไซดอนมาเป็นมเหสี และไปปรนนิบัติพระบาอัล และนมัสการพระนั้น
1พกษ 17.10 ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง ดูเถิด หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า “ขอน้ำเล็กน้อยใส่ภาชนะมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้ดื่มน้ำ”
1พกษ 17.12 และนางตอบว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห ดูเถิด ดิฉันกำลังเก็บฟืนสองท่อนเพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉันและบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย”
2พกษ 3.18 เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ พระองค์จะทรงมอบคนโมอับไว้ในมือของเจ้าด้วย
2พกษ 10.18 แล้วเยฮูทรงประชุมบรรดาประชาชนทั้งสิ้น และตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “อาหับปรนนิบัติพระบาอัลแต่เล็กน้อย แต่เยฮูจะปรนนิบัติพระองค์มาก
1พศด 17.17 โอ ข้าแต่พระเจ้า สิ่งนี้เป็นของเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ เพราะพระองค์ยังตรัสถึงราชวงศ์ของผู้รับใช้ของพระองค์ในอนาคตอันไกลที่จะมาถึงนั้น และทรงมองข้าพระองค์ตามชนชั้นของมนุษย์ที่มีฐานะอันสูงส่ง โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า
อสร 9.8 แต่บัดนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงสำแดงพระกรุณา พอพระทัยชั่วครู่หนึ่งสั้นๆ และได้ทรงประทานให้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีคนที่เหลืออยู่และมีที่ยึดมั่นในที่บริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อว่าพระเจ้าของข้าพระองค์จะได้ทรงให้ตาของข้าพระองค์ทั้งหลายแจ่มขึ้น และทรงประสาทความฟื้นคืนมาเล็กน้อยจากการเป็นทาสของข้าพระองค์ทั้งหลาย
นหม 9.32 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง ทรงฤทธิ์และน่าเกรงกลัว ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความเมตตา ฉะนั้นบัดนี้ขอพระองค์อย่าทรงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้นนั้นเป็นแต่สิ่งเล็กน้อยซึ่งบังเกิดขึ้นกับข้าพระองค์ทั้งหลาย กับบรรดากษัตริย์ของข้าพระองค์ กับบรรดาเจ้านาย บรรดาปุโรหิต บรรดาผู้พยากรณ์ บรรพบุรุษ และชนชาติของพระองค์ทั้งสิ้น ตั้งแต่สมัยกษัตริย์อัสซีเรีย จนถึงวันนี้
โยบ 8.7 ถึงแม้การเริ่มต้นของท่านจะเล็กน้อย แต่ต่อไปปลายๆจะใหญ่โตมากยิ่ง
โยบ 15.11 ท่านเห็นคำเล้าโลมของพระเจ้าเป็นของเล็กน้อยไปหรือ มีเรื่องลึกลับอะไรบ้างอยู่กับท่านหรือ
อสย 1.9 ถ้าพระเยโฮวาห์จอมโยธามิได้เหลือคนไว้ให้เราบ้างเล็กน้อยแล้ว เราก็จะได้เป็นเหมือนเมืองโสโดม และจะเป็นเหมือนเมืองโกโมราห์
อสย 7.13 และท่านกล่าวว่า “โอ ข้าแต่ข้าราชสำนักของดาวิด ขอจงฟัง การที่จะให้มนุษย์อ่อนใจนั้นเล็กน้อยอยู่หรือ และท่านยังให้พระเจ้าของข้าพเจ้าอ่อนพระทัยด้วย
อสย 40.15 ดูเถิด บรรดาประชาชาติก็เหมือนน้ำหยดหนึ่งจากถัง และนับว่าเหมือนผงบนตาชั่ง ดูเถิด พระองค์ทรงหยิบเกาะทั้งหลายขึ้นมาเหมือนสิ่งเล็กน้อย
ยรม 6.14 เขาทั้งหลายได้รักษาแผลแห่งบุตรสาวประชาชนของเราแต่เล็กน้อยกล่าวว่า ‘สันติภาพ สันติภาพ’ เมื่อไม่มีสันติภาพเลย
ยรม 8.11 เขาได้รักษาแผลแห่งบุตรสาวประชาชนของเราแต่เล็กน้อย กล่าวว่า ‘สันติภาพ สันติภาพ’ เมื่อไม่มีสันติภาพเสียเลย
อสค 8.17 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “โอ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าได้เห็นแล้วใช่ไหม ที่วงศ์วานยูดาห์กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งเขากระทำอยู่ที่นี่ เป็นสิ่งเล็กน้อยหรือ ด้วยว่าเขากระทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความรุนแรง และกลับมายั่วยุให้เราโกรธแล้ว ดูเถิด เขาทั้งหลายเอากิ่งไม้มาแตะจมูกของเขา
อสค 16.20 ยิ่งกว่านั้นอีก เจ้าได้นำบุตรชายของเจ้าและบุตรสาวของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ให้บังเกิดมาเพื่อเรา และเจ้าก็ได้ถวายบูชาแก่มันเพื่อให้มันเผาผลาญ การเล่นชู้ของเจ้าเป็นสิ่งเล็กน้อยอยู่หรือ
อสค 16.47 ถึงกระนั้น เจ้าก็ไม่ได้ดำเนินตามทางทั้งหลายของเขา หรือกระทำตามการอันน่าสะอิดสะเอียนของเขา แต่เพราะว่านั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไปแล้ว แล้วเจ้าก็ทรามกว่าพวกเขาในบรรดาวิถีทางของเจ้า
ดนล 11.34 เมื่อพวกเขาล้มลงนั้น เขาจะได้รับความช่วยเหลือเล็กน้อย และจะมีคนมากด้วยกันที่ร่วมเข้ากับความสอพลอ
ฮชย 8.10 เออ แม้ว่าเขาจ้างประชาชาติอื่นมา ไม่ช้าเราจะต้อนเขาให้รวมกัน เขาจะเป็นทุกข์เล็กน้อยเรื่องภาระของกษัตริย์จอมเจ้านาย
มธ 2.6 ‘บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย จะเป็นบ้านเล็กน้อยที่สุดท่ามกลางบรรดาผู้ครองของยูเดียก็หามิได้ เพราะว่าเจ้านายคนหนึ่งจะออกมาจากท่าน ผู้ซึ่งจะปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา’”
มธ 5.19 เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้เบาลง ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่า เป็นผู้น้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามพระบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่า เป็นใหญ่ในอาณาจักรแห่งสวรรค์
มธ 25.21 นายจึงตอบเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด’
มธ 25.23 นายจึงตอบเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด’
ลก 12.26 เหตุฉะนั้น ถ้าสิ่งเล็กน้อยที่สุดยังทำไม่ได้ ท่านยังจะกระวนกระวายถึงสิ่งอื่นทำไมอีกเล่า
ลก 12.32 ฝูงแกะเล็กน้อยเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระบิดาของท่านชอบพระทัยที่จะประทานอาณาจักรนั้นให้แก่ท่าน
ลก 16.10 คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อยที่สุดจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย และคนที่อสัตย์ในของเล็กน้อยที่สุดจะอสัตย์ในของมากเช่นกัน
ลก 19.17 ท่านจึงพูดกับเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดี เพราะเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด’
1คร 4.3 สำหรับข้าพเจ้าการที่ท่านทั้งหลายหรือมนุษย์ผู้ใดจะตัดสินตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ถึงแม้ข้าพเจ้าเองก็มิได้ตัดสินตัวข้าพเจ้า
1คร 6.2 ท่านไม่รู้หรือว่าวิสุทธิชนจะพิพากษาโลก และถ้าพวกท่านจะพิพากษาโลก ท่านไม่สมควรจะพิพากษาความเรื่องเล็กน้อยที่สุดหรือ
2คร 9.6 นี่แหละ คนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเกี่ยวเก็บได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเกี่ยวเก็บได้มาก
1ทธ 5.23 อย่าดื่มแต่น้ำอีกต่อไป แต่จงใช้น้ำองุ่นบ้างเล็กน้อย เพื่อประโยชน์แก่กระเพาะอาหารของท่านและโรคที่บังเกิดแก่ท่านเนืองๆ
ฮบ 12.10 เพราะแท้จริงบิดาเหล่านั้นตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ตามความเห็นดีเห็นชอบของเขาเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้เราได้เข้าส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์
วว 2.14 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้างเล็กน้อย คือพวกเจ้าบางคนถือตามคำสอนของบาลาอัม ซึ่งสอนบาลาคให้ก่อเหตุเพื่อให้ชนชาติอิสราเอลสะดุด คือให้เขากินของที่ได้บูชาแก่รูปเคารพแล้วและให้เขาล่วงประเวณี
วว 2.20 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้างเล็กน้อย คือพวกเจ้ายอมให้ผู้หญิงชื่อเยเซเบล ที่ยกตัวขึ้นเป็นผู้พยากรณ์หญิง หญิงนั้นสอนและล่อลวงพวกผู้รับใช้ของเรา ให้ล่วงประเวณีและให้กินของที่บูชาแก่รูปเคารพแล้ว
วว 3.8 เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า ดูเถิด เราได้ตั้งประตูซึ่งเปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครปิดได้ เพราะว่าเจ้ามีกำลังเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นเจ้าก็ได้รักษาคำของเราและไม่ได้ปฏิเสธนามของเรา

เล็กๆน้อยๆ ( 4 )
อพย 18.22 ให้เขาพิพากษาความของพลไพร่อยู่เสมอ ส่วนคดีใหญ่ๆก็ให้เขานำมาแจ้งต่อท่าน แต่คดีเล็กๆน้อยๆให้เขาตัดสินเอง การงานของท่านจะเบาลง และพวกเขาจะแบกภาระร่วมกับท่าน
อพย 18.26 คนเหล่านั้นพิพากษาความของพลไพร่อยู่เสมอ แต่คดียากๆเขานำไปแจ้งโมเสส ส่วนคดีเล็กๆน้อยๆเขาตัดสินเอง
สดด 37.16 เล็กๆน้อยๆที่คนชอบธรรมมีก็ดีกว่าความอุดมสมบูรณ์ของคนชั่วเป็นอันมาก
2คร 4.17 เพราะว่าการทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้นจะทำให้เรามีสง่าราศีใหญ่ยิ่งนิรันดร์

เลข ( 5 )
วว 13.17 เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้ นอกจากผู้ที่มีเครื่องหมายนั้น หรือชื่อของสัตว์ร้ายนั้น หรือเลขชื่อของมัน
วว 13.18 ในเรื่องนี้จงใช้สติปัญญา ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจก็ให้คิดตรึกตรองเลขของสัตว์ร้ายนั้น เพราะว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของมันคือหกร้อยหกสิบหก
วว 15.2 ข้าพเจ้าเห็นเป็นเหมือนทะเลแก้วปนไฟ และบรรดาคนที่มีชัยต่อสัตว์ร้าย และรูปของมัน และเครื่องหมายของมัน และเลขประจำชื่อของมัน ยืนอยู่บนทะเลแก้วนั้น พวกเขาถือพิณเขาคู่ของพระเจ้า

เลขาธิการ ( 1 )
2พกษ 25.19 และจากเมืองนั้นท่านได้จับข้าราชสำนักซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพ กับที่ปรึกษาของกษัตริย์อีกห้าคนที่พบในเมืองนั้น และเลขาธิการคือผู้บัญชาการกองทัพผู้เกณฑ์ประชาชนแห่งแผ่นดิน และอีกหกสิบคนจากประชาชนแห่งแผ่นดินซึ่งพบในเมือง

เลขานุการ ( 4 )
ยรม 36.10 แล้วบารุคจึงได้อ่านถ้อยคำของเยเรมีย์จากหนังสือม้วนให้ประชาชนทั้งสิ้นฟัง ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ในห้องเฉลียงของเกมาริยาห์ บุตรชายชาฟาน ผู้เป็นเลขานุการ ซึ่งอยู่ในลานบนตรงทางเข้าของประตูใหม่แห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
ยรม 37.15 และบรรดาเจ้านายก็เดือดดาลต่อเยเรมีย์ และเขาทั้งหลายก็ตีท่านและขังท่านไว้ในเรือนของโยนาธานเลขานุการ เพราะได้ทำให้เป็นคุก
ยรม 37.20 เพราะฉะนั้นบัดนี้ โอ ข้าแต่กษัตริย์ผู้เป็นเจ้านายของข้าพระองค์ ขอพระองค์สดับฟัง ขอคำทูลของข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานต่อพระพักตร์ของพระองค์ ขออย่าส่งข้าพระองค์กลับไปที่เรือนของโยนาธานเลขานุการนั้นเลย เกรงว่าข้าพระองค์จะตายเสียที่นั่น”
ยรม 52.25 และจากกรุงนั้นท่านจับขันทีคนหนึ่ง ผู้บังคับทหาร และที่ปรึกษาของกษัตริย์เจ็ดคน ซึ่งพบอยู่ในกรุงนั้น และเลขานุการของผู้บังคับบัญชาของกองทัพ ผู้ซึ่งเกณฑ์ประชาชนแห่งแผ่นดิน และประชาชนแห่งแผ่นดินอีกหกสิบคนซึ่งพบอยู่ท่ามกลางกรุงนั้น

เลคาห์ ( 1 )
1พศด 4.21 บุตรชายของเช-ลาห์ผู้เป็นบุตรชายยูดาห์ คือ เอร์ บิดาของเลคาห์ ลาอาดาห์บิดาของมาเรชาห์ และบรรดาครอบครัวแห่งวงศ์วานของผู้ทำผ้าป่านเนื้อละเอียดแห่งวงศ์วานอัชเบอา

เล็ง ( 12 )
สดด 21.12 ฉะนั้นพระองค์จะทรงกระทำให้เขาหนีพ่ายไปเมื่อพระองค์จะทรงเล็งธนูไปตรงหน้าเขาทีเดียว
สดด 58.7 ให้พวกเขาละลายไปเหมือนน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย เมื่อเขาเล็งธนูเพื่อยิงลูกศร ให้ลูกศรนั้นถูกตัดเป็นชิ้นๆ
สดด 64.3 ผู้ลับลิ้นของเขาอย่างลับดาบ ผู้เอาคำขมขื่นเล็งอย่างลูกธนู
มธ 17.13 แล้วเหล่าสาวกจึงเข้าใจว่าพระองค์ได้ตรัสแก่เขาเล็งถึงยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา
มธ 21.45 ครั้นพวกปุโรหิตใหญ่กับพวกฟาริสีได้ยินคำอุปมาของพระองค์ พวกเขาก็หยั่งรู้ว่าพระองค์ตรัสเล็งถึงพวกเขา
ลก 22.37 ด้วยเราบอกท่านทั้งหลายว่า พระวจนะซึ่งเขียนไว้แล้วนั้นต้องสำเร็จในเรา คือว่า ‘ท่านถูกนับเข้ากับบรรดาผู้ละเมิด’ เพราะว่าคำพยากรณ์ที่เล็งถึงเรานั้นจะสำเร็จ”
ลก 24.27 พระองค์จึงทรงเริ่มอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาศาสดาพยากรณ์
กจ 8.34 ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “ศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวอย่างนั้นเล็งถึงผู้ใด เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงผู้อื่น บอกข้าพเจ้าเถิด”
1ทธ 1.18 ทิโมธีบุตรเอ๋ย คำกำชับนี้ข้าพเจ้าได้ให้ไว้กับท่านตามคำพยากรณ์ซึ่งมาล่วงหน้าเล็งถึงท่าน เพื่อข้อความเหล่านั้นท่านจะได้เข้าสู้รบได้ดี
ยด 1.4 เพราะว่ามีบางคนได้เล็ดลอดเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเล็งไว้ล่วงหน้ามานานแล้วว่าจะได้รับการพิพากษาลงโทษอย่างนี้ เป็นคนอธรรม ที่ได้บิดเบือนพระคุณของพระเจ้าของเราไปเป็นการกระทำความชั่วช้าลามก และได้ปฏิเสธพระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

เลเชม ( 2 )
ยชว 19.47 อาณาเขตคนดานน้อยไปสำหรับพวกเขา คนดานจึงขึ้นไปสู้รบกับเมืองเลเชม เมื่อยึดได้ก็ประหารเสียด้วยคมดาบ จึงยึดครองที่ดินและตั้งอยู่ที่นั่น เรียกเมืองเลเชมว่าดาน ตามชื่อของดานบรรพบุรุษของตน

เล็ดลอด ( 5 )
2พกษ 9.15 แต่กษัตริย์โยรัมทรงกลับไปรักษาพระองค์ที่ยิสเรเอล เพราะบาดแผลซึ่งชนซีเรียได้กระทำแก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงสู้รบกับฮาซาเอลกษัตริย์แห่งซีเรีย) เยฮูจึงตรัสว่า “ถ้านี่เป็นความประสงค์ของท่านทั้งหลาย ก็ขออย่าให้คนหนึ่งคนใดเล็ดลอดออกไปจากเมืองเพื่อบอกข่าวที่ยิสเรเอล”
ยรม 38.19 กษัตริย์เศเดคียาห์จึงตรัสกับเยเรมีย์ว่า “เรากลัวพวกยิวซึ่งเล็ดลอดไปหาคนเคลเดีย เกรงว่าเราจะถูกมอบไว้ในมือของพวกเหล่านั้น และเขาทั้งหลายจะกระทำความอัปยศแก่เรา”
ยรม 39.9 แล้วเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับส่วนประชาชนที่เหลืออยู่ในกรุงเป็นเชลยพาไปยังบาบิโลน ทั้งคนที่เล็ดลอด คือคนที่เล็ดลอดมาหาท่าน และส่วนคนที่เหลืออยู่
ยด 1.4 เพราะว่ามีบางคนได้เล็ดลอดเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเล็งไว้ล่วงหน้ามานานแล้วว่าจะได้รับการพิพากษาลงโทษอย่างนี้ เป็นคนอธรรม ที่ได้บิดเบือนพระคุณของพระเจ้าของเราไปเป็นการกระทำความชั่วช้าลามก และได้ปฏิเสธพระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

เลทูชิม ( 1 )
ปฐก 25.3 โยกชานให้กำเนิดบุตรชื่อเชบาและเดดาน บุตรชายของเดดาน คืออัสชูริม เลทูชิมและเลอุมมิม

เลน ( 7 )
โยบ 41.30 เบื้องล่างของมันคมอย่างกับเศษหม้อแตก มันเหยียดตัวออกบนเลนเหมือนแหลมคม
สดด 40.2 พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุมอันน่าสลด ออกมาจากเลนตม แล้ววางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา กระทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง
สดด 69.2 ข้าพระองค์จมอยู่ในเลนลึกไม่มีที่ยืน ข้าพระองค์มาอยู่ในน้ำลึกและน้ำท่วมข้าพระองค์
สดด 69.14 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากจมลงในเลน ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคนที่เกลียดชังข้าพระองค์และจากน้ำลึก
อสย 10.6 เราจะใช้เขาไปสู้ประชาชาติอันหน้าซื่อใจคด เราจะบัญชาเขาให้ไปสู้ชนชาติที่เรากริ้ว ไปเอาของริบและฉวยเหยื่อและให้เหยียบย่ำลงเหมือนเหยียบเลนในถนน
อสย 57.20 แต่คนชั่วนั้นเหมือนทะเลที่กำเริบ เพราะมันนิ่งอยู่ไม่ได้ และน้ำของมันก็กวนตมและเลนขึ้นมา
มคา 7.10 แล้วเธอซึ่งเป็นศัตรูของข้าพเจ้าจะเห็น และความอับอายจะทับถมเธอที่กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน” ตาของข้าพเจ้าจะเพ่งดูเธอให้สาแก่ใจ คราวนี้เธอจะถูกย่ำลงเหมือนเลนที่ในถนน

เล่น ( 23 )
ปฐก 21.9 แต่ซาราห์เห็นบุตรชายของฮาการ์คนอียิปต์ซึ่งนางคลอดให้อับราฮัม กำลังหัวเราะเล่นอยู่
ปฐก 26.8 และต่อมาเมื่อท่านอยู่ที่นั่นนานแล้ว อาบีเมเลคกษัตริย์ชาวฟีลิสเตียทอดพระเนตรตามช่องพระแกล และดูเถิด เห็นอิสอัคกำลังหยอกเล่นกับเรเบคาห์ภรรยาของตน
อพย 32.6 ครั้นรุ่งขึ้นเขาตื่นขึ้นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องเผาบูชา และนำเครื่องสันติบูชามา พลไพร่ก็นั่งลงกินและดื่มแล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกกัน
2ซมอ 2.14 อับเนอร์จึงพูดกับโยอาบว่า “ขอให้พวกคนหนุ่มลุกขึ้นรบเล่นกันให้เราดูเถิด” และโยอาบตอบว่า “ให้เขาลุกขึ้นเล่นซี”
1พศด 15.16 ดาวิดได้ทรงบัญชาแก่บรรดาหัวหน้าของคนเลวีให้แต่งตั้งพี่น้องของเขาให้เป็นนักร้องเล่นเครื่องดนตรี มีพิณใหญ่ พิณเขาคู่ และฉาบ เพื่อทำเสียงดังด้วยความชื่นบาน
1พศด 15.20 เศคาริยาห์ อาซีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล อุนนี เอลีอับ มาอาเสยาห์ และเบไนยาห์ เล่นพิณใหญ่ตามสำเนียงอาลาโมท
1พศด 16.5 อาสาฟเป็นหัวหน้า และรองท่านคือเศคาริยาห์ เยอีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล มิททีธิยาห์ เอลีอับ เบไนยาห์ โอเบดเอโดม และเยอีเอล ผู้ซึ่งจะเล่นพิณใหญ่และพิณเขาคู่ อาสาฟเป็นคนตีฉาบ
โยบ 40.20 ภูเขาผลิตอาหารให้มันแน่ เป็นที่ที่สัตว์ป่าทุ่งทุกชนิดเล่น
โยบ 41.5 เจ้าจะเล่นกับมันเหมือนนก หรือเจ้าจะผูกมันไว้ให้สาวๆของเจ้าเล่นหรือ
สดด 68.25 นักร้องนำหน้า นักดนตรีคัดท้าย ระหว่างนั้นมีสตรีเล่นรำมะนา
สดด 104.26 กำปั่นแล่นไปโน่นแน่ะ และเลวีอาธานที่พระองค์สร้างไว้ให้เล่นนั้น
สภษ 1.11 ถ้าเขาว่า “มากับพวกเราเถิด ให้เราหมอบคอยเอาเลือดคน ให้เราซุ่มดักคนไร้ผิดเล่นเถิด
ปญจ 5.11 เมื่อของดีเพิ่มพูนขึ้น คนกินก็มีคับคั่งขึ้น คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์จะได้ประโยชน์อะไร นอกจากจะได้ชมเล่นเป็นขวัญตาเท่านั้น
อสย 11.8 และทารกกินนมจะเล่นอยู่ที่ปากรูงูเห่า และเด็กที่หย่านมจะเอามือวางบนรังของงูทับทาง
อสย 38.20 พระเยโฮวาห์ได้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจะร้องเพลงและเล่นเครื่องสายของข้าพเจ้า ตลอดวันเวลาแห่งชีวิตของข้าพเจ้าทั้งหลายที่พระนิเวศของพระเยโฮวาห์”
พคค 3.14 ข้าพเจ้าได้กลายเป็นที่นินทาให้ชนชาติทั้งหลายหัวเราะเยาะ เป็นเนื้อเพลงให้เขาร้องเล่นวันยังค่ำ
พคค 3.63 ดูเถิด ไม่ว่าเขาจะนั่งหรือลุก ตัวข้าพระองค์ก็เป็นเนื้อเพลงให้เขาร้องเล่น
อสค 33.32 และ ดูเถิด เจ้าเป็นเหมือนคนร้องเพลงรักแก่เขา มีเสียงไพเราะและเล่นดนตรีเก่ง เพราะเขาฟังคำพูดของเจ้า แต่เขาไม่ยอมกระทำตาม
ศคย 8.5 และถนนทั้งหลายในเมืองนั้นก็จะเต็มไปด้วยเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงวิ่งเล่นอยู่ทั่วไป
1คร 10.7 ท่านทั้งหลายอย่านับถือรูปเคารพ เหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘ประชาชนก็นั่งลงกินและดื่ม แล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกกัน’
อฟ 5.4 ทั้งอย่าพูดหยาบคาย พูดเล่นไม่เป็นเรื่อง และพูดตลกหยาบโลนเกเร ซึ่งเป็นการไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณดีกว่า

เล่นงาน ( 1 )
วนฉ 18.25 คนดานจึงตอบเขาว่า “อย่าให้เราได้ยินเสียงของเจ้าเลย เกลือกว่าคนขี้โมโหจะเล่นงานเจ้าเข้า เจ้าและครอบครัวของเจ้าก็จะเสียชีวิตเปล่าๆ”

เล่นชู้ ( 50 )
อพย 34.15 เกรงว่าเจ้าจะทำพันธสัญญากับชาวเมืองนั้น และเมื่อเขาเล่นชู้กับพระของเขา และถวายสัตวบูชาแก่บรรดาพระนั้น เขาจะเชิญพวกเจ้าไปร่วมด้วย และพวกเจ้าจะไปกินของที่เขาถวายบูชานั้น
อพย 34.16 เกรงว่าเจ้าจะรับบุตรสาวของเขามาเป็นภรรยาบุตรชายของเจ้า และบุตรสาวของเขานั้นจะไปเล่นชู้กับพระของเขา และชักชวนให้บุตรชายของเจ้าไปเล่นชู้กับพระนั้นด้วย
ลนต 17.7 เขาก็จะไม่ถวายบูชาแก่ภูตผีปีศาจอีกต่อไปซึ่งเขาทั้งหลายเล่นชู้นั้น ให้เรื่องนี้เป็นกฎเกณฑ์แก่เขาตลอดชั่วอายุของเขา
ลนต 20.6 ผู้ที่หันไปหาคนทรงเจ้าเข้าผีหรือพวกพ่อมดหมอผี เล่นชู้กับเขา เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้นั้นและจะตัดเขาออกเสียจากชนชาติของตน
กดว 25.1 เมื่ออิสราเอลพักอยู่ในเมืองชิทธิม ประชาชนก็ได้เริ่มเล่นชู้กับหญิงชาวโมอับ
พบญ 31.16 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด ตัวเจ้าจวนจะต้องหลับอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว และชนชาตินี้จะลุกขึ้นและเล่นชู้กับพระของคนต่างด้าวแห่งแผ่นดินนี้ ในที่ที่เขาไปอยู่ท่ามกลางนั้น เขาทั้งหลายจะทอดทิ้งเราเสียและหักพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำไว้กับเขา
วนฉ 2.17 แต่เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อฟังผู้วินิจฉัยทั้งหลายของเขา เพราะเขาทั้งหลายเล่นชู้กับพระอื่นและกราบไหว้พระอื่น ไม่ช้าเขาก็หันไปเสียจากทางซึ่งบรรพบุรุษของเขาได้ดำเนิน ผู้ได้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์ แต่เขาทั้งหลายมิได้กระทำตาม
วนฉ 8.27 กิเดโอนก็เอาทองคำนี้ทำเป็นรูปเอโฟดเก็บไว้ที่เมืองของท่านคือโอฟราห์ และบรรดาคนอิสราเอลก็เล่นชู้กับรูปนี้กระทำให้เป็นบ่วงดักกิเดโอนและวงศ์วานของท่าน
วนฉ 8.33 อยู่มาเมื่อกิเดโอนสิ้นชีวิตแล้ว คนอิสราเอลก็หันกลับอีก และเล่นชู้กับพระบาอัล ถือว่าบาอัลเบรีทเป็นพระของเขาทั้งหลาย
วนฉ 19.2 ภรรยาน้อยนั้นเล่นชู้จึงทิ้งสามีเสียกลับไปอยู่บ้านบิดาของนางที่เบธเลเฮมในยูดาห์ อยู่ที่นั่นสักสี่เดือน
1พศด 5.25 แต่เขาทั้งหลายละเมิดต่อพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา และเล่นชู้กับบรรดาพระของชนชาติทั้งหลายแห่งแผ่นดินนั้น ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงทำลายเสียต่อหน้าเขาทั้งหลาย
อสย 23.17 ต่อมาเมื่อสิ้นเจ็ดสิบปี พระเยโฮวาห์จะทรงเยี่ยมเยียนเมืองไทระ และเมืองนั้นจะกลับไปรับจ้างใหม่ และจะเล่นชู้กับบรรดาราชอาณาจักรทั้งสิ้นบนพื้นโลก
ยรม 2.20 “เพราะว่านานมาแล้วเราได้หักแอกของเจ้า และระเบิดพันธนะของเจ้าเสีย และเจ้าได้กล่าวว่า ‘ข้าจะไม่ละเมิด’ เออ เจ้าได้โน้มตัวลงเล่นชู้บนเนินเขาสูงทุกแห่งและใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น
ยรม 3.1 “เขาทั้งหลายว่า ‘ถ้าชายคนใดหย่าภรรยาของตนและเธอก็ไปจากเขาเสีย และไปเป็นภรรยาของชายอีกคนหนึ่ง เขาจะกลับไปหาเธอหรือ แผ่นดินนั้นจะไม่โสโครกมากมายหรือ’ แต่เจ้าได้เล่นชู้กับคนรักมากมายแล้ว ถึงกระนั้นเจ้าจงกลับมาหาเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 3.6 พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าในรัชกาลของกษัตริย์โยสิยาห์ว่า “เธอทำอะไรเจ้าเห็นหรือ คืออิสราเอลผู้กลับสัตย์ เธอขึ้นไปบนภูเขาสูงทุกลูก และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น แล้วก็ไปเล่นชู้อยู่ที่นั่น
ยรม 3.8 และเราเห็นว่า เพราะเหตุทั้งปวงที่อิสราเอลผู้กลับสัตย์ได้ล่วงประเวณีนั้น เราได้ไล่เธอไปพร้อมกับให้หนังสือหย่า แต่ยูดาห์น้องสาวที่ทรยศนั้นก็ไม่กลัว เธอก็กลับไปเล่นชู้ด้วย
อสค 16.15 แต่เจ้าวางใจในความงามของเจ้า และได้เล่นชู้เพราะชื่อเสียงของเจ้า ไม่ว่าผู้ใดจะผ่านมา เจ้าก็ให้หลงระเริงไปด้วยการเล่นชู้ของเจ้า
อสค 16.16 เจ้าเอาเสื้อผ้าของเจ้าบ้าง และเจ้าได้สร้างบรรดาปูชนียสถานสูงประดับอย่างหรูหรา แล้วก็เล่นชู้อยู่บนนั้น ไม่เคยมีเหมือนอย่างนี้ ต่อไปก็ไม่มีเหมือน
อสค 16.17 เจ้ายังเอาเครื่องรูปพรรณอันงามของเจ้า ซึ่งเป็นทองคำของเราและเงินของเรา ซึ่งเราได้ให้แก่เจ้า แล้วเจ้าสร้างเป็นรูปผู้ชายสำหรับเจ้า และเจ้าก็เล่นชู้อยู่กับรูปเหล่านั้น
อสค 16.26 เจ้าได้เล่นชู้กับคนอียิปต์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่มักมากของเจ้า ทวีการเล่นชู้ของเจ้าเพื่อกระทำให้เรากริ้ว
อสค 16.28 เจ้ายังเล่นชู้กับคนอัสซีเรียด้วย เพราะว่าเจ้าไม่รู้จักอิ่ม เออ เจ้าเล่นชู้กับเขาทั้งหลาย ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังไม่อิ่มใจ
อสค 16.34 ฉะนั้น เจ้าจึงผิดกับหญิงอื่นในเรื่องการเล่นชู้ของเจ้า ไม่มีใครมาวิงวอนให้เล่นชู้และเจ้ากลับให้สินจ้าง ขณะเมื่อไม่มีผู้ใดให้สินจ้างแก่เจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าจึงแตกต่างกัน
อสค 16.41 และเขาจะเอาไฟเผาบ้านเรือนของเจ้า และทำการพิพากษาลงโทษเจ้าท่ามกลางสายตาของผู้หญิงเป็นอันมาก เราจะกระทำให้เจ้าหยุดเล่นชู้ และเจ้าจะไม่ให้สินจ้างอีกต่อไป
อสค 20.30 เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่วงศ์วานอิสราเอลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้ากระทำตัวให้มลทินไปตามอย่างบรรพบุรุษของเจ้า และเล่นชู้กับสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเขาหรือ
อสค 23.3 เธอเล่นชู้ในอียิปต์ เธอเล่นชู้ตั้งแต่สาวๆ ณ ที่นั้นถันของเธอถูกเคล้าคลึง และอกพรหมจารีของเธอก็ถูกจับต้อง
อสค 23.5 โอโฮลาห์เล่นชู้เมื่อเธอเป็นของเรา เธอลุ่มหลงพวกคนรักของเธอ คืออัสซีเรียเพื่อนบ้านของเธอ
อสค 23.7 เธอเล่นชู้กับคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นบุคคลที่คัดเลือกแล้วของอัสซีเรียทุกคน และเธอก็กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพของทุกคนที่เธอลุ่มหลงนั้น
อสค 23.14 แต่เธอยังเล่นชู้ยิ่งขึ้น เมื่อเธอเห็นรูปคนอยู่บนผนัง เป็นรูปคนเคลเดียเขียนด้วยสีแดงเข้ม
อสค 23.19 ถึงกระนั้นเธอยังทวีการเล่นชู้ของเธอขึ้นอีก โดยหวนระลึกถึงเมื่อครั้งยังสาวอยู่ เมื่อเธอเล่นชู้อยู่ในแผ่นดินอียิปต์
อสค 23.30 เราจะกระทำสิ่งเหล่านี้แก่เจ้า เพราะเจ้าเล่นชู้ตามประชาชาติ และเพราะเจ้ากระทำตัวของเจ้าให้มัวหมองไปด้วยรูปเคารพของเขาทั้งหลาย
อสค 23.43 เราจึงกล่าวเรื่องเธอ ผู้ที่ร่วงโรยโดยการล่วงประเวณีว่า เขายังเล่นชู้กับเธอหรือ และเธอยังเล่นชู้กับเขาหรือ
ฮชย 1.2 เมื่อพระเยโฮวาห์ตรัสทางโฮเชยาเป็นครั้งแรกนั้น พระเยโฮวาห์ตรัสกับโฮเชยาว่า “ไปซี ไปรับหญิงเจ้าชู้มาเป็นภรรยา และเกิดลูกชู้กับนาง เพราะว่าแผ่นดินนี้เล่นชู้อย่างยิ่ง โดยการละทิ้งพระเยโฮวาห์เสีย”
ฮชย 2.5 เพราะว่ามารดาของเขาเล่นชู้ เธอผู้ที่ให้กำเนิดเขาทั้งหลายได้ประพฤติความอับอาย เพราะนางกล่าวว่า ‘ฉันจะตามคนรักของฉันไป ผู้ให้อาหารและน้ำแก่ฉัน เขาให้ขนแกะและป่านแก่ฉัน ทั้งน้ำมันและของดื่ม’
ฮชย 3.3 ข้าพเจ้าจึงพูดกับนางว่า “เธอต้องรอฉันให้หลายวันหน่อย อย่าเล่นชู้อีก อย่าไปเป็นของชายอื่นอีก ส่วนฉันก็จะไม่เข้าหาเธอด้วย”
ฮชย 4.10 เขาจะรับประทาน แต่ไม่รู้จักอิ่มหนำ เขาจะเล่นชู้ แต่ไม่เกิดผลดก เพราะว่าเขาได้ทอดทิ้งการเอาใจใส่พระเยโฮวาห์
ฮชย 4.12 ประชาชนของเราไปขอความเห็นจากสิ่งที่ทำด้วยไม้ และไม้ติ้วก็แจ้งแก่เขาอย่างเปิดเผย เพราะจิตใจที่ชอบเล่นชู้นำให้เขาหลงไป และเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระเจ้าของเขาเสียเพื่อไปเล่นชู้
ฮชย 4.13 เขาถวายสัตวบูชาอยู่ที่ยอดภูเขาและทำสักการบูชาเผาอยู่ที่เนินเขา ใต้ต้นโอ๊ก ต้นไค้และต้นเอ็ลม์ เพราะว่าร่มไม้เหล่านี้เย็นดี เพราะฉะนั้นธิดาทั้งหลายของเจ้าจึงจะเล่นชู้และเจ้าสาวทั้งหลายจึงจะล่วงประเวณี
ฮชย 4.14 เมื่อธิดาทั้งหลายของเจ้าเล่นชู้ เราก็ไม่ลงโทษ หรือเมื่อเจ้าสาวของเจ้าล่วงประเวณี เราก็ไม่ลงทัณฑ์ เพราะผู้ชายเองก็หลงไปกับหญิงแพศยา และทำสักการบูชากับหญิงโสเภณี ดังนั้นชนชาติที่ไม่มีความเข้าใจจะมาถึงความพินาศ
ฮชย 4.15 อิสราเอลเอ๋ย ถึงเจ้าจะเล่นชู้ก็อย่าให้ยูดาห์มีความผิด อย่าเข้าไปในเมืองกิลกาลหรือขึ้นไปยังเบธาเวน และอย่าปฏิญาณว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด”
ฮชย 4.18 เครื่องดื่มของเขากลายเป็นน้ำเปรี้ยว เขาก็ปล่อยตัวไปเล่นชู้เสมอ ผู้ครอบครองของเขาแสดงความรักด้วยความน่าละอาย ดังนั้นจงให้
ฮชย 5.3 เรารู้จักเอฟราอิม และอิสราเอลก็มิได้ปิดบังไว้จากเรา โอ เอฟราอิมเอ๋ย เจ้าเล่นชู้ อิสราเอลก็เป็นมลทิน
ฮชย 5.4 การกระทำของเขาไม่ยอมให้เขากลับไปยังพระเจ้าของเขา เพราะจิตใจที่เล่นชู้อยู่ในตัวเขา เขาจึงไม่รู้จักพระเยโฮวาห์
ฮชย 9.1 โอ อิสราเอลเอ๋ย อย่าเปรมปรีดิ์ไป อย่าเปรมปรีดิ์อย่างชนชาติทั้งหลายเลย เพราะเจ้าทั้งหลายเล่นชู้นอกใจพระเจ้าของเจ้า เจ้าทั้งหลายรักค่าสินจ้างของหญิงแพศยาตามบรรดาลานนวดข้าว
มธ 12.39 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า “คนชาติชั่วและเล่นชู้แสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่ทรงโปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์
มธ 16.4 คนชาติชั่วและเล่นชู้แสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์เท่านั้น” แล้วพระองค์ก็เสด็จไปจากเขา

เล่นตลก ( 3 )
วนฉ 16.25 ต่อมาเมื่อจิตใจของเขาร่าเริงเต็มที่แล้ว เขาจึงพูดว่า “จงเรียกแซมสันมาเล่นตลกให้เราดู” เขาจึงไปเรียกแซมสันออกมาจากเรือนจำ แซมสันก็มาเล่นตลกต่อหน้าเขา เขาพาท่านมายืนอยู่ระหว่างเสา
วนฉ 16.27 มีผู้ชายและผู้หญิงอยู่เต็มตึกนั้น เจ้านายฟีลิสเตียก็อยู่ที่นั่นทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีชายหญิงประมาณสามพันคนบนหลังคาตึก ดูแซมสันเล่นตลก

เล็บ ( 3 )
พบญ 21.12 ท่านจงพาหญิงมาไว้ที่เรือนของท่าน ให้นางโกนศีรษะและตัดเล็บมือเสีย
ดนล 4.33 ในทันใดนั้นเองพระวาทะก็สำเร็จในเรื่องเนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ถูกขับไล่ไปจากท่ามกลางมนุษย์ และเสวยหญ้าอย่างกับวัว และพระกายก็เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนพระเกศางอกยาวอย่างกับขนนกอินทรี และพระนขาก็เหมือนเล็บนก
ดนล 7.19 แล้วข้าพเจ้าก็อยากจะทราบถึงความจริงอันเกี่ยวกับสัตว์ตัวที่สี่นั้นซึ่งผิดแปลกกับสัตว์อื่นๆทั้งสิ้น ร้ายกาจเหลือเกิน มีฟันเหล็กและเล็บตีนทองสัมฤทธิ์ ซึ่งกินและหักเป็นชิ้นๆและกระทืบสิ่งที่เหลือนั้นเสีย

เลบเบอัส ( 1 )
มธ 10.3 ฟีลิปและบารโธโลมิว โธมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส และเลบเบอัสผู้ที่มีชื่ออีกว่าธัดเดอัส

เลบานอน ( 71 )
พบญ 1.7 เจ้าทั้งหลายจงหันไปเดินตามทางที่ไปยังแดนเทือกเขาของคนอาโมไรต์ และที่ใกล้เคียงกันในที่ราบ และในแดนเทือกเขา และในหุบเขา ในทางใต้ และที่ฝั่งทะเล แผ่นดินของคนคานาอัน และที่เลบานอน จนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส
พบญ 3.25 ขอพระองค์ทรงโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์ข้ามไปดูแผ่นดินอันดีที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ดูแดนเทือกเขางดงามและเลบานอนด้วย’
พบญ 11.24 ฝ่าเท้าของท่านทั้งหลายจะเหยียบลงที่ใด ที่นั่นจะเป็นของท่าน อาณาเขตของท่านจะเริ่มจากถิ่นทุรกันดารไปจนถึงเลบานอน และจากแม่น้ำคือแม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงทะเลตะวันตก
ยชว 1.4 ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารและภูเขาเลบานอนนี้ไกลไปจนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส แผ่นดินทั้งหมดของคนฮิตไทต์ ถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก จะเป็นอาณาเขตของเจ้า
ยชว 9.1 ต่อมาเมื่อกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือที่อยู่ในแดนเทือกเขา และในหุบเขา และตามฝั่งทะเลใหญ่ไปทั่วจนถึงภูเขาเลบานอน เป็นคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุสได้ยินข่าวนี้
ยชว 11.17 ตั้งแต่ภูเขาฮาลักที่สูงเรื่อยขึ้นไปถึงเสอีร์ ไกลไปจนถึงบาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนเชิงภูเขาเฮอร์โมน ท่านได้จับบรรดากษัตริย์แห่งเมืองเหล่านั้นมาประหารชีวิตเสีย
ยชว 12.7 ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินซึ่งโยชูวากับคนอิสราเอลได้ทำให้พ่ายแพ้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ทางทิศตะวันตก ตั้งแต่บาอัลกาดในหุบเขาเลบานอน ถึงภูเขาฮาลัก ที่สูงเรื่อยขึ้นไปถึงเสอีร์ ซึ่งโยชูวามอบให้แก่ตระกูลคนอิสราเอลให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ตามส่วนแบ่งของเขา
ยชว 13.5 และแผ่นดินของชาวเกบาลและเลบานอนทั้งหมด ไปทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จากบาอัลกาดที่อยู่เชิงภูเขาเฮอร์โมน ถึงทางเข้าเมืองฮามัท
ยชว 13.6 ชาวแดนเทือกเขาทั้งหมดจากเลบานอนจนถึงมิสเรโฟทมาอิม และคนไซดอนทั้งหมด เราจะขับไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอลเอง เพียงแต่เจ้าจงจับสลากแบ่งดินแดนเหล่านั้นให้เป็นมรดกแก่อิสราเอล ดังที่เราบัญชาเจ้าไว้
วนฉ 3.3 คือเจ้านายทั้งห้าของคนฟีลิสเตีย คนคานาอันทั้งหมด ชาวไซดอน และคนฮีไวต์ผู้อาศัยอยู่บนภูเขาเลบานอน ตั้งแต่ภูเขาบาอัลเฮอร์โมนจนถึงทางเข้าเมืองฮามัท
วนฉ 9.15 ต้นหนามจึงตอบต้นไม้เหล่านั้นว่า ‘ถ้าแม้ท่านทั้งหลายจะเจิมตั้งเราให้เป็นกษัตริย์ของเจ้าทั้งหลายจริงๆ จงมาอาศัยใต้ร่มของเราเถิด มิฉะนั้นก็ให้ไฟเกิดจากต้นหนามเผาผลาญต้นสนสีดาร์เลบานอนเสีย’
1พกษ 4.33 พระองค์ตรัสถึงต้นไม้ตั้งแต่ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน จนถึงต้นหุสบซึ่งงอกออกมาจากกำแพง พระองค์ตรัสถึงสัตว์ป่าด้วย ทั้งบรรดานก สัตว์เลื้อยคลานและปลา
1พกษ 5.6 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอท่านสั่งให้ตัดไม้สนสีดาร์แห่งเลบานอนเพื่อข้าพเจ้า และข้าราชการของข้าพเจ้าจะสมทบกับพวกข้าราชการของท่าน ข้าพเจ้าจะมอบเงินค่าจ้างข้าราชการของท่านแก่ท่านตามที่ท่านตั้งไว้ เพราะท่านคงทราบแล้วว่า ท่ามกลางเรานี้ไม่มีผู้ใดรู้จักตัดไม้เหมือนชาวซีโดน”
1พกษ 5.9 ข้าราชการของข้าพเจ้าจะนำลงมาจากเลบานอนถึงทะเล และข้าพเจ้าจะผูกแพล่องมาตามทะเลถึงที่ที่ท่านจะกำหนดให้ และข้าพเจ้าจะให้แก้แพที่นั่น ขอท่านมารับเอา และขอท่านส่งเสบียงอาหารแก่สำนักวังของข้าพเจ้าก็แล้วกัน เป็นที่พอใจข้าพเจ้าแล้ว”
1พกษ 5.14 และพระองค์ทรงใช้เขาไปยังเลบานอน เวรละหนึ่งหมื่นคนต่อเดือน เขาจะอยู่ที่เลบานอนเดือนหนึ่ง และอยู่บ้านสองเดือน และอาโดนีรัมเป็นผู้บังคับบัญชาพวกถูกเกณฑ์แรง
1พกษ 7.2 พระองค์ทรงสร้างพระตำหนักพนาเลบานอน ยาวหนึ่งร้อยศอก กว้างห้าสิบศอกและสูงสามสิบศอก อยู่บนเสาไม้สนสีดาร์สี่แถว มีคานไม้สนสีดาร์อยู่บนเสา
1พกษ 9.19 ทั้งบรรดาหัวเมืองคลังหลวงที่ซาโลมอนมีอยู่ และหัวเมืองสำหรับรถรบของพระองค์ และหัวเมืองสำหรับพลม้าของพระองค์ และสิ่งใดๆซึ่งซาโลมอนมีพระประสงค์จะสร้างในกรุงเยรูซาเล็ม ในเลบานอน และทั่วแผ่นดินซึ่งอยู่ในอาณาจักรของพระองค์
1พกษ 10.17 และพระองค์ทรงสร้างโล่สามร้อยอันด้วยทองคำทุบ โล่อันหนึ่งใช้ทองคำสามมาเน และกษัตริย์ทรงเก็บโล่ไว้ในพระตำหนักพนาเลบานอน
1พกษ 10.21 ภาชนะทั้งสิ้นสำหรับเครื่องดื่มของกษัตริย์ซาโลมอนทำด้วยทองคำ และภาชนะทั้งสิ้นของพระตำหนักพนาเลบานอนทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีที่ทำด้วยเงินเลย เงินนั้นถือว่าเป็นของไม่มีค่าอะไรในสมัยของซาโลมอน
2พกษ 14.9 และเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงส่งข่าวไปยังอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “ต้นผักหนามบนภูเขาเลบานอนส่งข่าวไปหาต้นสนสีดาร์บนภูเขาเลบานอนว่า ‘จงยกบุตรสาวของเจ้าให้เป็นภรรยาบุตรชายของเรา’ และสัตว์ป่าทุ่งตัวหนึ่งแห่งเลบานอนผ่านมา และย่ำต้นผักหนามลงเสีย
2พกษ 19.23 เจ้าได้เย้ยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยผู้สื่อสารของเจ้า และเจ้าได้ว่า “ด้วยรถรบเป็นอันมากของข้า ข้าได้ขึ้นไปที่สูงของภูเขา ถึงที่ไกลสุดของเลบานอน ข้าจะโค่นต้นสนสีดาร์ที่สูงที่สุดของมันลง ทั้งต้นสนสามใบที่ดีที่สุดของมัน ข้าจะเข้าไปในที่พำนักในชายแดนของมัน และที่ป่าไม้แห่งคารเมล
2พศด 2.8 ขอท่านส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและไม้ประดู่จากเลบานอนให้ข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าทราบว่า ข้าราชการของท่านรู้จักการตัดไม้ในเลบานอน และดูเถิด ข้าราชการของข้าพเจ้าจะอยู่กับข้าราชการของท่าน
2พศด 2.16 และพวกเราจะตัดตัวไม้เท่าที่ท่านต้องการจากเลบานอน และนำมาให้ท่านโดยแพทางทะเลถึงเมืองยัฟฟา เพื่อว่าท่านจะได้นำขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม”
2พศด 8.6 และทรงสร้างเมืองบาอาลัทและหัวเมืองคลังหลวงทั้งปวงที่ซาโลมอนทรงมีอยู่ และเมืองทั้งปวงสำหรับรถรบของพระองค์ และเมืองทั้งปวงสำหรับพลม้าของพระองค์ และสิ่งใดๆซึ่งพระองค์ประสงค์จะสร้างในเยรูซาเล็ม ในเลบานอน และในแผ่นดินทั้งหมดซึ่งอยู่ในครอบครองของพระองค์
2พศด 9.16 และพระองค์ทรงสร้างโล่สามร้อยอันด้วยทองคำทุบ โล่อันหนึ่งใช้ทองคำสามร้อยเชเขล และกษัตริย์ก็ทรงเก็บโล่ไว้ในพระตำหนักพนาเลบานอน
2พศด 9.20 ภาชนะทั้งสิ้นสำหรับเครื่องดื่มของกษัตริย์ซาโลมอนทำด้วยทองคำ และภาชนะทั้งสิ้นของพระตำหนักพนาเลบานอนทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีที่ทำด้วยเงินเลย เงินนั้นถือว่าเป็นของไม่มีค่าอะไรในสมัยของซาโลมอน
2พศด 25.18 และโยอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงใช้ไปยังอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “ต้นผักหนามบนเลบานอนส่งข่าวให้หาต้นสนสีดาร์บนเลบานอนว่า ‘จงยกบุตรสาวของเจ้าให้เป็นภรรยาบุตรชายของเรา’ และสัตว์ป่าทุ่งตัวหนึ่งแห่งเลบานอนผ่านมาและย่ำต้นผักหนามลงเสีย
อสร 3.7 เขาทั้งหลายจึงให้เงินแก่ช่างสกัดหิน และช่างไม้ และมอบอาหาร เครื่องดื่มและน้ำมันแก่คนไซดอนและคนไทระ เพื่อให้นำไม้สนสีดาร์มาจากเลบานอนไปถึงทะเลถึงเมืองยัฟฟา ตามที่เขาได้รับอนุญาตมาจากไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
สดด 29.5 พระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์หักต้นสนสีดาร์ พระเยโฮวาห์ทรงหักต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน
สดด 29.6 พระองค์ทรงกระทำให้พวกเขากระโดดเหมือนลูกวัว เลบานอนและสีรีออนเหมือนม้ายูนิคอนหนุ่ม
สดด 72.16 จะมีข้าวอุดมในแผ่นดินบนยอดภูเขาทั้งหลาย ผลของแผ่นดินจะแกว่งไกวเหมือนเลบานอน และคนจากนครจะบานออกเหมือนหญ้าในทุ่งนา
สดด 92.12 คนชอบธรรมจะงอกขึ้นอย่างต้นอินทผลัม เขาจะเจริญขึ้นอย่างต้นสนสีดาร์ในเลบานอน
สดด 104.16 บรรดาต้นไม้ของพระเยโฮวาห์ได้อิ่มหนำ คือต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอนซึ่งพระองค์ได้ทรงปลูกไว้
พซม 3.9 กษัตริย์ซาโลมอนสร้างพระวอสำหรับพระองค์ ด้วยไม้มาจากเลบานอน
พซม 4.8 จงจากเลบานอนไปกับฉันเถิด เจ้าสาวของฉันจ๋า จงจากเลบานอนไปกับฉันนะ ให้มองลงจากยอดเขาอามานา จากยอดเขาเสนีร์ และยอดเขาเฮอร์โมน จากถ้ำราชสีห์ จากเขาเสือดาว
พซม 4.11 โอ เจ้าสาวของฉันจ๋า ริมฝีปากของเธอเสมือนน้ำผึ้งกำลังจะหยดย้อย น้ำผึ้งและน้ำนมอยู่ใต้ลิ้นของเธอ กลิ่นเสื้อผ้าของเธอหอมดุจกลิ่นมาจากเลบานอน
พซม 4.15 ตัวเธอประดุจดังน้ำพุในอุทยาน ประดุจบ่อน้ำแห่งชีวิต และประดุจลำธารไหลจากเลบานอน
พซม 5.15 ขาของเขาดุจเสาหินอ่อนตั้งบนฐานเสียบทองคำเนื้อดี สีหน้าของเขาดุจเลบานอนประเสริฐอย่างไม้สนสีดาร์
พซม 7.4 ลำคอของเธอประหนึ่งหอคอยสร้างด้วยงาช้าง เนตรทั้งสองของเธอดุจสระในเมืองเฮชโบนที่ริมประตูเมืองบัทรับบิม จมูกของเธอเหมือนหอแห่งเลบานอนซึ่งมองลงเห็นเมืองดามัสกัส
อสย 2.13 สู้ต้นสนสีดาร์ทั้งสิ้นของเลบานอนที่สูงและที่ถูกยกขึ้น และสู้ต้นโอ๊กทั้งสิ้นของบาชาน
อสย 10.34 พระองค์จะทรงใช้ขวานเหล็กฟันป่าทึบ และเลบานอนจะล้มลงโดยคนมีอำนาจใหญ่โต
อสย 14.8 ต้นสนสามใบเปรมปรีดิ์เพราะเจ้า ต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอนด้วย และกล่าวว่า ‘ตั้งแต่เจ้าตกต่ำ ก็ไม่มีผู้โค่นขึ้นมาต่อสู้เราแล้ว’
อสย 29.17 ไม่ใช่อีกนิดหน่อยเท่านั้นหรือ ที่เลบานอนจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนผลไม้ และสวนผลไม้จะถือว่าเป็นป่า
อสย 33.9 แผ่นดินไว้ทุกข์และอ่อนระทวย เลบานอนอับอายและถูกโค่นลง ชาโรนเหมือนถิ่นทุรกันดาร บาชานและคารเมลก็สลัดผลของเขา
อสย 35.2 มันจะออกดอกอุดม และเปรมปรีดิ์ด้วยความชื่นบานและการร้องเพลง สง่าราศีของเลบานอนก็จะประทานให้มัน ทั้งความโอ่อ่าตระการของคารเมลและชาโรน ที่เหล่านี้จะเห็นสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ และความโอ่อ่าตระการของพระเจ้าของพวกเรา
อสย 37.24 เจ้าได้เย้ยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยผู้รับใช้ของเจ้า และเจ้าได้ว่า “ด้วยรถรบเป็นอันมากของข้า ข้าได้ขึ้นที่สูงของภูเขา ถึงที่ไกลสุดของเลบานอน ข้าจะโค่นต้นสนสีดาร์ที่สูงที่สุดของมันลง ทั้งต้นสนสามใบที่ดีที่สุดของมัน ข้าจะเข้าไปยังที่ยอดลิบที่สุดในชายแดนของมัน ที่ป่าไม้แห่งคารเมล
อสย 40.16 เลบานอนไม่พอเป็นฟืน และสัตว์ป่านั้นก็ไม่พอเป็นเครื่องเผาบูชา
อสย 60.13 สง่าราศีแห่งเลบานอนจะมายังเจ้า คือต้นสนสามใบ ต้นสนเขาและต้นไม้ที่เขียวชะอุ่มตลอดปีด้วยกัน เพื่อจะกระทำให้ที่แห่งสถานบริสุทธิ์ของเรางดงาม และเราจะกระทำให้ที่แห่งเท้าของเรารุ่งโรจน์
ยรม 18.14 คนจะละทิ้งหิมะแห่งภูเขาเลบานอนซึ่งมาจากหน้าผาแห่งทุ่งหรือ ลำธารที่ไหลเย็นจากที่อื่นจะแห้งไปหรือ
ยรม 22.6 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แก่ราชสำนักแห่งกษัตริย์ของยูดาห์ ว่า “เจ้าเป็นเหมือนกิเลอาดแก่เรา เป็นดังยอดภูเขาเลบานอน ถึงกระนั้น เราจะกระทำเจ้าให้เป็นถิ่นทุรกันดารแน่ เป็นเมืองที่ไม่มีคนอาศัย
ยรม 22.20 จงขึ้นไปที่เลบานอน และร้องว่า และจงเปล่งเสียงของเจ้าในเมืองบาชาน จงร้องจากทางผ่านข้างนอก เพราะว่าคนรักทั้งสิ้นของเจ้าถูกทำลายเสียแล้ว
ยรม 22.23 โอ ชาวเมืองเลบานอนเอ๋ย ที่สร้างรังอยู่ท่ามกลางไม้สนสีดาร์ เจ้าจะได้รับความกรุณาสักเท่าใดเมื่อความเจ็บปวดมาเหนือเจ้า อย่างความเจ็บปวดของหญิงที่คลอดบุตร”
อสค 17.3 ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า มีนกอินทรีมหึมาตัวหนึ่ง ปีกใหญ่และขนปีกก็ยาว มีขนมากมายหลายสี มายังเลบานอนและจิกยอดต้นสนสีดาร์
อสค 27.5 กระดานเรือของเจ้าทั้งสิ้นเขาทำด้วยไม้สนสามใบมาจากเสนีร์ เขาเอาไม้สนสีดาร์มาจากเลบานอนทำเป็นเสากระโดงให้เจ้า
อสค 31.3 ดูเถิด คนอัสซีเรียเปรียบได้กับไม้สนสีดาร์ในเลบานอน มีกิ่งงามและมีใบร่มและสูงมาก ยอดอยู่ที่ท่ามกลางกิ่งไม้หนาทึบ
อสค 31.15 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในวันที่มันลงไปยังแดนคนตาย เรากระทำให้บาดาลคลุมตัวไว้ทุกข์ให้มัน และยับยั้งแม่น้ำของมันไว้ และน้ำเป็นอันมากจะหยุดยั้ง เราคลุมเลบานอนไว้ให้กลุ้มอยู่เพื่อมัน และต้นไม้ในทุ่งนาทั้งสิ้นจะสลบเพราะมัน
อสค 31.16 เรากระทำให้ประชาชาติสั่นสะเทือนด้วยเสียงที่มันล้ม เมื่อเราเหวี่ยงมันลงไปที่นรกพร้อมกับบรรดาผู้ที่ลงไปยังปากแดน และต้นไม้ทั้งสิ้นในเอเดน ต้นไม้ที่คัดเลือกแล้วและต้นไม้ที่ดีที่สุดของเลบานอน ต้นไม้ทุกต้นที่ดื่มน้ำจะได้รับความเล้าโลมที่ในโลกบาดาล
ฮชย 14.5 เราจะเป็นเหมือนน้ำค้างแก่อิสราเอล เขาจะเบิกบานอย่างดอกบัว เขาจะหยั่งรากเหมือนเลบานอน
ฮชย 14.6 กิ่งก้านของเขาจะขยายออก เขาจะงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะมีกลิ่นหอมเหมือนเลบานอน
ฮชย 14.7 เขาทั้งหลายที่อยู่ใต้ร่มเงาของเขาก็จะกลับมา เขาจะเจริญขึ้นเหมือนข้าว จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น และจะมีกลิ่นเหมือนน้ำองุ่นแห่งเลบานอน
นฮม 1.4 พระองค์ทรงห้ามทะเล ทรงกระทำให้มันแห้ง ทรงให้แม่น้ำทั้งหลายแห้งไป บาชานและคารเมลก็เหี่ยว และดอกไม้ของเลบานอนก็เหือดไป
ฮบก 2.17 เนื่องด้วยความทารุณที่เจ้ากระทำแก่เลบานอนจะท่วมเจ้า ความพินาศของสัตว์เดียรัจฉานซึ่งกระทำให้เขากลัว เพราะเจ้าทำให้โลหิตมนุษย์ตก และด้วยเหตุความรุนแรงต่อแผ่นดิน ต่อบรรดาหัวเมืองและต่อบรรดาผู้ที่อยู่ในเมืองนั้น
ศคย 10.10 เราจะนำเขากลับจากแผ่นดินอียิปต์ และรวบรวมเขามาจากอัสซีเรีย และเราจะนำเขามายังแผ่นดินกิเลอาดและเลบานอนจนจะไม่มีที่ให้เขาอยู่
ศคย 11.1 โอ เลบานอนเอ๋ย จงเปิดบรรดาประตูของเจ้า เพื่อไฟจะได้เผาผลาญไม้สนสีดาร์ของเจ้าเสีย

เลบาโอท ( 1 )
ยชว 15.32 เลบาโอท ชิลฮิม อายินและเมืองริมโมน รวมทั้งหมดเป็นยี่สิบเก้าหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย

เลโบนาห์ ( 1 )
วนฉ 21.19 ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ดูเถิด ทุกปีมีเทศกาลถวายพระเยโฮวาห์ที่ชีโลห์ ในสถานที่ซึ่งอยู่เหนือเบธเอล ทางทิศตะวันออกของถนนขึ้นจากเบธเอลถึงเชเคม และอยู่ใต้เลโบนาห์”

เล็ม ( 3 )
โยบ 24.6 เขาทั้งหลายเก็บหญ้าแห้งที่ในทุ่ง และเขาเล็มสวนองุ่นของคนชั่ว
ยรม 6.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “เขาทั้งหลายจะกวาดชนอิสราเอลที่เหลืออยู่นั้นเสียให้เกลี้ยงอย่างเล็มเถาองุ่น เหมือนคนเก็บผลองุ่นเอามือเก็บผลใส่ในตะกร้าอีกคำรบหนึ่ง”
มคา 7.1 วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนที่พบว่าเขาเก็บผลในฤดูร้อนหมดแล้ว และเล็มผลจากเถาองุ่นหมดแล้ว ไม่มีพวงองุ่นรับประทาน จิตใจข้าพเจ้าปรารถนาผลสุกรุ่นแรก

เล่ม ( 23 )
กดว 7.3 และได้นำของบูชามาถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ มีเกวียนประทุนหกเล่มกับวัวหกคู่ ประมุขสองคนนำเกวียนเล่มหนึ่งและวัวคนละตัว ถวายเสียที่หน้าพลับพลา
กดว 7.7 ท่านให้เกวียนสองเล่มกับวัวสองคู่แก่บุตรชายทั้งหลายของเกอร์โชนตามงานปรนนิบัติของเขา
กดว 7.8 ท่านมอบเกวียนสี่เล่มและวัวสี่คู่ให้แก่บุตรชายทั้งหลายของเมรารีตามงานปรนนิบัติของเขา ซึ่งเป็นตามคำชี้แจงของอิธามาร์บุตรชายอาโรนปุโรหิต
วนฉ 3.16 เอฮูดได้ทำดาบสองคมไว้ประจำตัวเล่มหนึ่งยาวศอกหนึ่ง เหน็บไว้ใต้ผ้าที่ต้นขาขวา
1ซมอ 6.7 ฉะนั้นบัดนี้จงเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งมาเทียมเข้ากับแม่วัวคู่หนึ่งซึ่งยังไม่เคยเข้าเทียมแอกเลย จงเอาแม่วัวมาเทียมเกวียนแล้วพรากลูกๆของมันกลับไปบ้านเสียให้พ้นจากมัน
1ซมอ 17.51 ดังนั้นแล้วดาวิดจึงวิ่งไปยืนอยู่เหนือคนฟีลิสเตียคนนั้น หยิบดาบของเขาชักออกจากฝักฆ่าเขาเสียและตัดศีรษะของเขาออกเสียด้วยดาบเล่มนั้น เมื่อคนฟีลิสเตียเห็นว่ายอดทหารของเขาตายเสียแล้วก็พากันหนีไป
1ซมอ 21.8 และดาวิดกล่าวแก่อาหิเมเลคว่า “ท่านไม่มีหอกหรือดาบติดมืออยู่สักเล่มหนึ่งหรือ ด้วยข้าพเจ้ามิได้นำดาบหรือเครื่องอาวุธติดมาเลย เพราะราชการของกษัตริย์เป็นการด่วน”
1ซมอ 21.9 ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า “ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตีย ซึ่งท่านฆ่าเสียที่หุบเขาเอลาห์นั้น ดูเถิด ยังห่อผ้าอยู่ที่ข้างหลังเอโฟด ถ้าท่านต้องการดาบนั้นจงเอาไปเถิด นอกจากเล่มนั้นแล้วก็ไม่มีดาบอื่นอีก” และดาวิดกล่าวว่า “ไม่มีดาบอื่นเหมือนดาบเล่มนั้นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเถิด”
2ซมอ 6.3 และเขาทั้งหลายก็เอาเกวียนใหม่บรรทุกหีบของพระเจ้าและนำออกมาจากเรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่เมืองกิเบอาห์ และอุสซาห์กับอาหิโย บุตรชายทั้งหลายของอาบีนาดับก็ขับเกวียนใหม่เล่มนั้น
1พกษ 3.24 และกษัตริย์ตรัสว่า “เอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” เขาจึงเอาพระแสงดาบมาไว้ต่อพระพักตร์กษัตริย์
1พศด 13.7 และเขาทั้งหลายก็บรรทุกหีบของพระเจ้าไปในเกวียนเล่มใหม่จากเรือนของอาบีนาดับ และอุสซาห์กับอาหิโยเป็นคนขับเกวียน
อสร 1.9 และนี่เป็นจำนวนของสิ่งเหล่านั้น อ่างทองคำสามสิบ อ่างเงินหนึ่งพัน มีดยี่สิบเก้าเล่ม
ยรม 25.29 เพราะ ดูเถิด เราได้เริ่มทำโทษเมืองซึ่งเรียกตามนามของเราแล้ว และเจ้าจะลอยนวลไปได้โดยไม่ถูกโทษหรือ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าจะลอยนวลไปไม่ได้ เพราะเราจะเรียกดาบเล่มหนึ่งมาเหนือชาวแผ่นดินโลกทั้งสิ้น’
อสค 5.1 “เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเอามีดคมเล่มหนึ่ง จงเอามีดโกนของช่างตัดผม จงโกนศีรษะและโกนเคราของเจ้า เอาตาชั่งสำหรับชั่งมา แบ่งผมนั้นออก
อสค 21.9 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์และกล่าวว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งซึ่งเขาลับให้คม และขัดมันด้วย
อสค 21.28 บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย และเจ้าจงพยากรณ์และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้เกี่ยวกับคนอัมโมน และเกี่ยวกับเรื่องน่าตำหนิของเขาทั้งหลายว่า ดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งถูกชักออก เขาขัดมันเพื่อการเข่นฆ่า เขาให้มันดื่มโลหิตเพราะมันวาววับ
อสค 30.4 ดาบเล่มหนึ่งจะมาเหนืออียิปต์ และความแสนระทมจะอยู่ในเอธิโอเปีย เมื่อคนที่ถูกฆ่าจะล้มในอียิปต์ และพวกเขาจะเอาคนเป็นอันมากของประเทศนั้นไปเสีย และรากฐานของเมืองนั้นก็จะถูกทลายลง
ลก 22.38 เขาทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด มีดาบสองเล่ม” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “พอเสียทีเถอะ”
วว 6.4 และมีม้าอีกตัวหนึ่งออกไปเป็นม้าสีแดงสด ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ได้รับอนุญาตให้นำสันติสุขไปจากแผ่นดินโลก เพื่อให้คนทั้งปวงรบราฆ่าฟันกัน และผู้นี้ได้รับดาบใหญ่เล่มหนึ่ง

เลมูเอล ( 2 )
สภษ 31.1 ถ้อยคำของกษัตริย์เลมูเอล คือคำพยากรณ์ที่พระราชชนนีได้สอนไว้แก่พระองค์
สภษ 31.4 โอ เลมูเอลเอ๋ย ไม่สมควรที่กษัตริย์ ไม่สมควรที่กษัตริย์จะเสวยเหล้าองุ่น หรือผู้ที่ครอบครองจะดื่มสุรา

เลย ( 1162 )
ปฐก 2.5; ปฐก 8.12; ปฐก 9.4; ปฐก 13.8; ปฐก 15.1; ปฐก 18.3; ปฐก 18.25; ปฐก 18.30; ปฐก 18.32; ปฐก 19.2; ปฐก 19.7; ปฐก 19.8; ปฐก 19.18; ปฐก 21.12; ปฐก 21.16; ปฐก 21.17; ปฐก 22.12; ปฐก 23.11; ปฐก 24.56; ปฐก 26.2; ปฐก 26.24; ปฐก 28.6; ปฐก 31.24; ปฐก 31.29; ปฐก 31.32; ปฐก 31.35; ปฐก 31.38; ปฐก 35.21; ปฐก 37.21; ปฐก 37.22; ปฐก 39.6; ปฐก 41.19; ปฐก 43.22; ปฐก 43.23; ปฐก 44.7; ปฐก 44.18; ปฐก 44.23; ปฐก 45.5; ปฐก 45.6; ปฐก 45.20; ปฐก 47.18; ปฐก 47.29; ปฐก 49.6; ปฐก 50.19; ปฐก 50.21; อพย 4.1; อพย 5.10; อพย 5.11; อพย 5.16; อพย 5.18; อพย 5.23; อพย 9.4; อพย 10.6; อพย 10.14; อพย 10.15; อพย 10.19; อพย 10.28; อพย 10.29; อพย 11.6; อพย 12.9; อพย 12.16; อพย 12.19; อพย 12.30; อพย 12.43; อพย 12.45; อพย 12.46; อพย 12.48; อพย 13.3; อพย 13.22; อพย 14.13; อพย 15.22; อพย 15.26; อพย 16.24; อพย 16.25; อพย 16.26; อพย 16.29; อพย 17.14; อพย 19.13; อพย 19.15; อพย 20.19; อพย 20.20; อพย 21.28; อพย 22.18; อพย 22.21; อพย 22.22; อพย 22.28; อพย 22.31; อพย 23.2; อพย 23.8; อพย 23.13; อพย 23.15; อพย 23.19; อพย 23.21; อพย 23.32; อพย 24.2; อพย 25.15; อพย 30.9; อพย 30.32; อพย 32.22; อพย 33.4; อพย 33.15; อพย 34.3; อพย 34.14; อพย 34.17; อพย 34.20; อพย 34.24; อพย 34.26; อพย 34.28; อพย 35.3; อพย 36.6; อพย 40.37; ลนต 6.30; ลนต 7.15; ลนต 7.18; ลนต 7.24; ลนต 11.8; ลนต 11.43; ลนต 15.25; ลนต 17.12; ลนต 17.14; ลนต 18.7; ลนต 18.15; ลนต 18.24; ลนต 19.7; ลนต 19.23; ลนต 19.31; ลนต 22.21; ลนต 22.30; ลนต 23.31; ลนต 26.6; ลนต 27.20; ลนต 27.28; กดว 10.31; กดว 11.6; กดว 11.15; กดว 14.9; กดว 14.42; กดว 16.15; กดว 16.26; กดว 18.20; กดว 21.34; กดว 22.16; กดว 23.25; กดว 27.3; กดว 27.4; กดว 32.5; พบญ 1.17; พบญ 1.21; พบญ 1.29; พบญ 1.42; พบญ 2.5; พบญ 2.7; พบญ 2.8; พบญ 2.9; พบญ 2.19; พบญ 2.27; พบญ 2.34; พบญ 3.2; พบญ 3.22; พบญ 3.26; พบญ 3.27; พบญ 4.35; พบญ 4.39; พบญ 5.32; พบญ 7.2; พบญ 7.16; พบญ 7.18; พบญ 8.9; พบญ 12.16; พบญ 12.23; พบญ 13.8; พบญ 13.11; พบญ 13.16; พบญ 14.3; พบญ 14.19; พบญ 14.21; พบญ 15.2; พบญ 15.6; พบญ 15.9; พบญ 17.16; พบญ 18.16; พบญ 18.22; พบญ 19.13; พบญ 20.1; พบญ 20.3; พบญ 20.16; พบญ 20.19; พบญ 21.4; พบญ 22.17; พบญ 22.19; พบญ 22.26; พบญ 23.3; พบญ 23.16; พบญ 24.19; พบญ 25.3; พบญ 25.12; พบญ 26.13; พบญ 28.29; พบญ 28.31; พบญ 28.65; พบญ 28.66; พบญ 28.68; พบญ 31.6; พบญ 31.8; ยชว 1.9; ยชว 2.11; ยชว 5.12; ยชว 6.1; ยชว 6.10; ยชว 7.3; ยชว 7.19; ยชว 8.1; ยชว 8.31; ยชว 10.6; ยชว 10.8; ยชว 10.19; ยชว 10.25; ยชว 11.6; ยชว 11.11; ยชว 11.14; ยชว 22.17; ยชว 22.22; ยชว 22.24; ยชว 22.29; ยชว 22.33; ยชว 24.16; วนฉ 2.1; วนฉ 4.18; วนฉ 5.19; วนฉ 6.4; วนฉ 6.23; วนฉ 7.14; วนฉ 8.28; วนฉ 11.34; วนฉ 11.39; วนฉ 13.2; วนฉ 13.21; วนฉ 14.16; วนฉ 16.15; วนฉ 18.7; วนฉ 18.9; วนฉ 18.25; วนฉ 19.19; วนฉ 19.20; วนฉ 19.23; วนฉ 19.24; วนฉ 20.16; วนฉ 21.8; วนฉ 21.9; วนฉ 21.12; นรธ 1.10; นรธ 1.13; นรธ 1.16; นรธ 1.20; นรธ 2.8; นรธ 2.15; นรธ 2.16; นรธ 3.11; นรธ 3.17; นรธ 3.18; 1ซมอ 1.11; 1ซมอ 2.3; 1ซมอ 2.24; 1ซมอ 3.17; 1ซมอ 3.18; 1ซมอ 4.7; 1ซมอ 4.20; 1ซมอ 5.7; 1ซมอ 6.7; 1ซมอ 9.20; 1ซมอ 10.3; 1ซมอ 10.16; 1ซมอ 11.11; 1ซมอ 11.13; 1ซมอ 12.20; 1ซมอ 12.23; 1ซมอ 14.23; 1ซมอ 14.24; 1ซมอ 14.36; 1ซมอ 14.45; 1ซมอ 15.3; 1ซมอ 17.32; 1ซมอ 18.8; 1ซมอ 18.17; 1ซมอ 18.23; 1ซมอ 18.25; 1ซมอ 19.4; 1ซมอ 19.6; 1ซมอ 20.2; 1ซมอ 20.3; 1ซมอ 20.9; 1ซมอ 21.2; 1ซมอ 21.4; 1ซมอ 21.8; 1ซมอ 22.5; 1ซมอ 22.8; 1ซมอ 22.15; 1ซมอ 22.23; 1ซมอ 23.17; 1ซมอ 25.7; 1ซมอ 25.15; 1ซมอ 25.21; 1ซมอ 25.25; 1ซมอ 25.28; 1ซมอ 25.34; 1ซมอ 26.9; 1ซมอ 28.13; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 29.3; 1ซมอ 29.9; 1ซมอ 30.2; 1ซมอ 30.19; 1ซมอ 30.22; 2ซมอ 9.7; 2ซมอ 11.11; 2ซมอ 12.3; 2ซมอ 13.12; 2ซมอ 13.16; 2ซมอ 13.20; 2ซมอ 13.22; 2ซมอ 13.25; 2ซมอ 13.28; 2ซมอ 14.7; 2ซมอ 14.9; 2ซมอ 14.10; 2ซมอ 14.25; 2ซมอ 16.1; 2ซมอ 17.19; 2ซมอ 18.3; 2ซมอ 18.9; 2ซมอ 18.20; 2ซมอ 19.10; 2ซมอ 21.17; 2ซมอ 24.14; 2ซมอ 24.24; 1พกษ 2.16; 1พกษ 2.20; 1พกษ 2.36; 1พกษ 3.27; 1พกษ 4.27; 1พกษ 6.13; 1พกษ 6.18; 1พกษ 8.60; 1พกษ 10.21; 1พกษ 12.24; 1พกษ 15.22; 1พกษ 15.29; 1พกษ 17.13; 1พกษ 18.43; 1พกษ 20.11; 1พกษ 22.8; 1พกษ 22.18; 2พกษ 1.15; 2พกษ 2.12; 2พกษ 2.16; 2พกษ 2.18; 2พกษ 3.14; 2พกษ 4.16; 2พกษ 4.28; 2พกษ 5.16; 2พกษ 6.16; 2พกษ 6.23; 2พกษ 10.10; 2พกษ 10.11; 2พกษ 10.19; 2พกษ 12.7; 2พกษ 17.22; 2พกษ 17.37; 2พกษ 17.38; 2พกษ 18.6; 2พกษ 18.26; 2พกษ 18.36; 2พกษ 20.11; 2พกษ 20.17; 2พกษ 25.24; 1พศด 16.30; 1พศด 21.13; 1พศด 22.8; 1พศด 22.13; 1พศด 23.26; 1พศด 28.3; 1พศด 28.20; 2พศด 9.20; 2พศด 18.7; 2พศด 18.17; 2พศด 20.15; 2พศด 20.17; 2พศด 26.18; 2พศด 30.8; 2พศด 30.26; 2พศด 33.8; อสร 8.15; อสร 9.14; นหม 4.14; นหม 5.5; นหม 5.16; นหม 6.8; นหม 8.10; นหม 8.11; นหม 8.17; นหม 9.21; อสธ 6.10; อสธ 9.28; โยบ 3.6; โยบ 3.26; โยบ 6.29; โยบ 7.7; โยบ 7.10; โยบ 8.22; โยบ 9.11; โยบ 12.2; โยบ 16.13; โยบ 16.17; โยบ 19.3; โยบ 20.9; โยบ 20.18; โยบ 20.20; โยบ 23.11; โยบ 27.5; โยบ 28.18; โยบ 29.22; โยบ 30.13; โยบ 30.17; โยบ 30.27; โยบ 33.9; โยบ 33.12; โยบ 33.13; โยบ 34.6; โยบ 34.27; โยบ 36.5; โยบ 36.19; โยบ 38.11; โยบ 42.2; สดด 10.4; สดด 10.6; สดด 10.11; สดด 14.3; สดด 16.2; สดด 17.3; สดด 18.22; สดด 19.13; สดด 21.7; สดด 22.11; สดด 22.19; สดด 30.6; สดด 31.1; สดด 39.5; สดด 40.9; สดด 44.12; สดด 49.8; สดด 49.17; สดด 53.3; สดด 55.22; สดด 58.2; สดด 59.13; สดด 71.1; สดด 81.9; สดด 81.11; สดด 84.11; สดด 96.10; สดด 101.4; สดด 104.35; สดด 119.8; สดด 119.93; สดด 147.20; สภษ 1.25; สภษ 1.30; สภษ 3.31; สภษ 9.13; สภษ 10.30; สภษ 13.4; สภษ 13.7; สภษ 20.4; สภษ 24.12; สภษ 24.23; สภษ 28.17; สภษ 29.24; สภษ 30.30; ปญจ 5.6; ปญจ 5.15; ปญจ 6.2; ปญจ 7.20; ปญจ 9.5; ปญจ 10.20; ปญจ 12.1; พซม 3.4; อสย 1.3; อสย 1.6; อสย 1.13; อสย 2.9; อสย 8.20; อสย 14.20; อสย 14.29; อสย 14.31; อสย 15.6; อสย 18.1; อสย 22.4; อสย 23.10; อสย 25.2; อสย 28.28; อสย 29.16; อสย 30.10; อสย 30.16; อสย 30.20; อสย 33.1; อสย 34.12; อสย 36.11; อสย 36.21; อสย 39.6; อสย 40.9; อสย 40.17; อสย 40.20; อสย 41.10; อสย 41.13; อสย 41.14; อสย 41.24; อสย 43.1; อสย 43.5; อสย 44.2; อสย 44.8; อสย 44.10; อสย 44.12; อสย 44.19; อสย 45.21; อสย 46.6; อสย 46.10; อสย 46.13; อสย 47.11; อสย 48.19; อสย 50.2; อสย 51.6; อสย 52.1; อสย 53.7; อสย 53.8; อสย 53.9; อสย 54.4; อสย 54.9; อสย 55.13; อสย 56.5; อสย 59.11; อสย 59.16; อสย 60.15; อสย 62.6; อสย 63.3; อสย 63.19; ยรม 1.8; ยรม 1.17; ยรม 2.12; ยรม 2.19; ยรม 2.35; ยรม 3.16; ยรม 4.25; ยรม 4.29; ยรม 6.14; ยรม 6.15; ยรม 7.8; ยรม 8.11; ยรม 8.12; ยรม 8.15; ยรม 9.4; ยรม 10.5; ยรม 11.19; ยรม 12.6; ยรม 13.15; ยรม 14.11; ยรม 14.19; ยรม 16.13; ยรม 17.6; ยรม 18.18; ยรม 22.10; ยรม 22.12; ยรม 22.13; ยรม 23.4; ยรม 23.32; ยรม 23.36; ยรม 23.40; ยรม 25.27; ยรม 27.17; ยรม 30.10; ยรม 32.23; ยรม 32.30; ยรม 32.35; ยรม 35.14; ยรม 35.19; ยรม 37.14; ยรม 37.20; ยรม 38.9; ยรม 38.14; ยรม 38.25; ยรม 40.16; ยรม 41.8; ยรม 42.4; ยรม 42.11; ยรม 44.7; ยรม 45.3; ยรม 45.5; ยรม 46.27; ยรม 46.28; ยรม 48.9; ยรม 48.33; ยรม 49.10; ยรม 50.2; ยรม 50.3; ยรม 50.5; ยรม 50.20; ยรม 50.26; ยรม 51.3; ยรม 51.6; ยรม 51.39; ยรม 51.57; ยรม 51.62; ยรม 51.64; ยรม 52.6; พคค 1.3; พคค 2.1; พคค 2.18; พคค 3.36; พคค 3.49; พคค 4.6; พคค 4.16; พคค 5.5; อสค 1.9; อสค 1.12; อสค 1.17; อสค 2.6; อสค 3.9; อสค 3.20; อสค 4.14; อสค 5.9; อสค 7.11; อสค 7.25; อสค 9.5; อสค 10.11; อสค 10.16; อสค 11.3; อสค 12.24; อสค 12.28; อสค 13.3; อสค 13.7; อสค 13.10; อสค 13.22; อสค 16.42; อสค 18.24; อสค 18.32; อสค 19.14; อสค 20.32; อสค 21.27; อสค 22.28; อสค 24.6; อสค 26.14; อสค 29.15; อสค 33.13; อสค 33.15; อสค 35.15; อสค 36.14; อสค 36.15; อสค 36.29; อสค 36.30; อสค 39.28; อสค 39.29; อสค 44.17; อสค 48.14; ดนล 2.35; ดนล 3.27; ดนล 4.19; ดนล 6.4; ดนล 6.5; ดนล 6.23; ดนล 7.14; ดนล 8.5; ดนล 8.25; ดนล 8.27; ดนล 9.19; ดนล 10.3; ดนล 10.12; ดนล 10.17; ดนล 10.19; ดนล 10.21; ดนล 11.37; ดนล 11.45; ฮชย 8.4; ฮชย 9.1; ฮชย 9.15; ยอล 2.3; ยอล 2.8; ยอล 2.21; ยอล 2.22; ยอล 3.13; ยอล 3.17; อมส 2.12; อมส 3.4; อมส 3.7; อมส 5.20; อมส 5.21; อมส 5.27; อมส 7.13; อมส 8.2; อมส 8.14; อมส 9.1; อมส 9.15; อบด 1.7; อบด 1.18; ยนา 1.14; มคา 1.10; มคา 2.6; มคา 5.15; มคา 7.8; นฮม 1.3; นฮม 3.1; ฮบก 1.4; ฮบก 2.19; ศฟย 3.5; ศฟย 3.6; ศฟย 3.16; ฮกก 2.3; ฮกก 2.5; ศคย 8.13; ศคย 8.15; ศคย 11.5; ศคย 11.6; ศคย 13.2; ศคย 13.3; มลค 2.6; มลค 4.1; มธ 1.20; มธ 5.34; มธ 5.41; มธ 6.8; มธ 7.23; มธ 8.4; มธ 9.9; มธ 9.30; มธ 9.33; มธ 10.31; มธ 12.43; มธ 13.29; มธ 13.34; มธ 14.27; มธ 16.22; มธ 17.7; มธ 17.20; มธ 18.3; มธ 18.14; มธ 19.6; มธ 19.10; มธ 19.14; มธ 20.13; มธ 23.3; มธ 23.4; มธ 23.37; มธ 24.6; มธ 24.21; มธ 24.22; มธ 24.23; มธ 24.35; มธ 26.5; มธ 26.33; มธ 26.35; มธ 27.19; มธ 28.5; มธ 28.10; มก 1.44; มก 2.12; มก 3.29; มก 4.34; มก 5.36; มก 6.36; มก 6.48; มก 6.50; มก 7.3; มก 7.36; มก 8.26; มก 9.9; มก 9.25; มก 9.29; มก 9.39; มก 9.44; มก 9.46; มก 9.48; มก 10.9; มก 10.14; มก 11.2; มก 11.14; มก 12.32; มก 13.7; มก 13.11; มก 13.19; มก 13.20; มก 13.21; มก 13.31; มก 14.2; มก 14.6; มก 14.31; มก 14.58; มก 16.6; ลก 1.6; ลก 1.13; ลก 1.15; ลก 1.30; ลก 1.33; ลก 2.10; ลก 2.37; ลก 4.2; ลก 4.27; ลก 4.35; ลก 5.5; ลก 5.10; ลก 7.6; ลก 8.50; ลก 8.52; ลก 9.39; ลก 9.50; ลก 9.56; ลก 10.19; ลก 10.31; ลก 10.32; ลก 11.7; ลก 11.36; ลก 11.46; ลก 12.6; ลก 12.7; ลก 12.29; ลก 12.32; ลก 13.11; ลก 13.14; ลก 13.34; ลก 14.24; ลก 15.29; ลก 18.16; ลก 18.34; ลก 19.30; ลก 19.44; ลก 20.16; ลก 21.8; ลก 21.33; ลก 22.35; ลก 23.28; ลก 23.29; ลก 23.53; ลก 24.28; ยน 1.18; ยน 4.9; ยน 4.14; ยน 5.28; ยน 6.20; ยน 6.35; ยน 6.37; ยน 6.43; ยน 7.15; ยน 7.18; ยน 7.26; ยน 7.27; ยน 7.44; ยน 7.46; ยน 8.6; ยน 8.11; ยน 8.33; ยน 8.51; ยน 8.52; ยน 10.5; ยน 10.6; ยน 10.13; ยน 10.28; ยน 10.37; ยน 10.41; ยน 11.26; ยน 11.49; ยน 12.15; ยน 12.19; ยน 14.1; ยน 14.19; ยน 14.27; ยน 15.5; ยน 15.24; ยน 16.21; ยน 18.20; ยน 19.4; ยน 19.6; ยน 19.24; ยน 19.41; ยน 20.25; ยน 20.27; ยน 21.3; กจ 4.12; กจ 4.17; กจ 4.18; กจ 5.38; กจ 6.13; กจ 8.21; กจ 8.32; กจ 8.33; กจ 9.9; กจ 10.14; กจ 10.20; กจ 11.8; กจ 11.12; กจ 13.34; กจ 13.37; กจ 13.41; กจ 14.8; กจ 14.20; กจ 16.21; กจ 16.28; กจ 17.27; กจ 18.9; กจ 18.17; กจ 19.2; กจ 19.21; กจ 20.10; กจ 20.12; กจ 20.16; กจ 20.24; กจ 20.29; กจ 23.5; กจ 23.9; กจ 26.25; กจ 27.21; กจ 27.24; กจ 27.31; กจ 27.33; รม 1.20; รม 2.1; รม 2.11; รม 2.25; รม 3.4; รม 3.6; รม 3.9; รม 3.10; รม 3.12; รม 3.31; รม 6.2; รม 6.15; รม 7.7; รม 7.13; รม 7.18; รม 9.14; รม 11.1; รม 11.11; รม 11.20; รม 12.14; รม 12.17; รม 13.1; รม 13.3; รม 13.10; รม 14.13; รม 14.14; รม 14.15; รม 14.20; 1คร 1.7; 1คร 2.2; 1คร 4.7; 1คร 5.1; 1คร 5.6; 1คร 5.11; 1คร 6.9; 1คร 6.12; 1คร 6.15; 1คร 7.1; 1คร 7.11; 1คร 7.13; 1คร 7.18; 1คร 7.23; 1คร 7.27; 1คร 7.30; 1คร 7.31; 1คร 8.4; 1คร 9.12; 1คร 9.15; 1คร 9.25; 1คร 11.22; 1คร 13.2; 1คร 14.39; 1คร 15.33; 1คร 15.34; 2คร 2.13; 2คร 6.3; 2คร 6.10; 2คร 6.11; 2คร 7.2; 2คร 7.5; 2คร 7.9; 2คร 7.14; 2คร 9.4; 2คร 11.5; 2คร 11.14; 2คร 12.5; 2คร 12.11; 2คร 13.2; กท 1.16; กท 1.19; กท 1.20; กท 1.22; กท 2.6; กท 2.16; กท 2.17; กท 3.11; กท 3.21; กท 4.1; กท 4.8; กท 4.12; กท 4.17; กท 5.1; กท 5.2; กท 5.4; กท 5.10; กท 5.12; กท 5.23; กท 5.26; กท 6.3; กท 6.7; กท 6.17; อฟ 1.16; อฟ 4.29; อฟ 5.3; อฟ 5.7; อฟ 5.27; อฟ 6.9; ฟป 1.20; ฟป 1.28; ฟป 4.6; ฟป 4.15; คส 3.25; 1ธส 2.1; 1ธส 2.5; 1ธส 4.6; 1ธส 4.12; 2ธส 2.3; 2ธส 3.7; 2ธส 3.11; 2ธส 3.13; 2ธส 3.14; 1ทธ 2.7; 1ทธ 4.4; 1ทธ 5.16; 1ทธ 5.22; 2ทธ 1.16; 2ทธ 2.14; 2ทธ 3.7; 2ทธ 3.8; 2ทธ 4.16; ทต 1.11; ทต 1.15; ทต 1.16; ทต 2.9; ฮบ 2.8; ฮบ 5.9; ฮบ 6.1; ฮบ 7.13; ฮบ 7.14; ฮบ 7.16; ฮบ 9.22; ฮบ 10.11; ฮบ 10.26; ฮบ 10.38; ฮบ 11.6; ฮบ 11.38; ฮบ 12.11; ฮบ 12.17; ฮบ 13.5; ฮบ 13.9; ยก 1.4; ยก 1.6; ยก 1.7; ยก 1.13; ยก 1.16; ยก 3.1; ยก 3.10; ยก 3.14; 1ปต 1.17; 1ปต 2.22; 1ปต 2.23; 1ปต 3.14; 1ปต 4.16; 1ปต 5.4; 2ปต 1.10; 2ปต 2.12; 2ปต 2.14; 2ปต 2.21; 2ปต 3.9; 1ยน 1.5; 1ยน 1.8; 1ยน 1.10; 1ยน 2.4; 1ยน 2.10; 1ยน 2.21; 1ยน 3.5; 1ยน 3.15; 1ยน 5.18; 2ยน 1.10; 3ยน 1.7; ยด 1.9; ยด 1.12; วว 1.17; วว 2.11; วว 2.17; วว 2.21; วว 3.12; วว 3.17; วว 4.8; วว 5.5; วว 7.9; วว 7.16; วว 11.9; วว 12.8; วว 14.5; วว 14.11; วว 16.18; วว 18.7; วว 18.14; วว 18.21; วว 19.10; วว 19.12; วว 20.11; วว 21.6; วว 21.22; วว 21.25; วว 21.27; วว 22.9; วว 22.17

เลยทีเดียว ( 4 )
ลนต 6.12 ให้รักษาไฟที่บนแท่นให้ลุกอยู่ อย่าให้ดับเลยทีเดียว ให้ปุโรหิตใส่ฟืนทุกเช้าและให้เรียงเครื่องเผาบูชาให้เป็นระเบียบไว้บนแท่น และเผาไขมันของเครื่องสันติบูชาบนนั้น
ลนต 7.26 ยิ่งกว่านั้นอีกเจ้าอย่ารับประทานเลือดเลยทีเดียว ไม่ว่าเลือดของสัตว์ปีกหรือเลือดสัตว์ในที่ใดๆที่เจ้าอาศัยอยู่
ยรม 37.9 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า อย่าล่อลวงตัวเจ้าโดยกล่าวว่า “คนเคลเดียจะถอยออกไปจากเราทีเดียวแน่” เพราะว่าเขาจะไม่ถอยออกไปเลยทีเดียว
อสค 11.13 อยู่มาเมื่อข้าพเจ้ากำลังพยากรณ์อยู่ เป-ลาทียาห์บุตรชายเบไนยาห์ก็สิ้นชีวิต แล้วข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดินร้องเสียงดังว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า เจ้าข้า พระองค์จะทรงกระทำให้คนอิสราเอลที่เหลืออยู่นั้นสิ้นสุดเลยทีเดียวหรือ พระเจ้าข้า”

เลว ( 21 )
ปฐก 41.19 แล้วดูเถิด วัวอีกเจ็ดตัวตามขึ้นมาไม่งาม น่าเกลียดมากและซูบผอม เราไม่เคยเห็นมีวัวเลวอย่างนี้ทั่วแผ่นดินอียิปต์เลย
กดว 13.19 ดูว่าแผ่นดินที่เขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไรบ้าง เป็นแผ่นดินที่ดีหรือเลวอย่างไร และบ้านเมืองที่เขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไร เป็นเต็นท์หรือเป็นป้อมปราการที่เข้มแข็ง
สภษ 20.14 ผู้ซื้อพูดว่า “เลว เลว” แต่เมื่อเขาไปแล้ว เขาจึงอวด
ยรม 24.2 กระจาดลูกหนึ่งมีมะเดื่ออย่างดีนัก เหมือนมะเดื่อที่สุกต้นฤดู แต่กระจาดอีกลูกหนึ่งนั้นมีมะเดื่ออย่างเลวทีเดียว เลวจนรับประทานไม่ได้
ยรม 24.3 และพระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “เยเรมีย์เอ๋ย เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าทูลตอบว่า “เห็นมะเดื่อที่ดีก็ดีมาก และที่เลวก็เลวมาก เลวจนรับประทานไม่ได้ พระเจ้าข้า”
ยรม 24.8 แต่พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เหมือนอย่างมะเดื่อที่เลว ซึ่งเลวมากจนรับประทานไม่ได้นั้น เราจะกระทำต่อเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ทั้งเจ้านายของเขา และชาวเยรูซาเล็มที่เหลืออยู่ ผู้ซึ่งยังค้างอยู่ในแผ่นดินนี้ และผู้ที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์
ยรม 29.17 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะส่งดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาดมาเหนือเขาทั้งหลาย และเราจะกระทำให้เขาทั้งหลายเหมือนกับมะเดื่อที่เสียซึ่งเลวมากจนเขารับประทานไม่ได้
มธ 7.17 ดังนั้นแหละต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว
มธ 7.18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
มธ 12.33 จงกระทำให้ต้นไม้ดีและผลของต้นไม้นั้นดี หรือกระทำให้ต้นไม้เลวและผลของต้นไม้นั้นเลว เพราะเราจะรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน
ลก 6.43 ด้วยว่าต้นไม้ดีย่อมไม่เกิดผลเลว หรือต้นไม้เลวย่อมไม่เกิดผลดี
ลก 16.25 แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม แต่เจ้าได้รับความทุกข์ทรมาน

เลวทราม ( 17 )
กดว 20.5 และทำไมท่านจึงให้เราออกจากอียิปต์ นำเรามายังที่เลวทรามนี้ เป็นที่ซึ่งไม่มีพืช ไม่มีมะเดื่อ องุ่นหรือทับทิม และไม่มีน้ำดื่ม”
พบญ 26.6 และชาวอียิปต์ทำแก่เราอย่างเลวทราม และข่มใจเรา และทำให้เราทำงานหนัก
1ซมอ 25.3 ชื่อของชายคนนั้นคือนาบาล และชื่อภรรยาของท่านคืออาบีกายิล นางมีความเข้าใจเรื่องต่างๆ เป็นอย่างดีและมีหน้าตาสวยงาม แต่ชายคนนั้นเป็นคนสามานย์และประพฤติตัวเลวทราม เป็นวงศ์วานของคาเลบ
1พกษ 16.25 อมรีได้ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรพระเยโฮวาห์ และทรงกระทำเลวทรามกว่าบรรดากษัตริย์ที่อยู่มาก่อนพระองค์
2พศด 27.2 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ตามซึ่งอุสซียาห์ราชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำทุกประการ เว้นแต่พระองค์มิได้เข้าไปในพระวิหารของพระเยโฮวาห์ แต่ประชาชนยังประพฤติอย่างเลวทราม
นหม 1.7 ข้าพระองค์ทั้งหลายประพฤติเลวทรามมากต่อพระองค์ และมิได้รักษาพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และคำตัดสินซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาไว้กับโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์
โยบ 18.3 ทำไมเราจึงถูกนับให้เป็นสัตว์ และถือว่าเลวทรามในสายตาของท่าน
สดด 14.1 คนโง่รำพึงในใจของตนว่า “ไม่มีพระเจ้า” เขาทั้งหลายก็เลวทรามลง เขากระทำกิจการที่น่าสะอิดสะเอียน ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี
สดด 14.3 เขาทั้งหลายก็หลงเจิ่นไปหมด เขาทั้งหลายก็เลวทรามลงเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย
สดด 53.1 คนโง่รำพึงในใจของตนว่า “ไม่มีพระเจ้า” เขาทั้งหลายก็เลวทรามลง และกระทำความชั่วช้าที่น่าสะอิดสะเอียน ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี
สดด 53.3 เขาทั้งหลายก็ถดถอยไปหมด เขาทั้งหลายก็เลวทรามลงเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย
อสย 32.6 เพราะคนเลวทรามจะพูดอย่างเลวทราม และใจของเขาก็ปองความชั่วช้า เพื่อประกอบความหน้าซื่อใจคด เพื่อออกปากพูดความผิดเกี่ยวกับพระเยโฮวาห์ เพื่อทำจิตใจของคนหิวให้อดอยากและจะไม่ให้คนกระหายได้ดื่ม
ยรม 6.28 เขาทั้งหลายมักกบฏอย่างดื้อด้านทั้งสิ้น เที่ยวนินทาเขาไป เขาทั้งหลายเป็นทองสัมฤทธิ์ และเป็นเหล็ก เขาทุกคนประพฤติเลวทรามทั้งนั้น
ยรม 15.19 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จึงตรัสว่า “ถ้าเจ้ากลับมา เราจะให้เจ้ากลับมาอีก และเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าเรา ถ้าเจ้าแยกสิ่งประเสริฐไปจากสิ่งเลวทราม เจ้าจะเป็นเหมือนปากของเรา จงให้เขาทั้งหลายหันกลับมาหาเจ้า แต่เจ้าอย่าหันไปหาเขา
รม 1.28 และเพราะเขาไม่เห็นชอบที่จะรู้จักพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้เขามีใจเลวทรามและประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสม
1คร 5.8 เหตุฉะนั้นให้เราถือปัสกานั้น มิใช่ด้วยเชื้อเก่าหรือด้วยเชื้อของความชั่วช้าเลวทราม แต่ด้วยขนมปังไร้เชื้อคือความจริงใจและความจริง
ยก 3.16 เพราะว่าที่ใดมีความอิจฉาและการแก่งแย่งกัน ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าเลวทรามทุกอย่าง

เลวร้าย ( 4 )
พบญ 15.21 แต่ถ้าสัตว์นั้นมีตำหนิใดๆคือขาเกหรือตาบอด หรือมีตำหนิเลวร้ายอย่างใด ท่านอย่าถวายบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
1ซมอ 3.13 ดังนั้นเราจึงบอกเขาว่า เราจะลงโทษวงศ์วานของเขาเป็นนิตย์ เพราะความชั่วช้าซึ่งเขารู้แล้ว เพราะบุตรชายทั้งสองของเขาประพฤติเลวร้าย และเขาก็มิได้ห้ามปราม
ลก 11.26 มันจึงไปรับเอาผีอื่นอีกเจ็ดผีร้ายกว่ามันเอง แล้วก็เข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น และในที่สุดคนนั้นก็เลวร้ายกว่าตอนแรก”
ทต 3.3 เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นบางครั้งเราเองก็โง่เช่นกัน ไม่เชื่อฟัง หลงผิด เป็นทาสของกิเลสตัณหาและการเริงสำราญต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างเลวร้าย ริษยา น่าชัง และเกลียดชังกันและกัน

เลวี ( 87 )
ปฐก 29.34 นางตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นชายอีกคนหนึ่ง และกล่าวว่า “ครั้งนี้สามีจะสนิทสนมกับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้คลอดบุตรเป็นชายสามคนให้เขาแล้ว” เหตุนี้จึงตั้งชื่อเขาว่า เลวี
ปฐก 34.25 ครั้นอยู่มาถึงวันที่สาม เมื่อคนเหล่านั้นกำลังเจ็บอยู่ บุตรชายสองคนของยาโคบชื่อสิเมโอนและเลวี เป็นพี่ชายนางสาวดีนาห์ ก็ถือดาบเข้าไปในเมืองด้วยใจกล้าหาญฆ่าผู้ชายในเมืองนั้นเสียสิ้น
ปฐก 34.30 ฝ่ายยาโคบจึงพูดกับสิเมโอนและเลวีว่า “เจ้าทำให้เราลำบากใจ โดยทำให้เราเป็นที่เกลียดชังแก่คนแผ่นดินนี้ คือคนคานาอันกับคนเปริสซี เรามีผู้คนน้อยนัก เขาทั้งหลายจะรุมกันมาฆ่าเราเสีย จะทำให้เราและครอบครัวพินาศสิ้น”
ปฐก 35.23 บุตรชายของนางเลอาห์ชื่อ รูเบน เป็นบุตรหัวปีของยาโคบ สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์และเศบูลุน
ปฐก 46.11 บุตรชายของเลวี คือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี
ปฐก 49.5 สิเมโอนกับเลวีเป็นพี่น้องกัน เครื่องอาวุธร้ายกาจอยู่ในที่อาศัยของเขา
อพย 1.2 คือ รูเบน สิเมโอน เลวี และ ยูดาห์
อพย 2.1 ยังมีชายวงศ์วานเลวีคนหนึ่ง ได้หญิงสาวคนเลวีมาเป็นภรรยา
อพย 6.16 และคนเหล่านี้เป็นชื่อบุตรชายของเลวีตามพงศ์พันธุ์ของเขาคือ เกอร์โชน โคฮาทและเมรารี เลวีนั้นมีอายุได้ร้อยสามสิบเจ็ดปี
อพย 6.19 บุตรชายของเมรารีชื่อ มาฮาลี และมูชี คนเหล่านี้เป็นครอบครัวต่างๆของเลวีตามพงศ์พันธุ์ของเขา
อพย 32.26 แล้วโมเสสยืนอยู่ที่ประตูค่ายร้องว่า “ผู้ใดอยู่ฝ่ายพระเยโฮวาห์ให้ผู้นั้นมาหาเราเถิด” ฝ่ายลูกหลานของเลวีได้มาหาโมเสสพร้อมกัน
อพย 32.28 ฝ่ายลูกหลานของเลวีก็ทำตามโมเสสสั่ง และพลไพร่ประมาณสามพันคนตายลงในวันนั้น
ลนต 25.33 ถ้าผู้ใดซื้อของจากคนเลวี เรือนซึ่งถูกขายไปนั้นกับเมืองที่เขาถือกรรมสิทธิ์ต้องกลับคืนในปีเสียงแตร เพราะเรือนทั้งหลายในหัวเมืองของพวกเลวีก็เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาท่ามกลางพวกอิสราเอล
กดว 1.49 “เฉพาะตระกูลเลวีเจ้าอย่านับและอย่าทำสำมะโนครัวไว้ในคนอิสราเอล
กดว 1.53 แต่ให้คนเลวีตั้งเต็นท์รอบพลับพลาพระโอวาท เพื่อมิให้พระพิโรธเกิดเหนือชุมนุมชนอิสราเอล ให้ตระกูลเลวีปฏิบัติงานพลับพลาพระโอวาท”
กดว 2.33 แต่มิได้นับพวกเลวีรวมเข้าในคนอิสราเอล ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสส
กดว 3.6 “จงนำตระกูลเลวีเข้ามาใกล้ และตั้งเขาไว้ต่อหน้าอาโรนปุโรหิต ให้เขาปรนนิบัติอาโรน
กดว 3.17 ต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรชายของเลวี คือเกอร์โชน โคฮาท และเมรารี
กดว 3.41 เจ้าจงกันพวกเลวีไว้ให้เรา (เราคือพระเยโฮวาห์) ทั้งนี้เพื่อแทนบรรดาบุตรหัวปีท่ามกลางคนอิสราเอล และให้สัตว์ทั้งปวงของคนเลวีแทนสัตว์หัวปีทั้งหลายของคนอิสราเอล”
กดว 16.1 โคราห์ บุตรชายอิสฮาร์ ผู้เป็นบุตรชายโคฮาท ผู้เป็นบุตรชายเลวี กับดาธานและอาบีรัม บุตรชายเอลีอับ กับโอนบุตรชายเปเลท บุตรชายรูเบน พาคนไป
กดว 16.7 จงเอาไฟใส่และใส่เครื่องหอมต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ในวันพรุ่งนี้ ผู้ใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกก็จะเป็นคนบริสุทธิ์ บุตรชายของเลวีเอ๋ย ท่านทั้งหลายได้กระทำเกินเหตุไป”
กดว 16.8 และโมเสสพูดกับโคราห์ว่า “พวกท่านผู้เป็นบุตรชายของเลวีจงฟัง
กดว 16.10 และพระองค์ทรงนำท่านมาใกล้พระองค์รวมทั้งพี่น้องทั้งสิ้นของท่าน คือลูกหลานของเลวี ท่านทั้งหลายแสวงหาตำแหน่งปุโรหิตด้วยหรือ
กดว 17.8 อยู่มาวันรุ่งขึ้นโมเสสได้เข้าไปในพลับพลาพระโอวาท ดูเถิด ไม้เท้าของอาโรนสำหรับวงศ์วานเลวีได้งอก มีดอกตูมและดอกบาน และเกิดผลอัลมันด์สุกบ้าง
กดว 18.2 และจงนำพี่น้องของเจ้ามาใกล้เจ้า ซึ่งเป็นตระกูลเลวี ตระกูลบิดาของเจ้า เพื่อเขาจะสมทบกับเจ้า และปรนนิบัติเจ้า ขณะที่เจ้าและบุตรชายปรนนิบัติอยู่ต่อหน้าพลับพลาพระโอวาท
กดว 26.58 ต่อไปนี้เป็นครอบครัวของเลวี คือคนครอบครัวลิบนี คนครอบครัวเฮโบรน คนครอบครัวมาลี คนครอบครัวมูชี คนครอบครัวโคราห์ และโคฮาทให้กำเนิดบุตรชื่ออัมราม
กดว 26.59 ภรรยาของอัมรามคือโยเคเบดบุตรสาวของเลวีเกิดแก่เลวีที่อียิปต์ และนางคลอดบุตรให้อัมรามชื่อ อาโรนและโมเสส และมิเรียมพี่สาวของเขาทั้งสอง
พบญ 10.8 ครั้งนั้นพระเยโฮวาห์ได้แยกตระกูลเลวี ให้หามหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ ให้เฝ้าพระเยโฮวาห์เพื่อปรนนิบัติพระองค์ และให้อำนวยพรในพระนามของพระองค์ จนถึงทุกวันนี้
พบญ 18.1 “คนเลวีซึ่งเป็นปุโรหิตและตระกูลเลวีทั้งหมด จะไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกร่วมกับคนอิสราเอล เขาจะรับประทานเครื่องบูชาที่ถวายด้วยไฟแด่พระเยโฮวาห์และส่วนที่ตกเป็นของพระองค์
พบญ 21.5 และปุโรหิตผู้เป็นลูกหลานของเลวีจะต้องเข้ามาใกล้ ด้วยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ทรงเลือกเขาไว้ให้ปรนนิบัติพระองค์ และให้อวยพรในพระนามของพระเยโฮวาห์ ให้การวิวาทและการทำร้ายทุกเรื่องสิ้นสุดลงด้วยคำของปุโรหิตเหล่านี้
พบญ 27.12 “เมื่อท่านทั้งหลายยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนั้นแล้ว ให้คนต่อไปนี้ยืนบนภูเขาเกริซิมกล่าวคำอวยพรแก่ประชาชน คือสิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ โยเซฟและเบนยามิน
พบญ 31.9 โมเสสได้เขียนพระราชบัญญัตินี้ และมอบให้แก่ปุโรหิตลูกหลานของเลวี ผู้ซึ่งหามหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และแก่พวกผู้ใหญ่ทั้งปวงของคนอิสราเอล
พบญ 33.8 ท่านกล่าวถึงเลวีว่า “ขอให้ทูมมีมและอูรีมของพระองค์อยู่กับผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงทดลองแล้วที่ตำบลมัสสาห์ ผู้ที่พระองค์ได้ต่อสู้แล้วที่น้ำเมรีบาห์
ยชว 13.14 เฉพาะตระกูลเลวีตระกูลเดียวโมเสสหาได้มอบมรดกให้ไม่ ของบูชาด้วยไฟที่ถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลเป็นมรดกของเขา ดังที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขาแล้ว
ยชว 13.33 แต่โมเสสมิได้มอบมรดกให้แก่คนตระกูลเลวี พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลเป็นมรดกของเขา ดังที่พระองค์ตรัสไว้กับเขา
ยชว 14.3 เพราะโมเสสได้ให้มรดกแก่คนสองตระกูลครึ่งทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นแล้ว แต่ท่านหาได้แบ่งส่วนมรดกให้แก่พวกเลวีไม่
ยชว 14.4 เพราะว่าลูกหลานของโยเซฟมีสองตระกูล คือมนัสเสห์และเอฟราอิม และพวกเลวีหาได้มีส่วนแบ่งในแผ่นดินนั้นไม่ ได้แต่หัวเมืองที่จะเข้าอาศัยอยู่ กับลานทุ่งหญ้ารอบเมืองสำหรับฝูงสัตว์และทรัพย์สินของเขาเท่านั้น
วนฉ 17.7 มีชายหนุ่มคนหนึ่งชาวบ้านเบธเลเฮมในยูดาห์ ครอบครัวยูดาห์ เป็นพวกเลวี อาศัยอยู่ที่นั่น
วนฉ 17.9 มีคาห์จึงพูดกับเขาว่า “ท่านมาจากไหน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นพวกเลวีชาวบ้านเบธเลเฮมในยูดาห์ ข้าพเจ้าเดินทางเที่ยวหาที่พักอาศัย”
วนฉ 17.10 มีคาห์จึงกล่าวแก่เขาว่า “จงอยู่กับข้าพเจ้าเถิด เป็นอย่างบิดาและปุโรหิตของข้าพเจ้าก็แล้วกัน ข้าพเจ้าจะจ่ายเงินให้ปีละสิบเชเขล ให้เครื่องแต่งตัวสำรับหนึ่ง และอาหารรับประทานด้วย” เลวีคนนั้นจึงเข้าไป
วนฉ 17.11 เลวีคนนั้นก็พอใจที่จะอยู่กับชายคนนั้น และชายหนุ่มคนนั้นก็เป็นเหมือนลูกของเขา
วนฉ 17.12 มีคาห์ก็แต่งตั้งเลวีคนนั้นและชายหนุ่มคนนั้นก็เป็นปุโรหิตของเขา และอยู่ในบ้านของมีคาห์
วนฉ 17.13 มีคาห์กล่าวว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า พระเยโฮวาห์จะทรงให้ข้าพเจ้าอยู่เย็นเป็นสุข เพราะว่าข้าพเจ้ามีเลวีคนหนึ่งเป็นปุโรหิต”
วนฉ 18.3 เมื่อเขาอยู่ใกล้บ้านของมีคาห์ เขาก็จำเสียงเลวีหนุ่มคนนั้นได้ จึงแวะเข้าไปถามว่า “ใครพาท่านมาที่นี่ ท่านทำอะไรในที่นี้ ท่านทำงานอะไรที่นี่”
วนฉ 18.15 เขาทั้งหลายก็แวะเข้าบ้านของเลวีหนุ่มคนนั้น คือที่บ้านของมีคาห์ถามดูทุกข์สุขของเขา
1พศด 2.1 ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของอิสราเอล คือ รูเบน สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ เศบูลุน
1พศด 6.1 บุตรชายของเลวีคือ เกอร์โชม โคฮาท และเมรารี
1พศด 6.16 บุตรชายของเลวีคือ เกอร์โชม โคฮาท และเมรารี
1พศด 6.38 ผู้เป็นบุตรชายอิสฮาร์ ผู้เป็นบุตรชายโคฮาท ผู้เป็นบุตรชายเลวี ผู้เป็นบุตรชายอิสราเอล
1พศด 6.43 ผู้เป็นบุตรชายยาหาท ผู้เป็นบุตรชายเกอร์โชม ผู้เป็นบุตรชายเลวี
1พศด 6.47 ผู้เป็นบุตรชายมาห์ลี ผู้เป็นบุตรชายมูชี ผู้เป็นบุตรชายเมรารี ผู้เป็นบุตรชายเลวี
1พศด 9.2 ฝ่ายพวกแรกที่เข้ามาอาศัยในที่กรรมสิทธิ์ของเขาอีกในบรรดาหัวเมืองของเขานั้น คืออิสราเอล พวกปุโรหิต พวกเลวี และพวกคนใช้ประจำพระวิหาร
1พศด 9.26 เพราะนายประตูรั้วทั้งสี่คน ผู้เป็นพวกเลวีนั้น มีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้ดูแลห้องและคลังของพระนิเวศแห่งพระเจ้า
1พศด 21.6 แต่ท่านมิได้นับเลวีและเบนยามินท่ามกลางจำนวนนั้นด้วย เพราะว่าพระดำรัสของกษัตริย์เป็นที่น่ารังเกียจแก่โยอาบ
1พศด 23.6 และดาวิดทรงจัดแบ่งเป็นกองๆตามบุตรชายของเลวี คือ เกอร์โชม โคฮาท และเมรารี
1พศด 23.14 ฝ่ายโมเสสคนของพระเจ้านั้น บุตรชายของท่านมีชื่อเสียงท่ามกลางคนตระกูลเลวี
1พศด 24.6 และเชไมอาห์บุตรชายนาธันเอลอาลักษณ์ ผู้เป็นพวกเลวี ได้บันทึกไว้ต่อพระพักตร์กษัตริย์ ต่อหน้าเจ้านาย และศาโดกปุโรหิต และอาหิเมเลคบุตรชายอาบียาธาร์ และต่อหน้าประมุขของบรรพบุรุษของปุโรหิตและของคนเลวี เขาจับสลากครอบครัวหนึ่งจากเอเลอาซาร์ และจับสลากครอบครัวหนึ่งจากอิธามาร์
1พศด 24.20 ฝ่ายลูกหลานของเลวีที่เหลืออยู่คือ จากบุตรชายของอัมรามมี ชูบาเอล จากบุตรชายของชูบาเอลมี เยเดยาห์
2พศด 5.12 และบรรดาพวกเลวีที่เป็นนักร้องทั้งหมด ทั้งอาสาฟ เฮมาน และเยดูธูน ทั้งบุตรชายและญาติของเขาทั้งหลาย แต่งกายด้วยผ้าป่านสีขาว มีฉาบ พิณใหญ่ และพิณเขาคู่ ยืนอยู่ทางตะวันออกของแท่นบูชา พร้อมกับปุโรหิตเป่าแตรหนึ่งร้อยยี่สิบคน)
2พศด 19.11 และดูเถิด อามาริยาห์ปุโรหิตใหญ่ก็อยู่เหนือท่านในสรรพกิจของพระเยโฮวาห์ และเศบาดิยาห์บุตรชายอิชมาเอลเจ้านายของวงศ์วานยูดาห์ก็อยู่เหนือท่านในสรรพกิจของกษัตริย์ และเลวีจะเป็นเจ้าหน้าที่ปรนนิบัติท่าน จงประกอบกิจอย่างแกล้วกล้า และขอพระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับผู้เที่ยงธรรม”
อสร 8.15 ข้าพเจ้าได้รวบรวมเขาทั้งหลายเข้ามายังแม่น้ำที่ไหลไปสู่อาหะวา เราตั้งค่ายอยู่ที่นั่นสามวัน เมื่อข้าพเจ้าสำรวจดูประชาชนและปุโรหิต ข้าพเจ้าไม่เห็นลูกหลานของเลวีที่นั่นเลย
อสร 8.18 และโดยพระหัตถ์อันทรงพระคุณของพระเจ้าของเราอยู่กับเรา เขาได้นำคนที่มีความสุขุมมาให้เรา เป็นลูกหลานของมาห์ลีบุตรชายเลวี ผู้เป็นบุตรชายอิสราเอล ชื่อเชเรบิยาห์ กับบุตรชายและญาติพี่น้อง รวมสิบแปดคน
อสร 10.5 แล้วเอสราได้ลุกขึ้นให้บรรดาปุโรหิตใหญ่และเลวีและอิสราเอลทั้งปวงกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า เขาจะกระทำตามที่ได้พูดแล้ว เขาทั้งหลายจึงกระทำสัตย์ปฏิญาณ
นหม 12.23 ลูกหลานของเลวี ประมุขของบรรพบุรุษ มีบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดาร จนสมัยของโยฮานันบุตรชายเอลียาชีบ
สดด 135.20 โอ วงศ์วานเลวีเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเยโฮวาห์ ท่านที่ยำเกรงพระเยโฮวาห์ จงถวายสาธุการแด่พระเยโฮวาห์
อสย 66.21 และเราจะเอาเขาบางคนเป็นปุโรหิตและเป็นพวกเลวี” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้
อสค 40.46 และห้องซึ่งหันหน้าไปทางเหนือ สำหรับปุโรหิตผู้ดูแลแท่นบูชา ปุโรหิตเหล่านี้เป็นบุตรชายของศาโดกในบรรดาบุตรชายของเลวี ที่เข้ามาใกล้พระเยโฮวาห์เพื่อจะปรนนิบัติพระองค์”
อสค 48.31 ประตูนครนั้นตั้งชื่อตามชื่อตระกูลคนอิสราเอล มีประตูสามประตูทางด้านเหนือ ประตูของรูเบน ประตูของยูดาห์ ประตูของเลวี
ศคย 12.13 ครอบครัวของวงศ์วานเลวีต่างหาก และภรรยาของเขาต่างหาก ครอบครัวชิเมอีต่างหาก และภรรยาของเขาต่างหาก
มลค 2.4 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าจึงจะทราบว่า เราส่งคำบัญชานี้มาให้เจ้า เพื่อว่าพันธสัญญาของเราซึ่งทำไว้กับเลวีจะคงอยู่
มลค 2.8 แต่เจ้าเองได้หันไปเสียจากทางนั้น เจ้าเป็นเหตุให้หลายคนสะดุดเพราะเหตุราชบัญญัติ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าได้กระทำให้พันธสัญญาของเลวีเสื่อมไป
มลค 3.3 ท่านจะนั่งลงอย่างช่างหลอมและช่างถลุงเงิน และท่านจะชำระลูกหลานของเลวีให้บริสุทธิ์ และถลุงเขาอย่างถลุงทองคำและถลุงเงิน เพื่อเขาจะได้นำเครื่องบูชาอันชอบธรรมถวายแด่พระเยโฮวาห์
มก 2.14 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จไปนั้น พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นเลวีบุตรชายอัลเฟอัสนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี จึงตรัสแก่เขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
มก 2.15 ต่อมาเมื่อพระเยซูเอนพระกายลงเสวยอยู่ในเรือนของเลวี มีพวกคนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนเอนกายลงร่วมสำรับกับพระเยซูและพวกสาวกของพระองค์ เพราะมีคนติดตามพระองค์ไปมาก
ลก 3.24 ซึ่งเป็นบุตรมัทธัต ซึ่งเป็นบุตรเลวี ซึ่งเป็นบุตรเมลคี ซึ่งเป็นบุตรยันนาย ซึ่งเป็นบุตรโยเซฟ
ลก 3.29 ซึ่งเป็นบุตรโยซี ซึ่งเป็นบุตรเอลีเยเซอร์ ซึ่งเป็นบุตรโยริม ซึ่งเป็นบุตรมัทธัต ซึ่งเป็นบุตรเลวี
ลก 5.27 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระองค์ได้เสด็จออกไป และทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่ง ชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด”
ลก 5.29 เลวีได้จัดให้มีการเลี้ยงใหญ่ในเรือนของตนเพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระองค์ มีคนมากมายเป็นคนเก็บภาษีและคนอื่นๆมาเอนกายลงรับประทานด้วยกัน
ลก 10.32 คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง
ยน 1.19 นี่แหละเป็นคำพยานของยอห์น เมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกเลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า “ท่านคือผู้ใด”
กจ 4.36 ฝ่ายโยเสส ที่อัครสาวกเรียกว่า บารนาบัส (แปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ) เป็นพวกเลวี ชาวเกาะไซปรัส
ฮบ 7.5 และแท้จริงบรรดาบุตรของเลวี ซึ่งได้รับตำแหน่งปุโรหิตนั้น ถึงแม้ว่าท่านเหล่านั้นได้บังเกิดจากเอวของอับราฮัม ก็ยังมีพระบัญชาสั่งให้รับสิบชักหนึ่งจากประชาชนตามพระราชบัญญัติ คือจากพวกพี่น้องของตน
ฮบ 7.9 ถ้าจะพูดไปอีกอย่างหนึ่งก็ว่า เลวีนั้นที่รับสิบชักหนึ่งก็ยังได้ถวายสิบชักหนึ่งทางอับราฮัม
ฮบ 7.11 เหตุฉะนั้นถ้าเมื่อจะถึงความสำเร็จได้ในทางตำแหน่งปุโรหิตที่สืบมาจากตระกูลเลวี (ด้วยว่าประชาชนได้รับพระราชบัญญัติโดยทางตำแหน่งนี้) ที่ไหนจะต้องการให้มีปุโรหิตอีกตามอย่างเมลคีเซเดคเล่า ซึ่งมิได้เรียกตามอย่างอาโรน
วว 7.7 ผู้ที่มาจากตระกูลสิเมโอนได้การประทับตราหมื่นสองพันคน ผู้ที่มาจากตระกูลเลวีได้การประทับตราหมื่นสองพันคน ผู้ที่มาจากตระกูลอิสสาคาร์ได้การประทับตราหมื่นสองพันคน

เลวีอาธาน ( 5 )
โยบ 41.1 “เจ้าจะลากเลวีอาธานออกมาด้วยเบ็ดได้หรือ หรือจะเอาเชือกกดลิ้นของมันลงได้
สดด 74.14 พระองค์ทรงทุบหัวทั้งหลายของเลวีอาธานเป็นชิ้นๆ พระองค์ประทานมันให้เป็นอาหารของคนที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
สดด 104.26 กำปั่นแล่นไปโน่นแน่ะ และเลวีอาธานที่พระองค์สร้างไว้ให้เล่นนั้น
อสย 27.1 ในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงลงโทษด้วยพระแสงอันร้ายกาจ ยิ่งใหญ่ และแข็งแกร่งของพระองค์ต่อเลวีอาธาน ซึ่งเป็นพญานาคที่ฉกกัด คือเลวีอาธานพญานาคที่ขด และพระองค์จะทรงประหารมังกรที่อยู่ในทะเล

เล่ห์กล ( 6 )
อพย 7.11 ฝ่ายฟาโรห์ก็เรียกพวกนักปราชญ์ และพวกนักวิทยากลมาด้วย พวกนักแสดงกลแห่งอียิปต์จึงทำได้เหมือนกันด้วยเล่ห์กลของเขา
อพย 7.22 แต่พวกนักแสดงกลแห่งอียิปต์ก็กระทำได้เหมือนกันอาศัยเล่ห์กลของเขา และพระทัยของฟาโรห์ก็แข็งกระด้าง ฟาโรห์หาเชื่อฟังท่านทั้งสองไม่ เหมือนที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้
อพย 8.7 ฝ่ายพวกนักแสดงกลก็ทำตามเล่ห์กลของเขา ให้มีฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์เหมือนกัน
อพย 8.18 ฝ่ายพวกนักแสดงกลก็พยายามใช้เล่ห์กลของเขา เพื่อทำให้เกิดริ้น แต่ก็ทำไม่ได้ ริ้นพากันมาตอมมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง
อฟ 4.14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไปถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง
ฮบ 3.13 ท่านจงเตือนสติกันและกันทุกวัน ตลอดเวลาที่เรียกว่า “วันนี้” เพื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในพวกท่านมีใจแข็งกระด้างไปเพราะเล่ห์กลของบาป

เล่ห์กะเท่ห์ ( 1 )
สภษ 28.18 บุคคลที่ดำเนินในความเที่ยงธรรมจะได้รับการช่วยให้รอด แต่คนที่มีเล่ห์กะเท่ห์ในทางทั้งหลายของเขาเองจะตกทันที

เล่ห์ลวง ( 1 )
ฮชย 11.12 เอฟราอิมได้กั้นล้อมเราไว้ด้วยความมุสา และวงศ์วานอิสราเอลล้อมเราด้วยเล่ห์ลวง แต่ยูดาห์ยังปกครองอยู่กับพระเจ้าและสัตย์ซื่ออยู่กับพวกวิสุทธิชน

เล่ห์เหลี่ยม ( 1 )
2คร 4.2 แต่ว่าเราได้สละทิ้งกิจการต่างๆที่ไม่ซื่อสัตย์ซึ่งปิดบังซ่อนเร้นไว้ คือไม่ได้ดำเนินอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมและไม่ได้พลิกแพลงพระวจนะของพระเจ้าด้วยวิธีการอันล่อลวง แต่เราได้มอบตัวของเราไว้กับจิตสำนึกผิดชอบของคนทั้งปวง โดยสำแดงความจริงในสายพระเนตรของพระเจ้า

เลหะบิม ( 2 )
ปฐก 10.13 มิสรายิมให้กำเนิดบุตรชื่อลูดิม อานามิม เลหะบิม นัฟทูฮิม
1พศด 1.11 มิสรายิมให้กำเนิดบุตรชื่อลูดิม อานามิม เลหะบิม นัฟทูฮิม

เลอาห์ ( 36 )
ปฐก 29.16 ลาบันมีบุตรสาวสองคน พี่สาวชื่อเลอาห์ น้องสาวชื่อราเชล
ปฐก 29.17 นางสาวเลอาห์นั้นตายิบหยี แต่นางสาวราเชลนั้นสละสลวยและงามน่าดู
ปฐก 29.23 และต่อมาครั้นเวลาค่ำ ลาบันก็พาเลอาห์บุตรสาวของตนมามอบให้แก่ยาโคบ และยาโคบก็เข้าไปหานาง
ปฐก 29.24 ลาบันยกศิลปาห์สาวใช้ของตนให้เป็นสาวใช้ของนางเลอาห์
ปฐก 29.25 และต่อมาพอรุ่งขึ้น ดูเถิด เป็นนางเลอาห์ ยาโคบจึงกล่าวแก่ลาบันว่า “ลุงทำอะไรกับข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้ารับใช้ลุงเพื่อได้ราเชลมิใช่หรือ ทำไมลุงจึงล่อลวงข้าพเจ้าเล่า”
ปฐก 29.30 ฝ่ายยาโคบก็เข้าไปหาราเชลด้วย และเขารักราเชลมากกว่าเลอาห์ เขาจึงรับใช้ลาบันต่อไปอีกเจ็ดปี
ปฐก 29.31 เมื่อพระเยโฮวาห์ทรงเห็นว่ายาโคบชังเลอาห์ พระองค์จึงทรงเปิดครรภ์ของนาง แต่ราเชลนั้นเป็นหมัน
ปฐก 29.32 นางเลอาห์ตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชาย และตั้งชื่อว่ารูเบน ด้วยนางว่า “เพราะพระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรความทุกข์ใจของข้าพเจ้าแน่ๆ บัดนี้สามีจึงจะรักข้าพเจ้า”
ปฐก 29.33 นางเลอาห์ตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชายอีกคนหนึ่งและว่า “เหตุพระเยโฮวาห์ทรงได้ยินว่าข้าพเจ้าเป็นที่ชัง พระองค์จึงทรงประทานบุตรชายคนนี้ให้แก่ข้าพเจ้าด้วย” นางตั้งชื่อเขาว่า สิเมโอน
ปฐก 30.9 เมื่อนางเลอาห์เห็นว่าตนหยุดคลอดบุตร นางจึงยกศิลปาห์สาวใช้ของตนให้เป็นภรรยาของยาโคบ
ปฐก 30.10 ศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์ก็คลอดบุตรชายให้แก่ยาโคบ
ปฐก 30.11 นางเลอาห์ว่า “กองทหารกำลังมา” จึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า กาด
ปฐก 30.12 แล้วศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์ ก็คลอดบุตรชายคนที่สองให้แก่ยาโคบ
ปฐก 30.13 นางเลอาห์ก็ว่า “ข้าพเจ้ามีความสุขเพราะพวกบุตรสาวจะเรียกข้าพเจ้าว่าเป็นสุข” นางจึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า อาเชอร์
ปฐก 30.14 ในฤดูเกี่ยวข้าวสาลี รูเบนออกไปที่นาพบมะเขือดูดาอิม จึงเก็บผลมาให้นางเลอาห์มารดา ราเชลจึงพูดกับเลอาห์ว่า “ขอมะเขือดูดาอิมของบุตรชายของพี่ให้ฉันบ้าง”
ปฐก 30.15 นางเลอาห์ตอบนางว่า “ที่น้องแย่งสามีของฉันไปแล้วนั้นยังน้อยไปหรือจึงจะมาเอามะเขือดูดาอิมของบุตรชายฉันด้วย” ราเชลตอบว่า “ฉะนั้นถ้าให้มะเขือดูดาอิมของบุตรชายแก่ฉัน คืนวันนี้เขาจะไปนอนกับพี่”
ปฐก 30.16 และยาโคบกลับมาจากนาเวลาเย็น นางเลอาห์ก็ออกไปต้อนรับเขาบอกว่า “จงเข้ามาหาฉันเถิด เพราะฉันให้มะเขือดูดาอิมของบุตรชายเป็นสินจ้างท่านแล้ว” คืนวันนั้นยาโคบก็นอนกับนาง
ปฐก 30.17 พระเจ้าทรงสดับฟังนางเลอาห์ นางก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนที่ห้าให้แก่ยาโคบ
ปฐก 30.18 ฝ่ายนางเลอาห์พูดว่า “พระเจ้าทรงประทานสินจ้างนั้นให้แก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายกหญิงคนใช้ให้สามี” นางจึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า อิสสาคาร์
ปฐก 30.19 นางเลอาห์ก็ตั้งครรภ์อีก และคลอดบุตรชายคนที่หกให้แก่ยาโคบ
ปฐก 30.20 แล้วนางเลอาห์จึงว่า “พระเจ้าทรงประทานของดีให้ข้าพเจ้า บัดนี้สามีจะอาศัยอยู่กับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้ให้บุตรชายแก่เขาหกคนแล้ว” นางจึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า เศบูลุน
ปฐก 31.4 ยาโคบก็ให้คนไปเรียกนางราเชลและนางเลอาห์ให้มาที่ทุ่งนาที่เลี้ยงฝูงสัตว์
ปฐก 31.14 นางราเชลกับนางเลอาห์จึงตอบเขาว่า “เรายังมีส่วนทรัพย์มรดกในบ้านบิดาเราอีกหรือไม่
ปฐก 31.33 ลาบันจึงเข้าไปในเต็นท์ของยาโคบ เต็นท์ของนางเลอาห์และเต็นท์สาวใช้ทั้งสองคนนั้น แต่หาไม่พบ จึงออกจากเต็นท์ของนางเลอาห์ แล้วเข้าไปในเต็นท์ของนางราเชล
ปฐก 33.1 ยาโคบเงยหน้าขึ้นดู และดูเถิด เอซาวกำลังมาพร้อมกับพวกผู้ชายสี่ร้อยคน ยาโคบจึงแบ่งลูกๆให้นางเลอาห์ นางราเชลและสาวใช้ทั้งสอง
ปฐก 33.2 เขาให้สาวใช้ทั้งสองกับลูกอยู่ข้างหน้า ถัดมานางเลอาห์กับลูก ส่วนนางราเชลกับโยเซฟอยู่ท้ายสุด
ปฐก 33.7 นางเลอาห์กับลูกของเขาก็เข้ามาใกล้และกราบลงด้วย ภายหลังโยเซฟและนางราเชลก็เข้ามาใกล้และกราบลง
ปฐก 34.1 ฝ่ายดีนาห์บุตรสาวของนางเลอาห์ซึ่งนางบังเกิดให้กับยาโคบนั้นออกไปเยี่ยมผู้หญิงในแผ่นดินนั้น
ปฐก 35.23 บุตรชายของนางเลอาห์ชื่อ รูเบน เป็นบุตรหัวปีของยาโคบ สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์และเศบูลุน
ปฐก 35.26 บุตรชายของนางศิลปาห์ สาวใช้ของนางเลอาห์ชื่อ กาด และอาเชอร์ คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของยาโคบ ซึ่งเกิดที่ปัดดานอารัม
ปฐก 46.15 พวกเหล่านี้เป็นบุตรชายของนางเลอาห์ ซึ่งนางคลอดให้ยาโคบในปัดดานอารัม กับบุตรสาวชื่อ ดีนาห์ บุตรชายหญิงหมดด้วยกันมีสามสิบสามคน
ปฐก 46.18 พวกเหล่านี้เป็นบุตรชายของนางศิลปาห์ ผู้ที่ลาบันยกให้แก่นางเลอาห์บุตรสาวของตน และบุตรสิบหกคนนี้นางคลอดให้ยาโคบ
ปฐก 49.31 ณ ที่นั่น เขาฝังศพอับราฮัม และซาราห์ภรรยาของเขา ที่นั่นเขาได้ฝังศพอิสอัคและเรเบคาห์ภรรยาของเขา และที่นั่นเราฝังศพเลอาห์
นรธ 4.11 ประชาชนทั้งปวงที่อยู่ที่ประตูเมืองและพวกผู้ใหญ่กล่าวว่า “เราทั้งหลายเป็นพยานแล้ว ขอพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้หญิงนั้นที่กำลังจะเข้ามาในเรือนของท่านเหมือนนางราเชลและนางเลอาห์ ผู้ซึ่งช่วยกันสร้างวงศ์วานอิสราเอล ขอให้ท่านจงจำเริญอยู่ในเอฟราธาห์และมีชื่อเสียงในเบธเลเฮม

เลอุมมิม ( 1 )
ปฐก 25.3 โยกชานให้กำเนิดบุตรชื่อเชบาและเดดาน บุตรชายของเดดาน คืออัสชูริม เลทูชิมและเลอุมมิม

เลฮี ( 3 )
วนฉ 15.9 ฝ่ายคนฟีลิสเตียก็ขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ในเขตยูดาห์ และกระจายกันเข้าโจมตีเมืองเลฮี
วนฉ 15.14 เมื่อท่านมาถึงเลฮีแล้วคนฟีลิสเตียก็ร้องอึกทึกมาพบท่าน และพระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ก็ทรงสถิตกับแซมสันอย่างมาก เชือกพวนที่ผูกแขนของท่านก็เป็นประดุจป่านที่ไหม้ไฟ เครื่องจองจำนั้นก็หลุดออกจากมือ
วนฉ 15.19 พระเจ้าจึงทรงเปิดช่องที่กระดูกขากรรไกรลาให้น้ำไหลออกมาจากที่นั้น ท่านก็ได้ดื่มและจิตวิญญาณก็สดชื่นฟื้นขึ้นอีก เพราะฉะนั้นที่แห่งนั้นท่านจึงเรียกชื่อว่า เอนหักโคร์ อยู่ที่เลฮีจนถึงทุกวันนี้

เล่า ( 450 )
ปฐก 25.32 เอซาวว่า “ดูเถิด ข้ากำลังจะตายอยู่แล้ว สิทธิบุตรหัวปีจะเป็นประโยชน์อะไรแก่ข้าเล่า”
ปฐก 27.33 อิสอัคก็ตัวสั่นมากพูดว่า “ใครเล่า คือผู้นั้นอยู่ที่ไหน ที่ไปล่าเนื้อ แล้วนำมาให้พ่อ พ่อกินหมดแล้วก่อนเจ้ามาถึงและพ่ออวยพรเขาแล้ว เป็นที่แน่ว่าผู้นั้นจะได้รับพร”
ปฐก 27.37 อิสอัคตอบเอซาวว่า “ดูเถิด พ่อตั้งให้เขาเป็นนายเหนือเจ้า และมอบบรรดาพี่น้องของเขาให้เป็นคนใช้ของเขา ทั้งข้าวและน้ำองุ่นพ่อก็จัดให้เขา ลูกเอ๋ย พ่อจะทำอะไรให้เจ้าได้อีกเล่า”
ปฐก 27.45 จนกว่าความโกรธของพี่ชายเจ้าจะคลายลง และเขาลืมสิ่งที่เจ้าได้ทำแก่เขา แล้วแม่จะส่งให้คนไปพาเจ้ากลับมาจากที่นั่น แม่ต้องสูญเสียลูกทั้งสองคนในวันเดียวกันทำไมเล่า”
ปฐก 27.46 นางเรเบคาห์พูดกับอิสอัคว่า “ข้าพเจ้าเบื่อชีวิตของข้าพเจ้าเหลือเกิน เพราะบุตรสาวของคนเฮท ถ้ายาโคบแต่งงานกับบุตรสาวคนเฮท ซึ่งเป็นหญิงแผ่นดินนี้ ชีวิตข้าพเจ้าจะเป็นประโยชน์อะไรแก่ข้าพเจ้าเล่า”
ปฐก 29.13 ต่อมาครั้นลาบันได้ยินข่าวถึงยาโคบบุตรชายน้องสาวของตน เขาก็วิ่งไปพบและกอดจุบยาโคบและพามาบ้านของเขา ยาโคบก็เล่าเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดให้ลาบันฟัง
ปฐก 29.25 และต่อมาพอรุ่งขึ้น ดูเถิด เป็นนางเลอาห์ ยาโคบจึงกล่าวแก่ลาบันว่า “ลุงทำอะไรกับข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้ารับใช้ลุงเพื่อได้ราเชลมิใช่หรือ ทำไมลุงจึงล่อลวงข้าพเจ้าเล่า”
ปฐก 30.30 เพราะว่าก่อนข้าพเจ้ามานั้นลุงมีแต่น้อย แต่บัดนี้ก็มีทวีขึ้นเป็นอันมาก ตั้งแต่ข้าพเจ้ามาถึง พระเยโฮวาห์ได้ทรงอวยพระพรแก่ลุง และบัดนี้เมื่อไรข้าพเจ้าจะบำรุงครอบครัวของตนเองได้บ้างเล่า”
ปฐก 31.26 ลาบันกล่าวกับยาโคบว่า “เจ้าทำอะไรเล่า หนีพาบุตรสาวของเรามา ไม่บอกให้เรารู้ ทำเหมือนเชลยที่จับได้ด้วยดาบ
ปฐก 31.28 ทำไมเจ้าไม่ยอมให้เราจุบลาบุตรชายและบุตรสาวของเราเล่า นี่เจ้าทำอย่างโง่เขลาแท้ๆ
ปฐก 31.30 บัดนี้ แม้ว่าเจ้าจะไปเพราะคิดถึงบ้านบิดามาก ทำไมจึงลักพระของเรามาด้วยเล่า”
ปฐก 37.2 ต่อไปนี้เป็นประวัติพงศ์พันธุ์ของยาโคบ เมื่อโยเซฟอายุได้สิบเจ็ดปีไปเลี้ยงสัตว์อยู่กับพวกพี่ชาย เด็กหนุ่มนั้นอยู่กับบุตรชายของนางบิลฮาห์และกับบุตรชายของนางศิลปาห์ภรรยาบิดาของตน โยเซฟเอาความผิดของพี่ชายมาเล่าให้บิดาฟัง
ปฐก 37.5 คราวหนึ่งโยเซฟฝัน แล้วเล่าให้พวกพี่ชายฟัง พวกพี่ชายยิ่งชังโยเซฟมากขึ้น
ปฐก 37.6 โยเซฟเล่าว่า “ฟังความฝันซึ่งข้าพเจ้าฝันเห็นซิ
ปฐก 37.9 ต่อมาโยเซฟก็ฝันอีก จึงเล่าให้พวกพี่ชายฟังว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าฝันอีกครั้งหนึ่ง เห็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ และดาวสิบเอ็ดดวงกำลังกราบไหว้ข้าพเจ้า”
ปฐก 37.10 เมื่อเล่าให้บิดาและพวกพี่ชายฟัง บิดาก็ว่ากล่าวโยเซฟว่า “ความฝันที่เจ้าได้ฝันเห็นนั้นหมายความว่าอะไร เรากับมารดาและพวกพี่ชายของเจ้าจะมาซบหน้าลงถึงดินกราบไหว้เจ้ากระนั้นหรือ”
ปฐก 37.26 ยูดาห์จึงพูดกับพี่น้องว่า “หากเราฆ่าน้องและซ่อนโลหิตไว้จะมีประโยชน์อันใดเล่า
ปฐก 37.30 แล้วกลับไปหาพวกน้องบอกว่า “เด็กนั้นหายไปเสียแล้ว แล้วข้าพเจ้าจะไปที่ไหนเล่า”
ปฐก 40.8 เขาตอบว่า “เราทั้งสองฝันไปและไม่มีผู้ใดจะแก้ฝันได้” โยเซฟบอกเขาว่า “พระเจ้าเท่านั้นแก้ฝันได้มิใช่หรือ ขอท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเถิด”
ปฐก 40.9 หัวหน้าพนักงานน้ำองุ่นก็เล่าความฝันของตนให้โยเซฟฟังว่า “ดูเถิด เราฝันเห็นเถาองุ่นอยู่ตรงหน้า
ปฐก 40.16 เมื่อหัวหน้าพนักงานขนมเห็นว่า คำแก้ความฝันนั้นดี จึงเล่าให้โยเซฟฟังว่า “เราฝันด้วย ดูเถิด เห็นมีกระจาดขนมขาวสามใบ ตั้งอยู่บนศีรษะเรา
ปฐก 41.8 ครั้นต่อมาเวลารุ่งเช้าพระองค์มีพระทัยวุ่นวาย จึงรับสั่งให้เรียกโหรและปราชญ์ทั้งปวงของอียิปต์มาเฝ้า แล้วฟาโรห์ทรงเล่าพระสุบินให้เขาฟัง แต่ไม่มีผู้ใดทูลแก้พระสุบินนั้นถวายแก่ฟาโรห์ได้
ปฐก 41.12 มีชายหนุ่มชาติฮีบรูคนหนึ่งเป็นบ่าวของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ อยู่ที่นั่นด้วยกันกับเขาและข้าพระองค์ทั้งสอง เล่าความฝันให้เขาฟัง ชายนั้นก็แก้ฝันให้ข้าพระองค์ทั้งสอง เขาแก้ฝันให้แต่ละคนตามความฝันของตน
ปฐก 41.24 รวงข้าวลีบนั้นกลืนกินรวงข้าวดีเจ็ดรวงนั้นเสีย เราเล่าความฝันนี้ให้โหรฟัง แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายให้เราได้”
ปฐก 42.1 เมื่อยาโคบรู้ว่ามีข้าวในอียิปต์ ยาโคบจึงพูดกับพวกบุตรชายของตนว่า “มานั่งมองดูกันอยู่ทำไมเล่า”
ปฐก 42.29 เขาก็กลับไปหายาโคบบิดาของเขาในแผ่นดินคานาอัน แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่ตนให้บิดาฟังว่า
ปฐก 44.4 เมื่อพี่น้องออกไปจากเมืองยังไม่สู้ไกลนักโยเซฟสั่งคนต้นเรือนว่า “ลุกขึ้นไปตามคนเหล่านั้น เมื่อไปทันแล้วให้ถามพวกเขาว่า ‘ทำไมพวกเจ้าจึงทำความชั่วตอบความดีเล่า
ปฐก 44.8 ดูเถิด เงินที่ข้าพเจ้าพบในปากกระสอบของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ายังได้นำมาจากแผ่นดินคานาอันคืนแก่ท่าน ข้าพเจ้าทั้งหลายจะลักเงินทองไปจากบ้านนายของท่านได้อย่างไรเล่า
ปฐก 44.24 และต่อมาครั้นข้าพเจ้าไปหาบิดาผู้รับใช้ของท่านแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายก็นำถ้อยคำของนายของข้าพเจ้าไปเล่าให้บิดาฟัง
ปฐก 45.13 พี่จงเล่าให้บิดาของเราฟังถึงยศศักดิ์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในอียิปต์และที่พี่ได้เห็นนั้นทุกประการ พี่จงรีบพาบิดาเราลงมาที่นี่เถิด”
ปฐก 45.27 เขาจึงเล่าคำของโยเซฟให้บิดาฟังทุกประการ คือคำที่โยเซฟสั่งพวกเขาไว้ เมื่อยาโคบเห็นรถบรรทุกที่โยเซฟส่งมารับตน จิตใจของท่านก็ฟื้นแช่มชื่นขึ้น
ปฐก 47.15 เมื่อเงินในประเทศอียิปต์และแผ่นดินคานาอันหมดแล้ว ชาวอียิปต์ทั้งปวงมากราบเรียนโยเซฟว่า “ขออาหารให้พวกข้าพเจ้าเถิด เหตุใดพวกข้าพเจ้าจะต้องอดตายต่อหน้าท่านเพราะเงินหมดเล่า”
ปฐก 47.19 เหตุใดข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องอดตายต่อหน้าต่อตาท่านเล่า ทั้งตัวข้าพเจ้ากับที่ดินของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย ขอท่านโปรดซื้อพวกข้าพเจ้ากับที่ดินแลกกับอาหาร ข้าพเจ้าทั้งหลายกับที่ดินจะเป็นทาสของฟาโรห์ ขอท่านโปรดให้เมล็ดข้าวแก่พวกข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่ได้และไม่ตายเพื่อที่ดินนั้นจะไม่รกร้างไป”
อพย 3.11 ฝ่ายโมเสสจึงทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า ซึ่งข้าพระองค์จะไปเฝ้าฟาโรห์และจะนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์”
อพย 4.11 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับท่านว่า “ผู้ใดเล่าที่สร้างปากมนุษย์ หรือทำให้เป็นใบ้ หูหนวก ตาดี หรือตาบอด เราพระเยโฮวาห์เป็นผู้ทำไม่ใช่หรือ
อพย 4.28 โมเสสจึงเล่าให้อาโรนฟังถึงพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ทั้งหมด ผู้ซึ่งทรงใช้ตน และถึงหมายสำคัญทั้งปวงซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาแก่ท่าน
อพย 5.2 ฟาโรห์จึงตรัสว่า “พระเยโฮวาห์นั้นเป็นผู้ใดเล่าเราจึงจะต้องเชื่อฟังเสียงของพระองค์และปล่อยคนอิสราเอลไป เราไม่รู้จักพระเยโฮวาห์ ทั้งเราจะไม่ยอมปล่อยคนอิสราเอลไป”
อพย 6.9 โมเสสจึงนำความนั้นไปเล่าให้ชนชาติอิสราเอลฟัง แต่เขามิได้เชื่อฟังโมเสสเพราะระอาใจ และถูกเกณฑ์ให้ทำการหนักอย่างสาหัส
อพย 10.2 เพื่อเจ้าจะได้เล่าเหตุการณ์ที่เราได้กระทำแก่ชาวอียิปต์ให้ลูกหลานฟัง รวมทั้งหมายสำคัญซึ่งเราได้กระทำท่ามกลางพวกเขา เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์”
อพย 13.14 ต่อไปภายหน้า เมื่อบุตรของท่านจะถามว่า ‘ทำไมจึงทำอย่างนี้’ จงเล่าให้เขาฟังว่า ‘พระเยโฮวาห์ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ จากเรือนทาสด้วยฤทธิ์พระหัตถ์
อพย 14.5 เมื่อกษัตริย์อียิปต์ทราบความว่าบ่าวไพร่เหล่านั้นหนีไปแล้ว พระดำริของฟาโรห์และความคิดของข้าราชการก็เปลี่ยนไปจากที่มีต่อบ่าวไพร่นั้น เขาจึงว่า “ทำไมเราจึงทำเช่นนี้ ไฉนเราจึงได้ปล่อยพวกอิสราเอลไปให้พ้นจากการรับใช้เราเล่า”
อพย 15.11 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ในบรรดาพระทั้งปวงองค์ไหนจะเป็นเหมือนพระองค์เล่า องค์ไหนจะเหมือนพระองค์ผู้ทรงประกอบด้วยความบริสุทธิ์อันรุ่งเรือง และน่าเกรงขามเนื่องด้วยการสรรเสริญ และการมหัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ
อพย 16.7 ในเวลาเช้าพวกท่านจะได้เห็นสง่าราศีแห่งพระเยโฮวาห์ เพราะคำบ่นต่อว่าของพวกท่านต่อพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงสดับแล้ว เราทั้งสองเป็นผู้ใดเล่า พวกท่านจึงมาบ่นต่อว่าเรา”
อพย 16.8 โมเสสกล่าวว่า “ในเวลาเย็นพระเยโฮวาห์จะประทานเนื้อให้ท่านรับประทานและในเวลาเช้าพวกท่านจะมีอาหารรับประทานจนอิ่ม เพราะพระเยโฮวาห์ทรงสดับคำบ่นของท่านต่อพระองค์ เราทั้งสองนี้เป็นผู้ใดเล่า พวกท่านมิได้บ่นต่อว่าเรา แต่ได้บ่นต่อว่าพระเยโฮวาห์”
อพย 17.14 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเขียนข้อความต่อไปนี้ลงไว้ในหนังสือเพื่อเป็นที่ระลึก ทั้งเล่าให้โยชูวาฟังคือว่าเราจะลบล้างชื่อชนชาติอามาเลขไม่ให้ปรากฏในความทรงจำของพลไพร่ภายใต้ฟ้านี้เลย”
อพย 18.8 โมเสสเล่าให้พ่อตาฟังถึงเหตุการณ์ทุกประการซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงกระทำกับฟาโรห์ และแก่ชาวอียิปต์เพราะทรงเห็นแก่พวกอิสราเอล ทั้งความทุกข์ยากลำบากทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้นแก่คนอิสราเอลในระหว่างทาง และพระเยโฮวาห์ได้ทรงช่วยเขาให้พ้นภัยอย่างไร
อพย 18.14 เมื่อพ่อตาของโมเสสเห็นงานทั้งปวงที่โมเสสกระทำเพื่อพลไพร่เช่นนั้น จึงกล่าวว่า “นี่ท่านใช้วิธีอะไรปฏิบัติกับพลไพร่เล่า เหตุไรท่านจึงนั่งทำงานอยู่แต่ผู้เดียว และพลไพร่ทั้งปวงก็ยืนล้อมท่านตั้งแต่เช้าจนเย็น”
อพย 19.7 โมเสสจึงมาเรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ของพลไพร่ แล้วเล่าข้อความเหล่านี้ที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาท่านให้เขาฟังทุกประการ
อพย 20.19 เขาจึงกล่าวแก่โมเสสว่า “ท่านจงนำความมาเล่าเถิด พวกข้าพเจ้าจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับพวกข้าพเจ้าเลย เกรงว่าข้าพเจ้าจะตาย”
อพย 22.27 เพราะเขามีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียวเป็นเครื่องปกคลุมร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า ต่อมาเมื่อเขาทูลร้องทุกข์ต่อเรา เราจะสดับฟังเพราะเราเป็นผู้มีเมตตากรุณา
อพย 23.1 “อย่านำเรื่องเท็จไปเล่าต่อๆกัน อย่าร่วมมือเป็นพยานใส่ร้ายกับคนชั่ว
อพย 32.11 ฝ่ายโมเสสก็วิงวอนกราบทูลพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ไฉนพระองค์จึงทรงพระพิโรธอย่างแรงกล้าต่อพลไพร่ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงนำออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ด้วยฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่ง และด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์เล่า
อพย 32.21 โมเสสจึงถามอาโรนว่า “พลไพร่นี้กระทำอะไรแก่ท่านเล่า ท่านจึงนำบาปอันใหญ่นี้มาสู่พวกเขา”
อพย 34.34 แต่เมื่อไรที่โมเสสเข้าเฝ้าทูลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ท่านก็ปลดผ้านั้นออกเสีย จนกว่าจะกลับออกมา แล้วท่านออกมาเล่าให้คนอิสราเอลฟังตามที่ท่านรับพระบัญชามาแล้วนั้น
กดว 13.26 เขาทั้งหลายกลับมาถึงโมเสสและอาโรน และมาถึงชุมนุมชนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารปารานที่คาเดช เขาเล่าเรื่องให้ท่านทั้งสองและบรรดาคนอิสราเอลฟัง และให้ดูผลไม้แห่งแผ่นดินนั้น
กดว 13.27 เขาทั้งหลายเล่าให้โมเสสฟังว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ไปถึงแผ่นดินซึ่งท่านใช้ไป มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ที่นั่นจริง และนี่เป็นผลไม้ของเมืองนั้น
กดว 13.32 และเขาได้กล่าวร้ายเรื่องแผ่นดินที่เขาได้ไปสอดแนมมาเล่าให้คนอิสราเอลฟังว่า “แผ่นดินที่เราได้ไปสืบดูตลอดแล้วนั้นเป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น บรรดาชาวเมืองที่เราเห็นเป็นคนรูปร่างใหญ่โต
กดว 14.3 พระเยโฮวาห์นำเราเข้ามาในประเทศนี้ให้ตายด้วยดาบทำไมเล่า ลูกเมียของเราต้องตกเป็นเหยื่อ ที่เราจะกลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ”
กดว 14.14 ชาวอียิปต์จะเล่าความนั้นแก่ชาวประเทศนี้ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เขาทั้งหลายได้ยินว่าพระองค์สถิตท่ามกลางชนชาตินี้ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เขาได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ เมฆของพระองค์ตั้งอยู่เหนือเขาทั้งหลาย พระองค์ทรงนำเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และในกลางคืนด้วยเสาเพลิง
กดว 14.36 คนที่โมเสสใช้ไปสอดแนมที่แผ่นดิน ผู้ที่กลับมาเล่าความใส่ร้ายแผ่นดินนั้น ซึ่งกระทำให้บรรดาชุมนุมชนบ่นว่าโมเสส
กดว 14.39 และโมเสสเล่าข้อความนี้ให้คนอิสราเอลทั้งหมดฟัง ประชาชนก็ร้องไห้โศกเศร้ายิ่งนัก
กดว 16.11 เพราะฉะนั้นที่ท่านและพรรคพวกทั้งหมดของท่านได้ประชุมกันก็เป็นการต่อสู้พระเยโฮวาห์ ส่วนอาโรนเป็นอะไรเล่าที่ท่านได้บ่นว่าเขา”
กดว 22.37 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “เราได้อุตส่าห์ใช้คนไปเชิญท่านมามิใช่หรือ เหตุไฉนท่านไม่มาหาเราเล่า เราไม่สามารถที่จะให้เกียรติแก่ท่านหรือ”
กดว 22.38 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้ามาหาท่านแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรได้เล่า คำซึ่งพระเจ้าใส่ปากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องกล่าว”
กดว 23.11 แล้วบาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “ท่านได้กระทำอะไรแก่เราเล่า เราเชิญท่านให้มาแช่งพวกศัตรูของเรา ดูเถิด ท่านไม่ได้กระทำอะไรแก่เขานอกจากอวยพรเขา”
กดว 24.9 เขาหมอบลงและนอนลงอย่างสิงโต เขาเหมือนสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ ใครเล่าจะมาปลุกให้เขาลุกขึ้น ผู้ใดที่อวยพรแก่ท่าน ขอให้เขาได้รับพร ผู้ใดที่แช่งท่าน ขอให้เขาได้รับคำแช่ง”
กดว 24.22 แต่อย่างไรก็ตามคนเคไนต์ก็ต้องถูกกวาดล้าง อีกนานเท่าใดเล่า พวกอัสชูรจะมากวาดเจ้าไปเป็นเชลย”
พบญ 1.28 เราทั้งหลายจะขึ้นไปที่ไหนเล่า พวกพี่น้องของเราได้ทำอกใจของเราให้ฝ่อท้อถอยไปโดยที่ว่า “คนเหล่านั้นใหญ่กว่าและสูงกว่าพวกเราอีก เมืองเหล่านั้นก็ใหญ่มีกำแพงสูงเทียมฟ้า และยิ่งกว่านั้นเราได้เห็นพวกคนอานาคอยู่ที่นั่นด้วย”’
พบญ 3.24 ‘โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์เพิ่งทรงสำแดงอานุภาพและฤทธิ์พระหัตถ์ของพระองค์แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะมีพระเจ้าองค์ไหนเล่าในสวรรค์หรือในแผ่นดินโลกซึ่งสามารถกระทำตามการสำคัญ และการอิทธิฤทธิ์ดังพระองค์ได้
พบญ 4.7 เพราะมีประชาชาติใหญ่ชาติใดเล่าซึ่งมีพระเจ้าอยู่ใกล้ตน อย่างกับพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกเราทรงอยู่ใกล้เราในสิ่งสารพัดเมื่อเราร้องทูลต่อพระองค์
พบญ 4.8 และมีประชาชาติใหญ่ชาติใดเล่า ซึ่งมีกฎเกณฑ์และคำตัดสินอันชอบธรรมอย่างกับพระราชบัญญัติทั้งหมดนี้ ซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ต่อหน้าท่านทั้งหลายในวันนี้
พบญ 5.26 เพราะในบรรดามนุษย์ทั้งหลายใครเล่า ผู้ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ตรัสออกมาจากท่ามกลางเพลิงอย่างที่เราได้ยินและยังมีชีวิตอยู่ได้
พบญ 32.37 แล้วพระองค์จะตรัสว่า “พระของเขาอยู่ที่ไหน ศิลาที่เขาพึ่งพานั้นอยู่ที่ไหนเล่า
พบญ 32.44 โมเสสได้มาเล่าบรรดาถ้อยคำของเพลงบทนี้ให้ประชาชนฟัง ทั้งตัวท่านพร้อมกับโยชูวาบุตรชายนูน
พบญ 32.45 และเมื่อโมเสสเล่าคำเหล่านี้ทั้งหมดแก่บรรดาคนอิสราเอลจบแล้ว
ยชว 2.23 ชายทั้งสองก็ลงจากภูเขาอีก และข้ามไปหาโยชูวาบุตรชายนูน แล้วเล่าเหตุการณ์ทั้งสิ้นซึ่งเกิดแก่ตนให้ฟัง
ยชว 7.8 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์จะทูลประการใดได้เล่าเมื่ออิสราเอลหันหลังหนีให้พ้นหน้าศัตรูเสียแล้ว
ยชว 7.10 ฝ่ายพระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “จงลุกขึ้นเถิด ไฉนเจ้าจึงซบหน้าลงดังนี้เล่า
วนฉ 2.2 และเจ้าทั้งหลายอย่าทำพันธสัญญากับชาวแผ่นดินนี้ เจ้าต้องทำลายแท่นบูชาของเขาเสีย’ แต่เจ้ามิได้เชื่อฟังเสียงของเรา เจ้าทำอะไรเช่นนี้เล่า
วนฉ 5.17 กิเลอาดอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ส่วนดานอาศัยอยู่กับเรือกำปั่นทำไมเล่า อาเชอร์นั่งเฉยอยู่ที่ฝั่งทะเลตั้งบ้านเรือนอยู่ตามท่าจอดเรือของเขา
วนฉ 6.13 กิเดโอนจึงทูลท่านผู้นั้นว่า “โอ ท่านเจ้าข้า ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับพวกเราแล้ว ไฉนเหตุเหล่านี้จึงเกิดขึ้นแก่เราเล่า และการอัศจรรย์ทั้งหลายของพระองค์ซึ่งบรรพบุรุษเคยเล่าให้เราฟังว่า ‘พระเยโฮวาห์ทรงนำเราออกจากอียิปต์มิใช่หรือ’ แต่สมัยนี้พระเยโฮวาห์ทรงทอดทิ้งเราเสียแล้ว และทรงมอบเราไว้ในมือของพวกมีเดียน”
วนฉ 7.13 ครั้นกิเดโอนแอบมา ดูเถิด มีชายคนหนึ่งเล่าความฝันให้เพื่อนฟังว่า “ดูเถิด เราฝันเรื่องหนึ่ง ดูเถิด มีขนมข้าวบาร์เลย์ก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่ายของพวกมีเดียน มาถึงเต็นท์โดนเต็นท์ทำให้เต็นท์ล้มลง พลิกขึ้น แล้วก็ราบไป”
วนฉ 7.15 เมื่อกิเดโอนได้ยินเขาเล่าความฝันและคำแก้ฝันเช่นนั้นแล้ว ท่านก็นมัสการ และกลับไปสู่ค่ายอิสราเอลสั่งว่า “จงลุกขึ้นเถิด เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงมอบกองทัพคนมีเดียนไว้ในมือของท่านทั้งหลายแล้ว”
วนฉ 8.3 พระเจ้าประทานโอเรบและเศเอบ เจ้านายมีเดียนไว้ในมือของท่าน ข้าพเจ้าสามารถกระทำอะไรที่จะเทียบกับท่านได้เล่า” เมื่อท่านพูดอย่างนี้ เขาทั้งหลายก็หายโกรธ
วนฉ 9.28 กาอัลบุตรชายเอเบดจึงกล่าวว่า “อาบีเมเลคคือใคร และเราชาวเชเคมเป็นใครกันจึงต้องมาปรนนิบัติเขา เขาเป็นบุตรชายของเยรุบบาอัลมิใช่หรือ และเศบุลเป็นเจ้าหน้าที่ของเขามิใช่หรือ จงปรนนิบัติคนฮาโมร์บิดาของเชเคมเถิด เราจะปรนนิบัติอาบีเมเลคทำไมเล่า
วนฉ 11.7 แต่เยฟธาห์กล่าวแก่พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “ท่านไม่ได้เกลียดข้าพเจ้า และขับไล่ข้าพเจ้าเสียจากครอบครัวบิดาของข้าพเจ้าดอกหรือ เมื่อคราวทุกข์ยากท่านจะมาหาข้าพเจ้าทำไมเล่า”
วนฉ 11.26 เมื่ออิสราเอลอาศัยอยู่ในกรุงเฮชโบนและชนบทของกรุงนั้น และในเมืองอาโรเออร์และชนบทของเมืองนั้น และอยู่ในบรรดาหัวเมืองที่ตั้งอยู่ตามฝั่งแม่น้ำอารโนนถึงสามร้อยปี ทำไมท่านไม่เรียกคืนเสียภายในเวลานั้นเล่า
วนฉ 18.23 จึงตะโกนเรียกคนดาน เขาก็หันกลับมาพูดกับมีคาห์ว่า “เป็นอะไรเล่า เจ้าจึงยกคนมามากมายอย่างนี้”
วนฉ 18.24 เขาตอบว่า “ท่านทั้งหลายนำพระของข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าสร้างขึ้นและนำปุโรหิตออกมาเสีย ข้าพเจ้าจะมีอะไรเหลืออยู่เล่า ท่านทั้งหลายยังจะมาถามข้าพเจ้าอีกว่า ‘เป็นอะไรเล่า’”
นรธ 1.11 แต่นาโอมีตอบว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงกลับไปเสียเถอะ จะไปกับแม่ทำไมเล่า แม่ยังจะมีบุตรชายในครรภ์ให้เป็นสามีของเจ้าหรือ
นรธ 1.21 เมื่อฉันจากเมืองนี้ไป ฉันมีทุกอย่างครบบริบูรณ์ พระเยโฮวาห์ทรงพาฉันกลับมาตัวเปล่า เมื่อพระเยโฮวาห์ทรงให้ฉันทุกข์ใจดังนี้ และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฉันต้องประสบเหตุร้ายเช่นนี้จะเรียกฉันว่านาโอมีทำไมเล่า”
นรธ 2.11 แต่โบอาสตอบนางว่า “ทุกอย่างที่เจ้าได้ปฏิบัติต่อแม่สามีของเจ้าตั้งแต่สามีของเจ้าสิ้นชีวิตแล้วนั้น มีคนมาเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว และเขาบอกด้วยว่า เจ้ายอมจากบิดามารดาและบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้า มาอยู่กับชนชาติที่เจ้าไม่รู้จักมาก่อน
นรธ 3.16 เมื่อนางมาถึง แม่สามีจึงถามว่า “เป็นใครหนอ ลูกสาวของแม่เอ๋ย” แล้วนางก็เล่าตามที่ท่านได้กระทำต่อนางให้แม่สามีฟังทุกอย่าง
1ซมอ 2.25 ถ้ามนุษย์คนใดกระทำผิดต่อมนุษย์ด้วยกัน ผู้วินิจฉัยจะวินิจฉัยให้เขา แต่ถ้ามนุษย์กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์ ใครจะทูลขอเพื่อเขาได้เล่า” แต่เขาทั้งสองหาได้ฟังเสียงบิดาของเขาไม่ เพราะว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเยโฮวาห์ที่จะทรงประหารเขาเสีย
1ซมอ 6.4 และเขากล่าวว่า “จัดอะไรเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดเล่า ที่เราจะต้องถวายให้พระองค์” เขาทั้งหลายตอบว่า “ลูกริดสีดวงทวารขั้นรุนแรงทองคำห้าลูกกับหนูทองคำห้าตัว ตามจำนวนเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตีย เพราะว่าโรคอย่างเดียวกันนั้นติดต่อท่านทั้งหลายและเจ้านายด้วย
1ซมอ 9.20 ส่วนเรื่องลาของท่านที่หายไปสามวันแล้วนั้น อย่าเอาใจใส่เลย เพราะเขาพบแล้ว ความปรารถนาของคนอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเอาใครเล่า ไม่ใช่ตัวท่านและวงศ์วานทั้งสิ้นของบิดาท่านดอกหรือ”
1ซมอ 9.21 ซาอูลตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเบนยามินดอกหรือ เป็นตระกูลเล็กน้อยที่สุดในอิสราเอล และครอบครัวของข้าพเจ้าไม่ใช่ครอบครัวที่ด้อยที่สุดในตระกูลเบนยามินดอกหรือ ทำไมท่านจึงพูดกับข้าพเจ้าอย่างนี้เล่า”
1ซมอ 10.15 ลุงของซาอูลกล่าวว่า “ซามูเอลบอกอะไรแก่เจ้าบ้าง ขอเล่าให้ฟัง”
1ซมอ 16.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับซามูเอลว่า “เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูลนานเท่าใดเล่า เมื่อเราถอดเขาจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้า แล้วก็ไปเถอะ เราจะใช้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าในหมู่พวกบุตรชายของเขาเราจัดเตรียมกษัตริย์องค์หนึ่งไว้แล้วสำหรับเรา”
1ซมอ 17.8 เขาออกมายืนตะโกนไปทางแนวอิสราเอลว่า “เจ้าทั้งหลายออกมาทำศึกทำไมเล่า ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นข้าของซาอูลไม่ใช่หรือ จงเลือกคนแทนพวกเจ้า ให้เขาลงมาหาข้านี่
1ซมอ 17.26 และดาวิดกล่าวแก่ชายคนที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า “เขาจะทำอย่างไรแก่คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามอิสราเอลไปเสีย คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใครเล่า เขาจึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”
1ซมอ 17.29 ดาวิดจึงตอบว่า “ผมได้ทำอะไรไปแล้วเล่า ไม่มีเหตุผลหรือ”
1ซมอ 17.31 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินคำที่ดาวิดพูด เขาทั้งหลายก็เล่าความให้ซาอูลทราบ ซาอูลจึงใช้คนให้มาตามดาวิด
1ซมอ 18.8 ซาอูลทรงกริ้วนัก คำที่ร้องกันนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์เลย พระองค์ตรัสว่า “เขาสรรเสริญดาวิดว่าฆ่าคนเป็นหมื่นๆ ส่วนเราเขาว่าฆ่าแต่เพียงเป็นพันๆ ดาวิดจะได้อะไรอีกเล่านอกจากราชอาณาจักร”
1ซมอ 19.17 ซาอูลรับสั่งถามมีคาลว่า “ไฉนเจ้าจึงหลอกลวงเรา และปล่อยศัตรูของเราไปเสีย เขาจึงรอดพ้นไป” และมีคาลทูลตอบซาอูลว่า “เธอพูดกับหม่อมฉันว่า ‘ปล่อยให้ฉันไปเถิด จะให้ฉันฆ่าเธอทำไมเล่า’”
1ซมอ 19.18 ฝ่ายดาวิดก็หนีรอดไป เธอมาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ และเล่าทุกเรื่องที่ซาอูลได้ทรงกระทำแก่เธอให้ซามูเอลฟัง เธอและซามูเอลก็ไปอยู่เสียที่นาโยท
1ซมอ 20.2 และโยนาธานจึงตอบเธอว่า “ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย เธอไม่ต้องตายดอก ดูเถิด เสด็จพ่อจะมิได้ทรงกระทำการใหญ่น้อยสิ่งใดโดยมิให้ฉันรู้ ทำไมเสด็จพ่อจะปิดบังเรื่องนี้จากฉันเล่า คงไม่เป็นเช่นนั้นแน่”
1ซมอ 21.3 ฉะนั้นบัดนี้ท่านมีอะไรติดมืออยู่บ้างเล่า ขอมอบขนมปังไว้ในมือข้าพเจ้าสักห้าก้อน หรืออะไรๆที่มีที่นี่ก็ได้”
1ซมอ 22.14 และอาหิเมเลคทูลตอบกษัตริย์ว่า “ในบรรดาข้าราชการผู้รับใช้ของพระองค์ มีผู้ใดเล่าที่จะสัตย์ซื่ออย่างดาวิด พระราชบุตรเขยของกษัตริย์ ผู้บังคับบัญชาทหารราชองครักษ์ และเป็นผู้มีเกียรติในพระราชสำนักของพระองค์
1ซมอ 25.37 และต่อมาในเวลาเช้า เมื่อเหล้าองุ่นสร่างจากนาบาลไปแล้ว ภรรยาของท่านก็เล่าเหตุการณ์เหล่านี้ให้ฟัง และจิตใจของท่านก็ตายเสียภายใน และท่านกลายเป็นดังก้อนหิน
1ซมอ 26.9 แต่ดาวิดบอกอาบีชัยว่า “ขออย่าทำลายพระองค์เลย เพราะผู้ใดเล่าจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้ และจะไม่มีความผิด”
1ซมอ 26.18 และท่านทูลต่อไปว่า “ไฉนเจ้านายของข้าพระองค์จึงไล่ตามผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์ได้กระทำอะไรไป มือข้าพระองค์ผิดอย่างไรเล่า
1ซมอ 27.5 แล้วดาวิดจึงทูลอาคีชว่า “ถ้าบัดนี้ข้าพระองค์ได้รับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์ ขอทรงให้เขามอบที่ในหัวเมืองแก่ข้าพระองค์สักแห่งหนึ่ง เพื่อข้าพระองค์จะได้อาศัยอยู่ที่นั่น ไฉนผู้รับใช้ของพระองค์จะอยู่ในราชธานีกับพระองค์เล่า”
1ซมอ 28.9 หญิงคนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า “ดูเถิด ท่านทราบแล้วว่าซาอูลทรงกระทำอะไร ที่ได้ขจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน ทำไมท่านจึงมาวางกับดักชีวิตของข้าพเจ้าเล่า เพื่อทำให้ข้าพเจ้าถูกประหาร”
1ซมอ 28.16 และซามูเอลตอบว่า “ในเมื่อพระเยโฮวาห์ทรงหันจากท่านเสียแล้ว และเป็นศัตรูของท่าน ท่านจะมาถามข้าพเจ้าทำไมเล่า
2ซมอ 2.22 อับเนอร์จึงบอกอาสาเฮลอีกครั้งหนึ่งว่า “จงหันกลับจากตามข้าเสียเถิด จะให้ข้าฟาดเจ้าให้ล้มลงดินทำไมเล่า แล้วข้าจะเงยหน้าขึ้นดูโยอาบพี่ของเจ้าได้อย่างไร”
2ซมอ 7.18 แล้วกษัตริย์ดาวิดจึงเสด็จเข้าไปนั่งเฝ้าพระเยโฮวาห์ และกราบทูลว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า และวงศ์วานของข้าพระองค์เป็นผู้ใดพระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาไกลถึงแค่นี้
2ซมอ 7.20 ดาวิดจะกราบทูลประการใดอีกต่อพระองค์ได้เล่า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ทรงรู้จักผู้รับใช้ของพระองค์
2ซมอ 9.8 และท่านก็กราบถวายบังคมและทูลว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นผู้ใดเล่า ซึ่งพระองค์จะทอดพระเนตรสุนัขตายอย่างข้าพระองค์นี้”
2ซมอ 13.13 ฝ่ายหม่อมฉัน หม่อมฉันจะเอาความอายไปซ่อนไว้ที่ไหน ฝ่ายท่านเล่า ท่านจะเป็นเหมือนคนโฉดเขลาคนหนึ่งในอิสราเอล เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอทูลกษัตริย์ พระองค์คงจะไม่หวงหม่อมฉันไว้ไม่ให้ท่าน”
2ซมอ 16.3 กษัตริย์ตรัสว่า “บุตรเจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า” ศิบากราบทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด ท่านพักอยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะท่านว่า ‘วันนี้วงศ์วานอิสราเอลจะคืนราชอาณาจักรบิดาของเราให้แก่เรา’”
2ซมอ 16.11 ดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ว่า “ดูเถิด ลูกของเราเองที่ได้ออกมาจากบั้นเอวของเรายังแสวงหาชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น ทำไมกับคนเบนยามินคนนี้จะไม่กระทำเล่า ช่างเขาเถิด ให้เขาด่าไป เพราะพระเยโฮวาห์ทรงบอกเขาแล้ว
2ซมอ 16.17 และอับซาโลมตรัสกับหุชัยว่า “นี่หรือความเมตตาต่อสหายของท่าน ทำไมท่านไม่ไปกับสหายของท่านเล่า”
2ซมอ 18.11 โยอาบก็พูดกับชายที่บอกท่านว่า “ดูเถิด เจ้าเห็นเขาแล้ว ทำไมเจ้าไม่ฟันให้ตกดินเสียทีเดียวเล่า เราก็จะยินดีที่จะรางวัลเงินสิบเหรียญกับสายรัดเอวเส้นหนึ่งให้เจ้า”
2ซมอ 19.28 เพราะว่าวงศ์วานราชบิดาของข้าพระองค์ทั้งสิ้นก็สมควรถึงตายต่อพระพักตร์กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงแต่งตั้งผู้รับใช้ของพระองค์ไว้ในหมู่ผู้ที่รับประทานร่วมโต๊ะเสวยของพระองค์ ข้าพระองค์จะมีสิทธิประการใดเล่าที่จะร้องทูลอีกต่อกษัตริย์”
2ซมอ 19.35 วันนี้ข้าพระองค์มีอายุแปดสิบปีแล้ว ข้าพระองค์จะสังเกตว่าอะไรเป็นที่พอใจและไม่พอใจได้หรือ ผู้รับใช้ของพระองค์จะลิ้มรสอร่อยของสิ่งที่กินและดื่มได้หรือ ข้าพระองค์จะฟังเสียงชายหญิงร้องเพลงได้หรือ ทำไมจะให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นภาระเพิ่มแก่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์อีกเล่า
2ซมอ 19.36 ผู้รับใช้ของพระองค์จะตามเสด็จกษัตริย์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหน่อยเท่านั้น ไฉนกษัตริย์จะพระราชทานรางวัลเช่นนี้เล่า
2ซมอ 19.42 ประชาชนยูดาห์ทั้งสิ้นจึงตอบประชาชนอิสราเอลว่า “เพราะกษัตริย์เป็นญาติสนิทกับเรา ท่านทั้งหลายจะโกรธด้วยเรื่องนี้ทำไมเล่า เราได้อยู่กินสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์ของกษัตริย์หรือ พระองค์ได้ให้รางวัลอะไรแก่เราหรือ”
2ซมอ 19.43 คนอิสราเอลก็ตอบคนยูดาห์ว่า “เรามีส่วนในกษัตริย์สิบส่วน และในดาวิดเราก็มีสิทธิมากกว่าท่าน ทำไมท่านจึงดูถูกเราเช่นนี้เล่า เราไม่ได้เป็นพวกแรกที่พูดเรื่องการนำกษัตริย์กลับดอกหรือ” แต่ถ้อยคำของคนยูดาห์รุนแรงกว่าถ้อยคำของคนอิสราเอล
2ซมอ 21.4 คนกิเบโอนทูลตอบพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์จะไม่รับเงินหรือทองจากซาอูลและวงศ์วานของท่านนั้น ทั้งพวกข้าพระองค์ไม่จำเป็นให้พระองค์ประหารชีวิตอิสราเอลคนหนึ่งคนใด” พระองค์จึงตรัสว่า “แล้วพวกท่านจะให้เรากระทำอะไรแก่ท่านเล่า”
2ซมอ 22.32 เพราะผู้ใดเป็นพระเจ้านอกจากพระเยโฮวาห์ และผู้ใดเล่าเป็นศิลานอกจากพระเจ้าของเรา
1พกษ 1.13 ขอเสด็จเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิด และกราบทูลพระองค์ว่า ‘โอ กษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน พระองค์ได้ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของพระองค์ไว้มิใช่หรือว่า “ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา” มิใช่หรือ ไฉนอาโดนียาห์จึงทรงครองเล่าเพคะ’
1พกษ 2.22 กษัตริย์ซาโลมอนตรัสตอบพระชนนีของพระองค์ว่า “ไฉนเสด็จแม่จึงขออาบีชากชาวชูเนมให้แก่อาโดนียาห์เล่า น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย เพราะเขาเป็นพระเชษฐาของผม และฝ่ายเขามีอาบียาธาร์ปุโรหิตและโยอาบบุตรนางเศรุยาห์”
1พกษ 3.9 เพราะฉะนั้นขอพระองค์ทรงประทานความคิดความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์เพื่อจะวินิจฉัยประชาชนของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะประจักษ์ในความผิดแผกระหว่างดีและชั่ว เพราะว่าผู้ใดเล่าจะสามารถวินิจฉัยประชาชนใหญ่ของพระองค์นี้ได้”
1พกษ 13.11 มีผู้พยากรณ์แก่คนหนึ่งอาศัยอยู่ในเบธเอล และบุตรชายของเขาก็ได้มาบอกเขาถึงเรื่องราวทั้งสิ้นซึ่งคนของพระเจ้าได้กระทำในวันนั้นที่เบธเอล ถ้อยคำซึ่งท่านได้กล่าวแก่กษัตริย์ เขาทั้งหลายก็ได้เล่าให้บิดาของเขาฟังด้วย
1พกษ 14.6 แต่เมื่ออาหิยาห์ได้ยินเสียงฝีพระบาทของพระนาง เมื่อพระนางเสด็จมาถึงประตู ท่านจึงพูดว่า “ขอเชิญพระมเหสีของเยโรโบอัมเสด็จเข้ามาข้างใน ไฉนพระองค์จึงทรงแสร้งกระทำเป็นคนอื่นเล่า เพราะข้าพระองค์ได้รับพระบัญชาให้ทูลข่าวอันน่าสลดใจแก่พระนาง
2พกษ 6.32 แต่เอลีชานั่งอยู่ในบ้านของท่าน และพวกผู้ใหญ่ก็นั่งอยู่ด้วย กษัตริย์ทรงใช้คนมาจากต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ แต่ก่อนที่ผู้สื่อสารจะมาถึง เอลีชาก็พูดกับพวกผู้ใหญ่ว่า “ท่านทั้งหลายเห็นหรือไม่เล่า ที่บุตรชายของฆาตกรคนนี้ใช้คนมาเอาศีรษะของข้าพเจ้า ดูเถิด เมื่อผู้สื่อสารมา จงปิดประตู และยึดประตูให้แน่นกันเขาไว้ เสียงเท้าของนายของเขาตามเขามามิใช่หรือ”
2พกษ 7.3 มีคนโรคเรื้อนสี่คนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง เขาพูดกันว่า “เราจะนั่งที่นี่จนตายทำไมเล่า
2พกษ 8.13 และฮาซาเอลตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านผู้เป็นแต่เพียงสุนัขเป็นใครเล่า ซึ่งจะกระทำสิ่งใหญ่โตนี้” เอลีชาตอบว่า “พระเยโฮวาห์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านจะเป็นกษัตริย์ครอบครองประเทศซีเรีย”
2พกษ 10.9 อยู่มาพอรุ่งเช้าพระองค์เสด็จออกไปประทับยืน ตรัสกับประชาชนทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายเป็นผู้ไร้ความผิด ดูเถิด ส่วนเราได้กบฏต่อนายของเราและประหารพระองค์เสีย แต่ผู้ใดเล่าที่ฆ่าบรรดาคนเหล่านี้
1พศด 16.9 จงร้องเพลงถวายพระองค์ ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ จงเล่าถึงการมหัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์
1พศด 16.24 จงเล่าถึงสง่าราศีของพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ถึงการมหัศจรรย์ของพระองค์ท่ามกลางบรรดาชนชาติทั้งหลาย
1พศด 17.16 แล้วกษัตริย์ดาวิดก็เสด็จเข้าไปประทับนั่งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และกราบทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า และราชวงศ์ของข้าพระองค์เป็นอะไรเล่าที่พระองค์ทรงนำข้าพระองค์มาไกลจนถึงแค่นี้
1พศด 27.1 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อประชาชนอิสราเอลตามจำนวน คือ บรรดาหัวหน้า บรรดานายพันนายร้อย และบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้รับใช้กษัตริย์ในราชการทุกอย่างที่เกี่ยวกับกองเวรที่เข้ามาและออกไป เดือนแล้วเดือนเล่าตลอดปี กองเวรหนึ่งๆมีจำนวนสองหมื่นสี่พันคน
2พศด 1.10 ขอทรงประทานสติปัญญาและความรู้แก่ข้าพระองค์ที่จะเข้านอกออกในต่อหน้าชนชาตินี้ เพราะผู้ใดเล่าที่จะวินิจฉัยประชาชนของพระองค์ได้ ซึ่งใหญ่โตนัก”
2พศด 2.6 แต่ผู้ใดเล่าที่จะสามารถสร้างพระนิเวศสำหรับพระองค์ได้ ในเมื่อฟ้าสวรรค์ถึงแม้ว่าฟ้าสวรรค์ที่สูงที่สุดรับรองพระองค์ไว้ไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่จะสร้างพระนิเวศสำหรับพระองค์ นอกจากให้เป็นที่เผาเครื่องบูชาต่อพระพักตร์พระองค์เท่านั้น
2พศด 25.16 อยู่มาขณะที่เขากำลังทูลอยู่ กษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์หรือ หยุด ทำไมเจ้าจะต้องตายเล่า” ผู้พยากรณ์นั้นจึงหยุด แต่ทูลว่า “ข้าพระองค์ทราบว่าพระเจ้าทรงตั้งพระทัยจะทำลายพระองค์ เพราะพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ และมิได้ทรงฟังคำปรึกษาของข้าพระองค์”
2พศด 32.4 มีประชาชนเป็นอันมากรวบรวมกันเข้ามา และเขาทั้งหลายอุดน้ำพุและปิดลำธารซึ่งไหลผ่านแผ่นดินเสีย พูดว่า “ทำไมจะให้บรรดากษัตริย์อัสซีเรียยกมาพบน้ำเป็นอันมากเล่า”
2พศด 32.14 ในพวกพระทั้งปวงแห่งประชาชาติเหล่านั้นที่บรรพบุรุษของเราได้ทำลายเสียอย่างสิ้นเชิง ยังมีพระองค์ใดเล่าที่สามารถช่วยประชาชนของตนให้พ้นจากมือของเรา แล้วพระเจ้าของเจ้าน่ะหรือจะสามารถช่วยเจ้าให้พ้นจากมือของเรา
2พศด 32.15 เพราะฉะนั้นบัดนี้อย่าให้เฮเซคียาห์ล่อลวงเจ้า หรือพาเจ้าให้หลงในทำนองนี้ อย่าเชื่อเขา เพราะไม่มีพระแห่งประชาชาติหรือราชอาณาจักรใดที่สามารถช่วยประชาชนของตนให้พ้นจากมือของเรา หรือจากมือบรรพบุรุษของเรา พระเจ้าของเจ้าจะช่วยเจ้าให้พ้นจากมือของเราได้น้อยยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดเล่า’”
นหม 2.3 ข้าพเจ้าทูลกษัตริย์ว่า “ขอกษัตริย์ทรงพระเจริญเป็นนิตย์เถิด ไฉนสีหน้าของข้าพระองค์จะไม่เศร้าหมองเล่าในเมื่อเมืองสถานที่ฝังศพของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ร้างเปล่าอยู่ และประตูเมืองก็ถูกไฟทำลายเสีย”
อสธ 1.18 ในวันนี้ทีเดียวเจ้านายผู้หญิงแห่งเปอร์เซียและมีเดียซึ่งได้ยินถึงสิ่งที่พระราชินีทรงกระทำนี้ ก็จะเล่าให้เจ้านายทั้งปวงของกษัตริย์รู้ทั่วกัน ทำให้มีความประมาทและความโกรธขึ้นเป็นอันมาก
อสธ 4.7 โมรเดคัยก็เล่าเรื่องทั้งสิ้นที่เกิดแก่ท่าน และจำนวนเงินถูกต้องที่ฮามานสัญญาถวายแก่พระคลังของกษัตริย์เพื่อการทำลายพวกยิว
อสธ 6.6 ฮามานจึงเข้ามา กษัตริย์ตรัสกับท่านว่า “หากกษัตริย์มีพระประสงค์จะประทานเกียรติยศแก่บุคคลผู้ใดแล้ว กษัตริย์ควรจะทำแก่เขาประการใด” และฮามานรำพึงในใจว่า “ผู้ใดเล่าที่กษัตริย์พอพระทัยจะประทานเกียรติยศมากกว่าข้า”
อสธ 6.13 และฮามานเล่าทุกสิ่งที่อุบัติแก่ท่านให้เศเรชภรรยาของท่านและสหายทั้งหลายของท่านฟัง คนฉลาดของท่านและเศเรชภรรยาของท่านจึงว่า “ถ้าท่านเริ่มล้มลงต่อหน้าโมรเดคัยซึ่งเป็นเชื้อสายของยิว ท่านจะไม่ชนะเขา แต่จะล้มลงต่อหน้าเขาแน่”
โยบ 4.6 ความยำเกรงของท่าน ความมั่นใจของท่าน ความหวังของท่าน และการประพฤติดีรอบคอบของท่านอยู่ที่ไหนเล่า
โยบ 7.20 โอ ข้าแต่พระองค์ผู้ปกปักรักษามนุษย์ ข้าพระองค์ทำบาปแล้ว ข้าพระองค์จะทำอะไรแก่พระองค์เล่า ทำไมพระองค์จึงทรงทำให้ข้าพระองค์เป็นเป้าหมายของพระองค์ ดังนั้นจึงเป็นภาระหนักแก่ข้าพระองค์เอง
โยบ 9.4 พระองค์ฉลาดอยู่ในพระทัย และพระกำลังก็แข็งแรง ผู้ใดเคยได้แข็งข้อต่อพระองค์และเจริญขึ้นได้เล่า
โยบ 9.24 แผ่นดินโลกนี้ทรงมอบไว้ในมือของคนชั่ว พระองค์ทรงปิดหน้าบรรดาผู้วินิจฉัยโลก ถ้าไม่ใช่พระองค์ แล้วใครเล่า
โยบ 14.10 แต่มนุษย์ตาย และล้มพังพาบ เออ มนุษย์สิ้นลมหายใจและเขาอยู่ที่ไหนเล่า
โยบ 15.9 ท่านทราบอะไรที่พวกเราไม่ทราบบ้าง ท่านเข้าใจอะไรที่ไม่กระจ่างแก่เราเล่า
โยบ 15.12 เหตุไฉนท่านจึงปล่อยตัวไปตามใจ ท่านกระพริบตาเพราะเหตุอะไรเล่า
โยบ 15.14 มนุษย์เป็นอะไรเล่า เขาจึงจะสะอาดได้ หรือเขาผู้เกิดมาโดยผู้หญิงเป็นอะไร เขาจึงชอบธรรมได้
โยบ 17.15 แล้วบัดนี้ความหวังของข้าอยู่ที่ไหนเล่า ส่วนความหวังของข้านั้นใครจะเห็นได้
โยบ 25.6 มนุษย์จะยิ่งสะอาดน้อยกว่านั้นเท่าใด ผู้เป็นเพียงตัวดักแด้ และบุตรของมนุษย์เล่า ผู้เป็นเพียงตัวหนอน”
โยบ 26.4 ท่านเปล่งวาจาออกมาแก่ใครเล่า และวิญญาณของใครได้ออกมาจากท่าน
โยบ 27.12 ดูเถิด ท่านทุกคนได้เห็นเองแล้ว ทำไมท่านจึงเหลวไหลสิ้นเชิงทีเดียวเล่า
โยบ 28.20 ดังนั้นพระปัญญามาจากไหนเล่า และที่ของความเข้าใจอยู่ที่ไหน
โยบ 34.13 ใครแต่งตั้งให้พระองค์ปกครองโลก หรือใครเล่ามอบหมายทั้งโลกไว้กับพระองค์
โยบ 36.22 ดูเถิด พระเจ้าทรงสำแดงความยิ่งใหญ่ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ ผู้ใดเป็นผู้สั่งสอนเหมือนอย่างพระองค์เล่า
โยบ 41.10 ไม่มีใครดุพอที่จะไปยั่วเย้ามัน แล้วใครเล่าจะยืนมั่นต่อเราได้
โยบ 41.11 ใครเล่าที่จะขัดขวางเรา ซึ่งเราจะต้องตอบสนองเขา สิ่งใดๆที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์ทั้งสิ้นก็เป็นของเรา
สดด 6.5 เพราะถ้าในความตาย ไม่มีการระลึกถึงพระองค์แล้ว ในแดนผู้ตายใครเล่าจะโมทนาพระคุณของพระองค์
สดด 8.4 มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรมนุษย์เป็นผู้ใดซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเยียนเขา
สดด 9.11 จงร้องเพลงสรรเสริญพระเยโฮวาห์ ผู้ซึ่งประทับในศิโยน จงบอกเล่าถึงพระราชกิจของพระองค์ในท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
สดด 18.31 เพราะผู้ใดจะเป็นพระเจ้า นอกจากพระเยโฮวาห์ และผู้ใดเล่าเป็นศิลา เว้นแต่พระเจ้าของเรา
สดด 19.12 แต่ผู้ใดเล่าจะเข้าใจเรื่องความผิดพลาดของตนได้ ขอพระองค์ทรงชำระข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดที่ซ่อนเร้นอยู่
สดด 25.12 ผู้ใดเล่าที่เป็นคนยำเกรงพระเยโฮวาห์ พระองค์จะทรงสั่งสอนผู้นั้นในทางที่เขาควรเลือกได้
สดด 26.7 พลางประกาศด้วยเสียงแห่งการโมทนาพระคุณและบอกเล่าถึงพระราชกิจมหัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์
สดด 27.1 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นความสว่างและความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใดเล่า พระเยโฮวาห์ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งแห่งชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องเกรงใคร
สดด 30.9 “จะได้กำไรอะไรจากโลหิตของข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์ลงไปยังปากแดนผู้ตาย ผงคลีจะสรรเสริญพระองค์หรือ มันจะบอกเล่าเรื่องความจริงของพระองค์หรือ
สดด 35.28 แล้วลิ้นของข้าพระองค์จะบอกเล่าถึงความชอบธรรมของพระองค์ และจะสรรเสริญพระองค์วันยังค่ำ
สดด 44.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินกับหูของตน บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายเล่าให้ฟัง ถึงกิจการซึ่งพระองค์ทรงกระทำในสมัยของเขา ในสมัยโบราณกาลนั้น
สดด 45.1 จิตใจข้าพเจ้าล้นไหลด้วยแนวคิดดี ข้าพเจ้าเล่าบทประพันธ์ของข้าพเจ้าถวายกษัตริย์ ลิ้นของข้าพเจ้าเหมือนปากไก่ของอาลักษณ์ที่ชำนาญ
สดด 69.26 เพราะเขาได้ข่มเหงผู้ที่พระองค์ทรงเฆี่ยนตี เขาเล่าถึงความเจ็บปวดของผู้ที่พระองค์ให้บาดเจ็บแล้ว
สดด 71.15 ปากของข้าพระองค์จะเล่าถึงความชอบธรรมและความรอดของพระองค์วันยังค่ำ เพราะจำนวนเหล่านั้นมากมายเกินความรู้ของข้าพระองค์
สดด 73.2 แต่ข้าพเจ้าเล่า เท้าของข้าพเจ้าเกือบสะดุด ย่างเท้าของข้าพเจ้าหมิ่นพลาดเต็มทีแล้ว
สดด 73.28 แต่ส่วนข้าพระองค์ ที่จะเข้าใกล้พระเจ้านั้นดี ข้าพระองค์ได้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า เพื่อข้าพระองค์จะได้เล่าถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์
สดด 89.6 เพราะผู้ใดเล่าที่ในฟ้าสวรรค์จะเปรียบกับพระเยโฮวาห์ได้ ในบรรดาลูกหลานของผู้มีอำนาจผู้ใดจะเหมือนพระเยโฮวาห์
สดด 96.3 จงเล่าถึงสง่าราศีของพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ถึงการมหัศจรรย์ของพระองค์ท่ามกลางบรรดาชนชาติทั้งหลาย
สดด 105.2 จงร้องเพลงถวายพระองค์ ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ จงเล่าถึงการมหัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์
สดด 107.22 และให้เขาถวายเครื่องสักการบูชาโมทนาพระคุณ และเล่าพระราชกิจของพระองค์ด้วยความชื่นบาน
สดด 115.2 ทำไมบรรดาประชาชาติจะกล่าวว่า “บัดนี้พระเจ้าของเขาทั้งหลายอยู่ไหนเล่า”
สดด 118.6 มีพระเยโฮวาห์อยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า
สดด 144.3 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ มนุษย์เป็นอะไรเล่าซึ่งพระองค์ทรงเอาพระทัยใส่เขา หรือบุตรของมนุษย์เป็นอะไรซึ่งพระองค์ทรงคิดถึงเขา
สดด 145.6 มนุษย์จะกล่าวถึงอานุภาพแห่งกิจการอันน่าเกรงขามของพระองค์ และข้าพระองค์จะเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์
สดด 145.11 เขาทั้งหลายจะพูดถึงสง่าราศีแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ และเล่าถึงฤทธานุภาพของพระองค์
สภษ 5.20 บุตรชายของเราเอ๋ย เจ้าจะเคลิบเคลิ้มอยู่กับหญิงชั่วทำไมเล่า และโอบกอดอกของนางสัญจรอยู่ทำไม
สภษ 18.14 จิตใจของคนจะทนต่อความเจ็บป่วยได้ แต่จิตใจที่ชอกช้ำใครจะทนได้เล่า
สภษ 20.6 คนเป็นอันมากป่าวร้องความดีของเขาเอง แต่ใครจะหาคนสัตย์ซื่อพบเล่า
สภษ 22.27 ถ้าเจ้าไม่มีอะไรชำระเขา ทำไมจึงควรให้เขาเอาที่นอนไปจากใต้ตัวเจ้าเล่า
สภษ 30.4 ใครเล่าได้ขึ้นไปยังสวรรค์หรือลงมา ใครเล่าได้รวบรวมลมไว้ในกำมือของท่าน ใครเล่าได้เอาเครื่องแต่งกายห่อห้วงน้ำไว้ ใครเล่าได้สถาปนาที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลกไว้ นามของผู้นั้นว่ากระไร และนามบุตรชายของผู้นั้นว่ากระไร ถ้าท่านบอกได้
สภษ 30.9 เกรงว่าข้าพระองค์จะอิ่ม และปฏิเสธพระองค์ แล้วพูดว่า “พระเยโฮวาห์เป็นผู้ใดเล่า” หรือเกรงว่าข้าพระองค์จะยากจนและขโมย และออกพระนามพระเจ้าของข้าพระองค์อย่างไร้ค่า
สภษ 31.2 อะไรเล่า ลูกแม่เอ๋ย อะไรเล่า ลูกแห่งท้องแม่เอ๋ย อะไรเล่า ลูกแห่งคำปฏิญาณของแม่เอ๋ย
ปญจ 2.15 ข้าพเจ้าจึงรำพึงในใจว่า “เหตุการณ์อันใดเกิดแก่คนเขลาฉันใด ก็จะเกิดกับตัวข้าพเจ้าฉันนั้น ถ้ากระนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายทำไมเล่า” ข้าพเจ้าจึงรำพึงในใจว่า เรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน
ปญจ 2.22 เพราะว่าเขาได้อะไรจากบรรดาการงานและความเคร่งเครียดในใจที่เขาต้องตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์เล่า
ปญจ 4.11 อนึ่ง ถ้าสองคนนอนอยู่ด้วยกัน เขาก็อบอุ่น แต่ถ้านอนคนเดียวจะอุ่นอย่างไรได้เล่า
ปญจ 5.6 อย่าให้ปากของเจ้าเป็นเหตุนำตัวเจ้าให้กระทำผิดไป และอย่าพูดต่อหน้าทูตสวรรค์ว่า นี่แหละเป็นความพลั้งเผลอ เหตุไฉนจะให้พระเจ้าทรงพิโรธเพราะเสียงพูดของเจ้า แล้วเลยทรงทำลายการงานแห่งน้ำมือของเจ้าเสียเล่า
ปญจ 5.16 นี่เป็นสิ่งสามานย์อันน่าสลดใจอีก คือเขาได้เกิดมาอย่างไรเขาก็ต้องไปอย่างนั้น เขาจะได้ประโยชน์อะไรเล่าที่เขาได้ลงแรงเพื่อลมแล้ง
ปญจ 6.8 ด้วยว่าคนมีสติปัญญาได้เปรียบอะไรกว่าคนเขลาเล่า หรือคนยากจนที่รู้จักดำเนินชีวิตของตนอยู่ต่อหน้าคนที่มีชีวิตก็ได้เปรียบอะไร
ปญจ 6.11 ยิ่งมีสิ่งของมากก็ยิ่งอนิจจังมาก แล้วจะเป็นประโยชน์อะไรแก่มนุษย์เล่า
ปญจ 6.12 ใครคนไหนรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมนุษย์ในชีวิตนี้ คือในระยะวันเดือนปีทั้งหลายแห่งชีวิตอันเหลวๆของตนที่ได้เสียไปดุจดังเงาเล่า หรือใครผู้ใดอาจบอกกับมนุษย์ได้ว่า สิ่งนี้สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นภายหลังตนที่ภายใต้ดวงอาทิตย์
ปญจ 7.13 จงพิจารณาพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งใดๆที่พระองค์ทรงกระทำให้คดอยู่แล้ว ใครจะเหยียดสิ่งนั้นๆให้ตรงได้เล่า
ปญจ 7.16 อย่าเป็นคนชอบธรรมเกินไป และอย่าฉลาดเกินตัว เหตุใดเจ้าจะทำตัวให้พินาศเสียเล่า
ปญจ 7.17 อย่าชั่วมากนัก หรืออย่าเป็นคนเขลา ทำไมเจ้าจะไปตายเสียก่อนถึงวาระของเจ้าเล่า
ปญจ 8.1 ใครผู้ใดจะเหมือนนักปราชญ์ หรือใครเล่าจะอธิบายอะไรๆก็ได้ สติปัญญาของมนุษย์กระทำให้ใบหน้าของเขาผ่องใส และใบหน้าของเขาที่แข็งกระด้างก็เปลี่ยนไป
ปญจ 10.14 คนเขลาพูดมากซ้ำซาก มนุษย์หารู้ไม่ว่าเหตุอันใดจะบังเกิดขึ้น ใครเล่าจะบอกเขาได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเขาล่วงไป
ปญจ 10.20 อย่าแช่งด่ากษัตริย์ เออ แม้แต่คิดแช่งด่าในใจก็อย่าเลย และอย่าแช่งคนมั่งมีที่ในห้องนอนของเจ้า เพราะนกในอากาศจะคาบเสียงของเจ้าไป หรือตัวที่มีปีกจะเล่าเรื่องนั้น
พซม 1.7 โอ เธอผู้ที่จิตใจดิฉันรัก ขอบอกดิฉันว่า เธอเลี้ยงฝูงสัตว์อยู่ที่ไหนในเวลาเที่ยงวัน เธอให้มันนอนพักที่ไหน เพราะเหตุใดเล่าดิฉันจะต้องหันไปตามฝูงสัตว์ของพวกเพื่อนเธอ
พซม 5.3 ดิฉันเปลื้องเสื้อของดิฉันออกเสียแล้ว ดิฉันจะสวมกลับเข้าไปอีกอย่างไรได้ ดิฉันล้างเท้าของดิฉันแล้ว ทำไมจะให้เท้าของดิฉันกลับเปื้อนไปอีกเล่า
พซม 6.1 โอ แม่สาวงามล้ำเลิศในท่ามกลางสาวอื่นๆคู่รักของเธอไปไหนเสีย คู่รักของเธอกลับไปไหนเสียแล้วเล่า เพื่อพวกเราจะไปสืบหากับเธอ
อสย 2.22 จงตัดขาดจากมนุษย์เสียเถิด ซึ่งในจมูกของเขามีลมหายใจ เพราะเขามีคุณค่าอะไรเล่า
อสย 6.9 และพระองค์ตรัสว่า “ไปเถอะ และกล่าวแก่ชนชาตินี้ว่า ‘ฟังแล้วฟังเล่า แต่อย่าเข้าใจ ดูแล้วดูเล่า แต่อย่ามองเห็น’
อสย 14.27 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงมุ่งไว้แล้ว ผู้ใดเล่าจะลบล้างเสียได้ พระหัตถ์ของพระองค์ทรงเหยียดออก และผู้ใดจะหันให้กลับได้
อสย 27.4 เราไม่มีความพิโรธ ใครเล่าจะให้มีหนามย่อยหนามใหญ่ขึ้นมาสู้รบกับเรา เราจะออกรบกับมัน เราจะเผามันเสียด้วยกัน
อสย 28.19 มันผ่านไปบ่อยเท่าใด มันก็จะเอาตัวเจ้า เพราะมันจะผ่านไปเช้าแล้วเช้าเล่า ทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อเข้าใจข่าว ก็จะเกิดแต่ความสยดสยองเท่านั้น
อสย 40.25 องค์บริสุทธิ์ตรัสว่า “เจ้าจะเปรียบเรากับผู้ใดเล่าซึ่งเราจะเหมือนเขา”
อสย 41.22 ให้เขานำมา และแจ้งแก่เราว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงแจ้งสิ่งล่วงแล้วให้เราทราบว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเราจะพิจารณา เพื่อเราจะทราบถึงอวสานของสิ่งเหล่านั้น หรือจงเล่าให้เราฟังถึงสิ่งที่จะบังเกิดมา
อสย 41.26 ใครแจ้งไว้ตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะทราบ และล่วงหน้าเพื่อเราจะพูดว่า “เขาชอบธรรม” เออ ไม่มีผู้ใดได้แจ้งให้ทราบ เออ ไม่มีผู้ใดได้เล่าให้ฟัง เออ ไม่มีผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเจ้า
อสย 42.9 ดูเถิด สิ่งล่วงแล้วนั้นก็สำเร็จแล้ว และเราก็แจ้งสิ่งใหม่ๆ ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเราก็ได้เล่าให้ฟังแล้ว”
อสย 43.9 ให้บรรดาประชาชาติประชุมพร้อมกัน และให้ชนชาติทั้งหลายชุมนุมกัน ในท่ามกลางเขามีผู้ที่แจ้งอย่างนี้ได้ และเล่าสิ่งล่วงแล้วให้เราฟังได้ ให้เขาทั้งหลายนำพยานของเขามาพิสูจน์ตัวเขา และให้เขาได้ยินและกล่าวว่า “จริงแล้ว”
อสย 44.8 อย่ากลัวเลย และอย่าขามเลย เรามิได้เล่าให้เจ้าฟังตั้งแต่ดึกดำบรรพ์และแจ้งให้ทราบแล้วหรือ และเจ้าเป็นพยานทั้งหลายของเรา มีพระเจ้านอกเหนือเราหรือ เออ ไม่มีพระเจ้า เราไม่รู้จักเลย”
อสย 44.10 ใครเล่าปั้นพระหรือหล่อรูปเคารพสลักซึ่งไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย
อสย 44.18 เขาทั้งหลายไม่รู้ หรือเขาทั้งหลายไม่เข้าใจ เพราะตาของเขาถูกปิด เขาจึงเห็นอะไรไม่ได้ และจิตใจของเขาเล่าก็ถูกปิด เขาจึงเข้าใจไม่ได้
อสย 45.21 จงแจ้งเรื่องและนำเข้ามาใกล้ เออ ให้เขาทั้งหลายปรึกษาหารือกัน ใครเล่าสิ่งนี้ให้ฟังนมนานแล้ว ใครแจ้งให้ทราบมาตั้งแต่เก่าก่อน ไม่ใช่เราหรือ คือพระเยโฮวาห์ นอกจากเราไม่มีพระเจ้าอื่นเลย พระเจ้าผู้ชอบธรรมและพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีอื่นใดนอกเหนือเรา
อสย 48.3 “สิ่งล่วงแล้วเราได้แจ้งให้ทราบแต่เก่าก่อน เออ มันไปจากปากของเรา และเราได้เล่าให้ฟังทั่วแล้ว ในทันใดนั้นเราก็ได้กระทำและก็เป็นไปตามนั้น
อสย 48.6 เจ้าได้ยินแล้ว จงคอยดูสิ่งทั้งปวงนี้ และเจ้าจะไม่แจ้งให้ทราบหรือ ตั้งแต่เวลานี้ไปเราเล่าสิ่งใหม่ให้เจ้าฟัง เป็นสิ่งที่ปิดซ่อนไว้ซึ่งเจ้าไม่รู้
อสย 48.20 จงไปเสียจากบาบิโลน จงหนีออกจากคนเคลเดีย จงประกาศข้อนี้ด้วยเสียงร้องเพลง จงเล่าให้ฟัง จงส่งออกไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลกว่า “พระเยโฮวาห์ทรงไถ่ยาโคบผู้รับใช้ของพระองค์แล้ว”
อสย 50.1 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “หนังสือหย่าของแม่เจ้า ผู้ซึ่งเราได้ไล่ไปเสียนั้น อยู่ที่ไหนเล่า หรือเจ้าหนี้ของเราคนไหนเล่าที่เราได้ขายตัวเจ้าไป ดูเถิด เพราะความชั่วช้าของเจ้า เจ้าจึงถูกขาย และเพราะความละเมิดของเจ้า แม่ของเจ้าจึงถูกไล่ไป
อสย 51.12 เรา คือเราเอง ผู้เล้าโลมเจ้า เจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่กลัวมนุษย์ผู้ซึ่งต้องตาย คือกลัวบุตรของมนุษย์ซึ่งถูกทำให้เหมือนหญ้า
อสย 51.13 และที่ได้ลืมพระเยโฮวาห์ผู้สร้างของตนเสีย ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์และวางรากฐานของแผ่นดินโลก และที่กลัวอยู่เรื่อยไปตลอดวัน เพราะความเกรี้ยวกราดของผู้บีบบังคับ เมื่อเขาตั้งตัวเขาที่จะทำลาย และความเกรี้ยวกราดของผู้บีบบังคับอยู่ที่ไหนเล่า
อสย 51.19 สองสิ่งนี้ได้มาถึงเจ้า ผู้ใดเล่าจะเศร้าโศกเสียใจเพื่อเจ้า ได้แก่การล้างผลาญและการทำลาย การกันดารอาหารและดาบ เราจะให้ใครไปปลอบประโลมเจ้าดีหนอ
อสย 53.1 ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย พระกรของพระเยโฮวาห์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด
อสย 53.8 ท่านถูกนำไปจากคุกและท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย และผู้ใดเล่าจะประกาศเกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของท่าน เพราะท่านต้องถูกตัดออกไปจากแผ่นดินของคนเป็น ต้องถูกตีเพราะการละเมิดของชนชาติของเรา
อสย 66.1 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา นิเวศซึ่งเจ้าจะสร้างให้เรานั้นจะอยู่ที่ไหนเล่า และที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน
ยรม 2.5 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “บรรพบุรุษของเจ้าจับความชั่วช้าอะไรได้ในเราเล่า เขาจึงไปห่างเสียจากเรา และไปดำเนินตามสิ่งไร้ค่า และได้กลายเป็นสิ่งไร้ค่า
ยรม 2.28 แต่บรรดาพระของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า ซึ่งเป็นพระที่เจ้าสร้างไว้สำหรับตัวเอง ถ้ามันช่วยเจ้าให้รอดได้ ก็ให้มันลุกขึ้นช่วย เมื่อถึงเวลาลำบากของเจ้า โอ ยูดาห์เอ๋ย เจ้ามีหัวเมืองมากเท่าใด เจ้าก็มีพระมากเท่านั้น”
ยรม 6.20 มีกำยานมาถึงเราจากเมืองเชบา มีตะไคร้ส่งมาจากเมืองไกล เพื่ออะไรเล่า เครื่องเผาบูชาของเจ้าก็ยังไม่เป็นที่รับได้ หรือเครื่องสักการบูชาของเจ้าก็ไม่เป็นที่พอใจเรา”
ยรม 8.9 คนมีปัญญาจะได้รับความอาย เขาจะคร้ามกลัวและถูกจับตัวไป ดูเถิด เขาได้ปฏิเสธพระวจนะของพระเยโฮวาห์ และปัญญาอย่างใดมีในตัวเขาเล่า
ยรม 11.15 ผู้ที่รักของเรานั้นมีสิทธิอะไรในนิเวศของเราเล่า ในเมื่อนางนั้นได้กระทำการชั่วช้ามาก และเนื้ออันบริสุทธิ์ได้พ้นไปจากเจ้าแล้ว เมื่อเจ้ากระทำชั่ว เจ้าจึงเริงโลด
ยรม 14.22 ในบรรดาพระเทียมเท็จแห่งประชาชาติทั้งหลายมีพระองค์ใดเล่าที่ทำให้เกิดฝนได้หรือ ท้องฟ้าประทานห่าฝนได้หรือ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ พระองค์มิใช่พระเจ้าองค์นั้นดอกหรือ พวกข้าพระองค์จึงคอยหวังในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น
ยรม 16.10 ต่อมาเมื่อเจ้าบอกบรรดาถ้อยคำเหล่านี้แก่ชนชาตินี้ และเขาทั้งหลายพูดกับเจ้าว่า ‘ทำไมพระเยโฮวาห์จึงทรงประกาศความร้ายใหญ่ยิ่งทั้งสิ้นนี้ให้ตกแก่เรา ความชั่วช้าของเราคืออะไรเล่า เราได้กระทำบาปอะไรต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราเล่า’
ยรม 17.9 จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า
ยรม 23.18 เพราะว่าผู้ใดเล่าที่ได้ยืนอยู่ในคำตักเตือนของพระเยโฮวาห์ ที่จะพิเคราะห์เห็นและฟังพระวจนะของพระองค์ หรือผู้ใดที่เชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และคอยฟัง
ยรม 23.27 ผู้ซึ่งคิดว่าจะกระทำให้ประชาชนของเราลืมนามของเราโดยความฝันของเขาทั้งหลาย ซึ่งเขาเล่าสู่กันและกันฟัง อย่างกับบรรพบุรุษของเขาลืมนามของเราไปติดตามพระบาอัล
ยรม 23.28 จงให้ผู้พยากรณ์ที่ฝันเล่าความฝัน แต่ให้คนที่มีถ้อยคำของเรากล่าวถ้อยคำของเราอย่างสุจริต” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ฟางข้าวมีอะไรบ้างที่เหมือนข้าวสาลี”
ยรม 30.21 ขุนนางของเขาจะเป็นคนหนึ่งในพวกเขาทั้งหลาย ผู้ครอบครองของเขาจะออกมาจากท่ามกลางเขาเอง เราจะกระทำให้ท่านนั้นเข้ามาใกล้ และท่านนั้นจะเข้าใกล้เรา เพราะใครเล่าตั้งใจเข้ามาใกล้เราได้เอง พระเยโฮวาห์ตรัส
ยรม 36.13 และมีคายาห์ก็เล่าถ้อยคำทั้งสิ้นซึ่งท่านได้ยิน เมื่อบารุคอ่านจากหนังสือม้วนให้ประชาชนฟังนั้น
ยรม 38.5 กษัตริย์เศเดคียาห์ตรัสว่า “ดูเถิด ชายคนนี้อยู่ในมือของท่านทั้งหลายแล้ว เพราะกษัตริย์จะทำอะไรขัดท่านทั้งหลายได้เล่า”
ยรม 46.15 ทำไมชายที่กล้าหาญของเจ้าจึงหนีเสียเล่า พวกเขาไม่ยืนมั่นอยู่ เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงผลักเขาล้มลง
ยรม 47.7 เมื่อพระเยโฮวาห์ทรงกำชับ มันจะสงบได้อย่างไรเล่า พระองค์ทรงบัญชาและแต่งตั้งให้ดาบนั้นต่อสู้อัชเคโลนและต่อสู้ชายทะเล”
ยรม 49.19 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ยรม 50.44 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ยรม 51.41 เชชักถูกยึดแล้วหนอ ซึ่งเป็นที่สรรเสริญของทั่วแผ่นดินโลกถูกจับแล้วเล่า บาบิโลนได้กลายเป็นที่น่าตกตะลึงท่ามกลางบรรดาประชาชาติเสียแล้วหนอ
พคค 2.13 โอ ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ข้าพเจ้าจะเอาอะไรมาเป็นพยานฝ่ายเจ้าได้ ข้าพเจ้าจะเปรียบเจ้ากับอะไร โอ ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยนเอ๋ย ข้าพเจ้าจะหาอะไรที่มาเทียบกับเจ้าได้เล่า เพื่อข้าพเจ้าจะเล้าโลมเจ้าได้ เพราะความอับปางของเจ้าก็ใหญ่เทียมเท่าสมุทร ผู้ใดจะรักษาเจ้าได้เล่า
อสค 7.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแล้ววิบัติเล่า ดูเถิด วิบัติมาถึงแล้ว
อสค 12.16 แต่เราจะละบางคนในพวกเขาไว้จากดาบ จากการกันดารอาหาร และจากโรคระบาด เพื่อเขาจะได้เล่าถึงการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเขาท่ามกลางประชาชาติซึ่งเขาไปอยู่นั้น และเขาจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์”
อสค 13.12 ดูเถิด เมื่อกำแพงพังลง เขาจะไม่พูดกับท่านหรือว่า ‘ปูนขาวที่เจ้าได้ฉาบนั้นอยู่ที่ไหนเล่า’
อสค 15.5 ดูเถิด เมื่อมันยังดีอยู่ก็มิได้ใช้ประโยชน์อะไร เมื่อถูกไฟไหม้เป็นถ่านแล้วยิ่งมีประโยชน์น้อยลง จะใช้ทำอะไรได้บ้างเล่า
อสค 18.31 จงละทิ้งการละเมิดทั้งสิ้นซึ่งเจ้าได้ละเมิดต่อเรา จงทำตัวให้มีจิตใจใหม่และวิญญาณใหม่ โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะตายเสียทำไมเล่า
อสค 21.13 เพราะมีการทดลอง และอะไรเล่าถ้าดาบได้ดูหมิ่นไม้เรียวนั้น ก็จะไม่มีอีก องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้
ดนล 2.4 แล้วคนเคลเดียจึงกราบทูลกษัตริย์เป็นภาษาอารัมว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงพระเจริญเป็นนิตย์ ขอทรงเล่าพระสุบินให้แก่พวกผู้รับใช้ของพระองค์ แล้วเหล่าข้าพระองค์จะได้ถวายคำแก้พระสุบิน”
ดนล 2.7 เขาทั้งหลายกราบทูลคำรบสองว่า “ขอกษัตริย์เล่าพระสุบินแก่พวกผู้รับใช้ของพระองค์ และเหล่าข้าพระองค์จะถวายคำแก้พระสุบิน พระเจ้าข้า”
ดนล 2.15 ท่านถามอารีโอคหัวหน้าว่า “ไฉนพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์จึงเร่งร้อนเล่า” แล้วอารีโอคก็เล่าเรื่องให้ดาเนียลทราบ
ดนล 3.15 บัดนี้ถ้าเจ้าพร้อมใจแล้ว พอเจ้าได้ยินเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด เจ้าจงกราบลงนมัสการปฏิมากรซึ่งเราได้สร้างไว้ แต่ถ้าเจ้าไม่นมัสการ จะต้องโยนเจ้าทันทีเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่ และผู้ใดเล่าจะเป็นพระเจ้าที่จะช่วยให้เจ้าพ้นจากมือของเราได้”
ดนล 4.7 พวกโหร พวกหมอดู และคนเคลเดีย และหมอดูฤกษ์ยามก็เข้ามาเฝ้า เราก็เล่าความฝันแก่เขา แต่เขาทั้งหลายแก้ฝันให้เราไม่ได้
ดนล 4.8 ในที่สุดดาเนียลก็เข้ามาเฝ้าเรา เขามีชื่อว่าเบลเทชัสซาร์ ตามนามพระของเรา เขามีวิญญาณของพระผู้บริสุทธิ์ เราก็เล่าความฝันให้เขาฟังว่า
ดนล 8.26 นิมิตเรื่องเวลาเย็นและเวลาเช้าซึ่งบอกเล่านั้นเป็นความจริง แต่จงปิดบังนิมิตนั้นไว้เถอะ เพราะเป็นเรื่องของอีกหลายวันข้างหน้า”
ยอล 2.11 พระเยโฮวาห์จะทรงส่งพระสุรเสียงต่อหน้ากองทัพของพระองค์ เพราะค่ายของพระองค์ใหญ่โตยิ่งนัก ผู้ที่กระทำตามพระวจนะของพระองค์นั้นมีเดชานุภาพมาก เพราะว่าวันแห่งพระเยโฮวาห์เป็นวันใหญ่โตและน่ากลัวยิ่งนัก ผู้ใดเล่าจะทนอยู่ได้
อมส 5.18 วิบัติแก่เจ้า ผู้ปรารถนาวันแห่งพระเยโฮวาห์ วันนั้นจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เจ้าเล่า วันแห่งพระเยโฮวาห์เป็นความมืด ไม่ใช่เป็นความสว่าง
มคา 2.4 ในวันนั้น จะมีคนเล่าคำอุปมาต่อสู้เจ้า และจะร่ำไห้ด้วยการโอดครวญอย่างขมขื่นว่า “พวกเราพินาศอย่างสิ้นเชิงแล้ว พระองค์ทรงเปลี่ยนที่ดินกรรมสิทธิ์แห่งชนชาติของข้า พระองค์ทรงถอนไปจากข้าเสียแล้วหนอ พระองค์ทรงแบ่งไร่นาของพวกเราให้แก่บรรดาคนที่จับกุมพวกเรา”
มคา 7.18 ใครเล่าจะเป็นพระเจ้าเสมอเหมือนพระองค์ ผู้ทรงยกโทษความชั่วช้า และทรงให้อภัยการละเมิดแก่คนที่เหลืออยู่อันเป็นมรดกของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงถือพระพิโรธเนืองนิตย์ เพราะว่าพระองค์ทรงพอพระทัยในความเมตตา
นฮม 3.7 ต่อมาทุกคนที่แลเห็นเจ้าจะหดหนีไปจากเจ้าและกล่าวว่า “นีนะเวห์เป็นเมืองร้างเสียแล้ว ใครเล่าจะสงสารเธอ” จะไปหาใครที่ไหนมาเล้าโลมเธอได้เล่า
นฮม 3.19 แผลฟกช้ำของเจ้าไม่มีบรรเทา บาดแผลของเจ้าก็สาหัส ทุกคนผู้ได้ยินข่าวของเจ้า เขาก็ตบมือเยาะเจ้า มีใครเล่าที่ไม่ได้รับภัยอันร้ายเนืองนิตย์ของเจ้า
ฮบก 2.18 รูปแกะสลักให้ประโยชน์อะไรเล่า รูปที่ช่างได้แกะสลักไว้ รูปหล่ออันเป็นครูสอนความเท็จให้ประโยชน์อะไร ที่ช่างจะวางใจในสิ่งที่เขาสร้างขึ้น ที่ช่างจะสร้างพระใบ้
ฮกก 1.9 เจ้าทั้งหลายหวังได้มาก แต่ดูเถิด ก็ได้น้อย และเมื่อเจ้านำผลมาบ้านของเจ้า เราก็เป่ามันไปเสีย พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ทำไมเป็นอย่างนั้นเล่า ก็เพราะนิเวศของเราพังทลายอยู่ ฝ่ายเจ้าต่างก็สาละวนอยู่กับเรื่องบ้านของตน
ศคย 1.5 บรรพบุรุษของเจ้า เขาอยู่ที่ไหน พวกผู้พยากรณ์เล่า เขามีชีวิตอยู่เป็นนิตย์หรือ
ศคย 4.7 โอ ภูเขาใหญ่ เจ้าเป็นอะไรเล่า ต่อหน้าเศรุบบาเบลเจ้าจะเป็นที่ราบ และท่านจะนำศิลาก้อนที่อยู่ยอดออกมาท่ามกลางการโห่ร้องว่า ‘งามจริงพระวิหาร งามจริง’”
ศคย 9.11 ส่วนเจ้าเล่า เพราะโลหิตแห่งพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่อเจ้า เราจะปลดปล่อยเชลยในพวกเจ้าให้เป็นอิสระจากบ่อแห้งนั้น
ศคย 10.2 เพราะว่ารูปเคารพประจำบ้านพูดไม่ได้เรื่อง และพวกโหรก็เห็นสิ่งหลอกลวง และเล่าความฝันเท็จ และให้คำเล้าโลมที่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นประชาชนจึงหลงไปอย่างฝูงสัตว์ เขาทุกข์ใจเพราะขาดเมษบาล
มธ 5.47 ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงพวกเก็บภาษีก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ
มธ 8.4 ฝ่ายพระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “อย่าบอกเล่าให้ผู้ใดฟังเลย แต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิต และถวายเครื่องถวายตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลาย”
มธ 8.29 ดูเถิด เขาร้องตะโกนว่า “พระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาที่นี่เพื่อจะทรมานพวกเราก่อนเวลาหรือ”
มธ 8.33 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรก็หนีเข้าไปในนคร เล่าบรรดาเหตุการณ์ซึ่งเป็นไปนั้น กับเหตุที่เกิดขึ้นแก่คนที่มีผีเข้าสิงอยู่นั้น
มธ 9.4 ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายคิดชั่วอยู่ในใจเล่า
มธ 9.11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่พวกสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า”
มธ 12.27 และถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านทั้งหลายขับมันออกโดยอำนาจของใครเล่า เหตุฉะนั้นพวกพ้องของท่านเองจะเป็นผู้ตัดสินกล่าวโทษพวกท่าน
มธ 15.3 แต่พระองค์ได้ตรัสตอบเขาว่า “เหตุไฉนพวกท่านจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยประเพณีของพวกท่านด้วยเล่า
มธ 16.15 พระองค์ตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านเล่าว่าเราเป็นผู้ใด”
มธ 17.9 ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระเยซูตรัสกำชับเหล่าสาวกว่า “นิมิตซึ่งพวกท่านได้เห็นนั้น อย่าบอกเล่าแก่ผู้ใดจนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย”
มธ 19.17 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไมเล่า ไม่มีผู้ใดประเสริฐนอกจากพระองค์เดียวคือพระเจ้า แต่ถ้าท่านปรารถนาจะเข้าในชีวิต ก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้”
มธ 21.25 คือบัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากไหน มาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์” เขาได้ปรึกษากันว่า “ถ้าเราจะว่า ‘มาจากสวรรค์’ ท่านจะถามเราว่า ‘เหตุไฉนท่านจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า’
มธ 21.31 บุตรสองคนนี้คนไหนเป็นผู้ทำตามความประสงค์ของบิดาเล่า” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “คือบุตรคนแรก” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พวกเก็บภาษีและหญิงโสเภณีก็เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่านทั้งหลาย
มธ 26.65 ขณะนั้นมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตน แล้วว่า “เขาได้พูดหมิ่นประมาทแล้ว เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า ดูเถิด บัดนี้ ท่านทั้งหลายก็ได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้ว
มธ 28.11 ขณะที่พวกผู้หญิงกำลังไปอยู่นั้น ดูเถิด มีบางคนในพวกที่เฝ้ายามได้เข้าไปในเมือง เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นนั้นให้พวกปุโรหิตใหญ่ฟัง
มก 1.24 ว่า “พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ปล่อยเราไว้ เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาเพื่อจะทำลายเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า”
มก 1.44 ตรัสแก่เขาว่า “เจ้าอย่าบอกเล่าอะไรให้ผู้ใดฟังเลย แต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาสำหรับคนที่หายโรคเรื้อนแล้ว ตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลาย”
มก 2.8 และในทันใดนั้นเมื่อพระเยซูทรงทราบในพระทัยว่าเขาคิดในใจอย่างนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้เล่า
มก 2.16 ฝ่ายพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เมื่อเห็นพระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาป จึงถามสาวกของพระองค์ว่า “เหตุไฉนพระองค์จึงกินและดื่มร่วมกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า”
มก 4.12 เพื่อว่าเขาจะดูแล้วดูเล่า แต่มองไม่เห็น และฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ เกลือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเขาจะกลับใจเสียใหม่ และความผิดบาปของเขาจะได้ยกโทษเสีย”
มก 5.7 แล้วร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด ข้าพระองค์เกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ปฏิญาณในพระนามของพระเจ้าว่า จะไม่ทรมานข้าพระองค์”
มก 5.14 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรนั้นต่างคนต่างหนีไปเล่าเรื่องทั้งในนครและบ้านนอก แล้วคนทั้งปวงก็ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
มก 5.16 แล้วคนที่ได้เห็นก็เล่าเหตุการณ์ซึ่งบังเกิดแก่คนที่ผีสิงนั้น และซึ่งบังเกิดแก่ฝูงสุกรให้เขาฟัง
มก 5.35 เมื่อพระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ มีบางคนได้มาจากบ้านนายธรรมศาลาบอกว่า “ลูกสาวของท่านตายเสียแล้ว ยังจะรบกวนอาจารย์ทำไมอีกเล่า”
มก 8.26 พระองค์จึงตรัสสั่งคนนั้นให้กลับตรงไปยังบ้านของตน แล้วกำชับว่า “อย่าเข้าไปในเมือง หรือเล่าให้ใครในเมืองนั้นฟังเลย”
มก 8.29 พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “ฝ่ายพวกท่านเล่าว่าเราเป็นผู้ใด” เปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์”
มก 11.31 เขาจึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราจะว่า ‘มาจากสวรรค์’ ท่านจะถามเราว่า ‘เหตุไฉนจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า’
มก 14.63 ท่านมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า “เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า
ลก 2.17 ครั้นเขาได้เห็นแล้ว จึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น
ลก 3.14 ฝ่ายพวกทหารถามท่านด้วยว่า “พวกข้าพเจ้าเล่า จะต้องทำประการใด” ท่านตอบเขาว่า “อย่ากดขี่ผู้ใด อย่าหาความใส่ผู้ใด แต่จงพอใจในค่าจ้างของตน”
ลก 4.34 กล่าวว่า “ไฮ้ พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ปล่อยเราไว้ เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาเพื่อจะทำลายเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า”
ลก 5.21 ฝ่ายพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีเริ่มคิดในใจว่า “คนนี้ที่พูดหมิ่นประมาทเป็นผู้ใดเล่า ใครจะยกความผิดบาปได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น”
ลก 7.18 ฝ่ายพวกศิษย์ของยอห์นก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นให้ท่านฟัง
ลก 8.28 ครั้นเห็นพระเยซูเขาก็โห่ร้อง และกราบลงตรงพระพักตร์พระองค์ ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าสูงสุด ข้าพระองค์เกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ขอพระองค์อย่าทรมานข้าพระองค์”
ลก 8.34 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างก็หนีไปเล่าเรื่องนั้นทั้งในเมืองและนอกเมือง
ลก 8.36 ฝ่ายคนทั้งหลายที่ได้เห็น ก็เล่าให้เขาทั้งหลายฟังถึงเรื่องคนที่ผีสิงได้หายปกติอย่างไร
ลก 9.9 เฮโรดจึงว่า “ยอห์นนั้นเราได้ตัดศีรษะแล้ว แต่คนนี้ที่เราได้ยินเหตุการณ์ของเขาอย่างนี้คือผู้ใดเล่า” แล้วเฮโรดจึงหาโอกาสที่จะเห็นพระองค์
ลก 9.20 พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านเล่าว่าเราเป็นผู้ใด” เปโตรทูลตอบว่า “เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า”
ลก 11.19 ถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูลนั้น พวกพ้องของท่านทั้งหลายขับมันออกโดยอำนาจของใครเล่า เหตุฉะนั้นพวกพ้องของท่านเองจะเป็นผู้ตัดสินกล่าวโทษพวกท่าน
ลก 12.20 แต่พระเจ้าตรัสแก่เขาว่า ‘เจ้าคนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า’
ลก 12.26 เหตุฉะนั้น ถ้าสิ่งเล็กน้อยที่สุดยังทำไม่ได้ ท่านยังจะกระวนกระวายถึงสิ่งอื่นทำไมอีกเล่า
ลก 12.49 เรามาเพื่อจะทิ้งไฟลงบนแผ่นดินโลก และเราจะปรารถนาอะไรเล่า ถ้าหากไฟนั้นได้ติดขึ้นแล้ว
ลก 13.1 ขณะนั้น มีบางคนอยู่ที่นั่นเล่าเรื่องชาวกาลิลี ซึ่งปีลาตเอาโลหิตของเขาระคนกับเครื่องบูชาของเขา ให้พระองค์ฟัง
ลก 14.21 ผู้รับใช้นั้นจึงกลับมาเล่าเนื้อความให้เจ้านายฟัง นายเจ้าของบ้านก็โกรธ จึงสั่งผู้รับใช้ว่า ‘จงออกไปโดยเร็วตามถนนใหญ่และตรอกน้อยในเมือง พาคนจน คนพิการ คนง่อย และคนตาบอดเข้ามาที่นี่’
ลก 16.11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายไม่สัตย์ซื่อในทรัพย์สมบัติอธรรม ใครจะมอบทรัพย์สมบัติอันแท้ให้แก่ท่านเล่า
ลก 16.12 และถ้าท่านทั้งหลายมิได้สัตย์ซื่อในของของคนอื่น ใครจะมอบทรัพย์อันแท้ให้เป็นของของท่านเล่า
ลก 19.23 ก็เหตุไฉนเจ้ามิได้ฝากเงินของเราไว้ที่ธนาคารเล่า เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเรากับดอกเบี้ยด้วย’
ลก 20.5 เขาจึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราจะว่า ‘มาจากสวรรค์’ ท่านจะถามว่า ‘เหตุไฉนท่านจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า’
ลก 22.71 เขาทั้งหลายจึงว่า “เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า เพราะว่าพวกเราได้ยินจากปากของเขาเองแล้ว”
ลก 23.31 เพราะว่าถ้าเขาทำอย่างนี้เมื่อไม้สด อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งแล้วเล่า”
ลก 24.5 ฝ่ายผู้หญิงเหล่านั้นกลัวและซบหน้าลงถึงดิน ชายสองคนนั้นจึงพูดกับเขาว่า “พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า
ลก 24.23 แต่เมื่อไม่พบพระศพของพระองค์ จึงมาเล่าว่านางได้เห็นนิมิตเป็นทูตสวรรค์ และทูตนั้นบอกว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่
ลก 24.35 ฝ่ายสองคนนั้นจึงเล่าความซึ่งเกิดขึ้นที่กลางทาง และที่เขาได้รู้จักพระองค์โดยการหักขนมปังนั้น
ลก 24.36 เมื่อเขาทั้งสองกำลังเล่าเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูเองทรงยืนอยู่ที่ท่ามกลางเขา และตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด”
ลก 24.38 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม เหตุไฉนความคิดสนเท่ห์จึงบังเกิดขึ้นในใจของท่านทั้งหลายเล่า
ยน 1.21 เขาทั้งหลายจึงถามท่านว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใครเล่า ท่านเป็นเอลียาห์หรือ” ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้นั้นหรือ” และท่านตอบว่า “มิได้”
ยน 2.4 พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ข้าพเจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า เวลาของข้าพเจ้ายังไม่มาถึง”
ยน 4.29 “มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้มิใช่พระคริสต์หรือ”
ยน 4.39 ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้นได้เชื่อในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงผู้นั้น ที่ว่า “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ”
ยน 6.68 ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า พระองค์มีถ้อยคำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์
ยน 7.20 คนเหล่านั้นตอบว่า “ท่านมีผีสิงอยู่ ใครเล่าหาโอกาสจะฆ่าท่าน”
ยน 8.25 เขาจึงถามพระองค์ว่า “ท่านคือใครเล่า” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านทั้งหลายแต่แรกนั้น
ยน 8.53 ท่านเป็นใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ตายไปแล้วหรือ พวกศาสดาพยากรณ์นั้นก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นผู้ใดเล่า”
ยน 9.21 แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น หรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด เราก็ไม่ทราบ จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว เขาจะเล่าเรื่องของเขาเองได้”
ยน 10.32 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการซึ่งมาจากพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตายเพราะการกระทำข้อใดเล่า”
ยน 11.46 แต่พวกเขาบางคนไปหาพวกฟาริสี และเล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้ฟัง
ยน 12.34 คนทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “พวกเราได้ยินจากพระราชบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ เหตุไฉนท่านจึงว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น’ บุตรมนุษย์นั้นคือผู้ใดเล่า”
ยน 12.38 เพื่อคำของอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์จะสำเร็จซึ่งว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด’
ยน 21.22 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของท่านเล่า ท่านจงตามเรามาเถิด”
ยน 21.23 เหตุฉะนั้นคำที่ว่า สาวกคนนั้นจะไม่ตาย จึงลือไปท่ามกลางพวกพี่น้อง แต่พระเยซูมิได้ตรัสแก่เขาว่า “สาวกคนนั้นจะไม่ตาย” แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของท่านเล่า”
กจ 3.12 พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความบริสุทธิ์ของเราเอง
กจ 4.23 เมื่อเขาปล่อยท่านทั้งสองแล้ว ท่านจึงไปหาพวกของท่าน เล่าเรื่องทั้งสิ้นที่พวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่ได้ว่าแก่ท่าน
กจ 5.4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า”
กจ 5.9 เปโตรจึงถามนางว่า “ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย”
กจ 7.26 วันรุ่งขึ้นโมเสสได้เข้ามาพบเขาขณะวิวาทกัน ก็อยากจะให้เขากลับดีกันอีก จึงกล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านเป็นพี่น้องกัน ไฉนจึงทำร้ายกันเล่า’
กจ 8.33 ในคราวที่ท่านถูกเหยียดลงนั้น ท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย และผู้ใดเล่าจะประกาศเกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของท่าน เพราะว่าชีวิตของท่านต้องถูกตัดเสียจากแผ่นดินโลกแล้ว’
กจ 8.35 ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มเล่าจับต้นกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงเรื่องพระเยซู
กจ 9.27 แต่บารนาบัสได้พาท่านไปหาพวกอัครสาวก แล้วเล่าให้เขาฟังว่าเซาโลได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่กลางทาง และพระองค์ตรัสแก่ท่าน ท่านจึงประกาศออกพระนามพระเยซูโดยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัส
กจ 10.8 และเมื่อโครเนลิอัสได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้คนเหล่านั้นฟังแล้ว ท่านจึงใช้เขาไปยังเมืองยัฟฟา
กจ 10.37 ข้าพเจ้ากล่าวว่า พระดำรัสนั้นท่านทั้งหลายก็รู้ คือเรื่องที่ได้เล่ากันตั้งแต่ต้นที่แคว้นกาลิลี ไปจนตลอดทั่วแคว้นยูเดีย ภายหลังการบัพติศมาที่ยอห์นได้ประกาศนั้น
กจ 11.17 เหตุฉะนั้น ถ้าพระเจ้าได้ทรงโปรดประทานของประทานแก่เขาเหมือนแก่เราทั้งหลาย ผู้ที่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่จะขัดขืนพระเจ้าได้”
กจ 12.17 แต่เปโตรโบกมือให้เขานิ่ง และเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงพาท่านออกจากคุกอย่างไร แล้วท่านสั่งว่า “จงไปบอกเรื่องนี้แก่ยากอบกับพวกพี่น้องให้ทราบ” เปโตรจึงออกไปเสียที่อื่น
กจ 14.27 เมื่อมาถึง ท่านทั้งสองได้เรียกประชุมคริสตจักร และได้เล่าให้เขาฟังถึงพระราชกิจทั้งปวงซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำร่วมกับเขา กับซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดประตูให้คนต่างชาติเชื่อ
กจ 15.4 ครั้นมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม คริสตจักรและอัครสาวกและผู้ปกครองทั้งหลายได้ต้อนรับท่าน แล้วท่านเหล่านั้นจึงเล่าให้เขาฟังถึงเหตุการณ์ทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงกระทำร่วมกับเขา
กจ 15.12 ฝ่ายคนทั้งหลายก็นิ่งฟังบารนาบัสกับเปาโลเล่าเรื่องการอัศจรรย์และการมหัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำโดยเขาในหมู่พวกต่างชาติ
กจ 15.27 เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงใช้ยูดาสกับสิลาสมาเป็นผู้ซึ่งจะเล่าข้อความนี้แก่ท่านทั้งหลายด้วยปากของเขาเอง
กจ 17.18 นักปรัชญาบางคนในพวกเอปีกูเรียวและในพวกสโตอิกได้มาพบท่าน บางคนกล่าวว่า “คนพูดเพ้อเจ้ออย่างนี้ใคร่จะมาพูดอะไรให้เราฟังอีกเล่า” คนอื่นกล่าวว่า “ดูเหมือนเขาเป็นคนนำพระต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่” เพราะเปาโลได้ประกาศเรื่องพระเยซูและเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย
กจ 19.3 เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” เขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น”
กจ 19.15 ฝ่ายวิญญาณชั่วจึงตอบเขาว่า “พระเยซู ข้าก็รู้จัก และเปาโล ข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า”
กจ 19.18 มีหลายคนที่เชื่อแล้วได้มาสารภาพ และเล่าเรื่องการซึ่งเขาได้กระทำไปนั้น
กจ 25.14 ขณะที่ท่านค้างอยู่ที่นั่นหลายวัน เฟสทัสก็เล่าเรื่องคดีของเปาโลให้กษัตริย์ฟังว่า “มีชายคนหนึ่งซึ่งเฟลิกซ์ได้ขังทิ้งไว้
รม 4.1 ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอับราฮัมบรรพบุรุษของเราได้ประโยชน์อะไรตามเนื้อหนังเล่า
รม 8.24 เหตุว่าเราทั้งหลายรอดได้เพราะความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้หาได้เป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็น
รม 8.34 ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก ก็คือพระคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงคืนพระชนม์ ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย
รม 8.35 แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความยากลำบาก หรือความทุกข์ หรือการข่มเหง หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ
รม 9.20 โอ มนุษย์เอ๋ย ดูก่อน ท่านคือผู้ใดเล่าซึ่งท่านจะโต้ตอบกับพระเจ้าได้ สิ่งซึ่งถูกทำขึ้นแล้วนั้นจะกลับว่าแก่ผู้ทำได้หรือว่า “ท่านได้กระทำข้าพเจ้าอย่างนี้ทำไม”
รม 10.16 แต่มิใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย’
รม 11.34 เพราะว่า ‘ใครเล่ารู้จักพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาพระองค์
รม 11.35 หรือใครเล่าได้ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระองค์ ที่พระองค์จะต้องประทานตอบแทนให้แก่เขา’
รม 14.4 ท่านเป็นใครเล่าจึงกล่าวโทษผู้รับใช้ของคนอื่น ผู้รับใช้คนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา และเขาก็จะได้ดีแน่นอน เพราะว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถให้เขาได้ดีได้
รม 14.10 แต่ตัวท่านเล่า เหตุไฉนท่านจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน หรือเหตุไฉนท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน เพราะว่าเราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์
1คร 1.11 พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า คนในครอบครัวของนางคะโลเอได้เล่าเรื่องของท่านให้ข้าพเจ้าฟังว่า เกิดมีการทุ่มเถียงกันในระหว่างพวกท่าน
1คร 2.16 เพราะว่า ‘ใครเล่ารู้จักพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อจะแนะนำสั่งสอนพระองค์ได้’ แต่เราก็มีพระทัยของพระคริสต์
1คร 4.7 ผู้ใดเล่ากระทำให้ท่านวิเศษกว่าคนอื่น ท่านมีอะไรที่ท่านมิได้รับมา ก็เมื่อท่านได้รับมา เหตุไฉนท่านจึงโอ้อวดเหมือนกับว่าท่านมิได้รับเลย
1คร 9.18 แล้วอะไรเล่าจะเป็นบำเหน็จของข้าพเจ้า คือเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์โดยไม่คิดค่าจ้าง เพื่อจะไม่ได้ใช้สิทธิ์ในข่าวประเสริฐนั้นอย่างเต็มที่
1คร 10.29 ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงใจสำนึกผิดชอบของท่าน แต่หมายถึงใจสำนึกผิดชอบของคนที่บอกนั้น ทำไมใจสำนึกผิดชอบของผู้อื่นจะต้องมาขัดขวางเสรีภาพของข้าพเจ้าเล่า
1คร 10.30 เพราะถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยพระคุณ ทำไมเขาติเตียนข้าพเจ้าเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ขอบพระคุณแล้วเล่า
1คร 14.6 นี่แหละพี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ามาหาท่านและพูดภาษาต่างๆ จะเป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านเล่า เว้นเสียแต่ข้าพเจ้าจะพูดกับท่านโดยคำวิวรณ์ หรือโดยความรู้ หรือโดยคำพยากรณ์ หรือโดยการสั่งสอน
1คร 14.8 เพราะถ้าแตรเดี่ยวเปล่งเสียงไม่ชัดเจน ใครเล่าจะเตรียมตัวเข้าประจัญบานได้
1คร 15.29 มิฉะนั้น คนเหล่านั้นที่รับบัพติศมาสำหรับคนตายเขาทำอะไรกัน ถ้าคนตายจะไม่เป็นขึ้นมา เหตุไฉนจึงมีคนรับบัพติศมาสำหรับคนตายเล่า
1คร 15.30 และเหตุไฉนเราจึงต้องเผชิญกับภัยอันตรายตลอดเวลาเล่า
2คร 2.2 เพราะถ้าข้าพเจ้าทำให้พวกท่านเป็นทุกข์ ใครเล่าจะทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดี ก็คือคนที่ข้าพเจ้าทำให้มีความทุกข์นั่นแหละ
2คร 2.16 ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต ใครเล่าจะมีความสามารถเหมาะสมกับพันธกิจเหล่านี้
2คร 12.1 ข้าพเจ้าจำจะต้องอวด ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปถึงนิมิตและการสำแดงต่างๆซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
2คร 12.13 เพราะว่าพวกท่านเสียเปรียบคริสตจักรอื่นๆในข้อใดเล่า เว้นไว้ในข้อนี้ คือที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นภาระแก่พวกท่าน การผิดนั้นขอท่านให้อภัยแก่ข้าพเจ้าเถิด
กท 2.2 ข้าพเจ้าขึ้นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้เล่าข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ชนต่างชาติให้เขาฟัง แต่ได้เล่าให้คนสำคัญฟังเป็นส่วนตัวเกรงว่าข้าพเจ้าอาจจะวิ่งแข่งกัน หรือวิ่งแล้วโดยไร้ประโยชน์
กท 2.14 แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าเขาไม่ได้ดำเนินในความเที่ยงธรรมตามความจริงของข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงว่าแก่เปโตรต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “ถ้าท่านเองซึ่งเป็นพวกยิวประพฤติตามอย่างคนต่างชาติ มิใช่ตามอย่างพวกยิว เหตุไฉนท่านจึงบังคับคนต่างชาติให้ประพฤติตามอย่างพวกยิวเล่า”
กท 5.7 ท่านวิ่งแข่งดีอยู่แล้ว ใครเล่าขัดขวางท่านไม่ให้เชื่อฟังความจริง
กท 5.11 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ายังเทศนาชักชวนให้รับพิธีเข้าสุหนัต เหตุใดข้าพเจ้าจึงยังถูกข่มเหงอยู่อีกเล่า ถ้าเช่นนั้นกางเขนก็ไม่ใช่สิ่งที่ให้สะดุดแล้ว
อฟ 4.9 (ที่กล่าวว่าพระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น จะหมายความอย่างอื่นประการใดเล่า นอกจากว่าพระองค์ได้เสด็จลงไปสู่เบื้องต่ำของแผ่นดินโลกก่อนด้วย
อฟ 6.20 เพราะข่าวประเสริฐนี้เองทำให้ข้าพเจ้าเป็นทูตผู้ต้องติดโซ่อยู่ เพื่อข้าพเจ้าจะเล่าข่าวประเสริฐด้วยใจกล้าตามที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าว
คส 1.8 ผู้ได้เล่าให้เราฟังถึงความรักที่ท่านมีอยู่ในพระวิญญาณด้วย
คส 4.9 ให้โอเนสิมัส ผู้เป็นน้องชายที่รักและสัตย์ซื่อ ซึ่งเป็นคนหนึ่งในพวกท่านไปด้วย เขาทั้งสองจะเล่าให้ท่านทราบถึงเหตุการณ์ทั้งปวงที่นี่
1ธส 2.18 เพราะเหตุนั้นเราอยากมาหาท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าคือเปาโลอยากมาหนแล้วหนเล่า แต่ซาตานได้ขัดขวางเราไว้
1ธส 2.19 เพราะอะไรเล่าจะเป็นความหวัง หรือความยินดี หรือมงกุฎแห่งความชื่นชมยินดีของเรา จำเพาะพระพักตร์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เมื่อพระองค์จะเสด็จมา ก็มิใช่ท่านทั้งหลายดอกหรือ
1ทธ 4.7 แต่จงหลีกเลี่ยงจากนิยายอันหยาบคาย และนิยายซึ่งยายเคยเล่าให้ฟังนั้น จงฝึกตนในทางที่เป็นอย่างพระเจ้า
ฮบ 1.13 แต่แก่ทูตสวรรค์องค์ใดเล่าที่พระองค์ได้ตรัสในเวลาใดว่า ‘จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
ฮบ 2.6 แต่มีอยู่แห่งหนึ่งที่คนเป็นพยานถึงเรื่องนี้ว่า ‘มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรมนุษย์เป็นผู้ใดซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเยียนเขา
ฮบ 7.11 เหตุฉะนั้นถ้าเมื่อจะถึงความสำเร็จได้ในทางตำแหน่งปุโรหิตที่สืบมาจากตระกูลเลวี (ด้วยว่าประชาชนได้รับพระราชบัญญัติโดยทางตำแหน่งนี้) ที่ไหนจะต้องการให้มีปุโรหิตอีกตามอย่างเมลคีเซเดคเล่า ซึ่งมิได้เรียกตามอย่างอาโรน
ฮบ 11.32 และข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรต่อไปอีกเล่า เพราะไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึงกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด และซามูเอล และศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย
ฮบ 12.7 ถ้าท่านทั้งหลายทนเอาการตีสอน พระเจ้าย่อมทรงปฏิบัติต่อท่านเหมือนท่านเป็นบุตร ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง
ฮบ 13.6 เพื่อว่าเราทั้งหลายจะกล่าวด้วยใจกล้าว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า’
ยก 2.16 และมีคนใดในพวกท่านกล่าวแก่เขาว่า “เชิญไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด” และไม่ได้ให้สิ่งซึ่งจำเป็นต่อร่างกายแก่เขา จะเป็นประโยชน์อะไรเล่า
ยก 4.12 มีผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติแต่เพียงองค์เดียว คือพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยให้รอดได้ และทรงสามารถทำลายเสียได้ แต่ท่านเป็นผู้ใดเล่า ท่านจึงตัดสินผู้อื่น
ยก 4.14 แต่ว่าท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ชีวิตของท่านเป็นอะไรเล่า ก็เป็นเหมือนหมอกที่ปรากฏอยู่แต่ประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็หายไป
1ยน 2.22 ใครเล่าเป็นผู้ที่พูดมุสา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูมิใช่พระคริสต์ ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์
1ยน 5.5 ใครเล่าชนะโลก เว้นไว้แต่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
วว 6.17 เพราะว่าวันสำคัญแห่งพระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว และผู้ใดจะทนอยู่ได้เล่า”
วว 18.18 และเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้นก็ร้องว่า “นครใดเล่าจะเป็นเหมือนมหานครนี้”

เลาดีเซีย ( 8 )
คส 2.1 เพราะข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านรู้ว่า ข้าพเจ้าสู้อุตส่าห์มากเพียงไรเพื่อท่าน เพื่อชาวเมืองเลาดีเซียและเพื่อคนทั้งปวงที่ยังไม่เห็นหน้าของข้าพเจ้าในฝ่ายเนื้อหนัง
คส 4.13 ข้าพเจ้าเป็นพยานให้เขาว่า เขาตรากตรำทำงานมากเพื่อท่านและเพื่อคนที่อยู่ในเมืองเลาดีเซียและเพื่อคนที่อยู่ในเมืองฮิเอราบุรี
คส 4.15 ขอฝากความคิดถึงมายังพวกพี่น้องที่อยู่ในเมืองเลาดีเซียกับนิมฟัสและคริสตจักรที่อยู่ในเรือนของเขาด้วย
คส 4.16 และเมื่อพวกท่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว จงส่งไปให้อ่านในคริสตจักรที่อยู่เมืองเลาดีเซียด้วย และจดหมายที่มาจากเมืองเลาดีเซียฉบับนั้น ท่านก็จงอ่านด้วย
1ทธ 6.21 ซึ่งบางคนสำคัญผิดอย่างนั้น จึงได้พลาดไปจากความเชื่อ ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านเถิด เอเมน [จดหมายฉบับแรกถึงทิโมธี ได้เขียนจากเมืองเลาดีเซีย ซึ่งเป็นนครหลวงในแคว้นฟรีเจีย ปาคาทีอานา]
วว 1.11 ตรัสว่า “เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย และสิ่งซึ่งท่านได้เห็นจงเขียนไว้ในหนังสือ และฝากไปให้คริสตจักรทั้งเจ็ดที่อยู่ในแคว้นเอเชีย คือคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส เมืองสเมอร์นา เมืองเปอร์กามัม เมืองธิยาทิรา เมืองซาร์ดิส เมืองฟีลาเดลเฟีย และเมืองเลาดีเซีย”
วว 3.14 จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซีย ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเอเมน ทรงเป็นพยานที่สัตย์ซื่อและสัตย์จริง และทรงเป็นปฐมเหตุแห่งสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าทรงสร้าง ได้ตรัสดังนี้ว่า

เล่าเรียน ( 1 )
กจ 22.3 “ที่จริงข้าพเจ้าเป็นยิว เกิดในเมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย แต่ได้เติบโตขึ้นในเมืองนี้ และได้เล่าเรียนกับท่านอาจารย์กามาลิเอล ตามพระราชบัญญัติของบรรพบุรุษของเราโดยถี่ถ้วนทุกประการ จึงมีใจร้อนรนในการปรนนิบัติพระเจ้า เหมือนอย่างท่านทั้งหลายในทุกวันนี้

เล่าลือ ( 5 )
มก 7.36 พระองค์ทรงห้ามปรามคนทั้งหลายมิให้แจ้งความนี้แก่ผู้ใดเลย แต่พระองค์ยิ่งทรงห้ามปรามพวกเขา เขาก็ยิ่งเล่าลือไปมาก
กจ 11.22 ข่าวนี้ก็เล่าลือไปยังคริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็ม เขาจึงใช้บารนาบัสให้ไปยังเมืองอันทิโอก
1คร 5.1 มีข่าวเล่าลือว่าในพวกท่านมีการผิดประเวณี และการผิดประเวณีนั้นถึงแม้ในพวกต่างชาติก็ไม่มีเลย คือเรื่องมีว่าคนหนึ่งได้เอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน
2คร 6.8 โดยมีเกียรติยศและไร้เกียรติยศ โดยเล่าลือกันว่าชั่วและเล่าลือกันว่าดี เหมือนถูกเขาหาว่าเป็นคนที่ล่อลวงเขาให้หลง แต่ยังเป็นคนสัตย์จริง

เล้าโลม ( 30 )
ปฐก 34.3 จิตใจของเชเคมก็ผูกพันอยู่กับนางสาวดีนาห์บุตรสาวยาโคบ และเขารักนางพูดจาเล้าโลมเอาใจนาง
2ซมอ 10.2 ดาวิดจึงตรัสว่า “เราจะแสดงความเมตตาต่อฮานูนราชโอรสของนาฮาช ดังที่บิดาของเขาแสดงความเมตตาต่อเรา” ดาวิดจึงส่งพวกข้าราชการของพระองค์ไปเล้าโลมท่านเกี่ยวด้วยเรื่องราชบิดาของท่าน และข้าราชการของดาวิดก็เข้ามาในแผ่นดินของคนอัมโมน
1พศด 7.22 และเอฟราอิมบิดาของเขาไว้ทุกข์โศกเศร้าเป็นหลายวัน และพี่น้องของเขาก็มาเล้าโลมเขา
1พศด 19.2 และดาวิดตรัสว่า “เราจะแสดงความเมตตาต่อฮานูนโอรสของนาหาช เพราะว่าบิดาของท่านได้แสดงความเมตตาต่อเรา” ดาวิดจึงทรงส่งผู้สื่อสารไปเล้าโลมท่านเกี่ยวกับบิดาของท่าน และข้าราชการของดาวิดก็มายังฮานูนในแผ่นดินของคนอัมโมน เพื่อจะเล้าโลมท่าน
โยบ 7.13 เมื่อข้าพระองค์พูดว่า ‘เตียงของข้าจะเล้าโลมข้า ที่นอนของข้าจะบรรเทาการร้องทุกข์ของข้า’
โยบ 42.11 และบรรดาพี่น้องชายหญิงของท่าน และบรรดาผู้ที่รู้จักท่านมาก่อนได้มาหาท่าน และรับประทานอาหารกับท่านในบ้านของท่าน และเขาทั้งหลายสำแดงความเห็นอกเห็นใจและเล้าโลมท่าน ด้วยเรื่องเหตุร้ายทั้งสิ้นซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงนำมาเหนือท่าน และต่างก็ให้เงินแผ่นหนึ่งกับแหวนทองคำวงหนึ่งแก่ท่าน
สดด 23.4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
สดด 71.21 พระองค์จะทรงเพิ่มเกียรติแก่ข้าพระองค์ และเล้าโลมข้าพระองค์รอบด้าน
สดด 86.17 ขอประทานหมายสำคัญแห่งความโปรดปรานของพระองค์แก่ข้าพระองค์ เพื่อคนที่เกลียดชังข้าพระองค์จะเห็น และจะได้อาย ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยข้าพระองค์และทรงเล้าโลมข้าพระองค์
สดด 119.76 ขอความเมตตาของพระองค์เป็นที่เล้าโลมข้าพระองค์ ตามพระดำรัสของพระองค์ที่มีแก่ผู้รับใช้ของพระองค์
สดด 119.82 นัยน์ตาของข้าพระองค์มัวมืดไปด้วยคอยพระดำรัสของพระองค์ ข้าพระองค์ทูลถามว่า “เมื่อไรพระองค์จะทรงเล้าโลมข้าพระองค์”
ปญจ 4.1 ข้าพเจ้าพิจารณาบรรดาการข่มเหงที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์อีก และดูเถิด น้ำตาของผู้ที่ถูกข่มเหง ไม่มีคนเล้าโลมเขา ฝ่ายผู้ข่มเหงเขานั้นกุมอำนาจ แต่หามีผู้ใดเล้าโลมเขาไม่
อสย 12.1 ในวันนั้น ท่านจะกล่าวว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ เพราะแม้พระองค์ทรงพระพิโรธต่อข้าพระองค์ ความกริ้วของพระองค์ก็หันกลับไป และพระองค์ทรงเล้าโลมข้าพระองค์”
อสย 22.4 เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงว่า “อย่ามองข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตาอย่างขมขื่น อย่าอุตส่าห์เล้าโลมข้าพเจ้าเลย เหตุด้วยการทำลายธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้า”
อสย 40.1 พระเจ้าของเจ้าตรัสว่า “จงเล้าโลม จงเล้าโลมชนชาติของเรา
อสย 49.13 โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลง โอ แผ่นดินโลกเอ๋ย จงลิงโลดเถิด โอ ภูเขาเอ๋ย จงเปรมปรีดิ์ร้องเพลง เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงเล้าโลมชนชาติของพระองค์แล้ว และจะทรงเมตตาแก่คนของพระองค์ ผู้ที่ถูกข่มใจ
อสย 51.3 เพราะว่าพระเยโฮวาห์จะทรงเล้าโลมศิโยน พระองค์จะทรงเล้าโลมที่ทิ้งร้างทั้งสิ้นของเธอ และจะทำถิ่นทุรกันดารของเธอเหมือนสวนเอเดน และทะเลทรายของเธอเหมือนอุทยานของพระเยโฮวาห์ จะพบความชื่นบานและความยินดีในเธอ ทั้งการโมทนาและเสียงเพลง
อสย 51.12 เรา คือเราเอง ผู้เล้าโลมเจ้า เจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่กลัวมนุษย์ผู้ซึ่งต้องตาย คือกลัวบุตรของมนุษย์ซึ่งถูกทำให้เหมือนหญ้า
อสย 52.9 เจ้าคือที่ทิ้งร้างแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงเปล่งเสียงร้องเพลงด้วยกัน เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงเล้าโลมชนชาติของพระองค์ พระองค์ได้ทรงไถ่เยรูซาเล็มแล้ว
อสย 61.2 เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเยโฮวาห์ และวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของเรา เพื่อเล้าโลมบรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์
อสย 66.13 ดั่งผู้ที่มารดาของตนเล้าโลม เราจะเล้าโลมเจ้าเช่นนั้น และเจ้าจะรับการเล้าโลมในเยรูซาเล็ม
พคค 1.9 มลทินของเธอก็กรังอยู่ในกระโปรงของเธอ และเธอหาได้คำนึงถึงอนาคตของเธอไม่ ดังนั้นเธอจึงได้เสื่อมทรามลงเร็วอย่างน่าใจหาย เธอก็ไม่มีผู้ใดจะเล้าโลม “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทอดพระเนตรความทุกข์ใจของข้าพระองค์ เพราะพวกศัตรูได้พองตัวขึ้นแล้ว”
พคค 1.17 เมืองศิโยนได้เหยียดมือทั้งสองออก แต่ก็ไม่มีใครที่เล้าโลมเธอได้ พระเยโฮวาห์ทรงมีพระบัญชาเรื่องยาโคบว่า ให้พวกคู่อริล้อมยาโคบไว้ เยรูซาเล็มเป็นดั่งผู้หญิงเมื่อมีประจำเดือนท่ามกลางเขาทั้งหลาย
พคค 2.13 โอ ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ข้าพเจ้าจะเอาอะไรมาเป็นพยานฝ่ายเจ้าได้ ข้าพเจ้าจะเปรียบเจ้ากับอะไร โอ ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยนเอ๋ย ข้าพเจ้าจะหาอะไรที่มาเทียบกับเจ้าได้เล่า เพื่อข้าพเจ้าจะเล้าโลมเจ้าได้ เพราะความอับปางของเจ้าก็ใหญ่เทียมเท่าสมุทร ผู้ใดจะรักษาเจ้าได้เล่า
นฮม 3.7 ต่อมาทุกคนที่แลเห็นเจ้าจะหดหนีไปจากเจ้าและกล่าวว่า “นีนะเวห์เป็นเมืองร้างเสียแล้ว ใครเล่าจะสงสารเธอ” จะไปหาใครที่ไหนมาเล้าโลมเธอได้เล่า

เล้าโลมใจ ( 5 )
2ซมอ 12.24 ฝ่ายดาวิดทรงเล้าโลมใจบัทเชบามเหสีของพระองค์ และทรงเข้าไปสมสู่กับพระนาง พระนางก็ประสูติบุตรชายคนหนึ่งเรียกชื่อว่าซาโลมอน และพระเยโฮวาห์ทรงรักซาโลมอน
โยบ 2.11 เมื่อสหายทั้งสามของโยบได้ยินถึงภัยพิบัตินี้ทั้งสิ้นที่ได้เกิดขึ้นกับท่าน ต่างก็มาจากที่ของตน คือ เอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดคนชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ เขาได้นัดมาพร้อมกันเพื่อร่วมทุกข์กับท่านและเล้าโลมใจท่าน
โยบ 21.34 แล้วทำไมท่านจะมาเล้าโลมใจข้าด้วยสิ่งว่างเปล่า คำตอบของท่านไม่มีอะไรเหลือแล้วนอกจากการมุสา”
ศคย 1.13 และพระเยโฮวาห์ทรงตอบทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้า เป็นพระวาทะที่ประเสริฐและเล้าโลมใจ
ลก 6.24 แต่วิบัติแก่เจ้าทั้งหลายที่มั่งมี เพราะว่าเจ้าได้รับสิ่งที่เล้าโลมใจแล้ว

เลิก ( 42 )
ปฐก 11.8 ดังนั้นพระเยโฮวาห์จึงทรงทำให้เขากระจัดกระจายจากที่นั่นไปทั่วพื้นแผ่นดิน พวกเขาก็เลิกสร้างเมืองนั้น
อพย 9.28 ขอทูลวิงวอนพระเยโฮวาห์ (เพราะภัยพิบัติเสียที) ให้เลิกมีฟ้าร้องและลูกเห็บ และเราจะปล่อยพวกท่านไป และพวกท่านจะไม่ถูกกักต่อไปอีก”
วนฉ 10.16 ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงเลิกถือพระอื่น และปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ ฝ่ายพระองค์ทรงเดือดร้อนพระทัยด้วยความทุกข์เข็ญของอิสราเอล
วนฉ 15.7 แซมสันจึงบอกพวกเหล่านั้นว่า “เมื่อเจ้าทั้งหลายทำอย่างนี้ เราจะต้องแก้แค้นเจ้าก่อน แล้วเราจึงจะเลิก”
วนฉ 19.16 ดูเถิด มีชายแก่คนหนึ่งเข้ามาเมื่อเลิกจากงานนาเป็นเวลาเย็นแล้ว เขาเป็นชาวแดนเทือกเขาเอฟราอิมมาอาศัยอยู่ในเมืองกิเบอาห์ แต่ชาวเมืองนั้นเป็นคนเบนยามิน
นรธ 1.16 แต่รูธตอบว่า “ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน
1ซมอ 9.5 เมื่อเขามาถึงแผ่นดินศูฟ ซาอูลจึงพูดกับคนใช้ผู้ซึ่งอยู่กับท่านว่า “มาเถิด ให้เรากลับไป เกรงว่าบิดาของข้าจะเลิกกังวลเรื่องลา และมาร้อนใจด้วยเรื่องของเรา”
1ซมอ 10.2 เมื่อท่านจากฉันไปในวันนี้ ท่านจะพบชายสองคนริมที่ฝังศพของนางราเชลในเขตแดนเบนยามินที่เศลซาห์ และเขาทั้งสองจะบอกท่านว่า ‘ลาซึ่งท่านไปหานั้นพบแล้ว ดูเถิด บัดนี้บิดาของท่านเลิกกังวลเรื่องลาแล้ว และร้อนใจเรื่องของท่าน กล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรชายของเราดี”’
1ซมอ 14.46 แล้วซาอูลก็เลิกทัพไม่ติดตามคนฟีลิสเตีย และคนฟีลิสเตียกลับไปยังที่อยู่ของตน
1ซมอ 23.13 แล้วดาวิดกับคนของท่านซึ่งมีประมาณหกร้อยคนก็ลุกขึ้นไปเสียจากเคอีลาห์ และเขาทั้งหลายก็ไปตามแต่ที่เขาจะไปได้ เมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดหนีไปจากเคอีลาห์แล้ว ซาอูลก็ทรงเลิกการติดตาม
1ซมอ 27.1 ดาวิดนึกในใจว่า “ข้าคงจะพินาศสักวันหนึ่งด้วยมือของซาอูล ไม่มีสิ่งใดดีกว่าที่ข้าจะหนีไปอยู่ที่แผ่นดินคนฟีลิสเตีย แล้วซาอูลก็จะทรงเลิกไม่ติดตามข้าอีกภายในพรมแดนอิสราเอล และข้าจะรอดพ้นจากมือของท่านได้”
2ซมอ 2.27 และโยอาบจึงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าท่านไม่พูดขึ้นพวกทหารก็จะเลิกไล่ตามพวกพี่น้องของเขาพรุ่งนี้เช้า”
1พกษ 15.19 “มีพันธมิตรระหว่างข้าพระองค์และพระองค์ ระหว่างพระชนกของข้าพระองค์และพระชนกของพระองค์ ดูเถิด ข้าพระองค์ได้ส่งบรรณาการเป็นเงินและทองคำมายังพระองค์ ขอพระองค์เสด็จไปเลิกพันธมิตรกับบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลเสีย เพื่อเขาจะได้ยกทัพกลับไปเสียจากข้าพระองค์”
นหม 5.10 ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าพเจ้ากับพี่น้องของข้าพเจ้าและคนใช้ของข้าพเจ้าให้เขายืมเงินและยืมข้าว ให้เราเลิกการให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยนั้นเสียเถิด
อสธ 9.28 และว่าจะจดจำวันเหล่านี้ และถือตลอดทุกชั่วอายุ ทุกครอบครัว มณฑลและเมือง วันเทศกาลเปอร์ริมนี้จะไม่เลิกถือในท่ามกลางพวกยิว หรือการระลึกถึงวันเหล่านี้จะไม่สิ้นลงในเชื้อสายของเขาเลย
โยบ 14.6 ฉะนั้น ขอทรงหันพระพักตร์ไปจากเขา และทรงเลิกเถิดพระเจ้าข้า เพื่อให้เขาชื่นบานด้วยวันของเขาอย่างลูกจ้าง
สดด 89.39 พระองค์ได้ทรงบอกเลิกพันธสัญญากับผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำมงกุฎของท่านมลทินโดยเหวี่ยงลงสู่พื้นดิน
สภษ 17.14 เมื่อเริ่มต้นวิวาทก็เหมือนปล่อยน้ำให้ไหล ฉะนั้นจงเลิกเสียก่อนเกิดการวิวาท
สภษ 19.27 บุตรชายของเราเอ๋ย จงเลิกฟังคำสั่งสอนที่ทำให้เจ้าหลงไปจากคำแห่งความรู้
สภษ 23.4 อย่าทำงานเพื่อมั่งมี จงเลิกพึ่งสติปัญญาของตนเอง
ปญจ 12.3 ในกาลเมื่อคนยามเฝ้าเรือนจะตัวสั่น และคนแข็งแรงจะคุดคู้ไป และหญิงโม่จะเลิกโม่ เพราะจำนวนลดน้อยลง และบรรดาผู้ที่เยี่ยมหน้าต่างจะมืดมัว
อสย 1.16 จงชำระตัว จงทำตัวให้สะอาด จงเอาการกระทำที่ชั่วของเจ้าออกไปให้พ้นจากสายตาของเรา จงเลิกกระทำชั่ว
ยรม 17.16 ข้าพระองค์มิได้หาโอกาสเลิกเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ตามพระองค์ไป ข้าพระองค์ก็ไม่ประสงค์วันแห่งความหายนะ พระองค์ทรงทราบแล้ว สิ่งซึ่งออกมาจากริมฝีปากของข้าพระองค์ก็ถูกต้องต่อพระพักตร์ของพระองค์
พคค 2.8 พระเยโฮวาห์ได้ทรงตั้งพระทัยไว้แล้วว่าจะทำลายกำแพงของธิดาแห่งศิโยนเสีย พระองค์ได้ทรงขึงเส้นวัดไว้แล้ว พระองค์มิได้ทรงหดพระหัตถ์เลิกการทำลาย เหตุฉะนี้พระองค์ได้ทรงกระทำให้เนินดินและกำแพงนั้นคร่ำครวญ ให้ทรุดโทรมร่วงโรยไปด้วยกัน
อสค 23.8 เธอมิได้เลิกการเล่นชู้ซึ่งเธอได้นำมาจากอียิปต์ เพราะว่าเมื่อยังสาวอยู่คนหนุ่มก็เข้านอนกับเธอ และจับต้องอกพรหมจารีของเธอ และเทราคะของเขาให้แก่เธอ
อสค 45.9 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ บรรดาเจ้านายแห่งอิสราเอลเอ๋ย พอเสียทีเถิด จงทิ้งการทารุณและการบีบคั้นเสีย และกระทำความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า จงเลิกการขับไล่ประชาชนของเราให้ออกจากที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาเสีย
ดนล 4.27 โอ ข้าแต่กษัตริย์ เพราะฉะนั้นขอทรงรับคำกราบทูลของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงเลิกทำบาปเสียด้วยการกระทำความชอบธรรม และเลิกทำความชั่วช้าด้วยสำแดงความกรุณาต่อคนจน เผื่อว่าความผาสุกของพระองค์อาจจะยืดยาวไปอีกได้”
ดนล 11.31 และกองทัพจะยืนหยัดอยู่ฝ่ายเขา พวกเขาจะกระทำให้สถานบริสุทธิ์แห่งกองกำลังเป็นมลทิน และจะให้เลิกเครื่องเผาบูชาประจำวันนั้นเสีย และเขาทั้งหลายจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่าขึ้น
ดนล 12.11 และตั้งแต่เวลาที่ให้เลิกเครื่องเผาบูชาประจำวันเสียนั้น และให้ตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่าขึ้น จะเป็นเวลาหนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบวัน
ยนา 3.8 ให้ทั้งคนและสัตว์นุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ตั้งจิตตั้งใจร้องทูลต่อพระเจ้า เออ ให้ทุกคนหันกลับเสียจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือเขากระทำ
มธ 13.21 แต่ไม่มีรากในตัวเองจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้น ต่อมาเขาก็เลิกเสีย
มก 4.17 แต่ไม่มีรากในตัวจึงทนอยู่ได้ชั่วคราว ภายหลังเมื่อเกิดการยากลำบากและการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้น ก็เลิกเสียในทันทีทันใด
กจ 19.26 และท่านทั้งหลายได้ยินและได้เห็นอยู่ว่า ไม่ใช่เฉพาะในเมืองเอเฟซัสเมืองเดียว แต่เกือบทั่วแคว้นเอเชีย เปาโลคนนี้ได้ชักชวนคนเป็นอันมากให้เลิกทางเก่าเสีย โดยได้กล่าวว่าสิ่งที่มือมนุษย์ทำนั้นไม่ใช่พระ
กจ 19.41 ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้วท่านจึงให้เลิกชุมนุม
รม 1.27 ฝ่ายผู้ชายก็เลิกการสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟแห่งราคะตัณหาที่มีต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันชั่วช้าอย่างน่าละอาย เขาจึงได้รับผลกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา
รม 13.12 กลางคืนล่วงไปมากแล้ว และรุ่งเช้าก็ใกล้เข้ามา เหตุฉะนั้นเราจงเลิกการกระทำของความมืด และจงสวมเครื่องอาวุธของความสว่าง
1คร 9.6 เฉพาะข้าพเจ้าและบารนาบัสเท่านั้นหรือที่ไม่มีสิทธิ์จะเลิกทำงานหาเลี้ยงชีพ
1คร 13.8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้คำพยากรณ์ก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาต่างๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกไป แม้ความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป
1คร 13.11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย
อฟ 4.25 เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และ ‘จงต่างคนต่างพูดความจริงกับเพื่อนบ้าน’ เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน
วว 9.20 มนุษย์ทั้งหลายที่เหลืออยู่ ที่มิได้ถูกฆ่าด้วยภัยพิบัติเหล่านี้ ยังไม่ได้กลับใจเสียใหม่จากงานที่มือเขาได้กระทำ ไม่ได้เลิกบูชาผี บูชา ‘รูปเคารพที่ทำด้วยทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ หินและไม้ รูปเคารพเหล่านั้นจะดูหรือฟังหรือเดินก็ไม่ได้’

เลิกร้าง ( 1 )
โยบ 16.7 แต่นี่แหละ เดี๋ยวนี้พระเจ้าทรงให้ข้าอ่อนเปลี้ย พระองค์ทรงกระทำให้พรรคพวกทั้งสิ้นของข้าเลิกร้างไป

เลินเล่อ ( 1 )
อสค 30.9 และในวันนั้นทูตจะลงเรือไปจากเรา เพื่อจะกระทำให้คนเอธิโอเปียที่เลินเล่ออยู่นั้นครั่นคร้าม ความแสนระทมจะมาถึงเขาเหล่านั้น เหมือนในวันกำหนดของอียิปต์ เพราะ ดูเถิด วันนั้นมาถึงจริงๆ

เลิศ ( 13 )
2พศด 9.6 แต่หม่อมฉันมิได้เชื่อถ้อยคำนั้น จนหม่อมฉันมาเฝ้า และตาของหม่อมฉันได้เห็นเอง และดูเถิด ที่เขาบอกแก่หม่อมฉันก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่งแห่งพระสติปัญญาใหญ่ยิ่งของพระองค์ พระองค์เลิศล้ำยิ่งไปกว่าข่าวคราวที่หม่อมฉันได้ยิน
สดด 45.2 พระองค์ท่านงามเลิศยิ่งกว่าบุตรทั้งหลายของมนุษย์ พระคุณหลั่งลงบนริมฝีปากของพระองค์ท่าน เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงอำนวยพระพรพระองค์ท่านตลอดกาล
สดด 69.16 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงฟังข้าพระองค์ เพราะความเมตตาของพระองค์นั้นเลิศ ขอทรงหันมาหาข้าพระองค์ตามพระกรุณาอันอุดมของพระองค์
สภษ 31.29 ว่า “สตรีเป็นอันมากทำอย่างดีเลิศ แต่เธอเลิศยิ่งกว่าเขาทั้งหมด”
พซม 1.8 โอ แม่งามเลิศในท่ามกลางหญิงทั้งหลาย ถ้าเธอไม่รู้จงเดินไปตามรอยตีนฝูงแพะแกะ แล้วจงเลี้ยงฝูงแพะแกะของเธอไว้ที่ข้างเต็นท์ของเมษบาลเถิด
อสค 16.13 เราก็ประดับเจ้าด้วยทองคำและเงิน และเสื้อผ้าของเจ้าก็เป็นผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าไหมและผ้าปัก เจ้ากินยอดแป้ง น้ำผึ้งและน้ำมัน เจ้างามเลิศทีเดียว และเจ้าเจริญขึ้นเป็นชั้นจ้าว
ดนล 5.12 เพราะว่าดาเนียล ซึ่งกษัตริย์ประทานนามว่า เบลเทชัสซาร์ มีวิญญาณเลิศ มีความรู้และความเข้าใจที่จะแก้ความฝัน แก้ปริศนาและแก้ปัญหาต่างๆ บัดนี้ทรงเรียกดาเนียลให้เข้ามาเฝ้า แล้วเขาก็จะแปลความหมายถวายพระองค์”
ดนล 5.14 เราได้ยินว่าท่านมีวิญญาณของพระในตัว และท่านมีความสว่าง ความเข้าใจและปัญญาเลิศประจำตัว
ดนล 6.3 แล้วดาเนียลคนนี้ก็มีชื่อเสียงกว่าอภิรัฐมนตรีอื่นๆและอุปราช เพราะวิญญาณเลิศสถิตกับท่าน และกษัตริย์ก็ทรงหมายพระทัยจะทรงแต่งตั้งท่านให้ครอบครองเหนือราชอาณาจักรนั้นทั้งหมด
2คร 3.10 อันที่จริงรัศมีซึ่งได้ทรงประทานให้นั้นก็อับแสงไปแล้ว เพราะถูกรัศมีอันเลิศประเสริฐนั้นได้ส่องข่มเสียหมด
2คร 4.7 แต่ว่าเรามีทรัพย์สมบัตินี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่าฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง
ฮบ 8.6 แต่ว่าพระองค์ได้ทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาอันประเสริฐกว่าเก่า เพราะได้ทรงตั้งขึ้นโดยพระสัญญาอันดีกว่าเก่าเท่าใด บัดนี้พระองค์ก็ได้ตำแหน่งอันเลิศกว่าเก่าเท่านั้น
ยก 1.17 ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง

เลิศหรู ( 1 )
พคค 4.5 คนทั้งปวงที่เคยรับประทานอาหารอย่างเลิศหรูกลับต้องโดดเดี่ยวอยู่ตามถนน คนทั้งหลายที่เติบโตมาด้วยเสื้อสีแดงสดกลับต้องกอดกองมูลสัตว์

เลีย ( 13 )
กดว 22.4 โมอับจึงพูดกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองมีเดียนว่า “คนเหล่านี้จะมาเลียกินสารพัดที่ล้อมรอบเราอยู่หมด เหมือนวัวเลียกินหญ้าในนา” บาลาคบุตรชายศิปโปร์เป็นกษัตริย์เมืองโมอับในเวลานั้น
วนฉ 7.5 ท่านจึงพาประชาชนลงไปที่น้ำ พระเยโฮวาห์ตรัสกับกิเดโอนว่า “ทุกคนที่ใช้ลิ้นเลียน้ำดังสุนัข จงรวมเขาไว้พวกหนึ่ง ทุกคนที่คุกเข่าลงดื่มน้ำ จงรวมไว้อีกพวกหนึ่งดุจกัน”
วนฉ 7.6 จำนวนคนที่ใช้มือวักน้ำขึ้นเลียมีสามร้อยคน แต่ประชาชนนอกนั้นคุกเข่าลงดื่มน้ำ
วนฉ 7.7 พระเยโฮวาห์ตรัสกับกิเดโอนว่า “เราจะช่วยเจ้าทั้งหลายให้พ้นด้วยจำนวนคนสามร้อยที่เลียน้ำนั้น และมอบคนมีเดียนไว้ในมือของเจ้า นอกนั้นให้กลับไปบ้านเมืองของตนทุกคน”
1พกษ 18.38 แล้วไฟของพระเยโฮวาห์ก็ตกลงมาและไหม้เครื่องเผาบูชา และฟืนและหิน และผงคลีและเลียน้ำซึ่งอยู่ในร่อง
1พกษ 21.19 เจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ท่านได้ฆ่าและได้ยึดถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยหรือ’ และเจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดั่งนี้ว่า ในที่ซึ่งสุนัขเลียโลหิตของนาโบท สุนัขจะเลียโลหิตของเจ้าด้วย’”
1พกษ 22.38 เขาล้างรถรบที่สระแห่งสะมาเรีย และสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ เขาได้ล้างเกราะของพระองค์ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์ได้ตรัส
สดด 72.9 บรรดาผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารจะกราบลงต่อท่าน และบรรดาศัตรูของท่านจะเลียผงคลี
อสย 49.23 บรรดากษัตริย์จะเป็นพ่อเลี้ยงของเจ้า และพระราชินีทั้งหลายจะเป็นแม่เลี้ยงของเจ้า เขาเหล่านั้นจะก้มหน้าลงถึงดินกราบเจ้า เขาจะเลียผงคลีที่เท้าของเจ้า แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์ ผู้ที่รอคอยเราจะไม่ประสบความอาย”
มคา 7.17 เขาทั้งหลายจะเลียผงคลีเหมือนอย่างงู เขาจะเคลื่อนตัวออกจากรูของเขาดุจหนอนบนแผ่นดินโลก เขาจะตระหนกตกใจพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา เนื่องด้วยเจ้า เขาทั้งหลายจะกลัว
ลก 16.21 และเขาใคร่จะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีนั้น แม้สุนัขก็มาเลียแผลของเขา

เลี่ยง ( 4 )
1ซมอ 8.3 แต่บุตรชายของท่านมิได้ดำเนินในทางของท่าน ได้เลี่ยงไปหากำไร เขารับสินบนและบิดเบือนความยุติธรรมเสีย
สดด 119.102 ข้าพระองค์มิได้เลี่ยงจากคำตัดสินของพระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงสอนข้าพระองค์
มธ 2.22 แต่เมื่อได้ยินว่า อารเคลาอัสครอบครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา จะไปที่นั่นก็กลัว และเมื่อได้ทราบการเตือนจากพระเจ้าในความฝัน จึงเลี่ยงไปยังบริเวณแคว้นกาลิลี
1ทธ 1.6 บางคนก็ได้ผิดจุดประสงค์เลี่ยงไปจากสิ่งเหล่านี้หลงไปในทางพูดเหลวไหล

เลี้ยง ( 181 )
ปฐก 4.20 นางอาดาห์คลอดบุตรชื่อว่ายาบาล เขาเป็นต้นตระกูลของคนที่อาศัยอยู่ในเต็นท์และคนที่เลี้ยงสัตว์
ปฐก 24.33 แล้วจัดอาหารมาเลี้ยงเขา แต่เขาว่า “ข้าพเจ้าจะไม่รับประทาน จนกว่าข้าพเจ้าจะพูดถึงธุระที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายมานั้นให้ท่านฟังเสียก่อน” ลาบันก็ว่า “เชิญพูดเถิด”
ปฐก 30.31 ลาบันจึงถามว่า “ลุงควรจะให้อะไรเจ้า” ยาโคบตอบว่า “ลุงไม่ต้องให้อะไรข้าพเจ้าดอก แต่หากว่าลุงจะทำสิ่งนี้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเลี้ยงระวังสัตว์ของลุงต่อไป
ปฐก 30.36 เขาแยกสัตว์ออกไปทั้งหมดห่างจากยาโคบเป็นระยะทางสามวัน ฝูงสัตว์ของลาบันที่เหลืออยู่นั้นยาโคบก็เลี้ยงไว้
ปฐก 31.4 ยาโคบก็ให้คนไปเรียกนางราเชลและนางเลอาห์ให้มาที่ทุ่งนาที่เลี้ยงฝูงสัตว์
ปฐก 36.7 เพราะทรัพย์สมบัติของทั้งสองมีมาก จะอยู่ด้วยกันมิได้ ดินแดนที่เขาอาศัยนั้นไม่พอให้เขาเลี้ยงฝูงสัตว์
ปฐก 36.24 ต่อไปนี้เป็นบุตรของศิเบโอนคืออัยยาห์ และอานาห์ อานาห์นั้นเป็นผู้ที่ได้พบฝูงล่อในถิ่นทุรกันดาร เมื่อเลี้ยงฝูงลาของศิเบโอนบิดาของเขา
ปฐก 37.2 ต่อไปนี้เป็นประวัติพงศ์พันธุ์ของยาโคบ เมื่อโยเซฟอายุได้สิบเจ็ดปีไปเลี้ยงสัตว์อยู่กับพวกพี่ชาย เด็กหนุ่มนั้นอยู่กับบุตรชายของนางบิลฮาห์และกับบุตรชายของนางศิลปาห์ภรรยาบิดาของตน โยเซฟเอาความผิดของพี่ชายมาเล่าให้บิดาฟัง
ปฐก 37.12 ฝ่ายพวกพี่ชายพากันไปเลี้ยงแพะแกะของบิดาที่เมืองเชเคม
ปฐก 37.13 อิสราเอลจึงพูดกับโยเซฟว่า “พี่ชายของเจ้าเลี้ยงแพะแกะอยู่ที่เมืองเชเคมมิใช่หรือ มาพ่อจะใช้เจ้าไปหาพี่ชาย” โยเซฟตอบว่า “ข้าพเจ้าพร้อมแล้ว”
ปฐก 37.16 โยเซฟตอบว่า “ข้าพเจ้าหาพี่ชายของข้าพเจ้า โปรดบอกข้าพเจ้าทีว่า เขาเลี้ยงสัตว์อยู่ที่ไหน”
ปฐก 46.32 คนเหล่านั้นเป็นผู้เลี้ยงแกะมีอาชีพเลี้ยงสัตว์ เขาพาฝูงแพะแกะ ฝูงวัวกับทรัพย์สมบัติของเขาทั้งสิ้นมาด้วย’
ปฐก 47.4 เขาทูลฟาโรห์อีกว่า “พวกข้าพระองค์มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้เพราะไม่มีทุ่งหญ้าจะเลี้ยงสัตว์ของข้าพระองค์ผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะเหตุว่าในแผ่นดินคานาอันนั้นกันดารอาหารนัก เหตุฉะนี้บัดนี้ ขอโปรดให้ข้าพระองค์ผู้รับใช้ของพระองค์อาศัยอยู่ในแผ่นดินโกเชนเถิด”
ปฐก 48.15 แล้วอิสราเอลกล่าวคำอวยพรแก่โยเซฟว่า “ขอพระเจ้าที่อับราฮัมและอิสอัคบิดาข้าพเจ้าดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์นั้น ขอพระเจ้าผู้ทรงบำรุงเลี้ยงชีวิตข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาจนวันนี้
ปฐก 50.21 ฉะนั้นบัดนี้พี่อย่ากลัวเลย เราจะบำรุงเลี้ยงพี่ทั้งบุตรด้วย” โยเซฟพูดปลอบโยนพวกพี่น้องและพูดอย่างกรุณาต่อเขา
อพย 2.7 พี่สาวทารกจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า “จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม”
อพย 2.9 ฝ่ายพระราชธิดาของฟาโรห์จึงตรัสสั่งนางว่า “รับเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้ให้เรา แล้วเราจะให้ค่าจ้างแก่เจ้า” นางจึงรับทารกไปเลี้ยงไว้
อพย 3.1 ฝ่ายโมเสสเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธรพ่อตาของเขา ผู้เป็นปุโรหิตของคนมีเดียน และท่านได้พาฝูงแพะแกะไปด้านหลังของถิ่นทุรกันดาร และมาถึงภูเขาของพระเจ้า คือโฮเรบ
อพย 10.9 โมเสสทูลว่า “ข้าพระองค์จะต้องพากันไปทั้งคนหนุ่มและคนแก่ บุตรชายและบุตรสาวและฝูงแพะแกะ และฝูงวัว เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายต้องมีเทศกาลเลี้ยงถวายพระเยโฮวาห์”
อพย 12.7 แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้างบน ณ เรือนที่เขาเลี้ยงกันนั้นด้วย
อพย 12.11 เจ้าทั้งหลายจงเลี้ยงกันดังนี้ คือให้คาดเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้าไว้ และรีบกินโดยเร็ว การเลี้ยงนี้เป็นปัสกาของพระเยโฮวาห์
อพย 13.6 จงกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน และวันที่เจ็ดจงมีเทศกาลเลี้ยงถวายพระเยโฮวาห์
อพย 16.32 โมเสสกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์มีรับสั่งว่า ‘จงตวงมานาโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ตลอดชั่วอายุของเจ้า เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เห็นอาหารซึ่งเราเลี้ยงเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้ เมื่อเรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์’”
อพย 18.12 เยโธรพ่อตาของโมเสสก็นำเครื่องเผาบูชา และเครื่องสัตวบูชาถวายแด่พระเจ้า ฝ่ายอาโรนกับบรรดาผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลมารับประทานเลี้ยงกับพ่อตาของโมเสสเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
อพย 23.16 จงถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บเกี่ยว ถวายพืชผลแรกที่เกิดจากแรงงานของเจ้า ซึ่งเจ้าได้หว่านพืชลงในนา เจ้าจงถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บพืชผลปลายปี เมื่อเจ้าเก็บพืชผลจากทุ่งนาอันเป็นผลงานของเจ้า
อพย 32.5 เมื่ออาโรนได้ยินดังนั้นแล้วจึงสร้างแท่นบูชาไว้ตรงหน้ารูปวัวหนุ่มนั้น แล้วอาโรนประกาศว่า “พรุ่งนี้จะเป็นวันเทศกาลเลี้ยงถวายพระเยโฮวาห์”
อพย 34.22 จงถือเทศกาลสัปดาห์ คือเทศกาลเลี้ยงฉลองผลต้นฤดูเกี่ยวข้าวสาลี และถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บผลิตผลในปลายปี
อพย 34.25 อย่าถวายเลือดบูชาพร้อมกับขนมปังมีเชื้อ และเครื่องบูชาอันเกี่ยวกับเทศกาลเลี้ยงปัสกานั้น อย่าให้เหลือไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น
ลนต 23.2 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เทศกาลเลี้ยงตามกำหนดแด่พระเยโฮวาห์ ซึ่งเจ้าจะต้องประกาศว่าเป็นการประชุมบริสุทธิ์ คือเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดของเรานั้นมีดังนี้
ลนต 23.4 ต่อไปนี้เป็นเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดแด่พระเยโฮวาห์ เป็นการประชุมบริสุทธิ์ ซึ่งเจ้าจะต้องประกาศตามเวลากำหนดให้เขาทราบ
ลนต 23.37 นี้แหละเป็นเทศกาลเลี้ยงของพระเยโฮวาห์ ซึ่งเจ้าต้องประกาศเป็นวันประชุมอันบริสุทธิ์ เพื่อให้นำถวายแด่พระเยโฮวาห์ซึ่งเครื่องบูชาด้วยไฟ เครื่องเผาบูชาและธัญญบูชา ทั้งเครื่องสัตวบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามวันกำหนดนั้นๆ
ลนต 23.39 แล้วในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ดเมื่อเจ้าได้เก็บพืชผลที่ได้จากแผ่นดินนั้นเข้ามาแล้ว เจ้าจงมีเทศกาลเลี้ยงแห่งพระเยโฮวาห์เจ็ดวัน ในวันแรกจะเป็นวันสะบาโต และในวันที่แปดจะเป็นวันสะบาโต
ลนต 23.41 เจ้าจงถือเป็นเทศกาลเลี้ยงปีละเจ็ดวันถวายแด่พระเยโฮวาห์ ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า เจ้าจงถือเทศกาลเลี้ยงนี้ในเดือนที่เจ็ด
ลนต 23.44 ดังนี้แหละโมเสสจึงได้ประกาศให้คนอิสราเอลทราบถึงเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดของพระเยโฮวาห์
ลนต 25.35 ถ้าพี่น้องของเจ้ายากจนลงและเลี้ยงตัวเองอยู่กับเจ้าไม่ได้ เจ้าจะต้องชูกำลังเขา ถึงเขาเป็นคนต่างด้าวหรือคนอาศัย เพื่อเขาจะอาศัยอยู่กับเจ้า
พบญ 8.3 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และปล่อยท่านให้หิว และเลี้ยงท่านด้วยมานา ซึ่งท่านเองหรือบรรพบุรุษของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านตระหนักแก่ใจว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์
พบญ 8.16 ผู้ทรงเลี้ยงท่านทั้งหลายด้วยมานาในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งบรรพบุรุษของท่านไม่ทราบ เพื่อว่าพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจและทดลองท่าน เพื่อกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ท่านในบั้นปลาย
วนฉ 8.6 เจ้านายของเมืองสุคคทจึงตอบว่า “มือของเศบาห์และของศัลมุนนาอยู่ในมือเจ้าแล้วหรือ เราจึงจะเอาขนมปังมาเลี้ยงกองทัพของเจ้า”
วนฉ 8.15 กิเดโอนจึงมาหาชาวเมืองสุคคทกล่าวว่า “จงมาดูเศบาห์และศัลมุนนา ซึ่งเมื่อก่อนเจ้าเยาะเย้ยเราว่า ‘มือของเศบาห์และของศัลมุนนาอยู่ในมือเจ้าแล้วหรือ เราจะได้เลี้ยงทหารที่เหน็ดเหนื่อยของเจ้าด้วยขนมปัง’”
วนฉ 14.17 เธอร้องไห้กับแซมสันตลอดเจ็ดวันซึ่งเป็นวันเลี้ยงกันนั้น และต่อมาในวันที่เจ็ดแซมสันก็ต้องแก้ปริศนาให้เธอฟัง เพราะเธอกวนท่านมากนัก และนางก็บอกแก้ปริศนาให้ชาวบ้านของนาง
วนฉ 19.19 ฟางและอาหารที่จะเลี้ยงลา พวกเราก็มีพร้อมแล้ว ทั้งอาหารและน้ำองุ่นที่เลี้ยงตนทั้งเลี้ยงหญิงคนนี้ และชายหนุ่มที่อยู่กับพวกผู้รับใช้ของท่านก็มีอยู่แล้ว ไม่ขาดสิ่งใดเลย”
1ซมอ 16.11 แล้วซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “บุตรชายของท่านอยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง ดูเถิด เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่” และซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “จงใช้คนไปตามเขามา เพราะเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะมาที่นี่”
1ซมอ 17.15 แต่ดาวิดกลับจากซาอูลไปเลี้ยงแกะของบิดาที่เบธเลเฮม
1ซมอ 25.16 เขาเป็นเหมือนกำแพงของเราทั้งกลางคืนและกลางวัน ตลอดเวลาที่เราเลี้ยงแกะอยู่กับเขา
2ซมอ 12.3 แต่คนจนนั้นไม่มีอะไรเลย เว้นแต่แกะตัวเมียตัวเดียวที่ซื้อเขามา ซึ่งเขาเลี้ยงไว้และอยู่กับเขา มันได้เติบโตขึ้นพร้อมกับบุตรของเขา กินอาหารร่วมและดื่มน้ำถ้วยเดียวกับเขา นอนในอกของเขา และเป็นเหมือนบุตรสาวของเขา
2ซมอ 12.4 ฝ่ายคนมั่งมีคนนั้นมีแขกคนหนึ่งมาเยี่ยม เขาเสียดายที่จะเอาแพะแกะหรือวัวของตนมาทำอาหารเลี้ยงคนที่เดินทางมาเยี่ยมนั้น จึงเอาแกะตัวเมียของชายคนจนนั้นเตรียมเป็นอาหารให้แก่ชายที่มาเยี่ยมตน”
1พกษ 3.15 และซาโลมอนก็ตื่นบรรทม และดูเถิด เป็นพระสุบิน แล้วพระองค์ก็เสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม และประทับยืนอยู่หน้าหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชา และพระราชทานเลี้ยงแก่บรรดาข้าราชการของพระองค์
1พกษ 12.32 และเยโรโบอัมทรงกำหนดเทศกาลเลี้ยงในวันที่สิบห้าของเดือนที่แปดเหมือนกับการเลี้ยงที่อยู่ในยูดาห์ และพระองค์ทรงถวายเครื่องสัตวบูชาบนแท่นบูชา พระองค์ทรงกระทำในเบธเอลดังนี้แหละ คือถวายเครื่องสัตวบูชาแก่รูปลูกวัวที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้นั้น และพระองค์ทรงสถาปนาปุโรหิตในเบธเอลประจำที่ปูชนียสถานสูงซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้
1พกษ 12.33 พระองค์ทรงขึ้นไปยังแท่นบูชาซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ที่เบธเอลในวันที่สิบห้าเดือนที่แปด ในเดือนซึ่งพระองค์ทรงดำริเอง และพระองค์ทรงกำหนดเทศกาลเลี้ยงสำหรับคนอิสราเอล และทรงถวายเครื่องบูชาบนแท่นและเผาเครื่องหอม
1พกษ 17.4 เจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้บัญชาให้กาเลี้ยงเจ้าที่นั่น”
1พกษ 17.9 “ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัทเถิด ซึ่งขึ้นแก่เมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้บัญชาหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า”
1พกษ 18.4 และเมื่อเยเซเบลขจัดผู้พยากรณ์ของพระเยโฮวาห์ออกไป โอบาดีห์ได้นำผู้พยากรณ์หนึ่งร้อยคนซ่อนไว้ตามถ้ำแห่งละห้าสิบคน และเลี้ยงเขาทั้งหลายด้วยขนมปังและน้ำ)
1พกษ 18.13 ไม่มีผู้ใดเรียนเจ้านายของข้าพเจ้าดอกหรือว่า ข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งใดเมื่อเยเซเบลประหารผู้พยากรณ์ของพระเยโฮวาห์เสีย และข้าพเจ้าได้ซ่อนผู้พยากรณ์หนึ่งร้อยคนของพระเยโฮวาห์ไว้ตามถ้ำแห่งละห้าสิบคน และเลี้ยงเขาด้วยขนมปังและน้ำ
2พกษ 3.4 ฝ่ายเมชากษัตริย์แห่งโมอับทรงเป็นผู้ดำเนินกิจการเลี้ยงแกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะหนึ่งแสนตัว และแกะผู้หนึ่งแสนตัวพร้อมกับขนของมันให้แก่กษัตริย์อิสราเอล
2พกษ 4.7 นางก็ไปเรียนให้คนของพระเจ้าทราบและท่านบอกว่า “ไปซี ขายน้ำมันเสียเอาเงินชำระหนี้ของเจ้า ที่เหลือนอกนั้นเจ้าและบุตรของเจ้าจงใช้เลี้ยงชีวิต”
2พศด 7.9 และในวันที่แปดเขาทั้งหลายมีการประชุมอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะเขาทั้งหลายได้มีงานมอบถวายแท่นบูชามาเจ็ดวัน และถือเทศกาลเลี้ยงมาเจ็ดวันแล้ว
นหม 8.14 และเขาเห็นเขียนไว้ในพระราชบัญญัติว่า พระเยโฮวาห์ได้ทรงบัญชาโดยทางโมเสสว่า ประชาชนอิสราเอลควรจะอยู่เพิงระหว่างเทศกาลเลี้ยงในเดือนที่เจ็ด
นหม 8.18 และทุกวันท่านอ่านจากหนังสือพระราชบัญญัติของพระเจ้า ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย เขาถือเทศกาลเลี้ยงอยู่เจ็ดวัน และในวันที่แปดมีการประชุมอันศักดิ์สิทธิ์ตามระเบียบปฏิบัติ
อสธ 2.7 ท่านได้เลี้ยงดูฮาดาชาห์คือเอสเธอร์บุตรสาวลุงของท่าน เพราะเธอไม่มีพ่อแม่ สาวคนนี้รูปงามและน่าดู เมื่อบิดามารดาของเธอสิ้นชีวิตแล้ว โมรเดคัยก็รับเธอมาเลี้ยงเป็นบุตรสาว
โยบ 24.2 มีคนที่ย้ายหลักเขต เขายึดฝูงแพะแกะพาไปเลี้ยง
สดด 78.71 พระองค์ทรงพาท่านมาจากการดูแลแม่แกะที่มีลูกอ่อนให้เป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชาชนของพระองค์ และอิสราเอลมรดกของพระองค์อย่างเลี้ยงแกะ
สดด 80.1 โอ ข้าแต่พระผู้ทรงเลี้ยงดูอิสราเอลอย่างเลี้ยงแกะ คือพระองค์ผู้ทรงนำโยเซฟอย่างนำฝูงแพะแกะ ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับ พระผู้ประทับระหว่างพวกเครูบ ขอทรงทอแสงออกมา
สดด 80.5 พระองค์ได้ทรงเลี้ยงเขาด้วยน้ำตาต่างอาหาร และทรงให้เขาดื่มน้ำตาอย่างเต็มขนาด
สดด 81.16 พระองค์จะทรงเลี้ยงเขาด้วยข้าวสาลีอย่างดีที่สุด “เราจะให้เจ้าพอใจด้วยน้ำผึ้งที่มาจากหิน”
สภษ 10.21 ริมฝีปากของคนชอบธรรมเลี้ยงคนเป็นอันมาก แต่คนโง่ตายเพราะขาดสติปัญญา
สภษ 30.8 ขอให้ความไร้สาระและความมุสาไกลจากข้าพระองค์ ขออย่าประทานความยากจนหรือความมั่งคั่งแก่ข้าพระองค์ ขอเลี้ยงข้าพระองค์ด้วยอาหารที่พอดีแก่ข้าพระองค์
พซม 1.7 โอ เธอผู้ที่จิตใจดิฉันรัก ขอบอกดิฉันว่า เธอเลี้ยงฝูงสัตว์อยู่ที่ไหนในเวลาเที่ยงวัน เธอให้มันนอนพักที่ไหน เพราะเหตุใดเล่าดิฉันจะต้องหันไปตามฝูงสัตว์ของพวกเพื่อนเธอ
พซม 1.8 โอ แม่งามเลิศในท่ามกลางหญิงทั้งหลาย ถ้าเธอไม่รู้จงเดินไปตามรอยตีนฝูงแพะแกะ แล้วจงเลี้ยงฝูงแพะแกะของเธอไว้ที่ข้างเต็นท์ของเมษบาลเถิด
พซม 2.4 เขาได้พาดิฉันให้เข้าในเรือนสำหรับงานเลี้ยง และธงสำคัญของเขาซึ่งห้อยอยู่เหนือดิฉันนั้นคือความรัก
พซม 2.16 ที่รักของดิฉันเป็นกรรมสิทธิ์ของดิฉัน และตัวดิฉันก็เป็นของเขา เขากำลังเลี้ยงฝูงสัตว์ของเขาท่ามกลางหมู่ดอกบัว
พซม 6.2 ที่รักของดิฉันลงไปยังสวนของเขาเพื่อจะไปที่ลานปลูกไม้สีเสียด และเพื่อจะไปเลี้ยงฝูงสัตว์ในสวนกับเพื่อจะเก็บดอกบัว
พซม 6.3 ตัวดิฉันเป็นกรรมสิทธิ์ของที่รักของดิฉัน และที่รักก็เป็นของดิฉัน เขาเลี้ยงฝูงสัตว์อยู่ท่ามกลางหมู่ดอกบัว
อสย 5.12 เขามีพิณเขาคู่และพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ และเหล้าองุ่น ณ งานเลี้ยงของเขา แต่เขาทั้งหลายมิได้เอาใจใส่ในพระราชกิจของพระเยโฮวาห์ หรือพิจารณาพระหัตถกิจของพระองค์
อสย 7.21 ต่อมาในวันนั้นชายคนหนึ่งจะเลี้ยงแม่วัวสาวไว้ตัวหนึ่งและแกะสองตัว
อสย 23.4 โอ ไซดอนเอ๋ย จงอับอายเถิด เพราะทะเลได้พูดแล้ว ที่กำบังเข้มแข็งของทะเลพูดว่า “ข้ามิได้ปวดครรภ์ หรือข้ามิได้คลอดบุตร ข้ามิได้เลี้ยงดูคนหนุ่ม หรือบำรุงเลี้ยงหญิงพรหมจารี”
อสย 40.11 พระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแพะแกะของพระองค์อย่างผู้เลี้ยงแกะ พระองค์จะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ในพระกรของพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มไว้ที่พระทรวง และทรงค่อยๆนำบรรดาที่มีลูกอ่อนไป
อสย 44.14 เขาตัดต้นสนสีดาร์ลง เขาเลือกต้นสนจีนและต้นโอ๊ก และปล่อยให้มันงอกขึ้นอย่างแข็งแรงท่ามกลางต้นไม้ในป่า เขาปลูกต้นแอชและฝนก็เลี้ยงมัน
อสย 49.9 เพื่อเจ้าจะกล่าวแก่ผู้ถูกจองจำว่า ‘ออกไปเถิด’ ต่อบรรดาผู้ที่อยู่ในความมืดว่า ‘จงปรากฏตัว’ เขาทั้งหลายจะเลี้ยงชีวิตตามทาง และตามที่สูงทั้งหลายจะเป็นที่หากินของเขา
อสย 58.14 แล้วเจ้าจะได้ความปีติยินดีในพระเยโฮวาห์ และเราจะให้เจ้าขึ้นขี่อยู่บนที่สูงของแผ่นดินโลก และเราจะเลี้ยงเจ้าด้วยมรดกของยาโคบบิดาของเจ้า เพราะโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์ได้ตรัสแล้ว”
อสย 61.5 คนต่างถิ่นจะยืนเลี้ยงฝูงแพะแกะของเจ้าทั้งหลาย บุตรชายทั้งหลายของคนต่างด้าวจะเป็นคนไถนาและคนแต่งเถาองุ่นของเจ้า
ยรม 3.15 และเราจะให้ผู้เลี้ยงแกะคนที่พอใจเราแก่เจ้า ผู้ซึ่งจะเลี้ยงเจ้าด้วยความรู้และความเข้าใจ
ยรม 5.7 “เราจะให้อภัยเจ้าได้อย่างไร ลูกหลานของเจ้าได้ละทิ้งเราแล้ว และได้อ้างผู้ที่ไม่ใช่พระในการทำสัตย์ปฏิญาณ เมื่อเราเลี้ยงเขาให้อิ่ม เขาก็ทำการล่วงประเวณี แล้วก็ยกขบวนกันไปที่เรือนของหญิงแพศยา
ยรม 9.15 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล จึงตรัสว่า “ดูเถิด เราจะเลี้ยงชนชาตินี้ด้วยบอระเพ็ด และให้น้ำดีหมีเขาดื่ม
ยรม 23.15 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธาจึงตรัสเกี่ยวกับเรื่องผู้พยากรณ์เหล่านั้นว่า “ดูเถิด เราจะเลี้ยงเขาด้วยบอระเพ็ด และให้น้ำดีหมีเขาดื่ม เพราะว่าความอธรรมได้ออกไปทั่วแผ่นดินนี้จากผู้พยากรณ์แห่งเยรูซาเล็ม”
ยรม 31.14 เราจะเลี้ยงจิตใจของปุโรหิตด้วยความอุดมสมบูรณ์ และประชาชนของเราจะพอใจด้วยความดีของเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
พคค 1.6 และความโอ่อ่าตระการได้พรากไปจากธิดาแห่งศิโยนเสียแล้ว พวกเจ้านายของเธอก็กลับเป็นดุจฝูงกวางที่หาทุ่งหญ้าเลี้ยงชีวิตไม่ได้ และได้วิ่งป้อแป้หนีไปข้างหน้าผู้ไล่ติดตาม
อสค 16.19 อาหารที่เราให้แก่เจ้าก็เหมือนกัน คือเราเลี้ยงเจ้าด้วยยอดแป้ง น้ำมันและน้ำผึ้ง เจ้าก็เอามาวางข้างหน้ามัน ให้เป็นกลิ่นหอมที่พึงใจ และก็เป็นอย่างนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
อสค 19.3 เธอเลี้ยงลูกสิงโตตัวหนึ่งให้เติบโตขึ้น กลายเป็นสิงโตหนุ่ม มันฝึกหัดจับเหยื่อและมันกินคน
อสค 19.5 เมื่อแม่สิงโตเห็นว่าเธอคอยนานแล้ว และความหวังของเธอสูญไป เธอก็เอาลูกมาอีกตัวหนึ่งเลี้ยงให้เป็นสิงโตหนุ่ม
อสค 34.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์กล่าวโทษบรรดาผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอล จงพยากรณ์และกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสแก่พวกผู้เลี้ยงแกะดังนี้ว่า วิบัติแก่ผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอล ผู้เลี้ยงตัวเอง ผู้เลี้ยงแกะย่อมเลี้ยงแกะมิใช่หรือ
อสค 34.3 เจ้ารับประทานไขมัน เจ้าคลุมกายของเจ้าด้วยขนแกะ เจ้าฆ่าแกะตัวอ้วนๆ แต่เจ้าหาได้เลี้ยงแกะไม่
อสค 34.8 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เพราะแกะของเรากลายเป็นเหยื่อ และแกะของเรากลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าทุ่งทั้งสิ้น เพราะไม่มีผู้เลี้ยงแกะ และเพราะผู้เลี้ยงแกะของเราไม่เที่ยวค้นหาแกะของเรา แต่ผู้เลี้ยงแกะนั้นเลี้ยงตัวเอง และไม่ได้เลี้ยงแกะของเรา
อสค 34.10 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับผู้เลี้ยงแกะ และเราจะเรียกร้องเอาแกะของเราจากมือของเขา และให้เขายับยั้งการเลี้ยงแกะของเขา ผู้เลี้ยงแกะจะไม่ได้เลี้ยงตัวเองอีกต่อไป เราจะช่วยแกะของเราให้พ้นจากปากของเขา เพื่อมิให้แกะเป็นอาหารของเขา
อสค 34.13 เราจะนำเขาออกมาจากชนชาติทั้งหลาย และรวบรวมเขามาจากประเทศต่างๆ และจะนำเขามาไว้ในแผ่นดินของเขาเอง และเราจะเลี้ยงเขาบนภูเขาแห่งอิสราเอล ใกล้ห้วยทั้งหลายและในท้องถิ่นทุกแห่งที่มีคนอาศัยในประเทศนั้น
อสค 34.14 เราจะเลี้ยงเขาในลานหญ้าอย่างดี และคอกของเขาจะอยู่บนบรรดาภูเขาสูงแห่งอิสราเอล ณ ที่นั่น เขาจะนอนลงในคอกที่ดี และเขาจะหากินอยู่บนลานหญ้าอุดมบนภูเขาแห่งอิสราเอล
อสค 34.16 เราจะเที่ยวหาแกะที่หาย และเราจะนำแกะที่ถูกขับไล่ออกไปกลับมาอีก และเราจะพันผ้าให้แกะที่กระดูกหัก และเราจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย แต่ตัวที่อ้วนและเข้มแข็งเราจะทำลาย เราจะเลี้ยงเขาด้วยความยุติธรรม
อสค 34.23 และเราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะผู้หนึ่งไว้เหนือเขา คือดาวิดผู้รับใช้ของเรา และท่านจะเลี้ยงเขาทั้งหลาย ท่านจะเลี้ยงเขาและจะเป็นผู้เลี้ยงของเขา
อสค 45.15 แกะฝูงสองร้อยตัวก็ให้ถวายตัวหนึ่ง จากทุ่งเลี้ยงสัตว์อันอุดมของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า นี่แหละเป็นของถวายสำหรับธัญญบูชา เครื่องเผาบูชา และสันติบูชาเพื่อทำการลบมลทินให้เขาทั้งหลาย
อสค 45.23 และในเจ็ดวันที่มีเทศกาลเลี้ยงให้เจ้านายจัดหาวัวหนุ่มเจ็ดตัวกับแกะผู้เจ็ดตัวที่ปราศจากตำหนิ ให้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ทุกๆวันตลอดเจ็ดวันนั้น และจัดหาลูกแพะผู้ตัวหนึ่งทุกวันให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
อสค 45.25 ในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ด และในเทศกาลเลี้ยงทั้งเจ็ดวัน ให้ท่านจัดหาของเช่นเดียวกันสำหรับเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เครื่องเผาบูชา ธัญญบูชา และเครื่องน้ำมัน”
อสค 46.9 เมื่อประชาชนแห่งแผ่นดินเข้ามาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ณ เทศกาลเลี้ยงตามกำหนด ผู้ที่เข้ามาทางประตูเหนือเพื่อนมัสการจะต้องกลับออกไปทางประตูใต้ และผู้ที่เข้ามาทางประตูใต้จะต้องกลับออกไปทางประตูเหนือ อย่าให้ใครกลับทางประตูตามที่เขาเข้ามา แต่ให้ทุกคนออกตรงไปข้างหน้า
อสค 46.11 ธัญญบูชาที่ใช้ ณ เทศกาลเลี้ยงและเทศกาลที่กำหนดนั้น ให้เป็นเอฟาห์หนึ่งคู่กับวัวหนุ่มตัวหนึ่ง และคู่กับแกะผู้ก็เอฟาห์หนึ่ง และคู่กับลูกแกะก็ตามแต่ท่านสามารถจะถวายได้ พร้อมกับน้ำมันฮินหนึ่งต่อแป้งเอฟาห์หนึ่ง
ดนล 4.12 ใบก็งดงามและผลก็อุดม และจากต้นไม้นั้น มีอาหารให้แก่ชีวิตทั้งปวง สัตว์ป่าที่ในทุ่งนาอาศัยอยู่ใต้ร่มของมัน และนกในอากาศก็อาศัยอยู่ที่กิ่งก้านของมัน และเนื้อหนังทั้งหลายก็เลี้ยงตนอยู่ด้วยมัน
ฮชย 2.11 เราจะให้บรรดาความร่าเริงของนางสิ้นสุดลง ทั้งเทศกาลเลี้ยง เทศกาลขึ้นหนึ่งค่ำ วันสะบาโตและบรรดาเทศกาลตามกำหนดทั้งสิ้นของนาง
ฮชย 2.13 เราจะทำโทษนางเนื่องในวันเทศกาลเลี้ยงพระบาอัล เมื่อนางเผาเครื่องหอมบูชาพระเหล่านั้น แล้วก็แต่งกายของนางด้วยแหวนและเพชรพลอยต่างๆ และติดตามบรรดาคนรักของนางไป และลืมเราเสีย พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ฮชย 4.16 เพราะว่าอิสราเอลนั้นเสื่อมถอยเหมือนวัวสาวที่เสื่อมลง บัดนี้พระเยโฮวาห์จะทรงเลี้ยงเขาดุจเลี้ยงแกะในทุ่งกว้าง
ฮชย 9.2 แต่ลานนวดข้าวและบ่อย่ำองุ่นจะไม่พอเลี้ยงเขา และน้ำองุ่นใหม่ก็จะขาดไป
ฮชย 9.12 ถึงแม้ว่าเขาจะเลี้ยงลูกไว้ได้จนโต เราก็จะพรากเขาไปเสียจนไม่เหลือสักคนเดียว เออ วิบัติแก่เขา เมื่อเราพรากจากเขาไป
ฮชย 11.4 เราจูงเขาด้วยสายแห่งมนุษยธรรมและด้วยปลอกแห่งความรัก เราเป็นผู้ถอดแอกที่ขากรรไกรของเขาออก และเราก้มลงเลี้ยงเขา
ฮชย 12.1 เอฟราอิมเลี้ยงตนด้วยลม และตามหาลมตะวันออกอยู่ วันยังค่ำเขาทวีความมุสาและการรกร้าง เขาทำพันธสัญญากับอัสซีเรียและขนเอาน้ำมันไปให้อียิปต์
ฮชย 12.9 เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าตั้งแต่ครั้งแผ่นดินอียิปต์ เราจะกระทำให้เจ้าอาศัยอยู่ในเต็นท์อีก ดังในสมัยที่มีเทศกาลเลี้ยงตามกำหนด
ฮชย 12.12 ยาโคบหนีไปยังแผ่นดินอารัม อิสราเอลได้ทำงานเพื่อจะได้ภรรยา ท่านเลี้ยงแกะเพื่อให้ได้ภรรยา
นฮม 2.11 ที่อาศัยของสิงโตอยู่ที่ไหน คือที่เลี้ยงอาหารของสิงโตหนุ่ม ที่ที่สิงโตคือสิงโตแก่เคยเดินเข้าไป ที่ที่ลูกของมันเคยอยู่ ไม่มีผู้ใดทำให้มันกลัวได้
ศคย 11.4 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงเลี้ยงฝูงแพะแกะที่ต้องถูกฆ่า
ศคย 13.5 แต่เขาจะกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้พยากรณ์ ข้าพเจ้าเป็นชาวนา เพราะว่ามีคนสอนข้าพเจ้าให้เลี้ยงสัตว์ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังหนุ่มๆ’
มธ 6.26 จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ
มธ 8.33 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรก็หนีเข้าไปในนคร เล่าบรรดาเหตุการณ์ซึ่งเป็นไปนั้น กับเหตุที่เกิดขึ้นแก่คนที่มีผีเข้าสิงอยู่นั้น
มธ 14.16 ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า “เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด”
มธ 15.33 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า “ในถิ่นทุรกันดารนี้ เราจะหาอาหารที่ไหนพอเลี้ยงคนเป็นอันมากนี้ให้อิ่มได้”
มธ 26.5 แต่พวกเขาพูดว่า “ในวันเทศกาลเลี้ยงอย่าพึ่งทำเลย กลัวว่าประชาชนจะเกิดการวุ่นวาย”
มธ 27.15 ในเทศกาลเลี้ยงนั้น เจ้าเมืองเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้แก่หมู่ชนตามใจชอบ
มก 5.14 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรนั้นต่างคนต่างหนีไปเล่าเรื่องทั้งในนครและบ้านนอก แล้วคนทั้งปวงก็ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
มก 6.37 แต่พระองค์ตรัสตอบแก่เหล่าสาวกว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” เขาทูลพระองค์ว่า “จะให้พวกข้าพระองค์ไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญเดนาริอันให้เขารับประทานหรือ”
มก 12.44 เพราะว่าคนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้ แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด”
มก 14.2 แต่พวกเขาพูดกันว่า “ในวันเลี้ยง อย่าเพ่อทำเลย กลัวว่าประชาชนจะเกิดวุ่นวาย”
มก 15.6 ในเทศกาลเลี้ยงนั้น ปีลาตเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้เขาตามที่เขาขอ
ลก 2.43 เมื่อครบกำหนดวันเลี้ยงกันแล้ว ขณะเขากำลังกลับไป พระกุมารเยซูก็ยังค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ฝ่ายโยเซฟกับมารดาของพระองค์ก็ไม่รู้
ลก 8.34 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างก็หนีไปเล่าเรื่องนั้นทั้งในเมืองและนอกเมือง
ลก 9.13 แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” เขาทูลว่า “เราไม่มีอะไรมาก มีแต่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เว้นเสียแต่เราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนทั้งปวงนี้”
ลก 12.24 จงพิจารณาดูอีกา มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว และมิได้มียุ้งหรือฉาง แต่พระเจ้ายังทรงเลี้ยงมันไว้ ท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกมากทีเดียว
ลก 14.17 เมื่อถึงเวลาเลี้ยงแล้ว เขาก็ใช้ผู้รับใช้ของตนไปบอกคนทั้งหลายที่ได้รับเชิญไว้แล้วว่า ‘เชิญมาเถิด เพราะสิ่งสารพัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว’
ลก 15.15 เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา
ลก 15.23 จงเอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด
ลก 15.29 แต่เขาบอกบิดาว่า ‘ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติท่านกี่ปีมาแล้ว และมิได้ละเมิดคำบัญชาของท่านสักข้อหนึ่งเลย แม้แต่เพียงลูกแพะสักตัวหนึ่งท่านก็ยังไม่เคยให้ข้าพเจ้า เพื่อจะเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงยินดีกับเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า
ลก 15.30 แต่เมื่อลูกคนนี้ของท่าน ผู้ได้ผลาญสิ่งเลี้ยงชีพของท่านโดยคบหญิงโสเภณีมาแล้ว ท่านยังได้ฆ่าลูกวัวอ้วนพีเลี้ยงเขา’
ลก 17.7 ในพวกท่านมีคนใดที่มีผู้รับใช้ไถนาหรือเลี้ยงแกะ เมื่อผู้รับใช้คนนั้นกลับมาจากทุ่งนาจะบอกเขาทีเดียวว่า ‘เชิญเอนกายลงรับประทานเถิด’
ลก 21.4 เพราะว่าคนทั้งปวงนี้ได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ถวายแด่พระเจ้า แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด”
ลก 22.1 เทศกาลเลี้ยงขนมปังไร้เชื้อที่เรียกว่าปัสกามาใกล้แล้ว
ลก 23.17 (เพราะท่านต้องปล่อยคนหนึ่งให้เขาทั้งหลายในเทศกาลเลี้ยงนั้น)
ยน 2.23 เมื่อพระองค์ประทับ ณ กรุงเยรูซาเล็มในวันเลี้ยงเทศกาลปัสกานั้น มีคนเป็นอันมากได้เชื่อในพระนามของพระองค์ เมื่อเขาได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
ยน 4.45 ฉะนั้นเมื่อพระองค์เสด็จไปถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีได้ต้อนรับพระองค์ เพราะเขาได้เห็นทุกสิ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในเทศกาลเลี้ยง ณ กรุงเยรูซาเล็ม เพราะเขาทั้งหลายได้ไปในเทศกาลเลี้ยงนั้นด้วย
ยน 5.1 หลังจากนั้นก็ถึงเทศกาลเลี้ยงของพวกยิว และพระเยซูก็เสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ยน 6.4 ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลเลี้ยงของพวกยิวแล้ว
ยน 10.22 ขณะนั้นเป็นเทศกาลเลี้ยงฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นฤดูหนาว
ยน 12.12 วันรุ่งขึ้นเมื่อคนเป็นอันมากที่มาในเทศกาลเลี้ยงนั้นได้ยินว่า พระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม
ยน 12.20 ในหมู่คนทั้งหลายที่ขึ้นไปนมัสการในเทศกาลเลี้ยงนั้นมีพวกกรีกบ้าง
ยน 13.1 ก่อนถึงเทศกาลเลี้ยงปัสกา เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด
ยน 13.29 บางคนคิดว่าเพราะยูดาสถือถุงเงิน พระเยซูจึงตรัสบอกเขาว่า “จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับเทศกาลเลี้ยงนั้น” หรือตรัสบอกเขาว่า เขาควรจะให้ทานแก่คนจนบ้าง
ยน 21.15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วพระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกเหล่านี้หรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ถูกแล้ว พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด”
ยน 21.16 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองอีกว่า “ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเราหรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ถูกแล้ว พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด”
ยน 21.17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเราหรือ” เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ” และเขาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด
กจ 7.20 คราวนั้นโมเสสเกิดมามีรูปร่างงดงาม เขาจึงได้เลี้ยงไว้ในบ้านบิดาจนครบสามเดือน
กจ 7.21 และเมื่อลูกอ่อนนั้นถูกทิ้งไว้นอกบ้านแล้ว ราชธิดาของฟาโรห์จึงรับมาเลี้ยงไว้ต่างบุตรชายของตน
กจ 16.34 แล้วได้พาท่านทั้งสองเข้าไปในบ้านของเขา จัดโต๊ะเลี้ยงท่านแสดงความยินดีอย่างยิ่ง เพราะได้เชื่อถือพระเจ้าพร้อมกับทั้งครอบครัวแล้ว
กจ 18.21 แต่ได้ลาเขาไปกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะพยายามรักษาเทศกาลเลี้ยงที่จะถึงในกรุงเยรูซาเล็มโดยทุกวิถีทาง แต่ถ้าเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับมาหาท่านทั้งหลายอีก” แล้วเปาโลได้ลงเรือแล่นออกจากเมืองเอเฟซัส
กจ 20.28 เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี และจงรักษาฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และเพื่อจะได้บำรุงเลี้ยงคริสตจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง
รม 11.18 ท่านก็อย่าอวดดีต่อกิ่งเหล่านั้น แต่ถ้าท่านอวดดี ใช่ว่าท่านได้เลี้ยงรากนั้นก็หาไม่ แต่รากต่างหากเลี้ยงท่าน
รม 13.13 เราจงดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน
1คร 3.2 ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับและถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถ
1คร 9.7 ใครบ้างที่เป็นทหารไปในการศึกสงคราม และต้องกินเสบียงของตัวเอง หรือใครบ้างที่ทำสวนปลูกต้นองุ่น และมิได้กินผลองุ่นในสวนนั้น หรือใครบ้างที่เลี้ยงสัตว์และมิได้กินน้ำนมของฝูงสัตว์นั้น
1คร 10.27 ถ้าคนที่ไม่มีความเชื่อจะเชิญท่านไปในงานเลี้ยงและท่านเต็มใจไป สิ่งที่เขาตั้งให้รับประทานก็รับประทานได้ ไม่ต้องถามอะไรโดยเห็นแก่ใจสำนึกผิดชอบ
1คร 13.3 แม้ข้าพเจ้ามอบของสารพัดเพื่อเลี้ยงคนยากจน และแม้ข้าพเจ้ายอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่
ยก 3.7 เพราะสัตว์เดียรัจฉานทุกชนิด ทั้งนก งู และสัตว์ในทะเลก็เลี้ยงให้เชื่องได้ และมนุษย์ก็ได้เลี้ยงให้เชื่องแล้ว
ยก 5.5 ท่านมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างฟุ่มเฟือยและสนุกสนาน ท่านได้บำรุงเลี้ยงจิตใจของท่านเหมือนอย่างในวันประหาร
1ปต 4.3 ด้วยว่าเวลาที่ผ่านไปในชีวิตของเราแล้วนั้น น่าจะเพียงพอสำหรับการกระทำสิ่งที่คนต่างชาติชอบกระทำ คราวเมื่อเราได้ดำเนินตามกิเลสตัณหา ตามใจปรารถนาอันชั่ว เมาเหล้าองุ่น เฮฮาเอะอะเอ็ดตะโรกัน เลี้ยงกันอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย และการไหว้รูปเคารพอันเป็นที่น่าเกลียด
1ปต 5.2 จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่กับท่าน จงเอาใจใส่ดูแล ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของอันเป็นมลทิน แต่ด้วยใจพร้อม
ยด 1.12 คนเหล่านี้เป็นรอยด่างในการประชุมเลี้ยงผูกรักของท่านทั้งหลาย ขณะเขาร่วมการเลี้ยงกับท่าน เขาเลี้ยงแต่ตนเองโดยไม่เกรงกลัวเลย เขาเป็นเมฆที่ปราศจากน้ำที่ถูกพัดลอยไปตามลม เป็นต้นไม้ที่ผลของมันเหี่ยวแห้งไปจึงไม่มีผลอยู่เลย และตายมาสองหนแล้ว เพราะถูกถอนออกทั้งราก

เลี้ยงแกะ ( 3 )
อพย 2.17 และพวกเลี้ยงแกะมาไล่หญิงเหล่านั้น แต่โมเสสลุกขึ้นช่วยหญิงเหล่านั้น และให้ฝูงแพะแกะของเธอกินน้ำ
อพย 2.19 และเธอตอบว่า “มีคนอียิปต์คนหนึ่งช่วยพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของพวกเลี้ยงแกะ ทั้งยังตักน้ำให้พวกข้าพเจ้าและให้ฝูงแพะแกะกินด้วย”
ลก 2.15 ต่อมาเมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่า “บัดนี้ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮม ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา”

เลี้ยงชีพ ( 8 )
ปฐก 46.33 และต่อมาเมื่อฟาโรห์จะรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าและจะถามว่า ‘พวกเจ้าเคยทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร’
ปฐก 46.34 ท่านทั้งหลายจงทูลว่า ‘การทำมาหาเลี้ยงชีพของผู้รับใช้ของพระองค์นั้นเกี่ยวข้องกับพวกสัตว์ใช้งานตั้งแต่เป็นเด็กมาจนทุกวันนี้ ทั้งข้าพระองค์ทั้งหลายและบรรพบุรุษของข้าพระองค์ด้วย’ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินโกเชน เหตุว่าคนเลี้ยงแพะแกะทุกคนนั้นเป็นที่พึงรังเกียจสำหรับชาวอียิปต์”
ปฐก 47.3 ฟาโรห์ตรัสถามพี่น้องของโยเซฟว่า “พวกเจ้าเคยทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร” เขาทูลฟาโรห์ว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นผู้เลี้ยงแพะแกะ ทั้งพวกข้าพระองค์และบรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์”
พบญ 24.6 อย่าให้ผู้ใดยึดโม่หรือหินโม่ลูกปฏิญาณไว้เป็นประกัน เพราะสิ่งที่ยึดเป็นประกันนั้นเขาใช้เลี้ยงชีพของเขา
ฮชย 4.8 เขาเลี้ยงชีพอยู่ด้วยบาปแห่งประชาชนของเรา เขามุ่งที่จะอิ่มด้วยความชั่วช้าของคนเหล่านั้น
ลก 15.30 แต่เมื่อลูกคนนี้ของท่าน ผู้ได้ผลาญสิ่งเลี้ยงชีพของท่านโดยคบหญิงโสเภณีมาแล้ว ท่านยังได้ฆ่าลูกวัวอ้วนพีเลี้ยงเขา’
กจ 12.20 ฝ่ายเฮโรดกริ้วชาวเมืองไทระและเมืองไซดอน แต่ชาวเมืองนั้นได้พากันมาหาท่าน เมื่อได้เอาใจบลัสทัสกรมวังของกษัตริย์แล้ว จึงได้ขอกลับเป็นไมตรีกันอีก เพราะว่าเมืองของเขาต้องอาศัยอาหารเลี้ยงชีพจากแผ่นดินของกษัตริย์นั้น
1คร 9.6 เฉพาะข้าพเจ้าและบารนาบัสเท่านั้นหรือที่ไม่มีสิทธิ์จะเลิกทำงานหาเลี้ยงชีพ

เลี้ยงดู ( 29 )
ปฐก 47.12 โยเซฟเลี้ยงดูบิดาและพวกพี่น้องรวมทั้งครอบครัวของบิดา ให้มีอาหารรับประทานตามจำนวนคนในครอบครัว
นรธ 4.15 ให้เด็กคนนี้เป็นผู้ชุบชีวิตของเจ้าและเลี้ยงดูเจ้าเมื่อชรา เพราะว่าเด็กคนนี้เกิดมาจากลูกสะใภ้ที่รักเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าบุตรชายเจ็ดคน”
2ซมอ 5.2 ในอดีตเมื่อซาอูลเป็นกษัตริย์ปกครองเหนือเหล่าข้าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นผู้นำอิสราเอลออกไปและเข้ามา และพระเยโฮวาห์ตรัสแก่พระองค์ว่า ‘เจ้าจะเลี้ยงดูอิสราเอลประชาชนของเรา และเจ้าจะเป็นเจ้าเหนือคนอิสราเอล’”
2ซมอ 7.7 ในที่ต่างๆที่เราได้ดำเนินกับชนชาติอิสราเอลทั้งหมด เราได้เคยพูดสักคำกับตระกูลของอิสราเอลตระกูลใด ผู้ที่เราบัญชาให้เขาเลี้ยงดูอิสราเอลประชาชนของเราหรือว่า “ทำไมเจ้ามิได้สร้างนิเวศด้วยไม้สนสีดาร์ให้แก่เรา”’
1พศด 11.2 ในกาลก่อน แม้เมื่อซาอูลทรงเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงเป็นผู้นำอิสราเอลออกไปและเข้ามา และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ตรัสแก่พระองค์ว่า ‘เจ้าจะเลี้ยงดูอิสราเอลประชาชนของเรา และเจ้าจะเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา’”
1พศด 17.6 ในที่ต่างๆที่เราเคลื่อนไปมากับอิสราเอลทั้งหมด เราได้เคยพูดสักคำกับผู้วินิจฉัยของอิสราเอลคนใด ผู้ที่เราได้บัญชาให้เขาเลี้ยงดูประชาชนของเราหรือว่า “ทำไมเจ้ามิได้สร้างนิเวศด้วยไม้สนสีดาร์ให้แก่เรา”’
อสธ 2.7 ท่านได้เลี้ยงดูฮาดาชาห์คือเอสเธอร์บุตรสาวลุงของท่าน เพราะเธอไม่มีพ่อแม่ สาวคนนี้รูปงามและน่าดู เมื่อบิดามารดาของเธอสิ้นชีวิตแล้ว โมรเดคัยก็รับเธอมาเลี้ยงเป็นบุตรสาว
อสธ 2.20 ฝ่ายพระนางเอสเธอร์นั้นมิได้ทรงให้ใครทราบถึงพระญาติหรือชนชาติของพระนางดังที่โมรเดคัยกำชับพระนางไว้ เพราะพระนางเอสเธอร์ทรงทำตามคำสั่งของโมรเดคัย เช่นเดียวกับเมื่อเขาเลี้ยงดูพระนางมา
สดด 78.72 ท่านจึงเลี้ยงดูเขาทั้งหลายด้วยใจเที่ยงธรรม และนำเขาทั้งหลายไปด้วยมือช่ำชอง
สภษ 8.30 เราอยู่ข้างพระองค์แล้ว เหมือนผู้ที่พระองค์ทรงเลี้ยงดู เราเป็นความปีติยินดีประจำวันของพระองค์ เปรมปรีดิ์อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เสมอ
อสย 1.2 โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงฟัง โอ แผ่นดินโลกเอ๋ย จงเงี่ยหู เพราะพระเยโฮวาห์ได้ตรัสว่า “เราได้เลี้ยงดูบุตรและให้เติบโตขึ้น แต่เขาทั้งหลายได้กบฏต่อเรา
อสย 23.4 โอ ไซดอนเอ๋ย จงอับอายเถิด เพราะทะเลได้พูดแล้ว ที่กำบังเข้มแข็งของทะเลพูดว่า “ข้ามิได้ปวดครรภ์ หรือข้ามิได้คลอดบุตร ข้ามิได้เลี้ยงดูคนหนุ่ม หรือบำรุงเลี้ยงหญิงพรหมจารี”
ยรม 23.4 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะไว้เหนือเขา ผู้จะเลี้ยงดูเขา และเขาทั้งหลายจะไม่กลัวอีกเลย หรือครั่นคร้าม จะไม่ขาดไปเลย”
พคค 2.22 พระองค์ได้ทรงเรียกผู้ที่ข้าพระองค์กลัวรอบทุกด้านมาอย่างในวันเทศกาล พอถึงวันที่พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธก็ไม่มีสักคนหนึ่งหนีเอาตัวรอดได้ หรือคงเหลือตกค้างรอดตายอยู่ ผู้ที่ข้าพระองค์ได้อุ้มชูและเลี้ยงดูมานั้น ศัตรูของข้าพระองค์ได้เผาผลาญเสียหมดแล้ว
อสค 19.2 กล่าวว่า “มารดาของเจ้าเป็นอย่างไรหนอ ก็เป็นแม่สิงโต เธอนอนอยู่ท่ามกลางสิงโตทั้งหลาย เธอเลี้ยงดูลูกของเธอท่ามกลางสิงโตหนุ่ม
มคา 5.4 และพระองค์จะทรงยืนมั่น ทรงเลี้ยงดูด้วยพระกำลังแห่งพระเยโฮวาห์ ด้วยสง่าราศีแห่งพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ และเขาทั้งหลายอยู่ได้ เพราะบัดนี้พระองค์จะทรงเป็นใหญ่ตลอดจนถึงที่สุดท้ายปลายพิภพ
มคา 7.14 ขอทรงเลี้ยงดูประชาชนของพระองค์ด้วยคทาของพระองค์ คือฝูงประชาชนที่เป็นมรดกของพระองค์ ผู้อาศัยโดดเดี่ยวอยู่ในป่า ในท่ามกลางคารเมล ขอทรงให้เขาหากินอยู่ในบาชานและกิเลอาดอย่างในโบราณกาล
ศคย 11.7 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงจะได้เลี้ยงดูฝูงแพะแกะที่ถูกฆ่า คือตัวเจ้าเอง โอ พวกที่น่าสงสารแห่งฝูงแกะเอ๋ย ข้าพเจ้าจึงเอาไม้เท้าสองอัน อันหนึ่งให้ชื่อว่า พระคุณ อีกอันหนึ่งข้าพเจ้าให้ชื่อว่า สหภาพ และข้าพเจ้าก็เลี้ยงดูฝูงแกะ
ศคย 11.9 ข้าพเจ้าจึงว่า “ข้าจะไม่เลี้ยงดูเจ้า อะไรจะต้องตายก็ให้ตายไป อะไรที่จะต้องถูกตัดออกก็ให้ถูกตัดออกไปเสีย และให้บรรดาที่เหลืออยู่นั้นกินเนื้อซึ่งกันและกัน”
ศคย 11.16 เพราะดูเถิด เราจะตั้งเมษบาลผู้หนึ่งในแผ่นดินนี้ ผู้ไม่แวะไปหาตัวที่ถูกตัดออกไป หรือแสวงหาตัวที่ยังหนุ่ม หรือรักษาตัวที่หักเสียแล้ว หรือเลี้ยงดูตัวที่เป็นปกติ แต่กินเนื้อของแกะอ้วนทุกตัว ฉีกกินจนกระทั่งถึงกีบของมัน
กจ 28.7 เจ้าแห่งเกาะนั้นชื่อปูบลิอัส มีไร่นาอยู่ใกล้ตำบลนั้น ท่านได้ต้อนรับเลี้ยงดูพวกเราไว้อย่างดีสามวัน
อฟ 5.29 เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม เหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำแก่คริสตจักร
1ธส 2.7 แต่ว่าเราอยู่ในหมู่พวกท่านด้วยความสุภาพอ่อนโยน เหมือนพี่เลี้ยงที่เลี้ยงดูลูกของตน
1ทธ 5.8 แต่ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธความเชื่อเสียแล้ว และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเสียอีก
1ทธ 5.10 และจะต้องเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าได้กระทำดี เช่นได้เอาใจใส่เลี้ยงดูลูก ได้มีน้ำใจรับรองแขก ได้ล้างเท้าวิสุทธิชน ได้สงเคราะห์คนที่มีความทุกข์ยาก และได้บำเพ็ญคุณความดีทุกอย่าง
1ทธ 5.16 ถ้าชายหรือหญิงผู้มีความเชื่อคนใดมีแม่ม่าย ก็ให้เขาช่วยเลี้ยงดู อย่าให้เป็นภาระของคริสตจักรเลย เพื่อคริสตจักรจะได้สงเคราะห์คนที่เป็นแม่ม่ายไร้ที่พึ่งจริงๆ
1ปต 4.9 ท่านทั้งหลายจงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น
วว 7.17 เพราะว่าพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะทรงเลี้ยงดูเขาไว้ และจะทรงนำเขาไปให้ถึงน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาเหล่านั้น”

เลียงผา ( 4 )
1ซมอ 24.2 แล้วซาอูลก็ทรงนำพลที่คัดเลือกจากบรรดาคนอิสราเอลแล้วสามพันคนไปแสวงหาดาวิดกับคนของท่านที่หินเลียงผา
โยบ 39.1 “เจ้ารู้ไหมว่าเลียงผาตกลูกเมื่อไร เจ้าเคยเฝ้าดูกวางตัวเมียตกลูกหรือ
สดด 104.18 ภูเขาสูงนั้นเป็นที่ลี้ภัยของเลียงผา หินเป็นของตัวกระจงผา
สภษ 5.19 จงให้นางเหมือนนางกวางที่น่ารัก เลียงผาที่งามสง่า จงให้ถันของภรรยาเจ้าเป็นที่หนำใจเจ้าอยู่ทุกเวลา จงดื่มด่ำอยู่กับความรักของนางเสมอ

เลี่ยน ( 1 )
ยรม 47.5 เมืองกาซาก็ล้านเลี่ยน และเมืองอัชเคโลนก็ถูกตัดออกพร้อมด้วยคนที่เหลืออยู่ในหุบเขาของเขา เจ้าจะเชือดเนื้อเถือหนังของเจ้าอีกนานเท่าใด

เลียนแบบ ( 1 )
อฟ 5.1 เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก

เลียบ ( 3 )
ลก 17.11 ต่อมาเมื่อพระองค์กำลังเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์จึงเสด็จเลียบระหว่างแคว้นสะมาเรียและกาลิลี
กจ 27.8 เมื่อเรือแล่นเลียบฝั่งเกาะนั้นอย่างยากเย็น เราจึงมายังตำบลหนึ่งชื่อว่า ท่างาม เมืองลาเซียอยู่ใกล้ที่นั่น
กจ 27.13 เมื่อลมทิศใต้พัดมาเบาๆ เขาก็คิดว่าสมความปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นเลียบฝั่งไปตามเกาะครีต

เลี้ยว ( 25 )
กดว 21.22 “ขอให้ข้าพเจ้าผ่านแผ่นดินของท่าน พวกเราจะไม่เลี้ยวเข้าไปในนาหรือในสวนองุ่น เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อ เราจะเดินไปตามทางหลวงจนเราได้ผ่านพรมแดนเมืองของท่าน”
กดว 21.33 แล้วเขาก็เลี้ยวยกเดินไปตามทางเมืองบาชาน และโอกกษัตริย์เมืองบาชานก็ออกมา ทั้งตัวท่านกับพลไพร่ทั้งสิ้นของท่าน เพื่อสู้รบกับเขาที่เอเดรอี
กดว 22.23 เมื่อลานั้นเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ถือดาบยืนอยู่ในหนทาง ลาก็เลี้ยวออกนอกทาง เข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมจึงตีลาให้กลับไปทางเดิม
กดว 34.4 และอาณาเขตของเจ้าจะเลี้ยวไปทางใต้เนินสูงอาครับบิม ข้ามไปยังศิน ไปสุดลงที่ด้านใต้คาเดชบารเนีย เรื่อยไปถึงฮาซารัดดาร์ผ่านเรื่อยไปถึงอัสโมน
กดว 34.5 และอาณาเขตจะเลี้ยวจากอัสโมนถึงแม่น้ำอียิปต์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล
พบญ 2.8 แล้วเราทั้งหลายได้เดินเลยไปจากพี่น้องของเราพวกลูกหลานเอซาวผู้อยู่ที่เสอีร์ ไปจากทางที่ราบจากเอลัทและจากเอซีโอนเกเบอร์ และเราได้เลี้ยวไปเดินตามทางถิ่นทุรกันดารโมอับ
พบญ 2.27 ‘ขอให้ข้าพเจ้าเดินข้ามแผ่นดินของท่าน ข้าพเจ้าจะเดินไปตามทางหลวง จะไม่เลี้ยวไปทางขวามือหรือซ้ายมือเลย
ยชว 15.3 ยื่นไปทางด้านใต้ของมาอาเลอัครับบิม ผ่านเรื่อยไปถึงศิน แล้วขึ้นไปทางด้านใต้เมืองคาเดชบารเนีย ตามทางเมืองเฮชโรน ขึ้นไปถึงเมืองอัดดาร์เลี้ยวไปถึงคารคา
ยชว 15.7 และพรมแดนยื่นไปถึงเดบีร์จากหุบเขาอาโคร์ ตรงไปทางทิศเหนือเลี้ยวไปหาเมืองกิลกาล ซึ่งอยู่ตรงข้ามทางข้ามเขาที่ชื่ออาดุมมิม ซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของแม่น้ำ และพรมแดนก็ผ่านไปถึงน้ำพุเอนเชเมช ไปสิ้นสุดลงที่เอนโรเกล
ยชว 15.9 แล้วพรมแดนก็ยื่นไปจากยอดภูเขาถึงน้ำพุแห่งลำห้วยเนฟโทอาห์ จากที่นั่นก็มาถึงหัวเมืองแห่งภูเขาเอโฟรน แล้วพรมแดนก็เลี้ยวโค้งไปหาเมืองบาอาลาห์ คือเมืองคีริยาทเยอาริม
ยชว 15.10 แล้วพรมแดนก็เลี้ยวโค้งจากบาอาลาห์ไปทางทิศตะวันตกถึงภูเขาเสอีร์ ผ่านไปตามไหล่เขายาอาริมด้านเหนือ คือเคสะโลน ลงไปถึงเมืองเบธเชเมชผ่านเมืองทิมนาห์ไป
ยชว 19.27 แล้วเลี้ยวไปทางดวงอาทิตย์ขึ้นไปยังเบธดาโกนจดเขตเศบูลุนและหุบเขายิฟทาห์เอล ไปทางด้านเหนือถึงเมืองเบธเอเมคและเนอีเอลเรื่อยไปทางด้านซ้ายถึงเมืองคาบูล
ยชว 19.29 แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปถึงรามาห์ ไปถึงเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบชื่อไทระ แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปถึงเมืองโฮสาห์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล จากฝั่งทะเลไปถึงอัคซีบ
ยชว 19.34 แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปทางด้านตะวันตกถึงเมืองอัสโนททาโบร์ จากที่นั่นไปถึงหุกกอกจดเขตเศบูลุนทางทิศใต้ และเขตอาเชอร์ทางทิศตะวันตก และเขตยูดาห์ทางดวงอาทิตย์ขึ้นที่แม่น้ำจอร์แดน
1ซมอ 6.12 แม่วัวก็เดินตรงไปตามทางที่ไปเมืองเบธเชเมช ไปตามทางหลวง เดินพลางร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย และบรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ตามมันไปจนถึงพรมแดนเมืองเบธเชเมช
2ซมอ 2.19 และอาสาเฮลก็ไล่ตามอับเนอร์ไป เมื่อตามไปนั้นก็มิได้เลี้ยวทางขวามือหรือทางซ้ายมือจากการไล่ตามอับเนอร์
2ซมอ 2.21 อับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงเลี้ยวไปทางขวาหรือทางซ้าย และจับเอาคนหนุ่มคนใดคนหนึ่ง แล้วก็ริบเอาอาวุธของเขาไป” แต่อาสาเฮลไม่เลี้ยวจากไล่ตามอับเนอร์
2พกษ 9.18 คนนั้นจึงขึ้นม้าไปพบท่านและพูดว่า “กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘มาอย่างสันติหรือ’” และเยฮูตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ จงเลี้ยวกลับตามเรามา” และทหารยามก็รายงานว่า “ผู้สื่อสารไปถึงเขาแล้ว แต่เขาไม่กลับมา”
2พกษ 9.19 พระองค์จึงรับสั่งใช้พลม้าคนที่สองออกไป ผู้นั้นมาถึงเขาแล้วก็พูดว่า “กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘มาอย่างสันติหรือ’” และเยฮูตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ จงเลี้ยวกลับตามเรามา”
นหม 3.24 ถัดเขาไปคือ บินนุยบุตรชายฮานาดัดได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่บ้านของอาซาริยาห์ถึงมุมหักของกำแพง คือถึงมุมเลี้ยว
สภษ 4.15 จงหลีกเสีย อย่าเดินบนนั้น เลี้ยวออกไปเสีย และจงผ่านไป
ยรม 31.39 และเชือกวัดจะไปไกลกว่านั้นตรงไปถึงเนินเขากาเรบ แล้วจะเลี้ยวไปถึงตำบลโกอาห์

เลือก ( 222 )
ปฐก 13.11 ดังนั้นโลทจึงเลือกบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน โลทเดินทางไปทิศตะวันออกและเขาทั้งสองจึงแยกจากกันไป
ปฐก 41.33 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอฟาโรห์เลือกคนที่มีความคิดดี มีปัญญา ตั้งให้ดูแลประเทศอียิปต์
ปฐก 47.2 โยเซฟเลือกคนจากหมู่พี่น้อง คือผู้ชายห้าคนพาไปเฝ้าฟาโรห์
อพย 17.9 โมเสสสั่งโยชูวาว่า “จงเลือกชายฉกรรจ์ฝ่ายเราออกไปสู้รบกับพวกอามาเลข พรุ่งนี้เราจะยืนถือไม้เท้าของพระเจ้าอยู่บนยอดภูเขา”
อพย 18.21 ยิ่งกว่านั้น ท่านจงเลือกคนที่สามารถจากพวกพลไพร่ คือคนที่ยำเกรงพระเจ้า ไว้ใจได้และเกลียดสินบน แต่งตั้งคนอย่างนี้ไว้เป็นผู้ปกครองคน พันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง
อพย 18.25 โมเสสจึงได้เลือกคนที่สามารถจากคนอิสราเอลทั้งปวงตั้งให้เป็นหัวหน้าพลไพร่ เป็นผู้ปกครองคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง
ลนต 1.10 ถ้าของถวายที่ผู้ใดจะใช้เป็นเครื่องเผาบูชามาจากฝูงแกะหรือฝูงแพะ ให้ผู้นั้นเลือกเอาสัตว์ตัวผู้ที่ไม่มีตำหนิ
กดว 1.16 คนเหล่านี้เป็นคนที่ชุมนุมชนเลือกให้เป็นประมุขแห่งตระกูลของบรรพบุรุษของเขา เป็นหัวหน้าคนอิสราเอลที่นับเป็นพันๆ
กดว 3.9 จงมอบคนเลวีไว้กับอาโรนและกับบุตรชายทั้งหลายของอาโรน เขาทั้งหลายรับเลือกจากคนอิสราเอลมอบไว้กับอาโรนแล้ว
กดว 3.12 “ดูเถิด เราเองได้เลือกคนเลวีจากคนอิสราเอลแทนบรรดาบุตรหัวปีท่ามกลางคนอิสราเอลที่คลอดจากครรภ์มารดาก่อน คนเลวีจะเป็นของเรา
กดว 3.13 เพราะบรรดาบุตรหัวปีเป็นของเรา ในวันที่เราได้ประหารชีวิตบุตรหัวปีทั้งหลายในประเทศอียิปต์นั้น เราได้เลือกบรรดาบุตรหัวปีในอิสราเอล ทั้งมนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานไว้เป็นของเรา ทั้งหลายเหล่านี้ต้องเป็นของเรา เราคือพระเยโฮวาห์”
กดว 8.17 เพราะว่าลูกหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอลเป็นของเรา ทั้งคนและสัตว์ ในวันที่เราได้สังหารบรรดาลูกหัวปีในแผ่นดินอียิปต์ เราได้เลือกเขาไว้เป็นของเรา
กดว 8.18 และเราได้เลือกคนเลวีแทนบุตรหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอล
กดว 16.2 และไปยืนต่อหน้าโมเสส พร้อมกับคนอิสราเอลจำนวนหนึ่ง เป็นเจ้านายของชุมนุมชนมีสองร้อยห้าสิบคนที่เลือกมาจากที่ประชุม เป็นคนมีชื่อ
กดว 16.5 ท่านจึงพูดกับโคราห์และพรรคพวกทั้งหมดของเขาว่า “พรุ่งนี้เช้าพระเยโฮวาห์จะทรงสำแดงให้เห็นว่า ผู้ใดเป็นของพระองค์และใครเป็นคนบริสุทธิ์ และจะทรงให้ผู้นั้นเข้าใกล้พระองค์ ผู้ใดที่พระองค์ทรงเลือก พระองค์จะทรงให้เข้าไปใกล้พระองค์
กดว 16.7 จงเอาไฟใส่และใส่เครื่องหอมต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ในวันพรุ่งนี้ ผู้ใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกก็จะเป็นคนบริสุทธิ์ บุตรชายของเลวีเอ๋ย ท่านทั้งหลายได้กระทำเกินเหตุไป”
กดว 17.5 และต่อมาไม้เท้าของชายผู้ที่เราโปรดเลือกนั้นจะงอก เช่นนี้เราจะกระทำให้เสียงบ่นของคนอิสราเอล ซึ่งเขาบ่นต่อเจ้าสงบลงเสียจากเรา”
กดว 18.6 และดูเถิด เราได้เลือกคนเลวีพี่น้องของเจ้าออกจากคนอิสราเอล เป็นของประทานแก่เจ้าถวายแด่พระเยโฮวาห์ เพื่อให้ปฏิบัติงานของพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 26.9 บุตรชายของเอลีอับคือ เนมูเอล ดาธาน และอาบีรัม นี่คือดาธานและอาบีรัมที่เลือกจากชุมนุมชน เป็นผู้ขัดขวางโมเสสและอาโรนในพรรคพวกโคราห์ เมื่อเขาขัดขวางพระเยโฮวาห์
กดว 35.11 เจ้าจงเลือกเมืองให้เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับเจ้า เพื่อคนที่ได้ฆ่าคนด้วยมิได้เจตนาจะหลบหนีไปอยู่ที่นั่นก็ได้
พบญ 1.13 จงเลือกคนที่มีปัญญา มีความเข้าใจและมีชื่อตามตระกูลของท่านทั้งหลาย และข้าพเจ้าจะตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าของท่านทั้งหลาย’
พบญ 1.15 ข้าพเจ้าจึงได้เลือกหัวหน้าจากทุกตระกูล ซึ่งเป็นคนมีปัญญาและมีชื่อ ตั้งไว้เป็นใหญ่เหนือท่านทั้งหลาย ให้เป็นนายพัน นายร้อย นายห้าสิบ นายสิบ และพนักงานต่างๆตามตระกูลของท่าน
พบญ 1.23 เรื่องนั้นข้าพเจ้าเห็นดีด้วย ข้าพเจ้าจึงได้เลือกสิบสองคนมาจากท่านทั้งหลายตระกูลละคน
พบญ 4.20 แต่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกท่านทั้งหลายและนำท่านออกมาจากเตาเหล็ก คือจากอียิปต์ ให้เป็นประชาชนในกรรมสิทธิ์ของพระองค์ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
พบญ 4.37 และเพราะพระองค์ทรงรักบรรพบุรุษของพวกท่าน จึงทรงเลือกเชื้อสายของเขาที่มาภายหลังเขา และทรงพาท่านออกจากอียิปต์ท่ามกลางสายพระเนตรของพระองค์ ด้วยเดชานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์
พบญ 7.6 เพราะว่าพวกท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกท่านออกจากชนชาติทั้งหลายที่อยู่บนพื้นโลก ให้มาเป็นชนชาติในกรรมสิทธิ์ของพระองค์
พบญ 7.7 ที่พระเยโฮวาห์ทรงรักและทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น มิใช่เพราะท่านทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าประชาชนชาติอื่น ด้วยว่าในบรรดาชนชาติทั้งหลาย ท่านเป็นจำนวนน้อยที่สุด
พบญ 10.15 แต่พระเยโฮวาห์ทรงฝังพระทัยในบรรพบุรุษของท่านและทรงรักเขา และทรงเลือกเชื้อสายของเขาที่มาภายหลังเขาคือ ท่านทั้งหลายจากชนชาติทั้งหลาย อย่างเป็นอยู่ทุกวันนี้
พบญ 12.5 ท่านจงแสวงหาสถานที่จากเขตแดนของบรรดาตระกูลของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงเลือก เพื่อสถาปนาพระนามของพระองค์ไว้ คือให้เป็นที่ประทับของพระองค์ ท่านทั้งหลายจงไปเฝ้าพระองค์ที่นั่น
พบญ 12.11 แล้วจงไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกไว้ ให้พระนามของพระองค์ประทับที่นั่น จงนำบรรดาสิ่งต่างๆไปด้วยซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านทั้งหลาย คือเครื่องเผาบูชา และเครื่องสัตวบูชาของท่าน ทั้งสิบชักหนึ่ง และเครื่องบูชาที่จะยื่นถวาย ทั้งบรรดาเครื่องบูชาปฏิญาณที่ดีที่สุดซึ่งท่านได้ปฏิญาณไว้ต่อพระเยโฮวาห์
พบญ 12.14 แต่จงถวายในสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงเลือกในท่ามกลางตระกูลหนึ่งของท่าน ท่านจงถวายเครื่องเผาบูชาของท่านที่นั่น และที่นั่นท่านจงกระทำทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้
พบญ 12.18 แต่ว่าท่านจงรับประทานของเหล่านี้ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ในสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกไว้ ทั้งตัวท่านและบุตรชายบุตรสาวของท่าน ทาสชายหญิงของท่าน และคนเลวีผู้อยู่ภายในประตูเมืองของท่าน และท่านจงปีติร่าเริงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ในบรรดากิจการซึ่งมือท่านได้กระทำนั้น
พบญ 12.21 ถ้าสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ เพื่อสถาปนาพระนามของพระองค์ที่นั่นนั้นห่างจากท่านเกินไป ท่านจงฆ่าสัตว์จากฝูงวัวฝูงแพะแกะของท่านเถอะ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงประทานแก่ท่าน ดังที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้แล้วนั้น ท่านจงรับประทานในประตูเมืองของท่านตามที่ใจของท่านปรารถนาเถิด
พบญ 12.26 แต่สิ่งบริสุทธิ์ซึ่งเป็นส่วนกำหนดจากท่านและของปฏิญาณของท่านนั้น ท่านจงนำไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงเลือกไว้
พบญ 14.23 ท่านจงรับประทานสิบชักหนึ่งที่ได้จากข้าวหรือน้ำองุ่นของท่าน หรือน้ำมันของท่าน และผลรุ่นแรกจากฝูงวัว และฝูงแพะแกะของท่าน ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านในสถานที่ซึ่งพระองค์จะทรงเลือกไว้ เพื่อให้พระนามของพระองค์สถิตที่นั่น เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายเสมอ
พบญ 14.24 ถ้าระยะทางไกลเกินไป ท่านไม่สามารถนำสิบชักหนึ่งมาได้ ในเมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอวยพรแก่ท่าน เพราะว่าสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกเพื่อเป็นที่ตั้งพระนามของพระองค์นั้น อยู่ห่างไกลจากท่านเกินไป
พบญ 14.25 ท่านจงขายของนั้นเอาเงิน และห่อเงินถือไว้ และไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกไว้
พบญ 16.2 และท่านจงถวายปัสกา เป็นเครื่องบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน จากฝูงแพะแกะหรือฝูงวัว ณ ที่ซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงเลือกไว้ ให้พระนามของพระองค์ประทับที่นั่น
พบญ 16.6 แต่ท่านจงถวายปัสกา ณ สถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกไว้ให้พระนามของพระองค์ประทับที่นั่น ในเวลาเย็นเมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว ในเวลาเดียวกับที่ท่านออกจากอียิปต์
พบญ 16.7 ท่านจงทำให้สุกและรับประทานในสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกไว้ พอรุ่งเช้าท่านจงกลับไปสู่เต็นท์ของท่าน
พบญ 16.11 ท่านจงปีติร่าเริงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งตัวท่านและบุตรชายหญิงของท่าน ทั้งทาสชายหญิงของท่าน ทั้งคนเลวีซึ่งอยู่ภายในประตูเมืองของท่าน ทั้งคนต่างด้าว เด็กกำพร้าพ่อและแม่ม่ายซึ่งอยู่ท่ามกลางท่าน ณ สถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ให้พระนามของพระองค์ประทับที่นั่น
พบญ 16.15 ท่านจงถือเทศกาลนั้นแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเจ็ดวัน ณ สถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงเลือกไว้ เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่พืชผลทั้งหลายของท่าน และแก่ผลงานทั้งสิ้นที่มือท่านกระทำ เพื่อว่าท่านจะมีแต่ความปีติยินดี
พบญ 16.16 บรรดาผู้ชายทั้งสิ้นจะต้องเข้ามาเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านปีละสามครั้ง ณ สถานที่ซึ่งพระองค์จะทรงเลือกไว้ คือ ณ เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง อย่าให้เขาไปเฝ้าพระเยโฮวาห์มือเปล่าๆ
พบญ 17.8 ถ้าคดีใดเกิดขึ้นเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินได้ว่า เป็นคดีฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่ เป็นคดีเกี่ยวด้วยการเกี่ยงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ เป็นคดีทำร้ายร่างกาย เป็นคดีใดๆซึ่งโต้แย้งกันภายในประตูเมืองของท่าน ท่านจงลุกขึ้นพากันไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้
พบญ 17.10 แล้วท่านจงกระทำตามคำแนะนำซึ่งเขาชี้แจงแก่ท่าน จากสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเลือกนั้น และท่านจงระวังกระทำตามทุกสิ่งซึ่งเขาแนะนำท่าน
พบญ 17.15 ก็จงตั้งผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน คือตั้งผู้หนึ่งผู้ใดในพวกพี่น้องของท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน ท่านอย่าตั้งคนต่างด้าวซึ่งมิใช่พี่น้องของท่านให้อยู่เหนือท่าน
พบญ 18.5 เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้เลือกเขาจากตระกูลชนทั้งสิ้นของท่าน ให้ยืนปรนนิบัติในพระนามพระเยโฮวาห์ ทั้งตัวเขาและลูกหลานของเขาสืบต่อกันไปเป็นนิตย์
พบญ 18.6 ถ้าคนเลวีคนใดมาจากประตูเมืองใดในอิสราเอลอันเป็นที่อยู่ของเขา จะมายังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเลือกไว้ก็ให้เขามาได้ตามใจปรารถนา
พบญ 21.5 และปุโรหิตผู้เป็นลูกหลานของเลวีจะต้องเข้ามาใกล้ ด้วยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ทรงเลือกเขาไว้ให้ปรนนิบัติพระองค์ และให้อวยพรในพระนามของพระเยโฮวาห์ ให้การวิวาทและการทำร้ายทุกเรื่องสิ้นสุดลงด้วยคำของปุโรหิตเหล่านี้
พบญ 23.16 จงให้ทาสนั้นอยู่กับท่าน อยู่ในหมู่พวกท่าน ให้อยู่ในที่ซึ่งเขาจะเลือกในประตูเมืองหนึ่งประตูเมืองใดตามความพอใจของเขา อย่ากดขี่ข่มเหงเขาเลย
พบญ 26.2 ท่านจงเอาผลแรกทั้งหมดจากดินซึ่งท่านเกี่ยวเก็บมาจากแผ่นดินของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน จงนำผลนั้นใส่กระจาด นำไปยังที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกไว้ เพื่อให้พระนามของพระองค์ประทับที่นั่น
พบญ 30.19 ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิตเพื่อท่านและเชื้อสายของท่านจะได้มีชีวิตอยู่
พบญ 31.11 เมื่อคนอิสราเอลทั้งหลายมาประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ณ สถานที่ซึ่งพระองค์จะทรงเลือกไว้นั้น ท่านทั้งหลายจงอ่านพระราชบัญญัตินี้ให้คนอิสราเอลทั้งปวงฟัง
พบญ 33.21 เขาเลือกแผ่นดินส่วนดีที่สุดเป็นของตน เพราะส่วนของผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติได้มีเก็บไว้ที่นั่นแล้ว และเขามาถึงหัวหน้าของชนชาตินี้ เขาได้กระทำตามความเที่ยงธรรมของพระเยโฮวาห์และตามคำตัดสินซึ่งมีต่ออิสราเอล”
ยชว 3.12 ฉะนั้นบัดนี้จงเลือกคนสิบสองคนออกจากตระกูลอิสราเอลตระกูลละคน
ยชว 4.2 “จงเลือกชายสิบสองคนจากประชาชนตระกูลละคน
ยชว 4.4 แล้วโยชูวาก็เลือกชายสิบสองคน ซึ่งท่านจัดตั้งจากประชาชนอิสราเอลตระกูลละคน
ยชว 7.14 พอรุ่งเช้าเจ้าทั้งหลายจงเข้ามาทีละตระกูล ตระกูลใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ต้องเข้ามาทีละครอบครัว ครอบครัวใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ให้เข้ามาทีละครัวเรือน ครัวเรือนใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ ก็ให้เข้ามาทีละคน
ยชว 7.16 โยชูวาจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และนำคนอิสราเอลเข้ามาทีละตระกูล และตระกูลยูดาห์ถูกทรงเลือก
ยชว 7.17 จึงนำครอบครัวของยูดาห์เข้ามา และทรงเลือกครอบครัวเศ-ราห์ และนำครอบครัวเศ-ราห์มาทีละคน และศับดีถูกทรงเลือก
ยชว 7.18 และนำครัวเรือนของท่านเข้ามาทีละคน และคนที่ถูกทรงเลือกคืออาคานบุตรชายคารมี ผู้เป็นบุตรชายศับดี ผู้เป็นบุตรชายเศ-ราห์ ตระกูลยูดาห์
ยชว 9.27 ในวันนั้นโยชูวาได้ตั้งเขาให้เป็นคนตัดฟืน และคนตักน้ำสำหรับชุมนุมชน และสำหรับแท่นบูชาของพระเยโฮวาห์สืบมาจนทุกวันนี้ ซึ่งอยู่ในสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือก
ยชว 18.4 จงเลือกคนตระกูลละสามคน แล้วข้าพเจ้าจะใช้คนเหล่านั้นไปท่องเที่ยวขึ้นล่องอยู่ที่แผ่นดินนั้น ให้เขียนแนวเขตที่ดินที่จะมอบเป็นมรดก และกลับมาหาข้าพเจ้า
ยชว 24.15 และถ้าท่านไม่เต็มใจที่จะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ ท่านทั้งหลายจงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติผู้ใด จะปรนนิบัติพระซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้นที่บรรพบุรุษของท่านได้เคยปรนนิบัติ หรือพระของคนอาโมไรต์ในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่ แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์”
ยชว 24.22 แล้วโยชูวากล่าวแก่ประชาชนว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพยานปรักปรำตนเองว่า ท่านได้เลือกพระเยโฮวาห์ เพื่อปรนนิบัติพระองค์นะ” และเขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยาน”
วนฉ 5.8 เมื่อเลือกนับถือพระใหม่ สงครามก็ประชิดเข้ามาถึงประตูเมือง เห็นมีโล่หรือหอกสักอันหนึ่งในพลอิสราเอลสี่หมื่นคนหรือ
วนฉ 10.14 จงไปร้องทุกข์ต่อพระซึ่งเจ้าทั้งหลายได้เลือกเถิด ให้พระเหล่านั้นช่วยเจ้าให้พ้นในยามทุกข์เดือดร้อนนี้”
วนฉ 20.10 เราจะเลือกคนอิสราเอลทุกตระกูลคัดเอาร้อยละสิบคน พันละร้อย หมื่นละพัน ให้ไปหาเสบียงอาหารมาให้ประชาชน เพื่อเขาทั้งหลายจะตอบสนองบรรดาความโง่เขลาซึ่งพวกกิเบอาห์กระทำขึ้นในอิสราเอล เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงเมืองกิเบอาห์ของคนเบนยามิน”
1ซมอ 2.28 และเราได้เลือกเขาออกจากตระกูลอิสราเอลทั้งหมดให้เป็นปุโรหิตของเรา เพื่อจะขึ้นไปถวายที่แท่นบูชาของเรา เพื่อเผาเครื่องหอม เพื่อสวมเอโฟดต่อหน้าเรา และเราได้มอบบรรดาของที่บูชาด้วยไฟซึ่งคนอิสราเอลนำมาถวายนั้นแก่เรือนบรรพบุรุษของเจ้า
1ซมอ 8.18 ในวันนั้นท่านจะร้องทุกข์เพราะกษัตริย์ของท่าน ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้เลือกนั้น แต่พระเยโฮวาห์จะไม่สดับท่านในวันนั้น”
1ซมอ 10.24 ซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “ท่านเห็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกไว้แล้วหรือ ในท่ามกลางประชาชนไม่มีใครเหมือนท่าน” และประชาชนจึงร้องเสียงดังว่า “ขอกษัตริย์ทรงพระเจริญ”
1ซมอ 12.13 ฉะนั้นบัดนี้จงดูกษัตริย์ที่ท่านทั้งหลายได้เลือก ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ร้องขอ ดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงตั้งกษัตริย์ไว้เหนือท่านแล้ว
1ซมอ 16.8 แล้วเจสซีก็เรียกอาบีนาดับให้เดินผ่านหน้าซามูเอล ท่านกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์มิได้ทรงเลือกผู้นี้”
1ซมอ 16.9 แล้วเจสซีให้ชัมมาห์เดินผ่านไป และท่านก็กล่าวว่า “พระเยโฮวาห์มิได้ทรงเลือกผู้นี้”
1ซมอ 16.10 แล้วเจสซีให้บุตรชายทั้งเจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลบอกกับเจสซีว่า “พระเยโฮวาห์มิได้ทรงเลือกคนเหล่านี้”
1ซมอ 17.8 เขาออกมายืนตะโกนไปทางแนวอิสราเอลว่า “เจ้าทั้งหลายออกมาทำศึกทำไมเล่า ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นข้าของซาอูลไม่ใช่หรือ จงเลือกคนแทนพวกเจ้า ให้เขาลงมาหาข้านี่
1ซมอ 17.40 แล้วจึงถือไม้เท้าไว้ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขาในถุงของเขาและมือถือสลิงอยู่ เขาก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น
1ซมอ 20.30 แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน พระองค์ตรัสกับท่านว่า “เจ้า ลูกของหญิงกบฏและวิปลาส ข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเลือกบุตรเจสซีมาให้ความอับอายแก่เจ้าเองและให้ความอับอายแก่ความเปลือยเปล่าแห่งแม่ของเจ้า
2ซมอ 6.21 และดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า “เป็นงานที่ถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ผู้ทรงเลือกเราไว้แทนเสด็จพ่อของเจ้า และแทนราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ท่าน ทรงแต่งตั้งให้เราเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชาชนของพระเยโฮวาห์ และเราจึงจะร่าเริงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
2ซมอ 11.25 ดาวิดก็รับสั่งผู้สื่อสารนั้นว่า “เจ้าจงบอกโยอาบดังนี้ว่า ‘อย่าให้เรื่องนี้ทำให้ท่านลำบากใจ เพราะดาบย่อมสังหารไม่เลือกว่าคนนั้นหรือคนนี้ จงสู้รบหนักเข้าไปและตีเอาเมืองนั้นเสียให้ได้’ เจ้าจงหนุนน้ำใจท่านด้วย”
2ซมอ 14.14 คนเราจะต้องตายหมดด้วยกันทุกคน เป็นเหมือนน้ำที่หกบนแผ่นดิน จะเก็บรวมกลับคืนมาอีกไม่ได้ พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด แต่ทรงดำริหาหนทางไม่ให้ผู้ที่ถูกเนรเทศต้องถูกทรงทอดทิ้ง
2ซมอ 17.1 และอาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า “ขอโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์เลือกทหารหนึ่งหมื่นสองพันคน ข้าพระองค์จะยกออกไปติดตามดาวิดคืนวันนี้
2ซมอ 24.12 “จงไปบอกดาวิดว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เราเสนอเจ้าสามประการ จงเลือกเอาประการหนึ่งเพื่อเราจะได้กระทำให้แก่เจ้า’”
1พกษ 3.8 และผู้รับใช้ของพระองค์ก็อยู่ท่ามกลางประชาชนของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้ เป็นชนชาติใหญ่ ซึ่งจะนับหรือคำนวณประชาชนก็ไม่ได้
1พกษ 8.16 ‘ตั้งแต่วันที่เราได้นำอิสราเอลชนชาติของเราออกจากอียิปต์ เรามิได้เลือกเมืองหนึ่งเมืองใดในตระกูลอิสราเอลทั้งสิ้นเพื่อจะสร้างพระนิเวศ เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่น แต่เราได้เลือกดาวิดให้อยู่เหนืออิสราเอลชนชาติของเรา’
1พกษ 11.13 อย่างไรก็ดี เราจะไม่ฉีกเสียหมดอาณาจักร แต่เราจะให้ตระกูลหนึ่งแก่บุตรชายของเจ้า เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกไว้”
1พกษ 11.32 (แต่เขาจะมีตระกูลหนึ่งเพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มเมืองซึ่งเราเลือกจากท่ามกลางตระกูลทั้งปวงของอิสราเอล)
1พกษ 11.34 ถึงกระนั้นก็ดี เราจะไม่เอาอาณาจักรทั้งหมดออกจากมือของเขา แต่เราจะกระทำให้เขาเป็นผู้ครอบครองอยู่ตลอดวันเวลาแห่งชีวิตของเขา เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราผู้ซึ่งเราได้เลือกไว้ เพราะเขาได้รักษาบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา
1พกษ 11.36 เรายังจะให้ตระกูลหนึ่งแก่บุตรชายของเขา เพื่อดาวิดผู้รับใช้ของเราจะมีประทีปดวงหนึ่งต่อหน้าเราในกรุงเยรูซาเล็มเสมอ เป็นเมืองซึ่งเราได้เลือกเพื่อประดิษฐานนามของเราไว้ที่นั่น
1พกษ 14.21 ฝ่ายเรโหโบอัมราชโอรสของซาโลมอนทรงครอบครองอยู่ในยูดาห์ เมื่อเรโหโบอัมขึ้นครองนั้น มีพระชนมายุสี่สิบเอ็ดพรรษา และทรงครองในเยรูซาเล็มสิบเจ็ดปี เป็นนครซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงเลือกจากบรรดาตระกูลอิสราเอล เพื่อจะสถาปนาพระนามของพระองค์ที่นั่น พระชนนีของกษัตริย์มีพระนามว่านาอามาห์คนอัมโมน
1พกษ 18.23 ขอให้เขามอบวัวผู้แก่เราสองตัว แล้วขอให้เขาทั้งหลายเลือกวัวเป็นของเขาตัวหนึ่งฟันเป็นท่อนๆ วางไว้บนกองฟืนแต่อย่าใส่ไฟ และข้าพเจ้าจะเตรียมวัวผู้อีกตัวหนึ่งนั้นวางไว้บนฟืน และไม่ใส่ไฟ
1พกษ 18.25 แล้วเอลียาห์พูดกับผู้พยากรณ์ของพระบาอัลว่า “จงเลือกวัวผู้ตัวหนึ่งสำหรับท่านและตระเตรียมเสียก่อน เพราะพวกท่านมากคนด้วยกัน จงร้องออกพระนามพระของท่าน แต่อย่าใส่ไฟ”
2พกษ 21.7 ส่วนรูปเคารพสลักจากเสารูปเคารพที่พระองค์ทรงสร้างนั้น พระองค์ทรงตั้งไว้ในพระนิเวศ คือพระนิเวศที่พระเยโฮวาห์ตรัสกับดาวิดและซาโลมอนโอรสของพระองค์ว่า “ในนิเวศนี้และในเยรูซาเล็ม ซึ่งเราได้เลือกออกจากตระกูลทั้งสิ้นของอิสราเอล เราจะบรรจุนามของเราไว้เป็นนิตย์
2พกษ 23.27 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราจะให้ยูดาห์ออกเสียจากสายตาของเราด้วย ดังที่เราได้กระทำให้อิสราเอลออกเสีย และเราจะเหวี่ยงเมืองนี้ซึ่งเราได้เลือกออกไปเสีย คือเยรูซาเล็ม กับนิเวศซึ่งเราได้บอกว่า ‘นามของเราจะอยู่ที่นั่น’”
1พศด 9.22 ผู้ถูกเลือกเป็นผู้เฝ้าประตูที่ธรณีนั้นมีสองร้อยสิบสองคน เขาขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวเชื้อสายไว้ในชนบทของเขา ดาวิดและซามูเอลผู้ทำนายได้สถาปนาเขาไว้ในตำแหน่งหน้าที่
1พศด 15.2 แล้วดาวิดตรัสว่า “นอกจากคนเลวีแล้วไม่ควรที่คนอื่นจะหามหีบของพระเจ้า เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงเลือกเขาให้หามหีบของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์เป็นนิตย์”
1พศด 16.41 เฮมานและเยดูธูนอยู่กับเขาทั้งหลายและบรรดาคนอื่นที่ถูกเลือก และบ่งชื่อไว้ให้ถวายโมทนาแด่พระเยโฮวาห์ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
1พศด 21.10 “จงไปบอกดาวิดว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เราเสนอเจ้าสามประการ จงเลือกเอาประการหนึ่ง เพื่อเราจะได้กระทำให้แก่เจ้า’”
1พศด 21.11 กาดจึงเข้าเฝ้าดาวิดและกราบทูลพระองค์ว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า จงเลือกเอาตามที่เจ้าพอใจ
1พศด 28.4 ถึงกระนั้นก็ดีพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเลือกข้าพเจ้าจากเรือนบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหมด ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลเป็นนิตย์ เพราะพระองค์ทรงเลือกยูดาห์ให้เป็นประมุข และในวงศ์วานของยูดาห์ เรือนบรรพบุรุษของข้าพเจ้า และในบรรดาบุตรชายของบิดาข้าพเจ้า พระองค์ทรงพอพระทัยในข้าพเจ้า และทรงให้ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งปวง
1พศด 28.5 และบุตรชายทั้งสิ้นของข้าพเจ้า (เพราะพระเยโฮวาห์ทรงประทานบุตรชายเป็นอันมากแก่ข้าพเจ้า) พระองค์ทรงเลือกซาโลมอนบุตรชายของข้าพเจ้าให้นั่งบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของพระเยโฮวาห์เหนืออิสราเอล
1พศด 28.6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ซาโลมอนบุตรชายของเจ้าจะสร้างนิเวศของเราและลานนิเวศของเรา เพราะเราได้เลือกเขาให้เป็นลูกของเรา และเราจะเป็นพ่อของเขา
1พศด 28.10 บัดนี้จงฟังให้ดี เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงเลือกเจ้าให้สร้างพระนิเวศเพื่อเป็นสถานบริสุทธิ์ จงเข้มแข็งและทำให้สำเร็จเถิด”
1พศด 29.1 และกษัตริย์ดาวิดตรัสกับชุมนุมชนทั้งสิ้นว่า “ซาโลมอนบุตรชายของเรา ซึ่งเป็นผู้เดียวที่พระเจ้าทรงเลือกไว้นั้น ยังเป็นคนหนุ่มและไม่มีความชำนาญ การงานก็ใหญ่โต เพราะว่ามหานิเวศนั้นมิใช่สำหรับคน แต่สำหรับพระเยโฮวาห์พระเจ้า
2พศด 6.5 ‘ตั้งแต่วันที่เราได้นำประชาชนของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ เรามิได้เลือกเมืองหนึ่งเมืองใดในตระกูลอิสราเอลทั้งสิ้น เพื่อจะสร้างพระนิเวศ เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่น และเรามิได้เลือกชายคนใดให้เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา
2พศด 6.6 แต่เราได้เลือกเยรูซาเล็มแล้วเพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่น และเราได้เลือกดาวิดแล้วให้อยู่เหนืออิสราเอลประชาชนของเรา’
2พศด 7.12 แล้วพระเยโฮวาห์ทรงปรากฏแก่ซาโลมอนเวลากลางคืนและตรัสกับท่านว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า และได้เลือกสถานที่นี้สำหรับเราให้เป็นนิเวศแห่งเครื่องสัตวบูชา
2พศด 29.11 บุตรชายทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย อย่าเพิกเฉยเพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงเลือกท่านให้ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ เพื่อปรนนิบัติพระองค์ และเป็นผู้ปรนนิบัติของพระองค์ และเผาเครื่องหอม”
2พศด 33.7 และรูปเคารพสลัก ซึ่งคือรูปเคารพที่พระองค์ทรงสร้างนั้น พระองค์ทรงตั้งไว้ในพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าตรัสกับดาวิดและซาโลมอนโอรสของดาวิดว่า “ในนิเวศนี้และในเยรูซาเล็ม ซึ่งเราได้เลือกออกจากตระกูลทั้งสิ้นของอิสราเอล เราจะบรรจุนามของเราไว้เป็นนิตย์
อสร 10.16 แล้วลูกหลานของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยก็ได้กระทำตาม เอสราปุโรหิต และประมุขของบรรพบุรุษบางคน ตามเรือนบรรพบุรุษของเขา แต่ละคนที่ระบุชื่อไว้ได้ถูกเลือก ในวันที่หนึ่งของเดือนที่สิบเขานั่งประชุมกันพิจารณาเรื่องนี้
นหม 1.9 แต่ถ้าเจ้ากลับมาหาเรา และรักษาบัญญัติของเราและประพฤติตาม ถึงแม้ว่าพวกเจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ใต้ฟ้าที่ไกลที่สุด เราจะรวบรวมเจ้ามาจากที่นั่น และนำเจ้ามายังสถานที่ซึ่งเราได้เลือกไว้ เพื่อกระทำให้นามของเราดำรงอยู่ที่นั่น’
นหม 9.7 พระองค์คือพระเยโฮวาห์พระเจ้าผู้ทรงเลือกอับราม และทรงนำท่านออกมาจากเมืองเออร์แห่งประเทศเคลเดีย และทรงประทานนามท่านว่าอับราฮัม
โยบ 7.15 จิตใจข้าพระองค์จึงเลือกที่จะถูกรัดคอตาย และเลือกความตายแทนชีวิตของข้าพระองค์
โยบ 9.14 แล้วข้าจะตอบพระองค์ได้อย่างไร จะเลือกถ้อยคำอะไรมาโต้ตอบพระองค์
โยบ 15.5 เพราะปากของท่านกล่าวความชั่วช้าของท่าน และท่านเลือกเอาลิ้นของคนฉลาดแกมโกง
โยบ 29.25 ข้าเลือกทางให้เขา และนั่งเป็นหัวหน้า และอยู่อย่างกษัตริย์ท่ามกลางกองทหาร อย่างผู้ที่ปลอบโยนคนที่คร่ำครวญ”
โยบ 34.4 ขอให้เราเลือกสิ่งที่ถูก ขอให้เราเรียนรู้ในพวกเราเองว่าอะไรดี
โยบ 34.33 การตอบสนองของพระองค์จะต้องเป็นอย่างที่ท่านต้องการหรือ ท่านจึงไม่รับ ท่านเองต้องเลือก และไม่ใช่ข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ก็พูดไปเถิด
โยบ 36.21 ระวังให้ดี อย่าหันไปหาความชั่วช้า เพราะท่านเลือกสิ่งนี้มากกว่าเลือกความทุกข์ใจ
สดด 25.12 ผู้ใดเล่าที่เป็นคนยำเกรงพระเยโฮวาห์ พระองค์จะทรงสั่งสอนผู้นั้นในทางที่เขาควรเลือกได้
สดด 47.4 พระองค์จะทรงเลือกมรดกของเราให้เรา เป็นสิ่งภูมิใจของยาโคบที่พระองค์ทรงรัก เซลาห์
สดด 65.4 สุขจริงหนอ ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกและนำมาใกล้ให้พำนักอยู่ในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะอิ่มเอิบด้วยความดีแห่งพระนิเวศของพระองค์ คือพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์
สดด 78.67 พระองค์ทรงปฏิเสธพลับพลาของโยเซฟ พระองค์มิได้ทรงเลือกตระกูลเอฟราอิม
สดด 78.68 แต่พระองค์ทรงเลือกตระกูลยูดาห์ ภูเขาศิโยนซึ่งพระองค์ทรงรัก
สดด 78.70 พระองค์ทรงเลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ทรงพาท่านมาจากคอกแกะ
สดด 89.3 “เราได้กระทำพันธสัญญากับผู้ที่ถูกเลือกของเรา เราได้ปฏิญาณกับดาวิดผู้รับใช้ของเรา
สดด 89.19 ในกาลก่อน พระองค์ตรัสด้วยนิมิตแก่ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์และตรัสว่า “เราได้ช่วยเหลือชายฉกรรจ์คนหนึ่ง เราได้เชิดชูคนที่ถูกเลือกคนหนึ่งเหนือประชาชน
สดด 105.26 พระองค์ทรงใช้โมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ และอาโรนผู้ที่พระองค์ทรงเลือกไว้
สดด 119.30 ข้าพระองค์ได้เลือกทางแห่งความจริง ข้าพระองค์ตั้งคำตัดสินของพระองค์ไว้ตรงหน้าข้าพระองค์
สดด 119.173 ขอพระหัตถ์ของพระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ได้เลือกข้อบังคับของพระองค์
สดด 132.13 เพราะพระเยโฮวาห์ทรงเลือกศิโยน พระองค์มีพระประสงค์จะให้เป็นที่ประทับของพระองค์
สดด 135.4 เพราะพระเยโฮวาห์ทรงเลือกยาโคบไว้สำหรับพระองค์เอง เลือกอิสราเอลไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
สภษ 1.29 เพราะว่าเขาเกลียดความรู้ และไม่เลือกเอาความยำเกรงพระเยโฮวาห์
สภษ 3.31 อย่าอิจฉาคนที่ทารุณ อย่าเลือกทางใดๆของเขาเลย
สภษ 16.16 ได้ปัญญาก็ดีกว่าได้ทองคำสักเท่าใด ที่จะได้ความเข้าใจก็ดีกว่าเลือกเอาเงิน
สภษ 22.1 ชื่อเสียงดีเป็นสิ่งควรเลือกยิ่งกว่าความมั่งคั่งมากมาย และซึ่งเป็นที่โปรดปรานก็ยิ่งกว่ามีเงินหรือทอง
อสย 1.29 เพราะเจ้าจะละอายเรื่องต้นโอ๊กที่เจ้าปรารถนานั้น และเจ้าจะอับอายเรื่องสวนซึ่งเจ้าเลือก
อสย 7.15 ท่านจะรับประทานนมข้นและน้ำผึ้ง เพื่อท่านจะรู้ที่จะปฏิเสธความชั่วและเลือกความดี
อสย 7.16 เพราะก่อนที่เด็กนั้นจะรู้ที่จะปฏิเสธความชั่วและเลือกความดีนั้น แผ่นดินซึ่งท่านเกลียดชังนั้น มันจะขาดกษัตริย์ทั้งสององค์
อสย 14.1 เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงมีพระเมตตาต่อยาโคบ และจะทรงเลือกอิสราเอลอีก และจะทรงตั้งเขาทั้งหลายไว้ในแผ่นดินของเขาเอง คนต่างด้าวจะสมทบกับเขา และติดพันอยู่กับวงศ์วานของยาโคบ
อสย 40.20 เขาผู้ที่ยากจนจนเขาไม่มีเครื่องบูชาเลยก็เลือกต้นไม้ที่จะไม่ผุ เขาเสาะหาช่างที่มีฝีมือมาตกแต่งให้เป็นรูปเคารพสลักที่ไม่หวั่นไหว
อสย 41.8 แต่เจ้า อิสราเอล เป็นผู้รับใช้ของเรา ยาโคบผู้ซึ่งเราได้เลือกไว้ เชื้อสายของอับราฮัมสหายของเรา
อสย 41.9 เจ้าผู้ซึ่งเรายึดไว้จากที่สุดปลายแผ่นดินโลก และเรียกเจ้ามาจากพวกผู้ใหญ่ของโลก กล่าวแก่เจ้าว่า “เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา เราได้เลือกเจ้าและไม่เหวี่ยงเจ้าออกไป”
อสย 41.24 ดูเถิด เจ้าไม่มีค่าอะไรเลยและการงานของเจ้าก็สูญเปล่า ผู้ที่เลือกเจ้าก็เป็นที่น่าสะอิดสะเอียน
อสย 43.10 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นพยานของเรา และเป็นผู้รับใช้ของเราซึ่งเราได้เลือกไว้แล้ว เพื่อเจ้าจะรู้จักและเชื่อถือเรา และเข้าใจว่าเราเป็นผู้นั้นแหละ ก่อนหน้าเรา ไม่มีพระเจ้าใดถูกปั้นขึ้น และภายหลังเราก็จะไม่มี
อสย 44.14 เขาตัดต้นสนสีดาร์ลง เขาเลือกต้นสนจีนและต้นโอ๊ก และปล่อยให้มันงอกขึ้นอย่างแข็งแรงท่ามกลางต้นไม้ในป่า เขาปลูกต้นแอชและฝนก็เลี้ยงมัน
อสย 56.4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เรื่องขันทีทั้งหลายผู้รักษาวันสะบาโตของเรา ผู้เลือกบรรดาสิ่งที่พอใจเรา และยึดพันธสัญญาของเราไว้มั่น
อสย 58.5 อย่างนี้หรือเป็นการอดอาหารที่เราเลือก คือวันที่คนข่มตัว การก้มศีรษะของเขาลงเหมือนอ้อเล็ก และปูผ้ากระสอบและขี้เถ้ารองใต้เขา อย่างนี้หรือเจ้าจะเรียกการอย่างนี้ว่าการอดอาหาร และเป็นวันที่พระเยโฮวาห์โปรดปรานอย่างนั้นหรือ
อสย 65.12 เพราะฉะนั้นเราจะนับรวมเจ้าทั้งหลายไว้กับดาบ และเจ้าทุกคนจะต้องหมอบลงต่อการสังหาร เพราะเมื่อเราเรียก เจ้าไม่ตอบ เมื่อเราพูด เจ้าไม่ฟัง แต่ได้กระทำชั่วในสายตาของเรา และเลือกสิ่งที่เราไม่ปีติยินดีด้วย”
อสย 66.3 เขาผู้ฆ่าวัวราวกับเขาฆ่าคน เขาผู้ถวายลูกแกะเป็นเครื่องบูชาราวกับเขาตัดคอสุนัข เขาผู้ถวายเครื่องบูชาราวกับเขาถวายเลือดหมู เขาผู้เผาเครื่องหอมราวกับเขาสาธุการรูปเคารพ คนเหล่านี้ต่างก็เลือกทางของเขาเอง และจิตใจของเขาปีติยินดีอยู่ในสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของเขา
อสย 66.4 เราก็จะเลือกการหลอกหลอนมาให้เขาด้วย และนำสิ่งที่เขากลัวมาถึงเขา เพราะเมื่อเราได้เรียก ไม่มีผู้ใดตอบ เมื่อเราพูด เขาไม่ฟัง แต่เขาได้กระทำชั่วต่อหน้าต่อตาของเรา และเลือกสิ่งที่เราไม่ปีติยินดีด้วย”
ยรม 8.3 บรรดาคนที่เหลืออยู่จากครอบครัวร้ายนี้ ซึ่งตกค้างอยู่ในสถานที่ทั้งสิ้นซึ่งเราได้ขับไล่เขาไป จะเลือกความตายยิ่งกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้
ยรม 33.24 “เจ้าไม่ได้พิจารณาดอกหรือว่า ประชาชนเหล่านี้พูดกันอย่างไร คือพูดกันว่า ‘พระเยโฮวาห์ทรงทอดทิ้งสองครอบครัวที่พระองค์ทรงเลือกไว้เสียแล้ว’ ดังนี้แหละ เขาทั้งหลายได้ดูหมิ่นประชาชนของเรา ฉะนี้เขาจึงไม่เป็นประชาชาติต่อหน้าเขาทั้งหลายอีกต่อไป
ยรม 33.26 เราจึงจะทอดทิ้งเชื้อสายของยาโคบและดาวิดผู้รับใช้ของเรา และจะไม่เลือกผู้หนึ่งจากเชื้อสายของเขาให้ครอบครองเหนือเชื้อสายของอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ เพราะเราจะให้การเป็นเชลยของเขากลับสู่สภาพเดิม และจะมีความกรุณาเหนือเขา”
อสค 24.4 ใส่ชิ้นเนื้อเข้าไป เอาชิ้นเนื้อดีๆ คือเนื้อโคนขาและเนื้อสันขาหน้า เลือกกระดูกดีมาใส่ให้เต็ม
อสค 24.5 จงเลือกแกะที่ดีที่สุดมาตัวหนึ่ง ใช้กระดูกเหล่านั้นเป็นฟืนไว้ใต้นั้น จงต้มให้ดี เพื่อเคี่ยวกระดูกที่อยู่ในนั้นด้วย
มธ 13.48 ซึ่งเมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่งนั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ในภาชนะ แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย
มธ 20.16 อย่างนั้นแหละคนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น และคนที่เป็นคนต้นจะกลับเป็นคนสุดท้าย ด้วยว่าผู้ที่ได้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ทรงเลือกก็น้อย”
มธ 22.14 ด้วยผู้ที่ได้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ทรงเลือกก็น้อย”
มก 13.20 ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีเนื้อหนังใดๆรอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้ถูกเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ พระองค์จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
ลก 6.13 ครั้นรุ่งเช้าแล้วพระองค์ทรงเรียกสาวกของพระองค์ แล้วทรงเลือกสิบสองคนออกจากหมู่สาวกนั้น ที่พระองค์ทรงเรียกว่า อัครสาวก
ลก 10.42 สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้”
ลก 14.7 ฝ่ายพระองค์เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนทั้งหลายที่รับเชิญนั้นได้เลือกเอาที่อันมีเกียรติ พระองค์จึงตรัสคำอุปมาแก่เขาว่า
ลก 18.7 พระเจ้าจะไม่ทรงแก้แค้นให้คนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ ผู้ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ พระองค์จะอดพระทัยไว้ช้านานหรือ
ลก 20.21 คนเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่า ท่านกล่าวและสั่งสอนล้วนแต่ความจริงและมิได้เลือกหน้าผู้ใด แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆ
ลก 23.35 คนทั้งปวงก็ยืนมองดู พวกขุนนางก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วยว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้ ให้เขาช่วยตัวเองเถิด”
ยน 6.70 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย”
ยน 13.18 เรามิได้พูดถึงพวกท่านสิ้นทุกคน เรารู้จักผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว แต่เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จที่ว่า ‘ผู้ที่รับประทานอาหารกับเราได้ยกส้นเท้าต่อเรา’
ยน 15.16 ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านจะไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านอยู่ถาวร เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน
ยน 15.19 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก แต่เราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน
กจ 1.2 จนถึงวันที่พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไป ในเมื่อได้ตรัสสั่งโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่อัครสาวก ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้แล้วนั้น
กจ 1.24 แล้วพวกสาวกจึงอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้ทรงทราบใจของมนุษย์ทั้งปวง ขอทรงสำแดงว่าในสองคนนี้พระองค์ทรงเลือกคนไหน
กจ 6.3 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเลือกเจ็ดคนในพวกท่านที่มีชื่อเสียงดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งเขาไว้ดูแลการงานนี้
กจ 6.5 คนทั้งหลายเห็นชอบกับคำนี้ จึงเลือกสเทเฟน ผู้ประกอบด้วยความเชื่อและพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปารเมนัส และนิโคเลาส์ชาวเมืองอันทิโอก ซึ่งเป็นผู้เข้าจารีตฝ่ายศาสนายิว
กจ 10.34 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด
กจ 10.41 มิใช่ทรงให้ปรากฏแก่คนทั่วไป แต่ทรงปรากฏแก่เหล่าพวกพยานซึ่งพระเจ้าได้ทรงเลือกไว้แต่ก่อน คือทรงปรากฏแก่พวกเราที่ได้รับประทานและดื่มกับพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคืนพระชนม์แล้ว
กจ 13.17 พระเจ้าของชนชาติอิสราเอลนี้ได้ทรงเลือกบรรพบุรุษของเราไว้ และได้ให้เขาเจริญขึ้นครั้งเมื่อยังเป็นคนต่างด้าวในประเทศอียิปต์ และได้ทรงนำเขาออกจากประเทศนั้นด้วยพระกรอันทรงฤทธิ์
กจ 15.7 เมื่อโต้แย้งกันมากแล้ว เปโตรจึงยืนขึ้นกล่าวแก่เขาว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่า คราวก่อนนั้นพระเจ้าได้ทรงเลือกข้าพเจ้าเองจากพวกท่านทั้งหลาย ให้เป็นผู้ประกาศพระวจนะแห่งข่าวประเสริฐให้คนต่างชาติฟังและเชื่อ
กจ 15.14 ซีโมนได้บอกแล้วว่า พระเจ้าได้ทรงเยี่ยมเยียนคนต่างชาติครั้งแรก เพื่อจะทรงเลือกชนกลุ่มหนึ่งออกจากเขาทั้งหลายเพื่อพระนามของพระองค์
กจ 15.22 ขณะนั้น อัครสาวกและผู้ปกครองทั้งหลายกับทุกคนในคริสตจักร เห็นชอบที่จะเลือกบางคนในพวกเขาให้ไปยังเมืองอันทิโอก ด้วยกันกับเปาโลและบารนาบัส คือ ยูดาส ผู้ที่มีชื่ออีกว่า บารซับบาส และสิลาส ทั้งสองคนนี้เป็นคนสำคัญในพวกพี่น้อง
กจ 15.25 พวกข้าพเจ้าจึงพร้อมใจกันเห็นชอบที่จะเลือกคน และใช้เขามายังท่านทั้งหลายพร้อมกับบารนาบัสและเปาโล ผู้เป็นที่รักของเรา
กจ 15.40 แต่เปาโลได้เลือกสิลาส และเมื่อพวกพี่น้องได้ฝากท่านทั้งสองไว้ในพระคุณของพระเจ้าแล้วท่านก็ไป
กจ 17.31 เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยให้ท่านองค์นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้เป็นผู้พิพากษา และพระองค์ได้ให้พยานหลักฐานแก่คนทั้งปวงแล้วว่า ได้ทรงโปรดให้ท่านองค์นั้นคืนพระชนม์”
กจ 22.14 ท่านจึงกล่าวว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงเลือกท่านไว้ ประสงค์จะให้ท่านรู้จักน้ำพระทัยของพระองค์ ให้ท่านเห็นพระองค์ผู้ชอบธรรมและให้ได้ยินพระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์
รม 8.33 ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทำให้เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว
รม 11.5 เช่นนั้นแหละบัดนี้ก็ยังมีพวกที่เหลืออยู่ตามที่ได้ทรงเลือกไว้โดยพระคุณ
รม 11.7 ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร พวกอิสราเอลไม่พบสิ่งที่เขาแสวงหา แต่คนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้นั้นเป็นผู้ได้พบ และคนนอกนั้นก็มีใจแข็งกระด้างไป
รม 11.28 ในเรื่องข่าวประเสริฐนั้น เขาเหล่านั้นก็เป็นศัตรูเพื่อประโยชน์ของพวกท่าน แต่ถ้าว่าตามที่ได้ทรงเลือกไว้ เขาทั้งหลายก็เป็นที่รักเนื่องจากบรรพบุรุษของเขา
รม 16.13 ขอฝากความคิดถึงมายังรูฟัสผู้ที่ทรงเลือกไว้ในฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า และมารดาของเขาและมารดาข้าพเจ้าด้วย
1คร 1.27 แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย
1คร 1.28 พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อย และสิ่งที่ถูกดูหมิ่น ทั้งทรงเลือกสิ่งเหล่านั้นซึ่งยังมิได้เกิดเป็นตัวจริงด้วย เพื่อจะได้ทำลายสิ่งซึ่งเป็นตัวจริงอยู่แล้ว
อฟ 1.4 ในพระเยซูคริสต์นั้นพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิต่อพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความรัก
อฟ 6.9 ฝ่ายนายจงกระทำต่อทาสในทำนองเดียวกัน คืออย่าขู่เข็ญเขา เพราะท่านก็รู้แล้วว่านายของท่านทรงประทับอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใดเลย
ฟป 1.22 แต่ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ในร่างกาย ข้าพเจ้าก็จะทำงานให้เกิดผล แต่ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าจะเลือกฝ่ายไหนดี
คส 3.12 เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน
2ธส 2.13 พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจำต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่เริ่มแรกให้ถึงที่รอด โดยพระวิญญาณทรงชำระตั้งท่านไว้ให้บริสุทธิ์ และโดยท่านได้เชื่อความจริง
2ทธ 2.4 ไม่มีทหารคนใด เมื่อเข้าประจำการแล้ว จะไปห่วงใยกับการทำมาหากินของเขาในชีวิตนี้ เพื่อผู้ที่ได้เลือกเขาให้เป็นทหารนั้นจะได้ชอบใจ
ฮบ 5.1 ฝ่ายมหาปุโรหิตทุกคนที่เลือกมาจากมนุษย์ได้แต่งตั้งไว้ให้สำหรับมนุษย์ในบรรดาการซึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อท่านจะได้นำเครื่องบรรณาการและเครื่องบูชามาถวายเพราะความบาป
ฮบ 11.25 ท่านเลือกการร่วมทุกข์กับชนชาติของพระเจ้า แทนการเริงสำราญในความบาปสักเวลาหนึ่ง
ยก 2.5 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงฟังเถิด พระเจ้าทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ และให้เป็นทายาทแห่งอาณาจักร ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แก่ผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ
ยก 2.9 แต่ถ้าท่านทั้งหลายเลือกหน้าคน ท่านก็กระทำบาป และตามพระราชบัญญัติ ท่านก็เป็นผู้ละเมิดแล้ว
1ปต 1.2 ซึ่งทรงเลือกไว้แล้วตามที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงล่วงรู้ไว้ก่อน โดยพระวิญญาณได้ทรงชำระ ให้บังเกิดความนบนอบเชื่อฟัง และให้รับการประพรมด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ขอให้พระคุณและสันติสุขบังเกิดทวีคูณแก่ท่านทั้งหลายเถิด
1ปต 2.4 จงมาหาพระองค์ เหมือนมาถึงศิลาอันมีชีวิตอยู่ ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าพระเจ้าทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ
1ปต 2.6 เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ด้วยว่า ‘ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่งลงในศิโยน เป็นศิลามุมเอกที่ทรงเลือกแล้ว และเป็นศิลาที่มีค่าอันประเสริฐ และผู้ใดที่เชื่อในพระองค์นั้นก็จะไม่ได้รับความอับอาย’
1ปต 2.9 แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระองค์โดยเฉพาะ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้สำแดงพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
1ปต 5.13 คริสตจักรที่เมืองบาบิโลน ซึ่งทรงเลือกไว้เช่นเดียวกันกับท่านทั้งหลาย ฝากความคิดถึงมายังท่าน และมาระโกบุตรชายของข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย
2ปต 1.10 เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงยิ่งอุตส่าห์กระทำตนให้เป็นไปตามที่พระเจ้าทรงเรียก และทรงเลือกท่านไว้แล้วนั้น เพราะว่าถ้าท่านประพฤติเช่นนั้น ท่านจะไม่สะดุดล้มเลย
วว 17.14 กษัตริย์เหล่านี้จะกระทำสงครามกับพระเมษโปดก และพระเมษโปดกจะทรงชนะพวกเขา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และทรงเป็นพระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และผู้ที่อยู่กับพระองค์นั้นเป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียก และทรงเลือกไว้ และเป็นผู้ที่สัตย์ซื่อ”

เลือกตั้ง ( 5 )
พบญ 16.18 ท่านทั้งหลายจงเลือกตั้งผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ตามบรรดาประตูเมืองของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ตามตระกูลคนของท่าน ให้เขาพิพากษาประชาชนตามความยุติธรรม
พบญ 20.9 เมื่อนายทหารพูดกับประชาชนจบลงแล้ว ก็ให้เลือกตั้งผู้บังคับบัญชากองต่างๆให้เป็นหัวหน้าประชาชน
2ซมอ 16.18 หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า “มิใช่พ่ะย่ะค่ะ พระเยโฮวาห์กับประชาชนเหล่านี้กับคนอิสราเอลทั้งสิ้นเลือกตั้งผู้ใดไว้ ข้าพระองค์ขอเป็นฝ่ายผู้นั้น ข้าพระองค์จะขออยู่กับผู้นั้น
อสร 3.8 ในปีที่สองซึ่งเขามาถึงพระนิเวศแห่งพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม ในเดือนที่สอง เศรุบบาเบลบุตรชายเชอัลทิเอล และเยชูอาบุตรชายโยซาดัก ได้ทำการตั้งต้นพร้อมพี่น้องของเขาที่เหลืออยู่ คือบรรดาปุโรหิตและคนเลวีและคนทั้งปวงซึ่งมาจากการเป็นเชลยยังเยรูซาเล็ม เขาได้เลือกตั้งคนเลวี ตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป เพื่อให้ดูแลการงานของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์
กจ 14.23 เมื่อท่านทั้งสองได้เลือกตั้งผู้ปกครองสาวกไว้ทุกคริสตจักร และได้อธิษฐานและถืออดอาหารฝากสาวกไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เขาเชื่อถือนั้น

เลือกสรร ( 32 )
1พกษ 8.44 ถ้าประชาชนของพระองค์ออกไปทำสงครามต่อสู้ศัตรูของเขาทั้งหลาย จะเป็นโดยทางใดๆที่พระองค์ทรงใช้เขาออกไปก็ตาม และเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์ตรงต่อเมืองซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และตรงต่อพระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างสำหรับพระนามของพระองค์
1พกษ 8.48 ถ้าเขาทั้งหลายกลับมาหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของเขาในแผ่นดินแห่งศัตรูทั้งหลายของเขา ผู้ซึ่งจับเขาไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์ตรงต่อแผ่นดินของเขา ซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย คือเมืองซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้ และพระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์
2พศด 6.34 ถ้าประชาชนของพระองค์ออกไปกระทำสงครามต่อสู้ศัตรูของเขาทั้งหลาย จะเป็นโดยทางใดๆที่พระองค์ทรงใช้เขาออกไปก็ตาม และเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อพระองค์ตรงต่อเมืองนี้ซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และตรงต่อพระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างเพื่อพระนามของพระองค์
2พศด 6.38 ถ้าเขาทั้งหลายกลับมาหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของเขาในแผ่นดินที่เขาไปเป็นเชลย ที่ซึ่งศัตรูกวาดเขาไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์ตรงต่อแผ่นดินของเขา ซึ่งพระองค์พระราชทานแก่บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย และต่อเมืองซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้ และต่อพระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์
2พศด 7.16 เพราะบัดนี้เราได้เลือกสรรและกระทำให้นิเวศนี้เป็นที่บริสุทธิ์เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่นเป็นนิตย์ ตาของเราและใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา
2พศด 12.13 กษัตริย์เรโหโบอัมจึงสถาปนาพระองค์ขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มและทรงครอบครอง เมื่อเรโหโบอัมทรงเริ่มครอบครองนั้นมีพระชนมายุสี่สิบเอ็ดพรรษา และพระองค์ทรงครอบครองสิบเจ็ดปีในกรุงเยรูซาเล็ม อันเป็นเมืองซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเลือกสรรไว้จากตระกูลต่างๆทั้งสิ้นของอิสราเอล เพื่อจะตั้งพระนามของพระองค์ไว้ที่นั่น พระมารดาของพระองค์ทรงพระนามว่านาอามาห์คนอัมโมน
สดด 33.12 ประชาชาติที่พระเจ้าของเขาคือพระเยโฮวาห์ก็เป็นสุข คือชนชาติซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้เป็นมรดกของพระองค์
สดด 105.43 พระองค์จึงทรงนำประชาชนของพระองค์ออกมาด้วยความชื่นบาน ทรงนำผู้ที่เลือกสรรไว้นั้นด้วยความเบิกบานใจ
อสย 44.1 “โอ ยาโคบผู้รับใช้ของเรา อิสราเอลผู้ซึ่งเราเลือกสรรไว้ จงฟังซิ”
อสย 44.2 พระเยโฮวาห์ผู้ทรงสร้างเจ้า ผู้ทรงปั้นเจ้าตั้งแต่ในครรภ์และจะช่วยเจ้า ตรัสดังนี้ว่า “โอ ยาโคบผู้รับใช้ของเรา เยชูรูน ผู้ซึ่งเราเลือกสรรไว้ อย่ากลัวเลย
อสย 48.10 ดูเถิด เราได้ถลุงเจ้าแล้ว แต่ไม่ใช่ด้วยเงิน เราได้เลือกสรรเจ้าในเตาของความทุกข์ใจ
อสย 49.7 พระเยโฮวาห์ ผู้ไถ่ของอิสราเอลและองค์บริสุทธิ์ ตรัสแก่ผู้ที่คนดูหมิ่นและแก่ผู้ที่ประชาชาติรังเกียจ ผู้เป็นผู้รับใช้ของผู้ครอบครองทั้งหลาย ดังนี้ว่า “กษัตริย์ทั้งหลายจะทอดพระเนตรและทรงลุกยืน บรรดาเจ้านายจะกราบลง เพราะเหตุพระเยโฮวาห์ผู้สัตย์ซื่อ องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล จะทรงเลือกสรรเจ้า”
ยรม 49.19 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ยรม 50.44 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
อสค 20.5 และจงกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในวันนั้นเมื่อเราเลือกสรรอิสราเอลไว้ เราปฏิญาณต่อเชื้อสายแห่งวงศ์วานยาโคบ โดยสำแดงตัวเราให้เขารู้จักในแผ่นดินอียิปต์ เมื่อเราปฏิญาณกับเขาว่า เราเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า
ฮกก 2.23 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ในวันนั้นเราจะรับเจ้า โอ เศรุบบาเบล บุตรชายเชอัลทิเอล ผู้รับใช้ของเราเอ๋ย พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะกระทำเจ้าให้เป็นดังแหวนตรา เพราะเราได้เลือกสรรเจ้าแล้ว พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ”
ศคย 1.17 จงร้องอีกว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เมืองทั้งหลายของเราจะไพบูลย์ท่วมท้นไปด้วยความมั่งคั่งอีก และพระเยโฮวาห์จะปลอบศิโยน และเลือกสรรกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง’”
ศคย 2.12 และพระเยโฮวาห์จะทรงรับยูดาห์เป็นมรดก เป็นส่วนของพระองค์ในแผ่นดินบริสุทธิ์ และจะเลือกสรรกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง”
ศคย 3.2 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับซาตานว่า “โอ ซาตาน พระเยโฮวาห์ตรัสห้ามเจ้าเถอะ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงเลือกสรรกรุงเยรูซาเล็มทรงห้ามเจ้าเถิด นี่ไม่ใช่ดุ้นฟืนที่ฉวยออกมาจากไฟดอกหรือ”
มธ 12.18 ‘ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราซึ่งเราได้เลือกสรรไว้ ที่รักของเรา ผู้ซึ่งจิตใจเราโปรดปราน เราจะเอาวิญญาณของเราสวมท่านไว้ ท่านจะประกาศการพิพากษาแก่พวกต่างชาติ
มธ 24.22 และถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีเนื้อหนังใดๆรอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้ที่เลือกสรรไว้ จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
มธ 24.24 ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้พยากรณ์เทียมเท็จเกิดขึ้นหลายคน และจะทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ถ้าเป็นไปได้จะล่อลวงแม้ผู้ที่ทรงเลือกสรรให้หลง
มธ 24.31 พระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์มาด้วยเสียงแตรอันดังยิ่งนัก ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น
มก 13.20 ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีเนื้อหนังใดๆรอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้ถูกเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ พระองค์จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
มก 13.22 ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้ทำนายเทียมเท็จเกิดขึ้นหลายคน ทำหมายสำคัญและการมหัศจรรย์เพื่อล่อลวงผู้ที่ถูกเลือกสรรแล้วให้หลง ถ้าเป็นได้
มก 13.27 เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงที่สุดขอบฟ้า
กจ 9.15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และชนชาติอิสราเอล
1ทธ 5.21 ข้าพเจ้ากำชับท่านต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อพระเยซูคริสต์เจ้า และต่อเหล่าทูตสวรรค์ที่ทรงเลือกสรรไว้แล้วนั้น ให้ท่านรักษาข้อความเหล่านี้ไว้โดยไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด และไม่กระทำการใดๆด้วยใจลำเอียง
2ทธ 2.10 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยอมทนทุกอย่าง เพราะเห็นแก่ผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้นั้น เพื่อเขาจะได้รับความรอดด้วย ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ พร้อมทั้งสง่าราศีนิรันดร์
ทต 1.1 เปาโล ผู้รับใช้ของพระเจ้า และอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ เนื่องด้วยความเชื่อของผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรไว้ และให้รู้จักความจริงตามทางของพระเจ้า
2ยน 1.1 ข้าพเจ้าผู้ปกครอง เรียน มายังท่านสุภาพสตรีที่ทรงเลือกสรรไว้ และบรรดาบุตรของเธอ ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักเนื่องด้วยความจริงนั้น และมิใช่แต่ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คนทั้งปวงที่ได้รู้จักความจริงก็รักด้วย
2ยน 1.13 บรรดาบุตรของน้องสาวของท่านที่ได้ทรงเลือกสรรไว้ ฝากความระลึกถึงมายังท่าน เอเมน

เลื่องลือ ( 23 )
ยชว 6.27 ดังนั้นแหละพระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับโยชูวา และชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปตลอดแผ่นดิน
นรธ 4.14 ฝ่ายพวกผู้หญิงก็พูดกับนาโอมีว่า “สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ พระองค์มิได้ทรงละทิ้งเจ้าไว้ให้ปราศจากญาติที่ถัดมา ขอให้ทารกนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปในอิสราเอล
2ซมอ 8.13 เมื่อดาวิดเสด็จกลับจากการประหารคนซีเรียเสียในหุบเขาเกลือหนึ่งหมื่นแปดพันคน พระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไป
1พกษ 4.31 เพราะพระองค์ทรงมีสติปัญญาฉลาดกว่าคนอื่นทุกคน ทรงฉลาดกว่าเอธานคนเอสราห์ และเฮมาน คาลโคล์และดารดา บรรดาบุตรชายของมาโฮล และพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปในทุกประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบ
อสธ 9.4 เหตุว่าโมรเดคัยเป็นใหญ่อยู่ในราชสำนักของกษัตริย์ และชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปทั่วทุกมณฑล เพราะชายที่ชื่อโมรเดคัยนั้นมีอำนาจมากยิ่งขึ้นทุกที
สดด 145.7 เขาทั้งหลายจะโฆษณาข่าวเลื่องลือให้ระลึกถึงคุณความดีอันอุดมของพระองค์ออกมา และจะร้องเพลงถึงความชอบธรรมของพระองค์
ยรม 32.20 ทรงเป็นผู้สำแดงหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ในแผ่นดินอียิปต์ และจนถึงสมัยนี้ก็ทรงสำแดงในอิสราเอลและท่ามกลางมนุษยชาติ และทรงทำให้พระนามเลื่องลือไปอย่างทุกวันนี้
มธ 4.24 กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย เขาจึงพาบรรดาคนป่วยเป็นโรคต่างๆ คนที่ทนทุกข์เวทนา คนผีเข้า คนบ้า และคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย
มธ 26.13 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ที่ไหนๆทั่วโลกซึ่งข่าวประเสริฐนี้จะประกาศไป การซึ่งหญิงนี้ได้กระทำจะเลื่องลือไปเป็นที่ระลึกถึงเขาที่นั่นด้วย”
มธ 28.15 พวกทหารจึงยอมรับเงิน และทำตามที่ถูกสอนมา และความนี้ก็เลื่องลือไปในบรรดาพวกยิวจนทุกวันนี้
มก 1.28 ในขณะนั้น กิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นบ้านเมืองที่อยู่รอบแขวงกาลิลี
มก 1.45 แต่คนนั้นเมื่อออกไปแล้วก็ตั้งต้นป่าวร้องมากมายให้เลื่องลือไป จนพระเยซูจะเสด็จเข้าไปในเมืองอย่างเปิดเผยต่อไปไม่ได้ แต่ต้องประทับภายนอกในที่เปลี่ยว และมีคนทุกแห่งทุกตำบลมาหาพระองค์
มก 6.14 ฝ่ายกษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องของพระองค์ (เพราะว่าพระนามของพระองค์ได้เลื่องลือไป) แล้วท่านตรัสว่า “ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เหตุฉะนั้นจึงทำการมหัศจรรย์ได้”
ลก 1.65 บรรดาเพื่อนบ้านของท่านก็บังเกิดความกลัว และเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นก็เลื่องลือไปทั่วแถบภูเขาแคว้นยูเดีย
ลก 4.14 พระเยซูได้เสด็จกลับไปด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณยังแคว้นกาลิลี และกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปตามถิ่นโดยรอบ
ลก 4.37 กิตติศัพท์ของพระองค์จึงได้เลื่องลือไปทุกตำบลที่อยู่รอบนั้น
ลก 5.15 แต่กิตติศัพท์ของพระองค์ยิ่งเลื่องลือไป และประชาชนเป็นอันมากมาชุมนุมกันเพื่อจะฟังพระองค์ และรับการรักษาโรคต่างๆของเขา
ลก 7.17 และกิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปตลอดทั่วแคว้นยูเดีย และทั่วแว่นแคว้นล้อมรอบ
กจ 4.17 แต่ให้เราขู่เขาอย่างแข็งแรงห้ามไม่ให้พูดอ้างชื่อนั้นกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย เพื่อเรื่องนี้จะไม่ได้เลื่องลือแพร่หลายไปในหมู่คนทั้งปวง”
รม 1.8 ประการแรก ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์เหตุด้วยท่านทั้งหลาย เพราะว่าความเชื่อของพวกท่านเลื่องลือไปทั่วโลก
รม 16.19 การซึ่งท่านทั้งหลายได้เชื่อฟังก็เลื่องลือไปถึงคนทั้งปวงแล้ว ข้าพเจ้าจึงมีความยินดีเพราะท่านทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลายเป็นคนฉลาดฝ่ายการดี และให้เป็นคนโง่ฝ่ายการชั่ว
1ธส 1.8 เพราะว่าพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลื่องลือออกไปจากพวกท่าน ไม่ใช่แต่ในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายาเท่านั้น แต่ความเชื่อของท่านในพระเจ้าได้เลื่องลือไปทุกแห่งหน จนเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก

เลือด ( 208 )
ปฐก 9.4 แต่เนื้อกับชีวิตของมัน คือเลือดของมัน พวกเจ้าอย่ากินเลย
ปฐก 37.31 พวกเขาก็เอาเสื้อของโยเซฟมา และฆ่าลูกแพะผู้ตัวหนึ่ง จุ่มเสื้อของโยเซฟลงในเลือด
ปฐก 49.11 เขาผูกลาของเขาไว้ที่เถาองุ่น และผูกลูกลาของเขาไว้ที่เถาองุ่นดีที่สุด เขาซักผ้าของเขาด้วยน้ำองุ่น เขาซักเสื้อผ้าของเขาด้วยเลือดแห่งผลองุ่น
อพย 4.9 และต่อมา ถ้าเขาไม่เชื่อหมายสำคัญทั้งสองครั้งนี้ ทั้งไม่ฟังเสียงของเจ้า เจ้าจงตักน้ำในแม่น้ำและเทลงที่ดินแห้ง แล้วน้ำที่เจ้าตักมาจากแม่น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือดบนดินแห้งนั้น”
อพย 7.17 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ท่านจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ด้วยอาศัยการกระทำดังนี้ ดูเถิด เราจะเอาไม้เท้าที่ถือไว้นั้นฟาดน้ำในแม่น้ำ น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือด
อพย 7.19 พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘เอาไม้เท้าของท่านชี้ไปเหนือน้ำทั้งหลายแห่งอียิปต์ คือเหนือลำคลอง แม่น้ำ บึง และสระทั้งหมดของเขา เพื่อน้ำจะกลายเป็นเลือดและจะมีเลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์ ทั้งที่อยู่ในภาชนะไม้และภาชนะหิน’”
อพย 7.20 โมเสสกับอาโรนก็กระทำตามที่พระเยโฮวาห์บัญชา คือท่านได้ยกไม้เท้าขึ้นตีน้ำในแม่น้ำต่อสายพระเนตรของฟาโรห์ และท่ามกลางสายตาของพวกข้าราชการของฟาโรห์ แล้วน้ำในแม่น้ำก็กลายเป็นเลือดทั้งสิ้น
อพย 7.21 ปลาที่อยู่ในแม่น้ำก็ตาย แม่น้ำก็เหม็น และชาวอียิปต์ก็ดื่มน้ำในแม่น้ำนั้นไม่ได้ มีเลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์
อพย 7.25 ครบกำหนดเจ็ดวันนับตั้งแต่พระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้แม่น้ำเป็นเลือด
อพย 12.7 แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้างบน ณ เรือนที่เขาเลี้ยงกันนั้นด้วย
อพย 12.13 แต่เลือดที่บ้านที่เจ้าทั้งหลายอยู่นั้น จะเป็นหมายสำคัญสำหรับเจ้า เมื่อเราเห็นเลือดนั้นเราจะผ่านเว้นเจ้าทั้งหลายไป จะไม่มีภัยพิบัติทำลายเจ้า ขณะที่เราประหารประเทศอียิปต์
อพย 12.22 เอาต้นหุสบกำหนึ่งจุ่มลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง แล้วป้ายเลือดนั้นไว้ที่ไม้ข้างบน และไม้วงกบประตูทั้งสองข้างด้วยเลือดที่อยู่ในอ่าง อย่าให้ผู้ใดออกไปพ้นประตูบ้านของตนจนถึงรุ่งเช้า
อพย 12.23 เพราะพระเยโฮวาห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะได้ประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงเห็นเลือดที่ไม้ประตูข้างบนและที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง พระเยโฮวาห์จะทรงผ่านเว้นประตูนั้น ไม่ทรงยอมให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านท่าน เพื่อจะประหารท่าน
อพย 23.18 อย่าถวายเลือดจากเครื่องบูชาของเรา พร้อมกับขนมปังมีเชื้อ หรือปล่อยให้มีไขมันในเครื่องบูชาของเราเหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้า
อพย 24.6 โมเสสเก็บเลือดวัวครึ่งหนึ่งไว้ในชาม อีกครึ่งหนึ่งประพรมที่แท่นบูชานั้น
อพย 24.8 โมเสสก็เอาเลือดพรมประชาชนและกล่าวว่า “ดูเถิด นี่เป็นเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเยโฮวาห์กระทำกับเจ้าตามพระวจนะทั้งหมดนี้”
อพย 29.12 จงเอานิ้วมือจุ่มเลือดวัวตัวผู้นั้น ทาไว้ที่เชิงงอนริมแท่นบ้าง ส่วนเลือดที่เหลือทั้งหมดจงเทไว้ที่เชิงแท่นบูชา
อพย 29.16 แล้วจงฆ่าแกะตัวนั้นเสีย เอาเลือดพรมรอบๆแท่น
อพย 29.20 แล้วท่านจงฆ่าแกะตัวนั้นเสีย เอาเลือดส่วนหนึ่งเจิมที่ปลายใบหูข้างขวาของอาโรน และที่ปลายใบหูข้างขวาของบุตรชายของเขาทุกคน และที่หัวแม่มือข้างขวา และที่หัวแม่เท้าข้างขวาของเขาบ้าง แล้วจงเอาเลือดที่เหลือพรมรอบๆแท่นบูชา
อพย 29.21 จงเอาเลือดส่วนหนึ่งที่อยู่บนแท่นและน้ำมันเจิมนั้นพรมอาโรนและเครื่องยศของเขา จงพรมบุตรชายทั้งหลายของเขา และเครื่องยศของบุตรชายเหล่านั้นด้วย อาโรนและเครื่องยศของเขาจะบริสุทธิ์รวมทั้งบุตรชายของเขาและเครื่องยศของเขาด้วย
อพย 30.10 ให้อาโรนทำการบูชาไถ่บาปที่เชิงงอนปีละหนด้วยเลือดของเครื่องบูชาไถ่บาปลบมลทิน ให้เขาทำการลบมลทินแท่นนั้นปีละหนตลอดชั่วอายุของเจ้า แท่นนั้นจะบริสุทธิ์ที่สุดแด่พระเยโฮวาห์”
อพย 34.25 อย่าถวายเลือดบูชาพร้อมกับขนมปังมีเชื้อ และเครื่องบูชาอันเกี่ยวกับเทศกาลเลี้ยงปัสกานั้น อย่าให้เหลือไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น
ลนต 1.5 แล้วให้เขาฆ่าวัวตัวผู้นั้นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ แล้วพวกปุโรหิต คือบุตรชายของอาโรน จะถวายเลือด และเอาเลือดมาประพรมที่แท่นและรอบแท่นบูชา ซึ่งอยู่ตรงประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
ลนต 1.11 ให้เขาฆ่าสัตว์นั้นเสียที่แท่นบูชาข้างด้านเหนือต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และพวกปุโรหิต คือบุตรชายของอาโรน จะเอาเลือดสัตว์นั้นประพรมที่แท่นและรอบแท่นบูชา
ลนต 1.15 จงให้ปุโรหิตนำนกนั้นมาที่แท่น บิดหัวเสียแล้วเผาบูชาบนแท่น ให้เลือดไหลออกมาข้างๆแท่น
ลนต 3.2 ให้เขาเอามือวางบนหัวของสัตว์ตัวที่จะถวาย และจงฆ่าเสียที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม พวกปุโรหิต คือบุตรชายของอาโรน จะเอาเลือดประพรมที่แท่นและรอบแท่นบูชา
ลนต 3.8 ให้เขาเอามือวางบนหัวของสัตว์ที่จะถวายนั้นและให้ฆ่าเสียที่หน้าพลับพลาแห่งชุมนุม และบุตรชายอาโรนจะเอาเลือดประพรมที่แท่นและรอบแท่น
ลนต 3.13 ให้เขาเอามือวางบนหัวของมันและฆ่ามันเสียที่หน้าพลับพลาแห่งชุมนุม และบุตรชายของอาโรนจะเอาเลือดประพรมที่แท่นและรอบแท่นบูชา
ลนต 3.17 ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ตลอดชั่วอายุของเจ้าในที่ที่เจ้าอาศัยอยู่ทั่วๆไปว่า เจ้าอย่ารับประทานไขมันหรือเลือด”
ลนต 4.5 และปุโรหิตผู้ได้รับการเจิมแล้วจะนำเลือดวัวนั้นมาที่พลับพลาแห่งชุมนุมบ้าง
ลนต 4.6 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มลงในเลือด และประพรมเลือดนั้นที่หน้าม่านสถานบริสุทธิ์เจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 4.7 และปุโรหิตจะเอาเลือดเล็กน้อยเจิมที่เชิงงอนของแท่นเผาเครื่องหอมซึ่งอยู่ในพลับพลาแห่งชุมนุมต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ส่วนเลือดวัวที่เหลืออยู่นั้นเขาจะเทลงที่ฐานแท่นเผาเครื่องเผาบูชาซึ่งอยู่ที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
ลนต 4.16 แล้วปุโรหิตผู้รับการเจิมจะนำเลือดของวัวมาที่พลับพลาแห่งชุมนุมบ้าง
ลนต 4.17 และปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มลงในเลือดและประพรมที่หน้าม่านเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 4.18 และปุโรหิตจะเอาเลือดสักหน่อยเจิมที่เชิงงอนของแท่นบูชาซึ่งอยู่ในพลับพลาแห่งชุมนุมต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ส่วนเลือดที่เหลืออยู่นั้น เขาจะเทลงที่ฐานแท่นเครื่องเผาบูชาซึ่งอยู่ที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
ลนต 4.25 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดเครื่องบูชาไถ่บาปบ้าง นำไปเจิมที่เชิงงอนบนแท่นเครื่องเผาบูชา และเทเลือดที่เหลืออยู่นั้นที่ฐานของแท่นเครื่องเผาบูชา
ลนต 4.30 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดแพะนั้นไปเจิมที่เชิงงอนของแท่นเครื่องเผาบูชา และเทเลือดส่วนที่เหลือลงที่ฐานของแท่นนั้น
ลนต 4.34 และปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดเครื่องบูชาไถ่บาปนั้นบ้าง นำไปเจิมที่เชิงงอนของแท่นเครื่องเผาบูชา และเทเลือดที่เหลือนั้นลงที่ฐานของแท่น
ลนต 5.9 และปุโรหิตจะเอาเลือดเครื่องบูชาไถ่บาปประพรมที่ข้างแท่นเสียบ้าง ส่วนเลือดที่เหลืออยู่นั้นจะรีดให้ไหลออกที่ฐานแท่น นี่เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
ลนต 6.27 อะไรที่แตะต้องเนื้อสัตว์นั้นจะบริสุทธิ์ และเมื่อประพรมมีเลือดติดเสื้อ ก็ให้ซักเสื้อส่วนที่ติดเลือดนั้นในที่บริสุทธิ์
ลนต 6.30 แต่เครื่องบูชาไถ่บาป ซึ่งปุโรหิตนำเลือดเข้าไปในพลับพลาแห่งชุมนุม เพื่อทำการลบมลทินในที่บริสุทธิ์นั้น อย่ารับประทานเลย ต้องเผาไฟเสีย”
ลนต 7.2 ให้ฆ่าสัตว์อันเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดในที่ที่ฆ่าสัตว์อันเป็นเครื่องเผาบูชา และให้เอาเลือดสัตว์นั้นประพรมที่แท่นและรอบแท่น
ลนต 7.14 ให้เขาถวายของบูชาเหล่านี้ส่วนหนึ่งจากทั้งหมดแด่พระเยโฮวาห์ ซึ่งเป็นส่วนยกให้แก่ปุโรหิตผู้เอาเลือดสันติบูชาประพรม
ลนต 7.26 ยิ่งกว่านั้นอีกเจ้าอย่ารับประทานเลือดเลยทีเดียว ไม่ว่าเลือดของสัตว์ปีกหรือเลือดสัตว์ในที่ใดๆที่เจ้าอาศัยอยู่
ลนต 7.27 ผู้ใดก็ตามที่รับประทานเลือดในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากพลไพร่ของตน”
ลนต 7.33 บุตรชายอาโรนผู้ถวายเลือดแห่งสันติบูชาและไขมันจะได้รับโคนขาข้างขวาเป็นส่วนของเขา
ลนต 8.15 โมเสสก็ฆ่าวัวตัวนั้นเสีย เอานิ้วจุ่มเลือดไปเจิมที่เชิงงอนรอบแท่น ชำระแท่นให้บริสุทธิ์แล้วเทเลือดที่ฐานของแท่น ถวายแท่นไว้เป็นสิ่งบริสุทธิ์ เพื่อทำการลบมลทินของแท่นนั้น
ลนต 8.19 โมเสสก็ฆ่าแกะนั้นเสีย เอาเลือดประพรมที่แท่นและรอบแท่น
ลนต 8.23 โมเสสก็ฆ่าแกะนั้นเสีย เอาเลือดเจิมที่ปลายหูข้างขวาของอาโรน และที่นิ้วหัวแม่มือขวาของเขา และที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 8.24 แล้วนำบุตรชายทั้งหลายของอาโรนเข้ามา และโมเสสเอาเลือดเจิมที่ปลายหูข้างขวา ที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวา ที่นิ้วหัวแม่เท้าข้างขวาของเขา และโมเสสเอาเลือดประพรมที่แท่นและรอบแท่น
ลนต 8.30 แล้วโมเสสนำน้ำมันเจิมและเลือดซึ่งอยู่บนแท่น ประพรมบนอาโรนและเครื่องยศของเขา และบนบุตรชายทั้งหลาย กับบนเครื่องยศของบุตรชายทั้งหลายของเขา ดังนี้แหละท่านก็ชำระอาโรนกับเครื่องยศของเขาให้บริสุทธิ์ บุตรชายทั้งหลายของเขากับเครื่องยศของบุตรชายนั้นด้วย
ลนต 9.9 และบุตรชายอาโรนก็นำเลือดมาให้เขา เขาก็เอานิ้วจุ่มเลือดไปเจิมเชิงงอนของแท่น และเทเลือดลงที่ฐานแท่น
ลนต 9.12 เขาฆ่าสัตว์เครื่องเผาบูชา แล้วบุตรชายอาโรนก็นำเลือดมาให้เขา เขาจึงเอาเลือดนั้นประพรมที่แท่นและรอบแท่น
ลนต 9.18 เขาฆ่าวัวผู้ด้วย และแกะผู้เป็นเครื่องสันติบูชาสำหรับพลไพร่ และบุตรชายอาโรนนำเลือดมาให้อาโรน อาโรนก็เอาเลือดประพรมที่แท่นและรอบแท่น
ลนต 10.18 ดูเถิด เลือดสัตว์นั้นก็มิได้นำเข้ามายังที่บริสุทธิ์ที่ห้องชั้นใน ท่านควรจะได้รับประทานสิ่งเหล่านี้ในที่บริสุทธิ์ ดังที่ข้าพเจ้าได้บัญชาแล้วนั้น”
ลนต 14.6 สำหรับนกตัวที่ยังเป็นอยู่นั้น ให้ปุโรหิตเอานกตัวที่ยังเป็นอยู่กับไม้สนสีดาร์ ด้ายสีแดง ต้นหุสบ จุ่มเข้าไปในเลือดของนกที่ถูกฆ่าข้างบนน้ำไหล
ลนต 14.14 ปุโรหิตจะนำเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาบ้าง และปุโรหิตจะเจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้ที่รับการชำระ และเจิมที่นิ้วหัวแม่มือขวาและที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 14.17 ส่วนน้ำมันที่เหลืออยู่ในมือนั้น ปุโรหิตจะเอามาบ้าง เจิมที่ปลายหูขวาของผู้ที่รับการชำระ และที่นิ้วหัวแม่มือขวาและที่นิ้วหัวแม่เท้าขวา ทับบนเลือดเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
ลนต 14.25 และเขาจะฆ่าลูกแกะเครื่องบูชาไถ่การละเมิด และปุโรหิตจะเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาบ้าง เจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้รับการชำระ และที่นิ้วหัวแม่มือขวา กับที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 14.28 และปุโรหิตจะเอาน้ำมันที่อยู่ในมือเจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้รับการชำระ และที่หัวแม่มือขวากับหัวแม่เท้าขวาของเขา ตรงที่ที่เจิมด้วยเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
ลนต 14.51 เอาไม้สนสีดาร์ ต้นหุสบและด้ายสีแดง พร้อมกับนกตัวที่ยังมีชีวิตอยู่จุ่มลงในเลือดนกที่ได้ฆ่าและในน้ำที่ไหลนั้น แล้วประพรมเรือนนั้นเจ็ดครั้ง
ลนต 14.52 ดังนี้เขาจะได้ชำระเรือนด้วยเลือดนก ด้วยน้ำไหลและด้วยนกที่มีชีวิต ด้วยไม้สนสีดาร์ ต้นหุสบ และด้ายสีแดง
ลนต 16.14 เขาจะเอาเลือดวัวมาประพรมด้วยนิ้วมือของตนบนพระที่นั่งกรุณาข้างตะวันออก แล้วจะประพรมเลือดที่หน้าพระที่นั่งกรุณาเจ็ดครั้งด้วยนิ้วของเขา
ลนต 16.15 แล้วอาโรนจะฆ่าแพะอันเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับประชาชน และนำเลือดแพะเข้าไปภายในม่าน และเอาเลือดแพะไปกระทำเช่นเดียวกับกระทำเลือดวัว คือประพรมบนพระที่นั่งกรุณาและที่ข้างหน้าพระที่นั่งกรุณานั้น
ลนต 16.18 และอาโรนจะออกไปยังแท่นซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และทำการลบมลทินแท่นนั้น เขาจะเอาเลือดวัวเลือดแพะเจิมที่เชิงงอนของแท่นโดยรอบ
ลนต 16.19 และเอานิ้วจุ่มเลือดประพรมบนแท่นนั้นเจ็ดครั้ง และชำระกระทำให้แท่นบริสุทธิ์พ้นจากมลทินของคนอิสราเอล
ลนต 16.27 เขาจะเอาวัวซึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และแพะซึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ที่อาโรนเอาเลือดไปทำการลบมลทินสถานบริสุทธิ์นั้นไปเสียข้างนอกค่าย และเขาจะเผาเนื้อหนังและมูลเสียด้วยไฟ
ลนต 17.4 และมิได้นำมาที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุมเพื่อถวายเป็นของบูชาแด่พระเยโฮวาห์ที่หน้าพลับพลาแห่งพระเยโฮวาห์ ผู้นั้นต้องมีโทษด้วยมีบาปเรื่องเลือด คือเขาทำให้เลือดตก ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากชนชาติของตน
ลนต 17.6 และปุโรหิตจะเอาเลือดสัตว์นั้นประพรมบนแท่นบูชาพระเยโฮวาห์ที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม และเผาไขมันให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยถวายแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 17.10 ถ้าผู้ใดก็ตามในวงศ์วานอิสราเอลหรือในพวกคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้ารับประทานเลือดในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้รับประทานเลือดนั้น และจะตัดเขาออกเสียจากชนชาติของตน
ลนต 17.11 เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด เราได้ให้เลือดแก่เจ้าเพื่อใช้บนแท่น เพื่อกระทำการลบมลทินบาปแห่งจิตวิญญาณของเจ้า เพราะว่าเลือดเป็นที่ทำการลบมลทินบาปแห่งจิตวิญญาณ
ลนต 17.12 เพราะฉะนั้นเราจึงได้พูดกับคนอิสราเอลว่า ในพวกเจ้าอย่าให้คนใดรับประทานเลือดเลย หรือคนต่างด้าวผู้อาศัยท่ามกลางเจ้าก็อย่าได้รับประทานเลือด
ลนต 17.13 คนอิสราเอลคนใดหรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้า ไปล่าสัตว์หรือนกเพื่อนำมารับประทานก็ให้หลั่งเลือดออกแล้วเอาฝุ่นกลบ
ลนต 17.14 เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังทั้งปวงอยู่ในเลือด เลือดของสิ่งใดก็คือชีวิตของสิ่งนั้นเอง เพราะฉะนั้นเราจึงได้กล่าวแก่ลูกหลานอิสราเอลว่า เจ้าอย่ารับประทานเลือดของเนื้อหนังใดๆเลย เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังทั้งปวงคือเลือดนั่นเอง ผู้ใดก็ตามรับประทานเลือดนั้นก็ต้องถูกตัดขาดเสีย
ลนต 19.16 อย่าเทียวขึ้นเทียวล่องคอยส่อเสียดท่ามกลางชนชาติของตน และอย่าปองร้ายต่อเลือดของเพื่อนบ้าน เราคือพระเยโฮวาห์
ลนต 19.26 เจ้าอย่ารับประทานเนื้อสัตว์ที่มีเลือดในเนื้อนั้น เจ้าอย่าเป็นหมอผีหรือเป็นหมอดู
กดว 18.17 แต่ลูกหัวปีของวัว หรือลูกหัวปีของแกะ หรือลูกหัวปีของแพะ เจ้าไม่ต้องไถ่เพราะเป็นของบริสุทธิ์ เจ้าจงเอาเลือดของมันพรมบนแท่นบูชา และเอาไขมันของมันเผาเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์
กดว 19.4 และเอเลอาซาร์ปุโรหิตจะเอานิ้วมือจุ่มเลือดวัวพรมที่ข้างหน้าพลับพลาแห่งชุมนุมเจ็ดครั้ง
กดว 19.5 และให้มีคนเผาวัวตัวเมียนั้นเสียในสายตาของเขา คือเขาจะต้องเผาหนัง เนื้อ และเลือด กับมูลของมันเสียให้หมด
กดว 23.24 ดูเถิด ชนชาติหนึ่งซึ่งลุกขึ้นอย่างสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ และยืนขึ้นอย่างสิงโตหนุ่ม ไม่ยอมนอนจนกว่าจะกินเหยื่อเสีย และดื่มเลือดของสิ่งที่ฆ่าตาย”
พบญ 12.16 แต่ท่านทั้งหลายอย่ารับประทานเลือดสัตว์เลย ท่านจงเทลงบนพื้นดินเหมือนเทน้ำ
พบญ 12.23 แต่พึงแน่ใจว่าท่านไม่รับประทานเลือดสัตว์เลย เพราะว่าเลือดเป็นชีวิตของมัน ท่านอย่ารับประทานชีวิตพร้อมกับเนื้อ
พบญ 12.24 ท่านอย่ารับประทานเลือด แต่ท่านจงเทเลือดลงบนดินอย่างเทน้ำ
พบญ 12.25 ท่านอย่ารับประทานเลือด เพื่อท่านเองและลูกหลานของท่านที่มาภายหลังท่านจะจำเริญเป็นสุข เมื่อท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องตามสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
พบญ 12.27 และถวายเครื่องเผาบูชาทั้งเนื้อและเลือดบนแท่นบูชาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านจงเทเลือดแห่งเครื่องสัตวบูชาลงบนแท่นบูชาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน แต่ส่วนเนื้อนั้นท่านรับประทานได้
พบญ 15.23 เพียงแต่ท่านอย่ารับประทานเลือดของมันเท่านั้น ท่านจงเทออกทิ้งบนดินเหมือนเทน้ำ”
พบญ 32.14 ให้ได้นมเปรี้ยวจากวัว และให้ได้น้ำนมจากแพะแกะ ได้ไขมันจากลูกแกะ และแกะผู้พันธุ์บาชาน และฝูงแพะ กับข้าวสาลีอย่างดีที่สุด และท่านได้ดื่มเลือดขององุ่น คือน้ำองุ่น
1ซมอ 14.32 และพวกพลก็วิ่งเข้าหาของที่ริบได้ เอาแกะและวัวและลูกวัวมาฆ่าเสีย ณ ที่นั้นเอง และพวกพลก็กินเนื้อพร้อมกับเลือด
1ซมอ 14.33 แล้วเขาก็ไปทูลซาอูลว่า “ดูเถิด พวกพลกำลังทำบาปต่อพระเยโฮวาห์ โดยรับประทานพร้อมกับเลือด” และซาอูลจึงรับสั่งว่า “พวกเจ้าได้ละเมิดแล้ว จงกลิ้งก้อนหินใหญ่มาให้เราวันนี้”
1ซมอ 14.34 และซาอูลตรัสว่า “ท่านจงกระจัดกระจายกันไปท่ามกลางพวกพลและบอกเขาว่า ‘ให้ทุกคนนำวัวหรือแกะของตัวมาฆ่าเสียที่นี่แล้วรับประทาน อย่ากระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์ด้วยรับประทานพร้อมกับเลือด’” คืนนั้นทุกคนก็นำวัวมาและฆ่าเสียที่นั่น
2พกษ 16.13 และทรงเผาเครื่องเผาบูชาของพระองค์ และธัญญบูชาของพระองค์ และทรงเทเครื่องดื่มบูชาของพระองค์ และทรงพรมเลือดเครื่องสันติบูชาของพระองค์ลงบนแท่นนั้น
2พกษ 16.15 และกษัตริย์อาหัสทรงบัญชากับอุรียาห์ปุโรหิตว่า “บนแท่นใหญ่นี้ท่านจงเผาเครื่องเผาบูชาตอนเช้าและธัญญบูชาตอนเย็น และเครื่องเผาบูชาของกษัตริย์ และเครื่องธัญญบูชาของพระองค์ พร้อมกับเครื่องเผาบูชาของบรรดาประชาชนแห่งแผ่นดิน และธัญญบูชาของเขาทั้งหลาย และเครื่องดื่มบูชาของเขาทั้งหลาย และจงพรมเลือดทั้งหมดของเครื่องเผาบูชาบนนั้น และเลือดทั้งหมดของเครื่องสัตวบูชา แต่แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ให้เป็นที่ที่ข้าจะทูลถามพระเจ้า”
2พศด 29.22 เขาทั้งหลายจึงฆ่าวัวผู้และปุโรหิตก็รับเลือดและพรมที่แท่นบูชา และเขาทั้งหลายฆ่าแกะผู้ และเอาเลือดของมันพรมแท่นบูชา และฆ่าลูกแกะ เอาเลือดของมันพรมแท่นบูชา
2พศด 29.24 และปุโรหิตก็ฆ่าแพะเสีย และเอาเลือดของมันทำการคืนดีกันบนแท่นนั้นเพื่อทำการลบมลทินบาปให้อิสราเอลทั้งปวง เพราะกษัตริย์ทรงบัญชาว่า ให้ทำเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับอิสราเอลทั้งปวง
2พศด 30.16 เขาทั้งหลายเข้าประจำตำแหน่งที่เขาเคย ตามพระราชบัญญัติของโมเสสคนของพระเจ้า ปุโรหิตก็เอาเลือดซึ่งเขารับมาจากมือของคนเลวีประพรม
2พศด 35.11 แล้วเขาก็ฆ่าแกะปัสกา แล้วปุโรหิตก็เอาเลือดซึ่งรับมาจากมือเขาประพรม ส่วนคนเลวีถลกหนังสัตว์นั้น
โยบ 39.30 ลูกอ่อนของมันดูดเลือด และมีอะไรถูกฆ่าตายที่ไหน มันอยู่ที่นั่นแหละ”
สดด 16.4 แต่บรรดาผู้ที่รีบติดตามพระอื่น ความทุกข์โศกของเขาก็ทวีขึ้น ข้าพเจ้าจะไม่ถวายเครื่องดื่มบูชาแห่งเลือดของพวกเขา หรือริมฝีปากของข้าพเจ้าจะไม่ออกชื่อพระนั้น
สดด 50.13 เราจะกินเนื้อวัวผู้หรือ หรือดื่มเลือดแพะหรือ
สดด 68.23 เพื่อเจ้าจะเอาเท้าอาบเลือดของคู่อริของเจ้า เพื่อลิ้นสุนัขของเจ้าจะมีส่วนด้วย”
สดด 78.44 พระองค์ทรงเปลี่ยนแม่น้ำและลำธารของเขาให้เป็นเลือด เพื่อเขาดื่มอะไรไม่ได้
สดด 105.29 พระองค์ทรงกระทำให้น้ำกลายเป็นเลือด และให้ปลาของเขาตาย
สภษ 1.11 ถ้าเขาว่า “มากับพวกเราเถิด ให้เราหมอบคอยเอาเลือดคน ให้เราซุ่มดักคนไร้ผิดเล่นเถิด
สภษ 29.10 คนที่กระหายเลือดย่อมเกลียดคนเที่ยงธรรม แต่คนชอบธรรมแสวงหาชีวิตของเขา
พซม 5.10 ที่รักของดิฉันผิวเปล่งปลั่งอมเลือด เขาเป็นเอกในท่ามกลางหมื่นคน
อสย 1.6 ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงศีรษะไม่มีความปกติในนั้นเลย มีแต่บาดแผลและฟกช้ำและเป็นแผลเลือดไหล ไม่เห็นบีบออกหรือพันไว้ หรือทำให้อ่อนลงด้วยน้ำมัน
อสย 1.11 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เครื่องบูชาอันมากมายของเจ้านั้นจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เรา เราเอือมแกะตัวผู้อันเป็นเครื่องเผาบูชา และไขมันของสัตว์ที่ขุนไว้นั้นแล้ว เรามิได้ปีติยินดีในเลือดของวัวผู้หรือลูกแกะหรือแพะผู้
อสย 15.9 เพราะน้ำของเมืองดีโมนจะมีเลือดเต็มไปหมด ถึงกระนั้นเรายังจะเพิ่มภัยแก่ดีโมนอีก คือให้สิงโตสำหรับชาวโมอับที่หนีไป และสำหรับคนที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน
อสย 33.15 คือเขาผู้ดำเนินอย่างชอบธรรมและพูดอย่างซื่อตรง เขาผู้ดูหมิ่นผลที่ได้จากการบีบบังคับ ผู้สลัดมือของเขาจากการถือสินบนไว้ ผู้อุดหูจากการฟังเรื่องเลือดตกยางออก และปิดตาจากการมองความชั่วร้าย
อสย 34.6 พระแสงของพระเยโฮวาห์เต็มไปด้วยโลหิต เกรอะกรังไปด้วยไขมัน กับเลือดของลูกแกะและแพะ กับไขมันของไตแกะผู้ เพราะพระเยโฮวาห์มีการฆ่าบูชาในเมืองโบสราห์ การฆ่าขนาดใหญ่ในแผ่นดินเอโดม
อสย 34.7 ม้ายูนิคอนจะล้มลงพร้อมกับเขาด้วย และวัวหนุ่มจะล้มอยู่กับวัวที่ฉกรรจ์ แผ่นดินของเขาจะโชกไปด้วยเลือด และดินจะได้อุดมด้วยไขมัน
อสย 66.3 เขาผู้ฆ่าวัวราวกับเขาฆ่าคน เขาผู้ถวายลูกแกะเป็นเครื่องบูชาราวกับเขาตัดคอสุนัข เขาผู้ถวายเครื่องบูชาราวกับเขาถวายเลือดหมู เขาผู้เผาเครื่องหอมราวกับเขาสาธุการรูปเคารพ คนเหล่านี้ต่างก็เลือกทางของเขาเอง และจิตใจของเขาปีติยินดีอยู่ในสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของเขา
ยรม 51.35 ความทารุณที่ได้กระทำแก่ข้าพเจ้าและแก่เนื้อหนังของข้าพเจ้าจงตกเหนือบาบิโลน” ให้เยรูซาเล็มกล่าวว่า “ให้ความรับผิดชอบสำหรับเลือดตกของเราอยู่แก่ชาวประเทศเคลเดีย”
อสค 32.6 เราจะให้แผ่นดินถึงแม้ภูเขาชุ่มโชกด้วยเลือดกำลังไหลของท่าน และห้วยจะเต็มไปด้วยท่าน
อสค 33.25 เพราะฉะนั้น จงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้ารับประทานเนื้อพร้อมเลือด เจ้าเงยหน้าขึ้นนมัสการรูปเคารพของเจ้าและทำให้โลหิตตก แล้วเจ้ายังจะเอากรรมสิทธิ์ที่ดินนี้อีกหรือ
อสค 43.18 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ต่อไปนี้เป็นกฎของแท่นบูชาในวันที่สร้างเสร็จแล้ว เพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และเพื่อจะพรมด้วยเลือด
อสค 43.20 เจ้าจงเอาเลือดวัวนั้นบ้างใส่ไว้ที่เชิงงอนทั้งสี่ของแท่น และมุมทั้งสี่ของขั้นข้างเตา และที่ยกริมโดยรอบ ทำดังนี้แหละท่านจะได้ชำระแท่นและทำการลบมลทินของแท่นนั้นไว้
อสค 44.7 คือการที่เจ้าพาคนต่างด้าวที่มิได้เข้าสุหนัตทางจิตใจและมิได้เข้าสุหนัตทางเนื้อหนังเข้ามาในสถานบริสุทธิ์ของเรา กระทำให้สถานนั้น คือพระนิเวศของเรามัวหมอง เมื่อเจ้าถวายอาหารของเราแก่เรา คือไขมันและเลือด สิ่งเหล่านี้ได้ทำลายพันธสัญญาของเราด้วยการอันน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเจ้า
อสค 44.15 แต่ปุโรหิตคนเลวี บรรดาบุตรชายของศาโดก ผู้ยังดูแลสถานบริสุทธิ์ของเรา เมื่อคนอิสราเอลหลงไปจากเรานั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า ให้เขาเข้ามาใกล้เราเพื่อปรนนิบัติเรา และให้คอยรับใช้เรา ที่จะถวายไขมันและเลือด
อสค 45.19 ให้ปุโรหิตเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่บาปมาบ้างและจงประพรมที่เสาประตูพระนิเวศ ที่ขั้นสี่มุมของแท่นบูชา และบนเสาประตูของลานชั้นใน
ฮชย 4.2 มีแต่การปฏิญาณ การมุสา การฆ่ากัน การโจรกรรมและการล่วงประเวณี เขาหาญหักพันธะทั้งสิ้น มีแต่เลือดซ้อนเลือด
ฮชย 12.14 เอฟราอิมกระทำให้พระองค์ทรงพิโรธอย่างขมขื่น ดังนั้นพระองค์ทรงปล่อยให้เลือดของเขาติดอยู่กับเขา และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสนองเขาด้วยความอัปยศซึ่งเขาให้ตกกับพระองค์
ยอล 2.30 เราจะสำแดงลางมหัศจรรย์ในท้องฟ้าและบนดิน เป็นเลือดและไฟและเสาควัน
ยอล 2.31 ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืด ดวงจันทร์เป็นเลือดก่อนวันใหญ่ยิ่งและน่าสยดสยองแห่งพระเยโฮวาห์จะมาถึง
ยอล 3.21 เราจะชำระเลือดของเขาซึ่งยังมิได้รับการชำระ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงสถิตในศิโยน”
ศคย 9.7 เราจะเอาเลือดของเขาออกไปจากปากของเขา และเอาสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนออกไปจากระหว่างซี่ฟันของเขาเสีย แต่คนที่เหลืออยู่ คือเขาเองจะอยู่เพื่อพระเจ้าของเรา จะเป็นเหมือนผู้ครอบครองคนหนึ่งในยูดาห์ และเอโครนจะเหมือนคนเยบุส
มก 5.29 ในทันใดนั้นเลือดที่ตกก็หยุดแห้งไป และผู้หญิงนั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว
ลก 8.44 ผู้หญิงนั้นแอบมาข้างหลังถูกต้องชายฉลองพระองค์ และในทันใดนั้นเลือดที่ตกก็หยุด
ยน 1.13 ซึ่งมิได้เกิดจากเลือด หรือความประสงค์ของเนื้อหนัง หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า
กจ 2.19 เราจะสำแดงการมหัศจรรย์ในอากาศเบื้องบนและหมายสำคัญที่แผ่นดินเบื้องล่างเป็นเลือด ไฟและไอควัน
กจ 2.20 ดวงอาทิตย์จะมืดไปและดวงจันทร์จะกลับเป็นเลือด ก่อนถึงวันใหญ่นั้น คือวันใหญ่ยิ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า
กจ 15.20 แต่เราจงเขียนหนังสือฝากไปถึงเขาว่า ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่มลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากการรับประทานเลือด
กจ 15.29 คือว่าให้ท่านทั้งหลายงดการรับประทานสิ่งของซึ่งเขาได้บูชาแก่รูปเคารพ และการรับประทานเลือด และการรับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งถูกรัดคอตาย และการล่วงประเวณี ถ้าท่านทั้งหลายงดการเหล่านี้ก็จะเป็นการดี ขอให้อยู่เป็นสุขเถิด”
กจ 18.6 แต่เมื่อพวกเหล่านั้นขัดขวางตัวเองและกล่าวคำหมิ่นประมาท เปาโลจึงได้สะบัดเสื้อผ้ากล่าวแก่เขาว่า “ให้เลือดของท่านทั้งหลายตกบนศีรษะของท่านเองเถิด ข้าพเจ้าก็ปราศจากเลือดนั้นแล้ว ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างชาติ”
กจ 21.25 แต่ฝ่ายคนต่างชาติที่เชื่อนั้น เราได้เขียนจดหมายตัดสินมิให้เขาถือเช่นนั้น แต่ให้เขาทั้งหลายงดไม่รับประทานของซึ่งบูชาแก่รูปเคารพ ไม่รับประทานเลือด ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และไม่ล่วงประเวณี”
1คร 15.50 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่า เนื้อและเลือดจะรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกไม่ได้ และสิ่งซึ่งเปื่อยเน่าจะรับสิ่งซึ่งไม่รู้จักเปื่อยเน่าเป็นมรดกก็ไม่ได้
กท 1.16 ที่จะทรงสำแดงพระบุตรของพระองค์ในตัวข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าประกาศพระบุตรแก่ชนต่างชาตินั้น ในทันทีนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปรึกษากับเนื้อหนังและเลือดเลย
อฟ 6.12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือดแต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
ฮบ 2.14 เหตุฉะนั้นครั้นบุตรทั้งหลายมีส่วนในเนื้อและเลือดอยู่แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงรับเนื้อและเลือดเหมือนกัน เพื่อโดยความตายพระองค์จะได้ทรงทำลายผู้นั้นที่มีอำนาจแห่งความตาย คือพญามาร
ฮบ 9.7 แต่ในห้องที่สองนั้นมีมหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าไปได้ปีละครั้ง และต้องนำเลือดเข้าไปถวายเพื่อตัวเอง และเพื่อความผิดของประชาชนด้วย
ฮบ 9.12 พระองค์เสด็จเข้าไปในที่บริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์แก่เรา
ฮบ 9.13 เพราะถ้าเลือดวัวตัวผู้และเลือดแพะ และเถ้าของลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนบาป สามารถชำระเนื้อหนังให้บริสุทธิ์ได้
ฮบ 9.18 เหตุฉะนั้นพันธสัญญาเดิมก็ไม่ได้ทรงตั้งขึ้นไว้โดยปราศจากเลือด
ฮบ 9.19 เพราะว่าเมื่อโมเสสประกาศข้อบังคับทุกข้อแก่บรรดาพลไพร่ตามพระราชบัญญัติแล้ว ท่านจึงได้เอาเลือดลูกวัวและเลือดลูกแพะกับน้ำ และเอาขนแกะสีแดงและต้นหุสบมาประพรมหนังสือม้วนนั้นกับทั้งบรรดาคนทั้งปวง
ฮบ 9.20 กล่าวว่า ‘นี่เป็นเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเจ้าทรงบัญญัติไว้แก่ท่านทั้งหลาย’
ฮบ 9.21 แล้วท่านก็เอาเลือดประพรมพลับพลากับเครื่องใช้ทุกชนิดในการปฏิบัตินั้นเช่นเดียวกัน
ฮบ 9.25 พระองค์ไม่ต้องทรงถวายพระองค์เองซ้ำอีก เหมือนอย่างมหาปุโรหิตที่เข้าไปในที่บริสุทธิ์ทุกปีๆ นำเอาเลือดซึ่งไม่ใช่โลหิตของตัวเองเข้าไปด้วย
ฮบ 10.4 เพราะเลือดวัวผู้และเลือดแพะไม่สามารถชำระความบาปได้
ฮบ 11.28 โดยความเชื่อ ท่านได้ถือเทศกาลปัสกาและพิธีประพรมเลือด เพื่อมิให้องค์เพชฌฆาตผู้ประหารบุตรหัวปีมาถูกต้องพวกอิสราเอลได้
ฮบ 13.11 เพราะร่างของสัตว์เหล่านั้นที่มหาปุโรหิตได้เอาเลือดเข้าไปในสถานบริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปนั้น ก็ต้องเอาไปเผาเสียนอกค่าย
1ปต 1.19 แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตอันมีราคามากของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่างพร้อย
วว 6.10 เขาเหล่านั้นร้องเสียงดังว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้บริสุทธิ์และสัตย์จริง อีกนานเท่าใดพระองค์จึงจะทรงพิพากษา และตอบสนองให้เลือดของเราต่อคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก”
วว 8.7 เมื่อทูตสวรรค์องค์แรกเป่าแตรขึ้น ลูกเห็บและไฟปนด้วยเลือดก็ถูกทิ้งลงบนแผ่นดิน ต้นไม้ไหม้ไปหนึ่งในสามส่วน และหญ้าเขียวสดไหม้ไปหมดสิ้น
วว 8.8 เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สองเป่าแตรขึ้น ก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนภูเขาใหญ่กำลังลุกไหม้ถูกทิ้งลงไปในทะเล และทะเลนั้นได้กลายเป็นเลือดเสียหนึ่งในสามส่วน
วว 11.6 พยานทั้งสองมีฤทธิ์ปิดท้องฟ้าได้ เพื่อไม่ให้ฝนตกในระหว่างวันเหล่านั้นที่เขากำลังพยากรณ์ และมีฤทธิ์อำนาจเหนือน้ำทำให้กลายเป็นเลือดได้ และมีฤทธิ์บันดาลให้ภัยพิบัติต่างๆกระหน่ำโลก กี่ครั้งก็ได้ตามความปรารถนาของเขา
วว 16.3 ทูตสวรรค์องค์ที่สองก็เทขันของตนลงในทะเล และทะเลก็กลายเป็นเหมือนเลือดของคนตาย และบรรดาสิ่งที่มีชีวิตอยู่ในทะเลนั้นก็ตายหมดสิ้น
วว 16.4 ทูตสวรรค์องค์ที่สามเทขันของตนลงที่แม่น้ำและบ่อน้ำพุทั้งปวง และน้ำเหล่านั้นก็กลายเป็นเลือด
วว 19.13 พระองค์ทรงฉลองพระองค์ที่จุ่มเลือด และพระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ “พระวาทะของพระเจ้า”

เลือดเนื้อ ( 1 )
ปฐก 37.27 มาเถิด ให้เราขายน้องแก่พวกอิชมาเอลโดยไม่แตะต้องเขา เพราะเขาก็เป็นน้องและเป็นเลือดเนื้อของเราเหมือนกัน” พี่น้องทั้งปวงก็พอใจ

เลื่อน ( 23 )
2ซมอ 24.22 อาราวนาห์จึงกราบทูลดาวิดว่า “ขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์จงรับสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบขึ้นถวาย ดูเถิด ที่นี่มีวัวสำหรับทำเครื่องเผาบูชา และเลื่อนนวดข้าวกับแอกสำหรับวัวเป็นฟืน”
1พศด 21.23 แล้วโอรนันกราบทูลดาวิดว่า “ขอทรงรับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ และขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์กระทำสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด นี่พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ขอถวายวัวสำหรับเครื่องเผาบูชา และถวายเลื่อนนวดข้าวให้เป็นฟืน แล้วข้าวสาลีเป็นธัญญบูชา ข้าพระองค์ขอถวายหมด”
อสธ 2.9 หญิงนั้นเป็นที่พอใจเขาและเธอก็เป็นที่โปรดปรานแก่เขา เขาจึงรีบจัดหาเครื่องประเทืองผิว และส่วนของเธอให้เธอ พร้อมกับสาวใช้ที่คัดเลือกแล้วเจ็ดคนจากราชสำนัก แล้วก็เลื่อนเธอและสาวใช้ของเธอขึ้นไปยังสถานที่ที่ดีที่สุดในฮาเร็ม
อสธ 3.1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้กษัตริย์อาหสุเอรัสทรงเลื่อนยศฮามานบุตรชายฮัมเมดาธา คนอากัก กษัตริย์ทรงเลื่อนท่านและทรงตั้งเก้าอี้ของท่านไว้เหนือกว่าของเจ้านายทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์
อสธ 5.11 ฮามานพรรณนาถึงความโอ่โถงแห่งความมั่งมีของท่าน จำนวนบุตรของท่าน และเกียรติยศทั้งสิ้นซึ่งกษัตริย์พระราชทานแก่ท่าน และถึงเรื่องว่ากษัตริย์ได้เลื่อนท่านขึ้นเหนือเจ้านาย และข้าราชการของกษัตริย์อย่างไร
อสธ 10.2 พระราชกิจอันกอปรด้วยพระราชอำนาจและอานุภาพ กับเรื่องราวละเอียดของยศศักดิ์อันสูงของโมรเดคัย ซึ่งกษัตริย์ทรงเลื่อนท่านขึ้น มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารของกษัตริย์แห่งมีเดียและเปอร์เซียหรือ
อสย 28.27 เขาไม่นวดเทียนแดงด้วยเลื่อนนวดข้าว และเขาไม่เอาล้อเกวียนกลิ้งทับยี่หร่า แต่เขาเอาไม้พลองตีเทียนแดงให้หลุดออก และเอาตะบองตียี่หร่า
อสย 41.15 ดูเถิด เราจะกระทำเจ้าให้เป็นเลื่อนนวดข้าวใหม่ คม และมีฟัน เจ้าจะนวดและบดภูเขา และเจ้าจะทำเนินเขาให้เหมือนแกลบ
อสย 46.1 “พระเบลก็เลื่อนลง พระเนโบก็ทรุดลง ปฏิมากรของพระนี้อยู่บนสัตว์และวัว สิ่งเหล่านี้ที่เจ้าหามอยู่ก็มาบรรทุกเป็นภาระบนหลังสัตว์ที่เหน็ดเหนื่อย
อสย 46.2 มันทรุดลงและมันเลื่อนลงด้วยกัน มันช่วยป้องกันภาระนั้นไม่ได้ มันเองก็ตกไปเป็นเชลย
ดนล 3.30 แล้วกษัตริย์ได้ทรงเลื่อนยศให้ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกสูงขึ้นอีกในเมืองบาบิโลน
อมส 1.3 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เพราะเหตุการละเมิดของดามัสกัส สามครั้งและสี่ครั้ง เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์ เพราะว่าเขาทั้งหลายได้นวดกิเลอาดด้วยเลื่อนเหล็กสำหรับนวดข้าว
มธ 17.20 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เพราะเหตุพวกท่านไม่มีความเชื่อ ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเลื่อน และไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่านเลย
มธ 26.39 แล้วพระองค์เสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดิน อธิษฐานว่า “โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
มธ 26.42 พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สองอีกว่า “โอ ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”
มก 14.36 พระองค์ทูลว่า “อับบา พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ทรงสามารถกระทำสิ่งทั้งปวงได้ ขอเอาถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่ว่าอย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
ลก 14.9 และเจ้าภาพที่ได้เชิญท่านทั้งสองนั้นจะมาพูดกับท่านว่า ‘จงให้ที่นั่งแก่ท่านผู้นี้เถิด’ แล้วเมื่อนั้นท่านจะต้องเลื่อนลงมาที่ต่ำได้รับความอดสู
ลก 14.10 แต่เมื่อท่านได้รับเชิญแล้ว จงไปเอนกายลงในที่ต่ำก่อน เพื่อว่าเมื่อเจ้าภาพที่ได้เชิญท่านมาพูดกับท่านว่า ‘สหายเอ๋ย เชิญเลื่อนไปนั่งที่อันมีเกียรติ’ แล้วท่านจะได้เกียรติต่อหน้าคนทั้งหลายที่เอนกายลงรับประทานด้วยกันนั้น
ลก 22.42 ว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด”
กจ 24.22 เมื่อเฟลิกส์ได้ยินสิ่งเหล่านี้ ท่านก็เลื่อนการพิจารณาไว้ก่อน เพราะท่านได้รู้เรื่องของทางนั้นถี่ถ้วนแล้ว ท่านจึงกล่าวว่า “เมื่อลีเซียสนายพันลงมา เราจะชำระความของเจ้า”
วว 6.14 ท้องฟ้าก็หายไปเหมือนกับหนังสือที่เขาม้วนขึ้นไปหมด และภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็เลื่อนไปจากที่เดิม

เลื่อนลอย ( 2 )
ปฐก 15.17 ต่อมาเมื่อดวงอาทิตย์ตกและค่ำมืด ดูเถิด เตาที่ควันพลุ่งอยู่และคบเพลิงได้เลื่อนลอยมาที่ระหว่างกลางซีกสัตว์เหล่านั้น
วว 21.2 ข้าพเจ้า คือยอห์น ได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากพระเจ้าและจากสวรรค์ กรุงนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี

เลื่อย ( 7 )
2ซมอ 12.31 ทรงควบคุมประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นให้ทำงานด้วยเลื่อย คราดเหล็กและขวานเหล็กและบังคับให้ทำงานที่เตาเผาอิฐ ได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่บรรดาหัวเมืองของคนอัมโมนทั่วไป แล้วดาวิดก็เสด็จกลับไปกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพลทั้งสิ้น
1พกษ 7.9 ทั้งสิ้นเหล่านี้สร้างด้วยหินอันมีค่า สกัดออกมาตามขนาด ใช้เลื่อย เลื่อยทั้งด้านหลังและด้านหน้า ตั้งแต่ฐานถึงยอดผนัง และมีตั้งแต่ข้างนอกถึงลานใหญ่
1พศด 20.3 พระองค์ทรงนำประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นออกมา ตั้งเขาให้ทำงานหนักอยู่กับเลื่อยและเหล็กขุดและขวาน และดาวิดทรงกระทำเช่นนั้นแก่หัวเมืองทั้งสิ้นของคนอัมโมน แล้วดาวิดกับประชาชนทั้งปวงก็กลับสู่เยรูซาเล็ม
อสย 10.15 ขวานจะคุยข่มคนที่ใช้มันสกัดนั้นหรือ หรือเลื่อยจะทะนงตัวเหนือผู้ที่ใช้มันเลื่อยนั้นหรือ เหมือนกับว่าตะบองจะยกผู้ซึ่งถือมันขึ้นตี หรืออย่างไม้พลองจะยกตัวขึ้นเหมือนกับว่ามันไม่ทำด้วยไม้
ฮบ 11.37 บางคนถูกหินขว้าง บางคนก็ถูกเลื่อยเป็นท่อนๆ บางคนถูกทดลอง บางคนก็ถูกฆ่าด้วยดาบ บางคนเที่ยวสัญจรไปนุ่งห่มหนังแกะและหนังแพะ อดอยาก ทนทุกข์เวทนาและทนการเคี่ยวเข็ญ

เลื้อย ( 4 )
ปฐก 3.14 พระเยโฮวาห์พระเจ้าตรัสแก่งูนั้นว่า “เพราะเหตุที่เจ้าได้กระทำเช่นนี้ เจ้าถูกสาปแช่งมากกว่าบรรดาสัตว์ใช้งาน และบรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง เจ้าจะเลื้อยไปด้วยท้องของเจ้า และเจ้าจะกินผงคลีดินตลอดวันเวลาในชีวิตของเจ้า
ลนต 11.42 สิ่งใดที่เลื้อยไปด้วยท้อง หรือสิ่งที่เดินสี่ขา หรือสิ่งที่มีหลายขา ทุกสิ่งที่คลานไปบนแผ่นดิน เจ้าอย่ารับประทาน เพราะเป็นสิ่งพึงรังเกียจ
โยบ 8.17 รากของเขาเลื้อยไปเกาะกองหิน และหยั่งลงไปในซอกก้อนหิน
ยรม 46.22 เธอทำเสียงเหมือนงูที่กำลังเลื้อยออกไป เพราะศัตรูของเธอจะเดินกระบวนเข้ามาด้วยกำลังทัพ และมาสู้กับเธอด้วยขวาน เหมือนอย่างคนเหล่านั้นที่โค่นต้นไม้

เลื้อยคลาน ( 8 )
ปฐก 1.25 พระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
ปฐก 1.30 สำหรับบรรดาสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลก บรรดานกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลก เราให้บรรดาพืชผักเขียวสดเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น
ปฐก 7.8 สัตว์ทั้งปวงที่สะอาดและสัตว์ทั้งปวงที่ไม่สะอาดและฝูงนกและบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินโลก
ลนต 11.29 ในบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานไปบนดิน ชนิดต่อไปนี้เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า คือ อีเห็น หนู เหี้ยตามชนิดของมัน
ลนต 11.46 เหล่านี้เป็นพระราชบัญญัติกล่าวถึงเรื่องสัตว์และนก และสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวไปมาในน้ำ และสัตว์ทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน
ลนต 20.25 เหตุฉะนั้นเจ้าจงแยกแยะความแตกต่างระหว่างสัตว์สะอาดและสัตว์มลทิน ระหว่างนกมลทินและนกสะอาด เจ้าอย่ากระทำตัวให้เป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนด้วยสัตว์หรือนกหรือสิ่งมีชีวิตในลักษณะใดๆ ที่เลื้อยคลานอยู่บนดิน ซึ่งเราได้แยกให้เจ้าแล้วว่าเป็นสิ่งมลทิน
ลนต 22.5 หรือผู้ใดที่แตะต้องสิ่งเลื้อยคลาน ซึ่งกระทำให้เขามลทิน หรือแตะต้องคนซึ่งอาจทำให้เขามลทิน ไม่ว่าจะเป็นมลทินชนิดใด
ฮบก 1.14 เพราะว่าพระองค์ทรงให้มนุษย์เป็นดังปลาในทะเล เป็นดังสิ่งเลื้อยคลาน ที่ไม่มีหัวหน้า

แล ( 7 )
อพย 10.5 ฝูงตั๊กแตนนั้นจะปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลไม่เห็นพื้นดิน และสิ่งที่เหลือจากลูกเห็บทำลาย มันจะกิน และต้นไม้ทุกต้นซึ่งงอกขึ้นให้เจ้าในทุ่งนานั้น มันจะกินเสียหมด
อพย 10.15 เพราะมันปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลมืดไป มันกินผักในแผ่นดินทุกอย่าง และผลไม้ทุกอย่างซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย ไม่มีพืชใบเขียวเหลือเลย ไม่ว่าต้นไม้หรือผักในทุ่ง ทั่วแผ่นดินอียิปต์
1พกษ 6.18 มีไม้สนสีดาร์ที่อยู่ข้างในพระนิเวศแกะเป็นรูปดอกตูมและดอกไม้บาน เป็นไม้สนสีดาร์ทั้งสิ้น ในที่นั่นแลไม่เห็นหินเลย
โยบ 33.21 เนื้อของเขาทรุดโทรมไปมากจนมองไม่เห็น กระดูกของเขาซึ่งแลไม่เห็นนั้นก็โผล่ออกมา
อสค 12.13 และเราจะกางข่ายของเราคลุมท่าน และท่านจะติดกับของเรา และเราจะนำท่านเข้าไปในบาบิโลนแผ่นดินของคนเคลเดีย ถึงกระนั้นท่านจะยังแลไม่เห็นแผ่นดินนั้น และท่านจะต้องตายที่นั่น
อสค 32.10 เออ เมื่อเราแกว่งดาบของเราต่อหน้าเขาทั้งหลาย เราจะกระทำให้ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากแลตะลึงที่ท่าน และกษัตริย์ของเขาทั้งหลายจะสะทกสะท้านเพราะท่าน ในวันที่ท่านล้มลงนั้น เขาทั้งหลายจะตัวสั่นทุกขณะจิตทั่วกันเพราะห่วงชีวิตของตนเอง
ยน 14.17 คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นพระองค์และไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านและจะประทับอยู่ในท่าน

แลก ( 23 )
ปฐก 47.16 โยเซฟจึงบอกว่า “ถ้าเงินหมดแล้วจงเอาฝูงสัตว์ของเจ้ามาและเราจะให้ข้าวแลกกับสัตว์”
ปฐก 47.17 เขาก็นำฝูงสัตว์มาให้โยเซฟ โยเซฟก็ให้อาหารแก่เขาแลกกับม้า แพะแกะ ฝูงวัวและลา ในปีนั้นท่านจ่ายอาหารแลกกับสัตว์ต่างๆของเขา
ปฐก 47.19 เหตุใดข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องอดตายต่อหน้าต่อตาท่านเล่า ทั้งตัวข้าพเจ้ากับที่ดินของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย ขอท่านโปรดซื้อพวกข้าพเจ้ากับที่ดินแลกกับอาหาร ข้าพเจ้าทั้งหลายกับที่ดินจะเป็นทาสของฟาโรห์ ขอท่านโปรดให้เมล็ดข้าวแก่พวกข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่ได้และไม่ตายเพื่อที่ดินนั้นจะไม่รกร้างไป”
1พกษ 21.2 อาหับตรัสกับนาโบทว่า “จงให้สวนองุ่นของเจ้าแก่เราเถิด เพื่อเราจะได้ทำสวนผักเพราะอยู่ใกล้วังของเรา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่าเพื่อแลกสวนนี้ หรือถ้าเจ้าเห็นชอบ เราจะให้เงินสมกับราคาสวนนั้น”
1พกษ 21.6 และพระองค์ตรัสตอบพระนางว่า “เพราะเราได้พูดกับนาโบทชาวยิสเรเอลว่า ‘จงขายสวนองุ่นของเจ้าให้แก่เรา หรือมิฉะนั้นถ้าเจ้าพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอีกแห่งหนึ่งแก่เจ้าเพื่อแลกกัน’ และเขาตอบว่า ‘ข้าพระองค์จะไม่ให้สวนองุ่นของข้าพระองค์แก่พระองค์’”
โยบ 28.17 จะเทียบเท่าทองคำและแก้วผลึกก็ไม่ได้ หรือจะแลกกับเครื่องทองคำเนื้อดีก็ไม่ได้
สดด 106.20 ท่านจึงเอาสง่าราศีของพระเจ้าแลกกับรูปของวัวที่กินหญ้า
พซม 8.7 น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น คนนั้นจะได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
อสย 43.3 เพราะเราเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล ผู้ช่วยให้รอดของเจ้า เราให้อียิปต์เป็นค่าไถ่ของเจ้า ให้เอธิโอเปียและเส-บาเพื่อแลกกับเจ้า
อสย 43.4 เพราะว่าเจ้าประเสริฐในสายตาของเรา เจ้าได้รับเกียรติและเรารักเจ้า เราจึงให้คนเพื่อแลกกับเจ้า และให้ชนชาติทั้งหลายเพื่อแลกกับชีวิตของเจ้า
ยรม 2.11 มีประชาชาติใดเคยได้เปลี่ยนพระของตน ถึงแม้ว่าพระเหล่านั้นไม่เป็นพระ แต่ประชาชนของเราได้เอาสง่าราศีของเขาแลกกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อย่างใด”
พคค 1.11 บรรดาพลเมืองของเธอได้ถอนใจใหญ่ เขาทั้งหลายเสาะหาอาหาร และพวกเขาได้เอาของประเสริฐของตัวออกแลกอาหารกิน เพื่อจะได้ประทังชีวิต “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงทอดพระเนตรและพิจารณา เพราะข้าพระองค์เป็นที่เหยียดหยามเสียแล้ว”
อสค 27.14 วงศ์วานโทการมาห์เอาม้า ม้าศึกและล่อมาแลกกับสินค้าของเจ้า
อสค 27.16 เมืองซีเรียไปมาค้าขายกับเจ้าเพราะเจ้ามีสินค้าอุดม เขาเอามรกต ผ้าสีม่วง ผ้าปัก ป่านเนื้อละเอียด หินปะการังและโมรามาแลกกับสิ้นค้าของเจ้า
อสค 27.17 ยูดาห์และแผ่นดินอิสราเอลก็ค้าขายกับเจ้า เขาเอาข้าวสาลีเมืองมินนิทและเมืองปานาง น้ำผึ้ง น้ำมัน พิมเสน มาแลกกับสินค้าของเจ้า
อสค 27.19 ดานและยาวานมาแลกกับสินค้าของเจ้า เขาเอาเหล็กหล่อ การบูร ตะไคร้มาแลกกับสินค้าของเจ้า
อสค 27.22 พ่อค้าทั้งหลายของเมืองเชบาและเมืองราอามาห์ก็ค้าขายกับเจ้า เขาเอาเครื่องเทศชนิดดีๆทั้งสิ้นและเพชรพลอยทุกชนิด และทองคำมาแลกสินค้ากับเจ้า
มธ 16.26 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของตนกลับคืนมา
มก 8.37 เพราะว่าผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของตนกลับคืนมา
รม 1.23 และเขาได้เอาสง่าราศีของพระเจ้าผู้เป็นอมตะ มาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตายหรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน

แลกเปลี่ยน ( 4 )
อสค 27.9 ผู้ใหญ่ของเมืองเกบาลและนักปราชญ์ของเมืองนี้ก็อยู่ในเจ้าเป็นช่างไม้ประจำเรือให้เจ้า บรรดาเรือทะเลทั้งสิ้นพร้อมกะลาสีก็อยู่ในเจ้าเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากับเจ้า
อสค 27.12 ทารชิชไปมาค้าขายกับเจ้าเพราะเจ้ามีทรัพยากรมากมายหลายชนิด เขาเอาเงิน เหล็ก ดีบุก และตะกั่วมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าของเจ้า
อสค 27.13 เมืองยาวาน ทูบัลและเมเชค ค้าขายกับเจ้า เขาแลกเปลี่ยนคนและภาชนะทองสัมฤทธิ์กับสินค้าของเจ้า
อสค 48.14 อย่าให้เขาขายหรือแลกเปลี่ยนส่วนหนึ่งส่วนใดเลย อย่าให้เขาเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ของที่ดินดีนี้ เพราะเป็นส่วนบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์

แล่ง ( 7 )
ปฐก 27.3 ฉะนั้นบัดนี้เจ้าจงเอาอาวุธของเจ้า คือแล่งธนูและคันธนูออกไปที่ท้องทุ่ง หาเนื้อมาให้พ่อ
โยบ 39.23 แล่งธนูกวัดแกว่งกระทบมัน หอกใหญ่ที่วาววับและหอกซัดกระแทกมัน
สดด 127.5 ชายใดๆที่มีลูกธนูเต็มแล่งก็เป็นสุข เขาจะไม่ต้องละอาย แต่เขาจะพูดกับศัตรูของเขาที่ประตูเมือง
อสย 22.6 เอลามหยิบแล่งธนู กับเหล่ารถรบพร้อมพลรบและพลม้าและคีร์ก็เผยโล่
อสย 49.2 พระองค์ทรงทำปากของข้าพเจ้าเหมือนดาบคม พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำข้าพเจ้าให้เป็นลูกศรขัดมัน พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้เสียในแล่งของพระองค์
ยรม 5.16 แล่งธนูของเขาเหมือนอุโมงค์เปิด เขาเป็นทแกล้วทหารทุกคน
พคค 3.13 พระองค์ทรงเอาลูกธนูในแล่งของพระองค์ ยิงเข้าในหัวใจของข้าพเจ้าแล้ว

แลดู ( 9 )
ปฐก 13.10 โลทเงยหน้าขึ้นแลดูและเห็นว่าบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดนมีน้ำบริบูรณ์อยู่ทุกแห่ง เหมือนพระอุทยานของพระเยโฮวาห์ เหมือนกับแผ่นดินอียิปต์ไปทางเมืองโศอาร์ ก่อนที่พระเยโฮวาห์ทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์
ปฐก 13.14 ภายหลังที่โลทแยกจากท่านไปแล้วพระเยโฮวาห์ตรัสแก่อับรามว่า “จงเงยหน้าขึ้นแลดูและมองดูจากสถานที่ที่เจ้าอยู่นี้ไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
1พศด 15.29 และต่อมาเมื่อหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์มาถึงนครดาวิดแล้ว มีคาลราชธิดาของซาอูลแลดูตามช่องพระแกลเห็นกษัตริย์ดาวิดทรงเต้นรำและทรงร่าเริงอยู่ พระนางก็มีใจดูหมิ่นพระองค์
พคค 3.50 กว่าพระเยโฮวาห์จะทอดพระเนตรลงแลดูจากสวรรค์
มก 9.8 ทันใดนั้น เมื่อสาวกแลดูรอบก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับเขา
ลก 6.20 พระองค์ทอดพระเนตรแลดูเหล่าสาวกของพระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นคนยากจนก็เป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน
2คร 3.18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าไว้ จึงแลดูสง่าราศีขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนมองดูในกระจก และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือมีสง่าราศีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างสง่าราศีที่มาจากพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า
2คร 10.7 ท่านแลดูสิ่งที่ปรากฏภายนอกหรือ ถ้าผู้ใดมั่นใจว่าตนเป็นคนของพระคริสต์ ก็ให้ผู้นั้นคำนึงถึงตนเองอีกว่า เมื่อเขาเป็นคนของพระคริสต์ เราก็เป็นคนของพระคริสต์เหมือนกัน
ยก 1.24 ด้วยว่าคนนั้นแลดูตัวเองแล้วไปเสีย แล้วในทันใดนั้นก็ลืมว่าตัวเป็นอย่างไร

แล่น ( 32 )
อพย 14.25 พระองค์ทรงกระทำให้ล้อรถฝืดจนแล่นไปแทบไม่ไหว คนอียิปต์จึงพูดกันว่า “ให้เราหนีไปจากหน้าคนอิสราเอลเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ทรงต่อสู้กับคนอียิปต์แทนเขา”
2พศด 9.21 เพราะเรือของกษัตริย์แล่นไปยังทารชิชพร้อมกับข้าราชการของหุราม กำปั่นทารชิชนำทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และนกยูง มาสามปีต่อครั้ง
สดด 104.26 กำปั่นแล่นไปโน่นแน่ะ และเลวีอาธานที่พระองค์สร้างไว้ให้เล่นนั้น
อสย 33.21 แต่นั่นพระเยโฮวาห์จะทรงอยู่กับเราด้วยความโอ่อ่าตระการ ในที่ที่มีแม่น้ำและลำธารกว้าง ที่จะไม่มีเรือกรรเชียงใหญ่แล่นไป ที่จะไม่มีเรืองามโอ่อ่าผ่านไป
ลก 8.23 เมื่อกำลังแล่นไปพระองค์ทรงบรรทมหลับ และบังเกิดพายุกล้ากลางทะเลสาบ น้ำเข้าเรืออยู่น่ากลัวจะมีอันตราย
ลก 8.26 เขาแล่นไปถึงแขวงชาวเมืองกาดาราที่อยู่ตรงข้ามกาลิลี
กจ 13.4 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งสองที่ได้รับใช้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงลงไปเมืองเซลูเคีย และได้แล่นเรือจากที่นั่นไปยังเกาะไซปรัส
กจ 13.13 แล้วเปาโลกับพวกของท่านก็แล่นเรือออกจากเมืองปาโฟสไปยังเมืองเปอร์กาในแคว้นปัมฟีเลีย ยอห์นได้ละพวกนั้นไว้แล้วกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 14.26 และแล่นจากที่นั่นไปยังเมืองอันทิโอก คือเมืองที่ท่านทั้งสองได้รับการฝากไว้ในพระคุณของพระเจ้า ให้กระทำการซึ่งท่านทั้งสองได้กระทำสำเร็จมาแล้วนั้น
กจ 18.18 ต่อมาเปาโลได้พักอยู่ที่นั่นอีกหลายวัน แล้วท่านจึงลาพวกพี่น้องแล่นเรือไปยังแคว้นซีเรีย และปริสสิลลากับอาควิลลาก็ไปด้วย เปาโลได้โกนศีรษะที่เมืองเคนเครีย เพราะท่านได้ปฏิญาณตัวไว้
กจ 18.21 แต่ได้ลาเขาไปกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะพยายามรักษาเทศกาลเลี้ยงที่จะถึงในกรุงเยรูซาเล็มโดยทุกวิถีทาง แต่ถ้าเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับมาหาท่านทั้งหลายอีก” แล้วเปาโลได้ลงเรือแล่นออกจากเมืองเอเฟซัส
กจ 20.13 ฝ่ายพวกเราก็ลงเรือแล่นไปยังเมืองอัสโสสก่อน ตั้งใจว่าจะรับเปาโลที่นั่น ด้วยท่านสั่งไว้อย่างนั้น เพราะท่านหมายว่าจะไปทางบก
กจ 20.15 ครั้นแล่นเรือออกจากที่นั่นได้วันหนึ่งก็มายังที่ตรงข้ามเกาะคิโอส วันที่สองก็มาถึงเกาะสามอส และหยุดพักที่โตรกิเลียม และอีกวันหนึ่งก็มาถึงเมืองมิเลทัส
กจ 20.16 ด้วยว่าเปาโลได้ตั้งใจว่า จะแล่นเลยเมืองเอเฟซัสไป เพื่อจะไม่ต้องค้างอยู่นานในแคว้นเอเชีย เพราะท่านรีบให้ถึงกรุงเยรูซาเล็ม ถ้าเป็นได้ให้ทันวันเทศกาลเพ็นเทคศเต
กจ 21.1 ต่อมาเมื่อพวกเราลาเขาเหล่านั้นแล้วก็แล่นเรือตรงไปยังเกาะโขส อีกวันหนึ่งก็มาถึงเกาะโรดส์ เมื่อออกจากที่นั่นก็มายังเมืองปาทารา
กจ 21.2 เราพบเรือลำหนึ่งที่ไปเมืองฟินิเซีย จึงลงเรือลำนั้นแล่นต่อไป
กจ 21.3 ครั้นแลเห็นเกาะไซปรัสแล้ว เราก็ผ่านเกาะนั้นไปข้างขวา แล่นไปยังแคว้นซีเรีย จอดเรือที่ท่าเมืองไทระ เพราะจะเอาของบรรทุกขึ้นท่าที่นั่น
กจ 21.7 ครั้นพวกเราแล่นเรือมาจากเมืองไทระถึงเมืองทอเลเมอิสแล้ว ก็สิ้นทางทะเล เราจึงคำนับพวกพี่น้องและพักอยู่กับเขาหนึ่งวัน
กจ 27.1 ครั้นตั้งใจว่าพวกเราจะต้องแล่นเรือไปยังประเทศอิตาลี เขาจึงมอบเปาโลกับนักโทษอื่นบางคนไว้กับนายร้อยคนหนึ่งชื่อยูเลียส เป็นนายทหารในกองของออกัสตัส
กจ 27.4 ครั้นเรือออกจากที่นั่นแล้ว จึงแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะไซปรัสเพราะทวนลม
กจ 27.5 เมื่อแล่นข้ามทะเลที่อยู่ตรงแคว้นซีลีเซียกับแคว้นปัมฟีเลีย ก็มาถึงเมืองมิราที่อยู่ในแคว้นลีเซีย
กจ 27.7 เราแล่นไปช้าๆหลายวันและได้มาถึงเมืองคนีดัสโดยยาก เมื่อแล่นทวนลมต่อไปไม่ไหว เราจึงแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะครีตตรงเมืองสัลโมเน
กจ 27.8 เมื่อเรือแล่นเลียบฝั่งเกาะนั้นอย่างยากเย็น เราจึงมายังตำบลหนึ่งชื่อว่า ท่างาม เมืองลาเซียอยู่ใกล้ที่นั่น
กจ 27.10 ว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเห็นว่าซึ่งเราจะแล่นไปคราวนี้จะมีอันตรายและเสียหายมาก มิใช่แต่ของบรรทุกกับเรือกำปั่นเท่านั้นแต่ชีวิตของเราทั้งหลายด้วย”
กจ 27.13 เมื่อลมทิศใต้พัดมาเบาๆ เขาก็คิดว่าสมความปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นเลียบฝั่งไปตามเกาะครีต
กจ 27.14 แต่แล่นไปไม่ช้าเรือกำปั่นก็ถูกลมพายุกล้าที่เขาเรียกว่า ยุระกิโล
กจ 27.16 เมื่อแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อว่าคลาวดา เราจึงยกเรือเล็กขึ้นผูกไว้ได้แต่มีความลำบากมาก
กจ 27.40 เขาจึงตัดสายสมอทิ้งเสียในทะเล แล้วก็แก้เชือกที่มัดหางเสือ และชักใบหัวเรือขึ้นให้กินลมแล่นตรงเข้าไปหาฝั่ง
กจ 28.10 เขาทั้งหลายจึงให้เกียรติพวกเราหลายประการ เมื่อเราจะแล่นเรือไปจากที่นั่น เขาจึงนำสิ่งของที่เราต้องการมาใส่เรือ
ยก 3.4 จงดูเรือด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเป็นเรือใหญ่ และถูกลมแรงพัดแล่นไป เรือก็ยังหันไปมาด้วยหางเสือเล็กๆตามใจนายท้ายที่จะให้ไปทางไหน

แลบ ( 2 )
โยบ 28.26 เมื่อพระองค์ทรงสร้างกฎให้ฝน และสร้างทางไว้ให้แสงแลบของฟ้าผ่า
ลก 17.24 ด้วยว่าเปรียบเหมือนฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง บุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นแหละในวันของพระองค์

แลบลิ้น ( 1 )
อสย 57.4 เจ้าทั้งหลายพูดเย้ยหยันใคร เจ้าอ้าปากเย้ยแลบลิ้นหลอกผู้ใด เจ้าเป็นลูกแห่งการละเมิด เป็นเชื้อสายแห่งความมุสามิใช่หรือ

แล้ว ( 6295 )
ปฐก 1.3; ปฐก 1.25; ปฐก 2.2; ปฐก 2.3; ปฐก 2.9; ปฐก 2.19; ปฐก 2.21; ปฐก 3.6; ปฐก 3.11; ปฐก 4.11; ปฐก 4.15; ปฐก 4.24; ปฐก 5.4; ปฐก 5.7; ปฐก 5.10; ปฐก 5.13; ปฐก 5.16; ปฐก 5.19; ปฐก 5.22; ปฐก 5.26; ปฐก 5.30; ปฐก 6.4; ปฐก 6.13; ปฐก 8.3; ปฐก 8.11; ปฐก 8.12; ปฐก 8.13; ปฐก 8.21; ปฐก 9.24; ปฐก 11.3; ปฐก 11.6; ปฐก 11.11; ปฐก 11.13; ปฐก 11.15; ปฐก 11.17; ปฐก 11.19; ปฐก 11.21; ปฐก 11.23; ปฐก 11.25; ปฐก 11.31; ปฐก 12.1; ปฐก 12.8; ปฐก 12.14; ปฐก 13.14; ปฐก 14.11; ปฐก 14.12; ปฐก 14.13; ปฐก 14.17; ปฐก 15.18; ปฐก 16.3; ปฐก 16.4; ปฐก 16.5; ปฐก 16.10; ปฐก 16.11; ปฐก 17.17; ปฐก 17.20; ปฐก 17.22; ปฐก 18.5; ปฐก 18.6; ปฐก 18.8; ปฐก 18.11; ปฐก 18.12; ปฐก 18.13; ปฐก 18.33; ปฐก 19.1; ปฐก 19.2; ปฐก 19.6; ปฐก 19.17; ปฐก 19.23; ปฐก 19.29; ปฐก 19.31; ปฐก 20.3; ปฐก 20.6; ปฐก 20.7; ปฐก 20.14; ปฐก 20.15; ปฐก 21.4; ปฐก 21.7; ปฐก 21.14; ปฐก 21.16; ปฐก 21.17; ปฐก 21.19; ปฐก 21.32; ปฐก 22.3; ปฐก 22.5; ปฐก 22.6; ปฐก 22.9; ปฐก 22.10; ปฐก 22.12; ปฐก 22.19; ปฐก 22.20; ปฐก 23.2; ปฐก 23.8; ปฐก 23.13; ปฐก 23.16; ปฐก 24.1; ปฐก 24.3; ปฐก 24.10; ปฐก 24.16; ปฐก 24.17; ปฐก 24.18; ปฐก 24.19; ปฐก 24.20; ปฐก 24.22; ปฐก 24.28; ปฐก 24.31; ปฐก 24.33; ปฐก 24.36; ปฐก 24.41; ปฐก 24.46; ปฐก 24.47; ปฐก 24.48; ปฐก 24.49; ปฐก 24.51; ปฐก 24.53; ปฐก 24.54; ปฐก 24.55; ปฐก 24.56; ปฐก 24.61; ปฐก 24.67; ปฐก 25.8; ปฐก 25.11; ปฐก 25.24; ปฐก 25.29; ปฐก 25.32; ปฐก 25.34; ปฐก 26.3; ปฐก 26.7; ปฐก 26.8; ปฐก 26.9; ปฐก 26.10; ปฐก 26.18; ปฐก 26.21; ปฐก 26.22; ปฐก 26.25; ปฐก 26.28; ปฐก 26.32; ปฐก 27.2; ปฐก 27.12; ปฐก 27.15; ปฐก 27.17; ปฐก 27.19; ปฐก 27.21; ปฐก 27.22; ปฐก 27.26; ปฐก 27.30; ปฐก 27.33; ปฐก 27.35; ปฐก 27.36; ปฐก 27.38; ปฐก 27.41; ปฐก 27.45; ปฐก 28.1; ปฐก 28.4; ปฐก 28.9; ปฐก 28.11; ปฐก 28.15; ปฐก 28.20; ปฐก 28.21; ปฐก 29.3; ปฐก 29.7; ปฐก 29.8; ปฐก 29.11; ปฐก 29.15; ปฐก 29.21; ปฐก 29.22; ปฐก 29.27; ปฐก 29.28; ปฐก 29.34; ปฐก 30.8; ปฐก 30.12; ปฐก 30.15; ปฐก 30.16; ปฐก 30.20; ปฐก 30.25; ปฐก 30.26; ปฐก 30.27; ปฐก 30.29; ปฐก 31.5; ปฐก 31.6; ปฐก 31.7; ปฐก 31.18; ปฐก 31.22; ปฐก 31.25; ปฐก 31.33; ปฐก 31.35; ปฐก 31.37; ปฐก 31.38; ปฐก 31.40; ปฐก 31.41; ปฐก 31.42; ปฐก 31.43; ปฐก 31.46; ปฐก 31.54; ปฐก 31.55; ปฐก 32.1; ปฐก 32.6; ปฐก 32.12; ปฐก 32.26; ปฐก 32.29; ปฐก 32.30; ปฐก 32.31; ปฐก 33.6; ปฐก 33.9; ปฐก 33.10; ปฐก 33.11; ปฐก 33.13; ปฐก 35.1; ปฐก 35.3; ปฐก 35.12; ปฐก 36.33; ปฐก 36.34; ปฐก 36.35; ปฐก 36.36; ปฐก 36.37; ปฐก 36.38; ปฐก 36.39; ปฐก 37.3; ปฐก 37.5; ปฐก 37.13; ปฐก 37.14; ปฐก 37.17; ปฐก 37.19; ปฐก 37.20; ปฐก 37.22; ปฐก 37.24; ปฐก 37.30; ปฐก 37.32; ปฐก 37.33; ปฐก 37.36; ปฐก 38.14; ปฐก 38.24; ปฐก 38.26; ปฐก 39.1; ปฐก 39.5; ปฐก 39.12; ปฐก 39.13; ปฐก 39.16; ปฐก 39.17; ปฐก 40.11; ปฐก 40.14; ปฐก 40.17; ปฐก 40.20; ปฐก 41.3; ปฐก 41.4; ปฐก 41.6; ปฐก 41.7; ปฐก 41.8; ปฐก 41.14; ปฐก 41.19; ปฐก 41.21; ปฐก 41.32; ปฐก 41.41; ปฐก 41.46; ปฐก 42.13; ปฐก 42.17; ปฐก 42.18; ปฐก 42.20; ปฐก 42.21; ปฐก 42.22; ปฐก 42.24; ปฐก 42.25; ปฐก 42.26; ปฐก 42.29; ปฐก 42.32; ปฐก 42.33; ปฐก 42.34; ปฐก 42.36; ปฐก 42.37; ปฐก 42.38; ปฐก 43.2; ปฐก 43.10; ปฐก 43.13; ปฐก 43.15; ปฐก 43.23; ปฐก 43.24; ปฐก 43.26; ปฐก 43.28; ปฐก 43.29; ปฐก 43.30; ปฐก 43.31; ปฐก 43.34; ปฐก 44.4; ปฐก 44.6; ปฐก 44.16; ปฐก 44.20; ปฐก 44.21; ปฐก 44.24; ปฐก 44.28; ปฐก 45.2; ปฐก 45.4; ปฐก 45.6; ปฐก 45.14; ปฐก 45.19; ปฐก 45.20; ปฐก 45.24; ปฐก 45.28; ปฐก 46.28; ปฐก 46.30; ปฐก 46.31; ปฐก 47.1; ปฐก 47.5; ปฐก 47.6; ปฐก 47.10; ปฐก 47.15; ปฐก 47.16; ปฐก 47.18; ปฐก 47.23; ปฐก 47.24; ปฐก 47.29; ปฐก 47.30; ปฐก 47.31; ปฐก 48.7; ปฐก 48.12; ปฐก 48.15; ปฐก 48.19; ปฐก 48.21; ปฐก 49.1; ปฐก 49.33; ปฐก 50.1; ปฐก 50.4; ปฐก 50.5; ปฐก 50.13; ปฐก 50.14; ปฐก 50.15; ปฐก 50.20; ปฐก 50.24; ปฐก 50.25; ปฐก 50.26; อพย 1.5; อพย 1.6; อพย 1.10; อพย 2.3; อพย 2.9; อพย 2.10; อพย 2.11; อพย 2.12; อพย 2.14; อพย 2.20; อพย 2.21; อพย 2.25; อพย 3.6; อพย 3.7; อพย 3.9; อพย 3.12; อพย 3.14; อพย 3.16; อพย 3.17; อพย 3.18; อพย 3.19; อพย 3.20; อพย 4.5; อพย 4.7; อพย 4.9; อพย 4.14; อพย 4.15; อพย 4.19; อพย 4.21; อพย 4.25; อพย 4.30; อพย 4.31; อพย 5.4; อพย 5.19; อพย 5.23; อพย 6.20; อพย 7.2; อพย 7.13; อพย 7.20; อพย 8.5; อพย 8.8; อพย 8.12; อพย 8.15; อพย 8.19; อพย 8.20; อพย 8.24; อพย 8.26; อพย 8.30; อพย 9.8; อพย 9.12; อพย 9.23; อพย 9.27; อพย 9.29; อพย 9.31; อพย 9.34; อพย 10.6; อพย 10.7; อพย 10.10; อพย 10.11; อพย 10.16; อพย 10.22; อพย 10.29; อพย 11.6; อพย 11.9; อพย 12.6; อพย 12.7; อพย 12.21; อพย 12.22; อพย 12.25; อพย 12.28; อพย 12.32; อพย 12.33; อพย 12.41; อพย 12.44; อพย 12.48; อพย 13.17; อพย 13.19; อพย 14.2; อพย 14.3; อพย 14.4; อพย 14.5; อพย 14.12; อพย 14.16; อพย 14.17; อพย 14.18; อพย 15.14; อพย 15.16; อพย 15.26; อพย 16.4; อพย 16.7; อพย 16.9; อพย 16.10; อพย 16.12; อพย 16.14; อพย 16.21; อพย 17.4; อพย 17.6; อพย 18.7; อพย 18.23; อพย 19.4; อพย 19.7; อพย 19.9; อพย 19.12; อพย 19.14; อพย 19.15; อพย 19.21; อพย 19.24; อพย 20.22; อพย 20.25; อพย 21.6; อพย 21.8; อพย 21.22; อพย 21.32; อพย 21.33; อพย 21.35; อพย 21.36; อพย 22.2; อพย 22.3; อพย 22.5; อพย 22.7; อพย 22.11; อพย 22.13; อพย 22.14; อพย 23.9; อพย 23.15; อพย 23.23; อพย 23.25; อพย 23.30; อพย 24.1; อพย 24.4; อพย 24.12; อพย 24.15; อพย 25.8; อพย 25.11; อพย 25.14; อพย 25.17; อพย 25.21; อพย 25.23; อพย 25.25; อพย 25.37; อพย 26.11; อพย 26.30; อพย 26.33; อพย 26.37; อพย 27.4; อพย 27.8; อพย 28.2; อพย 28.9; อพย 28.11; อพย 28.14; อพย 28.32; อพย 28.41; อพย 29.3; อพย 29.4; อพย 29.9; อพย 29.11; อพย 29.16; อพย 29.18; อพย 29.19; อพย 29.20; อพย 29.24; อพย 29.25; อพย 29.26; อพย 29.32; อพย 29.37; อพย 30.18; อพย 30.26; อพย 31.18; อพย 32.1; อพย 32.2; อพย 32.4; อพย 32.5; อพย 32.6; อพย 32.7; อพย 32.9; อพย 32.13; อพย 32.14; อพย 32.20; อพย 32.22; อพย 32.24; อพย 32.25; อพย 32.26; อพย 32.27; อพย 32.29; อพย 32.33; อพย 32.34; อพย 33.9; อพย 33.11; อพย 33.13; อพย 33.16; อพย 33.17; อพย 33.20; อพย 33.22; อพย 33.23; อพย 34.1; อพย 34.2; อพย 34.4; อพย 34.9; อพย 34.27; อพย 34.31; อพย 34.32; อพย 34.33; อพย 34.34; อพย 35.10; อพย 35.20; อพย 35.25; อพย 36.1; อพย 36.4; อพย 36.7; อพย 37.6; อพย 37.12; อพย 38.22; อพย 39.3; อพย 39.7; อพย 39.25; อพย 39.31; อพย 39.42; อพย 40.4; อพย 40.5; อพย 40.7; อพย 40.9; อพย 40.12; อพย 40.13; อพย 40.14; อพย 40.19; อพย 40.21; อพย 40.23; อพย 40.25; อพย 40.29; อพย 40.30; อพย 40.33; ลนต 1.5; ลนต 1.6; ลนต 1.9; ลนต 1.15; ลนต 2.2; ลนต 2.8; ลนต 3.14; ลนต 4.5; ลนต 4.16; ลนต 4.20; ลนต 4.21; ลนต 4.23; ลนต 4.28; ลนต 5.3; ลนต 5.4; ลนต 5.10; ลนต 6.3; ลนต 6.11; ลนต 6.17; ลนต 6.21; ลนต 8.7; ลนต 8.10; ลนต 8.12; ลนต 8.13; ลนต 8.14; ลนต 8.15; ลนต 8.16; ลนต 8.18; ลนต 8.21; ลนต 8.24; ลนต 8.25; ลนต 8.28; ลนต 8.30; ลนต 9.7; ลนต 9.12; ลนต 9.15; ลนต 9.22; ลนต 10.1; ลนต 10.14; ลนต 10.16; ลนต 10.18; ลนต 10.19; ลนต 11.31; ลนต 12.6; ลนต 12.7; ลนต 12.8; ลนต 13.2; ลนต 13.3; ลนต 13.6; ลนต 13.7; ลนต 13.13; ลนต 13.18; ลนต 13.21; ลนต 13.22; ลนต 13.34; ลนต 13.35; ลนต 13.36; ลนต 13.37; ลนต 13.45; ลนต 13.55; ลนต 13.56; ลนต 13.57; ลนต 13.58; ลนต 14.3; ลนต 14.7; ลนต 14.9; ลนต 14.18; ลนต 14.26; ลนต 14.36; ลนต 14.38; ลนต 14.40; ลนต 14.42; ลนต 14.43; ลนต 14.44; ลนต 14.48; ลนต 14.51; ลนต 15.13; ลนต 15.28; ลนต 16.4; ลนต 16.7; ลนต 16.10; ลนต 16.13; ลนต 16.14; ลนต 16.15; ลนต 16.20; ลนต 16.21; ลนต 16.22; ลนต 16.23; ลนต 16.24; ลนต 16.26; ลนต 17.13; ลนต 17.15; ลนต 19.9; ลนต 19.20; ลนต 20.24; ลนต 20.25; ลนต 22.4; ลนต 23.16; ลนต 23.39; ลนต 25.29; ลนต 25.30; ลนต 25.41; ลนต 25.48; ลนต 26.24; ลนต 26.26; ลนต 26.27; ลนต 26.41; ลนต 27.12; ลนต 27.15; ลนต 27.19; ลนต 27.20; ลนต 27.26; ลนต 27.28; ลนต 27.29; กดว 1.17; กดว 2.17; กดว 3.9; กดว 4.6; กดว 4.7; กดว 4.8; กดว 4.9; กดว 4.10; กดว 4.11; กดว 4.14; กดว 4.15; กดว 4.16; กดว 5.6; กดว 5.13; กดว 5.18; กดว 5.19; กดว 5.20; กดว 5.21; กดว 5.23; กดว 5.24; กดว 5.25; กดว 5.26; กดว 5.27; กดว 5.30; กดว 6.9; กดว 6.12; กดว 6.13; กดว 6.16; กดว 6.19; กดว 6.20; กดว 7.1; กดว 7.4; กดว 7.88; กดว 8.8; กดว 8.9; กดว 8.12; กดว 8.15; กดว 8.16; กดว 9.20; กดว 10.17; กดว 10.21; กดว 10.25; กดว 10.31; กดว 11.1; กดว 11.2; กดว 11.15; กดว 11.25; กดว 11.32; กดว 12.9; กดว 12.12; กดว 12.16; กดว 13.17; กดว 13.32; กดว 14.1; กดว 14.4; กดว 14.9; กดว 14.11; กดว 14.20; กดว 14.35; กดว 14.40; กดว 14.45; กดว 15.24; กดว 16.25; กดว 16.36; กดว 16.46; กดว 16.47; กดว 16.48; กดว 16.50; กดว 17.9; กดว 17.12; กดว 18.8; กดว 18.30; กดว 18.32; กดว 19.7; กดว 19.12; กดว 19.13; กดว 20.6; กดว 20.14; กดว 20.20; กดว 20.28; กดว 20.29; กดว 21.2; กดว 21.9; กดว 21.17; กดว 21.21; กดว 21.29; กดว 21.33; กดว 21.34; กดว 22.1; กดว 22.8; กดว 22.24; กดว 22.26; กดว 22.28; กดว 22.31; กดว 22.33; กดว 22.34; กดว 22.35; กดว 22.36; กดว 22.38; กดว 22.39; กดว 22.40; กดว 23.3; กดว 23.5; กดว 23.11; กดว 23.14; กดว 23.16; กดว 23.19; กดว 23.23; กดว 23.25; กดว 23.26; กดว 23.29; กดว 24.2; กดว 24.10; กดว 24.12; กดว 24.18; กดว 24.20; กดว 24.25; กดว 25.8; กดว 27.7; กดว 27.13; กดว 30.6; กดว 30.7; กดว 30.11; กดว 30.12; กดว 30.15; กดว 31.2; กดว 31.3; กดว 31.11; กดว 31.12; กดว 31.23; กดว 31.48; กดว 31.49; กดว 32.9; กดว 32.16; กดว 32.22; กดว 32.29; กดว 34.9; กดว 34.14; กดว 35.28; กดว 36.3; กดว 36.5; พบญ 1.4; พบญ 1.6; พบญ 1.11; พบญ 1.14; พบญ 1.20; พบญ 1.21; พบญ 1.22; พบญ 1.24; พบญ 1.29; พบญ 1.41; พบญ 2.2; พบญ 2.3; พบญ 2.4; พบญ 2.5; พบญ 2.7; พบญ 2.8; พบญ 2.9; พบญ 2.16; พบญ 2.19; พบญ 2.22; พบญ 2.32; พบญ 3.1; พบญ 3.19; พบญ 3.20; พบญ 3.21; พบญ 3.26; พบญ 4.3; พบญ 4.6; พบญ 4.12; พบญ 4.32; พบญ 4.35; พบญ 4.41; พบญ 4.45; พบญ 4.46; พบญ 5.1; พบญ 5.28; พบญ 6.12; พบญ 6.21; พบญ 6.23; พบญ 7.19; พบญ 8.10; พบญ 9.2; พบญ 9.3; พบญ 9.4; พบญ 9.11; พบญ 9.12; พบญ 9.13; พบญ 9.16; พบญ 9.18; พบญ 9.19; พบญ 9.20; พบญ 9.21; พบญ 10.4; พบญ 10.5; พบญ 11.22; พบญ 11.23; พบญ 12.10; พบญ 12.11; พบญ 12.20; พบญ 12.21; พบญ 12.30; พบญ 15.2; พบญ 15.9; พบญ 15.10; พบญ 16.6; พบญ 16.13; พบญ 17.4; พบญ 17.10; พบญ 17.14; พบญ 17.16; พบญ 18.2; พบญ 18.7; พบญ 19.3; พบญ 19.6; พบญ 19.9; พบญ 19.11; พบญ 19.12; พบญ 20.5; พบญ 20.7; พบญ 20.9; พบญ 20.13; พบญ 21.3; พบญ 21.10; พบญ 21.14; พบญ 21.21; พบญ 22.2; พบญ 22.13; พบญ 22.17; พบญ 22.21; พบญ 22.23; พบญ 22.25; พบญ 22.29; พบญ 23.11; พบญ 23.23; พบญ 24.1; พบญ 24.3; พบญ 24.4; พบญ 24.9; พบญ 25.1; พบญ 25.2; พบญ 25.8; พบญ 25.9; พบญ 25.19; พบญ 26.1; พบญ 26.4; พบญ 26.7; พบญ 26.12; พบญ 26.13; พบญ 26.17; พบญ 26.19; พบญ 27.3; พบญ 27.4; พบญ 27.12; พบญ 28.9; พบญ 28.15; พบญ 28.55; พบญ 28.59; พบญ 29.16; พบญ 29.17; พบญ 29.21; พบญ 29.25; พบญ 30.1; พบญ 30.3; พบญ 30.6; พบญ 30.12; พบญ 30.16; พบญ 31.2; พบญ 31.3; พบญ 31.4; พบญ 31.5; พบญ 31.7; พบญ 31.14; พบญ 31.16; พบญ 31.17; พบญ 31.21; พบญ 31.24; พบญ 31.27; พบญ 31.29; พบญ 32.5; พบญ 32.6; พบญ 32.7; พบญ 32.15; พบญ 32.26; พบญ 32.29; พบญ 32.30; พบญ 32.35; พบญ 32.37; พบญ 32.43; พบญ 32.45; พบญ 33.8; พบญ 33.21; พบญ 34.8; ยชว 1.1; ยชว 1.2; ยชว 1.5; ยชว 1.8; ยชว 1.9; ยชว 1.10; ยชว 1.12; ยชว 1.15; ยชว 2.4; ยชว 2.5; ยชว 2.6; ยชว 2.7; ยชว 2.9; ยชว 2.12; ยชว 2.15; ยชว 2.16; ยชว 2.21; ยชว 2.22; ยชว 2.23; ยชว 2.24; ยชว 3.3; ยชว 3.7; ยชว 3.15; ยชว 3.16; ยชว 4.1; ยชว 4.4; ยชว 4.5; ยชว 4.7; ยชว 4.10; ยชว 4.11; ยชว 4.22; ยชว 5.1; ยชว 5.5; ยชว 5.8; ยชว 5.9; ยชว 5.14; ยชว 6.2; ยชว 6.8; ยชว 6.14; ยชว 6.16; ยชว 6.18; ยชว 6.21; ยชว 7.8; ยชว 7.9; ยชว 7.20; ยชว 7.23; ยชว 7.25; ยชว 7.26; ยชว 8.1; ยชว 8.7; ยชว 8.8; ยชว 8.9; ยชว 8.10; ยชว 8.11; ยชว 8.15; ยชว 8.18; ยชว 8.19; ยชว 8.21; ยชว 8.29; ยชว 8.30; ยชว 8.31; ยชว 9.12; ยชว 9.18; ยชว 9.21; ยชว 10.1; ยชว 10.8; ยชว 10.12; ยชว 10.14; ยชว 10.15; ยชว 10.19; ยชว 10.20; ยชว 10.22; ยชว 10.24; ยชว 10.26; ยชว 10.29; ยชว 10.31; ยชว 10.37; ยชว 10.38; ยชว 10.43; ยชว 13.1; ยชว 13.14; ยชว 14.3; ยชว 14.6; ยชว 14.10; ยชว 14.12; ยชว 14.13; ยชว 15.3; ยชว 15.8; ยชว 15.9; ยชว 15.10; ยชว 15.11; ยชว 15.18; ยชว 15.19; ยชว 16.3; ยชว 16.6; ยชว 16.7; ยชว 17.4; ยชว 17.7; ยชว 17.9; ยชว 17.13; ยชว 17.14; ยชว 17.17; ยชว 18.4; ยชว 18.6; ยชว 18.7; ยชว 18.8; ยชว 18.9; ยชว 18.10; ยชว 18.12; ยชว 18.13; ยชว 18.14; ยชว 18.16; ยชว 18.17; ยชว 18.18; ยชว 18.19; ยชว 19.11; ยชว 19.12; ยชว 19.27; ยชว 19.29; ยชว 19.34; ยชว 19.49; ยชว 20.1; ยชว 20.2; ยชว 20.4; ยชว 21.43; ยชว 21.44; ยชว 22.3; ยชว 22.4; ยชว 22.13; ยชว 22.31; ยชว 22.32; ยชว 23.2; ยชว 23.14; ยชว 23.16; ยชว 24.1; ยชว 24.2; ยชว 24.3; ยชว 24.6; ยชว 24.20; ยชว 24.22; ยชว 24.28; วนฉ 1.1; วนฉ 1.2; วนฉ 1.4; วนฉ 1.14; วนฉ 1.15; วนฉ 2.4; วนฉ 2.6; วนฉ 2.15; วนฉ 3.11; วนฉ 3.18; วนฉ 3.19; วนฉ 3.22; วนฉ 3.23; วนฉ 3.24; วนฉ 3.27; วนฉ 3.28; วนฉ 4.1; วนฉ 4.3; วนฉ 4.9; วนฉ 4.12; วนฉ 4.15; วนฉ 4.21; วนฉ 4.22; วนฉ 5.1; วนฉ 5.11; วนฉ 5.22; วนฉ 6.4; วนฉ 6.13; วนฉ 6.14; วนฉ 6.21; วนฉ 6.26; วนฉ 6.29; วนฉ 6.30; วนฉ 6.36; วนฉ 6.39; วนฉ 7.9; วนฉ 7.13; วนฉ 7.14; วนฉ 7.15; วนฉ 7.17; วนฉ 7.18; วนฉ 7.25; วนฉ 8.2; วนฉ 8.6; วนฉ 8.7; วนฉ 8.11; วนฉ 8.15; วนฉ 8.20; วนฉ 8.21; วนฉ 8.33; วนฉ 9.1; วนฉ 9.10; วนฉ 9.18; วนฉ 9.22; วนฉ 9.29; วนฉ 9.45; วนฉ 9.49; วนฉ 9.55; วนฉ 10.2; วนฉ 10.15; วนฉ 11.2; วนฉ 11.8; วนฉ 11.11; วนฉ 11.18; วนฉ 11.30; วนฉ 11.31; วนฉ 11.32; วนฉ 11.34; วนฉ 11.35; วนฉ 11.36; วนฉ 11.38; วนฉ 11.39; วนฉ 12.3; วนฉ 12.7; วนฉ 12.10; วนฉ 12.12; วนฉ 12.15; วนฉ 13.8; วนฉ 13.13; วนฉ 13.21; วนฉ 14.2; วนฉ 14.11; วนฉ 14.19; วนฉ 15.4; วนฉ 15.5; วนฉ 15.7; วนฉ 15.8; วนฉ 15.14; วนฉ 15.17; วนฉ 15.18; วนฉ 16.2; วนฉ 16.8; วนฉ 16.9; วนฉ 16.12; วนฉ 16.14; วนฉ 16.15; วนฉ 16.18; วนฉ 16.19; วนฉ 16.20; วนฉ 16.22; วนฉ 16.23; วนฉ 16.25; วนฉ 16.30; วนฉ 16.31; วนฉ 17.3; วนฉ 17.4; วนฉ 17.13; วนฉ 18.1; วนฉ 18.9; วนฉ 18.10; วนฉ 18.14; วนฉ 18.21; วนฉ 18.22; วนฉ 19.5; วนฉ 19.9; วนฉ 19.11; วนฉ 19.14; วนฉ 19.16; วนฉ 19.19; วนฉ 19.23; วนฉ 19.29; วนฉ 19.30; วนฉ 20.15; วนฉ 20.16; วนฉ 20.26; วนฉ 20.34; วนฉ 20.36; วนฉ 20.39; วนฉ 20.41; วนฉ 21.6; วนฉ 21.7; วนฉ 21.10; วนฉ 21.11; วนฉ 21.14; วนฉ 21.16; วนฉ 21.21; นรธ 1.5; นรธ 1.6; นรธ 1.8; นรธ 1.9; นรธ 1.12; นรธ 1.13; นรธ 1.14; นรธ 1.15; นรธ 1.18; นรธ 1.19; นรธ 2.8; นรธ 2.9; นรธ 2.11; นรธ 2.12; นรธ 2.17; นรธ 2.18; นรธ 2.20; นรธ 2.22; นรธ 3.3; นรธ 3.4; นรธ 3.7; นรธ 3.13; นรธ 3.15; นรธ 3.16; นรธ 4.4; นรธ 4.5; นรธ 4.6; นรธ 4.9; นรธ 4.10; นรธ 4.11; นรธ 4.16; 1ซมอ 1.9; 1ซมอ 1.11; 1ซมอ 1.17; 1ซมอ 1.18; 1ซมอ 1.19; 1ซมอ 1.22; 1ซมอ 1.24; 1ซมอ 1.25; 1ซมอ 2.11; 1ซมอ 2.16; 1ซมอ 2.20; 1ซมอ 2.22; 1ซมอ 2.31; 1ซมอ 2.32; 1ซมอ 3.8; 1ซมอ 3.11; 1ซมอ 3.13; 1ซมอ 4.5; 1ซมอ 4.6; 1ซมอ 4.7; 1ซมอ 4.14; 1ซมอ 4.17; 1ซมอ 4.18; 1ซมอ 4.21; 1ซมอ 4.22; 1ซมอ 5.9; 1ซมอ 6.3; 1ซมอ 6.6; 1ซมอ 6.7; 1ซมอ 6.8; 1ซมอ 6.10; 1ซมอ 6.16; 1ซมอ 6.20; 1ซมอ 6.21; 1ซมอ 7.3; 1ซมอ 7.5; 1ซมอ 7.12; 1ซมอ 7.17; 1ซมอ 8.1; 1ซมอ 8.5; 1ซมอ 8.12; 1ซมอ 8.22; 1ซมอ 9.4; 1ซมอ 9.7; 1ซมอ 9.15; 1ซมอ 9.16; 1ซมอ 9.17; 1ซมอ 9.18; 1ซมอ 9.20; 1ซมอ 9.22; 1ซมอ 9.24; 1ซมอ 9.26; 1ซมอ 10.1; 1ซมอ 10.2; 1ซมอ 10.6; 1ซมอ 10.7; 1ซมอ 10.13; 1ซมอ 10.14; 1ซมอ 10.16; 1ซมอ 10.20; 1ซมอ 10.24; 1ซมอ 10.25; 1ซมอ 11.3; 1ซมอ 11.12; 1ซมอ 11.14; 1ซมอ 11.15; 1ซมอ 12.1; 1ซมอ 12.2; 1ซมอ 12.5; 1ซมอ 12.10; 1ซมอ 12.13; 1ซมอ 12.15; 1ซมอ 12.20; 1ซมอ 12.22; 1ซมอ 12.24; 1ซมอ 13.1; 1ซมอ 13.6; 1ซมอ 13.11; 1ซมอ 13.13; 1ซมอ 13.14; 1ซมอ 14.3; 1ซมอ 14.8; 1ซมอ 14.9; 1ซมอ 14.10; 1ซมอ 14.11; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.13; 1ซมอ 14.17; 1ซมอ 14.24; 1ซมอ 14.27; 1ซมอ 14.29; 1ซมอ 14.33; 1ซมอ 14.34; 1ซมอ 14.36; 1ซมอ 14.40; 1ซมอ 14.42; 1ซมอ 14.43; 1ซมอ 14.45; 1ซมอ 14.46; 1ซมอ 15.10; 1ซมอ 15.11; 1ซมอ 15.12; 1ซมอ 15.13; 1ซมอ 15.16; 1ซมอ 15.20; 1ซมอ 15.24; 1ซมอ 15.28; 1ซมอ 15.30; 1ซมอ 15.32; 1ซมอ 16.1; 1ซมอ 16.3; 1ซมอ 16.6; 1ซมอ 16.8; 1ซมอ 16.9; 1ซมอ 16.10; 1ซมอ 16.11; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 17.9; 1ซมอ 17.12; 1ซมอ 17.13; 1ซมอ 17.14; 1ซมอ 17.18; 1ซมอ 17.27; 1ซมอ 17.29; 1ซมอ 17.33; 1ซมอ 17.36; 1ซมอ 17.38; 1ซมอ 17.39; 1ซมอ 17.40; 1ซมอ 17.45; 1ซมอ 17.49; 1ซมอ 17.51; 1ซมอ 17.54; 1ซมอ 18.1; 1ซมอ 18.3; 1ซมอ 18.12; 1ซมอ 18.30; 1ซมอ 19.5; 1ซมอ 19.9; 1ซมอ 19.15; 1ซมอ 20.7; 1ซมอ 20.8; 1ซมอ 20.10; 1ซมอ 20.15; 1ซมอ 20.18; 1ซมอ 20.19; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 20.22; 1ซมอ 20.30; 1ซมอ 20.32; 1ซมอ 20.41; 1ซมอ 20.42; 1ซมอ 21.1; 1ซมอ 21.4; 1ซมอ 21.5; 1ซมอ 21.9; 1ซมอ 21.14; 1ซมอ 22.2; 1ซมอ 22.5; 1ซมอ 22.10; 1ซมอ 22.11; 1ซมอ 22.15; 1ซมอ 22.17; 1ซมอ 22.18; 1ซมอ 22.22; 1ซมอ 23.1; 1ซมอ 23.4; 1ซมอ 23.7; 1ซมอ 23.12; 1ซมอ 23.13; 1ซมอ 23.23; 1ซมอ 24.1; 1ซมอ 24.2; 1ซมอ 24.4; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 24.14; 1ซมอ 24.16; 1ซมอ 24.18; 1ซมอ 24.20; 1ซมอ 24.22; 1ซมอ 25.18; 1ซมอ 25.21; 1ซมอ 25.30; 1ซมอ 25.31; 1ซมอ 25.35; 1ซมอ 25.37; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 25.44; 1ซมอ 26.2; 1ซมอ 26.4; 1ซมอ 26.5; 1ซมอ 26.6; 1ซมอ 26.8; 1ซมอ 26.14; 1ซมอ 26.21; 1ซมอ 26.23; 1ซมอ 26.25; 1ซมอ 27.1; 1ซมอ 27.4; 1ซมอ 27.5; 1ซมอ 27.9; 1ซมอ 28.2; 1ซมอ 28.3; 1ซมอ 28.9; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 28.16; 1ซมอ 28.17; 1ซมอ 28.20; 1ซมอ 28.25; 1ซมอ 29.3; 1ซมอ 29.9; 1ซมอ 30.1; 1ซมอ 30.4; 1ซมอ 30.12; 1ซมอ 30.13; 1ซมอ 30.16; 1ซมอ 30.21; 1ซมอ 30.26; 1ซมอ 31.4; 1ซมอ 31.5; 1ซมอ 31.7; 2ซมอ 1.1; 2ซมอ 1.4; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 1.11; 2ซมอ 1.15; 2ซมอ 1.19; 2ซมอ 1.21; 2ซมอ 1.23; 2ซมอ 1.25; 2ซมอ 1.27; 2ซมอ 2.1; 2ซมอ 2.7; 2ซมอ 2.21; 2ซมอ 2.22; 2ซมอ 2.26; 2ซมอ 2.30; 2ซมอ 3.9; 2ซมอ 3.13; 2ซมอ 3.14; 2ซมอ 3.16; 2ซมอ 3.22; 2ซมอ 3.24; 2ซมอ 3.25; 2ซมอ 3.27; 2ซมอ 3.31; 2ซมอ 3.35; 2ซมอ 3.39; 2ซมอ 4.1; 2ซมอ 4.10; 2ซมอ 6.1; 2ซมอ 6.18; 2ซมอ 6.19; 2ซมอ 7.12; 2ซมอ 7.18; 2ซมอ 7.29; 2ซมอ 8.2; 2ซมอ 8.6; 2ซมอ 9.5; 2ซมอ 9.9; 2ซมอ 9.11; 2ซมอ 10.4; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.9; 2ซมอ 10.14; 2ซมอ 10.15; 2ซมอ 10.19; 2ซมอ 11.1; 2ซมอ 11.4; 2ซมอ 11.5; 2ซมอ 11.8; 2ซมอ 11.12; 2ซมอ 11.15; 2ซมอ 11.19; 2ซมอ 11.21; 2ซมอ 11.24; 2ซมอ 11.26; 2ซมอ 11.27; 2ซมอ 12.13; 2ซมอ 12.15; 2ซมอ 12.18; 2ซมอ 12.19; 2ซมอ 12.20; 2ซมอ 12.21; 2ซมอ 12.23; 2ซมอ 12.27; 2ซมอ 12.31; 2ซมอ 13.8; 2ซมอ 13.16; 2ซมอ 13.17; 2ซมอ 13.28; 2ซมอ 13.29; 2ซมอ 13.30; 2ซมอ 13.32; 2ซมอ 13.35; 2ซมอ 13.39; 2ซมอ 14.2; 2ซมอ 14.3; 2ซมอ 14.4; 2ซมอ 14.5; 2ซมอ 14.12; 2ซมอ 14.18; 2ซมอ 14.21; 2ซมอ 14.22; 2ซมอ 14.26; 2ซมอ 14.29; 2ซมอ 15.8; 2ซมอ 15.13; 2ซมอ 15.14; 2ซมอ 15.25; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 16.4; 2ซมอ 16.8; 2ซมอ 16.10; 2ซมอ 16.11; 2ซมอ 16.19; 2ซมอ 16.21; 2ซมอ 17.3; 2ซมอ 17.6; 2ซมอ 17.8; 2ซมอ 17.9; 2ซมอ 17.11; 2ซมอ 17.15; 2ซมอ 17.17; 2ซมอ 17.19; 2ซมอ 17.20; 2ซมอ 17.21; 2ซมอ 17.23; 2ซมอ 18.9; 2ซมอ 18.11; 2ซมอ 18.13; 2ซมอ 18.15; 2ซมอ 18.19; 2ซมอ 18.20; 2ซมอ 18.21; 2ซมอ 18.28; 2ซมอ 19.3; 2ซมอ 19.6; 2ซมอ 19.8; 2ซมอ 19.10; 2ซมอ 19.20; 2ซมอ 19.23; 2ซมอ 19.30; 2ซมอ 19.32; 2ซมอ 19.35; 2ซมอ 19.39; 2ซมอ 19.41; 2ซมอ 20.10; 2ซมอ 20.13; 2ซมอ 20.17; 2ซมอ 20.18; 2ซมอ 20.22; 2ซมอ 21.2; 2ซมอ 21.4; 2ซมอ 21.10; 2ซมอ 21.17; 2ซมอ 22.8; 2ซมอ 22.16; 2ซมอ 22.31; 2ซมอ 22.39; 2ซมอ 23.5; 2ซมอ 24.6; 2ซมอ 24.8; 2ซมอ 24.10; 2ซมอ 24.16; 2ซมอ 24.17; 1พกษ 1.1; 1พกษ 1.11; 1พกษ 1.15; 1พกษ 1.16; 1พกษ 1.18; 1พกษ 1.21; 1พกษ 1.28; 1พกษ 1.29; 1พกษ 1.31; 1พกษ 1.34; 1พกษ 1.35; 1พกษ 1.37; 1พกษ 1.39; 1พกษ 1.41; 1พกษ 1.47; 1พกษ 1.48; 1พกษ 1.49; 1พกษ 2.2; 1พกษ 2.5; 1พกษ 2.10; 1พกษ 2.13; 1พกษ 2.14; 1พกษ 2.15; 1พกษ 2.18; 1พกษ 2.19; 1พกษ 2.20; 1พกษ 2.23; 1พกษ 2.30; 1พกษ 2.34; 1พกษ 2.36; 1พกษ 2.37; 1พกษ 2.38; 1พกษ 2.39; 1พกษ 2.41; 1พกษ 2.42; 1พกษ 2.46; 1พกษ 3.15; 1พกษ 3.16; 1พกษ 3.18; 1พกษ 3.19; 1พกษ 3.20; 1พกษ 3.21; 1พกษ 3.23; 1พกษ 3.26; 1พกษ 3.27; 1พกษ 5.3; 1พกษ 5.6; 1พกษ 5.8; 1พกษ 5.9; 1พกษ 5.17; 1พกษ 7.17; 1พกษ 7.23; 1พกษ 7.30; 1พกษ 8.1; 1พกษ 8.6; 1พกษ 8.12; 1พกษ 8.14; 1พกษ 8.17; 1พกษ 8.18; 1พกษ 8.21; 1พกษ 8.22; 1พกษ 8.30; 1พกษ 8.54; 1พกษ 8.62; 1พกษ 9.1; 1พกษ 9.3; 1พกษ 9.5; 1พกษ 9.7; 1พกษ 9.9; 1พกษ 9.11; 1พกษ 9.24; 1พกษ 10.2; 1พกษ 10.10; 1พกษ 10.13; 1พกษ 11.4; 1พกษ 11.6; 1พกษ 11.7; 1พกษ 11.9; 1พกษ 11.21; 1พกษ 11.30; 1พกษ 11.38; 1พกษ 12.5; 1พกษ 12.6; 1พกษ 12.11; 1พกษ 12.18; 1พกษ 12.20; 1พกษ 12.21; 1พกษ 12.25; 1พกษ 12.27; 1พกษ 12.28; 1พกษ 12.31; 1พกษ 13.13; 1พกษ 13.14; 1พกษ 13.23; 1พกษ 13.27; 1พกษ 13.31; 1พกษ 14.17; 1พกษ 14.28; 1พกษ 15.18; 1พกษ 15.20; 1พกษ 15.21; 1พกษ 15.22; 1พกษ 15.23; 1พกษ 16.10; 1พกษ 16.16; 1พกษ 16.18; 1พกษ 16.21; 1พกษ 17.2; 1พกษ 17.11; 1พกษ 17.12; 1พกษ 17.13; 1พกษ 17.15; 1พกษ 17.17; 1พกษ 17.21; 1พกษ 17.24; 1พกษ 18.12; 1พกษ 18.14; 1พกษ 18.22; 1พกษ 18.23; 1พกษ 18.24; 1พกษ 18.25; 1พกษ 18.29; 1พกษ 18.30; 1พกษ 18.38; 1พกษ 19.2; 1พกษ 19.3; 1พกษ 19.4; 1พกษ 19.7; 1พกษ 19.15; 1พกษ 19.21; 1พกษ 20.7; 1พกษ 20.11; 1พกษ 20.14; 1พกษ 20.22; 1พกษ 20.23; 1พกษ 20.25; 1พกษ 20.26; 1พกษ 20.29; 1พกษ 20.33; 1พกษ 20.34; 1พกษ 20.36; 1พกษ 20.37; 1พกษ 20.40; 1พกษ 20.41; 1พกษ 21.10; 1พกษ 21.14; 1พกษ 21.15; 1พกษ 21.16; 1พกษ 21.17; 1พกษ 21.18; 1พกษ 21.20; 1พกษ 21.29; 1พกษ 22.6; 1พกษ 22.7; 1พกษ 22.9; 1พกษ 22.16; 1พกษ 22.18; 1พกษ 22.21; 1พกษ 22.24; 1พกษ 22.32; 1พกษ 22.34; 1พกษ 22.37; 1พกษ 22.49; 1พกษ 22.53; 2พกษ 1.1; 2พกษ 1.3; 2พกษ 1.4; 2พกษ 1.6; 2พกษ 1.9; 2พกษ 1.10; 2พกษ 1.15; 2พกษ 2.3; 2พกษ 2.5; 2พกษ 2.6; 2พกษ 2.8; 2พกษ 2.9; 2พกษ 2.12; 2พกษ 2.13; 2พกษ 2.14; 2พกษ 2.15; 2พกษ 2.16; 2พกษ 2.17; 2พกษ 2.18; 2พกษ 2.19; 2พกษ 2.20; 2พกษ 2.21; 2พกษ 2.24; 2พกษ 3.5; 2พกษ 3.8; 2พกษ 3.9; 2พกษ 3.10; 2พกษ 3.11; 2พกษ 3.14; 2พกษ 3.15; 2พกษ 3.27; 2พกษ 4.1; 2พกษ 4.3; 2พกษ 4.4; 2พกษ 4.6; 2พกษ 4.14; 2พกษ 4.20; 2พกษ 4.21; 2พกษ 4.23; 2พกษ 4.25; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.28; 2พกษ 4.30; 2พกษ 4.34; 2พกษ 4.35; 2พกษ 4.36; 2พกษ 4.37; 2พกษ 5.5; 2พกษ 5.7; 2พกษ 5.11; 2พกษ 5.12; 2พกษ 5.15; 2พกษ 5.17; 2พกษ 6.3; 2พกษ 6.6; 2พกษ 6.17; 2พกษ 6.22; 2พกษ 6.23; 2พกษ 6.24; 2พกษ 7.2; 2พกษ 7.5; 2พกษ 7.6; 2พกษ 7.8; 2พกษ 7.9; 2พกษ 7.11; 2พกษ 7.12; 2พกษ 7.13; 2พกษ 7.16; 2พกษ 8.3; 2พกษ 8.21; 2พกษ 8.22; 2พกษ 9.1; 2พกษ 9.2; 2พกษ 9.3; 2พกษ 9.10; 2พกษ 9.11; 2พกษ 9.13; 2พกษ 9.16; 2พกษ 9.18; 2พกษ 9.19; 2พกษ 9.20; 2พกษ 9.21; 2พกษ 9.22; 2พกษ 9.23; 2พกษ 9.32; 2พกษ 9.34; 2พกษ 10.4; 2พกษ 10.6; 2พกษ 10.8; 2พกษ 10.12; 2พกษ 10.18; 2พกษ 10.23; 2พกษ 10.24; 2พกษ 10.25; 2พกษ 11.12; 2พกษ 11.15; 2พกษ 11.18; 2พกษ 11.20; 2พกษ 12.9; 2พกษ 12.10; 2พกษ 12.11; 2พกษ 12.17; 2พกษ 12.18; 2พกษ 13.4; 2พกษ 13.16; 2พกษ 13.17; 2พกษ 13.18; 2พกษ 13.19; 2พกษ 13.25; 2พกษ 14.5; 2พกษ 15.14; 2พกษ 15.30; 2พกษ 16.5; 2พกษ 16.12; 2พกษ 17.5; 2พกษ 17.12; 2พกษ 17.14; 2พกษ 17.27; 2พกษ 18.18; 2พกษ 18.22; 2พกษ 18.24; 2พกษ 18.26; 2พกษ 18.28; 2พกษ 18.31; 2พกษ 18.35; 2พกษ 18.37; 2พกษ 19.8; 2พกษ 19.9; 2พกษ 19.11; 2พกษ 19.20; 2พกษ 19.22; 2พกษ 19.25; 2พกษ 19.29; 2พกษ 19.36; 2พกษ 20.2; 2พกษ 20.5; 2พกษ 20.14; 2พกษ 20.16; 2พกษ 20.19; 2พกษ 21.9; 2พกษ 21.12; 2พกษ 22.10; 2พกษ 22.19; 2พกษ 23.1; 2พกษ 23.17; 2พกษ 23.20; 2พกษ 24.1; 2พกษ 24.13; 2พกษ 25.4; 2พกษ 25.6; 2พกษ 25.7; 2พกษ 25.24; 2พกษ 25.26; 1พศด 1.44; 1พศด 1.45; 1พศด 1.46; 1พศด 1.47; 1พศด 1.48; 1พศด 1.49; 1พศด 1.50; 1พศด 2.19; 1พศด 2.24; 1พศด 3.6; 1พศด 4.41; 1พศด 4.43; 1พศด 6.31; 1พศด 8.8; 1พศด 8.30; 1พศด 9.36; 1พศด 10.4; 1พศด 10.5; 1พศด 10.7; 1พศด 11.1; 1พศด 11.18; 1พศด 12.18; 1พศด 12.33; 1พศด 14.8; 1พศด 14.15; 1พศด 15.2; 1พศด 15.11; 1พศด 15.14; 1พศด 15.29; 1พศด 16.2; 1พศด 16.7; 1พศด 16.30; 1พศด 16.33; 1พศด 16.36; 1พศด 17.11; 1พศด 17.16; 1พศด 17.23; 1พศด 18.6; 1พศด 18.9; 1พศด 19.4; 1พศด 19.5; 1พศด 19.10; 1พศด 19.12; 1พศด 19.15; 1พศด 20.1; 1พศด 20.3; 1พศด 20.4; 1พศด 21.2; 1พศด 21.3; 1พศด 21.13; 1พศด 21.15; 1พศด 21.16; 1พศด 21.18; 1พศด 21.23; 1พศด 21.27; 1พศด 22.1; 1พศด 22.6; 1พศด 22.13; 1พศด 23.1; 1พศด 27.1; 1พศด 28.2; 1พศด 28.11; 1พศด 28.20; 1พศด 29.3; 1พศด 29.4; 1พศด 29.6; 1พศด 29.9; 1พศด 29.15; 1พศด 29.19; 1พศด 29.20; 1พศด 29.23; 1พศด 29.28; 2พศด 2.10; 2พศด 2.11; 2พศด 2.17; 2พศด 3.1; 2พศด 4.2; 2พศด 4.7; 2พศด 5.2; 2พศด 5.7; 2พศด 5.11; 2พศด 6.1; 2พศด 6.3; 2พศด 6.6; 2พศด 6.8; 2พศด 6.12; 2พศด 6.13; 2พศด 6.21; 2พศด 6.35; 2พศด 6.39; 2พศด 7.1; 2พศด 7.4; 2พศด 7.9; 2พศด 7.12; 2พศด 7.18; 2พศด 7.20; 2พศด 7.22; 2พศด 8.2; 2พศด 8.12; 2พศด 8.17; 2พศด 9.1; 2พศด 9.9; 2พศด 9.11; 2พศด 10.2; 2พศด 10.6; 2พศด 10.11; 2พศด 10.18; 2พศด 11.1; 2พศด 12.1; 2พศด 12.5; 2พศด 12.6; 2พศด 12.7; 2พศด 12.11; 2พศด 13.3; 2พศด 13.15; 2พศด 13.17; 2พศด 14.15; 2พศด 16.2; 2พศด 16.6; 2พศด 18.5; 2พศด 18.8; 2พศด 18.15; 2พศด 18.17; 2พศด 18.20; 2พศด 18.23; 2พศด 18.29; 2พศด 18.31; 2พศด 18.33; 2พศด 18.34; 2พศด 20.18; 2พศด 20.21; 2พศด 20.23; 2พศด 20.27; 2พศด 20.37; 2พศด 21.4; 2พศด 21.9; 2พศด 22.4; 2พศด 22.7; 2พศด 22.10; 2พศด 23.11; 2พศด 23.14; 2พศด 23.15; 2พศด 23.17; 2พศด 23.21; 2พศด 24.6; 2พศด 24.14; 2พศด 24.15; 2พศด 24.17; 2พศด 24.20; 2พศด 25.3; 2พศด 25.5; 2พศด 25.9; 2พศด 25.17; 2พศด 26.16; 2พศด 26.19; 2พศด 26.20; 2พศด 28.13; 2พศด 28.19; 2พศด 29.8; 2พศด 29.12; 2พศด 29.18; 2พศด 29.19; 2พศด 29.20; 2พศด 29.23; 2พศด 29.25; 2พศด 29.27; 2พศด 29.29; 2พศด 29.31; 2พศด 29.35; 2พศด 30.23; 2พศด 30.27; 2พศด 31.1; 2พศด 31.11; 2พศด 32.14; 2พศด 32.20; 2พศด 32.30; 2พศด 33.13; 2พศด 33.14; 2พศด 33.24; 2พศด 34.7; 2พศด 34.8; 2พศด 34.9; 2พศด 34.16; 2พศด 34.18; 2พศด 34.29; 2พศด 34.32; 2พศด 35.7; 2พศด 35.10; 2พศด 35.11; 2พศด 35.12; 2พศด 35.23; 2พศด 36.3; 2พศด 36.10; อสร 1.5; อสร 3.2; อสร 3.11; อสร 3.12; อสร 4.4; อสร 4.7; อสร 4.9; อสร 4.13; อสร 4.15; อสร 4.16; อสร 4.19; อสร 4.23; อสร 5.2; อสร 5.9; อสร 5.11; อสร 5.16; อสร 6.1; อสร 6.13; อสร 7.17; อสร 8.16; อสร 8.21; อสร 8.22; อสร 9.1; อสร 9.4; อสร 10.2; อสร 10.5; อสร 10.6; อสร 10.12; อสร 10.16; นหม 1.6; นหม 2.4; นหม 2.9; นหม 2.12; นหม 2.14; นหม 2.15; นหม 2.17; นหม 2.18; นหม 2.20; นหม 3.1; นหม 4.6; นหม 4.14; นหม 4.15; นหม 5.5; นหม 5.7; นหม 5.12; นหม 5.13; นหม 5.18; นหม 6.4; นหม 6.8; นหม 6.13; นหม 6.16; นหม 7.5; นหม 8.10; นหม 9.5; นหม 9.28; นหม 12.31; นหม 13.7; นหม 13.9; นหม 13.17; นหม 13.19; นหม 13.20; อสธ 1.5; อสธ 2.7; อสธ 2.9; อสธ 2.12; อสธ 2.18; อสธ 2.23; อสธ 3.8; อสธ 3.12; อสธ 4.1; อสธ 4.5; อสธ 4.10; อสธ 4.11; อสธ 4.15; อสธ 4.16; อสธ 5.6; อสธ 5.12; อสธ 5.14; อสธ 6.6; อสธ 6.7; อสธ 6.10; อสธ 6.12; อสธ 7.7; อสธ 7.10; อสธ 8.3; อสธ 8.7; อสธ 8.9; อสธ 9.12; อสธ 9.23; อสธ 9.29; โยบ 1.5; โยบ 1.9; โยบ 1.20; โยบ 2.4; โยบ 2.9; โยบ 3.3; โยบ 3.11; โยบ 3.13; โยบ 4.1; โยบ 4.3; โยบ 4.5; โยบ 4.10; โยบ 4.16; โยบ 6.1; โยบ 6.13; โยบ 7.5; โยบ 7.8; โยบ 7.14; โยบ 7.20; โยบ 7.21; โยบ 8.1; โยบ 8.18; โยบ 9.1; โยบ 9.14; โยบ 9.24; โยบ 9.35; โยบ 10.3; โยบ 10.19; โยบ 11.1; โยบ 11.15; โยบ 11.17; โยบ 12.1; โยบ 13.1; โยบ 13.18; โยบ 13.22; โยบ 14.2; โยบ 14.5; โยบ 14.14; โยบ 15.1; โยบ 15.15; โยบ 15.16; โยบ 15.24; โยบ 15.27; โยบ 16.1; โยบ 16.2; โยบ 17.1; โยบ 17.15; โยบ 18.1; โยบ 18.2; โยบ 19.1; โยบ 19.3; โยบ 19.6; โยบ 19.14; โยบ 19.26; โยบ 20.1; โยบ 20.3; โยบ 21.1; โยบ 21.3; โยบ 21.21; โยบ 21.34; โยบ 22.1; โยบ 22.26; โยบ 23.1; โยบ 23.10; โยบ 24.22; โยบ 24.25; โยบ 25.1; โยบ 25.4; โยบ 26.1; โยบ 26.2; โยบ 27.8; โยบ 27.12; โยบ 27.19; โยบ 28.4; โยบ 28.27; โยบ 29.1; โยบ 29.8; โยบ 29.11; โยบ 29.18; โยบ 29.22; โยบ 30.2; โยบ 30.23; โยบ 31.1; โยบ 31.10; โยบ 31.14; โยบ 31.22; โยบ 32.2; โยบ 32.5; โยบ 32.6; โยบ 32.13; โยบ 32.19; โยบ 33.16; โยบ 33.24; โยบ 33.26; โยบ 33.27; โยบ 34.31; โยบ 36.18; โยบ 36.23; โยบ 36.25; โยบ 37.8; โยบ 38.1; โยบ 38.10; โยบ 38.16; โยบ 38.17; โยบ 38.21; โยบ 38.22; โยบ 39.3; โยบ 39.4; โยบ 40.3; โยบ 40.5; โยบ 40.6; โยบ 40.14; โยบ 41.8; โยบ 41.10; โยบ 41.25; โยบ 42.1; โยบ 42.2; โยบ 42.7; สดด 2.5; สดด 2.6; สดด 2.7; สดด 6.5; สดด 6.8; สดด 7.6; สดด 7.14; สดด 9.5; สดด 10.9; สดด 10.11; สดด 10.14; สดด 11.2; สดด 11.3; สดด 12.1; สดด 12.6; สดด 13.4; สดด 15.4; สดด 16.2; สดด 17.3; สดด 18.7; สดด 18.10; สดด 18.15; สดด 18.30; สดด 19.13; สดด 22.29; สดด 27.8; สดด 31.5; สดด 31.12; สดด 31.22; สดด 32.1; สดด 32.5; สดด 34.8; สดด 34.22; สดด 35.9; สดด 35.18; สดด 35.21; สดด 35.22; สดด 35.25; สดด 35.28; สดด 36.12; สดด 37.25; สดด 37.36; สดด 38.10; สดด 38.17; สดด 40.2; สดด 40.5; สดด 40.7; สดด 40.9; สดด 41.8; สดด 42.7; สดด 43.4; สดด 48.3; สดด 48.4; สดด 48.5; สดด 50.21; สดด 51.3; สดด 51.13; สดด 51.19; สดด 55.21; สดด 56.9; สดด 58.11; สดด 59.13; สดด 60.1; สดด 60.10; สดด 61.8; สดด 62.11; สดด 64.9; สดด 67.6; สดด 67.7; สดด 68.24; สดด 69.1; สดด 69.4; สดด 69.5; สดด 69.19; สดด 69.26; สดด 69.27; สดด 71.11; สดด 72.6; สดด 73.2; สดด 73.15; สดด 73.17; สดด 73.25; สดด 74.9; สดด 76.5; สดด 76.7; สดด 77.5; สดด 78.21; สดด 78.31; สดด 78.39; สดด 78.52; สดด 78.65; สดด 79.13; สดด 80.18; สดด 81.8; สดด 81.14; สดด 84.3; สดด 89.2; สดด 89.20; สดด 89.32; สดด 90.4; สดด 92.14; สดด 93.1; สดด 93.2; สดด 94.22; สดด 94.23; สดด 96.12; สดด 97.4; สดด 102.13; สดด 104.8; สดด 105.23; สดด 105.37; สดด 106.6; สดด 106.12; สดด 106.24; สดด 106.28; สดด 106.30; สดด 106.40; สดด 107.2; สดด 107.6; สดด 107.13; สดด 107.19; สดด 107.28; สดด 107.30; สดด 108.11; สดด 109.2; สดด 109.23; สดด 110.4; สดด 112.10; สดด 114.3; สดด 116.4; สดด 116.10; สดด 118.12; สดด 118.22; สดด 119.6; สดด 119.42; สดด 119.59; สดด 119.71; สดด 119.75; สดด 119.87; สดด 119.92; สดด 119.96; สดด 119.103; สดด 119.150; สดด 119.152; สดด 120.6; สดด 124.3; สดด 124.4; สดด 124.5; สดด 126.2; สดด 131.2; สดด 139.4; สดด 143.3; สดด 143.7; สดด 149.9; สภษ 1.24; สภษ 1.28; สภษ 2.9; สภษ 3.10; สภษ 3.23; สภษ 3.28; สภษ 4.11; สภษ 4.26; สภษ 6.3; สภษ 6.29; สภษ 7.14; สภษ 7.15; สภษ 7.26; สภษ 8.23; สภษ 8.25; สภษ 8.27; สภษ 8.30; สภษ 9.1; สภษ 9.2; สภษ 12.7; สภษ 13.12; สภษ 18.9; สภษ 18.19; สภษ 19.2; สภษ 19.10; สภษ 19.19; สภษ 19.23; สภษ 20.9; สภษ 20.14; สภษ 20.24; สภษ 20.25; สภษ 20.26; สภษ 21.31; สภษ 22.6; สภษ 22.10; สภษ 22.18; สภษ 22.20; สภษ 23.14; สภษ 24.16; สภษ 24.29; สภษ 24.32; สภษ 24.34; สภษ 25.4; สภษ 25.7; สภษ 25.8; สภษ 25.16; สภษ 27.7; สภษ 27.25; สภษ 30.9; สภษ 30.15; สภษ 30.16; สภษ 31.16; ปญจ 1.5; ปญจ 1.6; ปญจ 1.9; ปญจ 1.10; ปญจ 2.11; ปญจ 2.12; ปญจ 2.15; ปญจ 2.16; ปญจ 2.19; ปญจ 2.21; ปญจ 3.12; ปญจ 3.15; ปญจ 4.2; ปญจ 4.4; ปญจ 4.7; ปญจ 4.13; ปญจ 4.14; ปญจ 5.5; ปญจ 5.6; ปญจ 5.8; ปญจ 6.9; ปญจ 6.10; ปญจ 6.11; ปญจ 7.13; ปญจ 7.14; ปญจ 7.18; ปญจ 7.22; ปญจ 7.23; ปญจ 7.28; ปญจ 8.9; ปญจ 8.15; ปญจ 8.17; ปญจ 9.4; ปญจ 9.5; ปญจ 9.6; ปญจ 9.7; ปญจ 9.14; ปญจ 10.10; ปญจ 10.11; ปญจ 12.2; ปญจ 12.9; ปญจ 12.13; พซม 1.3; พซม 1.8; พซม 2.7; พซม 2.8; พซม 2.11; พซม 2.12; พซม 2.15; พซม 2.17; พซม 3.2; พซม 3.3; พซม 3.5; พซม 4.6; พซม 4.9; พซม 5.1; พซม 5.2; พซม 5.3; พซม 5.6; พซม 6.1; พซม 6.5; พซม 6.11; พซม 7.12; พซม 7.13; พซม 8.1; พซม 8.2; พซม 8.3; พซม 8.4; อสย 1.9; อสย 1.11; อสย 1.14; อสย 1.20; อสย 1.21; อสย 1.22; อสย 3.6; อสย 5.2; อสย 5.5; อสย 5.8; อสย 5.17; อสย 6.5; อสย 6.6; อสย 6.7; อสย 6.8; อสย 6.9; อสย 6.11; อสย 7.2; อสย 7.8; อสย 8.1; อสย 8.5; อสย 8.14; อสย 9.2; อสย 9.10; อสย 10.12; อสย 10.22; อสย 10.23; อสย 10.25; อสย 10.28; อสย 10.29; อสย 12.2; อสย 13.3; อสย 13.6; อสย 13.22; อสย 14.4; อสย 14.8; อสย 14.12; อสย 14.27; อสย 14.29; อสย 16.4; อสย 16.9; อสย 16.10; อสย 17.14; อสย 18.5; อสย 19.13; อสย 20.5; อสย 21.2; อสย 21.8; อสย 21.9; อสย 21.11; อสย 21.17; อสย 22.3; อสย 22.8; อสย 22.9; อสย 22.11; อสย 22.25; อสย 23.1; อสย 23.4; อสย 23.14; อสย 23.16; อสย 24.3; อสย 24.10; อสย 24.11; อสย 24.17; อสย 24.19; อสย 24.23; อสย 25.1; อสย 25.6; อสย 25.8; อสย 26.14; อสย 27.5; อสย 27.7; อสย 28.15; อสย 28.16; อสย 28.18; อสย 28.19; อสย 28.22; อสย 28.25; อสย 28.28; อสย 29.8; อสย 30.22; อสย 30.33; อสย 32.3; อสย 32.16; อสย 33.23; อสย 34.5; อสย 34.16; อสย 34.17; อสย 35.5; อสย 35.6; อสย 35.8; อสย 35.9; อสย 35.10; อสย 36.7; อสย 36.9; อสย 36.11; อสย 36.13; อสย 36.16; อสย 36.20; อสย 36.22; อสย 37.8; อสย 37.9; อสย 37.11; อสย 37.21; อสย 37.26; อสย 37.30; อสย 37.37; อสย 38.2; อสย 38.4; อสย 38.5; อสย 38.15; อสย 39.1; อสย 39.3; อสย 39.5; อสย 39.8; อสย 40.2; อสย 40.5; อสย 40.21; อสย 41.1; อสย 41.5; อสย 41.7; อสย 41.22; อสย 42.1; อสย 42.3; อสย 42.9; อสย 42.14; อสย 42.19; อสย 42.20; อสย 43.1; อสย 43.9; อสย 43.10; อสย 43.18; อสย 43.19; อสย 43.22; อสย 44.6; อสย 44.8; อสย 44.15; อสย 44.16; อสย 44.19; อสย 44.22; อสย 45.21; อสย 46.6; อสย 46.9; อสย 46.11; อสย 48.3; อสย 48.5; อสย 48.6; อสย 48.7; อสย 48.10; อสย 48.16; อสย 48.18; อสย 48.20; อสย 49.13; อสย 49.14; อสย 49.20; อสย 49.21; อสย 49.23; อสย 49.26; อสย 51.5; อสย 51.9; อสย 51.10; อสย 51.11; อสย 51.20; อสย 51.22; อสย 52.9; อสย 56.8; อสย 57.11; อสย 57.16; อสย 57.18; อสย 58.8; อสย 58.9; อสย 58.10; อสย 58.12; อสย 58.14; อสย 59.14; อสย 59.15; อสย 60.1; อสย 60.5; อสย 61.4; อสย 62.12; อสย 63.11; อสย 63.15; อสย 64.5; อสย 64.11; อสย 64.12; อสย 65.16; อสย 66.9; ยรม 1.4; ยรม 1.6; ยรม 1.9; ยรม 1.12; ยรม 1.14; ยรม 2.10; ยรม 2.13; ยรม 2.16; ยรม 2.20; ยรม 2.21; ยรม 2.25; ยรม 2.29; ยรม 2.32; ยรม 2.36; ยรม 3.1; ยรม 3.5; ยรม 3.6; ยรม 3.7; ยรม 3.10; ยรม 3.11; ยรม 3.14; ยรม 3.21; ยรม 3.22; ยรม 4.2; ยรม 4.3; ยรม 4.7; ยรม 4.10; ยรม 4.25; ยรม 4.28; ยรม 5.4; ยรม 5.7; ยรม 5.11; ยรม 6.4; ยรม 6.10; ยรม 6.11; ยรม 6.15; ยรม 6.16; ยรม 6.30; ยรม 7.7; ยรม 7.10; ยรม 7.11; ยรม 7.28; ยรม 7.29; ยรม 7.32; ยรม 8.6; ยรม 8.12; ยรม 8.20; ยรม 9.10; ยรม 9.19; ยรม 9.25; ยรม 10.20; ยรม 10.22; ยรม 10.23; ยรม 11.5; ยรม 11.12; ยรม 11.15; ยรม 11.16; ยรม 11.18; ยรม 11.20; ยรม 12.15; ยรม 12.16; ยรม 12.17; ยรม 13.4; ยรม 13.7; ยรม 13.8; ยรม 13.13; ยรม 13.15; ยรม 13.23; ยรม 14.13; ยรม 14.19; ยรม 15.1; ยรม 15.6; ยรม 15.9; ยรม 15.16; ยรม 16.5; ยรม 16.11; ยรม 16.15; ยรม 17.16; ยรม 17.25; ยรม 17.27; ยรม 18.5; ยรม 18.10; ยรม 18.18; ยรม 19.1; ยรม 19.10; ยรม 19.14; ยรม 20.9; ยรม 20.10; ยรม 20.12; ยรม 20.15; ยรม 21.3; ยรม 21.6; ยรม 22.4; ยรม 22.10; ยรม 22.20; ยรม 22.22; ยรม 23.3; ยรม 23.8; ยรม 23.19; ยรม 23.22; ยรม 23.25; ยรม 24.1; ยรม 24.4; ยรม 25.6; ยรม 25.12; ยรม 25.27; ยรม 25.29; ยรม 25.34; ยรม 25.36; ยรม 25.37; ยรม 26.6; ยรม 26.10; ยรม 26.11; ยรม 26.16; ยรม 26.22; ยรม 27.7; ยรม 27.22; ยรม 28.2; ยรม 28.5; ยรม 28.10; ยรม 28.14; ยรม 29.2; ยรม 29.10; ยรม 29.12; ยรม 29.30; ยรม 30.14; ยรม 30.23; ยรม 31.11; ยรม 31.13; ยรม 31.15; ยรม 31.19; ยรม 31.22; ยรม 31.36; ยรม 31.37; ยรม 31.39; ยรม 32.8; ยรม 32.11; ยรม 32.16; ยรม 32.24; ยรม 33.21; ยรม 33.24; ยรม 33.25; ยรม 34.5; ยรม 34.6; ยรม 34.14; ยรม 34.16; ยรม 34.21; ยรม 35.2; ยรม 35.5; ยรม 35.12; ยรม 35.14; ยรม 35.15; ยรม 36.4; ยรม 36.10; ยรม 36.11; ยรม 36.17; ยรม 36.19; ยรม 36.20; ยรม 36.27; ยรม 36.32; ยรม 37.16; ยรม 37.17; ยรม 38.5; ยรม 38.10; ยรม 38.12; ยรม 38.13; ยรม 38.16; ยรม 38.17; ยรม 38.18; ยรม 38.22; ยรม 38.24; ยรม 39.3; ยรม 39.4; ยรม 39.5; ยรม 39.7; ยรม 39.9; ยรม 40.2; ยรม 40.5; ยรม 40.9; ยรม 40.12; ยรม 40.15; ยรม 41.1; ยรม 41.2; ยรม 41.10; ยรม 41.11; ยรม 41.16; ยรม 42.2; ยรม 42.4; ยรม 42.5; ยรม 42.7; ยรม 42.8; ยรม 42.10; ยรม 42.16; ยรม 42.19; ยรม 42.21; ยรม 43.1; ยรม 43.8; ยรม 44.9; ยรม 44.10; ยรม 44.15; ยรม 44.17; ยรม 44.20; ยรม 44.22; ยรม 44.25; ยรม 46.11; ยรม 47.3; ยรม 48.1; ยรม 48.4; ยรม 48.13; ยรม 48.15; ยรม 48.16; ยรม 48.17; ยรม 48.20; ยรม 48.25; ยรม 48.39; ยรม 48.46; ยรม 49.1; ยรม 49.2; ยรม 49.7; ยรม 49.10; ยรม 49.24; ยรม 49.25; ยรม 50.2; ยรม 50.6; ยรม 50.15; ยรม 50.17; ยรม 50.23; ยรม 50.27; ยรม 50.29; ยรม 50.31; ยรม 51.13; ยรม 51.30; ยรม 51.31; ยรม 51.32; ยรม 51.33; ยรม 51.34; ยรม 51.41; ยรม 51.44; ยรม 51.48; ยรม 51.56; ยรม 51.61; ยรม 51.63; ยรม 52.7; พคค 1.4; พคค 1.6; พคค 1.7; พคค 1.9; พคค 1.11; พคค 1.18; พคค 1.22; พคค 2.2; พคค 2.8; พคค 2.9; พคค 2.15; พคค 2.16; พคค 2.17; พคค 2.21; พคค 2.22; พคค 3.4; พคค 3.6; พคค 3.13; พคค 3.42; พคค 3.54; พคค 3.58; พคค 3.59; พคค 3.60; พคค 3.61; พคค 4.11; พคค 4.18; พคค 4.20; พคค 4.22; พคค 5.7; พคค 5.14; พคค 5.16; พคค 5.21; พคค 5.22; อสค 1.28; อสค 2.5; อสค 3.3; อสค 4.3; อสค 4.4; อสค 4.5; อสค 4.6; อสค 4.14; อสค 4.15; อสค 5.2; อสค 5.13; อสค 5.15; อสค 5.17; อสค 6.9; อสค 6.14; อสค 7.2; อสค 7.3; อสค 7.4; อสค 7.5; อสค 7.6; อสค 7.7; อสค 7.8; อสค 7.9; อสค 7.10; อสค 7.12; อสค 7.14; อสค 7.22; อสค 7.26; อสค 8.2; อสค 8.5; อสค 8.6; อสค 8.8; อสค 8.12; อสค 8.13; อสค 8.14; อสค 8.15; อสค 8.16; อสค 8.17; อสค 9.1; อสค 9.3; อสค 9.7; อสค 9.9; อสค 9.11; อสค 10.1; อสค 10.18; อสค 11.13; อสค 11.22; อสค 11.24; อสค 12.5; อสค 12.6; อสค 12.11; อสค 13.15; อสค 13.23; อสค 14.7; อสค 14.23; อสค 15.4; อสค 15.5; อสค 16.8; อสค 16.16; อสค 16.17; อสค 16.36; อสค 16.43; อสค 16.47; อสค 16.54; อสค 16.59; อสค 16.61; อสค 16.63; อสค 17.4; อสค 17.5; อสค 17.9; อสค 17.21; อสค 17.24; อสค 18.19; อสค 18.21; อสค 18.22; อสค 18.24; อสค 19.5; อสค 19.8; อสค 20.8; อสค 20.28; อสค 20.38; อสค 20.44; อสค 20.49; อสค 21.5; อสค 21.11; อสค 21.15; อสค 21.16; อสค 21.17; อสค 21.23; อสค 21.25; อสค 21.29; อสค 21.32; อสค 22.4; อสค 22.14; อสค 22.19; อสค 23.7; อสค 23.10; อสค 23.13; อสค 23.16; อสค 23.17; อสค 23.22; อสค 23.34; อสค 23.48; อสค 24.10; อสค 24.13; อสค 24.14; อสค 24.16; อสค 24.20; อสค 25.5; อสค 25.7; อสค 25.11; อสค 25.17; อสค 26.2; อสค 26.5; อสค 26.6; อสค 26.10; อสค 26.14; อสค 26.16; อสค 26.17; อสค 26.20; อสค 26.21; อสค 28.10; อสค 28.23; อสค 28.24; อสค 28.25; อสค 28.26; อสค 29.6; อสค 29.9; อสค 29.13; อสค 29.16; อสค 29.21; อสค 30.3; อสค 30.8; อสค 30.12; อสค 30.19; อสค 30.22; อสค 30.25; อสค 30.26; อสค 31.16; อสค 32.14; อสค 32.15; อสค 32.18; อสค 32.20; อสค 32.21; อสค 32.31; อสค 33.5; อสค 33.6; อสค 33.9; อสค 33.16; อสค 33.21; อสค 33.25; อสค 33.26; อสค 33.29; อสค 34.24; อสค 35.9; อสค 35.13; อสค 35.15; อสค 36.2; อสค 36.11; อสค 36.22; อสค 36.31; อสค 36.36; อสค 36.38; อสค 37.3; อสค 37.9; อสค 37.10; อสค 37.11; อสค 37.14; อสค 37.21; อสค 37.28; อสค 38.8; อสค 38.14; อสค 38.23; อสค 39.3; อสค 39.5; อสค 39.8; อสค 39.9; อสค 39.14; อสค 39.28; อสค 40.6; อสค 40.8; อสค 40.11; อสค 40.13; อสค 40.17; อสค 40.19; อสค 40.28; อสค 40.32; อสค 40.35; อสค 40.48; อสค 41.3; อสค 41.5; อสค 41.13; อสค 41.15; อสค 42.1; อสค 42.13; อสค 42.15; อสค 42.17; อสค 42.18; อสค 42.19; อสค 43.11; อสค 43.18; อสค 43.23; อสค 43.27; อสค 44.1; อสค 44.4; อสค 44.6; อสค 44.19; อสค 44.22; อสค 44.26; อสค 46.2; อสค 46.12; อสค 46.17; อสค 46.19; อสค 46.21; อสค 46.24; อสค 47.2; อสค 47.3; อสค 47.4; อสค 47.5; อสค 47.6; อสค 47.8; อสค 47.19; อสค 48.28; ดนล 1.3; ดนล 1.5; ดนล 1.11; ดนล 1.13; ดนล 1.15; ดนล 2.2; ดนล 2.4; ดนล 2.5; ดนล 2.8; ดนล 2.9; ดนล 2.14; ดนล 2.15; ดนล 2.16; ดนล 2.17; ดนล 2.19; ดนล 2.23; ดนล 2.24; ดนล 2.25; ดนล 2.35; ดนล 2.46; ดนล 3.2; ดนล 3.3; ดนล 3.10; ดนล 3.13; ดนล 3.15; ดนล 3.19; ดนล 3.21; ดนล 3.26; ดนล 3.30; ดนล 4.14; ดนล 4.16; ดนล 4.19; ดนล 4.31; ดนล 4.34; ดนล 5.2; ดนล 5.6; ดนล 5.8; ดนล 5.9; ดนล 5.12; ดนล 5.17; ดนล 5.22; ดนล 5.23; ดนล 5.26; ดนล 5.29; ดนล 6.3; ดนล 6.6; ดนล 6.10; ดนล 6.11; ดนล 6.12; ดนล 6.13; ดนล 6.14; ดนล 6.15; ดนล 6.16; ดนล 6.17; ดนล 6.18; ดนล 6.20; ดนล 6.21; ดนล 6.24; ดนล 6.25; ดนล 7.19; ดนล 8.8; ดนล 8.10; ดนล 8.13; ดนล 8.14; ดนล 8.15; ดนล 8.17; ดนล 8.23; ดนล 8.25; ดนล 8.27; ดนล 9.3; ดนล 9.13; ดนล 9.15; ดนล 9.26; ดนล 10.8; ดนล 10.9; ดนล 10.12; ดนล 10.15; ดนล 10.16; ดนล 10.17; ดนล 10.19; ดนล 10.20; ดนล 11.2; ดนล 11.3; ดนล 11.4; ดนล 11.5; ดนล 11.9; ดนล 11.11; ดนล 11.12; ดนล 11.15; ดนล 11.17; ดนล 11.19; ดนล 11.20; ดนล 11.21; ดนล 11.28; ดนล 11.40; ดนล 12.5; ดนล 12.7; ดนล 12.8; ดนล 12.9; ดนล 12.10; ฮชย 1.8; ฮชย 2.7; ฮชย 2.13; ฮชย 2.15; ฮชย 4.17; ฮชย 5.5; ฮชย 5.6; ฮชย 5.14; ฮชย 6.3; ฮชย 6.11; ฮชย 7.2; ฮชย 7.4; ฮชย 7.9; ฮชย 7.10; ฮชย 7.12; ฮชย 7.13; ฮชย 8.3; ฮชย 8.5; ฮชย 8.8; ฮชย 8.14; ฮชย 9.6; ฮชย 9.7; ฮชย 9.16; ฮชย 10.13; ฮชย 12.10; ฮชย 13.6; ฮชย 13.13; ฮชย 14.4; ยอล 1.5; ยอล 1.15; ยอล 1.16; ยอล 1.17; ยอล 1.18; ยอล 1.19; ยอล 2.1; ยอล 2.3; ยอล 2.14; ยอล 2.18; ยอล 3.8; ยอล 3.13; ยอล 3.14; ยอล 3.17; อมส 2.4; อมส 3.8; อมส 5.2; อมส 5.14; อมส 6.2; อมส 6.11; อมส 7.1; อมส 7.2; อมส 7.8; อมส 7.10; อมส 8.2; อมส 9.3; อมส 9.6; อมส 9.11; อบด 1.7; อบด 1.15; อบด 1.16; อบด 1.18; ยนา 1.2; ยนา 1.5; ยนา 1.10; ยนา 2.1; ยนา 2.3; ยนา 3.1; ยนา 3.10; ยนา 4.2; ยนา 4.5; ยนา 4.8; ยนา 4.9; ยนา 4.10; มคา 2.2; มคา 2.4; มคา 2.7; มคา 3.4; มคา 4.4; มคา 4.9; มคา 5.3; มคา 5.7; มคา 6.8; มคา 7.1; มคา 7.4; มคา 7.10; นฮม 1.15; นฮม 2.1; นฮม 2.6; นฮม 2.8; นฮม 2.12; นฮม 3.7; นฮม 3.13; นฮม 3.16; นฮม 3.18; ฮบก 1.11; ฮบก 1.17; ฮบก 2.5; ฮบก 2.7; ฮบก 2.8; ฮบก 2.10; ฮบก 2.16; ฮบก 3.2; ฮบก 3.6; ฮบก 3.16; ศฟย 1.7; ศฟย 1.11; ศฟย 2.8; ศฟย 2.13; ศฟย 3.6; ศฟย 3.15; ฮกก 1.3; ฮกก 1.4; ฮกก 1.12; ฮกก 1.13; ฮกก 2.3; ฮกก 2.13; ฮกก 2.23; ศคย 1.6; ศคย 1.9; ศคย 1.11; ศคย 1.12; ศคย 1.20; ศคย 2.8; ศคย 2.9; ศคย 2.13; ศคย 3.1; ศคย 3.4; ศคย 4.6; ศคย 4.9; ศคย 4.11; ศคย 4.14; ศคย 5.3; ศคย 5.8; ศคย 5.9; ศคย 5.10; ศคย 5.11; ศคย 6.4; ศคย 6.5; ศคย 6.8; ศคย 7.3; ศคย 7.4; ศคย 7.14; ศคย 8.6; ศคย 8.23; ศคย 9.14; ศคย 10.7; ศคย 10.8; ศคย 11.2; ศคย 11.3; ศคย 11.5; ศคย 11.12; ศคย 11.13; ศคย 11.14; ศคย 11.15; ศคย 11.16; ศคย 12.5; ศคย 14.1; ศคย 14.3; ศคย 14.5; ศคย 14.7; ศคย 14.11; ศคย 14.18; มลค 1.4; มลค 1.6; มลค 1.7; มลค 1.12; มลค 1.13; มลค 2.2; มลค 2.10; มลค 2.13; มลค 3.4; มลค 3.5; มลค 3.12; มลค 3.15; มลค 3.16; มลค 3.18; มธ 1.12; มธ 1.18; มธ 1.21; มธ 1.25; มธ 2.3; มธ 2.4; มธ 2.7; มธ 2.8; มธ 2.9; มธ 2.10; มธ 2.11; มธ 2.13; มธ 2.18; มธ 2.19; มธ 2.20; มธ 3.2; มธ 3.10; มธ 3.12; มธ 3.13; มธ 3.15; มธ 3.16; มธ 4.2; มธ 4.5; มธ 4.6; มธ 4.9; มธ 4.11; มธ 4.13; มธ 4.16; มธ 4.17; มธ 5.1; มธ 5.13; มธ 5.15; มธ 5.23; มธ 5.24; มธ 5.25; มธ 5.28; มธ 5.32; มธ 6.2; มธ 6.5; มธ 6.6; มธ 6.8; มธ 6.16; มธ 6.32; มธ 6.33; มธ 6.34; มธ 7.5; มธ 7.7; มธ 7.28; มธ 8.1; มธ 8.2; มธ 8.3; มธ 8.13; มธ 8.25; มธ 8.26; มธ 8.28; มธ 8.34; มธ 9.2; มธ 9.5; มธ 9.8; มธ 9.11; มธ 9.14; มธ 9.17; มธ 9.18; มธ 9.20; มธ 9.25; มธ 9.26; มธ 9.29; มธ 9.30; มธ 9.31; มธ 9.33; มธ 9.37; มธ 10.1; มธ 10.7; มธ 10.8; มธ 10.11; มธ 10.25; มธ 10.30; มธ 11.1; มธ 11.5; มธ 11.7; มธ 11.19; มธ 11.20; มธ 11.21; มธ 11.23; มธ 11.29; มธ 12.9; มธ 12.13; มธ 12.16; มธ 12.17; มธ 12.20; มธ 12.26; มธ 12.28; มธ 12.29; มธ 12.34; มธ 12.43; มธ 12.44; มธ 12.45; มธ 12.47; มธ 13.3; มธ 13.4; มธ 13.8; มธ 13.12; มธ 13.20; มธ 13.22; มธ 13.25; มธ 13.26; มธ 13.32; มธ 13.36; มธ 13.44; มธ 13.48; มธ 13.50; มธ 13.51; มธ 13.52; มธ 13.53; มธ 13.54; มธ 14.2; มธ 14.3; มธ 14.8; มธ 14.10; มธ 14.12; มธ 14.13; มธ 14.14; มธ 14.15; มธ 14.19; มธ 14.23; มธ 14.24; มธ 14.28; มธ 14.29; มธ 14.31; มธ 14.32; มธ 14.33; มธ 14.34; มธ 14.35; มธ 14.36; มธ 15.5; มธ 15.7; มธ 15.10; มธ 15.12; มธ 15.17; มธ 15.21; มธ 15.28; มธ 15.29; มธ 15.30; มธ 15.31; มธ 15.32; มธ 15.36; มธ 15.39; มธ 16.4; มธ 16.12; มธ 16.15; มธ 16.20; มธ 17.1; มธ 17.2; มธ 17.5; มธ 17.7; มธ 17.12; มธ 17.13; มธ 17.14; มธ 17.24; มธ 17.25; มธ 17.27; มธ 18.3; มธ 18.12; มธ 18.26; มธ 18.29; มธ 18.32; มธ 18.34; มธ 19.1; มธ 19.2; มธ 19.6; มธ 19.7; มธ 19.9; มธ 19.15; มธ 19.21; มธ 19.27; มธ 20.2; มธ 20.4; มธ 20.11; มธ 20.13; มธ 20.24; มธ 21.1; มธ 21.3; มธ 21.7; มธ 21.10; มธ 21.16; มธ 21.20; มธ 21.29; มธ 21.32; มธ 21.33; มธ 21.38; มธ 21.39; มธ 21.42; มธ 22.3; มธ 22.4; มธ 22.6; มธ 22.7; มธ 22.8; มธ 22.21; มธ 22.22; มธ 22.25; มธ 22.28; มธ 22.29; มธ 23.15; มธ 23.23; มธ 23.30; มธ 24.1; มธ 24.2; มธ 24.14; มธ 24.25; มธ 24.29; มธ 24.30; มธ 24.31; มธ 24.32; มธ 24.33; มธ 24.49; มธ 25.6; มธ 25.10; มธ 25.15; มธ 25.21; มธ 25.23; มธ 25.29; มธ 25.40; มธ 25.41; มธ 26.1; มธ 26.7; มธ 26.9; มธ 26.18; มธ 26.19; มธ 26.25; มธ 26.26; มธ 26.27; มธ 26.30; มธ 26.32; มธ 26.36; มธ 26.39; มธ 26.41; มธ 26.42; มธ 26.45; มธ 26.46; มธ 26.49; มธ 26.56; มธ 26.58; มธ 26.64; มธ 26.65; มธ 26.67; มธ 26.68; มธ 26.73; มธ 26.74; มธ 26.75; มธ 27.5; มธ 27.6; มธ 27.10; มธ 27.11; มธ 27.17; มธ 27.18; มธ 27.24; มธ 27.26; มธ 27.27; มธ 27.29; มธ 27.30; มธ 27.31; มธ 27.35; มธ 27.36; มธ 27.45; มธ 27.52; มธ 27.53; มธ 27.59; มธ 27.60; มธ 27.63; มธ 27.64; มธ 28.2; มธ 28.6; มธ 28.7; มธ 28.12; มธ 28.16; มธ 28.18; มก 1.8; มก 1.11; มก 1.14; มก 1.15; มก 1.26; มก 1.31; มก 1.32; มก 1.37; มก 1.41; มก 1.42; มก 1.44; มก 1.45; มก 2.3; มก 2.4; มก 2.5; มก 2.9; มก 2.12; มก 3.1; มก 3.11; มก 3.13; มก 3.21; มก 3.24; มก 3.27; มก 3.31; มก 3.34; มก 4.1; มก 4.4; มก 4.8; มก 4.9; มก 4.12; มก 4.15; มก 4.19; มก 4.21; มก 4.24; มก 4.25; มก 4.27; มก 4.28; มก 4.29; มก 4.32; มก 4.36; มก 4.37; มก 4.38; มก 4.39; มก 5.4; มก 5.7; มก 5.9; มก 5.13; มก 5.14; มก 5.16; มก 5.19; มก 5.20; มก 5.21; มก 5.23; มก 5.25; มก 5.29; มก 5.30; มก 5.31; มก 5.32; มก 5.35; มก 5.38; มก 5.39; มก 5.40; มก 5.43; มก 6.6; มก 6.7; มก 6.10; มก 6.14; มก 6.16; มก 6.29; มก 6.31; มก 6.34; มก 6.35; มก 6.38; มก 6.41; มก 6.46; มก 6.47; มก 6.48; มก 6.49; มก 6.50; มก 6.51; มก 6.53; มก 6.54; มก 6.56; มก 7.11; มก 7.14; มก 7.17; มก 7.19; มก 7.24; มก 7.29; มก 7.30; มก 7.32; มก 7.34; มก 7.35; มก 8.2; มก 8.6; มก 8.7; มก 8.9; มก 8.12; มก 8.13; มก 8.18; มก 8.23; มก 8.24; มก 8.25; มก 8.26; มก 8.30; มก 8.32; มก 8.33; มก 8.34; มก 9.2; มก 9.4; มก 9.7; มก 9.13; มก 9.18; มก 9.20; มก 9.26; มก 9.28; มก 9.31; มก 9.33; มก 9.35; มก 9.36; มก 9.39; มก 9.40; มก 9.50; มก 10.4; มก 10.9; มก 10.10; มก 10.11; มก 10.12; มก 10.16; มก 10.19; มก 10.21; มก 10.22; มก 10.23; มก 10.27; มก 10.32; มก 10.41; มก 10.49; มก 10.52; มก 11.2; มก 11.4; มก 11.6; มก 11.7; มก 11.11; มก 11.12; มก 11.13; มก 11.15; มก 11.21; มก 11.29; มก 12.1; มก 12.3; มก 12.5; มก 12.7; มก 12.9; มก 12.10; มก 12.12; มก 12.14; มก 12.20; มก 12.21; มก 12.23; มก 12.24; มก 12.26; มก 12.32; มก 12.34; มก 13.22; มก 13.23; มก 13.24; มก 13.27; มก 13.28; มก 13.29; มก 14.3; มก 14.5; มก 14.11; มก 14.13; มก 14.15; มก 14.16; มก 14.17; มก 14.22; มก 14.23; มก 14.24; มก 14.26; มก 14.28; มก 14.33; มก 14.35; มก 14.38; มก 14.41; มก 14.42; มก 14.45; มก 14.50; มก 14.52; มก 14.63; มก 14.64; มก 14.65; มก 14.67; มก 14.68; มก 14.69; มก 14.70; มก 14.72; มก 15.1; มก 15.2; มก 15.10; มก 15.15; มก 15.16; มก 15.18; มก 15.19; มก 15.20; มก 15.23; มก 15.24; มก 15.28; มก 15.34; มก 15.36; มก 15.37; มก 15.39; มก 15.44; มก 15.45; มก 15.46; มก 16.1; มก 16.4; มก 16.5; มก 16.6; มก 16.7; มก 16.9; มก 16.11; มก 16.14; มก 16.18; มก 16.19; ลก 1.4; ลก 1.7; ลก 1.13; ลก 1.18; ลก 1.20; ลก 1.22; ลก 1.23; ลก 1.24; ลก 1.28; ลก 1.30; ลก 1.36; ลก 1.38; ลก 1.40; ลก 1.56; ลก 1.57; ลก 1.59; ลก 1.62; ลก 1.64; ลก 1.67; ลก 1.74; ลก 2.5; ลก 2.15; ลก 2.16; ลก 2.17; ลก 2.20; ลก 2.21; ลก 2.22; ลก 2.23; ลก 2.24; ลก 2.30; ลก 2.34; ลก 2.36; ลก 2.37; ลก 2.39; ลก 2.43; ลก 2.44; ลก 2.46; ลก 2.48; ลก 2.51; ลก 3.3; ลก 3.4; ลก 3.9; ลก 3.17; ลก 3.20; ลก 4.2; ลก 4.5; ลก 4.6; ลก 4.9; ลก 4.13; ลก 4.16; ลก 4.20; ลก 4.21; ลก 4.35; ลก 4.41; ลก 4.42; ลก 5.2; ลก 5.3; ลก 5.4; ลก 5.6; ลก 5.7; ลก 5.11; ลก 5.13; ลก 5.14; ลก 5.20; ลก 5.23; ลก 5.39; ลก 6.9; ลก 6.10; ลก 6.13; ลก 6.17; ลก 6.24; ลก 6.25; ลก 6.40; ลก 6.42; ลก 6.48; ลก 7.1; ลก 7.2; ลก 7.4; ลก 7.6; ลก 7.9; ลก 7.10; ลก 7.14; ลก 7.16; ลก 7.20; ลก 7.22; ลก 7.24; ลก 7.29; ลก 7.35; ลก 7.36; ลก 7.39; ลก 7.42; ลก 7.43; ลก 7.47; ลก 7.48; ลก 8.6; ลก 8.8; ลก 8.12; ลก 8.13; ลก 8.14; ลก 8.15; ลก 8.16; ลก 8.18; ลก 8.22; ลก 8.24; ลก 8.27; ลก 8.29; ลก 8.33; ลก 8.39; ลก 8.40; ลก 8.43; ลก 8.47; ลก 8.48; ลก 8.49; ลก 8.53; ลก 8.54; ลก 8.55; ลก 9.1; ลก 9.2; ลก 9.9; ลก 9.10; ลก 9.11; ลก 9.12; ลก 9.16; ลก 9.17; ลก 9.20; ลก 9.32; ลก 9.36; ลก 9.37; ลก 9.42; ลก 9.46; ลก 9.48; ลก 9.50; ลก 9.56; ลก 9.62; ลก 10.9; ลก 10.11; ลก 10.13; ลก 10.28; ลก 10.29; ลก 10.30; ลก 10.32; ลก 10.33; ลก 10.34; ลก 11.1; ลก 11.7; ลก 11.9; ลก 11.14; ลก 11.20; ลก 11.22; ลก 11.24; ลก 11.25; ลก 11.26; ลก 11.33; ลก 11.42; ลก 11.48; ลก 12.5; ลก 12.7; ลก 12.15; ลก 12.18; ลก 12.19; ลก 12.20; ลก 12.30; ลก 12.31; ลก 12.36; ลก 12.45; ลก 12.48; ลก 12.49; ลก 13.7; ลก 13.9; ลก 13.11; ลก 13.12; ลก 13.16; ลก 13.17; ลก 13.25; ลก 13.32; ลก 14.4; ลก 14.9; ลก 14.10; ลก 14.14; ลก 14.17; ลก 14.22; ลก 14.29; ลก 14.34; ลก 15.5; ลก 15.6; ลก 15.9; ลก 15.13; ลก 15.14; ลก 15.17; ลก 15.20; ลก 15.24; ลก 15.25; ลก 15.27; ลก 15.29; ลก 15.30; ลก 15.32; ลก 16.4; ลก 16.5; ลก 16.6; ลก 16.7; ลก 16.8; ลก 16.14; ลก 16.18; ลก 16.23; ลก 16.29; ลก 17.3; ลก 17.4; ลก 17.8; ลก 17.14; ลก 17.15; ลก 17.19; ลก 17.26; ลก 18.15; ลก 18.16; ลก 18.20; ลก 18.22; ลก 18.31; ลก 18.33; ลก 18.40; ลก 19.5; ลก 19.6; ลก 19.7; ลก 19.9; ลก 19.11; ลก 19.12; ลก 19.15; ลก 19.17; ลก 19.24; ลก 19.25; ลก 19.26; ลก 19.28; ลก 19.30; ลก 19.32; ลก 19.35; ลก 19.37; ลก 19.41; ลก 19.42; ลก 19.44; ลก 19.45; ลก 20.9; ลก 20.10; ลก 20.11; ลก 20.12; ลก 20.15; ลก 20.16; ลก 20.17; ลก 20.25; ลก 20.29; ลก 20.30; ลก 20.31; ลก 20.33; ลก 20.39; ลก 21.8; ลก 21.10; ลก 21.20; ลก 21.28; ลก 21.30; ลก 21.31; ลก 21.34; ลก 22.1; ลก 22.12; ลก 22.13; ลก 22.17; ลก 22.19; ลก 22.20; ลก 22.22; ลก 22.32; ลก 22.33; ลก 22.37; ลก 22.40; ลก 22.41; ลก 22.45; ลก 22.51; ลก 22.55; ลก 22.56; ลก 22.59; ลก 22.61; ลก 22.62; ลก 22.64; ลก 22.70; ลก 22.71; ลก 23.3; ลก 23.7; ลก 23.8; ลก 23.16; ลก 23.22; ลก 23.26; ลก 23.31; ลก 23.37; ลก 23.42; ลก 23.46; ลก 23.48; ลก 23.53; ลก 23.54; ลก 23.56; ลก 24.2; ลก 24.6; ลก 24.9; ลก 24.12; ลก 24.26; ลก 24.29; ลก 24.30; ลก 24.31; ลก 24.33; ลก 24.34; ลก 24.40; ลก 24.50; ลก 24.51; ลก 24.52; ยน 1.1; ยน 1.18; ยน 1.25; ยน 1.34; ยน 1.39; ยน 1.41; ยน 1.42; ยน 2.3; ยน 2.8; ยน 2.9; ยน 2.10; ยน 2.13; ยน 2.19; ยน 2.22; ยน 3.4; ยน 3.18; ยน 3.19; ยน 3.29; ยน 4.17; ยน 4.18; ยน 4.19; ยน 4.23; ยน 4.33; ยน 4.35; ยน 4.47; ยน 4.51; ยน 5.5; ยน 5.6; ยน 5.7; ยน 5.13; ยน 5.14; ยน 5.21; ยน 5.24; ยน 5.25; ยน 5.45; ยน 5.47; ยน 6.4; ยน 6.6; ยน 6.11; ยน 6.12; ยน 6.13; ยน 6.17; ยน 6.21; ยน 6.23; ยน 6.25; ยน 6.27; ยน 6.28; ยน 6.36; ยน 6.46; ยน 6.50; ยน 6.52; ยน 6.69; ยน 7.2; ยน 7.9; ยน 7.10; ยน 7.23; ยน 7.26; ยน 7.33; ยน 7.38; ยน 7.47; ยน 7.49; ยน 8.8; ยน 8.10; ยน 8.28; ยน 8.31; ยน 8.39; ยน 8.42; ยน 8.52; ยน 8.53; ยน 8.56; ยน 9.6; ยน 9.7; ยน 9.11; ยน 9.15; ยน 9.19; ยน 9.21; ยน 9.22; ยน 9.23; ยน 9.27; ยน 9.32; ยน 9.33; ยน 9.34; ยน 9.35; ยน 9.37; ยน 9.38; ยน 10.4; ยน 10.9; ยน 10.16; ยน 10.24; ยน 10.25; ยน 10.26; ยน 11.4; ยน 11.8; ยน 11.11; ยน 11.14; ยน 11.17; ยน 11.24; ยน 11.25; ยน 11.28; ยน 11.29; ยน 11.32; ยน 11.39; ยน 11.40; ยน 11.43; ยน 11.44; ยน 11.47; ยน 11.48; ยน 11.55; ยน 12.1; ยน 12.5; ยน 12.16; ยน 12.19; ยน 12.23; ยน 12.24; ยน 12.28; ยน 12.31; ยน 12.32; ยน 12.36; ยน 12.48; ยน 13.1; ยน 13.2; ยน 13.5; ยน 13.6; ยน 13.8; ยน 13.10; ยน 13.12; ยน 13.13; ยน 13.15; ยน 13.17; ยน 13.18; ยน 13.19; ยน 13.21; ยน 13.26; ยน 13.27; ยน 13.30; ยน 13.31; ยน 13.33; ยน 13.34; ยน 14.2; ยน 14.3; ยน 14.7; ยน 14.23; ยน 14.26; ยน 14.27; ยน 14.29; ยน 15.3; ยน 15.5; ยน 15.6; ยน 15.7; ยน 15.11; ยน 15.15; ยน 15.20; ยน 15.26; ยน 15.27; ยน 16.4; ยน 16.7; ยน 16.8; ยน 16.11; ยน 16.13; ยน 16.21; ยน 16.24; ยน 16.28; ยน 16.29; ยน 16.31; ยน 16.32; ยน 16.33; ยน 17.1; ยน 17.4; ยน 17.6; ยน 17.8; ยน 17.14; ยน 18.1; ยน 18.8; ยน 18.9; ยน 18.13; ยน 18.16; ยน 18.18; ยน 18.22; ยน 18.29; ยน 18.38; ยน 19.3; ยน 19.13; ยน 19.15; ยน 19.16; ยน 19.22; ยน 19.23; ยน 19.27; ยน 19.28; ยน 19.30; ยน 19.33; ยน 20.1; ยน 20.2; ยน 20.6; ยน 20.8; ยน 20.10; ยน 20.13; ยน 20.14; ยน 20.18; ยน 20.19; ยน 20.20; ยน 20.22; ยน 20.25; ยน 20.26; ยน 20.27; ยน 20.31; ยน 21.6; ยน 21.7; ยน 21.15; ยน 21.16; ยน 21.18; ยน 21.19; กจ 1.1; กจ 1.2; กจ 1.3; กจ 1.9; กจ 1.12; กจ 1.13; กจ 1.18; กจ 1.24; กจ 2.22; กจ 2.28; กจ 2.29; กจ 2.32; กจ 2.33; กจ 2.37; กจ 3.7; กจ 3.13; กจ 3.20; กจ 3.26; กจ 4.3; กจ 4.7; กจ 4.9; กจ 4.10; กจ 4.11; กจ 4.13; กจ 4.15; กจ 4.16; กจ 4.18; กจ 4.21; กจ 4.22; กจ 4.23; กจ 4.27; กจ 4.28; กจ 4.31; กจ 5.4; กจ 5.6; กจ 5.10; กจ 5.21; กจ 5.23; กจ 5.26; กจ 5.27; กจ 5.31; กจ 5.34; กจ 5.40; กจ 6.2; กจ 6.6; กจ 6.12; กจ 7.4; กจ 7.11; กจ 7.15; กจ 7.21; กจ 7.23; กจ 7.30; กจ 7.34; กจ 7.40; กจ 7.43; กจ 7.56; กจ 7.58; กจ 7.60; กจ 8.2; กจ 8.7; กจ 8.10; กจ 8.11; กจ 8.12; กจ 8.13; กจ 8.14; กจ 8.17; กจ 8.24; กจ 8.25; กจ 8.33; กจ 8.38; กจ 8.39; กจ 9.8; กจ 9.17; กจ 9.18; กจ 9.19; กจ 9.21; กจ 9.25; กจ 9.26; กจ 9.27; กจ 9.28; กจ 9.30; กจ 9.32; กจ 9.33; กจ 9.35; กจ 9.39; กจ 9.40; กจ 9.41; กจ 10.4; กจ 10.7; กจ 10.8; กจ 10.9; กจ 10.15; กจ 10.16; กจ 10.17; กจ 10.24; กจ 10.28; กจ 10.30; กจ 10.31; กจ 10.32; กจ 10.33; กจ 10.34; กจ 10.41; กจ 10.45; กจ 11.2; กจ 11.5; กจ 11.7; กจ 11.9; กจ 11.10; กจ 11.16; กจ 11.18; กจ 11.23; กจ 11.26; กจ 12.1; กจ 12.4; กจ 12.7; กจ 12.10; กจ 12.11; กจ 12.12; กจ 12.17; กจ 12.18; กจ 12.20; กจ 12.21; กจ 12.23; กจ 12.25; กจ 13.3; กจ 13.6; กจ 13.13; กจ 13.14; กจ 13.15; กจ 13.16; กจ 13.19; กจ 13.22; กจ 13.26; กจ 13.29; กจ 13.33; กจ 13.36; กจ 13.41; กจ 13.42; กจ 13.43; กจ 13.46; กจ 13.48; กจ 13.51; กจ 14.6; กจ 14.11; กจ 14.18; กจ 14.19; กจ 14.20; กจ 14.25; กจ 14.26; กจ 14.28; กจ 15.2; กจ 15.4; กจ 15.7; กจ 15.13; กจ 15.14; กจ 15.15; กจ 15.16; กจ 15.18; กจ 15.30; กจ 15.31; กจ 15.33; กจ 15.39; กจ 15.40; กจ 16.1; กจ 16.6; กจ 16.7; กจ 16.8; กจ 16.10; กจ 16.11; กจ 16.12; กจ 16.15; กจ 16.19; กจ 16.20; กจ 16.22; กจ 16.23; กจ 16.24; กจ 16.27; กจ 16.29; กจ 16.30; กจ 16.34; กจ 16.39; กจ 16.40; กจ 17.1; กจ 17.3; กจ 17.9; กจ 17.10; กจ 17.15; กจ 17.19; กจ 17.22; กจ 17.29; กจ 17.31; กจ 17.32; กจ 17.33; กจ 18.6; กจ 18.7; กจ 18.8; กจ 18.15; กจ 18.18; กจ 18.21; กจ 18.22; กจ 18.26; กจ 18.27; กจ 19.1; กจ 19.4; กจ 19.6; กจ 19.9; กจ 19.18; กจ 19.21; กจ 19.25; กจ 19.29; กจ 19.35; กจ 19.36; กจ 19.41; กจ 20.1; กจ 20.2; กจ 20.6; กจ 20.7; กจ 20.9; กจ 20.10; กจ 20.11; กจ 20.14; กจ 20.18; กจ 20.29; กจ 20.34; กจ 20.35; กจ 20.36; กจ 20.38; กจ 21.1; กจ 21.3; กจ 21.4; กจ 21.5; กจ 21.7; กจ 21.10; กจ 21.17; กจ 21.19; กจ 21.22; กจ 21.26; กจ 21.27; กจ 21.30; กจ 21.33; กจ 21.35; กจ 21.40; กจ 22.21; กจ 22.22; กจ 22.26; กจ 22.27; กจ 22.30; กจ 23.1; กจ 23.5; กจ 23.7; กจ 23.9; กจ 23.19; กจ 23.21; กจ 23.25; กจ 23.27; กจ 23.30; กจ 23.32; กจ 23.33; กจ 23.34; กจ 23.35; กจ 24.2; กจ 24.10; กจ 24.17; กจ 24.18; กจ 24.19; กจ 24.22; กจ 24.24; กจ 24.27; กจ 25.1; กจ 25.6; กจ 25.7; กจ 25.10; กจ 25.11; กจ 25.12; กจ 25.17; กจ 25.19; กจ 25.23; กจ 25.26; กจ 26.3; กจ 26.4; กจ 26.10; กจ 26.18; กจ 26.19; กจ 26.20; กจ 26.24; กจ 26.26; กจ 26.30; กจ 26.31; กจ 26.32; กจ 27.4; กจ 27.9; กจ 27.12; กจ 27.13; กจ 27.17; กจ 27.20; กจ 27.21; กจ 27.27; กจ 27.29; กจ 27.30; กจ 27.35; กจ 27.38; กจ 27.39; กจ 27.40; กจ 27.43; กจ 28.1; กจ 28.4; กจ 28.8; กจ 28.9; กจ 28.14; กจ 28.15; กจ 28.17; กจ 28.18; กจ 28.25; กจ 28.28; กจ 28.29; รม 1.10; รม 1.13; รม 1.17; รม 1.19; รม 1.20; รม 1.21; รม 2.24; รม 2.26; รม 2.27; รม 3.4; รม 3.6; รม 3.7; รม 3.8; รม 3.9; รม 3.10; รม 3.19; รม 3.21; รม 3.24; รม 3.25; รม 3.27; รม 3.29; รม 4.7; รม 4.10; รม 4.17; รม 4.18; รม 4.19; รม 5.1; รม 5.5; รม 5.9; รม 5.10; รม 5.13; รม 6.1; รม 6.2; รม 6.4; รม 6.5; รม 6.6; รม 6.7; รม 6.8; รม 6.9; รม 6.13; รม 6.18; รม 6.22; รม 7.1; รม 7.3; รม 7.4; รม 7.7; รม 7.8; รม 8.9; รม 8.10; รม 8.11; รม 8.13; รม 8.17; รม 8.19; รม 8.29; รม 8.33; รม 8.34; รม 8.35; รม 8.36; รม 8.39; รม 9.13; รม 9.19; รม 9.20; รม 9.22; รม 9.24; รม 9.33; รม 10.15; รม 10.18; รม 10.20; รม 11.1; รม 11.2; รม 11.4; รม 11.6; รม 11.8; รม 11.15; รม 11.17; รม 11.19; รม 11.20; รม 11.24; รม 11.26; รม 12.3; รม 12.19; รม 13.3; รม 13.8; รม 13.10; รม 13.11; รม 13.12; รม 14.3; รม 14.15; รม 14.22; รม 15.3; รม 15.9; รม 15.11; รม 15.20; รม 15.23; รม 15.24; รม 15.28; รม 16.19; รม 16.26; 1คร 1.2; 1คร 1.6; 1คร 1.13; 1คร 1.16; 1คร 1.19; 1คร 1.20; 1คร 1.21; 1คร 1.28; 1คร 2.6; 1คร 2.8; 1คร 2.9; 1คร 3.1; 1คร 3.10; 1คร 3.11; 1คร 3.12; 1คร 3.19; 1คร 4.6; 1คร 4.8; 1คร 5.7; 1คร 5.10; 1คร 5.11; 1คร 6.7; 1คร 6.11; 1คร 6.13; 1คร 6.20; 1คร 7.1; 1คร 7.5; 1คร 7.8; 1คร 7.10; 1คร 7.17; 1คร 7.18; 1คร 7.23; 1คร 7.25; 1คร 7.27; 1คร 7.29; 1คร 7.33; 1คร 7.34; 1คร 7.36; 1คร 7.37; 1คร 8.1; 1คร 8.2; 1คร 8.4; 1คร 9.11; 1คร 9.18; 1คร 9.25; 1คร 9.27; 1คร 10.6; 1คร 10.7; 1คร 10.8; 1คร 10.9; 1คร 10.10; 1คร 10.12; 1คร 10.18; 1คร 10.19; 1คร 10.28; 1คร 10.30; 1คร 11.5; 1คร 11.17; 1คร 11.23; 1คร 11.24; 1คร 11.25; 1คร 11.28; 1คร 11.30; 1คร 12.2; 1คร 12.4; 1คร 12.24; 1คร 12.28; 1คร 13.10; 1คร 13.12; 1คร 14.12; 1คร 14.16; 1คร 14.21; 1คร 14.22; 1คร 14.23; 1คร 15.4; 1คร 15.5; 1คร 15.6; 1คร 15.7; 1คร 15.12; 1คร 15.15; 1คร 15.20; 1คร 15.23; 1คร 15.24; 1คร 15.27; 1คร 15.28; 1คร 15.36; 1คร 15.45; 1คร 15.46; 1คร 15.49; 1คร 15.52; 1คร 15.54; 1คร 16.1; 1คร 16.3; 1คร 16.5; 1คร 16.6; 1คร 16.10; 1คร 16.17; 2คร 1.9; 2คร 1.13; 2คร 1.14; 2คร 2.6; 2คร 2.11; 2คร 3.10; 2คร 3.12; 2คร 3.14; 2คร 4.9; 2คร 4.13; 2คร 5.3; 2คร 5.6; 2คร 5.14; 2คร 5.17; 2คร 6.17; 2คร 7.1; 2คร 7.3; 2คร 7.5; 2คร 7.11; 2คร 8.5; 2คร 8.6; 2คร 8.11; 2คร 8.12; 2คร 8.17; 2คร 8.22; 2คร 9.2; 2คร 9.3; 2คร 9.4; 2คร 9.5; 2คร 10.11; 2คร 10.15; 2คร 10.16; 2คร 11.4; 2คร 11.6; 2คร 11.28; 2คร 12.2; 2คร 12.9; 2คร 12.11; 2คร 12.12; 2คร 12.21; 2คร 13.10; กท 1.8; กท 1.9; กท 1.11; กท 1.13; กท 1.17; กท 1.18; กท 2.1; กท 2.2; กท 2.9; กท 2.11; กท 2.18; กท 2.19; กท 2.20; กท 2.21; กท 3.1; กท 3.3; กท 3.4; กท 3.11; กท 3.15; กท 3.16; กท 3.25; กท 3.27; กท 3.29; กท 4.1; กท 4.4; กท 4.6; กท 4.7; กท 4.8; กท 4.9; กท 4.12; กท 4.15; กท 4.27; กท 5.4; กท 5.7; กท 5.11; กท 5.19; กท 5.21; กท 5.24; กท 6.6; กท 6.9; กท 6.13; กท 6.14; อฟ 1.10; อฟ 1.13; อฟ 1.14; อฟ 2.1; อฟ 2.5; อฟ 3.2; อฟ 3.3; อฟ 3.4; อฟ 3.17; อฟ 4.1; อฟ 4.8; อฟ 4.21; อฟ 5.8; อฟ 5.13; อฟ 5.14; อฟ 6.8; อฟ 6.9; อฟ 6.13; ฟป 1.6; ฟป 1.7; ฟป 1.17; ฟป 1.25; ฟป 2.8; ฟป 2.22; ฟป 2.25; ฟป 2.30; ฟป 3.7; ฟป 3.12; ฟป 3.13; ฟป 3.15; ฟป 3.16; ฟป 3.18; ฟป 4.3; ฟป 4.5; ฟป 4.7; ฟป 4.9; ฟป 4.11; ฟป 4.14; ฟป 4.15; ฟป 4.18; คส 1.5; คส 1.23; คส 1.26; คส 1.28; คส 2.6; คส 2.7; คส 2.13; คส 2.20; คส 3.1; คส 3.3; คส 3.9; คส 3.14; คส 3.24; คส 4.10; คส 4.16; 1ธส 1.4; 1ธส 1.5; 1ธส 1.7; 1ธส 2.2; 1ธส 2.8; 1ธส 2.11; 1ธส 2.18; 1ธส 3.1; 1ธส 3.3; 1ธส 3.4; 1ธส 3.5; 1ธส 3.6; 1ธส 4.1; 1ธส 4.2; 1ธส 4.6; 1ธส 4.9; 1ธส 4.11; 1ธส 4.13; 1ธส 4.14; 1ธส 4.15; 1ธส 4.16; 1ธส 5.2; 1ธส 5.3; 1ธส 5.4; 1ธส 5.8; 2ธส 1.6; 2ธส 2.2; 2ธส 2.4; 2ธส 2.5; 2ธส 2.7; 2ธส 2.15; 2ธส 3.1; 1ทธ 1.16; 1ทธ 1.20; 1ทธ 2.13; 1ทธ 3.10; 1ทธ 3.16; 1ทธ 4.5; 1ทธ 5.6; 1ทธ 5.8; 1ทธ 5.11; 1ทธ 5.15; 1ทธ 5.21; 1ทธ 5.24; 1ทธ 6.2; 2ทธ 1.15; 2ทธ 1.18; 2ทธ 2.4; 2ทธ 2.18; 2ทธ 2.21; 2ทธ 2.23; 2ทธ 3.6; 2ทธ 3.8; 2ทธ 3.10; 2ทธ 3.14; 2ทธ 3.15; 2ทธ 4.6; 2ทธ 4.7; 2ทธ 4.8; 2ทธ 4.10; 2ทธ 4.12; ทต 1.5; ทต 1.9; ทต 2.11; ทต 3.4; ทต 3.7; ทต 3.8; ทต 3.10; ทต 3.11; ทต 3.12; ฟม 1.9; ฮบ 1.3; ฮบ 1.5; ฮบ 2.2; ฮบ 2.3; ฮบ 2.10; ฮบ 2.14; ฮบ 3.12; ฮบ 3.16; ฮบ 4.1; ฮบ 4.2; ฮบ 4.3; ฮบ 4.6; ฮบ 4.7; ฮบ 4.8; ฮบ 4.10; ฮบ 4.14; ฮบ 5.5; ฮบ 5.9; ฮบ 5.11; ฮบ 5.12; ฮบ 6.1; ฮบ 6.4; ฮบ 6.6; ฮบ 6.8; ฮบ 6.15; ฮบ 6.20; ฮบ 7.2; ฮบ 7.4; ฮบ 7.12; ฮบ 7.14; ฮบ 7.18; ฮบ 7.21; ฮบ 7.27; ฮบ 8.1; ฮบ 8.4; ฮบ 8.7; ฮบ 8.9; ฮบ 8.13; ฮบ 9.2; ฮบ 9.6; ฮบ 9.14; ฮบ 9.15; ฮบ 9.16; ฮบ 9.17; ฮบ 9.19; ฮบ 9.21; ฮบ 9.22; ฮบ 9.27; ฮบ 9.28; ฮบ 10.2; ฮบ 10.5; ฮบ 10.7; ฮบ 10.8; ฮบ 10.9; ฮบ 10.14; ฮบ 10.15; ฮบ 10.18; ฮบ 10.21; ฮบ 10.25; ฮบ 10.26; ฮบ 10.32; ฮบ 10.34; ฮบ 11.4; ฮบ 11.5; ฮบ 11.6; ฮบ 11.11; ฮบ 11.12; ฮบ 11.14; ฮบ 11.16; ฮบ 11.23; ฮบ 11.24; ฮบ 11.30; ฮบ 11.35; ฮบ 12.2; ฮบ 12.17; ฮบ 12.18; ฮบ 12.19; ฮบ 12.23; ฮบ 12.28; ฮบ 13.5; ฮบ 13.7; ฮบ 13.9; ฮบ 13.18; ฮบ 13.23; ยก 1.12; ยก 1.14; ยก 1.15; ยก 1.21; ยก 1.24; ยก 1.25; ยก 2.8; ยก 2.9; ยก 2.17; ยก 2.19; ยก 2.20; ยก 2.22; ยก 2.24; ยก 2.26; ยก 3.2; ยก 3.7; ยก 3.17; ยก 4.14; ยก 5.3; ยก 5.4; ยก 5.8; ยก 5.9; ยก 5.11; 1ปต 1.2; 1ปต 1.5; 1ปต 1.9; 1ปต 1.12; 1ปต 1.16; 1ปต 1.22; 1ปต 1.25; 1ปต 2.3; 1ปต 2.4; 1ปต 2.6; 1ปต 2.7; 1ปต 2.9; 1ปต 2.10; 1ปต 2.12; 1ปต 2.20; 1ปต 2.24; 1ปต 2.25; 1ปต 3.22; 1ปต 4.1; 1ปต 4.3; 1ปต 4.5; 1ปต 4.6; 1ปต 4.7; 1ปต 4.10; 1ปต 4.17; 1ปต 4.18; 1ปต 5.10; 2ปต 1.3; 2ปต 1.8; 2ปต 1.9; 2ปต 1.10; 2ปต 1.12; 2ปต 1.14; 2ปต 1.15; 2ปต 1.20; 2ปต 2.3; 2ปต 2.17; 2ปต 2.20; 2ปต 2.21; 2ปต 2.22; 2ปต 3.4; 2ปต 3.11; 2ปต 3.17; 1ยน 1.5; 1ยน 2.7; 1ยน 2.8; 1ยน 2.11; 1ยน 2.12; 1ยน 2.14; 1ยน 2.18; 1ยน 2.19; 1ยน 2.20; 1ยน 2.21; 1ยน 2.27; 1ยน 3.5; 1ยน 3.14; 1ยน 3.15; 1ยน 3.23; 1ยน 3.24; 1ยน 4.3; 1ยน 4.9; 1ยน 4.20; 1ยน 5.20; 2ยน 1.5; 2ยน 1.8; 3ยน 1.12; ยด 1.1; ยด 1.3; ยด 1.4; ยด 1.5; ยด 1.12; วว 1.3; วว 1.12; วว 1.17; วว 1.18; วว 1.20; วว 2.5; วว 2.8; วว 2.14; วว 2.20; วว 2.25; วว 3.1; วว 3.2; วว 3.4; วว 3.7; วว 3.18; วว 3.21; วว 4.11; วว 5.5; วว 5.8; วว 5.9; วว 5.11; วว 5.12; วว 6.1; วว 6.3; วว 6.5; วว 6.6; วว 6.7; วว 6.8; วว 6.9; วว 6.11; วว 6.12; วว 6.15; วว 6.17; วว 7.2; วว 7.14; วว 8.2; วว 8.5; วว 8.13; วว 9.12; วว 10.3; วว 10.4; วว 10.6; วว 10.10; วว 11.2; วว 11.7; วว 11.11; วว 11.14; วว 11.18; วว 11.19; วว 12.4; วว 12.10; วว 12.13; วว 12.16; วว 13.3; วว 13.12; วว 14.3; วว 14.6; วว 14.7; วว 14.8; วว 14.15; วว 14.16; วว 14.18; วว 15.4; วว 16.1; วว 16.6; วว 16.7; วว 16.17; วว 17.6; วว 17.8; วว 17.10; วว 17.11; วว 18.2; วว 18.5; วว 18.11; วว 18.14; วว 18.20; วว 18.21; วว 18.23; วว 19.6; วว 19.7; วว 19.10; วว 19.11; วว 19.17; วว 20.1; วว 20.3; วว 20.5; วว 20.7; วว 20.12; วว 20.14; วว 21.1; วว 21.2; วว 21.3; วว 21.4; วว 21.6; วว 21.24; วว 22.8; วว 22.10

แล้วแต่ ( 4 )
มธ 22.10 ผู้รับใช้เหล่านั้นจึงออกไปเชิญคนทั้งปวงตามทางหลวงแล้วแต่จะพบ ให้มาทั้งดีและชั่วจนงานสมรสนั้นเต็มด้วยแขก
รม 12.19 ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง”
รม 14.4 ท่านเป็นใครเล่าจึงกล่าวโทษผู้รับใช้ของคนอื่น ผู้รับใช้คนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา และเขาก็จะได้ดีแน่นอน เพราะว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถให้เขาได้ดีได้
2คร 5.10 เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว

แลเห็น ( 45 )
ปฐก 22.4 พอถึงวันที่สามอับราฮัมเงยหน้าขึ้นแลเห็นที่นั้นแต่ไกล
ปฐก 24.64 เรเบคาห์เงยหน้าขึ้น เมื่อแลเห็นอิสอัคนางก็ลงจากอูฐ
ปฐก 29.10 และต่อมาครั้นยาโคบแลเห็นราเชลบุตรสาวของลาบันพี่ชายมารดาของตน และฝูงแกะของลาบันพี่ชายมารดาของตน ยาโคบก็เข้าไปกลิ้งหินออกจากปากบ่อน้ำ เอาน้ำให้ฝูงแกะของลาบันพี่ชายมารดาของตนกิน
ปฐก 33.5 เอซาวก็เงยหน้าขึ้นแลเห็นพวกผู้หญิงกับลูกๆจึงถามว่า “คนที่อยู่กับเจ้านี้คือใคร” ยาโคบตอบว่า “คือลูกๆที่พระเจ้าโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน”
กดว 11.15 ถ้าพระองค์จะทรงปฏิบัติแก่ข้าพระองค์อย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์ ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ ขอทรงประหารข้าพระองค์เสียทันทีเถิด อย่าให้ข้าพระองค์แลเห็นความทุเรศของข้าพระองค์เลย”
พบญ 3.28 แต่เจ้าจงกำชับโยชูวา จงสนับสนุนและชูใจของเขาให้เข้มแข็ง เพราะเขาจะต้องนำหน้าชนชาตินี้ข้ามไป และจะให้เขาทั้งหลายเข้าถือกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินที่เจ้าแลเห็นนั้น’
พบญ 9.16 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดูก็แลเห็นท่านทั้งหลายกระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายแล้ว ท่านทั้งหลายได้หล่อรูปลูกวัวไว้สำหรับท่าน ท่านได้หันจากพระมรรคาซึ่งพระเยโฮวาห์ได้บัญชาแก่ท่านอย่างรวดเร็ว
พบญ 21.7 และเขาจะเป็นพยานว่า ‘มือของเราทั้งหลายมิได้กระทำให้โลหิตของชายผู้นี้ตก และตาของเราทั้งหลายก็มิได้แลเห็นโลหิตของเขาตก
2ซมอ 1.7 เมื่อพระองค์ทรงเหลียวมาแลเห็นข้าพเจ้า พระองค์ตรัสเรียกข้าพเจ้า และข้าพเจ้าทูลตอบว่า ‘ข้าพระองค์อยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ’
1พกษ 22.32 และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบแลเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็ว่า “เป็นกษัตริย์อิสราเอลแน่แล้ว” เขาจึงหันเข้าไปสู้รบกับพระองค์และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น
2พกษ 2.15 เมื่อเหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์ที่อยู่ ณ เมืองเยรีโค แลเห็นท่าน เขาทั้งหลายจึงว่า “ฤทธิ์เดชของเอลียาห์อยู่กับเอลีชา” และเขาทั้งหลายก็มาต้อนรับท่าน แล้วซบหน้าลงถึงดินต่อหน้าท่าน
2พกษ 5.21 เกหะซีจึงตามนาอามานไป และเมื่อนาอามานแลเห็นว่ามีคนวิ่งตามท่านมา ท่านก็ลงจากรถรบต้อนรับเขาพูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ”
2พศด 18.31 และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบแลเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็ว่า “เป็นกษัตริย์อิสราเอลแล้ว” เขาจึงหันเข้าไปจะสู้รบกับพระองค์ และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น และพระเยโฮวาห์ทรงช่วยพระองค์ พระเจ้าทรงให้เขาทั้งหลายออกไปเสียจากพระองค์
สดด 94.7 และเขากล่าวว่า “พระเยโฮวาห์จะไม่แลเห็น พระเจ้าของยาโคบจะไม่หยั่งรู้”
ยรม 11.20 แต่ว่า โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม ผู้ทรงทดลองดูทั้งใจและจิต ขอให้ข้าพระองค์แลเห็นการแก้แค้นของพระองค์ตกแก่เขา เพราะข้าพระองค์ได้มอบเรื่องของข้าพระองค์ไว้กับพระองค์แล้ว
ยรม 32.4 เศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์จะหนีไปไม่พ้นจากมือของคนเคลเดีย แต่จะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลนเป็นแน่ และจะได้พูดกันปากต่อปาก และจะแลเห็นตาต่อตา
อสค 12.12 และเจ้านายคนนั้นผู้อยู่ท่ามกลางเขา จะยกข้าวของขึ้นใส่บ่าในเวลามืดและออกไป เขาทั้งหลายจะเจาะกำแพงและนำออกไปทางนั้น ท่านจะคลุมหน้าของท่าน เพื่อว่าท่านจะไม่แลเห็นแผ่นดินด้วยตาของท่านเอง
อสค 18.14 แต่ ดูเถิด ถ้าชายคนนี้มีบุตรชายผู้แลเห็นบาปทั้งสิ้นซึ่งบิดาของเขาได้กระทำ และตรึกตรอง และมิได้กระทำตาม
มคา 7.16 ประชาชาติทั้งหลายจะแลเห็นและอับอายด้วยอานุภาพทั้งสิ้นของเขาทั้งหลาย เขาทั้งหลายจะเอามือปิดปากไว้และหูของเขาจะหนวกไป
นฮม 3.7 ต่อมาทุกคนที่แลเห็นเจ้าจะหดหนีไปจากเจ้าและกล่าวว่า “นีนะเวห์เป็นเมืองร้างเสียแล้ว ใครเล่าจะสงสารเธอ” จะไปหาใครที่ไหนมาเล้าโลมเธอได้เล่า
ศคย 1.18 ข้าพเจ้าจึงเงยหน้าขึ้นแลเห็น ดูเถิด มีเขาสี่เขา
ศคย 2.1 ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นอีกแลเห็น ดูเถิด ชายคนหนึ่งมีเชือกวัดอยู่ในมือแน่ะ
ศคย 5.1 ข้าพเจ้าหันกลับและเงยหน้าขึ้นอีกก็แลเห็น ดูเถิด หนังสือม้วนหนึ่งเหาะอยู่นั่น
ศคย 5.2 ท่านจึงถามข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าแลเห็นหนังสือม้วนหนึ่งเหาะอยู่ มันยาวยี่สิบศอก และกว้างสิบศอก”
ศคย 5.9 แล้วข้าพเจ้าก็เงยหน้าขึ้นแลเห็น ดูเถิด มีผู้หญิงสองคนออกมานั่น มีลมอยู่ในปีกของนาง นางมีปีกเหมือนปีกของนกกระสาดำ และนางก็ยกเอฟาห์ขึ้นระหว่างโลกและฟ้าสวรรค์
ศคย 6.1 และข้าพเจ้าได้หันกลับ เงยหน้าขึ้นอีกแลเห็น ดูเถิด มีรถรบสี่คันออกมาระหว่างภูเขาสองลูก ภูเขาเหล่านั้นเป็นภูเขาทองสัมฤทธิ์
มธ 26.71 เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ระเบียง สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นว่า “คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย”
มก 8.24 คนนั้นเงยหน้าดูแล้วทูลว่า “ข้าพระองค์แลเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา”
มก 8.25 พระองค์จึงวางพระหัตถ์บนตาเขาอีก แล้วให้เขาเงยหน้าดู และตาของเขาก็หายเป็นปกติ แลเห็นคนทั้งหลายได้ชัดเจน
ลก 15.20 แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา
กจ 3.12 พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความบริสุทธิ์ของเราเอง
กจ 10.27 เมื่อกำลังสนทนากันอยู่ เปโตรจึงเข้าไปแลเห็นคนเป็นอันมากมาพร้อมกัน
กจ 21.3 ครั้นแลเห็นเกาะไซปรัสแล้ว เราก็ผ่านเกาะนั้นไปข้างขวา แล่นไปยังแคว้นซีเรีย จอดเรือที่ท่าเมืองไทระ เพราะจะเอาของบรรทุกขึ้นท่าที่นั่น
ฮบ 11.13 บรรดาคนเหล่านี้ได้ตายไปในระหว่างที่เชื่ออยู่ ยังไม่ได้รับผลตามพระสัญญาทั้งหลายนั้น แต่ได้แลเห็นพระสัญญาแต่ไกล ก็เชื่อมั่นและต้อนรับพระสัญญาเหล่านั้นไว้ และได้ยอมรับว่าเขาทั้งหลายเป็นคนต่างด้าวและเป็นผู้สัญจรอยู่ในแผ่นดินโลก
1ยน 4.20 ถ้าผู้ใดว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” และยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว เขาจะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นอย่างไรได้
วว 3.18 เราเตือนสติเจ้าให้ซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์ในไฟแล้วจากเรา เพื่อเจ้าจะได้เป็นคนมั่งมี และเสื้อผ้าขาวเพื่อจะนุ่งห่มได้ และเพื่อความละอายแห่งกายเปลือยเปล่าของเจ้าจะไม่ได้ปรากฏ และเอายาทาตาของเจ้าเพื่อเจ้าจะแลเห็นได้
วว 5.6 และในท่ามกลางพระที่นั่งกับสัตว์ทั้งสี่นั้น และท่ามกลางพวกผู้อาวุโส ดูเถิด ข้าพเจ้าแลเห็นพระเมษโปดกประทับยืนอยู่ประหนึ่งทรงถูกปลงพระชนม์ ทรงมีเขาเจ็ดเขาและมีตาเจ็ดดวง ซึ่งเป็นพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า ที่ทรงส่งออกไปทั่วแผ่นดินโลก
วว 6.1 เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงหนึ่งนั้นออกแล้ว ข้าพเจ้าก็แลเห็น และได้ยินสัตว์ตัวหนึ่งในสัตว์สี่ตัวนั้นร้องดุจเสียงฟ้าร้องว่า “มาดูเถิด”
วว 6.2 ข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง และผู้ที่ขี่ม้านั้นถือธนู และได้รับมงกุฎ และผู้นั้นก็ออกไปอย่างมีชัย และเพื่อได้ชัยชนะ
วว 6.5 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สามนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ยินสัตว์ตัวที่สามร้องว่า “มาดูเถิด” แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าดำตัวหนึ่ง และผู้ที่ขี่ม้านั้นถือตราชู
วว 6.8 แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าสีกะเลียวตัวหนึ่ง ผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้นมีชื่อว่าความตาย และนรกก็ติดตามเขามาด้วย และได้ให้ทั้งสองนี้มีอำนาจล้างผลาญแผ่นดินโลกได้หนึ่งในสี่ส่วน ด้วยดาบ ด้วยความอดอยาก ด้วยความตาย และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน
วว 6.9 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่ห้านั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็แลเห็นดวงวิญญาณใต้แท่นบูชา เป็นวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่าเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเพราะคำพยานที่เขายึดถือนั้น
วว 14.1 ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิด พระเมษโปดกทรงยืนอยู่ที่ภูเขาศิโยน และผู้ที่อยู่กับพระองค์มีจำนวนแสนสี่หมื่นสี่พันคน ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระนามของพระบิดาของพระองค์เขียนไว้ที่หน้าผากของเขา
วว 14.14 ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิด มีเมฆขาว และมีผู้หนึ่งประทับบนเมฆนั้นเหมือนกับบุตรมนุษย์ สวมมงกุฎทองคำบนพระเศียร และพระหัตถ์ถือเคียวอันคม
วว 15.5 ต่อจากนี้ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิด พระวิหารของพลับพลาแห่งสักขีพยานในสวรรค์เปิดออก

และ ( 27428 )
ปฐก 1.1; ปฐก 1.2; ปฐก 1.4; ปฐก 1.5; ปฐก 1.6; ปฐก 1.7; ปฐก 1.8; ปฐก 1.9; ปฐก 1.10; ปฐก 1.11; ปฐก 1.12; ปฐก 1.13; ปฐก 1.14; ปฐก 1.15; ปฐก 1.16; ปฐก 1.18; ปฐก 1.19; ปฐก 1.20; ปฐก 1.21; ปฐก 1.22; ปฐก 1.23; ปฐก 1.24; ปฐก 1.25; ปฐก 1.26; ปฐก 1.27; ปฐก 1.28; ปฐก 1.29; ปฐก 1.30; ปฐก 1.31; ปฐก 2.1; ปฐก 2.2; ปฐก 2.3; ปฐก 2.4; ปฐก 2.5; ปฐก 2.7; ปฐก 2.8; ปฐก 2.9; ปฐก 2.12; ปฐก 2.14; ปฐก 2.15; ปฐก 2.17; ปฐก 2.19; ปฐก 2.20; ปฐก 2.21; ปฐก 2.22; ปฐก 2.23; ปฐก 2.24; ปฐก 2.25; ปฐก 3.5; ปฐก 3.6; ปฐก 3.7; ปฐก 3.8; ปฐก 3.9; ปฐก 3.10; ปฐก 3.14; ปฐก 3.15; ปฐก 3.16; ปฐก 3.17; ปฐก 3.18; ปฐก 3.19; ปฐก 3.21; ปฐก 3.22; ปฐก 3.24; ปฐก 4.1; ปฐก 4.4; ปฐก 4.5; ปฐก 4.6; ปฐก 4.7; ปฐก 4.8; ปฐก 4.14; ปฐก 4.16; ปฐก 4.17; ปฐก 4.20; ปฐก 4.21; ปฐก 4.22; ปฐก 4.23; ปฐก 4.25; ปฐก 5.2; ปฐก 5.3; ปฐก 5.4; ปฐก 5.5; ปฐก 5.6; ปฐก 5.7; ปฐก 5.8; ปฐก 5.9; ปฐก 5.10; ปฐก 5.11; ปฐก 5.12; ปฐก 5.13; ปฐก 5.14; ปฐก 5.15; ปฐก 5.16; ปฐก 5.17; ปฐก 5.18; ปฐก 5.19; ปฐก 5.20; ปฐก 5.21; ปฐก 5.22; ปฐก 5.24; ปฐก 5.25; ปฐก 5.26; ปฐก 5.27; ปฐก 5.28; ปฐก 5.29; ปฐก 5.30; ปฐก 5.31; ปฐก 5.32; ปฐก 6.1; ปฐก 6.2; ปฐก 6.4; ปฐก 6.5; ปฐก 6.6; ปฐก 6.7; ปฐก 6.9; ปฐก 6.10; ปฐก 6.11; ปฐก 6.12; ปฐก 6.13; ปฐก 6.14; ปฐก 6.15; ปฐก 6.16; ปฐก 6.17; ปฐก 6.18; ปฐก 6.19; ปฐก 6.20; ปฐก 6.21; ปฐก 7.1; ปฐก 7.2; ปฐก 7.3; ปฐก 7.4; ปฐก 7.7; ปฐก 7.8; ปฐก 7.9; ปฐก 7.11; ปฐก 7.13; ปฐก 7.14; ปฐก 7.16; ปฐก 7.17; ปฐก 7.18; ปฐก 7.19; ปฐก 7.21; ปฐก 7.23; ปฐก 8.1; ปฐก 8.2; ปฐก 8.3; ปฐก 8.12; ปฐก 8.13; ปฐก 8.16; ปฐก 8.17; ปฐก 8.18; ปฐก 8.19; ปฐก 8.20; ปฐก 8.21; ปฐก 9.1; ปฐก 9.2; ปฐก 9.5; ปฐก 9.7; ปฐก 9.8; ปฐก 9.9; ปฐก 9.10; ปฐก 9.12; ปฐก 9.13; ปฐก 9.14; ปฐก 9.15; ปฐก 9.16; ปฐก 9.17; ปฐก 9.18; ปฐก 9.19; ปฐก 9.20; ปฐก 9.21; ปฐก 9.23; ปฐก 9.25; ปฐก 9.26; ปฐก 9.27; ปฐก 9.29; ปฐก 10.1; ปฐก 10.2; ปฐก 10.3; ปฐก 10.4; ปฐก 10.6; ปฐก 10.7; ปฐก 10.10; ปฐก 10.11; ปฐก 10.12; ปฐก 10.14; ปฐก 10.15; ปฐก 10.16; ปฐก 10.18; ปฐก 10.19; ปฐก 10.20; ปฐก 10.22; ปฐก 10.23; ปฐก 10.24; ปฐก 10.25; ปฐก 10.26; ปฐก 10.29; ปฐก 10.31; ปฐก 10.32; ปฐก 11.1; ปฐก 11.2; ปฐก 11.3; ปฐก 11.4; ปฐก 11.5; ปฐก 11.6; ปฐก 11.7; ปฐก 11.9; ปฐก 11.10; ปฐก 11.11; ปฐก 11.12; ปฐก 11.13; ปฐก 11.14; ปฐก 11.15; ปฐก 11.16; ปฐก 11.17; ปฐก 11.18; ปฐก 11.19; ปฐก 11.20; ปฐก 11.21; ปฐก 11.22; ปฐก 11.23; ปฐก 11.24; ปฐก 11.25; ปฐก 11.26; ปฐก 11.27; ปฐก 11.29; ปฐก 11.31; ปฐก 11.32; ปฐก 12.1; ปฐก 12.2; ปฐก 12.3; ปฐก 12.4; ปฐก 12.5; ปฐก 12.7; ปฐก 12.8; ปฐก 12.9; ปฐก 12.12; ปฐก 12.13; ปฐก 12.15; ปฐก 12.16; ปฐก 12.17; ปฐก 12.18; ปฐก 12.19; ปฐก 12.20; ปฐก 13.1; ปฐก 13.2; ปฐก 13.4; ปฐก 13.5; ปฐก 13.7; ปฐก 13.8; ปฐก 13.10; ปฐก 13.11; ปฐก 13.12; ปฐก 13.13; ปฐก 13.14; ปฐก 13.15; ปฐก 13.18; ปฐก 14.1; ปฐก 14.2; ปฐก 14.4; ปฐก 14.5; ปฐก 14.7; ปฐก 14.8; ปฐก 14.9; ปฐก 14.10; ปฐก 14.11; ปฐก 14.12; ปฐก 14.13; ปฐก 14.14; ปฐก 14.15; ปฐก 14.16; ปฐก 14.17; ปฐก 14.18; ปฐก 14.19; ปฐก 14.20; ปฐก 14.21; ปฐก 14.22; ปฐก 14.23; ปฐก 14.24; ปฐก 15.1; ปฐก 15.2; ปฐก 15.3; ปฐก 15.5; ปฐก 15.6; ปฐก 15.9; ปฐก 15.10; ปฐก 15.12; ปฐก 15.13; ปฐก 15.14; ปฐก 15.17; ปฐก 15.21; ปฐก 16.1; ปฐก 16.2; ปฐก 16.8; ปฐก 16.9; ปฐก 16.11; ปฐก 16.12; ปฐก 17.1; ปฐก 17.2; ปฐก 17.3; ปฐก 17.4; ปฐก 17.7; ปฐก 17.8; ปฐก 17.9; ปฐก 17.10; ปฐก 17.11; ปฐก 17.13; ปฐก 17.15; ปฐก 17.16; ปฐก 17.19; ปฐก 17.20; ปฐก 17.23; ปฐก 17.25; ปฐก 17.26; ปฐก 17.27; ปฐก 18.1; ปฐก 18.2; ปฐก 18.3; ปฐก 18.4; ปฐก 18.5; ปฐก 18.6; ปฐก 18.7; ปฐก 18.8; ปฐก 18.9; ปฐก 18.10; ปฐก 18.11; ปฐก 18.14; ปฐก 18.15; ปฐก 18.16; ปฐก 18.18; ปฐก 18.19; ปฐก 18.20; ปฐก 18.24; ปฐก 18.25; ปฐก 18.27; ปฐก 18.29; ปฐก 18.30; ปฐก 18.31; ปฐก 18.32; ปฐก 18.33; ปฐก 19.1; ปฐก 19.3; ปฐก 19.4; ปฐก 19.5; ปฐก 19.6; ปฐก 19.7; ปฐก 19.9; ปฐก 19.10; ปฐก 19.12; ปฐก 19.13; ปฐก 19.15; ปฐก 19.16; ปฐก 19.19; ปฐก 19.20; ปฐก 19.24; ปฐก 19.25; ปฐก 19.26; ปฐก 19.28; ปฐก 19.29; ปฐก 19.31; ปฐก 19.32; ปฐก 19.33; ปฐก 19.34; ปฐก 19.35; ปฐก 19.37; ปฐก 19.38; ปฐก 20.1; ปฐก 20.3; ปฐก 20.5; ปฐก 20.7; ปฐก 20.8; ปฐก 20.9; ปฐก 20.12; ปฐก 20.14; ปฐก 20.16; ปฐก 20.17; ปฐก 21.1; ปฐก 21.2; ปฐก 21.8; ปฐก 21.12; ปฐก 21.14; ปฐก 21.15; ปฐก 21.17; ปฐก 21.19; ปฐก 21.20; ปฐก 21.22; ปฐก 21.23; ปฐก 21.27; ปฐก 21.32; ปฐก 21.33; ปฐก 22.1; ปฐก 22.2; ปฐก 22.6; ปฐก 22.7; ปฐก 22.11; ปฐก 22.12; ปฐก 22.13; ปฐก 22.16; ปฐก 22.17; ปฐก 22.20; ปฐก 22.22; ปฐก 22.24; ปฐก 23.2; ปฐก 23.4; ปฐก 23.8; ปฐก 23.11; ปฐก 23.13; ปฐก 23.17; ปฐก 23.20; ปฐก 24.1; ปฐก 24.3; ปฐก 24.4; ปฐก 24.7; ปฐก 24.9; ปฐก 24.12; ปฐก 24.13; ปฐก 24.14; ปฐก 24.15; ปฐก 24.22; ปฐก 24.23; ปฐก 24.25; ปฐก 24.27; ปฐก 24.30; ปฐก 24.31; ปฐก 24.32; ปฐก 24.35; ปฐก 24.36; ปฐก 24.38; ปฐก 24.40; ปฐก 24.42; ปฐก 24.43; ปฐก 24.44; ปฐก 24.46; ปฐก 24.48; ปฐก 24.49; ปฐก 24.50; ปฐก 24.51; ปฐก 24.52; ปฐก 24.53; ปฐก 24.54; ปฐก 24.55; ปฐก 24.58; ปฐก 24.59; ปฐก 24.60; ปฐก 24.61; ปฐก 24.63; ปฐก 24.67; ปฐก 25.2; ปฐก 25.3; ปฐก 25.4; ปฐก 25.6; ปฐก 25.8; ปฐก 25.9; ปฐก 25.11; ปฐก 25.15; ปฐก 25.16; ปฐก 25.17; ปฐก 25.18; ปฐก 25.23; ปฐก 25.29; ปฐก 25.33; ปฐก 25.34; ปฐก 26.1; ปฐก 26.2; ปฐก 26.3; ปฐก 26.4; ปฐก 26.5; ปฐก 26.8; ปฐก 26.9; ปฐก 26.14; ปฐก 26.15; ปฐก 26.17; ปฐก 26.19; ปฐก 26.21; ปฐก 26.22; ปฐก 26.23; ปฐก 26.24; ปฐก 26.25; ปฐก 26.27; ปฐก 26.28; ปฐก 26.29; ปฐก 26.30; ปฐก 26.31; ปฐก 26.32; ปฐก 26.34; ปฐก 26.35; ปฐก 27.1; ปฐก 27.3; ปฐก 27.4; ปฐก 27.7; ปฐก 27.10; ปฐก 27.11; ปฐก 27.12; ปฐก 27.16; ปฐก 27.17; ปฐก 27.18; ปฐก 27.25; ปฐก 27.26; ปฐก 27.27; ปฐก 27.28; ปฐก 27.29; ปฐก 27.30; ปฐก 27.31; ปฐก 27.33; ปฐก 27.34; ปฐก 27.35; ปฐก 27.36; ปฐก 27.37; ปฐก 27.40; ปฐก 27.42; ปฐก 27.44; ปฐก 27.45; ปฐก 28.1; ปฐก 28.3; ปฐก 28.4; ปฐก 28.5; ปฐก 28.6; ปฐก 28.7; ปฐก 28.9; ปฐก 28.11; ปฐก 28.12; ปฐก 28.13; ปฐก 28.14; ปฐก 28.15; ปฐก 28.16; ปฐก 28.17; ปฐก 28.18; ปฐก 28.20; ปฐก 28.22; ปฐก 29.2; ปฐก 29.3; ปฐก 29.8; ปฐก 29.10; ปฐก 29.12; ปฐก 29.13; ปฐก 29.14; ปฐก 29.17; ปฐก 29.18; ปฐก 29.23; ปฐก 29.25; ปฐก 29.28; ปฐก 29.30; ปฐก 29.32; ปฐก 29.33; ปฐก 29.34; ปฐก 29.35; ปฐก 30.1; ปฐก 30.5; ปฐก 30.6; ปฐก 30.7; ปฐก 30.8; ปฐก 30.16; ปฐก 30.17; ปฐก 30.19; ปฐก 30.22; ปฐก 30.25; ปฐก 30.26; ปฐก 30.28; ปฐก 30.29; ปฐก 30.30; ปฐก 30.32; ปฐก 30.33; ปฐก 30.35; ปฐก 30.37; ปฐก 30.39; ปฐก 30.40; ปฐก 30.42; ปฐก 30.43; ปฐก 31.2; ปฐก 31.3; ปฐก 31.4; ปฐก 31.7; ปฐก 31.8; ปฐก 31.10; ปฐก 31.12; ปฐก 31.13; ปฐก 31.19; ปฐก 31.27; ปฐก 31.28; ปฐก 31.33; ปฐก 31.34; ปฐก 31.36; ปฐก 31.38; ปฐก 31.41; ปฐก 31.42; ปฐก 31.49; ปฐก 31.51; ปฐก 31.52; ปฐก 31.53; ปฐก 31.54; ปฐก 31.55; ปฐก 32.4; ปฐก 32.7; ปฐก 32.9; ปฐก 32.10; ปฐก 32.12; ปฐก 32.13; ปฐก 32.14; ปฐก 32.15; ปฐก 32.16; ปฐก 32.17; ปฐก 32.18; ปฐก 32.19; ปฐก 32.20; ปฐก 32.22; ปฐก 32.23; ปฐก 32.28; ปฐก 33.1; ปฐก 33.4; ปฐก 33.6; ปฐก 33.7; ปฐก 33.8; ปฐก 33.10; ปฐก 33.11; ปฐก 33.12; ปฐก 33.13; ปฐก 33.14; ปฐก 33.17; ปฐก 34.2; ปฐก 34.3; ปฐก 34.7; ปฐก 34.9; ปฐก 34.10; ปฐก 34.11; ปฐก 34.12; ปฐก 34.13; ปฐก 34.16; ปฐก 34.18; ปฐก 34.20; ปฐก 34.21; ปฐก 34.23; ปฐก 34.24; ปฐก 34.25; ปฐก 34.26; ปฐก 34.27; ปฐก 34.28; ปฐก 34.29; ปฐก 34.30; ปฐก 35.1; ปฐก 35.2; ปฐก 35.3; ปฐก 35.6; ปฐก 35.7; ปฐก 35.9; ปฐก 35.11; ปฐก 35.12; ปฐก 35.14; ปฐก 35.23; ปฐก 35.24; ปฐก 35.25; ปฐก 35.26; ปฐก 35.27; ปฐก 35.29; ปฐก 36.2; ปฐก 36.5; ปฐก 36.6; ปฐก 36.11; ปฐก 36.13; ปฐก 36.14; ปฐก 36.17; ปฐก 36.18; ปฐก 36.19; ปฐก 36.21; ปฐก 36.22; ปฐก 36.23; ปฐก 36.24; ปฐก 36.25; ปฐก 36.26; ปฐก 36.27; ปฐก 36.28; ปฐก 36.39; ปฐก 36.43; ปฐก 37.2; ปฐก 37.4; ปฐก 37.7; ปฐก 37.8; ปฐก 37.9; ปฐก 37.10; ปฐก 37.14; ปฐก 37.25; ปฐก 37.26; ปฐก 37.27; ปฐก 37.29; ปฐก 37.31; ปฐก 38.2; ปฐก 38.8; ปฐก 38.18; ปฐก 38.19; ปฐก 38.25; ปฐก 38.28; ปฐก 39.3; ปฐก 39.4; ปฐก 39.5; ปฐก 39.6; ปฐก 39.7; ปฐก 39.21; ปฐก 39.23; ปฐก 40.1; ปฐก 40.2; ปฐก 40.5; ปฐก 40.8; ปฐก 40.10; ปฐก 40.11; ปฐก 40.13; ปฐก 40.14; ปฐก 40.15; ปฐก 40.19; ปฐก 40.20; ปฐก 41.1; ปฐก 41.5; ปฐก 41.6; ปฐก 41.7; ปฐก 41.8; ปฐก 41.10; ปฐก 41.11; ปฐก 41.12; ปฐก 41.13; ปฐก 41.15; ปฐก 41.18; ปฐก 41.19; ปฐก 41.22; ปฐก 41.23; ปฐก 41.26; ปฐก 41.27; ปฐก 41.32; ปฐก 41.34; ปฐก 41.35; ปฐก 41.37; ปฐก 41.39; ปฐก 41.40; ปฐก 41.42; ปฐก 41.43; ปฐก 41.45; ปฐก 41.51; ปฐก 41.56; ปฐก 41.57; ปฐก 42.2; ปฐก 42.7; ปฐก 42.9; ปฐก 42.24; ปฐก 42.25; ปฐก 42.35; ปฐก 43.2; ปฐก 43.7; ปฐก 43.8; ปฐก 43.9; ปฐก 43.11; ปฐก 43.15; ปฐก 43.16; ปฐก 43.17; ปฐก 43.19; ปฐก 43.20; ปฐก 43.21; ปฐก 43.23; ปฐก 43.24; ปฐก 43.27; ปฐก 44.1; ปฐก 44.5; ปฐก 44.9; ปฐก 44.11; ปฐก 44.13; ปฐก 44.20; ปฐก 44.24; ปฐก 44.25; ปฐก 44.29; ปฐก 44.30; ปฐก 44.31; ปฐก 45.2; ปฐก 45.7; ปฐก 45.8; ปฐก 45.10; ปฐก 45.11; ปฐก 45.12; ปฐก 45.13; ปฐก 45.15; ปฐก 45.18; ปฐก 45.19; ปฐก 45.23; ปฐก 46.1; ปฐก 46.4; ปฐก 46.5; ปฐก 46.6; ปฐก 46.7; ปฐก 46.8; ปฐก 46.9; ปฐก 46.10; ปฐก 46.11; ปฐก 46.12; ปฐก 46.13; ปฐก 46.14; ปฐก 46.16; ปฐก 46.17; ปฐก 46.18; ปฐก 46.19; ปฐก 46.21; ปฐก 46.24; ปฐก 46.25; ปฐก 46.30; ปฐก 46.31; ปฐก 46.33; ปฐก 46.34; ปฐก 47.1; ปฐก 47.3; ปฐก 47.5; ปฐก 47.6; ปฐก 47.9; ปฐก 47.11; ปฐก 47.12; ปฐก 47.13; ปฐก 47.14; ปฐก 47.15; ปฐก 47.16; ปฐก 47.17; ปฐก 47.18; ปฐก 47.19; ปฐก 47.22; ปฐก 47.23; ปฐก 47.24; ปฐก 47.27; ปฐก 47.29; ปฐก 48.1; ปฐก 48.3; ปฐก 48.4; ปฐก 48.5; ปฐก 48.7; ปฐก 48.13; ปฐก 48.14; ปฐก 48.15; ปฐก 48.16; ปฐก 48.19; ปฐก 48.20; ปฐก 48.21; ปฐก 48.22; ปฐก 49.3; ปฐก 49.9; ปฐก 49.10; ปฐก 49.11; ปฐก 49.12; ปฐก 49.15; ปฐก 49.20; ปฐก 49.23; ปฐก 49.25; ปฐก 49.26; ปฐก 49.28; ปฐก 49.29; ปฐก 49.31; ปฐก 49.33; ปฐก 50.1; ปฐก 50.7; ปฐก 50.8; ปฐก 50.14; ปฐก 50.15; ปฐก 50.17; ปฐก 50.21; ปฐก 50.22; ปฐก 50.24; อพย 1.2; อพย 1.3; อพย 1.4; อพย 1.7; อพย 1.9; อพย 1.11; อพย 1.12; อพย 1.14; อพย 1.15; อพย 1.16; อพย 1.18; อพย 1.19; อพย 1.20; อพย 1.21; อพย 2.2; อพย 2.3; อพย 2.5; อพย 2.6; อพย 2.10; อพย 2.11; อพย 2.12; อพย 2.13; อพย 2.14; อพย 2.17; อพย 2.18; อพย 2.19; อพย 2.23; อพย 2.24; อพย 3.1; อพย 3.2; อพย 3.4; อพย 3.6; อพย 3.7; อพย 3.8; อพย 3.11; อพย 3.12; อพย 3.13; อพย 3.15; อพย 3.16; อพย 3.17; อพย 3.18; อพย 3.20; อพย 3.21; อพย 3.22; อพย 4.2; อพย 4.3; อพย 4.4; อพย 4.5; อพย 4.6; อพย 4.7; อพย 4.8; อพย 4.9; อพย 4.10; อพย 4.12; อพย 4.14; อพย 4.15; อพย 4.16; อพย 4.18; อพย 4.20; อพย 4.22; อพย 4.23; อพย 4.24; อพย 4.27; อพย 4.28; อพย 4.30; อพย 4.31; อพย 5.1; อพย 5.2; อพย 5.3; อพย 5.5; อพย 5.6; อพย 5.9; อพย 5.10; อพย 5.14; อพย 5.16; อพย 5.21; อพย 6.1; อพย 6.3; อพย 6.4; อพย 6.5; อพย 6.6; อพย 6.7; อพย 6.8; อพย 6.9; อพย 6.12; อพย 6.13; อพย 6.14; อพย 6.15; อพย 6.16; อพย 6.17; อพย 6.18; อพย 6.19; อพย 6.20; อพย 6.21; อพย 6.22; อพย 6.23; อพย 6.24; อพย 6.26; อพย 6.27; อพย 6.28; อพย 7.1; อพย 7.3; อพย 7.4; อพย 7.5; อพย 7.6; อพย 7.7; อพย 7.8; อพย 7.9; อพย 7.10; อพย 7.11; อพย 7.13; อพย 7.16; อพย 7.18; อพย 7.19; อพย 7.20; อพย 7.21; อพย 7.22; อพย 8.3; อพย 8.4; อพย 8.5; อพย 8.8; อพย 8.9; อพย 8.11; อพย 8.13; อพย 8.15; อพย 8.16; อพย 8.17; อพย 8.18; อพย 8.21; อพย 8.24; อพย 8.29; อพย 8.31; อพย 9.2; อพย 9.3; อพย 9.4; อพย 9.7; อพย 9.8; อพย 9.9; อพย 9.10; อพย 9.11; อพย 9.12; อพย 9.14; อพย 9.15; อพย 9.16; อพย 9.19; อพย 9.20; อพย 9.21; อพย 9.22; อพย 9.23; อพย 9.24; อพย 9.25; อพย 9.27; อพย 9.28; อพย 9.29; อพย 9.30; อพย 9.31; อพย 9.32; อพย 9.33; อพย 9.34; อพย 9.35; อพย 10.1; อพย 10.3; อพย 10.5; อพย 10.6; อพย 10.8; อพย 10.9; อพย 10.13; อพย 10.14; อพย 10.15; อพย 10.16; อพย 10.17; อพย 10.18; อพย 10.24; อพย 10.25; อพย 10.26; อพย 11.1; อพย 11.3; อพย 11.5; อพย 11.6; อพย 11.10; อพย 12.1; อพย 12.7; อพย 12.8; อพย 12.9; อพย 12.11; อพย 12.12; อพย 12.14; อพย 12.16; อพย 12.17; อพย 12.22; อพย 12.23; อพย 12.24; อพย 12.28; อพย 12.30; อพย 12.32; อพย 12.35; อพย 12.36; อพย 12.38; อพย 12.43; อพย 12.46; อพย 12.47; อพย 12.48; อพย 12.49; อพย 12.50; อพย 13.5; อพย 13.6; อพย 13.9; อพย 13.11; อพย 13.12; อพย 13.15; อพย 13.16; อพย 13.17; อพย 13.21; อพย 13.22; อพย 14.2; อพย 14.4; อพย 14.5; อพย 14.6; อพย 14.9; อพย 14.10; อพย 14.17; อพย 14.18; อพย 14.19; อพย 14.20; อพย 14.21; อพย 14.22; อพย 14.23; อพย 14.24; อพย 14.26; อพย 14.28; อพย 14.29; อพย 14.31; อพย 15.1; อพย 15.2; อพย 15.4; อพย 15.11; อพย 15.15; อพย 15.16; อพย 15.17; อพย 15.19; อพย 15.20; อพย 15.21; อพย 15.24; อพย 15.25; อพย 15.26; อพย 16.1; อพย 16.2; อพย 16.3; อพย 16.8; อพย 16.18; อพย 16.20; อพย 16.23; อพย 16.28; อพย 17.1; อพย 17.3; อพย 17.5; อพย 17.7; อพย 17.10; อพย 18.1; อพย 18.4; อพย 18.5; อพย 18.7; อพย 18.8; อพย 18.10; อพย 18.12; อพย 18.14; อพย 18.16; อพย 18.18; อพย 18.19; อพย 18.20; อพย 18.21; อพย 18.22; อพย 18.23; อพย 18.24; อพย 19.3; อพย 19.4; อพย 19.5; อพย 19.6; อพย 19.10; อพย 19.14; อพย 19.24; อพย 20.6; อพย 20.11; อพย 20.18; อพย 20.20; อพย 20.24; อพย 20.26; อพย 21.4; อพย 21.5; อพย 21.10; อพย 21.18; อพย 21.19; อพย 21.22; อพย 21.28; อพย 21.29; อพย 21.31; อพย 21.35; อพย 21.36; อพย 22.1; อพย 22.5; อพย 22.6; อพย 22.10; อพย 22.16; อพย 22.23; อพย 22.24; อพย 22.25; อพย 22.29; อพย 22.30; อพย 23.7; อพย 23.8; อพย 23.10; อพย 23.11; อพย 23.12; อพย 23.13; อพย 23.21; อพย 23.22; อพย 23.23; อพย 23.24; อพย 23.25; อพย 23.29; อพย 24.1; อพย 24.2; อพย 24.3; อพย 24.5; อพย 24.7; อพย 24.8; อพย 24.9; อพย 24.10; อพย 24.11; อพย 24.12; อพย 24.14; อพย 24.18; อพย 25.4; อพย 25.5; อพย 25.6; อพย 25.7; อพย 25.9; อพย 25.10; อพย 25.11; อพย 25.12; อพย 25.19; อพย 25.20; อพย 25.22; อพย 25.23; อพย 25.24; อพย 25.29; อพย 25.30; อพย 25.31; อพย 25.33; อพย 25.34; อพย 25.36; อพย 25.38; อพย 26.1; อพย 26.3; อพย 26.4; อพย 26.5; อพย 26.9; อพย 26.10; อพย 26.13; อพย 26.14; อพย 26.21; อพย 26.23; อพย 26.25; อพย 26.27; อพย 26.29; อพย 26.31; อพย 26.32; อพย 26.33; อพย 26.35; อพย 26.36; อพย 27.2; อพย 27.3; อพย 27.5; อพย 27.6; อพย 27.10; อพย 27.11; อพย 27.12; อพย 27.14; อพย 27.15; อพย 27.16; อพย 27.17; อพย 27.18; อพย 27.21; อพย 28.2; อพย 28.4; อพย 28.5; อพย 28.6; อพย 28.8; อพย 28.10; อพย 28.12; อพย 28.15; อพย 28.17; อพย 28.18; อพย 28.19; อพย 28.20; อพย 28.22; อพย 28.23; อพย 28.25; อพย 28.30; อพย 28.33; อพย 28.35; อพย 28.37; อพย 28.38; อพย 28.39; อพย 28.40; อพย 28.41; อพย 28.43; อพย 29.1; อพย 29.2; อพย 29.3; อพย 29.4; อพย 29.5; อพย 29.6; อพย 29.7; อพย 29.8; อพย 29.9; อพย 29.13; อพย 29.14; อพย 29.17; อพย 29.20; อพย 29.21; อพย 29.22; อพย 29.23; อพย 29.24; อพย 29.26; อพย 29.27; อพย 29.28; อพย 29.29; อพย 29.32; อพย 29.33; อพย 29.34; อพย 29.35; อพย 29.36; อพย 29.37; อพย 29.39; อพย 29.40; อพย 29.41; อพย 29.42; อพย 29.43; อพย 29.44; อพย 29.45; อพย 30.2; อพย 30.3; อพย 30.8; อพย 30.15; อพย 30.16; อพย 30.18; อพย 30.19; อพย 30.21; อพย 30.23; อพย 30.24; อพย 30.26; อพย 30.27; อพย 30.28; อพย 30.29; อพย 30.30; อพย 30.32; อพย 30.34; อพย 30.35; อพย 30.36; อพย 31.3; อพย 31.4; อพย 31.5; อพย 31.6; อพย 31.7; อพย 31.8; อพย 31.10; อพย 31.11; อพย 31.17; อพย 32.2; อพย 32.6; อพย 32.8; อพย 32.10; อพย 32.11; อพย 32.12; อพย 32.13; อพย 32.15; อพย 32.16; อพย 32.18; อพย 32.19; อพย 32.20; อพย 32.24; อพย 32.27; อพย 32.28; อพย 32.29; อพย 33.1; อพย 33.2; อพย 33.3; อพย 33.4; อพย 33.7; อพย 33.8; อพย 33.12; อพย 33.13; อพย 33.14; อพย 33.16; อพย 33.17; อพย 33.19; อพย 33.22; อพย 34.3; อพย 34.5; อพย 34.6; อพย 34.7; อพย 34.9; อพย 34.10; อพย 34.11; อพย 34.13; อพย 34.15; อพย 34.16; อพย 34.19; อพย 34.21; อพย 34.22; อพย 34.24; อพย 34.25; อพย 34.27; อพย 34.28; อพย 34.30; อพย 34.31; อพย 34.35; อพย 35.5; อพย 35.6; อพย 35.7; อพย 35.8; อพย 35.9; อพย 35.11; อพย 35.12; อพย 35.13; อพย 35.14; อพย 35.15; อพย 35.16; อพย 35.17; อพย 35.18; อพย 35.19; อพย 35.21; อพย 35.22; อพย 35.23; อพย 35.24; อพย 35.25; อพย 35.27; อพย 35.28; อพย 35.31; อพย 35.32; อพย 35.33; อพย 35.35; อพย 36.1; อพย 36.2; อพย 36.7; อพย 36.10; อพย 36.11; อพย 36.12; อพย 36.13; อพย 36.16; อพย 36.17; อพย 36.19; อพย 36.30; อพย 36.32; อพย 36.34; อพย 36.35; อพย 36.37; อพย 36.38; อพย 37.1; อพย 37.2; อพย 37.3; อพย 37.9; อพย 37.10; อพย 37.11; อพย 37.16; อพย 37.17; อพย 37.19; อพย 37.20; อพย 37.22; อพย 37.23; อพย 37.24; อพย 37.25; อพย 37.26; อพย 37.29; อพย 38.3; อพย 38.4; อพย 38.6; อพย 38.8; อพย 38.9; อพย 38.10; อพย 38.11; อพย 38.12; อพย 38.14; อพย 38.15; อพย 38.17; อพย 38.18; อพย 38.19; อพย 38.20; อพย 38.23; อพย 38.27; อพย 38.28; อพย 38.30; อพย 38.31; อพย 39.1; อพย 39.2; อพย 39.3; อพย 39.5; อพย 39.6; อพย 39.8; อพย 39.10; อพย 39.11; อพย 39.12; อพย 39.13; อพย 39.16; อพย 39.18; อพย 39.20; อพย 39.21; อพย 39.23; อพย 39.24; อพย 39.26; อพย 39.27; อพย 39.28; อพย 39.29; อพย 39.33; อพย 39.34; อพย 39.35; อพย 39.36; อพย 39.37; อพย 39.38; อพย 39.39; อพย 39.40; อพย 39.43; อพย 40.3; อพย 40.4; อพย 40.8; อพย 40.9; อพย 40.10; อพย 40.11; อพย 40.12; อพย 40.13; อพย 40.14; อพย 40.18; อพย 40.20; อพย 40.21; อพย 40.24; อพย 40.27; อพย 40.29; อพย 40.31; อพย 40.33; อพย 40.34; อพย 40.35; อพย 40.38; ลนต 1.2; ลนต 1.4; ลนต 1.5; ลนต 1.6; ลนต 1.7; ลนต 1.8; ลนต 1.9; ลนต 1.11; ลนต 1.12; ลนต 1.13; ลนต 1.16; ลนต 1.17; ลนต 2.1; ลนต 2.2; ลนต 2.3; ลนต 2.5; ลนต 2.9; ลนต 2.10; ลนต 2.15; ลนต 2.16; ลนต 3.2; ลนต 3.3; ลนต 3.4; ลนต 3.8; ลนต 3.9; ลนต 3.10; ลนต 3.11; ลนต 3.13; ลนต 3.14; ลนต 3.15; ลนต 3.16; ลนต 4.4; ลนต 4.5; ลนต 4.6; ลนต 4.7; ลนต 4.8; ลนต 4.9; ลนต 4.10; ลนต 4.11; ลนต 4.12; ลนต 4.13; ลนต 4.15; ลนต 4.17; ลนต 4.18; ลนต 4.19; ลนต 4.21; ลนต 4.24; ลนต 4.25; ลนต 4.26; ลนต 4.29; ลนต 4.30; ลนต 4.31; ลนต 4.33; ลนต 4.34; ลนต 4.35; ลนต 5.1; ลนต 5.4; ลนต 5.6; ลนต 5.7; ลนต 5.9; ลนต 5.10; ลนต 5.12; ลนต 5.13; ลนต 5.15; ลนต 5.16; ลนต 5.18; ลนต 6.2; ลนต 6.5; ลนต 6.7; ลนต 6.9; ลนต 6.10; ลนต 6.12; ลนต 6.15; ลนต 6.16; ลนต 6.17; ลนต 6.20; ลนต 6.25; ลนต 6.27; ลนต 6.28; ลนต 7.2; ลนต 7.3; ลนต 7.4; ลนต 7.9; ลนต 7.16; ลนต 7.18; ลนต 7.21; ลนต 7.24; ลนต 7.31; ลนต 7.33; ลนต 7.34; ลนต 7.35; ลนต 7.37; ลนต 8.2; ลนต 8.3; ลนต 8.4; ลนต 8.6; ลนต 8.7; ลนต 8.8; ลนต 8.9; ลนต 8.10; ลนต 8.11; ลนต 8.12; ลนต 8.13; ลนต 8.14; ลนต 8.16; ลนต 8.17; ลนต 8.19; ลนต 8.20; ลนต 8.21; ลนต 8.22; ลนต 8.23; ลนต 8.24; ลนต 8.25; ลนต 8.26; ลนต 8.27; ลนต 8.28; ลนต 8.29; ลนต 8.30; ลนต 8.31; ลนต 8.32; ลนต 8.33; ลนต 8.35; ลนต 9.1; ลนต 9.2; ลนต 9.3; ลนต 9.4; ลนต 9.5; ลนต 9.6; ลนต 9.7; ลนต 9.8; ลนต 9.9; ลนต 9.10; ลนต 9.11; ลนต 9.12; ลนต 9.13; ลนต 9.14; ลนต 9.16; ลนต 9.17; ลนต 9.18; ลนต 9.19; ลนต 9.20; ลนต 9.21; ลนต 9.22; ลนต 9.23; ลนต 9.24; ลนต 10.1; ลนต 10.2; ลนต 10.3; ลนต 10.4; ลนต 10.6; ลนต 10.7; ลนต 10.10; ลนต 10.11; ลนต 10.12; ลนต 10.13; ลนต 10.14; ลนต 10.15; ลนต 10.16; ลนต 10.17; ลนต 10.19; ลนต 11.1; ลนต 11.3; ลนต 11.7; ลนต 11.8; ลนต 11.9; ลนต 11.10; ลนต 11.12; ลนต 11.19; ลนต 11.22; ลนต 11.25; ลนต 11.26; ลนต 11.28; ลนต 11.30; ลนต 11.32; ลนต 11.33; ลนต 11.34; ลนต 11.35; ลนต 11.38; ลนต 11.40; ลนต 11.46; ลนต 11.47; ลนต 12.5; ลนต 12.6; ลนต 12.7; ลนต 12.8; ลนต 13.1; ลนต 13.3; ลนต 13.4; ลนต 13.5; ลนต 13.6; ลนต 13.10; ลนต 13.13; ลนต 13.15; ลนต 13.17; ลนต 13.20; ลนต 13.21; ลนต 13.24; ลนต 13.25; ลนต 13.26; ลนต 13.30; ลนต 13.31; ลนต 13.32; ลนต 13.34; ลนต 13.36; ลนต 13.37; ลนต 13.41; ลนต 13.45; ลนต 13.50; ลนต 13.53; ลนต 13.54; ลนต 13.56; ลนต 14.3; ลนต 14.4; ลนต 14.7; ลนต 14.8; ลนต 14.9; ลนต 14.10; ลนต 14.13; ลนต 14.14; ลนต 14.15; ลนต 14.16; ลนต 14.17; ลนต 14.20; ลนต 14.21; ลนต 14.24; ลนต 14.25; ลนต 14.27; ลนต 14.28; ลนต 14.30; ลนต 14.31; ลนต 14.33; ลนต 14.34; ลนต 14.37; ลนต 14.41; ลนต 14.42; ลนต 14.43; ลนต 14.45; ลนต 14.47; ลนต 14.49; ลนต 14.51; ลนต 14.52; ลนต 14.53; ลนต 15.1; ลนต 15.5; ลนต 15.6; ลนต 15.7; ลนต 15.8; ลนต 15.9; ลนต 15.10; ลนต 15.11; ลนต 15.12; ลนต 15.13; ลนต 15.14; ลนต 15.15; ลนต 15.16; ลนต 15.17; ลนต 15.18; ลนต 15.19; ลนต 15.20; ลนต 15.21; ลนต 15.22; ลนต 15.24; ลนต 15.26; ลนต 15.27; ลนต 15.29; ลนต 15.30; ลนต 15.32; ลนต 15.33; ลนต 16.1; ลนต 16.2; ลนต 16.3; ลนต 16.4; ลนต 16.5; ลนต 16.6; ลนต 16.8; ลนต 16.11; ลนต 16.12; ลนต 16.15; ลนต 16.16; ลนต 16.17; ลนต 16.18; ลนต 16.19; ลนต 16.20; ลนต 16.21; ลนต 16.24; ลนต 16.26; ลนต 16.27; ลนต 16.28; ลนต 16.30; ลนต 16.31; ลนต 16.32; ลนต 16.33; ลนต 16.34; ลนต 17.2; ลนต 17.4; ลนต 17.5; ลนต 17.6; ลนต 17.8; ลนต 17.9; ลนต 17.10; ลนต 17.15; ลนต 18.3; ลนต 18.4; ลนต 18.5; ลนต 18.17; ลนต 18.18; ลนต 18.19; ลนต 18.21; ลนต 18.25; ลนต 18.26; ลนต 18.30; ลนต 19.3; ลนต 19.10; ลนต 19.16; ลนต 19.22; ลนต 19.23; ลนต 19.24; ลนต 19.29; ลนต 19.30; ลนต 19.32; ลนต 19.36; ลนต 19.37; ลนต 20.3; ลนต 20.4; ลนต 20.5; ลนต 20.6; ลนต 20.8; ลนต 20.10; ลนต 20.14; ลนต 20.15; ลนต 20.16; ลนต 20.17; ลนต 20.18; ลนต 20.22; ลนต 20.23; ลนต 20.24; ลนต 20.25; ลนต 20.26; ลนต 21.1; ลนต 21.6; ลนต 21.10; ลนต 21.22; ลนต 21.24; ลนต 22.6; ลนต 22.9; ลนต 22.11; ลนต 22.13; ลนต 22.14; ลนต 22.18; ลนต 22.31; ลนต 23.6; ลนต 23.10; ลนต 23.11; ลนต 23.13; ลนต 23.18; ลนต 23.19; ลนต 23.21; ลนต 23.22; ลนต 23.25; ลนต 23.27; ลนต 23.30; ลนต 23.32; ลนต 23.36; ลนต 23.37; ลนต 23.38; ลนต 23.39; ลนต 23.40; ลนต 24.5; ลนต 24.7; ลนต 24.9; ลนต 24.10; ลนต 24.11; ลนต 24.14; ลนต 24.15; ลนต 24.16; ลนต 24.21; ลนต 24.22; ลนต 24.23; ลนต 25.3; ลนต 25.6; ลนต 25.7; ลนต 25.10; ลนต 25.15; ลนต 25.18; ลนต 25.19; ลนต 25.23; ลนต 25.25; ลนต 25.26; ลนต 25.27; ลนต 25.28; ลนต 25.31; ลนต 25.35; ลนต 25.38; ลนต 25.39; ลนต 25.41; ลนต 25.45; ลนต 25.47; ลนต 25.52; ลนต 26.1; ลนต 26.2; ลนต 26.3; ลนต 26.4; ลนต 26.5; ลนต 26.6; ลนต 26.7; ลนต 26.8; ลนต 26.9; ลนต 26.10; ลนต 26.11; ลนต 26.12; ลนต 26.14; ลนต 26.15; ลนต 26.16; ลนต 26.19; ลนต 26.20; ลนต 26.21; ลนต 26.22; ลนต 26.23; ลนต 26.24; ลนต 26.25; ลนต 26.28; ลนต 26.29; ลนต 26.30; ลนต 26.31; ลนต 26.32; ลนต 26.33; ลนต 26.34; ลนต 26.36; ลนต 26.37; ลนต 26.38; ลนต 26.39; ลนต 26.40; ลนต 26.41; ลนต 26.42; ลนต 26.43; ลนต 26.44; ลนต 26.46; ลนต 27.5; ลนต 27.7; ลนต 27.10; ลนต 27.32; กดว 1.4; กดว 1.5; กดว 1.10; กดว 1.17; กดว 1.18; กดว 1.44; กดว 1.49; กดว 1.50; กดว 1.51; กดว 1.52; กดว 2.1; กดว 2.34; กดว 3.1; กดว 3.2; กดว 3.4; กดว 3.6; กดว 3.7; กดว 3.8; กดว 3.9; กดว 3.10; กดว 3.11; กดว 3.13; กดว 3.15; กดว 3.17; กดว 3.18; กดว 3.19; กดว 3.20; กดว 3.21; กดว 3.25; กดว 3.26; กดว 3.31; กดว 3.32; กดว 3.33; กดว 3.35; กดว 3.36; กดว 3.37; กดว 3.38; กดว 3.39; กดว 3.40; กดว 3.41; กดว 3.44; กดว 3.45; กดว 3.48; กดว 3.51; กดว 4.1; กดว 4.2; กดว 4.5; กดว 4.6; กดว 4.7; กดว 4.9; กดว 4.10; กดว 4.12; กดว 4.14; กดว 4.15; กดว 4.16; กดว 4.17; กดว 4.19; กดว 4.24; กดว 4.25; กดว 4.26; กดว 4.27; กดว 4.28; กดว 4.31; กดว 4.32; กดว 4.34; กดว 4.36; กดว 4.37; กดว 4.41; กดว 4.45; กดว 4.46; กดว 4.47; กดว 5.2; กดว 5.3; กดว 5.4; กดว 5.6; กดว 5.7; กดว 5.9; กดว 5.10; กดว 5.11; กดว 5.13; กดว 5.14; กดว 5.16; กดว 5.17; กดว 5.18; กดว 5.20; กดว 5.21; กดว 5.22; กดว 5.23; กดว 5.25; กดว 5.26; กดว 5.27; กดว 5.28; กดว 5.30; กดว 6.3; กดว 6.9; กดว 6.11; กดว 6.12; กดว 6.14; กดว 6.15; กดว 6.16; กดว 6.17; กดว 6.18; กดว 6.19; กดว 6.20; กดว 6.21; กดว 6.23; กดว 6.24; กดว 6.25; กดว 6.26; กดว 6.27; กดว 7.1; กดว 7.3; กดว 7.6; กดว 7.8; กดว 7.10; กดว 7.13; กดว 7.23; กดว 7.85; กดว 7.87; กดว 7.88; กดว 7.89; กดว 8.3; กดว 8.5; กดว 8.6; กดว 8.7; กดว 8.8; กดว 8.9; กดว 8.11; กดว 8.12; กดว 8.13; กดว 8.14; กดว 8.15; กดว 8.16; กดว 8.17; กดว 8.18; กดว 8.19; กดว 8.20; กดว 8.21; กดว 8.22; กดว 9.3; กดว 9.6; กดว 9.8; กดว 9.11; กดว 9.12; กดว 9.13; กดว 9.14; กดว 9.18; กดว 9.23; กดว 10.2; กดว 10.9; กดว 10.10; กดว 10.12; กดว 10.16; กดว 10.17; กดว 10.29; กดว 10.31; กดว 11.2; กดว 11.8; กดว 11.16; กดว 11.17; กดว 11.18; กดว 11.20; กดว 11.21; กดว 11.24; กดว 11.25; กดว 11.26; กดว 11.27; กดว 11.28; กดว 11.29; กดว 11.30; กดว 11.32; กดว 11.35; กดว 12.1; กดว 12.4; กดว 12.5; กดว 12.8; กดว 12.10; กดว 12.11; กดว 12.13; กดว 12.15; กดว 13.16; กดว 13.17; กดว 13.18; กดว 13.19; กดว 13.20; กดว 13.22; กดว 13.23; กดว 13.26; กดว 13.27; กดว 13.28; กดว 13.29; กดว 13.30; กดว 13.32; กดว 14.2; กดว 14.6; กดว 14.7; กดว 14.8; กดว 14.11; กดว 14.12; กดว 14.14; กดว 14.18; กดว 14.21; กดว 14.22; กดว 14.24; กดว 14.25; กดว 14.26; กดว 14.30; กดว 14.31; กดว 14.38; กดว 14.39; กดว 14.40; กดว 14.43; กดว 14.44; กดว 14.45; กดว 15.5; กดว 15.7; กดว 15.10; กดว 15.15; กดว 15.16; กดว 15.19; กดว 15.23; กดว 15.24; กดว 15.25; กดว 15.26; กดว 15.28; กดว 15.29; กดว 15.31; กดว 15.33; กดว 15.35; กดว 15.36; กดว 15.38; กดว 15.39; กดว 15.40; กดว 16.1; กดว 16.2; กดว 16.3; กดว 16.5; กดว 16.6; กดว 16.7; กดว 16.8; กดว 16.9; กดว 16.10; กดว 16.11; กดว 16.12; กดว 16.13; กดว 16.14; กดว 16.15; กดว 16.16; กดว 16.17; กดว 16.18; กดว 16.19; กดว 16.20; กดว 16.24; กดว 16.25; กดว 16.27; กดว 16.28; กดว 16.30; กดว 16.32; กดว 16.33; กดว 16.35; กดว 16.37; กดว 16.40; กดว 16.41; กดว 16.42; กดว 16.44; กดว 16.45; กดว 16.47; กดว 16.48; กดว 17.2; กดว 17.5; กดว 17.6; กดว 17.7; กดว 17.8; กดว 17.9; กดว 17.12; กดว 18.1; กดว 18.2; กดว 18.3; กดว 18.4; กดว 18.5; กดว 18.6; กดว 18.7; กดว 18.8; กดว 18.9; กดว 18.11; กดว 18.12; กดว 18.16; กดว 18.17; กดว 18.19; กดว 18.20; กดว 18.22; กดว 18.23; กดว 18.27; กดว 18.30; กดว 18.31; กดว 18.32; กดว 19.1; กดว 19.2; กดว 19.3; กดว 19.4; กดว 19.5; กดว 19.6; กดว 19.7; กดว 19.8; กดว 19.9; กดว 19.10; กดว 19.13; กดว 19.14; กดว 19.17; กดว 19.18; กดว 19.19; กดว 19.20; กดว 19.21; กดว 19.22; กดว 20.1; กดว 20.2; กดว 20.4; กดว 20.5; กดว 20.6; กดว 20.8; กดว 20.11; กดว 20.12; กดว 20.13; กดว 20.15; กดว 20.16; กดว 20.19; กดว 20.22; กดว 20.23; กดว 20.25; กดว 20.26; กดว 20.27; กดว 20.28; กดว 21.1; กดว 21.2; กดว 21.3; กดว 21.5; กดว 21.6; กดว 21.7; กดว 21.8; กดว 21.9; กดว 21.10; กดว 21.11; กดว 21.14; กดว 21.15; กดว 21.18; กดว 21.19; กดว 21.20; กดว 21.23; กดว 21.24; กดว 21.25; กดว 21.26; กดว 21.27; กดว 21.32; กดว 21.33; กดว 21.34; กดว 21.35; กดว 22.6; กดว 22.9; กดว 22.11; กดว 22.15; กดว 22.18; กดว 22.20; กดว 22.32; กดว 22.33; กดว 22.40; กดว 23.1; กดว 23.2; กดว 23.3; กดว 23.4; กดว 23.5; กดว 23.6; กดว 23.9; กดว 23.10; กดว 23.13; กดว 23.14; กดว 23.16; กดว 23.18; กดว 23.19; กดว 23.20; กดว 23.21; กดว 23.23; กดว 23.24; กดว 23.29; กดว 23.30; กดว 24.7; กดว 24.8; กดว 24.9; กดว 24.10; กดว 24.13; กดว 24.16; กดว 24.17; กดว 24.19; กดว 24.20; กดว 24.21; กดว 24.23; กดว 24.24; กดว 24.25; กดว 25.2; กดว 25.3; กดว 25.4; กดว 25.5; กดว 25.6; กดว 25.8; กดว 25.13; กดว 25.15; กดว 25.17; กดว 25.18; กดว 26.1; กดว 26.4; กดว 26.8; กดว 26.9; กดว 26.10; กดว 26.19; กดว 26.20; กดว 26.21; กดว 26.28; กดว 26.31; กดว 26.32; กดว 26.33; กดว 26.34; กดว 26.40; กดว 26.41; กดว 26.50; กดว 26.54; กดว 26.56; กดว 26.58; กดว 26.59; กดว 26.60; กดว 26.61; กดว 26.62; กดว 26.63; กดว 26.64; กดว 26.65; กดว 27.1; กดว 27.2; กดว 27.3; กดว 27.6; กดว 27.7; กดว 27.8; กดว 27.9; กดว 27.10; กดว 27.11; กดว 27.12; กดว 27.13; กดว 27.18; กดว 27.19; กดว 27.21; กดว 27.22; กดว 27.23; กดว 28.2; กดว 28.3; กดว 28.4; กดว 28.5; กดว 28.8; กดว 28.9; กดว 28.10; กดว 28.12; กดว 28.15; กดว 28.17; กดว 28.19; กดว 28.20; กดว 28.22; กดว 28.24; กดว 28.25; กดว 28.28; กดว 28.31; กดว 29.3; กดว 29.5; กดว 29.6; กดว 29.9; กดว 29.11; กดว 29.12; กดว 29.14; กดว 29.16; กดว 29.18; กดว 29.19; กดว 29.21; กดว 29.22; กดว 29.24; กดว 29.25; กดว 29.27; กดว 29.28; กดว 29.30; กดว 29.31; กดว 29.33; กดว 29.34; กดว 29.37; กดว 29.38; กดว 29.39; กดว 29.40; กดว 30.3; กดว 30.4; กดว 30.5; กดว 30.6; กดว 30.7; กดว 30.8; กดว 30.10; กดว 30.11; กดว 30.12; กดว 30.14; กดว 31.3; กดว 31.6; กดว 31.7; กดว 31.8; กดว 31.9; กดว 31.10; กดว 31.11; กดว 31.12; กดว 31.13; กดว 31.14; กดว 31.16; กดว 31.17; กดว 31.19; กดว 31.20; กดว 31.21; กดว 31.22; กดว 31.23; กดว 31.24; กดว 31.26; กดว 31.27; กดว 31.28; กดว 31.30; กดว 31.31; กดว 31.35; กดว 31.36; กดว 31.37; กดว 31.46; กดว 31.47; กดว 31.49; กดว 31.50; กดว 31.51; กดว 31.52; กดว 31.54; กดว 32.1; กดว 32.2; กดว 32.3; กดว 32.4; กดว 32.5; กดว 32.6; กดว 32.9; กดว 32.11; กดว 32.12; กดว 32.13; กดว 32.14; กดว 32.15; กดว 32.16; กดว 32.19; กดว 32.21; กดว 32.22; กดว 32.24; กดว 32.25; กดว 32.26; กดว 32.28; กดว 32.29; กดว 32.32; กดว 32.33; กดว 32.34; กดว 32.36; กดว 32.37; กดว 32.38; กดว 32.39; กดว 32.40; กดว 32.41; กดว 32.42; กดว 33.1; กดว 33.5; กดว 33.6; กดว 33.7; กดว 33.8; กดว 33.9; กดว 33.11; กดว 33.12; กดว 33.13; กดว 33.14; กดว 33.15; กดว 33.16; กดว 33.17; กดว 33.18; กดว 33.19; กดว 33.20; กดว 33.21; กดว 33.22; กดว 33.23; กดว 33.24; กดว 33.25; กดว 33.26; กดว 33.27; กดว 33.28; กดว 33.29; กดว 33.30; กดว 33.31; กดว 33.32; กดว 33.33; กดว 33.34; กดว 33.35; กดว 33.36; กดว 33.37; กดว 33.38; กดว 33.40; กดว 33.41; กดว 33.42; กดว 33.43; กดว 33.44; กดว 33.45; กดว 33.46; กดว 33.47; กดว 33.48; กดว 33.50; กดว 33.52; กดว 33.53; กดว 33.55; กดว 33.56; กดว 34.3; กดว 34.4; กดว 34.5; กดว 34.6; กดว 34.8; กดว 34.11; กดว 34.12; กดว 34.14; กดว 34.15; กดว 34.17; กดว 34.24; กดว 34.27; กดว 35.2; กดว 35.3; กดว 35.4; กดว 35.5; กดว 35.6; กดว 35.8; กดว 35.13; กดว 35.14; กดว 35.15; กดว 35.17; กดว 35.18; กดว 35.23; กดว 35.24; กดว 35.27; กดว 35.32; กดว 35.33; กดว 36.1; กดว 36.2; กดว 36.4; กดว 36.5; กดว 36.8; กดว 36.11; กดว 36.12; กดว 36.13; พบญ 1.1; พบญ 1.4; พบญ 1.7; พบญ 1.8; พบญ 1.10; พบญ 1.11; พบญ 1.12; พบญ 1.13; พบญ 1.15; พบญ 1.16; พบญ 1.17; พบญ 1.19; พบญ 1.20; พบญ 1.22; พบญ 1.24; พบญ 1.25; พบญ 1.27; พบญ 1.28; พบญ 1.31; พบญ 1.33; พบญ 1.34; พบญ 1.36; พบญ 1.39; พบญ 1.41; พบญ 1.43; พบญ 1.44; พบญ 1.45; พบญ 2.1; พบญ 2.4; พบญ 2.6; พบญ 2.8; พบญ 2.9; พบญ 2.10; พบญ 2.12; พบญ 2.14; พบญ 2.19; พบญ 2.21; พบญ 2.22; พบญ 2.23; พบญ 2.24; พบญ 2.25; พบญ 2.28; พบญ 2.29; พบญ 2.31; พบญ 2.32; พบญ 2.33; พบญ 2.34; พบญ 2.36; พบญ 2.37; พบญ 3.1; พบญ 3.2; พบญ 3.3; พบญ 3.5; พบญ 3.6; พบญ 3.7; พบญ 3.9; พบญ 3.10; พบญ 3.12; พบญ 3.14; พบญ 3.16; พบญ 3.24; พบญ 3.25; พบญ 3.26; พบญ 3.27; พบญ 3.28; พบญ 4.1; พบญ 4.2; พบญ 4.5; พบญ 4.6; พบญ 4.8; พบญ 4.9; พบญ 4.10; พบญ 4.11; พบญ 4.13; พบญ 4.14; พบญ 4.19; พบญ 4.20; พบญ 4.21; พบญ 4.22; พบญ 4.23; พบญ 4.25; พบญ 4.26; พบญ 4.27; พบญ 4.28; พบญ 4.29; พบญ 4.30; พบญ 4.32; พบญ 4.33; พบญ 4.34; พบญ 4.36; พบญ 4.37; พบญ 4.38; พบญ 4.39; พบญ 4.40; พบญ 4.42; พบญ 4.43; พบญ 4.45; พบญ 4.46; พบญ 4.47; พบญ 5.1; พบญ 5.10; พบญ 5.15; พบญ 5.16; พบญ 5.21; พบญ 5.22; พบญ 5.23; พบญ 5.24; พบญ 5.26; พบญ 5.27; พบญ 5.28; พบญ 5.29; พบญ 5.31; พบญ 5.33; พบญ 6.1; พบญ 6.2; พบญ 6.3; พบญ 6.5; พบญ 6.6; พบญ 6.7; พบญ 6.8; พบญ 6.9; พบญ 6.10; พบญ 6.11; พบญ 6.13; พบญ 6.15; พบญ 6.17; พบญ 6.18; พบญ 6.20; พบญ 6.21; พบญ 6.22; พบญ 6.23; พบญ 7.1; พบญ 7.2; พบญ 7.4; พบญ 7.5; พบญ 7.7; พบญ 7.8; พบญ 7.9; พบญ 7.10; พบญ 7.11; พบญ 7.12; พบญ 7.13; พบญ 7.15; พบญ 7.18; พบญ 7.19; พบญ 7.20; พบญ 7.23; พบญ 7.24; พบญ 7.26; พบญ 8.1; พบญ 8.2; พบญ 8.3; พบญ 8.4; พบญ 8.6; พบญ 8.7; พบญ 8.8; พบญ 8.9; พบญ 8.11; พบญ 8.12; พบญ 8.13; พบญ 8.14; พบญ 8.15; พบญ 8.16; พบญ 8.17; พบญ 8.19; พบญ 9.1; พบญ 9.2; พบญ 9.3; พบญ 9.5; พบญ 9.7; พบญ 9.8; พบญ 9.10; พบญ 9.13; พบญ 9.14; พบญ 9.15; พบญ 9.17; พบญ 9.19; พบญ 9.22; พบญ 9.23; พบญ 9.26; พบญ 9.27; พบญ 9.28; พบญ 9.29; พบญ 10.1; พบญ 10.2; พบญ 10.3; พบญ 10.4; พบญ 10.5; พบญ 10.6; พบญ 10.7; พบญ 10.8; พบญ 10.12; พบญ 10.13; พบญ 10.14; พบญ 10.15; พบญ 10.17; พบญ 10.18; พบญ 10.20; พบญ 10.21; พบญ 10.22; พบญ 11.1; พบญ 11.2; พบญ 11.3; พบญ 11.4; พบญ 11.5; พบญ 11.6; พบญ 11.8; พบญ 11.9; พบญ 11.10; พบญ 11.11; พบญ 11.13; พบญ 11.14; พบญ 11.15; พบญ 11.16; พบญ 11.17; พบญ 11.19; พบญ 11.20; พบญ 11.21; พบญ 11.22; พบญ 11.23; พบญ 11.24; พบญ 11.25; พบญ 11.26; พบญ 11.29; พบญ 11.31; พบญ 11.32; พบญ 12.1; พบญ 12.2; พบญ 12.3; พบญ 12.6; พบญ 12.7; พบญ 12.9; พบญ 12.10; พบญ 12.11; พบญ 12.12; พบญ 12.14; พบญ 12.15; พบญ 12.18; พบญ 12.20; พบญ 12.22; พบญ 12.25; พบญ 12.26; พบญ 12.27; พบญ 12.28; พบญ 12.29; พบญ 12.30; พบญ 12.31; พบญ 13.1; พบญ 13.2; พบญ 13.4; พบญ 13.5; พบญ 13.9; พบญ 13.11; พบญ 13.14; พบญ 13.15; พบญ 13.16; พบญ 13.17; พบญ 13.18; พบญ 14.2; พบญ 14.5; พบญ 14.6; พบญ 14.8; พบญ 14.9; พบญ 14.10; พบญ 14.17; พบญ 14.18; พบญ 14.23; พบญ 14.25; พบญ 14.26; พบญ 14.29; พบญ 15.8; พบญ 15.9; พบญ 15.10; พบญ 15.13; พบญ 15.14; พบญ 15.15; พบญ 15.16; พบญ 15.20; พบญ 15.22; พบญ 16.2; พบญ 16.7; พบญ 16.11; พบญ 16.13; พบญ 16.14; พบญ 16.15; พบญ 16.16; พบญ 16.18; พบญ 16.19; พบญ 16.20; พบญ 16.22; พบญ 17.3; พบญ 17.4; พบญ 17.5; พบญ 17.9; พบญ 17.10; พบญ 17.11; พบญ 17.13; พบญ 17.14; พบญ 17.17; พบญ 17.19; พบญ 17.20; พบญ 18.1; พบญ 18.3; พบญ 18.4; พบญ 18.5; พบญ 18.12; พบญ 18.14; พบญ 18.17; พบญ 18.18; พบญ 18.21; พบญ 19.1; พบญ 19.3; พบญ 19.4; พบญ 19.5; พบญ 19.8; พบญ 19.9; พบญ 19.10; พบญ 19.11; พบญ 19.12; พบญ 19.17; พบญ 19.18; พบญ 19.20; พบญ 20.1; พบญ 20.2; พบญ 20.3; พบญ 20.5; พบญ 20.6; พบญ 20.7; พบญ 20.8; พบญ 20.11; พบญ 20.14; พบญ 20.17; พบญ 20.20; พบญ 21.2; พบญ 21.3; พบญ 21.4; พบญ 21.5; พบญ 21.6; พบญ 21.7; พบญ 21.8; พบญ 21.10; พบญ 21.11; พบญ 21.12; พบญ 21.13; พบญ 21.15; พบญ 21.18; พบญ 21.20; พบญ 21.21; พบญ 21.22; พบญ 22.2; พบญ 22.3; พบญ 22.5; พบญ 22.6; พบญ 22.7; พบญ 22.9; พบญ 22.10; พบญ 22.13; พบญ 22.14; พบญ 22.15; พบญ 22.16; พบญ 22.19; พบญ 22.20; พบญ 22.22; พบญ 22.23; พบญ 22.24; พบญ 22.25; พบญ 22.26; พบญ 22.28; พบญ 22.29; พบญ 22.30; พบญ 23.4; พบญ 23.11; พบญ 23.13; พบญ 23.14; พบญ 23.21; พบญ 24.1; พบญ 24.2; พบญ 24.3; พบญ 24.10; พบญ 24.11; พบญ 24.13; พบญ 24.14; พบญ 24.15; พบญ 24.17; พบญ 24.18; พบญ 24.19; พบญ 24.20; พบญ 24.21; พบญ 25.1; พบญ 25.5; พบญ 25.7; พบญ 25.9; พบญ 25.11; พบญ 25.15; พบญ 25.16; พบญ 25.18; พบญ 26.1; พบญ 26.3; พบญ 26.4; พบญ 26.5; พบญ 26.6; พบญ 26.8; พบญ 26.9; พบญ 26.10; พบญ 26.11; พบญ 26.12; พบญ 26.13; พบญ 26.15; พบญ 26.16; พบญ 26.17; พบญ 26.18; พบญ 26.19; พบญ 27.1; พบญ 27.3; พบญ 27.5; พบญ 27.6; พบญ 27.7; พบญ 27.8; พบญ 27.9; พบญ 27.10; พบญ 27.12; พบญ 27.13; พบญ 27.14; พบญ 27.15; พบญ 27.19; พบญ 28.1; พบญ 28.4; พบญ 28.5; พบญ 28.6; พบญ 28.7; พบญ 28.8; พบญ 28.9; พบญ 28.10; พบญ 28.11; พบญ 28.12; พบญ 28.13; พบญ 28.14; พบญ 28.15; พบญ 28.17; พบญ 28.19; พบญ 28.20; พบญ 28.22; พบญ 28.23; พบญ 28.24; พบญ 28.25; พบญ 28.26; พบญ 28.27; พบญ 28.28; พบญ 28.29; พบญ 28.30; พบญ 28.31; พบญ 28.32; พบญ 28.33; พบญ 28.35; พบญ 28.36; พบญ 28.38; พบญ 28.39; พบญ 28.41; พบญ 28.42; พบญ 28.43; พบญ 28.44; พบญ 28.45; พบญ 28.46; พบญ 28.47; พบญ 28.48; พบญ 28.50; พบญ 28.51; พบญ 28.52; พบญ 28.53; พบญ 28.54; พบญ 28.55; พบญ 28.56; พบญ 28.57; พบญ 28.58; พบญ 28.59; พบญ 28.60; พบญ 28.61; พบญ 28.63; พบญ 28.64; พบญ 28.65; พบญ 28.66; พบญ 28.67; พบญ 28.68; พบญ 29.2; พบญ 29.3; พบญ 29.4; พบญ 29.5; พบญ 29.7; พบญ 29.8; พบญ 29.10; พบญ 29.11; พบญ 29.13; พบญ 29.15; พบญ 29.16; พบญ 29.17; พบญ 29.18; พบญ 29.19; พบญ 29.20; พบญ 29.22; พบญ 29.23; พบญ 29.26; พบญ 29.28; พบญ 29.29; พบญ 30.1; พบญ 30.2; พบญ 30.3; พบญ 30.5; พบญ 30.6; พบญ 30.7; พบญ 30.8; พบญ 30.9; พบญ 30.10; พบญ 30.11; พบญ 30.12; พบญ 30.13; พบญ 30.14; พบญ 30.15; พบญ 30.16; พบญ 30.17; พบญ 30.19; พบญ 30.20; พบญ 31.2; พบญ 31.4; พบญ 31.5; พบญ 31.6; พบญ 31.7; พบญ 31.8; พบญ 31.9; พบญ 31.10; พบญ 31.12; พบญ 31.13; พบญ 31.14; พบญ 31.15; พบญ 31.16; พบญ 31.17; พบญ 31.19; พบญ 31.20; พบญ 31.21; พบญ 31.22; พบญ 31.23; พบญ 31.27; พบญ 31.28; พบญ 31.29; พบญ 32.2; พบญ 32.4; พบญ 32.5; พบญ 32.6; พบญ 32.10; พบญ 32.13; พบญ 32.14; พบญ 32.19; พบญ 32.20; พบญ 32.21; พบญ 32.22; พบญ 32.23; พบญ 32.24; พบญ 32.25; พบญ 32.29; พบญ 32.30; พบญ 32.32; พบญ 32.35; พบญ 32.36; พบญ 32.38; พบญ 32.39; พบญ 32.40; พบญ 32.41; พบญ 32.42; พบญ 32.43; พบญ 32.45; พบญ 32.47; พบญ 32.48; พบญ 32.49; พบญ 32.50; พบญ 33.2; พบญ 33.3; พบญ 33.7; พบญ 33.8; พบญ 33.9; พบญ 33.10; พบญ 33.11; พบญ 33.12; พบญ 33.13; พบญ 33.14; พบญ 33.15; พบญ 33.16; พบญ 33.17; พบญ 33.18; พบญ 33.19; พบญ 33.20; พบญ 33.21; พบญ 33.22; พบญ 33.23; พบญ 33.24; พบญ 33.25; พบญ 33.27; พบญ 33.28; พบญ 34.1; พบญ 34.2; พบญ 34.3; พบญ 34.4; พบญ 34.6; พบญ 34.8; พบญ 34.9; พบญ 34.11; พบญ 34.12; ยชว 1.2; ยชว 1.4; ยชว 1.6; ยชว 1.7; ยชว 1.8; ยชว 1.9; ยชว 1.12; ยชว 1.13; ยชว 1.14; ยชว 1.15; ยชว 1.18; ยชว 2.1; ยชว 2.9; ยชว 2.10; ยชว 2.11; ยชว 2.12; ยชว 2.13; ยชว 2.14; ยชว 2.18; ยชว 2.23; ยชว 2.24; ยชว 3.1; ยชว 3.3; ยชว 3.8; ยชว 3.9; ยชว 3.10; ยชว 3.13; ยชว 3.15; ยชว 3.16; ยชว 3.17; ยชว 4.3; ยชว 4.8; ยชว 4.9; ยชว 4.11; ยชว 4.12; ยชว 4.20; ยชว 5.1; ยชว 5.2; ยชว 5.3; ยชว 5.6; ยชว 5.11; ยชว 5.13; ยชว 5.15; ยชว 6.2; ยชว 6.4; ยชว 6.5; ยชว 6.7; ยชว 6.8; ยชว 6.9; ยชว 6.12; ยชว 6.13; ยชว 6.14; ยชว 6.17; ยชว 6.18; ยชว 6.19; ยชว 6.20; ยชว 6.21; ยชว 6.22; ยชว 6.23; ยชว 6.24; ยชว 6.25; ยชว 6.27; ยชว 7.1; ยชว 7.2; ยชว 7.3; ยชว 7.5; ยชว 7.9; ยชว 7.11; ยชว 7.13; ยชว 7.15; ยชว 7.16; ยชว 7.17; ยชว 7.18; ยชว 7.19; ยชว 7.20; ยชว 7.21; ยชว 7.22; ยชว 7.23; ยชว 7.24; ยชว 7.25; ยชว 7.26; ยชว 8.1; ยชว 8.2; ยชว 8.3; ยชว 8.4; ยชว 8.5; ยชว 8.8; ยชว 8.11; ยชว 8.12; ยชว 8.13; ยชว 8.14; ยชว 8.19; ยชว 8.21; ยชว 8.22; ยชว 8.23; ยชว 8.24; ยชว 8.25; ยชว 8.27; ยชว 8.29; ยชว 8.31; ยชว 8.33; ยชว 8.34; ยชว 8.35; ยชว 9.1; ยชว 9.2; ยชว 9.3; ยชว 9.4; ยชว 9.5; ยชว 9.6; ยชว 9.8; ยชว 9.9; ยชว 9.10; ยชว 9.11; ยชว 9.12; ยชว 9.13; ยชว 9.15; ยชว 9.17; ยชว 9.21; ยชว 9.22; ยชว 9.23; ยชว 9.24; ยชว 9.27; ยชว 10.1; ยชว 10.2; ยชว 10.3; ยชว 10.4; ยชว 10.5; ยชว 10.6; ยชว 10.7; ยชว 10.10; ยชว 10.12; ยชว 10.13; ยชว 10.18; ยชว 10.23; ยชว 10.24; ยชว 10.25; ยชว 10.26; ยชว 10.27; ยชว 10.28; ยชว 10.29; ยชว 10.30; ยชว 10.31; ยชว 10.32; ยชว 10.33; ยชว 10.34; ยชว 10.35; ยชว 10.37; ยชว 10.39; ยชว 10.40; ยชว 10.41; ยชว 11.1; ยชว 11.2; ยชว 11.3; ยชว 11.4; ยชว 11.5; ยชว 11.6; ยชว 11.8; ยชว 11.9; ยชว 11.10; ยชว 11.11; ยชว 11.12; ยชว 11.15; ยชว 11.16; ยชว 11.20; ยชว 11.21; ยชว 11.22; ยชว 11.23; ยชว 12.1; ยชว 12.2; ยชว 12.3; ยชว 12.4; ยชว 12.5; ยชว 12.6; ยชว 12.8; ยชว 13.2; ยชว 13.3; ยชว 13.4; ยชว 13.5; ยชว 13.6; ยชว 13.8; ยชว 13.9; ยชว 13.10; ยชว 13.11; ยชว 13.12; ยชว 13.15; ยชว 13.16; ยชว 13.17; ยชว 13.18; ยชว 13.19; ยชว 13.20; ยชว 13.21; ยชว 13.23; ยชว 13.25; ยชว 13.26; ยชว 13.27; ยชว 13.28; ยชว 13.30; ยชว 13.31; ยชว 14.1; ยชว 14.4; ยชว 14.6; ยชว 14.9; ยชว 14.10; ยชว 14.11; ยชว 14.13; ยชว 15.5; ยชว 15.6; ยชว 15.7; ยชว 15.11; ยชว 15.14; ยชว 15.15; ยชว 15.16; ยชว 15.17; ยชว 15.18; ยชว 15.19; ยชว 15.21; ยชว 15.32; ยชว 15.41; ยชว 15.45; ยชว 15.46; ยชว 15.47; ยชว 15.48; ยชว 15.54; ยชว 15.57; ยชว 15.59; ยชว 15.60; ยชว 15.62; ยชว 16.4; ยชว 16.6; ยชว 16.7; ยชว 17.1; ยชว 17.2; ยชว 17.3; ยชว 17.4; ยชว 17.5; ยชว 17.10; ยชว 17.11; ยชว 17.13; ยชว 17.15; ยชว 17.17; ยชว 17.18; ยชว 18.1; ยชว 18.4; ยชว 18.5; ยชว 18.6; ยชว 18.7; ยชว 18.8; ยชว 18.11; ยชว 18.12; ยชว 18.14; ยชว 18.15; ยชว 18.19; ยชว 18.28; ยชว 19.6; ยชว 19.10; ยชว 19.11; ยชว 19.13; ยชว 19.14; ยชว 19.15; ยชว 19.22; ยชว 19.23; ยชว 19.26; ยชว 19.27; ยชว 19.30; ยชว 19.33; ยชว 19.34; ยชว 19.38; ยชว 19.41; ยชว 19.44; ยชว 19.46; ยชว 19.47; ยชว 19.50; ยชว 19.51; ยชว 20.4; ยชว 20.5; ยชว 20.6; ยชว 20.7; ยชว 20.8; ยชว 20.9; ยชว 21.1; ยชว 21.2; ยชว 21.3; ยชว 21.4; ยชว 21.5; ยชว 21.6; ยชว 21.7; ยชว 21.8; ยชว 21.9; ยชว 21.12; ยชว 21.23; ยชว 21.25; ยชว 21.27; ยชว 21.28; ยชว 21.30; ยชว 21.32; ยชว 21.36; ยชว 21.38; ยชว 21.44; ยชว 22.2; ยชว 22.5; ยชว 22.6; ยชว 22.7; ยชว 22.8; ยชว 22.9; ยชว 22.10; ยชว 22.11; ยชว 22.12; ยชว 22.13; ยชว 22.15; ยชว 22.17; ยชว 22.19; ยชว 22.21; ยชว 22.22; ยชว 22.25; ยชว 22.27; ยชว 22.28; ยชว 22.29; ยชว 22.30; ยชว 22.31; ยชว 22.32; ยชว 22.33; ยชว 22.34; ยชว 23.1; ยชว 23.2; ยชว 23.5; ยชว 23.6; ยชว 23.9; ยชว 23.12; ยชว 23.13; ยชว 23.16; ยชว 24.1; ยชว 24.2; ยชว 24.3; ยชว 24.4; ยชว 24.5; ยชว 24.6; ยชว 24.7; ยชว 24.8; ยชว 24.11; ยชว 24.12; ยชว 24.13; ยชว 24.14; ยชว 24.15; ยชว 24.17; ยชว 24.18; ยชว 24.20; ยชว 24.21; ยชว 24.22; ยชว 24.23; ยชว 24.24; ยชว 24.25; ยชว 24.26; ยชว 24.27; ยชว 24.30; ยชว 24.31; ยชว 24.33; วนฉ 1.3; วนฉ 1.4; วนฉ 1.5; วนฉ 1.6; วนฉ 1.7; วนฉ 1.8; วนฉ 1.9; วนฉ 1.10; วนฉ 1.12; วนฉ 1.13; วนฉ 1.14; วนฉ 1.15; วนฉ 1.16; วนฉ 1.17; วนฉ 1.18; วนฉ 1.19; วนฉ 1.22; วนฉ 1.24; วนฉ 1.25; วนฉ 1.26; วนฉ 1.27; วนฉ 1.29; วนฉ 1.30; วนฉ 1.33; วนฉ 1.35; วนฉ 2.1; วนฉ 2.2; วนฉ 2.3; วนฉ 2.5; วนฉ 2.7; วนฉ 2.9; วนฉ 2.10; วนฉ 2.11; วนฉ 2.12; วนฉ 2.13; วนฉ 2.14; วนฉ 2.15; วนฉ 2.17; วนฉ 2.18; วนฉ 2.19; วนฉ 2.20; วนฉ 2.22; วนฉ 2.23; วนฉ 3.3; วนฉ 3.5; วนฉ 3.6; วนฉ 3.7; วนฉ 3.8; วนฉ 3.10; วนฉ 3.12; วนฉ 3.13; วนฉ 3.14; วนฉ 3.18; วนฉ 3.20; วนฉ 3.27; วนฉ 3.28; วนฉ 3.29; วนฉ 3.30; วนฉ 4.3; วนฉ 4.5; วนฉ 4.6; วนฉ 4.7; วนฉ 4.10; วนฉ 4.15; วนฉ 4.16; วนฉ 4.18; วนฉ 4.19; วนฉ 4.22; วนฉ 4.24; วนฉ 5.10; วนฉ 5.14; วนฉ 5.15; วนฉ 5.30; วนฉ 5.31; วนฉ 6.1; วนฉ 6.2; วนฉ 6.3; วนฉ 6.5; วนฉ 6.9; วนฉ 6.10; วนฉ 6.13; วนฉ 6.14; วนฉ 6.15; วนฉ 6.16; วนฉ 6.18; วนฉ 6.20; วนฉ 6.21; วนฉ 6.22; วนฉ 6.24; วนฉ 6.26; วนฉ 6.27; วนฉ 6.28; วนฉ 6.30; วนฉ 6.33; วนฉ 6.35; วนฉ 7.1; วนฉ 7.3; วนฉ 7.4; วนฉ 7.7; วนฉ 7.8; วนฉ 7.12; วนฉ 7.14; วนฉ 7.15; วนฉ 7.16; วนฉ 7.17; วนฉ 7.18; วนฉ 7.19; วนฉ 7.20; วนฉ 7.23; วนฉ 7.24; วนฉ 7.25; วนฉ 8.1; วนฉ 8.3; วนฉ 8.4; วนฉ 8.5; วนฉ 8.6; วนฉ 8.7; วนฉ 8.8; วนฉ 8.10; วนฉ 8.11; วนฉ 8.12; วนฉ 8.14; วนฉ 8.15; วนฉ 8.16; วนฉ 8.17; วนฉ 8.18; วนฉ 8.21; วนฉ 8.22; วนฉ 8.23; วนฉ 8.26; วนฉ 8.27; วนฉ 8.28; วนฉ 8.33; วนฉ 9.1; วนฉ 9.2; วนฉ 9.6; วนฉ 9.9; วนฉ 9.11; วนฉ 9.13; วนฉ 9.16; วนฉ 9.17; วนฉ 9.19; วนฉ 9.20; วนฉ 9.24; วนฉ 9.25; วนฉ 9.27; วนฉ 9.28; วนฉ 9.31; วนฉ 9.32; วนฉ 9.33; วนฉ 9.34; วนฉ 9.36; วนฉ 9.37; วนฉ 9.41; วนฉ 9.45; วนฉ 9.49; วนฉ 9.50; วนฉ 9.51; วนฉ 9.57; วนฉ 10.1; วนฉ 10.3; วนฉ 10.4; วนฉ 10.5; วนฉ 10.6; วนฉ 10.7; วนฉ 10.8; วนฉ 10.9; วนฉ 10.10; วนฉ 10.11; วนฉ 10.12; วนฉ 10.13; วนฉ 10.15; วนฉ 10.16; วนฉ 10.17; วนฉ 10.18; วนฉ 11.2; วนฉ 11.3; วนฉ 11.5; วนฉ 11.7; วนฉ 11.9; วนฉ 11.11; วนฉ 11.13; วนฉ 11.14; วนฉ 11.16; วนฉ 11.17; วนฉ 11.18; วนฉ 11.20; วนฉ 11.21; วนฉ 11.22; วนฉ 11.26; วนฉ 11.27; วนฉ 11.29; วนฉ 11.30; วนฉ 11.31; วนฉ 11.32; วนฉ 11.33; วนฉ 11.34; วนฉ 11.35; วนฉ 11.37; วนฉ 11.38; วนฉ 11.39; วนฉ 12.3; วนฉ 12.4; วนฉ 12.6; วนฉ 12.7; วนฉ 12.9; วนฉ 12.11; วนฉ 12.12; วนฉ 12.14; วนฉ 13.4; วนฉ 13.5; วนฉ 13.6; วนฉ 13.7; วนฉ 13.9; วนฉ 13.12; วนฉ 13.13; วนฉ 13.19; วนฉ 13.20; วนฉ 13.22; วนฉ 13.23; วนฉ 13.24; วนฉ 13.25; วนฉ 14.1; วนฉ 14.3; วนฉ 14.8; วนฉ 14.10; วนฉ 14.11; วนฉ 14.12; วนฉ 14.16; วนฉ 14.17; วนฉ 14.19; วนฉ 15.5; วนฉ 15.9; วนฉ 15.11; วนฉ 15.13; วนฉ 15.14; วนฉ 15.15; วนฉ 15.18; วนฉ 15.19; วนฉ 15.20; วนฉ 16.2; วนฉ 16.10; วนฉ 16.12; วนฉ 16.14; วนฉ 16.15; วนฉ 16.16; วนฉ 16.20; วนฉ 16.21; วนฉ 16.23; วนฉ 16.24; วนฉ 16.27; วนฉ 16.29; วนฉ 16.30; วนฉ 16.31; วนฉ 17.2; วนฉ 17.3; วนฉ 17.4; วนฉ 17.5; วนฉ 17.10; วนฉ 17.11; วนฉ 17.12; วนฉ 18.1; วนฉ 18.2; วนฉ 18.7; วนฉ 18.8; วนฉ 18.9; วนฉ 18.11; วนฉ 18.14; วนฉ 18.17; วนฉ 18.18; วนฉ 18.19; วนฉ 18.20; วนฉ 18.21; วนฉ 18.24; วนฉ 18.25; วนฉ 18.27; วนฉ 18.28; วนฉ 18.30; วนฉ 19.3; วนฉ 19.4; วนฉ 19.5; วนฉ 19.6; วนฉ 19.9; วนฉ 19.10; วนฉ 19.13; วนฉ 19.17; วนฉ 19.18; วนฉ 19.19; วนฉ 19.21; วนฉ 19.24; วนฉ 20.4; วนฉ 20.6; วนฉ 20.7; วนฉ 20.18; วนฉ 20.20; วนฉ 20.22; วนฉ 20.23; วนฉ 20.25; วนฉ 20.26; วนฉ 20.28; วนฉ 20.30; วนฉ 20.31; วนฉ 20.38; วนฉ 20.43; วนฉ 20.45; วนฉ 20.47; วนฉ 20.48; วนฉ 21.2; วนฉ 21.4; วนฉ 21.5; วนฉ 21.6; วนฉ 21.10; วนฉ 21.11; วนฉ 21.19; วนฉ 21.21; วนฉ 21.23; วนฉ 21.24; นรธ 1.1; นรธ 1.2; นรธ 1.5; นรธ 1.6; นรธ 1.8; นรธ 1.12; นรธ 1.15; นรธ 1.16; นรธ 1.17; นรธ 1.21; นรธ 1.22; นรธ 2.2; นรธ 2.10; นรธ 2.11; นรธ 2.12; นรธ 2.13; นรธ 2.14; นรธ 2.18; นรธ 2.23; นรธ 3.3; นรธ 3.4; นรธ 3.6; นรธ 3.7; นรธ 3.12; นรธ 3.17; นรธ 4.1; นรธ 4.4; นรธ 4.7; นรธ 4.9; นรธ 4.10; นรธ 4.11; นรธ 4.13; นรธ 4.15; นรธ 4.16; นรธ 4.22; 1ซมอ 1.3; 1ซมอ 1.4; 1ซมอ 1.8; 1ซมอ 1.9; 1ซมอ 1.11; 1ซมอ 1.16; 1ซมอ 1.18; 1ซมอ 1.19; 1ซมอ 1.20; 1ซมอ 1.21; 1ซมอ 1.22; 1ซมอ 1.23; 1ซมอ 1.24; 1ซมอ 1.25; 1ซมอ 1.26; 1ซมอ 1.27; 1ซมอ 1.28; 1ซมอ 2.1; 1ซมอ 2.6; 1ซมอ 2.7; 1ซมอ 2.8; 1ซมอ 2.10; 1ซมอ 2.11; 1ซมอ 2.16; 1ซมอ 2.20; 1ซมอ 2.21; 1ซมอ 2.22; 1ซมอ 2.23; 1ซมอ 2.26; 1ซมอ 2.28; 1ซมอ 2.29; 1ซมอ 2.30; 1ซมอ 2.31; 1ซมอ 2.32; 1ซมอ 2.33; 1ซมอ 2.34; 1ซมอ 2.35; 1ซมอ 2.36; 1ซมอ 3.4; 1ซมอ 3.5; 1ซมอ 3.6; 1ซมอ 3.7; 1ซมอ 3.8; 1ซมอ 3.10; 1ซมอ 3.13; 1ซมอ 3.14; 1ซมอ 3.15; 1ซมอ 3.16; 1ซมอ 3.17; 1ซมอ 3.18; 1ซมอ 3.19; 1ซมอ 3.20; 1ซมอ 3.21; 1ซมอ 4.1; 1ซมอ 4.2; 1ซมอ 4.3; 1ซมอ 4.4; 1ซมอ 4.6; 1ซมอ 4.7; 1ซมอ 4.9; 1ซมอ 4.10; 1ซมอ 4.11; 1ซมอ 4.12; 1ซมอ 4.13; 1ซมอ 4.17; 1ซมอ 4.18; 1ซมอ 4.19; 1ซมอ 4.21; 1ซมอ 4.22; 1ซมอ 5.1; 1ซมอ 5.2; 1ซมอ 5.3; 1ซมอ 5.4; 1ซมอ 5.5; 1ซมอ 5.6; 1ซมอ 5.7; 1ซมอ 5.8; 1ซมอ 5.9; 1ซมอ 5.10; 1ซมอ 5.11; 1ซมอ 5.12; 1ซมอ 6.2; 1ซมอ 6.3; 1ซมอ 6.4; 1ซมอ 6.5; 1ซมอ 6.6; 1ซมอ 6.8; 1ซมอ 6.9; 1ซมอ 6.11; 1ซมอ 6.12; 1ซมอ 6.13; 1ซมอ 6.14; 1ซมอ 6.15; 1ซมอ 6.16; 1ซมอ 6.18; 1ซมอ 6.19; 1ซมอ 7.1; 1ซมอ 7.2; 1ซมอ 7.3; 1ซมอ 7.4; 1ซมอ 7.5; 1ซมอ 7.6; 1ซมอ 7.7; 1ซมอ 7.8; 1ซมอ 7.9; 1ซมอ 7.11; 1ซมอ 7.12; 1ซมอ 7.13; 1ซมอ 7.14; 1ซมอ 7.16; 1ซมอ 8.2; 1ซมอ 8.3; 1ซมอ 8.4; 1ซมอ 8.5; 1ซมอ 8.6; 1ซมอ 8.7; 1ซมอ 8.8; 1ซมอ 8.9; 1ซมอ 8.11; 1ซมอ 8.12; 1ซมอ 8.13; 1ซมอ 8.14; 1ซมอ 8.15; 1ซมอ 8.16; 1ซมอ 8.17; 1ซมอ 8.20; 1ซมอ 8.21; 1ซมอ 8.22; 1ซมอ 9.5; 1ซมอ 9.8; 1ซมอ 9.10; 1ซมอ 9.18; 1ซมอ 9.19; 1ซมอ 9.20; 1ซมอ 9.21; 1ซมอ 9.23; 1ซมอ 9.24; 1ซมอ 9.25; 1ซมอ 9.26; 1ซมอ 9.27; 1ซมอ 10.1; 1ซมอ 10.2; 1ซมอ 10.3; 1ซมอ 10.4; 1ซมอ 10.6; 1ซมอ 10.8; 1ซมอ 10.9; 1ซมอ 10.10; 1ซมอ 10.11; 1ซมอ 10.12; 1ซมอ 10.14; 1ซมอ 10.16; 1ซมอ 10.18; 1ซมอ 10.19; 1ซมอ 10.20; 1ซมอ 10.21; 1ซมอ 10.22; 1ซมอ 10.23; 1ซมอ 10.24; 1ซมอ 10.25; 1ซมอ 10.26; 1ซมอ 10.27; 1ซมอ 11.1; 1ซมอ 11.4; 1ซมอ 11.5; 1ซมอ 11.6; 1ซมอ 11.7; 1ซมอ 11.8; 1ซมอ 11.11; 1ซมอ 11.14; 1ซมอ 11.15; 1ซมอ 12.1; 1ซมอ 12.2; 1ซมอ 12.3; 1ซมอ 12.5; 1ซมอ 12.6; 1ซมอ 12.7; 1ซมอ 12.8; 1ซมอ 12.9; 1ซมอ 12.10; 1ซมอ 12.11; 1ซมอ 12.12; 1ซมอ 12.14; 1ซมอ 12.17; 1ซมอ 12.18; 1ซมอ 12.19; 1ซมอ 12.20; 1ซมอ 12.21; 1ซมอ 12.23; 1ซมอ 12.25; 1ซมอ 13.1; 1ซมอ 13.2; 1ซมอ 13.3; 1ซมอ 13.4; 1ซมอ 13.5; 1ซมอ 13.6; 1ซมอ 13.7; 1ซมอ 13.9; 1ซมอ 13.10; 1ซมอ 13.11; 1ซมอ 13.12; 1ซมอ 13.13; 1ซมอ 13.14; 1ซมอ 13.15; 1ซมอ 13.16; 1ซมอ 13.18; 1ซมอ 13.20; 1ซมอ 13.21; 1ซมอ 13.22; 1ซมอ 13.23; 1ซมอ 14.3; 1ซมอ 14.4; 1ซมอ 14.5; 1ซมอ 14.8; 1ซมอ 14.9; 1ซมอ 14.11; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.13; 1ซมอ 14.14; 1ซมอ 14.15; 1ซมอ 14.16; 1ซมอ 14.17; 1ซมอ 14.18; 1ซมอ 14.20; 1ซมอ 14.21; 1ซมอ 14.23; 1ซมอ 14.24; 1ซมอ 14.25; 1ซมอ 14.28; 1ซมอ 14.31; 1ซมอ 14.32; 1ซมอ 14.33; 1ซมอ 14.34; 1ซมอ 14.35; 1ซมอ 14.36; 1ซมอ 14.37; 1ซมอ 14.38; 1ซมอ 14.40; 1ซมอ 14.41; 1ซมอ 14.42; 1ซมอ 14.43; 1ซมอ 14.44; 1ซมอ 14.46; 1ซมอ 14.47; 1ซมอ 14.48; 1ซมอ 14.49; 1ซมอ 14.50; 1ซมอ 14.51; 1ซมอ 15.3; 1ซมอ 15.4; 1ซมอ 15.5; 1ซมอ 15.6; 1ซมอ 15.7; 1ซมอ 15.8; 1ซมอ 15.9; 1ซมอ 15.11; 1ซมอ 15.12; 1ซมอ 15.13; 1ซมอ 15.14; 1ซมอ 15.15; 1ซมอ 15.16; 1ซมอ 15.17; 1ซมอ 15.18; 1ซมอ 15.19; 1ซมอ 15.20; 1ซมอ 15.21; 1ซมอ 15.22; 1ซมอ 15.23; 1ซมอ 15.24; 1ซมอ 15.25; 1ซมอ 15.26; 1ซมอ 15.27; 1ซมอ 15.28; 1ซมอ 15.30; 1ซมอ 15.31; 1ซมอ 15.32; 1ซมอ 15.33; 1ซมอ 15.34; 1ซมอ 15.35; 1ซมอ 16.2; 1ซมอ 16.4; 1ซมอ 16.5; 1ซมอ 16.9; 1ซมอ 16.10; 1ซมอ 16.11; 1ซมอ 16.12; 1ซมอ 16.13; 1ซมอ 16.14; 1ซมอ 16.15; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 16.18; 1ซมอ 16.20; 1ซมอ 16.21; 1ซมอ 16.22; 1ซมอ 16.23; 1ซมอ 17.1; 1ซมอ 17.2; 1ซมอ 17.3; 1ซมอ 17.5; 1ซมอ 17.6; 1ซมอ 17.9; 1ซมอ 17.10; 1ซมอ 17.11; 1ซมอ 17.13; 1ซมอ 17.16; 1ซมอ 17.17; 1ซมอ 17.18; 1ซมอ 17.19; 1ซมอ 17.20; 1ซมอ 17.22; 1ซมอ 17.23; 1ซมอ 17.25; 1ซมอ 17.26; 1ซมอ 17.28; 1ซมอ 17.30; 1ซมอ 17.33; 1ซมอ 17.34; 1ซมอ 17.35; 1ซมอ 17.36; 1ซมอ 17.37; 1ซมอ 17.38; 1ซมอ 17.39; 1ซมอ 17.40; 1ซมอ 17.42; 1ซมอ 17.43; 1ซมอ 17.45; 1ซมอ 17.46; 1ซมอ 17.47; 1ซมอ 17.49; 1ซมอ 17.50; 1ซมอ 17.51; 1ซมอ 17.52; 1ซมอ 17.53; 1ซมอ 17.55; 1ซมอ 17.58; 1ซมอ 18.1; 1ซมอ 18.2; 1ซมอ 18.4; 1ซมอ 18.5; 1ซมอ 18.6; 1ซมอ 18.7; 1ซมอ 18.11; 1ซมอ 18.13; 1ซมอ 18.14; 1ซมอ 18.16; 1ซมอ 18.17; 1ซมอ 18.21; 1ซมอ 18.22; 1ซมอ 18.23; 1ซมอ 18.24; 1ซมอ 18.26; 1ซมอ 18.27; 1ซมอ 18.28; 1ซมอ 19.1; 1ซมอ 19.2; 1ซมอ 19.3; 1ซมอ 19.4; 1ซมอ 19.5; 1ซมอ 19.6; 1ซมอ 19.7; 1ซมอ 19.8; 1ซมอ 19.9; 1ซมอ 19.10; 1ซมอ 19.11; 1ซมอ 19.12; 1ซมอ 19.13; 1ซมอ 19.17; 1ซมอ 19.18; 1ซมอ 19.20; 1ซมอ 19.21; 1ซมอ 19.22; 1ซมอ 19.23; 1ซมอ 19.24; 1ซมอ 20.1; 1ซมอ 20.2; 1ซมอ 20.3; 1ซมอ 20.11; 1ซมอ 20.12; 1ซมอ 20.13; 1ซมอ 20.17; 1ซมอ 20.18; 1ซมอ 20.19; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 20.23; 1ซมอ 20.24; 1ซมอ 20.25; 1ซมอ 20.27; 1ซมอ 20.29; 1ซมอ 20.30; 1ซมอ 20.36; 1ซมอ 20.37; 1ซมอ 20.38; 1ซมอ 20.39; 1ซมอ 20.40; 1ซมอ 20.41; 1ซมอ 20.42; 1ซมอ 21.1; 1ซมอ 21.2; 1ซมอ 21.5; 1ซมอ 21.8; 1ซมอ 21.9; 1ซมอ 21.10; 1ซมอ 21.11; 1ซมอ 21.12; 1ซมอ 21.13; 1ซมอ 22.1; 1ซมอ 22.2; 1ซมอ 22.3; 1ซมอ 22.4; 1ซมอ 22.5; 1ซมอ 22.6; 1ซมอ 22.7; 1ซมอ 22.10; 1ซมอ 22.11; 1ซมอ 22.12; 1ซมอ 22.13; 1ซมอ 22.14; 1ซมอ 22.16; 1ซมอ 22.17; 1ซมอ 22.19; 1ซมอ 22.20; 1ซมอ 23.1; 1ซมอ 23.2; 1ซมอ 23.4; 1ซมอ 23.5; 1ซมอ 23.7; 1ซมอ 23.8; 1ซมอ 23.11; 1ซมอ 23.12; 1ซมอ 23.13; 1ซมอ 23.14; 1ซมอ 23.15; 1ซมอ 23.16; 1ซมอ 23.17; 1ซมอ 23.18; 1ซมอ 23.21; 1ซมอ 23.23; 1ซมอ 23.25; 1ซมอ 24.3; 1ซมอ 24.7; 1ซมอ 24.8; 1ซมอ 24.9; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 24.11; 1ซมอ 24.12; 1ซมอ 24.15; 1ซมอ 24.20; 1ซมอ 24.21; 1ซมอ 24.22; 1ซมอ 25.1; 1ซมอ 25.2; 1ซมอ 25.3; 1ซมอ 25.5; 1ซมอ 25.6; 1ซมอ 25.7; 1ซมอ 25.8; 1ซมอ 25.9; 1ซมอ 25.10; 1ซมอ 25.11; 1ซมอ 25.12; 1ซมอ 25.13; 1ซมอ 25.14; 1ซมอ 25.15; 1ซมอ 25.16; 1ซมอ 25.17; 1ซมอ 25.18; 1ซมอ 25.20; 1ซมอ 25.21; 1ซมอ 25.22; 1ซมอ 25.25; 1ซมอ 25.26; 1ซมอ 25.29; 1ซมอ 25.30; 1ซมอ 25.31; 1ซมอ 25.33; 1ซมอ 25.35; 1ซมอ 25.36; 1ซมอ 25.37; 1ซมอ 25.38; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 25.40; 1ซมอ 25.41; 1ซมอ 25.42; 1ซมอ 25.43; 1ซมอ 26.3; 1ซมอ 26.5; 1ซมอ 26.6; 1ซมอ 26.7; 1ซมอ 26.8; 1ซมอ 26.9; 1ซมอ 26.10; 1ซมอ 26.11; 1ซมอ 26.12; 1ซมอ 26.13; 1ซมอ 26.14; 1ซมอ 26.15; 1ซมอ 26.16; 1ซมอ 26.17; 1ซมอ 26.18; 1ซมอ 26.21; 1ซมอ 26.22; 1ซมอ 26.23; 1ซมอ 26.24; 1ซมอ 26.25; 1ซมอ 27.1; 1ซมอ 27.2; 1ซมอ 27.3; 1ซมอ 27.4; 1ซมอ 27.8; 1ซมอ 27.9; 1ซมอ 27.10; 1ซมอ 27.11; 1ซมอ 28.1; 1ซมอ 28.2; 1ซมอ 28.3; 1ซมอ 28.4; 1ซมอ 28.5; 1ซมอ 28.6; 1ซมอ 28.7; 1ซมอ 28.8; 1ซมอ 28.9; 1ซมอ 28.12; 1ซมอ 28.13; 1ซมอ 28.14; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 28.16; 1ซมอ 28.17; 1ซมอ 28.19; 1ซมอ 28.20; 1ซมอ 28.21; 1ซมอ 28.25; 1ซมอ 29.1; 1ซมอ 29.2; 1ซมอ 29.3; 1ซมอ 29.4; 1ซมอ 29.5; 1ซมอ 29.6; 1ซมอ 29.8; 1ซมอ 30.1; 1ซมอ 30.2; 1ซมอ 30.3; 1ซมอ 30.5; 1ซมอ 30.6; 1ซมอ 30.8; 1ซมอ 30.9; 1ซมอ 30.10; 1ซมอ 30.11; 1ซมอ 30.12; 1ซมอ 30.13; 1ซมอ 30.14; 1ซมอ 30.15; 1ซมอ 30.16; 1ซมอ 30.17; 1ซมอ 30.18; 1ซมอ 30.20; 1ซมอ 30.21; 1ซมอ 30.22; 1ซมอ 30.23; 1ซมอ 30.25; 1ซมอ 31.1; 1ซมอ 31.2; 1ซมอ 31.5; 1ซมอ 31.6; 1ซมอ 31.7; 1ซมอ 31.8; 1ซมอ 31.9; 1ซมอ 31.10; 1ซมอ 31.12; 1ซมอ 31.13; 2ซมอ 1.2; 2ซมอ 1.4; 2ซมอ 1.5; 2ซมอ 1.6; 2ซมอ 1.7; 2ซมอ 1.9; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 1.11; 2ซมอ 1.12; 2ซมอ 1.13; 2ซมอ 1.15; 2ซมอ 1.17; 2ซมอ 1.18; 2ซมอ 1.22; 2ซมอ 1.23; 2ซมอ 1.24; 2ซมอ 1.27; 2ซมอ 2.1; 2ซมอ 2.2; 2ซมอ 2.3; 2ซมอ 2.4; 2ซมอ 2.5; 2ซมอ 2.6; 2ซมอ 2.7; 2ซมอ 2.9; 2ซมอ 2.12; 2ซมอ 2.13; 2ซมอ 2.14; 2ซมอ 2.15; 2ซมอ 2.16; 2ซมอ 2.17; 2ซมอ 2.18; 2ซมอ 2.19; 2ซมอ 2.21; 2ซมอ 2.23; 2ซมอ 2.25; 2ซมอ 2.27; 2ซมอ 2.28; 2ซมอ 2.29; 2ซมอ 2.30; 2ซมอ 2.31; 2ซมอ 2.32; 2ซมอ 3.1; 2ซมอ 3.3; 2ซมอ 3.5; 2ซมอ 3.7; 2ซมอ 3.8; 2ซมอ 3.9; 2ซมอ 3.10; 2ซมอ 3.11; 2ซมอ 3.12; 2ซมอ 3.16; 2ซมอ 3.18; 2ซมอ 3.19; 2ซมอ 3.21; 2ซมอ 3.22; 2ซมอ 3.23; 2ซมอ 3.25; 2ซมอ 3.27; 2ซมอ 3.28; 2ซมอ 3.29; 2ซมอ 3.31; 2ซมอ 3.32; 2ซมอ 3.33; 2ซมอ 3.34; 2ซมอ 3.35; 2ซมอ 3.37; 2ซมอ 3.38; 2ซมอ 4.1; 2ซมอ 4.3; 2ซมอ 4.4; 2ซมอ 4.5; 2ซมอ 4.6; 2ซมอ 4.7; 2ซมอ 4.8; 2ซมอ 4.9; 2ซมอ 4.10; 2ซมอ 4.11; 2ซมอ 4.12; 2ซมอ 5.1; 2ซมอ 5.2; 2ซมอ 5.3; 2ซมอ 5.4; 2ซมอ 5.5; 2ซมอ 5.6; 2ซมอ 5.8; 2ซมอ 5.9; 2ซมอ 5.10; 2ซมอ 5.11; 2ซมอ 5.12; 2ซมอ 5.13; 2ซมอ 5.16; 2ซมอ 5.18; 2ซมอ 5.19; 2ซมอ 5.20; 2ซมอ 5.21; 2ซมอ 5.22; 2ซมอ 5.23; 2ซมอ 5.24; 2ซมอ 5.25; 2ซมอ 6.2; 2ซมอ 6.3; 2ซมอ 6.4; 2ซมอ 6.5; 2ซมอ 6.6; 2ซมอ 6.7; 2ซมอ 6.8; 2ซมอ 6.9; 2ซมอ 6.11; 2ซมอ 6.12; 2ซมอ 6.13; 2ซมอ 6.14; 2ซมอ 6.15; 2ซมอ 6.16; 2ซมอ 6.17; 2ซมอ 6.18; 2ซมอ 6.19; 2ซมอ 6.20; 2ซมอ 6.21; 2ซมอ 7.1; 2ซมอ 7.3; 2ซมอ 7.6; 2ซมอ 7.9; 2ซมอ 7.10; 2ซมอ 7.11; 2ซมอ 7.12; 2ซมอ 7.13; 2ซมอ 7.14; 2ซมอ 7.16; 2ซมอ 7.17; 2ซมอ 7.18; 2ซมอ 7.19; 2ซมอ 7.21; 2ซมอ 7.23; 2ซมอ 7.25; 2ซมอ 7.26; 2ซมอ 7.28; 2ซมอ 7.29; 2ซมอ 8.1; 2ซมอ 8.2; 2ซมอ 8.4; 2ซมอ 8.5; 2ซมอ 8.6; 2ซมอ 8.7; 2ซมอ 8.8; 2ซมอ 8.10; 2ซมอ 8.11; 2ซมอ 8.12; 2ซมอ 8.14; 2ซมอ 8.15; 2ซมอ 8.16; 2ซมอ 8.17; 2ซมอ 8.18; 2ซมอ 9.2; 2ซมอ 9.6; 2ซมอ 9.7; 2ซมอ 9.8; 2ซมอ 9.9; 2ซมอ 9.10; 2ซมอ 10.1; 2ซมอ 10.2; 2ซมอ 10.3; 2ซมอ 10.4; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.6; 2ซมอ 10.7; 2ซมอ 10.8; 2ซมอ 10.9; 2ซมอ 10.10; 2ซมอ 10.12; 2ซมอ 10.17; 2ซมอ 10.18; 2ซมอ 10.19; 2ซมอ 11.1; 2ซมอ 11.2; 2ซมอ 11.8; 2ซมอ 11.11; 2ซมอ 11.12; 2ซมอ 11.13; 2ซมอ 11.14; 2ซมอ 11.20; 2ซมอ 11.23; 2ซมอ 11.24; 2ซมอ 11.25; 2ซมอ 11.27; 2ซมอ 12.1; 2ซมอ 12.2; 2ซมอ 12.3; 2ซมอ 12.5; 2ซมอ 12.6; 2ซมอ 12.7; 2ซมอ 12.8; 2ซมอ 12.9; 2ซมอ 12.11; 2ซมอ 12.12; 2ซมอ 12.13; 2ซมอ 12.15; 2ซมอ 12.16; 2ซมอ 12.20; 2ซมอ 12.21; 2ซมอ 12.22; 2ซมอ 12.24; 2ซมอ 12.25; 2ซมอ 12.26; 2ซมอ 12.27; 2ซมอ 12.29; 2ซมอ 12.30; 2ซมอ 12.31; 2ซมอ 13.1; 2ซมอ 13.5; 2ซมอ 13.7; 2ซมอ 13.9; 2ซมอ 13.14; 2ซมอ 13.15; 2ซมอ 13.18; 2ซมอ 13.19; 2ซมอ 13.23; 2ซมอ 13.24; 2ซมอ 13.26; 2ซมอ 13.27; 2ซมอ 13.28; 2ซมอ 13.29; 2ซมอ 13.31; 2ซมอ 13.36; 2ซมอ 13.38; 2ซมอ 14.9; 2ซมอ 14.15; 2ซมอ 14.16; 2ซมอ 14.17; 2ซมอ 14.22; 2ซมอ 14.23; 2ซมอ 14.24; 2ซมอ 14.27; 2ซมอ 15.1; 2ซมอ 15.2; 2ซมอ 15.3; 2ซมอ 15.5; 2ซมอ 15.14; 2ซมอ 15.17; 2ซมอ 15.18; 2ซมอ 15.19; 2ซมอ 15.20; 2ซมอ 15.21; 2ซมอ 15.22; 2ซมอ 15.23; 2ซมอ 15.24; 2ซมอ 15.25; 2ซมอ 15.27; 2ซมอ 15.29; 2ซมอ 15.30; 2ซมอ 15.32; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 15.36; 2ซมอ 15.37; 2ซมอ 16.1; 2ซมอ 16.2; 2ซมอ 16.4; 2ซมอ 16.6; 2ซมอ 16.8; 2ซมอ 16.11; 2ซมอ 16.12; 2ซมอ 16.13; 2ซมอ 16.15; 2ซมอ 16.16; 2ซมอ 16.17; 2ซมอ 16.22; 2ซมอ 16.23; 2ซมอ 17.1; 2ซมอ 17.2; 2ซมอ 17.4; 2ซมอ 17.8; 2ซมอ 17.10; 2ซมอ 17.12; 2ซมอ 17.14; 2ซมอ 17.15; 2ซมอ 17.16; 2ซมอ 17.17; 2ซมอ 17.21; 2ซมอ 17.22; 2ซมอ 17.24; 2ซมอ 17.26; 2ซมอ 17.27; 2ซมอ 17.28; 2ซมอ 17.29; 2ซมอ 18.1; 2ซมอ 18.2; 2ซมอ 18.4; 2ซมอ 18.5; 2ซมอ 18.9; 2ซมอ 18.12; 2ซมอ 18.16; 2ซมอ 18.23; 2ซมอ 18.27; 2ซมอ 18.31; 2ซมอ 18.32; 2ซมอ 18.33; 2ซมอ 19.1; 2ซมอ 19.4; 2ซมอ 19.5; 2ซมอ 19.6; 2ซมอ 19.9; 2ซมอ 19.11; 2ซมอ 19.12; 2ซมอ 19.13; 2ซมอ 19.15; 2ซมอ 19.17; 2ซมอ 19.18; 2ซมอ 19.19; 2ซมอ 19.23; 2ซมอ 19.31; 2ซมอ 19.35; 2ซมอ 19.37; 2ซมอ 19.39; 2ซมอ 19.40; 2ซมอ 19.41; 2ซมอ 19.43; 2ซมอ 20.2; 2ซมอ 20.6; 2ซมอ 20.7; 2ซมอ 20.9; 2ซมอ 20.11; 2ซมอ 20.12; 2ซมอ 20.14; 2ซมอ 20.15; 2ซมอ 20.19; 2ซมอ 20.23; 2ซมอ 20.24; 2ซมอ 21.1; 2ซมอ 21.2; 2ซมอ 21.4; 2ซมอ 21.5; 2ซมอ 21.6; 2ซมอ 21.9; 2ซมอ 21.12; 2ซมอ 21.13; 2ซมอ 21.14; 2ซมอ 21.15; 2ซมอ 21.17; 2ซมอ 21.19; 2ซมอ 21.20; 2ซมอ 21.22; 2ซมอ 22.1; 2ซมอ 22.2; 2ซมอ 22.3; 2ซมอ 22.4; 2ซมอ 22.7; 2ซมอ 22.8; 2ซมอ 22.9; 2ซมอ 22.10; 2ซมอ 22.11; 2ซมอ 22.12; 2ซมอ 22.14; 2ซมอ 22.15; 2ซมอ 22.22; 2ซมอ 22.23; 2ซมอ 22.24; 2ซมอ 22.32; 2ซมอ 22.33; 2ซมอ 22.34; 2ซมอ 22.36; 2ซมอ 22.38; 2ซมอ 22.43; 2ซมอ 22.46; 2ซมอ 22.47; 2ซมอ 22.48; 2ซมอ 22.50; 2ซมอ 22.51; 2ซมอ 23.1; 2ซมอ 23.5; 2ซมอ 23.7; 2ซมอ 23.9; 2ซมอ 23.12; 2ซมอ 23.13; 2ซมอ 23.14; 2ซมอ 23.17; 2ซมอ 23.18; 2ซมอ 23.21; 2ซมอ 23.22; 2ซมอ 23.23; 2ซมอ 24.1; 2ซมอ 24.2; 2ซมอ 24.4; 2ซมอ 24.5; 2ซมอ 24.6; 2ซมอ 24.7; 2ซมอ 24.9; 2ซมอ 24.10; 2ซมอ 24.11; 2ซมอ 24.13; 2ซมอ 24.15; 2ซมอ 24.16; 2ซมอ 24.17; 2ซมอ 24.20; 2ซมอ 24.21; 2ซมอ 24.22; 2ซมอ 24.23; 2ซมอ 24.25; 1พกษ 1.1; 1พกษ 1.2; 1พกษ 1.4; 1พกษ 1.5; 1พกษ 1.7; 1พกษ 1.8; 1พกษ 1.9; 1พกษ 1.11; 1พกษ 1.12; 1พกษ 1.13; 1พกษ 1.14; 1พกษ 1.15; 1พกษ 1.17; 1พกษ 1.19; 1พกษ 1.21; 1พกษ 1.24; 1พกษ 1.25; 1พกษ 1.26; 1พกษ 1.27; 1พกษ 1.28; 1พกษ 1.30; 1พกษ 1.31; 1พกษ 1.32; 1พกษ 1.33; 1พกษ 1.34; 1พกษ 1.35; 1พกษ 1.36; 1พกษ 1.37; 1พกษ 1.38; 1พกษ 1.39; 1พกษ 1.40; 1พกษ 1.41; 1พกษ 1.42; 1พกษ 1.44; 1พกษ 1.45; 1พกษ 1.47; 1พกษ 1.48; 1พกษ 1.49; 1พกษ 1.52; 1พกษ 1.53; 1พกษ 2.2; 1พกษ 2.3; 1พกษ 2.5; 1พกษ 2.8; 1พกษ 2.9; 1พกษ 2.10; 1พกษ 2.11; 1พกษ 2.12; 1พกษ 2.15; 1พกษ 2.17; 1พกษ 2.19; 1พกษ 2.20; 1พกษ 2.22; 1พกษ 2.23; 1พกษ 2.24; 1พกษ 2.25; 1พกษ 2.26; 1พกษ 2.28; 1พกษ 2.29; 1พกษ 2.30; 1พกษ 2.31; 1พกษ 2.32; 1พกษ 2.33; 1พกษ 2.34; 1พกษ 2.35; 1พกษ 2.36; 1พกษ 2.37; 1พกษ 2.38; 1พกษ 2.39; 1พกษ 2.41; 1พกษ 2.42; 1พกษ 2.43; 1พกษ 2.45; 1พกษ 2.46; 1พกษ 3.1; 1พกษ 3.3; 1พกษ 3.4; 1พกษ 3.5; 1พกษ 3.6; 1พกษ 3.8; 1พกษ 3.9; 1พกษ 3.11; 1พกษ 3.12; 1พกษ 3.13; 1พกษ 3.14; 1พกษ 3.15; 1พกษ 3.16; 1พกษ 3.17; 1พกษ 3.18; 1พกษ 3.20; 1พกษ 3.22; 1พกษ 3.23; 1พกษ 3.24; 1พกษ 3.25; 1พกษ 3.26; 1พกษ 3.28; 1พกษ 4.2; 1พกษ 4.3; 1พกษ 4.4; 1พกษ 4.5; 1พกษ 4.6; 1พกษ 4.7; 1พกษ 4.9; 1พกษ 4.10; 1พกษ 4.12; 1พกษ 4.13; 1พกษ 4.16; 1พกษ 4.19; 1พกษ 4.20; 1พกษ 4.21; 1พกษ 4.22; 1พกษ 4.23; 1พกษ 4.24; 1พกษ 4.25; 1พกษ 4.26; 1พกษ 4.27; 1พกษ 4.28; 1พกษ 4.29; 1พกษ 4.30; 1พกษ 4.31; 1พกษ 4.32; 1พกษ 4.33; 1พกษ 4.34; 1พกษ 5.2; 1พกษ 5.6; 1พกษ 5.7; 1พกษ 5.8; 1พกษ 5.9; 1พกษ 5.10; 1พกษ 5.11; 1พกษ 5.12; 1พกษ 5.14; 1พกษ 5.15; 1พกษ 5.17; 1พกษ 5.18; 1พกษ 6.2; 1พกษ 6.3; 1พกษ 6.4; 1พกษ 6.5; 1พกษ 6.6; 1พกษ 6.8; 1พกษ 6.9; 1พกษ 6.10; 1พกษ 6.11; 1พกษ 6.12; 1พกษ 6.13; 1พกษ 6.14; 1พกษ 6.15; 1พกษ 6.16; 1พกษ 6.18; 1พกษ 6.20; 1พกษ 6.21; 1พกษ 6.22; 1พกษ 6.25; 1พกษ 6.26; 1พกษ 6.27; 1พกษ 6.28; 1พกษ 6.29; 1พกษ 6.30; 1พกษ 6.31; 1พกษ 6.32; 1พกษ 6.34; 1พกษ 6.35; 1พกษ 6.36; 1พกษ 6.38; 1พกษ 7.1; 1พกษ 7.2; 1พกษ 7.5; 1พกษ 7.6; 1พกษ 7.7; 1พกษ 7.9; 1พกษ 7.10; 1พกษ 7.11; 1พกษ 7.12; 1พกษ 7.14; 1พกษ 7.16; 1พกษ 7.17; 1พกษ 7.18; 1พกษ 7.20; 1พกษ 7.21; 1พกษ 7.22; 1พกษ 7.23; 1พกษ 7.29; 1พกษ 7.30; 1พกษ 7.31; 1พกษ 7.33; 1พกษ 7.35; 1พกษ 7.36; 1พกษ 7.37; 1พกษ 7.39; 1พกษ 7.40; 1พกษ 7.41; 1พกษ 7.42; 1พกษ 7.43; 1พกษ 7.44; 1พกษ 7.45; 1พกษ 7.46; 1พกษ 7.48; 1พกษ 7.49; 1พกษ 7.50; 1พกษ 7.51; 1พกษ 8.1; 1พกษ 8.2; 1พกษ 8.3; 1พกษ 8.4; 1พกษ 8.5; 1พกษ 8.7; 1พกษ 8.8; 1พกษ 8.10; 1พกษ 8.14; 1พกษ 8.20; 1พกษ 8.22; 1พกษ 8.23; 1พกษ 8.24; 1พกษ 8.27; 1พกษ 8.28; 1พกษ 8.29; 1พกษ 8.30; 1พกษ 8.31; 1พกษ 8.32; 1พกษ 8.33; 1พกษ 8.34; 1พกษ 8.35; 1พกษ 8.36; 1พกษ 8.38; 1พกษ 8.39; 1พกษ 8.42; 1พกษ 8.43; 1พกษ 8.44; 1พกษ 8.45; 1พกษ 8.46; 1พกษ 8.47; 1พกษ 8.48; 1พกษ 8.49; 1พกษ 8.50; 1พกษ 8.51; 1พกษ 8.52; 1พกษ 8.54; 1พกษ 8.55; 1พกษ 8.58; 1พกษ 8.59; 1พกษ 8.61; 1พกษ 8.62; 1พกษ 8.63; 1พกษ 8.64; 1พกษ 8.65; 1พกษ 8.66; 1พกษ 9.1; 1พกษ 9.3; 1พกษ 9.4; 1พกษ 9.6; 1พกษ 9.7; 1พกษ 9.8; 1พกษ 9.9; 1พกษ 9.10; 1พกษ 9.11; 1พกษ 9.15; 1พกษ 9.16; 1พกษ 9.17; 1พกษ 9.18; 1พกษ 9.19; 1พกษ 9.20; 1พกษ 9.22; 1พกษ 9.25; 1พกษ 9.27; 1พกษ 9.28; 1พกษ 10.2; 1พกษ 10.3; 1พกษ 10.4; 1พกษ 10.5; 1พกษ 10.6; 1พกษ 10.7; 1พกษ 10.8; 1พกษ 10.9; 1พกษ 10.10; 1พกษ 10.11; 1พกษ 10.12; 1พกษ 10.15; 1พกษ 10.17; 1พกษ 10.18; 1พกษ 10.19; 1พกษ 10.21; 1พกษ 10.22; 1พกษ 10.23; 1พกษ 10.24; 1พกษ 10.25; 1พกษ 10.26; 1พกษ 10.27; 1พกษ 10.28; 1พกษ 10.29; 1พกษ 11.1; 1พกษ 11.3; 1พกษ 11.4; 1พกษ 11.5; 1พกษ 11.6; 1พกษ 11.7; 1พกษ 11.8; 1พกษ 11.10; 1พกษ 11.11; 1พกษ 11.13; 1พกษ 11.15; 1พกษ 11.16; 1พกษ 11.18; 1พกษ 11.19; 1พกษ 11.20; 1พกษ 11.21; 1พกษ 11.22; 1พกษ 11.24; 1พกษ 11.25; 1พกษ 11.27; 1พกษ 11.29; 1พกษ 11.31; 1พกษ 11.32; 1พกษ 11.33; 1พกษ 11.34; 1พกษ 11.35; 1พกษ 11.37; 1พกษ 11.38; 1พกษ 11.40; 1พกษ 11.41; 1พกษ 11.42; 1พกษ 11.43; 1พกษ 12.2; 1พกษ 12.4; 1พกษ 12.7; 1พกษ 12.8; 1พกษ 12.9; 1พกษ 12.10; 1พกษ 12.13; 1พกษ 12.14; 1พกษ 12.16; 1พกษ 12.18; 1พกษ 12.20; 1พกษ 12.21; 1พกษ 12.23; 1พกษ 12.24; 1พกษ 12.25; 1พกษ 12.26; 1พกษ 12.27; 1พกษ 12.28; 1พกษ 12.29; 1พกษ 12.30; 1พกษ 12.32; 1พกษ 12.33; 1พกษ 13.1; 1พกษ 13.2; 1พกษ 13.3; 1พกษ 13.4; 1พกษ 13.5; 1พกษ 13.6; 1พกษ 13.7; 1พกษ 13.8; 1พกษ 13.10; 1พกษ 13.11; 1พกษ 13.12; 1พกษ 13.14; 1พกษ 13.15; 1พกษ 13.18; 1พกษ 13.19; 1พกษ 13.20; 1พกษ 13.21; 1พกษ 13.22; 1พกษ 13.23; 1พกษ 13.24; 1พกษ 13.25; 1พกษ 13.26; 1พกษ 13.28; 1พกษ 13.29; 1พกษ 13.30; 1พกษ 13.32; 1พกษ 13.34; 1พกษ 14.2; 1พกษ 14.3; 1พกษ 14.7; 1พกษ 14.8; 1พกษ 14.9; 1พกษ 14.10; 1พกษ 14.11; 1พกษ 14.13; 1พกษ 14.15; 1พกษ 14.16; 1พกษ 14.17; 1พกษ 14.18; 1พกษ 14.19; 1พกษ 14.20; 1พกษ 14.21; 1พกษ 14.22; 1พกษ 14.23; 1พกษ 14.24; 1พกษ 14.26; 1พกษ 14.27; 1พกษ 14.29; 1พกษ 14.30; 1พกษ 14.31; 1พกษ 15.3; 1พกษ 15.4; 1พกษ 15.5; 1พกษ 15.7; 1พกษ 15.8; 1พกษ 15.10; 1พกษ 15.11; 1พกษ 15.12; 1พกษ 15.13; 1พกษ 15.15; 1พกษ 15.16; 1พกษ 15.17; 1พกษ 15.18; 1พกษ 15.19; 1พกษ 15.20; 1พกษ 15.21; 1พกษ 15.22; 1พกษ 15.23; 1พกษ 15.24; 1พกษ 15.25; 1พกษ 15.26; 1พกษ 15.27; 1พกษ 15.28; 1พกษ 15.30; 1พกษ 15.31; 1พกษ 15.32; 1พกษ 15.33; 1พกษ 15.34; 1พกษ 16.2; 1พกษ 16.3; 1พกษ 16.4; 1พกษ 16.5; 1พกษ 16.6; 1พกษ 16.7; 1พกษ 16.8; 1พกษ 16.10; 1พกษ 16.11; 1พกษ 16.13; 1พกษ 16.14; 1พกษ 16.16; 1พกษ 16.17; 1พกษ 16.18; 1พกษ 16.19; 1พกษ 16.20; 1พกษ 16.21; 1พกษ 16.22; 1พกษ 16.23; 1พกษ 16.24; 1พกษ 16.25; 1พกษ 16.26; 1พกษ 16.27; 1พกษ 16.28; 1พกษ 16.29; 1พกษ 16.30; 1พกษ 16.31; 1พกษ 16.33; 1พกษ 16.34; 1พกษ 17.3; 1พกษ 17.4; 1พกษ 17.5; 1พกษ 17.6; 1พกษ 17.7; 1พกษ 17.8; 1พกษ 17.9; 1พกษ 17.10; 1พกษ 17.11; 1พกษ 17.12; 1พกษ 17.13; 1พกษ 17.14; 1พกษ 17.15; 1พกษ 17.17; 1พกษ 17.18; 1พกษ 17.19; 1พกษ 17.20; 1พกษ 17.21; 1พกษ 17.22; 1พกษ 17.23; 1พกษ 17.24; 1พกษ 18.1; 1พกษ 18.3; 1พกษ 18.4; 1พกษ 18.5; 1พกษ 18.7; 1พกษ 18.8; 1พกษ 18.9; 1พกษ 18.10; 1พกษ 18.11; 1พกษ 18.12; 1พกษ 18.13; 1พกษ 18.14; 1พกษ 18.15; 1พกษ 18.16; 1พกษ 18.17; 1พกษ 18.18; 1พกษ 18.19; 1พกษ 18.20; 1พกษ 18.21; 1พกษ 18.23; 1พกษ 18.24; 1พกษ 18.25; 1พกษ 18.26; 1พกษ 18.27; 1พกษ 18.28; 1พกษ 18.29; 1พกษ 18.30; 1พกษ 18.32; 1พกษ 18.33; 1พกษ 18.34; 1พกษ 18.35; 1พกษ 18.36; 1พกษ 18.37; 1พกษ 18.38; 1พกษ 18.39; 1พกษ 18.40; 1พกษ 18.41; 1พกษ 18.42; 1พกษ 18.43; 1พกษ 18.44; 1พกษ 18.45; 1พกษ 18.46; 1พกษ 19.1; 1พกษ 19.2; 1พกษ 19.3; 1พกษ 19.4; 1พกษ 19.5; 1พกษ 19.6; 1พกษ 19.7; 1พกษ 19.8; 1พกษ 19.9; 1พกษ 19.10; 1พกษ 19.11; 1พกษ 19.13; 1พกษ 19.14; 1พกษ 19.15; 1พกษ 19.16; 1พกษ 19.17; 1พกษ 19.18; 1พกษ 19.19; 1พกษ 19.20; 1พกษ 19.21; 1พกษ 20.1; 1พกษ 20.2; 1พกษ 20.3; 1พกษ 20.4; 1พกษ 20.5; 1พกษ 20.7; 1พกษ 20.8; 1พกษ 20.9; 1พกษ 20.10; 1พกษ 20.11; 1พกษ 20.12; 1พกษ 20.14; 1พกษ 20.15; 1พกษ 20.16; 1พกษ 20.19; 1พกษ 20.20; 1พกษ 20.21; 1พกษ 20.22; 1พกษ 20.24; 1พกษ 20.25; 1พกษ 20.26; 1พกษ 20.27; 1พกษ 20.28; 1พกษ 20.30; 1พกษ 20.31; 1พกษ 20.32; 1พกษ 20.33; 1พกษ 20.34; 1พกษ 20.36; 1พกษ 20.37; 1พกษ 20.38; 1พกษ 20.39; 1พกษ 20.40; 1พกษ 20.41; 1พกษ 20.42; 1พกษ 20.43; 1พกษ 21.1; 1พกษ 21.4; 1พกษ 21.6; 1พกษ 21.7; 1พกษ 21.8; 1พกษ 21.9; 1พกษ 21.10; 1พกษ 21.11; 1พกษ 21.12; 1พกษ 21.13; 1พกษ 21.16; 1พกษ 21.19; 1พกษ 21.21; 1พกษ 21.22; 1พกษ 21.23; 1พกษ 21.24; 1พกษ 21.27; 1พกษ 21.28; 1พกษ 22.1; 1พกษ 22.3; 1พกษ 22.4; 1พกษ 22.5; 1พกษ 22.6; 1พกษ 22.8; 1พกษ 22.10; 1พกษ 22.11; 1พกษ 22.12; 1พกษ 22.13; 1พกษ 22.15; 1พกษ 22.17; 1พกษ 22.19; 1พกษ 22.20; 1พกษ 22.22; 1พกษ 22.24; 1พกษ 22.25; 1พกษ 22.26; 1พกษ 22.27; 1พกษ 22.28; 1พกษ 22.30; 1พกษ 22.32; 1พกษ 22.33; 1พกษ 22.34; 1พกษ 22.35; 1พกษ 22.36; 1พกษ 22.37; 1พกษ 22.38; 1พกษ 22.39; 1พกษ 22.40; 1พกษ 22.42; 1พกษ 22.43; 1พกษ 22.45; 1พกษ 22.46; 1พกษ 22.50; 1พกษ 22.51; 1พกษ 22.52; 1พกษ 22.53; 2พกษ 1.2; 2พกษ 1.3; 2พกษ 1.6; 2พกษ 1.7; 2พกษ 1.8; 2พกษ 1.9; 2พกษ 1.10; 2พกษ 1.11; 2พกษ 1.12; 2พกษ 1.13; 2พกษ 1.14; 2พกษ 1.16; 2พกษ 1.17; 2พกษ 2.1; 2พกษ 2.2; 2พกษ 2.3; 2พกษ 2.4; 2พกษ 2.5; 2พกษ 2.6; 2พกษ 2.7; 2พกษ 2.9; 2พกษ 2.10; 2พกษ 2.11; 2พกษ 2.12; 2พกษ 2.13; 2พกษ 2.14; 2พกษ 2.15; 2พกษ 2.16; 2พกษ 2.18; 2พกษ 2.19; 2พกษ 2.21; 2พกษ 2.23; 2พกษ 2.24; 2พกษ 2.25; 2พกษ 3.1; 2พกษ 3.2; 2พกษ 3.4; 2พกษ 3.6; 2พกษ 3.7; 2พกษ 3.9; 2พกษ 3.11; 2พกษ 3.12; 2พกษ 3.13; 2พกษ 3.14; 2พกษ 3.15; 2พกษ 3.16; 2พกษ 3.17; 2พกษ 3.19; 2พกษ 3.20; 2พกษ 3.21; 2พกษ 3.22; 2พกษ 3.23; 2พกษ 3.24; 2พกษ 3.25; 2พกษ 3.27; 2พกษ 4.1; 2พกษ 4.2; 2พกษ 4.4; 2พกษ 4.5; 2พกษ 4.6; 2พกษ 4.7; 2พกษ 4.8; 2พกษ 4.9; 2พกษ 4.10; 2พกษ 4.11; 2พกษ 4.14; 2พกษ 4.15; 2พกษ 4.16; 2พกษ 4.17; 2พกษ 4.20; 2พกษ 4.21; 2พกษ 4.22; 2พกษ 4.23; 2พกษ 4.24; 2พกษ 4.25; 2พกษ 4.26; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.29; 2พกษ 4.30; 2พกษ 4.31; 2พกษ 4.33; 2พกษ 4.34; 2พกษ 4.35; 2พกษ 4.36; 2พกษ 4.38; 2พกษ 4.39; 2พกษ 4.40; 2พกษ 4.41; 2พกษ 4.42; 2พกษ 4.43; 2พกษ 4.44; 2พกษ 5.2; 2พกษ 5.5; 2พกษ 5.6; 2พกษ 5.7; 2พกษ 5.9; 2พกษ 5.10; 2พกษ 5.11; 2พกษ 5.12; 2พกษ 5.13; 2พกษ 5.14; 2พกษ 5.15; 2พกษ 5.16; 2พกษ 5.18; 2พกษ 5.21; 2พกษ 5.22; 2พกษ 5.23; 2พกษ 5.24; 2พกษ 5.25; 2พกษ 5.26; 2พกษ 5.27; 2พกษ 6.2; 2พกษ 6.3; 2พกษ 6.4; 2พกษ 6.5; 2พกษ 6.7; 2พกษ 6.10; 2พกษ 6.14; 2พกษ 6.15; 2พกษ 6.17; 2พกษ 6.18; 2พกษ 6.19; 2พกษ 6.20; 2พกษ 6.21; 2พกษ 6.22; 2พกษ 6.23; 2พกษ 6.24; 2พกษ 6.25; 2พกษ 6.28; 2พกษ 6.29; 2พกษ 6.30; 2พกษ 6.31; 2พกษ 6.32; 2พกษ 6.33; 2พกษ 7.1; 2พกษ 7.4; 2พกษ 7.6; 2พกษ 7.7; 2พกษ 7.8; 2พกษ 7.9; 2พกษ 7.10; 2พกษ 7.11; 2พกษ 7.12; 2พกษ 7.13; 2พกษ 7.14; 2พกษ 7.15; 2พกษ 7.16; 2พกษ 7.17; 2พกษ 7.18; 2พกษ 7.19; 2พกษ 7.20; 2พกษ 8.1; 2พกษ 8.3; 2พกษ 8.5; 2พกษ 8.6; 2พกษ 8.7; 2พกษ 8.10; 2พกษ 8.11; 2พกษ 8.12; 2พกษ 8.13; 2พกษ 8.14; 2พกษ 8.15; 2พกษ 8.17; 2พกษ 8.18; 2พกษ 8.19; 2พกษ 8.20; 2พกษ 8.23; 2พกษ 8.24; 2พกษ 8.26; 2พกษ 8.27; 2พกษ 8.28; 2พกษ 8.29; 2พกษ 9.1; 2พกษ 9.2; 2พกษ 9.3; 2พกษ 9.5; 2พกษ 9.6; 2พกษ 9.7; 2พกษ 9.8; 2พกษ 9.9; 2พกษ 9.10; 2พกษ 9.11; 2พกษ 9.12; 2พกษ 9.13; 2พกษ 9.16; 2พกษ 9.18; 2พกษ 9.19; 2พกษ 9.20; 2พกษ 9.21; 2พกษ 9.22; 2พกษ 9.24; 2พกษ 9.25; 2พกษ 9.26; 2พกษ 9.27; 2พกษ 9.28; 2พกษ 9.30; 2พกษ 9.31; 2พกษ 9.33; 2พกษ 9.34; 2พกษ 9.35; 2พกษ 9.37; 2พกษ 10.1; 2พกษ 10.2; 2พกษ 10.3; 2พกษ 10.4; 2พกษ 10.5; 2พกษ 10.6; 2พกษ 10.7; 2พกษ 10.9; 2พกษ 10.11; 2พกษ 10.13; 2พกษ 10.14; 2พกษ 10.15; 2พกษ 10.16; 2พกษ 10.17; 2พกษ 10.18; 2พกษ 10.19; 2พกษ 10.20; 2พกษ 10.21; 2พกษ 10.24; 2พกษ 10.25; 2พกษ 10.27; 2พกษ 10.29; 2พกษ 10.30; 2พกษ 10.33; 2พกษ 10.34; 2พกษ 10.35; 2พกษ 11.2; 2พกษ 11.3; 2พกษ 11.4; 2พกษ 11.5; 2พกษ 11.6; 2พกษ 11.8; 2พกษ 11.10; 2พกษ 11.11; 2พกษ 11.12; 2พกษ 11.13; 2พกษ 11.14; 2พกษ 11.16; 2พกษ 11.17; 2พกษ 11.18; 2พกษ 11.19; 2พกษ 11.20; 2พกษ 12.1; 2พกษ 12.2; 2พกษ 12.3; 2พกษ 12.4; 2พกษ 12.7; 2พกษ 12.8; 2พกษ 12.9; 2พกษ 12.10; 2พกษ 12.11; 2พกษ 12.12; 2พกษ 12.15; 2พกษ 12.16; 2พกษ 12.17; 2พกษ 12.18; 2พกษ 12.19; 2พกษ 12.20; 2พกษ 12.21; 2พกษ 13.1; 2พกษ 13.2; 2พกษ 13.3; 2พกษ 13.4; 2พกษ 13.5; 2พกษ 13.6; 2พกษ 13.7; 2พกษ 13.8; 2พกษ 13.9; 2พกษ 13.10; 2พกษ 13.12; 2พกษ 13.13; 2พกษ 13.14; 2พกษ 13.15; 2พกษ 13.16; 2พกษ 13.17; 2พกษ 13.18; 2พกษ 13.19; 2พกษ 13.20; 2พกษ 13.23; 2พกษ 13.25; 2พกษ 14.2; 2พกษ 14.3; 2พกษ 14.4; 2พกษ 14.5; 2พกษ 14.7; 2พกษ 14.8; 2พกษ 14.9; 2พกษ 14.10; 2พกษ 14.11; 2พกษ 14.12; 2พกษ 14.13; 2พกษ 14.14; 2พกษ 14.15; 2พกษ 14.16; 2พกษ 14.19; 2พกษ 14.20; 2พกษ 14.21; 2พกษ 14.22; 2พกษ 14.23; 2พกษ 14.24; 2พกษ 14.26; 2พกษ 14.28; 2พกษ 14.29; 2พกษ 15.2; 2พกษ 15.4; 2พกษ 15.5; 2พกษ 15.6; 2พกษ 15.7; 2พกษ 15.9; 2พกษ 15.10; 2พกษ 15.12; 2พกษ 15.13; 2พกษ 15.14; 2พกษ 15.15; 2พกษ 15.16; 2พกษ 15.17; 2พกษ 15.18; 2พกษ 15.19; 2พกษ 15.20; 2พกษ 15.21; 2พกษ 15.22; 2พกษ 15.23; 2พกษ 15.24; 2พกษ 15.25; 2พกษ 15.26; 2พกษ 15.27; 2พกษ 15.28; 2พกษ 15.29; 2พกษ 15.30; 2พกษ 15.31; 2พกษ 15.33; 2พกษ 15.34; 2พกษ 15.35; 2พกษ 15.36; 2พกษ 15.37; 2พกษ 15.38; 2พกษ 16.2; 2พกษ 16.3; 2พกษ 16.4; 2พกษ 16.5; 2พกษ 16.6; 2พกษ 16.7; 2พกษ 16.8; 2พกษ 16.9; 2พกษ 16.10; 2พกษ 16.11; 2พกษ 16.12; 2พกษ 16.13; 2พกษ 16.14; 2พกษ 16.15; 2พกษ 16.17; 2พกษ 16.18; 2พกษ 16.20; 2พกษ 17.1; 2พกษ 17.2; 2พกษ 17.3; 2พกษ 17.4; 2พกษ 17.5; 2พกษ 17.6; 2พกษ 17.7; 2พกษ 17.8; 2พกษ 17.9; 2พกษ 17.10; 2พกษ 17.11; 2พกษ 17.12; 2พกษ 17.13; 2พกษ 17.15; 2พกษ 17.16; 2พกษ 17.17; 2พกษ 17.18; 2พกษ 17.20; 2พกษ 17.21; 2พกษ 17.24; 2พกษ 17.25; 2พกษ 17.26; 2พกษ 17.27; 2พกษ 17.28; 2พกษ 17.29; 2พกษ 17.31; 2พกษ 17.32; 2พกษ 17.34; 2พกษ 17.35; 2พกษ 17.36; 2พกษ 17.37; 2พกษ 17.38; 2พกษ 17.39; 2พกษ 17.41; 2พกษ 18.2; 2พกษ 18.3; 2พกษ 18.4; 2พกษ 18.7; 2พกษ 18.8; 2พกษ 18.9; 2พกษ 18.10; 2พกษ 18.11; 2พกษ 18.12; 2พกษ 18.13; 2พกษ 18.14; 2พกษ 18.15; 2พกษ 18.16; 2พกษ 18.17; 2พกษ 18.18; 2พกษ 18.19; 2พกษ 18.20; 2พกษ 18.22; 2พกษ 18.24; 2พกษ 18.25; 2พกษ 18.26; 2พกษ 18.27; 2พกษ 18.30; 2พกษ 18.31; 2พกษ 18.32; 2พกษ 18.34; 2พกษ 18.37; 2พกษ 19.1; 2พกษ 19.2; 2พกษ 19.3; 2พกษ 19.4; 2พกษ 19.7; 2พกษ 19.8; 2พกษ 19.9; 2พกษ 19.12; 2พกษ 19.13; 2พกษ 19.14; 2พกษ 19.15; 2พกษ 19.16; 2พกษ 19.17; 2พกษ 19.18; 2พกษ 19.21; 2พกษ 19.22; 2พกษ 19.23; 2พกษ 19.24; 2พกษ 19.26; 2พกษ 19.27; 2พกษ 19.28; 2พกษ 19.29; 2พกษ 19.30; 2พกษ 19.31; 2พกษ 19.34; 2พกษ 19.35; 2พกษ 19.36; 2พกษ 19.37; 2พกษ 20.1; 2พกษ 20.2; 2พกษ 20.3; 2พกษ 20.4; 2พกษ 20.6; 2พกษ 20.7; 2พกษ 20.8; 2พกษ 20.9; 2พกษ 20.11; 2พกษ 20.12; 2พกษ 20.13; 2พกษ 20.14; 2พกษ 20.15; 2พกษ 20.17; 2พกษ 20.18; 2พกษ 20.19; 2พกษ 20.20; 2พกษ 20.21; 2พกษ 21.1; 2พกษ 21.2; 2พกษ 21.3; 2พกษ 21.4; 2พกษ 21.5; 2พกษ 21.6; 2พกษ 21.7; 2พกษ 21.8; 2พกษ 21.9; 2พกษ 21.10; 2พกษ 21.11; 2พกษ 21.12; 2พกษ 21.13; 2พกษ 21.14; 2พกษ 21.15; 2พกษ 21.17; 2พกษ 21.18; 2พกษ 21.19; 2พกษ 21.20; 2พกษ 21.21; 2พกษ 21.22; 2พกษ 21.23; 2พกษ 21.24; 2พกษ 21.26; 2พกษ 22.1; 2พกษ 22.2; 2พกษ 22.3; 2พกษ 22.5; 2พกษ 22.6; 2พกษ 22.8; 2พกษ 22.9; 2พกษ 22.10; 2พกษ 22.11; 2พกษ 22.12; 2พกษ 22.13; 2พกษ 22.14; 2พกษ 22.15; 2พกษ 22.16; 2พกษ 22.17; 2พกษ 22.19; 2พกษ 22.20; 2พกษ 23.1; 2พกษ 23.2; 2พกษ 23.3; 2พกษ 23.4; 2พกษ 23.5; 2พกษ 23.6; 2พกษ 23.7; 2พกษ 23.8; 2พกษ 23.10; 2พกษ 23.11; 2พกษ 23.12; 2พกษ 23.13; 2พกษ 23.14; 2พกษ 23.15; 2พกษ 23.16; 2พกษ 23.17; 2พกษ 23.18; 2พกษ 23.20; 2พกษ 23.21; 2พกษ 23.24; 2พกษ 23.25; 2พกษ 23.26; 2พกษ 23.27; 2พกษ 23.28; 2พกษ 23.29; 2พกษ 23.30; 2พกษ 23.31; 2พกษ 23.32; 2พกษ 23.33; 2พกษ 23.34; 2พกษ 23.35; 2พกษ 23.36; 2พกษ 23.37; 2พกษ 24.1; 2พกษ 24.2; 2พกษ 24.4; 2พกษ 24.5; 2พกษ 24.6; 2พกษ 24.7; 2พกษ 24.8; 2พกษ 24.9; 2พกษ 24.11; 2พกษ 24.12; 2พกษ 24.13; 2พกษ 24.14; 2พกษ 24.15; 2พกษ 24.16; 2พกษ 24.17; 2พกษ 24.18; 2พกษ 24.19; 2พกษ 24.20; 2พกษ 25.1; 2พกษ 25.4; 2พกษ 25.5; 2พกษ 25.6; 2พกษ 25.7; 2พกษ 25.9; 2พกษ 25.10; 2พกษ 25.11; 2พกษ 25.12; 2พกษ 25.13; 2พกษ 25.14; 2พกษ 25.15; 2พกษ 25.16; 2พกษ 25.17; 2พกษ 25.18; 2พกษ 25.19; 2พกษ 25.20; 2พกษ 25.21; 2พกษ 25.23; 2พกษ 25.24; 2พกษ 25.25; 2พกษ 25.26; 2พกษ 25.27; 2พกษ 25.28; 2พกษ 25.29; 1พศด 1.5; 1พศด 1.6; 1พศด 1.7; 1พศด 1.8; 1พศด 1.9; 1พศด 1.12; 1พศด 1.13; 1พศด 1.14; 1พศด 1.16; 1พศด 1.17; 1พศด 1.18; 1พศด 1.19; 1พศด 1.20; 1พศด 1.21; 1พศด 1.23; 1พศด 1.28; 1พศด 1.29; 1พศด 1.31; 1พศด 1.32; 1พศด 1.33; 1พศด 1.34; 1พศด 1.35; 1พศด 1.36; 1พศด 1.37; 1พศด 1.38; 1พศด 1.39; 1พศด 1.40; 1พศด 1.41; 1พศด 1.42; 1พศด 1.50; 1พศด 1.51; 1พศด 1.54; 1พศด 2.2; 1พศด 2.3; 1พศด 2.4; 1พศด 2.5; 1พศด 2.6; 1พศด 2.8; 1พศด 2.9; 1พศด 2.10; 1พศด 2.16; 1พศด 2.17; 1พศด 2.18; 1พศด 2.20; 1พศด 2.21; 1พศด 2.22; 1พศด 2.23; 1พศด 2.25; 1พศด 2.27; 1พศด 2.28; 1พศด 2.29; 1พศด 2.30; 1พศด 2.32; 1พศด 2.33; 1พศด 2.35; 1พศด 2.36; 1พศด 2.37; 1พศด 2.39; 1พศด 2.40; 1พศด 2.41; 1พศด 2.42; 1พศด 2.43; 1พศด 2.44; 1พศด 2.45; 1พศด 2.46; 1พศด 2.47; 1พศด 2.48; 1พศด 2.49; 1พศด 2.51; 1พศด 2.52; 1พศด 2.53; 1พศด 2.54; 1พศด 2.55; 1พศด 3.4; 1พศด 3.5; 1พศด 3.8; 1พศด 3.9; 1พศด 3.17; 1พศด 3.19; 1พศด 3.20; 1พศด 3.21; 1พศด 3.22; 1พศด 3.23; 1พศด 3.24; 1พศด 4.1; 1พศด 4.2; 1พศด 4.3; 1พศด 4.4; 1พศด 4.5; 1พศด 4.6; 1พศด 4.7; 1พศด 4.8; 1พศด 4.10; 1พศด 4.12; 1พศด 4.13; 1พศด 4.14; 1พศด 4.15; 1พศด 4.16; 1พศด 4.17; 1พศด 4.18; 1พศด 4.19; 1พศด 4.20; 1พศด 4.21; 1พศด 4.22; 1พศด 4.23; 1พศด 4.24; 1พศด 4.27; 1พศด 4.29; 1พศด 4.31; 1พศด 4.32; 1พศด 4.33; 1พศด 4.38; 1พศด 4.40; 1พศด 4.41; 1พศด 4.42; 1พศด 4.43; 1พศด 5.2; 1พศด 5.3; 1พศด 5.7; 1พศด 5.8; 1พศด 5.12; 1พศด 5.13; 1พศด 5.16; 1พศด 5.17; 1พศด 5.18; 1พศด 5.19; 1พศด 5.20; 1พศด 5.21; 1พศด 5.22; 1พศด 5.23; 1พศด 5.24; 1พศด 5.25; 1พศด 5.26; 1พศด 6.1; 1พศด 6.2; 1พศด 6.3; 1พศด 6.10; 1พศด 6.15; 1พศด 6.16; 1พศด 6.17; 1พศด 6.18; 1พศด 6.19; 1พศด 6.25; 1พศด 6.28; 1พศด 6.32; 1พศด 6.48; 1พศด 6.49; 1พศด 6.55; 1พศด 6.56; 1พศด 6.59; 1พศด 6.60; 1พศด 6.62; 1พศด 6.63; 1พศด 6.65; 1พศด 6.66; 1พศด 6.70; 1พศด 6.71; 1พศด 6.72; 1พศด 6.73; 1พศด 6.75; 1พศด 6.76; 1พศด 6.78; 1พศด 6.79; 1พศด 6.80; 1พศด 7.1; 1พศด 7.2; 1พศด 7.3; 1พศด 7.4; 1พศด 7.6; 1พศด 7.7; 1พศด 7.8; 1พศด 7.9; 1พศด 7.10; 1พศด 7.12; 1พศด 7.13; 1พศด 7.15; 1พศด 7.16; 1พศด 7.18; 1พศด 7.19; 1พศด 7.20; 1พศด 7.21; 1พศด 7.22; 1พศด 7.23; 1พศด 7.24; 1พศด 7.28; 1พศด 7.29; 1พศด 7.30; 1พศด 7.31; 1พศด 7.32; 1พศด 7.33; 1พศด 7.34; 1พศด 7.35; 1พศด 7.37; 1พศด 7.38; 1พศด 7.39; 1พศด 8.3; 1พศด 8.5; 1พศด 8.6; 1พศด 8.7; 1พศด 8.8; 1พศด 8.10; 1พศด 8.11; 1พศด 8.12; 1พศด 8.13; 1พศด 8.14; 1พศด 8.16; 1พศด 8.18; 1พศด 8.21; 1พศด 8.25; 1พศด 8.27; 1พศด 8.29; 1พศด 8.32; 1พศด 8.33; 1พศด 8.34; 1พศด 8.35; 1พศด 8.36; 1พศด 8.38; 1พศด 8.39; 1พศด 9.1; 1พศด 9.2; 1พศด 9.3; 1พศด 9.5; 1พศด 9.8; 1พศด 9.9; 1พศด 9.11; 1พศด 9.12; 1พศด 9.13; 1พศด 9.15; 1พศด 9.16; 1พศด 9.17; 1พศด 9.19; 1พศด 9.20; 1พศด 9.22; 1พศด 9.23; 1พศด 9.24; 1พศด 9.25; 1พศด 9.26; 1พศด 9.27; 1พศด 9.29; 1พศด 9.30; 1พศด 9.31; 1พศด 9.32; 1พศด 9.33; 1พศด 9.35; 1พศด 9.36; 1พศด 9.37; 1พศด 9.38; 1พศด 9.39; 1พศด 9.40; 1พศด 9.41; 1พศด 9.42; 1พศด 9.43; 1พศด 9.44; 1พศด 10.1; 1พศด 10.2; 1พศด 10.3; 1พศด 10.5; 1พศด 10.6; 1พศด 10.7; 1พศด 10.8; 1พศด 10.9; 1พศด 10.10; 1พศด 10.12; 1พศด 10.13; 1พศด 10.14; 1พศด 11.1; 1พศด 11.2; 1พศด 11.3; 1พศด 11.4; 1พศด 11.6; 1พศด 11.7; 1พศด 11.8; 1พศด 11.9; 1พศด 11.11; 1พศด 11.12; 1พศด 11.13; 1พศด 11.14; 1พศด 11.16; 1พศด 11.18; 1พศด 11.20; 1พศด 11.21; 1พศด 11.22; 1พศด 11.23; 1พศด 11.24; 1พศด 11.25; 1พศด 11.42; 1พศด 11.43; 1พศด 11.44; 1พศด 11.45; 1พศด 11.46; 1พศด 11.47; 1พศด 12.2; 1พศด 12.3; 1พศด 12.4; 1พศด 12.7; 1พศด 12.8; 1พศด 12.15; 1พศด 12.16; 1พศด 12.17; 1พศด 12.18; 1พศด 12.19; 1พศด 12.20; 1พศด 12.21; 1พศด 12.24; 1พศด 12.28; 1พศด 12.32; 1พศด 12.34; 1พศด 12.37; 1พศด 12.39; 1พศด 12.40; 1พศด 13.1; 1พศด 13.2; 1พศด 13.3; 1พศด 13.7; 1พศด 13.8; 1พศด 13.9; 1พศด 13.10; 1พศด 13.11; 1พศด 13.12; 1พศด 13.14; 1พศด 14.1; 1พศด 14.2; 1พศด 14.3; 1พศด 14.10; 1พศด 14.11; 1พศด 14.12; 1พศด 14.13; 1พศด 14.14; 1พศด 14.15; 1พศด 14.16; 1พศด 14.17; 1พศด 15.1; 1พศด 15.2; 1พศด 15.3; 1พศด 15.4; 1พศด 15.11; 1พศด 15.12; 1พศด 15.14; 1พศด 15.15; 1พศด 15.16; 1พศด 15.17; 1พศด 15.18; 1พศด 15.20; 1พศด 15.21; 1พศด 15.23; 1พศด 15.24; 1พศด 15.25; 1พศด 15.26; 1พศด 15.27; 1พศด 15.28; 1พศด 15.29; 1พศด 16.1; 1พศด 16.2; 1พศด 16.3; 1พศด 16.4; 1พศด 16.5; 1พศด 16.6; 1พศด 16.7; 1พศด 16.11; 1พศด 16.12; 1พศด 16.17; 1พศด 16.25; 1พศด 16.27; 1พศด 16.28; 1พศด 16.29; 1พศด 16.31; 1พศด 16.35; 1พศด 16.36; 1พศด 16.37; 1พศด 16.38; 1พศด 16.39; 1พศด 16.41; 1พศด 16.42; 1พศด 16.43; 1พศด 17.2; 1พศด 17.5; 1พศด 17.8; 1พศด 17.9; 1พศด 17.10; 1พศด 17.11; 1พศด 17.12; 1พศด 17.13; 1พศด 17.14; 1พศด 17.15; 1พศด 17.16; 1พศด 17.17; 1พศด 17.18; 1พศด 17.19; 1พศด 17.22; 1พศด 17.23; 1พศด 17.24; 1พศด 17.26; 1พศด 18.1; 1พศด 18.2; 1พศด 18.4; 1พศด 18.5; 1พศด 18.6; 1พศด 18.7; 1พศด 18.8; 1พศด 18.10; 1พศด 18.11; 1พศด 18.12; 1พศด 18.13; 1พศด 18.14; 1พศด 18.15; 1พศด 18.16; 1พศด 18.17; 1พศด 19.1; 1พศด 19.2; 1พศด 19.3; 1พศด 19.4; 1พศด 19.5; 1พศด 19.6; 1พศด 19.7; 1พศด 19.8; 1พศด 19.9; 1พศด 19.10; 1พศด 19.12; 1พศด 19.13; 1พศด 19.14; 1พศด 19.15; 1พศด 19.17; 1พศด 19.18; 1พศด 19.19; 1พศด 20.1; 1พศด 20.2; 1พศด 20.3; 1พศด 20.4; 1พศด 20.5; 1พศด 20.6; 1พศด 20.7; 1พศด 20.8; 1พศด 21.1; 1พศด 21.2; 1พศด 21.4; 1พศด 21.5; 1พศด 21.6; 1พศด 21.8; 1พศด 21.9; 1พศด 21.11; 1พศด 21.12; 1พศด 21.14; 1พศด 21.15; 1พศด 21.16; 1พศด 21.17; 1พศด 21.21; 1พศด 21.22; 1พศด 21.23; 1พศด 21.26; 1พศด 21.27; 1พศด 21.29; 1พศด 22.2; 1พศด 22.3; 1พศด 22.4; 1พศด 22.5; 1พศด 22.6; 1พศด 22.8; 1พศด 22.9; 1พศด 22.10; 1พศด 22.11; 1พศด 22.12; 1พศด 22.13; 1พศด 22.14; 1พศด 22.15; 1พศด 22.16; 1พศด 22.18; 1พศด 22.19; 1พศด 23.1; 1พศด 23.2; 1พศด 23.3; 1พศด 23.4; 1พศด 23.5; 1พศด 23.6; 1พศด 23.7; 1พศด 23.8; 1พศด 23.9; 1พศด 23.10; 1พศด 23.11; 1พศด 23.12; 1พศด 23.13; 1พศด 23.19; 1พศด 23.20; 1พศด 23.21; 1พศด 23.23; 1พศด 23.26; 1พศด 23.28; 1พศด 23.29; 1พศด 23.30; 1พศด 23.32; 1พศด 24.1; 1พศด 24.2; 1พศด 24.3; 1พศด 24.4; 1พศด 24.5; 1พศด 24.6; 1พศด 24.23; 1พศด 24.26; 1พศด 24.27; 1พศด 24.30; 1พศด 24.31; 1พศด 25.1; 1พศด 25.2; 1พศด 25.3; 1พศด 25.4; 1พศด 25.5; 1พศด 25.6; 1พศด 25.8; 1พศด 25.9; 1พศด 25.10; 1พศด 25.11; 1พศด 25.12; 1พศด 25.13; 1พศด 25.14; 1พศด 25.15; 1พศด 25.16; 1พศด 25.17; 1พศด 25.18; 1พศด 25.19; 1พศด 25.20; 1พศด 25.21; 1พศด 25.22; 1พศด 25.23; 1พศด 25.24; 1พศด 25.25; 1พศด 25.26; 1พศด 25.27; 1พศด 25.28; 1พศด 25.29; 1พศด 25.30; 1พศด 25.31; 1พศด 26.2; 1พศด 26.4; 1พศด 26.6; 1พศด 26.7; 1พศด 26.8; 1พศด 26.9; 1พศด 26.10; 1พศด 26.11; 1พศด 26.13; 1พศด 26.14; 1พศด 26.16; 1พศด 26.17; 1พศด 26.18; 1พศด 26.19; 1พศด 26.20; 1พศด 26.22; 1พศด 26.23; 1พศด 26.24; 1พศด 26.26; 1พศด 26.28; 1พศด 26.29; 1พศด 26.30; 1พศด 26.31; 1พศด 26.32; 1พศด 27.1; 1พศด 27.3; 1พศด 27.6; 1พศด 27.7; 1พศด 27.24; 1พศด 27.25; 1พศด 27.27; 1พศด 27.28; 1พศด 27.30; 1พศด 27.32; 1พศด 27.33; 1พศด 27.34; 1พศด 28.1; 1พศด 28.2; 1พศด 28.3; 1พศด 28.4; 1พศด 28.5; 1พศด 28.6; 1พศด 28.7; 1พศด 28.8; 1พศด 28.9; 1พศด 28.10; 1พศด 28.11; 1พศด 28.12; 1พศด 28.13; 1พศด 28.15; 1พศด 28.17; 1พศด 28.18; 1พศด 28.20; 1พศด 28.21; 1พศด 29.1; 1พศด 29.2; 1พศด 29.3; 1พศด 29.4; 1พศด 29.5; 1พศด 29.6; 1พศด 29.7; 1พศด 29.9; 1พศด 29.10; 1พศด 29.11; 1พศด 29.12; 1พศด 29.13; 1พศด 29.14; 1พศด 29.15; 1พศด 29.16; 1พศด 29.17; 1พศด 29.18; 1พศด 29.19; 1พศด 29.20; 1พศด 29.21; 1พศด 29.22; 1พศด 29.23; 1พศด 29.24; 1พศด 29.25; 1พศด 29.27; 1พศด 29.28; 1พศด 29.29; 1พศด 29.30; 2พศด 1.1; 2พศด 1.2; 2พศด 1.3; 2พศด 1.5; 2พศด 1.6; 2พศด 1.7; 2พศด 1.8; 2พศด 1.10; 2พศด 1.11; 2พศด 1.12; 2พศด 1.13; 2พศด 1.14; 2พศด 1.15; 2พศด 1.16; 2พศด 1.17; 2พศด 2.1; 2พศด 2.2; 2พศด 2.3; 2พศด 2.4; 2พศด 2.7; 2พศด 2.8; 2พศด 2.9; 2พศด 2.10; 2พศด 2.12; 2พศด 2.14; 2พศด 2.15; 2พศด 2.16; 2พศด 2.17; 2พศด 2.18; 2พศด 3.3; 2พศด 3.4; 2พศด 3.5; 2พศด 3.8; 2พศด 3.9; 2พศด 3.11; 2พศด 3.12; 2พศด 3.14; 2พศด 3.16; 2พศด 3.17; 2พศด 4.1; 2พศด 4.2; 2พศด 4.4; 2พศด 4.7; 2พศด 4.8; 2พศด 4.9; 2พศด 4.10; 2พศด 4.11; 2พศด 4.12; 2พศด 4.13; 2พศด 4.14; 2พศด 4.15; 2พศด 4.16; 2พศด 4.19; 2พศด 4.20; 2พศด 4.21; 2พศด 4.22; 2พศด 5.1; 2พศด 5.2; 2พศด 5.3; 2พศด 5.4; 2พศด 5.5; 2พศด 5.6; 2พศด 5.8; 2พศด 5.9; 2พศด 5.11; 2พศด 5.12; 2พศด 5.13; 2พศด 6.3; 2พศด 6.5; 2พศด 6.6; 2พศด 6.10; 2พศด 6.11; 2พศด 6.12; 2พศด 6.13; 2พศด 6.14; 2พศด 6.15; 2พศด 6.18; 2พศด 6.19; 2พศด 6.20; 2พศด 6.21; 2พศด 6.22; 2พศด 6.23; 2พศด 6.24; 2พศด 6.25; 2พศด 6.26; 2พศด 6.27; 2พศด 6.29; 2พศด 6.30; 2พศด 6.31; 2พศด 6.32; 2พศด 6.33; 2พศด 6.34; 2พศด 6.35; 2พศด 6.36; 2พศด 6.37; 2พศด 6.38; 2พศด 6.39; 2พศด 6.40; 2พศด 6.41; 2พศด 7.1; 2พศด 7.3; 2พศด 7.4; 2พศด 7.5; 2พศด 7.6; 2พศด 7.7; 2พศด 7.8; 2พศด 7.9; 2พศด 7.10; 2พศด 7.11; 2พศด 7.12; 2พศด 7.14; 2พศด 7.15; 2พศด 7.16; 2พศด 7.17; 2พศด 7.19; 2พศด 7.20; 2พศด 7.21; 2พศด 7.22; 2พศด 8.1; 2พศด 8.3; 2พศด 8.4; 2พศด 8.5; 2พศด 8.6; 2พศด 8.7; 2พศด 8.8; 2พศด 8.9; 2พศด 8.10; 2พศด 8.13; 2พศด 8.14; 2พศด 8.15; 2พศด 8.17; 2พศด 8.18; 2พศด 9.1; 2พศด 9.2; 2พศด 9.3; 2พศด 9.4; 2พศด 9.5; 2พศด 9.6; 2พศด 9.7; 2พศด 9.8; 2พศด 9.9; 2พศด 9.10; 2พศด 9.11; 2พศด 9.14; 2พศด 9.16; 2พศด 9.17; 2พศด 9.18; 2พศด 9.20; 2พศด 9.21; 2พศด 9.22; 2พศด 9.23; 2พศด 9.24; 2พศด 9.25; 2พศด 9.26; 2พศด 9.27; 2พศด 9.28; 2พศด 9.29; 2พศด 9.31; 2พศด 10.2; 2พศด 10.3; 2พศด 10.4; 2พศด 10.7; 2พศด 10.8; 2พศด 10.9; 2พศด 10.10; 2พศด 10.13; 2พศด 10.14; 2พศด 10.16; 2พศด 10.18; 2พศด 11.1; 2พศด 11.3; 2พศด 11.4; 2พศด 11.5; 2พศด 11.8; 2พศด 11.9; 2พศด 11.10; 2พศด 11.11; 2พศด 11.12; 2พศด 11.13; 2พศด 11.14; 2พศด 11.15; 2พศด 11.16; 2พศด 11.17; 2พศด 11.18; 2พศด 11.19; 2พศด 11.20; 2พศด 11.21; 2พศด 11.22; 2พศด 11.23; 2พศด 12.1; 2พศด 12.3; 2พศด 12.4; 2พศด 12.5; 2พศด 12.6; 2พศด 12.7; 2พศด 12.8; 2พศด 12.9; 2พศด 12.10; 2พศด 12.11; 2พศด 12.12; 2พศด 12.13; 2พศด 12.14; 2พศด 12.15; 2พศด 12.16; 2พศด 13.2; 2พศด 13.3; 2พศด 13.4; 2พศด 13.5; 2พศด 13.7; 2พศด 13.8; 2พศด 13.9; 2พศด 13.10; 2พศด 13.11; 2พศด 13.12; 2พศด 13.13; 2พศด 13.14; 2พศด 13.15; 2พศด 13.16; 2พศด 13.17; 2พศด 13.18; 2พศด 13.19; 2พศด 13.20; 2พศด 13.21; 2พศด 13.22; 2พศด 14.1; 2พศด 14.2; 2พศด 14.3; 2พศด 14.4; 2พศด 14.5; 2พศด 14.7; 2พศด 14.8; 2พศด 14.9; 2พศด 14.10; 2พศด 14.11; 2พศด 14.12; 2พศด 14.13; 2พศด 14.14; 2พศด 14.15; 2พศด 15.2; 2พศด 15.3; 2พศด 15.4; 2พศด 15.6; 2พศด 15.8; 2พศด 15.9; 2พศด 15.11; 2พศด 15.12; 2พศด 15.13; 2พศด 15.14; 2พศด 15.15; 2พศด 15.16; 2พศด 15.18; 2พศด 15.19; 2พศด 16.1; 2พศด 16.2; 2พศด 16.3; 2พศด 16.4; 2พศด 16.5; 2พศด 16.6; 2พศด 16.7; 2พศด 16.8; 2พศด 16.10; 2พศด 16.11; 2พศด 16.12; 2พศด 16.13; 2พศด 16.14; 2พศด 17.1; 2พศด 17.2; 2พศด 17.4; 2พศด 17.5; 2พศด 17.6; 2พศด 17.7; 2พศด 17.8; 2พศด 17.9; 2พศด 17.10; 2พศด 17.11; 2พศด 17.12; 2พศด 17.13; 2พศด 17.16; 2พศด 17.17; 2พศด 17.18; 2พศด 18.1; 2พศด 18.2; 2พศด 18.4; 2พศด 18.5; 2พศด 18.7; 2พศด 18.8; 2พศด 18.9; 2พศด 18.10; 2พศด 18.11; 2พศด 18.12; 2พศด 18.14; 2พศด 18.16; 2พศด 18.18; 2พศด 18.19; 2พศด 18.20; 2พศด 18.21; 2พศด 18.23; 2พศด 18.24; 2พศด 18.25; 2พศด 18.26; 2พศด 18.27; 2พศด 18.29; 2พศด 18.31; 2พศด 18.32; 2พศด 18.33; 2พศด 18.34; 2พศด 19.2; 2พศด 19.3; 2พศด 19.4; 2พศด 19.6; 2พศด 19.7; 2พศด 19.8; 2พศด 19.9; 2พศด 19.10; 2พศด 19.11; 2พศด 20.1; 2พศด 20.2; 2พศด 20.3; 2พศด 20.4; 2พศด 20.5; 2พศด 20.6; 2พศด 20.7; 2พศด 20.8; 2พศด 20.9; 2พศด 20.10; 2พศด 20.13; 2พศด 20.14; 2พศด 20.15; 2พศด 20.17; 2พศด 20.18; 2พศด 20.19; 2พศด 20.20; 2พศด 20.21; 2พศด 20.22; 2พศด 20.23; 2พศด 20.24; 2พศด 20.25; 2พศด 20.27; 2พศด 20.28; 2พศด 20.29; 2พศด 20.31; 2พศด 20.32; 2พศด 20.36; 2พศด 21.1; 2พศด 21.3; 2พศด 21.4; 2พศด 21.5; 2พศด 21.6; 2พศด 21.7; 2พศด 21.8; 2พศด 21.9; 2พศด 21.11; 2พศด 21.12; 2พศด 21.13; 2พศด 21.14; 2พศด 21.15; 2พศด 21.16; 2พศด 21.17; 2พศด 21.19; 2พศด 21.20; 2พศด 22.1; 2พศด 22.2; 2พศด 22.5; 2พศด 22.6; 2พศด 22.8; 2พศด 22.9; 2พศด 22.11; 2พศด 22.12; 2พศด 23.1; 2พศด 23.2; 2พศด 23.3; 2พศด 23.4; 2พศด 23.5; 2พศด 23.6; 2พศด 23.7; 2พศด 23.8; 2พศด 23.9; 2พศด 23.10; 2พศด 23.11; 2พศด 23.12; 2พศด 23.13; 2พศด 23.15; 2พศด 23.16; 2พศด 23.17; 2พศด 23.18; 2พศด 23.20; 2พศด 23.21; 2พศด 24.1; 2พศด 24.2; 2พศด 24.3; 2พศด 24.5; 2พศด 24.6; 2พศด 24.7; 2พศด 24.8; 2พศด 24.9; 2พศด 24.10; 2พศด 24.11; 2พศด 24.12; 2พศด 24.13; 2พศด 24.14; 2พศด 24.15; 2พศด 24.16; 2พศด 24.18; 2พศด 24.20; 2พศด 24.21; 2พศด 24.22; 2พศด 24.23; 2พศด 24.25; 2พศด 24.26; 2พศด 24.27; 2พศด 25.1; 2พศด 25.2; 2พศด 25.3; 2พศด 25.5; 2พศด 25.9; 2พศด 25.10; 2พศด 25.11; 2พศด 25.12; 2พศด 25.13; 2พศด 25.14; 2พศด 25.15; 2พศด 25.16; 2พศด 25.17; 2พศด 25.18; 2พศด 25.19; 2พศด 25.21; 2พศด 25.22; 2พศด 25.23; 2พศด 25.24; 2พศด 25.26; 2พศด 25.27; 2พศด 25.28; 2พศด 26.2; 2พศด 26.3; 2พศด 26.4; 2พศด 26.5; 2พศด 26.6; 2พศด 26.7; 2พศด 26.8; 2พศด 26.9; 2พศด 26.10; 2พศด 26.14; 2พศด 26.15; 2พศด 26.16; 2พศด 26.18; 2พศด 26.19; 2พศด 26.20; 2พศด 26.21; 2พศด 26.23; 2พศด 27.1; 2พศด 27.2; 2พศด 27.3; 2พศด 27.4; 2พศด 27.5; 2พศด 27.7; 2พศด 27.8; 2พศด 27.9; 2พศด 28.1; 2พศด 28.3; 2พศด 28.4; 2พศด 28.5; 2พศด 28.7; 2พศด 28.8; 2พศด 28.9; 2พศด 28.10; 2พศด 28.11; 2พศด 28.12; 2พศด 28.13; 2พศด 28.14; 2พศด 28.15; 2พศด 28.17; 2พศด 28.18; 2พศด 28.19; 2พศด 28.20; 2พศด 28.21; 2พศด 28.23; 2พศด 28.24; 2พศด 28.26; 2พศด 28.27; 2พศด 29.1; 2พศด 29.2; 2พศด 29.3; 2พศด 29.4; 2พศด 29.5; 2พศด 29.6; 2พศด 29.7; 2พศด 29.8; 2พศด 29.9; 2พศด 29.11; 2พศด 29.12; 2พศด 29.13; 2พศด 29.14; 2พศด 29.15; 2พศด 29.16; 2พศด 29.17; 2พศด 29.18; 2พศด 29.19; 2พศด 29.20; 2พศด 29.21; 2พศด 29.22; 2พศด 29.23; 2พศด 29.24; 2พศด 29.25; 2พศด 29.26; 2พศด 29.27; 2พศด 29.28; 2พศด 29.29; 2พศด 29.30; 2พศด 29.31; 2พศด 29.32; 2พศด 29.33; 2พศด 29.34; 2พศด 29.35; 2พศด 30.1; 2พศด 30.2; 2พศด 30.3; 2พศด 30.4; 2พศด 30.6; 2พศด 30.7; 2พศด 30.8; 2พศด 30.9; 2พศด 30.10; 2พศด 30.11; 2พศด 30.12; 2พศด 30.14; 2พศด 30.15; 2พศด 30.18; 2พศด 30.20; 2พศด 30.21; 2พศด 30.22; 2พศด 30.24; 2พศด 30.25; 2พศด 30.27; 2พศด 31.1; 2พศด 31.2; 2พศด 31.3; 2พศด 31.4; 2พศด 31.5; 2พศด 31.6; 2พศด 31.7; 2พศด 31.8; 2พศด 31.9; 2พศด 31.10; 2พศด 31.11; 2พศด 31.12; 2พศด 31.13; 2พศด 31.14; 2พศด 31.15; 2พศด 31.18; 2พศด 31.19; 2พศด 31.20; 2พศด 31.21; 2พศด 32.1; 2พศด 32.2; 2พศด 32.3; 2พศด 32.4; 2พศด 32.5; 2พศด 32.6; 2พศด 32.7; 2พศด 32.8; 2พศด 32.9; 2พศด 32.11; 2พศด 32.12; 2พศด 32.13; 2พศด 32.16; 2พศด 32.17; 2พศด 32.18; 2พศด 32.20; 2พศด 32.21; 2พศด 32.22; 2พศด 32.23; 2พศด 32.24; 2พศด 32.25; 2พศด 32.26; 2พศด 32.27; 2พศด 32.28; 2พศด 32.29; 2พศด 32.30; 2พศด 32.31; 2พศด 32.32; 2พศด 32.33; 2พศด 33.1; 2พศด 33.3; 2พศด 33.4; 2พศด 33.5; 2พศด 33.6; 2พศด 33.7; 2พศด 33.8; 2พศด 33.9; 2พศด 33.10; 2พศด 33.11; 2พศด 33.12; 2พศด 33.13; 2พศด 33.14; 2พศด 33.15; 2พศด 33.16; 2พศด 33.18; 2พศด 33.19; 2พศด 33.20; 2พศด 33.21; 2พศด 33.22; 2พศด 33.23; 2พศด 33.24; 2พศด 33.25; 2พศด 34.1; 2พศด 34.2; 2พศด 34.3; 2พศด 34.4; 2พศด 34.5; 2พศด 34.6; 2พศด 34.7; 2พศด 34.8; 2พศด 34.9; 2พศด 34.10; 2พศด 34.11; 2พศด 34.12; 2พศด 34.13; 2พศด 34.15; 2พศด 34.16; 2พศด 34.17; 2พศด 34.19; 2พศด 34.20; 2พศด 34.21; 2พศด 34.22; 2พศด 34.23; 2พศด 34.24; 2พศด 34.25; 2พศด 34.27; 2พศด 34.28; 2พศด 34.29; 2พศด 34.30; 2พศด 34.31; 2พศด 34.32; 2พศด 34.33; 2พศด 35.2; 2พศด 35.3; 2พศด 35.4; 2พศด 35.5; 2พศด 35.6; 2พศด 35.7; 2พศด 35.8; 2พศด 35.9; 2พศด 35.10; 2พศด 35.12; 2พศด 35.13; 2พศด 35.14; 2พศด 35.15; 2พศด 35.16; 2พศด 35.17; 2พศด 35.18; 2พศด 35.20; 2พศด 35.23; 2พศด 35.24; 2พศด 35.25; 2พศด 35.26; 2พศด 35.27; 2พศด 36.1; 2พศด 36.2; 2พศด 36.3; 2พศด 36.4; 2พศด 36.5; 2พศด 36.6; 2พศด 36.7; 2พศด 36.8; 2พศด 36.9; 2พศด 36.10; 2พศด 36.11; 2พศด 36.14; 2พศด 36.15; 2พศด 36.16; 2พศด 36.17; 2พศด 36.18; 2พศด 36.19; 2พศด 36.20; 2พศด 36.22; 2พศด 36.23; อสร 1.1; อสร 1.2; อสร 1.3; อสร 1.4; อสร 1.5; อสร 1.6; อสร 1.7; อสร 1.9; อสร 1.10; อสร 1.11; อสร 2.1; อสร 2.2; อสร 2.6; อสร 2.25; อสร 2.26; อสร 2.28; อสร 2.33; อสร 2.40; อสร 2.42; อสร 2.54; อสร 2.57; อสร 2.58; อสร 2.59; อสร 2.60; อสร 2.61; อสร 2.62; อสร 2.63; อสร 2.65; อสร 2.67; อสร 2.69; อสร 2.70; อสร 3.2; อสร 3.3; อสร 3.4; อสร 3.5; อสร 3.7; อสร 3.8; อสร 3.9; อสร 3.10; อสร 3.11; อสร 3.12; อสร 3.13; อสร 4.1; อสร 4.2; อสร 4.3; อสร 4.4; อสร 4.5; อสร 4.6; อสร 4.7; อสร 4.8; อสร 4.9; อสร 4.10; อสร 4.11; อสร 4.12; อสร 4.13; อสร 4.15; อสร 4.16; อสร 4.17; อสร 4.19; อสร 4.20; อสร 4.21; อสร 4.22; อสร 4.23; อสร 5.1; อสร 5.2; อสร 5.3; อสร 5.5; อสร 5.6; อสร 5.8; อสร 5.9; อสร 5.11; อสร 5.12; อสร 5.14; อสร 5.15; อสร 5.16; อสร 5.17; อสร 6.1; อสร 6.2; อสร 6.3; อสร 6.4; อสร 6.5; อสร 6.6; อสร 6.7; อสร 6.9; อสร 6.10; อสร 6.11; อสร 6.12; อสร 6.13; อสร 6.14; อสร 6.15; อสร 6.16; อสร 6.17; อสร 6.18; อสร 6.20; อสร 6.21; อสร 6.22; อสร 7.6; อสร 7.7; อสร 7.8; อสร 7.9; อสร 7.10; อสร 7.11; อสร 7.14; อสร 7.15; อสร 7.16; อสร 7.17; อสร 7.18; อสร 7.19; อสร 7.20; อสร 7.21; อสร 7.22; อสร 7.23; อสร 7.25; อสร 7.26; อสร 7.28; อสร 8.1; อสร 8.13; อสร 8.14; อสร 8.15; อสร 8.16; อสร 8.17; อสร 8.18; อสร 8.19; อสร 8.20; อสร 8.21; อสร 8.22; อสร 8.23; อสร 8.24; อสร 8.25; อสร 8.26; อสร 8.27; อสร 8.28; อสร 8.29; อสร 8.30; อสร 8.31; อสร 8.32; อสร 8.33; อสร 8.34; อสร 8.35; อสร 8.36; อสร 9.1; อสร 9.2; อสร 9.3; อสร 9.5; อสร 9.6; อสร 9.7; อสร 9.8; อสร 9.9; อสร 9.10; อสร 9.12; อสร 9.13; อสร 9.14; อสร 10.1; อสร 10.2; อสร 10.3; อสร 10.4; อสร 10.5; อสร 10.7; อสร 10.8; อสร 10.9; อสร 10.10; อสร 10.11; อสร 10.13; อสร 10.14; อสร 10.15; อสร 10.16; อสร 10.18; อสร 10.19; อสร 10.20; อสร 10.21; อสร 10.22; อสร 10.23; อสร 10.24; อสร 10.25; อสร 10.27; อสร 10.29; อสร 10.30; อสร 10.33; อสร 10.42; อสร 10.43; นหม 1.2; นหม 1.3; นหม 1.4; นหม 1.5; นหม 1.6; นหม 1.7; นหม 1.9; นหม 1.10; นหม 1.11; นหม 2.1; นหม 2.2; นหม 2.3; นหม 2.5; นหม 2.6; นหม 2.7; นหม 2.8; นหม 2.9; นหม 2.10; นหม 2.11; นหม 2.13; นหม 2.15; นหม 2.16; นหม 2.17; นหม 2.18; นหม 2.19; นหม 2.20; นหม 3.1; นหม 3.2; นหม 3.3; นหม 3.4; นหม 3.5; นหม 3.6; นหม 3.7; นหม 3.10; นหม 3.11; นหม 3.12; นหม 3.13; นหม 3.14; นหม 3.15; นหม 3.16; นหม 3.23; นหม 3.25; นหม 3.26; นหม 3.30; นหม 3.31; นหม 3.32; นหม 4.1; นหม 4.2; นหม 4.3; นหม 4.4; นหม 4.5; นหม 4.6; นหม 4.7; นหม 4.8; นหม 4.9; นหม 4.10; นหม 4.11; นหม 4.13; นหม 4.14; นหม 4.15; นหม 4.16; นหม 4.17; นหม 4.19; นหม 4.22; นหม 5.1; นหม 5.2; นหม 5.3; นหม 5.4; นหม 5.5; นหม 5.6; นหม 5.7; นหม 5.8; นหม 5.10; นหม 5.11; นหม 5.12; นหม 5.13; นหม 5.15; นหม 5.16; นหม 5.17; นหม 5.18; นหม 6.1; นหม 6.6; นหม 6.7; นหม 6.9; นหม 6.10; นหม 6.11; นหม 6.12; นหม 6.13; นหม 6.14; นหม 6.16; นหม 6.17; นหม 6.18; นหม 6.19; นหม 7.1; นหม 7.2; นหม 7.3; นหม 7.4; นหม 7.5; นหม 7.6; นหม 7.11; นหม 7.26; นหม 7.29; นหม 7.30; นหม 7.32; นหม 7.37; นหม 7.43; นหม 7.60; นหม 7.61; นหม 7.64; นหม 7.65; นหม 7.67; นหม 7.69; นหม 7.71; นหม 7.72; นหม 7.73; นหม 8.1; นหม 8.2; นหม 8.3; นหม 8.4; นหม 8.5; นหม 8.6; นหม 8.7; นหม 8.8; นหม 8.9; นหม 8.10; นหม 8.12; นหม 8.13; นหม 8.14; นหม 8.15; นหม 8.16; นหม 8.17; นหม 8.18; นหม 9.1; นหม 9.2; นหม 9.3; นหม 9.4; นหม 9.5; นหม 9.6; นหม 9.7; นหม 9.8; นหม 9.9; นหม 9.10; นหม 9.11; นหม 9.12; นหม 9.13; นหม 9.14; นหม 9.15; นหม 9.16; นหม 9.17; นหม 9.18; นหม 9.20; นหม 9.21; นหม 9.22; นหม 9.23; นหม 9.24; นหม 9.25; นหม 9.26; นหม 9.27; นหม 9.28; นหม 9.29; นหม 9.30; นหม 9.31; นหม 9.32; นหม 9.34; นหม 9.35; นหม 9.37; นหม 9.38; นหม 10.9; นหม 10.10; นหม 10.28; นหม 10.29; นหม 10.30; นหม 10.31; นหม 10.32; นหม 10.33; นหม 10.34; นหม 10.35; นหม 10.36; นหม 10.37; นหม 10.38; นหม 10.39; นหม 11.1; นหม 11.2; นหม 11.3; นหม 11.4; นหม 11.5; นหม 11.7; นหม 11.8; นหม 11.9; นหม 11.12; นหม 11.13; นหม 11.14; นหม 11.16; นหม 11.17; นหม 11.19; นหม 11.20; นหม 11.21; นหม 11.23; นหม 11.24; นหม 11.25; นหม 11.26; นหม 11.30; นหม 11.31; นหม 11.35; นหม 11.36; นหม 12.1; นหม 12.7; นหม 12.8; นหม 12.9; นหม 12.10; นหม 12.11; นหม 12.12; นหม 12.19; นหม 12.22; นหม 12.24; นหม 12.25; นหม 12.26; นหม 12.27; นหม 12.28; นหม 12.29; นหม 12.30; นหม 12.31; นหม 12.32; นหม 12.34; นหม 12.35; นหม 12.36; นหม 12.38; นหม 12.39; นหม 12.40; นหม 12.42; นหม 12.43; นหม 12.44; นหม 12.45; นหม 12.46; นหม 12.47; นหม 13.1; นหม 13.2; นหม 13.3; นหม 13.4; นหม 13.5; นหม 13.6; นหม 13.7; นหม 13.8; นหม 13.9; นหม 13.10; นหม 13.11; นหม 13.12; นหม 13.13; นหม 13.14; นหม 13.15; นหม 13.16; นหม 13.17; นหม 13.18; นหม 13.19; นหม 13.20; นหม 13.21; นหม 13.22; นหม 13.23; นหม 13.24; นหม 13.25; นหม 13.26; นหม 13.27; นหม 13.29; นหม 13.30; นหม 13.31; อสธ 1.3; อสธ 1.6; อสธ 1.7; อสธ 1.10; อสธ 1.11; อสธ 1.12; อสธ 1.13; อสธ 1.14; อสธ 1.16; อสธ 1.18; อสธ 1.19; อสธ 1.21; อสธ 1.22; อสธ 2.1; อสธ 2.3; อสธ 2.4; อสธ 2.7; อสธ 2.8; อสธ 2.9; อสธ 2.10; อสธ 2.11; อสธ 2.12; อสธ 2.14; อสธ 2.17; อสธ 2.18; อสธ 2.21; อสธ 2.22; อสธ 2.23; อสธ 3.1; อสธ 3.4; อสธ 3.7; อสธ 3.8; อสธ 3.9; อสธ 3.11; อสธ 3.12; อสธ 3.13; อสธ 3.15; อสธ 4.1; อสธ 4.3; อสธ 4.4; อสธ 4.5; อสธ 4.7; อสธ 4.8; อสธ 4.11; อสธ 4.14; อสธ 4.16; อสธ 5.1; อสธ 5.4; อสธ 5.7; อสธ 5.8; อสธ 5.9; อสธ 5.10; อสธ 5.11; อสธ 5.12; อสธ 5.14; อสธ 6.1; อสธ 6.2; อสธ 6.3; อสธ 6.5; อสธ 6.6; อสธ 6.8; อสธ 6.9; อสธ 6.10; อสธ 6.11; อสธ 6.12; อสธ 6.13; อสธ 7.2; อสธ 7.3; อสธ 7.4; อสธ 7.6; อสธ 7.7; อสธ 8.3; อสธ 8.5; อสธ 8.7; อสธ 8.8; อสธ 8.9; อสธ 8.10; อสธ 8.11; อสธ 8.13; อสธ 8.14; อสธ 8.15; อสธ 8.16; อสธ 8.17; อสธ 9.1; อสธ 9.3; อสธ 9.4; อสธ 9.5; อสธ 9.6; อสธ 9.7; อสธ 9.8; อสธ 9.9; อสธ 9.12; อสธ 9.13; อสธ 9.14; อสธ 9.15; อสธ 9.16; อสธ 9.17; อสธ 9.18; อสธ 9.19; อสธ 9.20; อสธ 9.21; อสธ 9.22; อสธ 9.23; อสธ 9.24; อสธ 9.25; อสธ 9.26; อสธ 9.27; อสธ 9.28; อสธ 9.31; อสธ 9.32; อสธ 10.1; อสธ 10.2; อสธ 10.3; โยบ 1.1; โยบ 1.2; โยบ 1.3; โยบ 1.4; โยบ 1.5; โยบ 1.7; โยบ 1.8; โยบ 1.10; โยบ 1.11; โยบ 1.12; โยบ 1.13; โยบ 1.14; โยบ 1.15; โยบ 1.16; โยบ 1.17; โยบ 1.18; โยบ 1.19; โยบ 1.21; โยบ 2.1; โยบ 2.2; โยบ 2.3; โยบ 2.5; โยบ 2.6; โยบ 2.7; โยบ 2.8; โยบ 2.9; โยบ 2.10; โยบ 2.11; โยบ 2.12; โยบ 2.13; โยบ 3.2; โยบ 3.5; โยบ 3.14; โยบ 3.17; โยบ 3.19; โยบ 3.20; โยบ 3.21; โยบ 3.22; โยบ 3.24; โยบ 3.25; โยบ 4.3; โยบ 4.4; โยบ 4.5; โยบ 4.6; โยบ 4.8; โยบ 4.9; โยบ 4.10; โยบ 4.11; โยบ 4.14; โยบ 4.18; โยบ 4.20; โยบ 5.2; โยบ 5.4; โยบ 5.5; โยบ 5.8; โยบ 5.9; โยบ 5.10; โยบ 5.11; โยบ 5.13; โยบ 5.14; โยบ 5.15; โยบ 5.16; โยบ 5.20; โยบ 5.21; โยบ 5.22; โยบ 5.23; โยบ 5.24; โยบ 5.25; โยบ 5.27; โยบ 6.2; โยบ 6.8; โยบ 6.9; โยบ 6.11; โยบ 6.16; โยบ 6.18; โยบ 6.20; โยบ 6.21; โยบ 6.24; โยบ 6.27; โยบ 7.1; โยบ 7.2; โยบ 7.3; โยบ 7.4; โยบ 7.5; โยบ 7.6; โยบ 7.9; โยบ 7.14; โยบ 7.15; โยบ 7.17; โยบ 7.21; โยบ 8.2; โยบ 8.4; โยบ 8.5; โยบ 8.6; โยบ 8.8; โยบ 8.10; โยบ 8.14; โยบ 8.16; โยบ 8.17; โยบ 8.19; โยบ 8.21; โยบ 8.22; โยบ 9.4; โยบ 9.5; โยบ 9.6; โยบ 9.7; โยบ 9.8; โยบ 9.9; โยบ 9.10; โยบ 9.11; โยบ 9.16; โยบ 9.17; โยบ 9.22; โยบ 9.27; โยบ 9.30; โยบ 9.34; โยบ 9.35; โยบ 10.3; โยบ 10.6; โยบ 10.7; โยบ 10.8; โยบ 10.10; โยบ 10.11; โยบ 10.12; โยบ 10.14; โยบ 10.16; โยบ 10.17; โยบ 10.21; โยบ 11.2; โยบ 11.3; โยบ 11.4; โยบ 11.5; โยบ 11.9; โยบ 11.10; โยบ 11.13; โยบ 11.14; โยบ 11.15; โยบ 11.18; โยบ 11.19; โยบ 11.20; โยบ 12.2; โยบ 12.4; โยบ 12.6; โยบ 12.7; โยบ 12.8; โยบ 12.11; โยบ 12.12; โยบ 12.13; โยบ 12.14; โยบ 12.15; โยบ 12.16; โยบ 12.17; โยบ 12.18; โยบ 12.19; โยบ 12.20; โยบ 12.21; โยบ 12.22; โยบ 12.23; โยบ 12.24; โยบ 12.25; โยบ 13.1; โยบ 13.3; โยบ 13.5; โยบ 13.6; โยบ 13.7; โยบ 13.11; โยบ 13.13; โยบ 13.14; โยบ 13.17; โยบ 13.20; โยบ 13.21; โยบ 13.22; โยบ 13.23; โยบ 13.24; โยบ 13.25; โยบ 13.26; โยบ 13.27; โยบ 14.1; โยบ 14.2; โยบ 14.3; โยบ 14.5; โยบ 14.6; โยบ 14.7; โยบ 14.8; โยบ 14.9; โยบ 14.10; โยบ 14.11; โยบ 14.12; โยบ 14.13; โยบ 14.15; โยบ 14.17; โยบ 14.18; โยบ 14.20; โยบ 14.21; โยบ 14.22; โยบ 15.2; โยบ 15.4; โยบ 15.5; โยบ 15.6; โยบ 15.8; โยบ 15.10; โยบ 15.13; โยบ 15.16; โยบ 15.18; โยบ 15.19; โยบ 15.24; โยบ 15.25; โยบ 15.27; โยบ 15.28; โยบ 15.29; โยบ 15.30; โยบ 15.32; โยบ 15.33; โยบ 15.34; โยบ 15.35; โยบ 16.4; โยบ 16.5; โยบ 16.6; โยบ 16.8; โยบ 16.9; โยบ 16.11; โยบ 16.12; โยบ 16.13; โยบ 16.15; โยบ 16.17; โยบ 16.19; โยบ 17.2; โยบ 17.7; โยบ 17.8; โยบ 17.9; โยบ 17.14; โยบ 18.3; โยบ 18.5; โยบ 18.6; โยบ 18.7; โยบ 18.8; โยบ 18.11; โยบ 18.12; โยบ 18.16; โยบ 18.17; โยบ 18.18; โยบ 18.19; โยบ 18.21; โยบ 19.3; โยบ 19.5; โยบ 19.6; โยบ 19.8; โยบ 19.9; โยบ 19.10; โยบ 19.11; โยบ 19.12; โยบ 19.14; โยบ 19.15; โยบ 19.19; โยบ 19.20; โยบ 19.24; โยบ 19.25; โยบ 19.26; โยบ 19.27; โยบ 20.5; โยบ 20.6; โยบ 20.8; โยบ 20.10; โยบ 20.13; โยบ 20.17; โยบ 20.18; โยบ 20.19; โยบ 20.23; โยบ 20.25; โยบ 20.27; โยบ 20.29; โยบ 21.2; โยบ 21.3; โยบ 21.5; โยบ 21.6; โยบ 21.7; โยบ 21.8; โยบ 21.9; โยบ 21.10; โยบ 21.11; โยบ 21.12; โยบ 21.13; โยบ 21.18; โยบ 21.19; โยบ 21.20; โยบ 21.23; โยบ 21.24; โยบ 21.26; โยบ 21.27; โยบ 21.29; โยบ 21.30; โยบ 21.31; โยบ 21.32; โยบ 21.33; โยบ 22.6; โยบ 22.7; โยบ 22.8; โยบ 22.9; โยบ 22.10; โยบ 22.11; โยบ 22.14; โยบ 22.17; โยบ 22.19; โยบ 22.21; โยบ 22.22; โยบ 22.23; โยบ 22.24; โยบ 22.25; โยบ 22.26; โยบ 22.27; โยบ 22.28; โยบ 22.29; โยบ 23.4; โยบ 23.5; โยบ 23.7; โยบ 23.8; โยบ 23.11; โยบ 23.13; โยบ 23.14; โยบ 23.17; โยบ 24.5; โยบ 24.6; โยบ 24.7; โยบ 24.8; โยบ 24.9; โยบ 24.12; โยบ 24.13; โยบ 24.14; โยบ 24.15; โยบ 24.19; โยบ 24.21; โยบ 24.23; โยบ 24.24; โยบ 24.25; โยบ 25.2; โยบ 25.5; โยบ 25.6; โยบ 26.3; โยบ 26.4; โยบ 26.5; โยบ 26.6; โยบ 26.7; โยบ 26.8; โยบ 26.9; โยบ 26.10; โยบ 26.11; โยบ 27.1; โยบ 27.2; โยบ 27.3; โยบ 27.4; โยบ 27.7; โยบ 27.13; โยบ 27.14; โยบ 27.15; โยบ 27.16; โยบ 27.17; โยบ 27.19; โยบ 27.21; โยบ 27.23; โยบ 28.1; โยบ 28.2; โยบ 28.3; โยบ 28.6; โยบ 28.7; โยบ 28.9; โยบ 28.10; โยบ 28.11; โยบ 28.12; โยบ 28.13; โยบ 28.14; โยบ 28.15; โยบ 28.17; โยบ 28.18; โยบ 28.20; โยบ 28.21; โยบ 28.22; โยบ 28.23; โยบ 28.24; โยบ 28.25; โยบ 28.26; โยบ 28.27; โยบ 28.28; โยบ 29.3; โยบ 29.5; โยบ 29.6; โยบ 29.10; โยบ 29.11; โยบ 29.12; โยบ 29.13; โยบ 29.14; โยบ 29.15; โยบ 29.16; โยบ 29.17; โยบ 29.18; โยบ 29.20; โยบ 29.21; โยบ 29.22; โยบ 29.24; โยบ 29.25; โยบ 30.3; โยบ 30.4; โยบ 30.6; โยบ 30.9; โยบ 30.10; โยบ 30.11; โยบ 30.15; โยบ 30.17; โยบ 30.19; โยบ 30.20; โยบ 30.22; โยบ 30.23; โยบ 30.26; โยบ 30.28; โยบ 30.29; โยบ 30.31; โยบ 31.2; โยบ 31.3; โยบ 31.4; โยบ 31.5; โยบ 31.6; โยบ 31.7; โยบ 31.8; โยบ 31.9; โยบ 31.10; โยบ 31.11; โยบ 31.12; โยบ 31.17; โยบ 31.18; โยบ 31.20; โยบ 31.22; โยบ 31.23; โยบ 31.27; โยบ 31.34; โยบ 31.38; โยบ 31.39; โยบ 31.40; โยบ 32.5; โยบ 32.6; โยบ 32.7; โยบ 32.12; โยบ 32.14; โยบ 32.16; โยบ 33.1; โยบ 33.3; โยบ 33.4; โยบ 33.8; โยบ 33.11; โยบ 33.16; โยบ 33.17; โยบ 33.18; โยบ 33.19; โยบ 33.20; โยบ 33.22; โยบ 33.24; โยบ 33.26; โยบ 33.27; โยบ 33.28; โยบ 33.31; โยบ 33.33; โยบ 34.5; โยบ 34.8; โยบ 34.10; โยบ 34.11; โยบ 34.12; โยบ 34.14; โยบ 34.15; โยบ 34.18; โยบ 34.20; โยบ 34.24; โยบ 34.25; โยบ 34.27; โยบ 34.28; โยบ 34.30; โยบ 34.33; โยบ 34.34; โยบ 34.37; โยบ 35.3; โยบ 35.8; โยบ 35.11; โยบ 35.13; โยบ 35.16; โยบ 36.1; โยบ 36.2; โยบ 36.3; โยบ 36.5; โยบ 36.7; โยบ 36.8; โยบ 36.9; โยบ 36.10; โยบ 36.11; โยบ 36.12; โยบ 36.14; โยบ 36.15; โยบ 36.16; โยบ 36.17; โยบ 36.26; โยบ 36.28; โยบ 36.29; โยบ 36.30; โยบ 36.32; โยบ 36.33; โยบ 37.2; โยบ 37.3; โยบ 37.6; โยบ 37.8; โยบ 37.9; โยบ 37.10; โยบ 37.15; โยบ 37.17; โยบ 37.23; โยบ 38.7; โยบ 38.9; โยบ 38.10; โยบ 38.11; โยบ 38.12; โยบ 38.13; โยบ 38.14; โยบ 38.15; โยบ 38.19; โยบ 38.20; โยบ 38.23; โยบ 38.25; โยบ 38.26; โยบ 38.27; โยบ 38.30; โยบ 38.32; โยบ 38.35; โยบ 38.41; โยบ 39.2; โยบ 39.6; โยบ 39.8; โยบ 39.12; โยบ 39.13; โยบ 39.15; โยบ 39.17; โยบ 39.18; โยบ 39.21; โยบ 39.22; โยบ 39.23; โยบ 39.24; โยบ 39.25; โยบ 39.26; โยบ 39.28; โยบ 39.30; โยบ 40.1; โยบ 40.5; โยบ 40.9; โยบ 40.10; โยบ 40.11; โยบ 40.12; โยบ 40.16; โยบ 40.18; โยบ 40.21; โยบ 40.23; โยบ 41.6; โยบ 41.17; โยบ 41.22; โยบ 41.27; โยบ 42.2; โยบ 42.6; โยบ 42.7; โยบ 42.8; โยบ 42.9; โยบ 42.10; โยบ 42.11; โยบ 42.12; โยบ 42.13; โยบ 42.14; โยบ 42.15; โยบ 42.16; โยบ 42.17; สดด 1.2; สดด 1.3; สดด 2.1; สดด 2.2; สดด 2.3; สดด 2.5; สดด 2.8; สดด 2.9; สดด 2.11; สดด 2.12; สดด 3.3; สดด 3.4; สดด 3.5; สดด 3.7; สดด 4.1; สดด 4.2; สดด 4.4; สดด 4.5; สดด 4.7; สดด 5.2; สดด 5.3; สดด 5.6; สดด 5.10; สดด 6.1; สดด 6.6; สดด 6.10; สดด 7.2; สดด 7.5; สดด 7.8; สดด 7.9; สดด 7.11; สดด 7.14; สดด 7.15; สดด 7.16; สดด 7.17; สดด 8.2; สดด 8.3; สดด 8.4; สดด 8.5; สดด 8.7; สดด 8.8; สดด 9.2; สดด 9.3; สดด 9.4; สดด 9.5; สดด 9.6; สดด 9.15; สดด 9.18; สดด 9.20; สดด 10.3; สดด 10.7; สดด 10.8; สดด 10.10; สดด 10.11; สดด 10.13; สดด 10.14; สดด 10.15; สดด 10.17; สดด 10.18; สดด 11.2; สดด 11.4; สดด 11.5; สดด 11.6; สดด 12.1; สดด 12.2; สดด 12.3; สดด 12.5; สดด 13.2; สดด 13.3; สดด 14.4; สดด 15.2; สดด 15.3; สดด 15.5; สดด 16.3; สดด 16.5; สดด 16.9; สดด 17.3; สดด 17.9; สดด 17.13; สดด 17.14; สดด 18.2; สดด 18.3; สดด 18.6; สดด 18.7; สดด 18.8; สดด 18.9; สดด 18.11; สดด 18.12; สดด 18.13; สดด 18.17; สดด 18.19; สดด 18.21; สดด 18.22; สดด 18.23; สดด 18.29; สดด 18.31; สดด 18.32; สดด 18.33; สดด 18.35; สดด 18.37; สดด 18.43; สดด 18.45; สดด 18.46; สดด 18.47; สดด 18.49; สดด 18.50; สดด 19.1; สดด 19.2; สดด 19.3; สดด 19.4; สดด 19.5; สดด 19.6; สดด 19.7; สดด 19.9; สดด 19.10; สดด 19.13; สดด 19.14; สดด 20.2; สดด 20.3; สดด 20.4; สดด 20.5; สดด 20.6; สดด 21.2; สดด 21.4; สดด 21.5; สดด 21.6; สดด 21.7; สดด 21.9; สดด 21.10; สดด 22.1; สดด 22.4; สดด 22.7; สดด 22.9; สดด 22.11; สดด 22.13; สดด 22.15; สดด 22.17; สดด 22.24; สดด 22.27; สดด 22.28; สดด 22.29; สดด 23.4; สดด 23.6; สดด 24.2; สดด 24.3; สดด 24.4; สดด 24.5; สดด 24.8; สดด 25.5; สดด 25.6; สดด 25.8; สดด 25.9; สดด 25.10; สดด 25.13; สดด 25.14; สดด 25.16; สดด 25.18; สดด 25.19; สดด 25.20; สดด 25.21; สดด 26.2; สดด 26.3; สดด 26.5; สดด 26.6; สดด 26.7; สดด 26.8; สดด 26.10; สดด 26.11; สดด 27.1; สดด 27.2; สดด 27.4; สดด 27.6; สดด 27.7; สดด 27.10; สดด 27.11; สดด 27.12; สดด 27.14; สดด 28.4; สดด 28.5; สดด 28.7; สดด 28.9; สดด 29.1; สดด 29.6; สดด 29.9; สดด 30.1; สดด 30.2; สดด 30.4; สดด 30.5; สดด 30.8; สดด 30.10; สดด 30.11; สดด 30.12; สดด 31.3; สดด 31.7; สดด 31.8; สดด 31.9; สดด 31.10; สดด 31.15; สดด 31.18; สดด 31.19; สดด 31.24; สดด 32.5; สดด 32.8; สดด 32.9; สดด 32.11; สดด 33.2; สดด 33.4; สดด 33.5; สดด 33.7; สดด 33.15; สดด 33.19; สดด 33.20; สดด 34.2; สดด 34.4; สดด 34.5; สดด 34.6; สดด 34.7; สดด 34.10; สดด 34.12; สดด 34.13; สดด 34.14; สดด 34.15; สดด 34.17; สดด 34.18; สดด 34.21; สดด 34.22; สดด 35.2; สดด 35.3; สดด 35.4; สดด 35.5; สดด 35.6; สดด 35.8; สดด 35.10; สดด 35.14; สดด 35.19; สดด 35.24; สดด 35.26; สดด 35.27; สดด 35.28; สดด 36.3; สดด 36.6; สดด 36.8; สดด 36.10; สดด 37.2; สดด 37.3; สดด 37.4; สดด 37.5; สดด 37.6; สดด 37.7; สดด 37.8; สดด 37.11; สดด 37.12; สดด 37.14; สดด 37.15; สดด 37.18; สดด 37.21; สดด 37.23; สดด 37.25; สดด 37.26; สดด 37.27; สดด 37.29; สดด 37.30; สดด 37.31; สดด 37.32; สดด 37.34; สดด 37.35; สดด 37.36; สดด 37.37; สดด 37.40; สดด 38.2; สดด 38.5; สดด 38.7; สดด 38.8; สดด 38.10; สดด 38.11; สดด 38.12; สดด 38.17; สดด 38.19; สดด 39.4; สดด 39.6; สดด 39.13; สดด 40.3; สดด 40.5; สดด 40.6; สดด 40.10; สดด 40.11; สดด 40.14; สดด 40.16; สดด 40.17; สดด 41.2; สดด 41.5; สดด 41.12; สดด 41.13; สดด 42.4; สดด 42.6; สดด 42.7; สดด 42.8; สดด 42.11; สดด 43.1; สดด 43.3; สดด 43.5; สดด 44.2; สดด 44.3; สดด 44.6; สดด 44.7; สดด 44.8; สดด 44.9; สดด 44.10; สดด 44.11; สดด 44.13; สดด 44.15; สดด 44.16; สดด 44.19; สดด 44.22; สดด 44.24; สดด 45.3; สดด 45.4; สดด 45.6; สดด 45.7; สดด 45.8; สดด 45.10; สดด 45.11; สดด 45.14; สดด 45.15; สดด 46.1; สดด 46.3; สดด 46.6; สดด 46.9; สดด 46.10; สดด 47.3; สดด 48.1; สดด 49.2; สดด 49.6; สดด 49.8; สดด 49.9; สดด 49.10; สดด 49.11; สดด 49.14; สดด 49.18; สดด 50.1; สดด 50.4; สดด 50.7; สดด 50.11; สดด 50.12; สดด 50.14; สดด 50.15; สดด 50.17; สดด 50.18; สดด 50.19; สดด 50.21; สดด 50.22; สดด 51.2; สดด 51.3; สดด 51.4; สดด 51.5; สดด 51.6; สดด 51.7; สดด 51.8; สดด 51.9; สดด 51.10; สดด 51.11; สดด 51.12; สดด 51.13; สดด 51.14; สดด 51.15; สดด 51.17; สดด 51.19; สดด 52.2; สดด 52.3; สดด 52.5; สดด 52.6; สดด 53.1; สดด 53.4; สดด 54.1; สดด 54.5; สดด 54.7; สดด 55.2; สดด 55.3; สดด 55.5; สดด 55.6; สดด 55.8; สดด 55.9; สดด 55.10; สดด 55.11; สดด 55.15; สดด 55.16; สดด 55.17; สดด 55.19; สดด 55.22; สดด 55.23; สดด 56.1; สดด 57.3; สดด 57.4; สดด 57.7; สดด 57.8; สดด 58.9; สดด 59.2; สดด 59.4; สดด 59.6; สดด 59.7; สดด 59.11; สดด 59.12; สดด 59.14; สดด 59.17; สดด 60.5; สดด 60.6; สดด 61.5; สดด 61.7; สดด 62.2; สดด 62.3; สดด 62.6; สดด 62.7; สดด 63.1; สดด 63.2; สดด 63.5; สดด 63.6; สดด 64.4; สดด 64.6; สดด 64.9; สดด 64.10; สดด 65.4; สดด 65.5; สดด 65.8; สดด 65.9; สดด 65.10; สดด 65.13; สดด 66.4; สดด 66.9; สดด 66.14; สดด 66.15; สดด 66.16; สดด 66.17; สดด 67.1; สดด 67.4; สดด 68.5; สดด 68.13; สดด 68.18; สดด 68.34; สดด 68.35; สดด 69.2; สดด 69.8; สดด 69.9; สดด 69.10; สดด 69.14; สดด 69.19; สดด 69.22; สดด 69.23; สดด 69.24; สดด 69.25; สดด 69.29; สดด 69.31; สดด 69.32; สดด 69.33; สดด 69.34; สดด 69.35; สดด 69.36; สดด 70.2; สดด 70.4; สดด 70.5; สดด 71.2; สดด 71.3; สดด 71.4; สดด 71.8; สดด 71.11; สดด 71.13; สดด 71.14; สดด 71.15; สดด 71.17; สดด 71.18; สดด 71.21; สดด 71.24; สดด 72.1; สดด 72.2; สดด 72.3; สดด 72.4; สดด 72.5; สดด 72.7; สดด 72.8; สดด 72.9; สดด 72.10; สดด 72.12; สดด 72.13; สดด 72.14; สดด 72.15; สดด 72.16; สดด 72.19; สดด 73.8; สดด 73.9; สดด 73.10; สดด 73.11; สดด 73.12; สดด 73.13; สดด 73.14; สดด 73.22; สดด 73.24; สดด 73.26; สดด 74.6; สดด 74.15; สดด 74.16; สดด 74.17; สดด 74.18; สดด 74.21; สดด 75.4; สดด 75.6; สดด 75.7; สดด 75.8; สดด 76.3; สดด 76.6; สดด 76.8; สดด 76.10; สดด 76.11; สดด 77.1; สดด 77.6; สดด 77.7; สดด 77.10; สดด 77.12; สดด 77.15; สดด 77.18; สดด 77.20; สดด 78.4; สดด 78.5; สดด 78.6; สดด 78.7; สดด 78.8; สดด 78.9; สดด 78.10; สดด 78.11; สดด 78.13; สดด 78.14; สดด 78.20; สดด 78.22; สดด 78.23; สดด 78.24; สดด 78.26; สดด 78.28; สดด 78.31; สดด 78.33; สดด 78.35; สดด 78.36; สดด 78.38; สดด 78.40; สดด 78.41; สดด 78.43; สดด 78.44; สดด 78.45; สดด 78.46; สดด 78.47; สดด 78.48; สดด 78.49; สดด 78.52; สดด 78.54; สดด 78.55; สดด 78.56; สดด 78.57; สดด 78.59; สดด 78.61; สดด 78.62; สดด 78.63; สดด 78.64; สดด 78.66; สดด 78.71; สดด 78.72; สดด 79.4; สดด 79.6; สดด 79.7; สดด 79.9; สดด 80.2; สดด 80.5; สดด 80.6; สดด 80.8; สดด 80.9; สดด 80.10; สดด 80.11; สดด 80.13; สดด 80.14; สดด 80.15; สดด 81.2; สดด 81.13; สดด 81.14; สดด 82.2; สดด 82.3; สดด 82.4; สดด 82.5; สดด 82.7; สดด 83.1; สดด 83.6; สดด 83.7; สดด 83.9; สดด 83.11; สดด 83.15; สดด 83.17; สดด 84.3; สดด 84.11; สดด 85.7; สดด 85.8; สดด 85.10; สดด 85.11; สดด 85.12; สดด 85.13; สดด 86.1; สดด 86.5; สดด 86.8; สดด 86.9; สดด 86.10; สดด 86.12; สดด 86.13; สดด 86.15; สดด 86.16; สดด 86.17; สดด 87.4; สดด 87.5; สดด 87.7; สดด 88.1; สดด 88.3; สดด 88.5; สดด 88.6; สดด 88.7; สดด 88.15; สดด 88.18; สดด 89.4; สดด 89.5; สดด 89.7; สดด 89.11; สดด 89.12; สดด 89.14; สดด 89.16; สดด 89.19; สดด 89.21; สดด 89.23; สดด 89.24; สดด 89.25; สดด 89.26; สดด 89.27; สดด 89.28; สดด 89.30; สดด 89.31; สดด 89.32; สดด 89.37; สดด 89.38; สดด 89.43; สดด 89.44; สดด 89.45; สดด 89.50; สดด 89.52; สดด 90.2; สดด 90.3; สดด 90.6; สดด 90.10; สดด 90.11; สดด 90.14; สดด 90.15; สดด 90.16; สดด 91.2; สดด 91.3; สดด 91.4; สดด 91.8; สดด 91.13; สดด 91.15; สดด 91.16; สดด 92.2; สดด 92.3; สดด 92.7; สดด 92.14; สดด 94.4; สดด 94.5; สดด 94.6; สดด 94.7; สดด 94.15; สดด 94.21; สดด 94.22; สดด 94.23; สดด 95.3; สดด 95.5; สดด 95.6; สดด 95.7; สดด 95.9; สดด 95.10; สดด 96.4; สดด 96.6; สดด 96.7; สดด 96.8; สดด 96.11; สดด 96.13; สดด 97.2; สดด 97.3; สดด 97.6; สดด 97.8; สดด 97.11; สดด 97.12; สดด 98.1; สดด 98.3; สดด 98.4; สดด 98.6; สดด 98.7; สดด 98.9; สดด 99.3; สดด 99.4; สดด 99.5; สดด 99.6; สดด 99.7; สดด 99.9; สดด 100.4; สดด 100.5; สดด 101.1; สดด 101.5; สดด 102.3; สดด 102.4; สดด 102.9; สดด 102.10; สดด 102.14; สดด 102.15; สดด 102.17; สดด 102.21; สดด 102.25; สดด 102.26; สดด 102.27; สดด 102.28; สดด 103.1; สดด 103.2; สดด 103.4; สดด 103.6; สดด 103.8; สดด 103.16; สดด 103.17; สดด 103.18; สดด 103.19; สดด 103.20; สดด 104.1; สดด 104.4; สดด 104.11; สดด 104.14; สดด 104.15; สดด 104.20; สดด 104.21; สดด 104.22; สดด 104.25; สดด 104.26; สดด 104.29; สดด 104.30; สดด 104.35; สดด 105.4; สดด 105.5; สดด 105.10; สดด 105.16; สดด 105.22; สดด 105.24; สดด 105.26; สดด 105.29; สดด 105.31; สดด 105.32; สดด 105.33; สดด 105.34; สดด 105.35; สดด 105.37; สดด 105.39; สดด 105.40; สดด 105.41; สดด 105.42; สดด 105.44; สดด 105.45; สดด 106.3; สดด 106.6; สดด 106.9; สดด 106.10; สดด 106.11; สดด 106.14; สดด 106.16; สดด 106.17; สดด 106.18; สดด 106.19; สดด 106.22; สดด 106.25; สดด 106.27; สดด 106.28; สดด 106.29; สดด 106.30; สดด 106.35; สดด 106.37; สดด 106.39; สดด 106.40; สดด 106.42; สดด 106.43; สดด 106.45; สดด 106.47; สดด 106.48; สดด 107.3; สดด 107.5; สดด 107.9; สดด 107.10; สดด 107.11; สดด 107.12; สดด 107.14; สดด 107.16; สดด 107.17; สดด 107.18; สดด 107.20; สดด 107.22; สดด 107.24; สดด 107.25; สดด 107.26; สดด 107.27; สดด 107.29; สดด 107.30; สดด 107.32; สดด 107.36; สดด 107.37; สดด 107.38; สดด 107.39; สดด 107.41; สดด 107.42; สดด 107.43; สดด 108.1; สดด 108.2; สดด 108.6; สดด 108.7; สดด 109.2; สดด 109.3; สดด 109.5; สดด 109.6; สดด 109.7; สดด 109.9; สดด 109.13; สดด 109.16; สดด 109.22; สดด 110.4; สดด 111.3; สดด 111.4; สดด 111.7; สดด 111.8; สดด 111.9; สดด 112.3; สดด 112.4; สดด 112.5; สดด 113.4; สดด 113.6; สดด 113.7; สดด 115.1; สดด 115.4; สดด 115.9; สดด 115.10; สดด 115.11; สดด 115.13; สดด 115.14; สดด 115.15; สดด 116.1; สดด 116.3; สดด 116.5; สดด 116.13; สดด 116.17; สดด 117.2; สดด 118.5; สดด 118.14; สดด 118.15; สดด 118.17; สดด 118.19; สดด 118.21; สดด 118.24; สดด 118.28; สดด 119.15; สดด 119.17; สดด 119.22; สดด 119.26; สดด 119.27; สดด 119.29; สดด 119.33; สดด 119.34; สดด 119.36; สดด 119.37; สดด 119.45; สดด 119.46; สดด 119.48; สดด 119.55; สดด 119.66; สดด 119.68; สดด 119.72; สดด 119.73; สดด 119.74; สดด 119.75; สดด 119.90; สดด 119.105; สดด 119.106; สดด 119.108; สดด 119.114; สดด 119.116; สดด 119.117; สดด 119.120; สดด 119.121; สดด 119.123; สดด 119.124; สดด 119.132; สดด 119.135; สดด 119.137; สดด 119.138; สดด 119.141; สดด 119.142; สดด 119.143; สดด 119.151; สดด 119.153; สดด 119.154; สดด 119.157; สดด 119.160; สดด 119.163; สดด 119.166; สดด 119.168; สดด 119.174; สดด 119.175; สดด 120.1; สดด 120.3; สดด 121.2; สดด 122.7; สดด 122.8; สดด 123.2; สดด 124.7; สดด 124.8; สดด 125.4; สดด 126.2; สดด 127.2; สดด 128.2; สดด 128.5; สดด 128.6; สดด 129.5; สดด 130.5; สดด 130.7; สดด 130.8; สดด 131.1; สดด 131.2; สดด 132.1; สดด 132.2; สดด 132.8; สดด 132.9; สดด 132.12; สดด 132.16; สดด 133.1; สดด 134.2; สดด 134.3; สดด 135.5; สดด 135.6; สดด 135.7; สดด 135.8; สดด 135.9; สดด 135.10; สดด 135.11; สดด 135.12; สดด 135.14; สดด 135.15; สดด 136.9; สดด 136.11; สดด 136.12; สดด 136.14; สดด 136.15; สดด 136.18; สดด 136.20; สดด 136.21; สดด 136.24; สดด 137.3; สดด 138.2; สดด 138.5; สดด 138.7; สดด 139.1; สดด 139.2; สดด 139.3; สดด 139.5; สดด 139.9; สดด 139.10; สดด 139.11; สดด 139.14; สดด 139.20; สดด 139.21; สดด 139.22; สดด 139.23; สดด 139.24; สดด 140.2; สดด 140.3; สดด 140.5; สดด 140.12; สดด 141.2; สดด 141.4; สดด 141.7; สดด 141.9; สดด 142.4; สดด 143.12; สดด 144.1; สดด 144.2; สดด 144.5; สดด 144.6; สดด 144.7; สดด 144.8; สดด 144.9; สดด 144.11; สดด 145.3; สดด 145.4; สดด 145.5; สดด 145.6; สดด 145.7; สดด 145.8; สดด 145.9; สดด 145.10; สดด 145.11; สดด 145.12; สดด 145.13; สดด 145.14; สดด 145.15; สดด 145.17; สดด 145.19; สดด 145.21; สดด 146.6; สดด 146.9; สดด 147.1; สดด 147.3; สดด 147.5; สดด 147.9; สดด 147.18; สดด 147.19; สดด 147.20; สดด 148.3; สดด 148.6; สดด 148.7; สดด 148.9; สดด 148.10; สดด 148.11; สดด 148.12; สดด 148.13; สดด 149.3; สดด 149.6; สดด 149.7; สดด 149.8; สดด 150.3; สดด 150.4; สภษ 1.2; สภษ 1.3; สภษ 1.4; สภษ 1.5; สภษ 1.6; สภษ 1.7; สภษ 1.8; สภษ 1.12; สภษ 1.16; สภษ 1.22; สภษ 1.24; สภษ 1.25; สภษ 1.27; สภษ 1.29; สภษ 1.31; สภษ 1.32; สภษ 2.1; สภษ 2.2; สภษ 2.3; สภษ 2.4; สภษ 2.5; สภษ 2.6; สภษ 2.8; สภษ 2.9; สภษ 2.10; สภษ 2.11; สภษ 2.14; สภษ 2.15; สภษ 2.17; สภษ 2.18; สภษ 2.20; สภษ 2.21; สภษ 2.22; สภษ 3.2; สภษ 3.3; สภษ 3.4; สภษ 3.5; สภษ 3.6; สภษ 3.7; สภษ 3.8; สภษ 3.9; สภษ 3.10; สภษ 3.13; สภษ 3.14; สภษ 3.15; สภษ 3.16; สภษ 3.17; สภษ 3.20; สภษ 3.21; สภษ 3.23; สภษ 3.24; สภษ 3.25; สภษ 3.26; สภษ 4.3; สภษ 4.4; สภษ 4.5; สภษ 4.6; สภษ 4.8; สภษ 4.10; สภษ 4.12; สภษ 4.13; สภษ 4.14; สภษ 4.15; สภษ 4.17; สภษ 4.22; สภษ 4.24; สภษ 4.25; สภษ 5.2; สภษ 5.3; สภษ 5.4; สภษ 5.7; สภษ 5.9; สภษ 5.10; สภษ 5.11; สภษ 5.12; สภษ 5.14; สภษ 5.16; สภษ 5.17; สภษ 5.18; สภษ 5.20; สภษ 5.21; สภษ 5.22; สภษ 5.23; สภษ 6.2; สภษ 6.3; สภษ 6.6; สภษ 6.8; สภษ 6.11; สภษ 6.17; สภษ 6.19; สภษ 6.20; สภษ 6.22; สภษ 6.23; สภษ 6.26; สภษ 6.33; สภษ 7.2; สภษ 7.4; สภษ 7.7; สภษ 7.9; สภษ 7.10; สภษ 7.11; สภษ 7.12; สภษ 7.13; สภษ 7.14; สภษ 7.15; สภษ 7.17; สภษ 7.24; สภษ 8.4; สภษ 8.10; สภษ 8.11; สภษ 8.12; สภษ 8.13; สภษ 8.14; สภษ 8.15; สภษ 8.16; สภษ 8.17; สภษ 8.18; สภษ 8.19; สภษ 8.31; สภษ 8.33; สภษ 8.34; สภษ 8.35; สภษ 9.3; สภษ 9.5; สภษ 9.6; สภษ 9.7; สภษ 9.8; สภษ 9.9; สภษ 9.10; สภษ 9.11; สภษ 9.13; สภษ 9.14; สภษ 9.17; สภษ 9.18; สภษ 10.18; สภษ 10.22; สภษ 10.26; สภษ 11.7; สภษ 11.8; สภษ 11.10; สภษ 11.16; สภษ 11.29; สภษ 11.30; สภษ 11.31; สภษ 12.7; สภษ 12.9; สภษ 12.14; สภษ 12.28; สภษ 13.5; สภษ 13.18; สภษ 14.10; สภษ 14.13; สภษ 14.14; สภษ 14.16; สภษ 14.17; สภษ 14.19; สภษ 14.22; สภษ 15.3; สภษ 15.11; สภษ 15.30; สภษ 15.33; สภษ 16.1; สภษ 16.3; สภษ 16.6; สภษ 16.11; สภษ 16.13; สภษ 16.15; สภษ 16.18; สภษ 16.20; สภษ 16.21; สภษ 16.23; สภษ 16.24; สภษ 16.27; สภษ 16.28; สภษ 16.29; สภษ 16.32; สภษ 17.2; สภษ 17.3; สภษ 17.4; สภษ 17.6; สภษ 17.15; สภษ 17.17; สภษ 17.18; สภษ 17.20; สภษ 17.21; สภษ 17.25; สภษ 17.27; สภษ 18.1; สภษ 18.3; สภษ 18.6; สภษ 18.7; สภษ 18.10; สภษ 18.11; สภษ 18.13; สภษ 18.15; สภษ 18.16; สภษ 18.18; สภษ 18.19; สภษ 18.21; สภษ 18.22; สภษ 19.1; สภษ 19.2; สภษ 19.3; สภษ 19.5; สภษ 19.6; สภษ 19.9; สภษ 19.11; สภษ 19.13; สภษ 19.14; สภษ 19.15; สภษ 19.17; สภษ 19.20; สภษ 19.22; สภษ 19.23; สภษ 19.24; สภษ 19.25; สภษ 19.26; สภษ 19.28; สภษ 19.29; สภษ 20.1; สภษ 20.10; สภษ 20.11; สภษ 20.12; สภษ 20.13; สภษ 20.15; สภษ 20.16; สภษ 20.23; สภษ 20.25; สภษ 20.28; สภษ 21.3; สภษ 21.4; สภษ 21.8; สภษ 21.17; สภษ 21.18; สภษ 21.19; สภษ 21.20; สภษ 21.21; สภษ 21.22; สภษ 21.23; สภษ 21.24; สภษ 21.26; สภษ 22.1; สภษ 22.2; สภษ 22.3; สภษ 22.4; สภษ 22.5; สภษ 22.6; สภษ 22.7; สภษ 22.8; สภษ 22.10; สภษ 22.16; สภษ 22.17; สภษ 22.18; สภษ 22.20; สภษ 22.23; สภษ 22.25; สภษ 23.7; สภษ 23.8; สภษ 23.12; สภษ 23.18; สภษ 23.19; สภษ 23.21; สภษ 23.22; สภษ 23.23; สภษ 23.25; สภษ 23.26; สภษ 23.27; สภษ 23.28; สภษ 23.31; สภษ 23.32; สภษ 23.33; สภษ 24.2; สภษ 24.3; สภษ 24.4; สภษ 24.5; สภษ 24.6; สภษ 24.9; สภษ 24.11; สภษ 24.12; สภษ 24.13; สภษ 24.14; สภษ 24.17; สภษ 24.18; สภษ 24.19; สภษ 24.21; สภษ 24.22; สภษ 24.24; สภษ 24.25; สภษ 24.27; สภษ 24.28; สภษ 24.31; สภษ 24.32; สภษ 25.3; สภษ 25.5; สภษ 25.9; สภษ 25.10; สภษ 25.14; สภษ 25.15; สภษ 25.16; สภษ 25.17; สภษ 25.20; สภษ 25.21; สภษ 25.22; สภษ 25.28; สภษ 26.1; สภษ 26.2; สภษ 26.3; สภษ 26.6; สภษ 26.10; สภษ 26.17; สภษ 26.18; สภษ 26.19; สภษ 26.20; สภษ 26.21; สภษ 26.24; สภษ 26.28; สภษ 27.2; สภษ 27.3; สภษ 27.9; สภษ 27.10; สภษ 27.11; สภษ 27.12; สภษ 27.13; สภษ 27.18; สภษ 27.20; สภษ 27.23; สภษ 27.24; สภษ 27.25; สภษ 27.26; สภษ 27.27; สภษ 28.2; สภษ 28.8; สภษ 28.13; สภษ 28.22; สภษ 28.24; สภษ 29.6; สภษ 29.13; สภษ 29.15; สภษ 29.17; สภษ 29.22; สภษ 30.1; สภษ 30.4; สภษ 30.6; สภษ 30.8; สภษ 30.9; สภษ 30.10; สภษ 30.11; สภษ 30.13; สภษ 30.14; สภษ 30.16; สภษ 30.17; สภษ 30.19; สภษ 30.20; สภษ 30.23; สภษ 30.30; สภษ 30.31; สภษ 30.33; สภษ 31.5; สภษ 31.6; สภษ 31.7; สภษ 31.9; สภษ 31.11; สภษ 31.13; สภษ 31.15; สภษ 31.17; สภษ 31.19; สภษ 31.22; สภษ 31.25; สภษ 31.26; สภษ 31.27; สภษ 31.30; สภษ 31.31; ปญจ 1.4; ปญจ 1.5; ปญจ 1.9; ปญจ 1.11; ปญจ 1.13; ปญจ 1.14; ปญจ 1.15; ปญจ 1.16; ปญจ 1.17; ปญจ 1.18; ปญจ 2.2; ปญจ 2.3; ปญจ 2.4; ปญจ 2.5; ปญจ 2.8; ปญจ 2.9; ปญจ 2.10; ปญจ 2.11; ปญจ 2.12; ปญจ 2.17; ปญจ 2.19; ปญจ 2.21; ปญจ 2.22; ปญจ 2.23; ปญจ 2.24; ปญจ 2.26; ปญจ 3.1; ปญจ 3.2; ปญจ 3.3; ปญจ 3.4; ปญจ 3.5; ปญจ 3.6; ปญจ 3.7; ปญจ 3.8; ปญจ 3.12; ปญจ 3.13; ปญจ 3.15; ปญจ 3.16; ปญจ 3.17; ปญจ 3.19; ปญจ 3.20; ปญจ 3.21; ปญจ 4.1; ปญจ 4.4; ปญจ 4.5; ปญจ 4.6; ปญจ 4.8; ปญจ 4.13; ปญจ 4.16; ปญจ 5.2; ปญจ 5.3; ปญจ 5.6; ปญจ 5.7; ปญจ 5.8; ปญจ 5.10; ปญจ 5.14; ปญจ 5.15; ปญจ 5.17; ปญจ 5.18; ปญจ 5.19; ปญจ 6.1; ปญจ 6.2; ปญจ 6.3; ปญจ 6.4; ปญจ 6.9; ปญจ 6.10; ปญจ 7.1; ปญจ 7.2; ปญจ 7.7; ปญจ 7.12; ปญจ 7.15; ปญจ 7.16; ปญจ 7.20; ปญจ 7.24; ปญจ 7.25; ปญจ 7.26; ปญจ 8.1; ปญจ 8.2; ปญจ 8.4; ปญจ 8.5; ปญจ 8.6; ปญจ 8.9; ปญจ 8.10; ปญจ 8.12; ปญจ 8.14; ปญจ 8.15; ปญจ 8.16; ปญจ 9.1; ปญจ 9.2; ปญจ 9.3; ปญจ 9.6; ปญจ 9.7; ปญจ 9.8; ปญจ 9.9; ปญจ 9.11; ปญจ 9.12; ปญจ 9.14; ปญจ 9.15; ปญจ 9.16; ปญจ 10.1; ปญจ 10.3; ปญจ 10.6; ปญจ 10.7; ปญจ 10.10; ปญจ 10.16; ปญจ 10.17; ปญจ 10.18; ปญจ 10.19; ปญจ 10.20; ปญจ 11.3; ปญจ 11.4; ปญจ 11.5; ปญจ 11.6; ปญจ 11.7; ปญจ 11.8; ปญจ 11.9; ปญจ 11.10; ปญจ 12.1; ปญจ 12.2; ปญจ 12.3; ปญจ 12.4; ปญจ 12.5; ปญจ 12.7; ปญจ 12.9; ปญจ 12.10; ปญจ 12.11; ปญจ 12.12; ปญจ 12.13; พซม 1.4; พซม 1.17; พซม 2.3; พซม 2.4; พซม 2.6; พซม 2.11; พซม 2.12; พซม 2.13; พซม 2.14; พซม 2.16; พซม 2.17; พซม 3.2; พซม 3.4; พซม 3.6; พซม 3.8; พซม 3.10; พซม 4.2; พซม 4.3; พซม 4.6; พซม 4.8; พซม 4.10; พซม 4.11; พซม 4.12; พซม 4.13; พซม 4.14; พซม 4.15; พซม 4.16; พซม 5.1; พซม 5.2; พซม 5.4; พซม 5.5; พซม 5.11; พซม 5.12; พซม 5.14; พซม 5.16; พซม 6.2; พซม 6.3; พซม 6.4; พซม 6.6; พซม 6.8; พซม 6.9; พซม 6.11; พซม 7.7; พซม 7.8; พซม 7.9; พซม 7.10; พซม 7.13; พซม 8.2; พซม 8.3; พซม 8.6; พซม 8.8; พซม 8.9; พซม 8.12; อสย 1.1; อสย 1.2; อสย 1.3; อสย 1.6; อสย 1.7; อสย 1.9; อสย 1.11; อสย 1.13; อสย 1.14; อสย 1.19; อสย 1.20; อสย 1.23; อสย 1.24; อสย 1.25; อสย 1.26; อสย 1.27; อสย 1.28; อสย 1.29; อสย 1.30; อสย 1.31; อสย 2.1; อสย 2.2; อสย 2.3; อสย 2.4; อสย 2.6; อสย 2.7; อสย 2.9; อสย 2.10; อสย 2.11; อสย 2.12; อสย 2.13; อสย 2.14; อสย 2.15; อสย 2.16; อสย 2.17; อสย 2.18; อสย 2.19; อสย 2.20; อสย 2.21; อสย 3.1; อสย 3.2; อสย 3.3; อสย 3.4; อสย 3.5; อสย 3.6; อสย 3.7; อสย 3.8; อสย 3.12; อสย 3.14; อสย 3.15; อสย 3.16; อสย 3.17; อสย 3.21; อสย 3.22; อสย 3.23; อสย 3.25; อสย 3.26; อสย 4.2; อสย 4.3; อสย 4.4; อสย 4.5; อสย 4.6; อสย 5.2; อสย 5.3; อสย 5.6; อสย 5.7; อสย 5.8; อสย 5.10; อสย 5.12; อสย 5.13; อสย 5.14; อสย 5.15; อสย 5.16; อสย 5.20; อสย 5.21; อสย 5.22; อสย 5.23; อสย 5.24; อสย 5.25; อสย 5.26; อสย 5.28; อสย 5.29; อสย 5.30; อสย 6.1; อสย 6.2; อสย 6.4; อสย 6.5; อสย 6.7; อสย 6.8; อสย 6.9; อสย 6.10; อสย 6.11; อสย 6.12; อสย 6.13; อสย 7.1; อสย 7.2; อสย 7.3; อสย 7.4; อสย 7.5; อสย 7.6; อสย 7.7; อสย 7.8; อสย 7.9; อสย 7.12; อสย 7.13; อสย 7.14; อสย 7.15; อสย 7.16; อสย 7.17; อสย 7.18; อสย 7.19; อสย 7.20; อสย 7.21; อสย 7.22; อสย 7.23; อสย 7.24; อสย 7.25; อสย 8.1; อสย 8.2; อสย 8.3; อสย 8.4; อสย 8.6; อสย 8.7; อสย 8.8; อสย 8.9; อสย 8.11; อสย 8.14; อสย 8.15; อสย 8.16; อสย 8.17; อสย 8.18; อสย 8.19; อสย 8.20; อสย 8.21; อสย 8.22; อสย 9.1; อสย 9.5; อสย 9.6; อสย 9.7; อสย 9.8; อสย 9.9; อสย 9.11; อสย 9.12; อสย 9.14; อสย 9.15; อสย 9.16; อสย 9.17; อสย 9.18; อสย 9.21; อสย 10.1; อสย 10.2; อสย 10.3; อสย 10.4; อสย 10.5; อสย 10.6; อสย 10.7; อสย 10.10; อสย 10.11; อสย 10.12; อสย 10.13; อสย 10.14; อสย 10.17; อสย 10.18; อสย 10.20; อสย 10.24; อสย 10.25; อสย 10.26; อสย 10.27; อสย 10.33; อสย 10.34; อสย 11.2; อสย 11.4; อสย 11.5; อสย 11.6; อสย 11.7; อสย 11.8; อสย 11.10; อสย 11.11; อสย 11.12; อสย 11.13; อสย 11.14; อสย 11.15; อสย 11.16; อสย 12.1; อสย 12.2; อสย 12.4; อสย 12.6; อสย 13.5; อสย 13.7; อสย 13.8; อสย 13.9; อสย 13.10; อสย 13.11; อสย 13.12; อสย 13.13; อสย 13.14; อสย 13.15; อสย 13.16; อสย 13.17; อสย 13.19; อสย 13.21; อสย 13.22; อสย 14.1; อสย 14.2; อสย 14.3; อสย 14.7; อสย 14.8; อสย 14.10; อสย 14.11; อสย 14.16; อสย 14.17; อสย 14.21; อสย 14.22; อสย 14.23; อสย 14.24; อสย 14.25; อสย 14.26; อสย 14.27; อสย 14.29; อสย 14.30; อสย 14.31; อสย 14.32; อสย 15.1; อสย 15.2; อสย 15.3; อสย 15.4; อสย 15.7; อสย 15.9; อสย 16.4; อสย 16.5; อสย 16.6; อสย 16.8; อสย 16.9; อสย 16.10; อสย 16.11; อสย 16.12; อสย 16.14; อสย 17.1; อสย 17.2; อสย 17.3; อสย 17.4; อสย 17.5; อสย 17.7; อสย 17.8; อสย 17.9; อสย 17.10; อสย 17.11; อสย 17.12; อสย 17.13; อสย 17.14; อสย 18.2; อสย 18.4; อสย 18.5; อสย 18.6; อสย 18.7; อสย 19.1; อสย 19.2; อสย 19.3; อสย 19.4; อสย 19.5; อสย 19.6; อสย 19.7; อสย 19.8; อสย 19.10; อสย 19.12; อสย 19.13; อสย 19.14; อสย 19.16; อสย 19.17; อสย 19.18; อสย 19.19; อสย 19.20; อสย 19.21; อสย 19.22; อสย 19.23; อสย 19.24; อสย 19.25; อสย 20.1; อสย 20.2; อสย 20.3; อสย 20.4; อสย 20.5; อสย 20.6; อสย 21.7; อสย 21.9; อสย 21.10; อสย 21.15; อสย 21.17; อสย 22.5; อสย 22.6; อสย 22.7; อสย 22.10; อสย 22.11; อสย 22.12; อสย 22.13; อสย 22.15; อสย 22.16; อสย 22.18; อสย 22.19; อสย 22.21; อสย 22.22; อสย 22.23; อสย 22.24; อสย 22.25; อสย 23.3; อสย 23.12; อสย 23.17; อสย 23.18; อสย 24.1; อสย 24.2; อสย 24.3; อสย 24.4; อสย 24.6; อสย 24.17; อสย 24.18; อสย 24.20; อสย 24.21; อสย 24.22; อสย 24.23; อสย 25.1; อสย 25.4; อสย 25.7; อสย 25.8; อสย 25.9; อสย 25.10; อสย 25.11; อสย 25.12; อสย 26.1; อสย 26.10; อสย 26.11; อสย 26.14; อสย 26.17; อสย 26.18; อสย 26.19; อสย 26.20; อสย 26.21; อสย 27.1; อสย 27.6; อสย 27.9; อสย 27.10; อสย 27.13; อสย 28.2; อสย 28.4; อสย 28.5; อสย 28.6; อสย 28.7; อสย 28.8; อสย 28.11; อสย 28.12; อสย 28.13; อสย 28.15; อสย 28.17; อสย 28.18; อสย 28.19; อสย 28.20; อสย 28.21; อสย 28.23; อสย 28.24; อสย 28.25; อสย 28.27; อสย 28.29; อสย 29.2; อสย 29.3; อสย 29.4; อสย 29.5; อสย 29.6; อสย 29.7; อสย 29.8; อสย 29.9; อสย 29.10; อสย 29.11; อสย 29.12; อสย 29.13; อสย 29.14; อสย 29.16; อสย 29.17; อสย 29.18; อสย 29.19; อสย 29.20; อสย 29.21; อสย 29.23; อสย 29.24; อสย 30.3; อสย 30.4; อสย 30.5; อสย 30.6; อสย 30.7; อสย 30.8; อสย 30.10; อสย 30.12; อสย 30.15; อสย 30.16; อสย 30.20; อสย 30.21; อสย 30.22; อสย 30.23; อสย 30.24; อสย 30.25; อสย 30.26; อสย 30.27; อสย 30.28; อสย 30.29; อสย 30.30; อสย 30.32; อสย 30.33; อสย 31.1; อสย 31.2; อสย 31.3; อสย 31.4; อสย 31.5; อสย 31.7; อสย 31.8; อสย 31.9; อสย 32.1; อสย 32.2; อสย 32.3; อสย 32.4; อสย 32.6; อสย 32.9; อสย 32.11; อสย 32.13; อสย 32.14; อสย 32.15; อสย 32.16; อสย 32.17; อสย 32.19; อสย 32.20; อสย 33.1; อสย 33.5; อสย 33.6; อสย 33.9; อสย 33.12; อสย 33.15; อสย 33.21; อสย 33.23; อสย 34.1; อสย 34.2; อสย 34.3; อสย 34.4; อสย 34.5; อสย 34.6; อสย 34.7; อสย 34.9; อสย 34.10; อสย 34.11; อสย 34.12; อสย 34.13; อสย 34.14; อสย 34.15; อสย 34.16; อสย 35.1; อสย 35.2; อสย 35.3; อสย 35.4; อสย 35.6; อสย 35.7; อสย 35.8; อสย 35.10; อสย 36.1; อสย 36.2; อสย 36.3; อสย 36.4; อสย 36.5; อสย 36.7; อสย 36.9; อสย 36.10; อสย 36.11; อสย 36.12; อสย 36.16; อสย 36.17; อสย 36.19; อสย 36.22; อสย 37.1; อสย 37.2; อสย 37.3; อสย 37.4; อสย 37.7; อสย 37.8; อสย 37.9; อสย 37.12; อสย 37.13; อสย 37.14; อสย 37.15; อสย 37.16; อสย 37.17; อสย 37.18; อสย 37.19; อสย 37.22; อสย 37.23; อสย 37.24; อสย 37.25; อสย 37.27; อสย 37.28; อสย 37.29; อสย 37.30; อสย 37.31; อสย 37.32; อสย 37.35; อสย 37.36; อสย 37.37; อสย 37.38; อสย 38.1; อสย 38.2; อสย 38.3; อสย 38.6; อสย 38.9; อสย 38.12; อสย 38.13; อสย 38.15; อสย 38.16; อสย 38.20; อสย 38.21; อสย 39.1; อสย 39.2; อสย 39.3; อสย 39.4; อสย 39.6; อสย 39.7; อสย 39.8; อสย 40.2; อสย 40.4; อสย 40.5; อสย 40.6; อสย 40.10; อสย 40.11; อสย 40.12; อสย 40.14; อสย 40.15; อสย 40.16; อสย 40.17; อสย 40.19; อสย 40.22; อสย 40.23; อสย 40.24; อสย 40.26; อสย 40.27; อสย 40.29; อสย 40.30; อสย 40.31; อสย 41.2; อสย 41.3; อสย 41.4; อสย 41.6; อสย 41.7; อสย 41.9; อสย 41.11; อสย 41.12; อสย 41.15; อสย 41.16; อสย 41.17; อสย 41.18; อสย 41.19; อสย 41.20; อสย 41.22; อสย 41.23; อสย 41.24; อสย 41.25; อสย 41.26; อสย 41.27; อสย 41.29; อสย 42.3; อสย 42.4; อสย 42.5; อสย 42.6; อสย 42.9; อสย 42.10; อสย 42.11; อสย 42.12; อสย 42.14; อสย 42.15; อสย 42.16; อสย 42.17; อสย 42.18; อสย 42.21; อสย 42.22; อสย 42.24; อสย 42.25; อสย 43.2; อสย 43.3; อสย 43.4; อสย 43.5; อสย 43.6; อสย 43.9; อสย 43.10; อสย 43.11; อสย 43.12; อสย 43.14; อสย 43.17; อสย 43.19; อสย 43.20; อสย 43.25; อสย 43.27; อสย 43.28; อสย 44.2; อสย 44.3; อสย 44.5; อสย 44.6; อสย 44.7; อสย 44.8; อสย 44.9; อสย 44.11; อสย 44.12; อสย 44.13; อสย 44.14; อสย 44.15; อสย 44.16; อสย 44.17; อสย 44.18; อสย 44.19; อสย 44.21; อสย 44.22; อสย 44.23; อสย 44.25; อสย 44.26; อสย 44.28; อสย 45.1; อสย 45.2; อสย 45.3; อสย 45.4; อสย 45.5; อสย 45.6; อสย 45.7; อสย 45.8; อสย 45.11; อสย 45.12; อสย 45.13; อสย 45.14; อสย 45.16; อสย 45.18; อสย 45.20; อสย 45.21; อสย 45.22; อสย 45.23; อสย 45.24; อสย 45.25; อสย 46.1; อสย 46.2; อสย 46.4; อสย 46.5; อสย 46.6; อสย 46.8; อสย 46.9; อสย 46.10; อสย 46.11; อสย 46.13; อสย 47.3; อสย 47.5; อสย 47.8; อสย 47.9; อสย 47.10; อสย 47.11; อสย 47.12; อสย 47.13; อสย 48.1; อสย 48.2; อสย 48.3; อสย 48.4; อสย 48.5; อสย 48.6; อสย 48.8; อสย 48.12; อสย 48.13; อสย 48.14; อสย 48.15; อสย 48.16; อสย 48.18; อสย 48.19; อสย 48.21; อสย 49.3; อสย 49.4; อสย 49.5; อสย 49.7; อสย 49.8; อสย 49.9; อสย 49.10; อสย 49.11; อสย 49.12; อสย 49.13; อสย 49.15; อสย 49.17; อสย 49.19; อสย 49.21; อสย 49.22; อสย 49.23; อสย 49.25; อสย 49.26; อสย 50.1; อสย 50.2; อสย 50.3; อสย 50.5; อสย 50.6; อสย 50.7; อสย 50.10; อสย 50.11; อสย 51.1; อสย 51.2; อสย 51.3; อสย 51.4; อสย 51.5; อสย 51.6; อสย 51.7; อสย 51.8; อสย 51.9; อสย 51.11; อสย 51.13; อสย 51.15; อสย 51.16; อสย 51.17; อสย 51.19; อสย 51.20; อสย 51.23; อสย 52.1; อสย 52.2; อสย 52.3; อสย 52.4; อสย 52.5; อสย 52.10; อสย 52.12; อสย 52.13; อสย 52.14; อสย 52.15; อสย 53.2; อสย 53.3; อสย 53.4; อสย 53.6; อสย 53.7; อสย 53.8; อสย 53.9; อสย 53.11; อสย 53.12; อสย 54.1; อสย 54.2; อสย 54.3; อสย 54.4; อสย 54.5; อสย 54.6; อสย 54.9; อสย 54.10; อสย 54.11; อสย 54.12; อสย 54.13; อสย 54.14; อสย 54.16; อสย 54.17; อสย 55.1; อสย 55.2; อสย 55.3; อสย 55.4; อสย 55.5; อสย 55.7; อสย 55.9; อสย 55.10; อสย 55.11; อสย 55.12; อสย 55.13; อสย 56.1; อสย 56.2; อสย 56.3; อสย 56.4; อสย 56.5; อสย 56.6; อสย 56.7; อสย 56.12; อสย 57.1; อสย 57.3; อสย 57.6; อสย 57.7; อสย 57.8; อสย 57.9; อสย 57.10; อสย 57.11; อสย 57.12; อสย 57.13; อสย 57.14; อสย 57.15; อสย 57.17; อสย 57.18; อสย 57.19; อสย 57.20; อสย 58.2; อสย 58.3; อสย 58.4; อสย 58.5; อสย 58.6; อสย 58.7; อสย 58.8; อสย 58.9; อสย 58.10; อสย 58.11; อสย 58.12; อสย 58.13; อสย 58.14; อสย 59.2; อสย 59.3; อสย 59.4; อสย 59.6; อสย 59.7; อสย 59.9; อสย 59.11; อสย 59.12; อสย 59.13; อสย 59.14; อสย 59.15; อสย 59.16; อสย 59.17; อสย 59.18; อสย 59.19; อสย 59.20; อสย 59.21; อสย 60.1; อสย 60.2; อสย 60.3; อสย 60.4; อสย 60.5; อสย 60.6; อสย 60.7; อสย 60.8; อสย 60.9; อสย 60.10; อสย 60.11; อสย 60.12; อสย 60.13; อสย 60.14; อสย 60.15; อสย 60.16; อสย 60.17; อสย 60.18; อสย 60.19; อสย 60.20; อสย 60.21; อสย 60.22; อสย 61.1; อสย 61.2; อสย 61.5; อสย 61.6; อสย 61.8; อสย 61.9; อสย 61.10; อสย 61.11; อสย 62.1; อสย 62.2; อสย 62.3; อสย 62.4; อสย 62.5; อสย 62.6; อสย 62.7; อสย 62.8; อสย 62.9; อสย 62.11; อสย 62.12; อสย 63.1; อสย 63.2; อสย 63.3; อสย 63.4; อสย 63.5; อสย 63.6; อสย 63.7; อสย 63.8; อสย 63.9; อสย 63.10; อสย 63.15; อสย 63.16; อสย 63.17; อสย 64.2; อสย 64.5; อสย 64.6; อสย 64.7; อสย 64.8; อสย 64.9; อสย 64.11; อสย 64.12; อสย 65.3; อสย 65.4; อสย 65.7; อสย 65.8; อสย 65.9; อสย 65.10; อสย 65.11; อสย 65.12; อสย 65.14; อสย 65.15; อสย 65.16; อสย 65.17; อสย 65.18; อสย 65.19; อสย 65.20; อสย 65.21; อสย 65.22; อสย 65.24; อสย 65.25; อสย 66.1; อสย 66.2; อสย 66.3; อสย 66.4; อสย 66.5; อสย 66.10; อสย 66.11; อสย 66.12; อสย 66.13; อสย 66.14; อสย 66.15; อสย 66.16; อสย 66.17; อสย 66.18; อสย 66.19; อสย 66.20; อสย 66.21; อสย 66.22; อสย 66.23; อสย 66.24; ยรม 1.3; ยรม 1.5; ยรม 1.7; ยรม 1.9; ยรม 1.10; ยรม 1.15; ยรม 1.16; ยรม 1.17; ยรม 1.18; ยรม 2.4; ยรม 2.5; ยรม 2.6; ยรม 2.7; ยรม 2.8; ยรม 2.10; ยรม 2.12; ยรม 2.15; ยรม 2.16; ยรม 2.19; ยรม 2.20; ยรม 2.22; ยรม 2.25; ยรม 2.26; ยรม 2.27; ยรม 3.1; ยรม 3.2; ยรม 3.3; ยรม 3.6; ยรม 3.7; ยรม 3.8; ยรม 3.13; ยรม 3.14; ยรม 3.15; ยรม 3.16; ยรม 3.17; ยรม 3.19; ยรม 3.21; ยรม 3.23; ยรม 3.24; ยรม 3.25; ยรม 4.2; ยรม 4.3; ยรม 4.4; ยรม 4.5; ยรม 4.6; ยรม 4.7; ยรม 4.8; ยรม 4.9; ยรม 4.10; ยรม 4.11; ยรม 4.15; ยรม 4.18; ยรม 4.21; ยรม 4.23; ยรม 4.25; ยรม 4.26; ยรม 4.28; ยรม 4.29; ยรม 4.30; ยรม 5.1; ยรม 5.5; ยรม 5.7; ยรม 5.9; ยรม 5.10; ยรม 5.11; ยรม 5.12; ยรม 5.14; ยรม 5.17; ยรม 5.19; ยรม 5.20; ยรม 5.21; ยรม 5.23; ยรม 5.24; ยรม 5.25; ยรม 5.27; ยรม 5.29; ยรม 5.30; ยรม 5.31; ยรม 6.1; ยรม 6.2; ยรม 6.5; ยรม 6.7; ยรม 6.10; ยรม 6.11; ยรม 6.12; ยรม 6.13; ยรม 6.16; ยรม 6.21; ยรม 6.23; ยรม 6.25; ยรม 6.26; ยรม 6.27; ยรม 6.28; ยรม 7.2; ยรม 7.3; ยรม 7.5; ยรม 7.6; ยรม 7.9; ยรม 7.10; ยรม 7.13; ยรม 7.14; ยรม 7.15; ยรม 7.16; ยรม 7.17; ยรม 7.18; ยรม 7.20; ยรม 7.21; ยรม 7.22; ยรม 7.23; ยรม 7.24; ยรม 7.28; ยรม 7.29; ยรม 7.31; ยรม 7.33; ยรม 7.34; ยรม 8.1; ยรม 8.2; ยรม 8.6; ยรม 8.7; ยรม 8.8; ยรม 8.9; ยรม 8.13; ยรม 8.14; ยรม 8.16; ยรม 8.17; ยรม 8.19; ยรม 8.20; ยรม 8.21; ยรม 9.1; ยรม 9.2; ยรม 9.3; ยรม 9.4; ยรม 9.7; ยรม 9.10; ยรม 9.11; ยรม 9.12; ยรม 9.13; ยรม 9.14; ยรม 9.15; ยรม 9.16; ยรม 9.17; ยรม 9.18; ยรม 9.20; ยรม 9.21; ยรม 9.22; ยรม 9.24; ยรม 9.26; ยรม 10.4; ยรม 10.6; ยรม 10.7; ยรม 10.8; ยรม 10.9; ยรม 10.10; ยรม 10.11; ยรม 10.12; ยรม 10.13; ยรม 10.14; ยรม 10.15; ยรม 10.16; ยรม 10.18; ยรม 10.19; ยรม 10.20; ยรม 10.21; ยรม 10.22; ยรม 10.25; ยรม 11.2; ยรม 11.4; ยรม 11.5; ยรม 11.6; ยรม 11.9; ยรม 11.10; ยรม 11.12; ยรม 11.13; ยรม 11.15; ยรม 11.16; ยรม 11.17; ยรม 11.18; ยรม 11.20; ยรม 11.21; ยรม 11.22; ยรม 12.2; ยรม 12.3; ยรม 12.4; ยรม 12.5; ยรม 12.6; ยรม 12.14; ยรม 12.15; ยรม 12.16; ยรม 12.17; ยรม 13.1; ยรม 13.2; ยรม 13.3; ยรม 13.4; ยรม 13.5; ยรม 13.6; ยรม 13.7; ยรม 13.9; ยรม 13.10; ยรม 13.11; ยรม 13.12; ยรม 13.13; ยรม 13.14; ยรม 13.15; ยรม 13.16; ยรม 13.17; ยรม 13.18; ยรม 13.21; ยรม 13.22; ยรม 13.25; ยรม 13.27; ยรม 14.2; ยรม 14.3; ยรม 14.10; ยรม 14.12; ยรม 14.14; ยรม 14.15; ยรม 14.16; ยรม 14.17; ยรม 14.18; ยรม 14.20; ยรม 14.21; ยรม 15.1; ยรม 15.2; ยรม 15.3; ยรม 15.4; ยรม 15.6; ยรม 15.9; ยรม 15.10; ยรม 15.11; ยรม 15.12; ยรม 15.13; ยรม 15.15; ยรม 15.16; ยรม 15.19; ยรม 15.20; ยรม 15.21; ยรม 16.3; ยรม 16.4; ยรม 16.5; ยรม 16.8; ยรม 16.9; ยรม 16.10; ยรม 16.11; ยรม 16.12; ยรม 16.13; ยรม 16.15; ยรม 16.16; ยรม 16.17; ยรม 16.18; ยรม 16.19; ยรม 16.21; ยรม 17.1; ยรม 17.2; ยรม 17.3; ยรม 17.4; ยรม 17.5; ยรม 17.6; ยรม 17.8; ยรม 17.10; ยรม 17.11; ยรม 17.19; ยรม 17.20; ยรม 17.22; ยรม 17.23; ยรม 17.24; ยรม 17.25; ยรม 17.26; ยรม 17.27; ยรม 18.3; ยรม 18.4; ยรม 18.7; ยรม 18.8; ยรม 18.9; ยรม 18.10; ยรม 18.11; ยรม 18.12; ยรม 18.15; ยรม 18.16; ยรม 18.18; ยรม 18.21; ยรม 18.22; ยรม 19.1; ยรม 19.2; ยรม 19.3; ยรม 19.4; ยรม 19.5; ยรม 19.7; ยรม 19.8; ยรม 19.9; ยรม 19.11; ยรม 19.12; ยรม 19.13; ยรม 19.14; ยรม 19.15; ยรม 20.2; ยรม 20.4; ยรม 20.5; ยรม 20.6; ยรม 20.7; ยรม 20.8; ยรม 20.9; ยรม 20.10; ยรม 20.12; ยรม 20.16; ยรม 20.17; ยรม 20.18; ยรม 21.1; ยรม 21.2; ยรม 21.4; ยรม 21.5; ยรม 21.6; ยรม 21.7; ยรม 21.8; ยรม 21.9; ยรม 21.10; ยรม 21.12; ยรม 21.14; ยรม 22.1; ยรม 22.2; ยรม 22.3; ยรม 22.4; ยรม 22.7; ยรม 22.8; ยรม 22.9; ยรม 22.11; ยรม 22.12; ยรม 22.13; ยรม 22.14; ยรม 22.15; ยรม 22.16; ยรม 22.17; ยรม 22.20; ยรม 22.22; ยรม 22.25; ยรม 22.26; ยรม 22.28; ยรม 22.30; ยรม 23.1; ยรม 23.2; ยรม 23.3; ยรม 23.4; ยรม 23.5; ยรม 23.6; ยรม 23.8; ยรม 23.9; ยรม 23.10; ยรม 23.11; ยรม 23.12; ยรม 23.13; ยรม 23.14; ยรม 23.15; ยรม 23.17; ยรม 23.18; ยรม 23.20; ยรม 23.22; ยรม 23.24; ยรม 23.26; ยรม 23.32; ยรม 23.34; ยรม 23.35; ยรม 23.39; ยรม 23.40; ยรม 24.1; ยรม 24.3; ยรม 24.6; ยรม 24.7; ยรม 24.8; ยรม 24.9; ยรม 24.10; ยรม 25.2; ยรม 25.3; ยรม 25.5; ยรม 25.6; ยรม 25.9; ยรม 25.10; ยรม 25.11; ยรม 25.12; ยรม 25.14; ยรม 25.15; ยรม 25.16; ยรม 25.17; ยรม 25.18; ยรม 25.19; ยรม 25.20; ยรม 25.21; ยรม 25.22; ยรม 25.23; ยรม 25.24; ยรม 25.25; ยรม 25.26; ยรม 25.27; ยรม 25.28; ยรม 25.29; ยรม 25.30; ยรม 25.32; ยรม 25.33; ยรม 25.34; ยรม 25.36; ยรม 25.37; ยรม 25.38; ยรม 26.2; ยรม 26.3; ยรม 26.5; ยรม 26.6; ยรม 26.7; ยรม 26.8; ยรม 26.9; ยรม 26.10; ยรม 26.11; ยรม 26.12; ยรม 26.13; ยรม 26.14; ยรม 26.15; ยรม 26.16; ยรม 26.17; ยรม 26.18; ยรม 26.19; ยรม 26.20; ยรม 26.21; ยรม 26.22; ยรม 26.23; ยรม 27.2; ยรม 27.3; ยรม 27.5; ยรม 27.6; ยรม 27.7; ยรม 27.8; ยรม 27.10; ยรม 27.11; ยรม 27.12; ยรม 27.13; ยรม 27.15; ยรม 27.16; ยรม 27.17; ยรม 27.18; ยรม 27.19; ยรม 27.20; ยรม 27.21; ยรม 27.22; ยรม 28.1; ยรม 28.3; ยรม 28.4; ยรม 28.5; ยรม 28.6; ยรม 28.7; ยรม 28.8; ยรม 28.10; ยรม 28.11; ยรม 28.14; ยรม 28.15; ยรม 29.1; ยรม 29.2; ยรม 29.3; ยรม 29.5; ยรม 29.6; ยรม 29.7; ยรม 29.8; ยรม 29.10; ยรม 29.12; ยรม 29.13; ยรม 29.14; ยรม 29.16; ยรม 29.17; ยรม 29.18; ยรม 29.21; ยรม 29.22; ยรม 29.23; ยรม 29.25; ยรม 29.26; ยรม 29.28; ยรม 29.31; ยรม 29.32; ยรม 30.3; ยรม 30.4; ยรม 30.5; ยรม 30.6; ยรม 30.8; ยรม 30.9; ยรม 30.10; ยรม 30.11; ยรม 30.12; ยรม 30.16; ยรม 30.17; ยรม 30.18; ยรม 30.19; ยรม 30.20; ยรม 30.21; ยรม 30.22; ยรม 30.24; ยรม 31.1; ยรม 31.4; ยรม 31.5; ยรม 31.7; ยรม 31.8; ยรม 31.9; ยรม 31.10; ยรม 31.11; ยรม 31.12; ยรม 31.13; ยรม 31.14; ยรม 31.15; ยรม 31.16; ยรม 31.18; ยรม 31.19; ยรม 31.23; ยรม 31.24; ยรม 31.25; ยรม 31.26; ยรม 31.27; ยรม 31.28; ยรม 31.29; ยรม 31.31; ยรม 31.33; ยรม 31.34; ยรม 31.35; ยรม 31.37; ยรม 31.39; ยรม 31.40; ยรม 32.2; ยรม 32.3; ยรม 32.4; ยรม 32.5; ยรม 32.7; ยรม 32.8; ยรม 32.9; ยรม 32.10; ยรม 32.11; ยรม 32.12; ยรม 32.14; ยรม 32.15; ยรม 32.17; ยรม 32.18; ยรม 32.19; ยรม 32.20; ยรม 32.21; ยรม 32.22; ยรม 32.23; ยรม 32.24; ยรม 32.25; ยรม 32.28; ยรม 32.29; ยรม 32.30; ยรม 32.31; ยรม 32.32; ยรม 32.35; ยรม 32.36; ยรม 32.37; ยรม 32.38; ยรม 32.39; ยรม 32.40; ยรม 32.41; ยรม 32.43; ยรม 32.44; ยรม 33.3; ยรม 33.4; ยรม 33.5; ยรม 33.6; ยรม 33.7; ยรม 33.8; ยรม 33.9; ยรม 33.10; ยรม 33.11; ยรม 33.12; ยรม 33.14; ยรม 33.15; ยรม 33.16; ยรม 33.18; ยรม 33.20; ยรม 33.21; ยรม 33.22; ยรม 33.25; ยรม 33.26; ยรม 34.1; ยรม 34.2; ยรม 34.3; ยรม 34.5; ยรม 34.7; ยรม 34.9; ยรม 34.10; ยรม 34.11; ยรม 34.14; ยรม 34.15; ยรม 34.16; ยรม 34.17; ยรม 34.18; ยรม 34.19; ยรม 34.20; ยรม 34.21; ยรม 34.22; ยรม 35.2; ยรม 35.3; ยรม 35.5; ยรม 35.6; ยรม 35.7; ยรม 35.9; ยรม 35.10; ยรม 35.11; ยรม 35.13; ยรม 35.14; ยรม 35.15; ยรม 35.17; ยรม 35.18; ยรม 36.2; ยรม 36.3; ยรม 36.5; ยรม 36.6; ยรม 36.7; ยรม 36.8; ยรม 36.9; ยรม 36.12; ยรม 36.13; ยรม 36.15; ยรม 36.19; ยรม 36.21; ยรม 36.22; ยรม 36.23; ยรม 36.25; ยรม 36.26; ยรม 36.28; ยรม 36.29; ยรม 36.30; ยรม 36.31; ยรม 36.32; ยรม 37.3; ยรม 37.5; ยรม 37.8; ยรม 37.10; ยรม 37.14; ยรม 37.15; ยรม 37.16; ยรม 37.21; ยรม 38.1; ยรม 38.2; ยรม 38.3; ยรม 38.4; ยรม 38.6; ยรม 38.8; ยรม 38.11; ยรม 38.12; ยรม 38.13; ยรม 38.15; ยรม 38.17; ยรม 38.18; ยรม 38.19; ยรม 38.20; ยรม 38.22; ยรม 38.23; ยรม 38.24; ยรม 38.25; ยรม 38.27; ยรม 38.28; ยรม 39.1; ยรม 39.3; ยรม 39.4; ยรม 39.5; ยรม 39.6; ยรม 39.8; ยรม 39.9; ยรม 39.10; ยรม 39.12; ยรม 39.13; ยรม 39.16; ยรม 39.17; ยรม 39.18; ยรม 40.1; ยรม 40.3; ยรม 40.5; ยรม 40.6; ยรม 40.7; ยรม 40.8; ยรม 40.9; ยรม 40.10; ยรม 40.11; ยรม 40.12; ยรม 40.13; ยรม 40.14; ยรม 40.15; ยรม 41.3; ยรม 41.5; ยรม 41.6; ยรม 41.7; ยรม 41.8; ยรม 41.10; ยรม 41.11; ยรม 41.13; ยรม 41.14; ยรม 41.16; ยรม 41.17; ยรม 42.1; ยรม 42.2; ยรม 42.3; ยรม 42.4; ยรม 42.5; ยรม 42.8; ยรม 42.9; ยรม 42.10; ยรม 42.11; ยรม 42.12; ยรม 42.14; ยรม 42.15; ยรม 42.16; ยรม 42.18; ยรม 42.20; ยรม 42.21; ยรม 42.22; ยรม 43.2; ยรม 43.4; ยรม 43.5; ยรม 43.6; ยรม 43.7; ยรม 43.10; ยรม 43.11; ยรม 43.12; ยรม 43.13; ยรม 44.1; ยรม 44.2; ยรม 44.3; ยรม 44.4; ยรม 44.5; ยรม 44.6; ยรม 44.7; ยรม 44.8; ยรม 44.9; ยรม 44.10; ยรม 44.11; ยรม 44.12; ยรม 44.13; ยรม 44.15; ยรม 44.17; ยรม 44.18; ยรม 44.19; ยรม 44.20; ยรม 44.21; ยรม 44.22; ยรม 44.23; ยรม 44.24; ยรม 44.25; ยรม 44.27; ยรม 44.28; ยรม 44.30; ยรม 45.4; ยรม 45.5; ยรม 46.2; ยรม 46.3; ยรม 46.5; ยรม 46.6; ยรม 46.8; ยรม 46.9; ยรม 46.10; ยรม 46.11; ยรม 46.12; ยรม 46.14; ยรม 46.16; ยรม 46.18; ยรม 46.19; ยรม 46.21; ยรม 46.22; ยรม 46.25; ยรม 46.26; ยรม 46.27; ยรม 47.2; ยรม 47.3; ยรม 47.4; ยรม 47.5; ยรม 47.6; ยรม 47.7; ยรม 48.1; ยรม 48.3; ยรม 48.7; ยรม 48.8; ยรม 48.11; ยรม 48.12; ยรม 48.14; ยรม 48.15; ยรม 48.16; ยรม 48.17; ยรม 48.18; ยรม 48.19; ยรม 48.20; ยรม 48.21; ยรม 48.22; ยรม 48.23; ยรม 48.24; ยรม 48.25; ยรม 48.26; ยรม 48.29; ยรม 48.32; ยรม 48.33; ยรม 48.34; ยรม 48.35; ยรม 48.36; ยรม 48.37; ยรม 48.38; ยรม 48.39; ยรม 48.40; ยรม 48.41; ยรม 48.42; ยรม 48.43; ยรม 48.44; ยรม 48.45; ยรม 48.46; ยรม 49.1; ยรม 49.2; ยรม 49.3; ยรม 49.5; ยรม 49.10; ยรม 49.11; ยรม 49.13; ยรม 49.14; ยรม 49.17; ยรม 49.18; ยรม 49.19; ยรม 49.20; ยรม 49.22; ยรม 49.23; ยรม 49.24; ยรม 49.26; ยรม 49.27; ยรม 49.28; ยรม 49.29; ยรม 49.30; ยรม 49.31; ยรม 49.32; ยรม 49.36; ยรม 49.37; ยรม 49.38; ยรม 50.2; ยรม 50.3; ยรม 50.4; ยรม 50.7; ยรม 50.8; ยรม 50.9; ยรม 50.11; ยรม 50.12; ยรม 50.13; ยรม 50.16; ยรม 50.18; ยรม 50.19; ยรม 50.20; ยรม 50.21; ยรม 50.22; ยรม 50.23; ยรม 50.24; ยรม 50.25; ยรม 50.26; ยรม 50.28; ยรม 50.30; ยรม 50.32; ยรม 50.33; ยรม 50.35; ยรม 50.37; ยรม 50.38; ยรม 50.39; ยรม 50.40; ยรม 50.41; ยรม 50.42; ยรม 50.43; ยรม 50.44; ยรม 50.45; ยรม 50.46; ยรม 51.1; ยรม 51.2; ยรม 51.4; ยรม 51.5; ยรม 51.8; ยรม 51.9; ยรม 51.12; ยรม 51.14; ยรม 51.15; ยรม 51.16; ยรม 51.17; ยรม 51.18; ยรม 51.19; ยรม 51.20; ยรม 51.21; ยรม 51.22; ยรม 51.23; ยรม 51.24; ยรม 51.25; ยรม 51.26; ยรม 51.27; ยรม 51.28; ยรม 51.29; ยรม 51.30; ยรม 51.32; ยรม 51.35; ยรม 51.36; ยรม 51.37; ยรม 51.39; ยรม 51.40; ยรม 51.43; ยรม 51.44; ยรม 51.46; ยรม 51.47; ยรม 51.48; ยรม 51.50; ยรม 51.52; ยรม 51.53; ยรม 51.54; ยรม 51.55; ยรม 51.57; ยรม 51.58; ยรม 51.61; ยรม 51.62; ยรม 51.63; ยรม 51.64; ยรม 52.1; ยรม 52.2; ยรม 52.3; ยรม 52.4; ยรม 52.7; ยรม 52.8; ยรม 52.9; ยรม 52.10; ยรม 52.11; ยรม 52.13; ยรม 52.14; ยรม 52.15; ยรม 52.16; ยรม 52.17; ยรม 52.18; ยรม 52.19; ยรม 52.20; ยรม 52.21; ยรม 52.22; ยรม 52.24; ยรม 52.25; ยรม 52.26; ยรม 52.27; ยรม 52.31; ยรม 52.32; ยรม 52.33; พคค 1.2; พคค 1.4; พคค 1.6; พคค 1.7; พคค 1.8; พคค 1.9; พคค 1.11; พคค 1.13; พคค 1.18; พคค 1.19; พคค 1.21; พคค 1.22; พคค 2.2; พคค 2.3; พคค 2.4; พคค 2.5; พคค 2.6; พคค 2.8; พคค 2.9; พคค 2.10; พคค 2.11; พคค 2.12; พคค 2.14; พคค 2.15; พคค 2.16; พคค 2.18; พคค 2.20; พคค 2.21; พคค 2.22; พคค 3.2; พคค 3.4; พคค 3.5; พคค 3.8; พคค 3.10; พคค 3.11; พคค 3.12; พคค 3.16; พคค 3.18; พคค 3.19; พคค 3.20; พคค 3.25; พคค 3.26; พคค 3.37; พคค 3.38; พคค 3.40; พคค 3.41; พคค 3.42; พคค 3.43; พคค 3.45; พคค 3.47; พคค 3.49; พคค 3.53; พคค 3.56; พคค 3.60; พคค 3.61; พคค 3.62; พคค 3.66; พคค 4.1; พคค 4.7; พคค 4.8; พคค 4.11; พคค 4.12; พคค 4.13; พคค 4.14; พคค 4.21; พคค 5.1; พคค 5.3; พคค 5.5; พคค 5.6; พคค 5.7; พคค 5.11; พคค 5.13; พคค 5.22; อสค 1.1; อสค 1.4; อสค 1.5; อสค 1.6; อสค 1.7; อสค 1.8; อสค 1.13; อสค 1.16; อสค 1.18; อสค 1.20; อสค 1.23; อสค 1.24; อสค 1.25; อสค 1.26; อสค 1.27; อสค 1.28; อสค 2.2; อสค 2.3; อสค 2.4; อสค 2.6; อสค 2.7; อสค 2.8; อสค 2.9; อสค 2.10; อสค 3.1; อสค 3.2; อสค 3.3; อสค 3.4; อสค 3.5; อสค 3.6; อสค 3.7; อสค 3.8; อสค 3.10; อสค 3.11; อสค 3.12; อสค 3.13; อสค 3.14; อสค 3.15; อสค 3.18; อสค 3.19; อสค 3.20; อสค 3.21; อสค 3.22; อสค 3.23; อสค 3.24; อสค 3.25; อสค 3.26; อสค 3.27; อสค 4.1; อสค 4.2; อสค 4.3; อสค 4.4; อสค 4.6; อสค 4.7; อสค 4.8; อสค 4.9; อสค 4.10; อสค 4.11; อสค 4.12; อสค 4.13; อสค 4.16; อสค 4.17; อสค 5.1; อสค 5.2; อสค 5.3; อสค 5.4; อสค 5.5; อสค 5.6; อสค 5.7; อสค 5.9; อสค 5.10; อสค 5.11; อสค 5.12; อสค 5.13; อสค 5.14; อสค 5.15; อสค 5.16; อสค 5.17; อสค 6.2; อสค 6.3; อสค 6.4; อสค 6.5; อสค 6.6; อสค 6.7; อสค 6.9; อสค 6.11; อสค 6.12; อสค 6.13; อสค 6.14; อสค 7.3; อสค 7.4; อสค 7.7; อสค 7.8; อสค 7.9; อสค 7.13; อสค 7.14; อสค 7.15; อสค 7.17; อสค 7.18; อสค 7.19; อสค 7.20; อสค 7.21; อสค 7.22; อสค 7.23; อสค 7.24; อสค 7.26; อสค 7.27; อสค 8.1; อสค 8.2; อสค 8.3; อสค 8.5; อสค 8.6; อสค 8.7; อสค 8.8; อสค 8.9; อสค 8.10; อสค 8.11; อสค 8.14; อสค 8.16; อสค 8.17; อสค 8.18; อสค 9.2; อสค 9.3; อสค 9.4; อสค 9.5; อสค 9.6; อสค 9.7; อสค 9.9; อสค 9.10; อสค 9.11; อสค 10.2; อสค 10.3; อสค 10.4; อสค 10.5; อสค 10.6; อสค 10.7; อสค 10.9; อสค 10.12; อสค 10.14; อสค 10.15; อสค 10.16; อสค 10.19; อสค 10.20; อสค 10.21; อสค 11.1; อสค 11.2; อสค 11.3; อสค 11.5; อสค 11.6; อสค 11.7; อสค 11.8; อสค 11.9; อสค 11.10; อสค 11.12; อสค 11.17; อสค 11.18; อสค 11.19; อสค 11.20; อสค 11.21; อสค 11.22; อสค 11.24; อสค 12.3; อสค 12.10; อสค 12.12; อสค 12.13; อสค 12.14; อสค 12.15; อสค 12.16; อสค 12.18; อสค 12.19; อสค 12.20; อสค 12.22; อสค 12.23; อสค 12.25; อสค 12.27; อสค 13.2; อสค 13.3; อสค 13.5; อสค 13.6; อสค 13.7; อสค 13.8; อสค 13.9; อสค 13.10; อสค 13.11; อสค 13.13; อสค 13.14; อสค 13.15; อสค 13.16; อสค 13.18; อสค 13.19; อสค 13.20; อสค 13.21; อสค 13.22; อสค 14.1; อสค 14.2; อสค 14.3; อสค 14.4; อสค 14.6; อสค 14.7; อสค 14.8; อสค 14.9; อสค 14.10; อสค 14.11; อสค 14.12; อสค 14.13; อสค 14.14; อสค 14.15; อสค 14.17; อสค 14.19; อสค 14.20; อสค 14.21; อสค 14.22; อสค 14.23; อสค 15.2; อสค 15.7; อสค 16.3; อสค 16.4; อสค 16.5; อสค 16.6; อสค 16.7; อสค 16.8; อสค 16.9; อสค 16.10; อสค 16.11; อสค 16.12; อสค 16.13; อสค 16.15; อสค 16.16; อสค 16.17; อสค 16.18; อสค 16.19; อสค 16.20; อสค 16.22; อสค 16.25; อสค 16.27; อสค 16.31; อสค 16.34; อสค 16.36; อสค 16.37; อสค 16.38; อสค 16.39; อสค 16.40; อสค 16.41; อสค 16.42; อสค 16.45; อสค 16.46; อสค 16.48; อสค 16.49; อสค 16.50; อสค 16.51; อสค 16.52; อสค 16.53; อสค 16.54; อสค 16.55; อสค 16.57; อสค 16.58; อสค 16.59; อสค 16.60; อสค 16.61; อสค 16.62; อสค 16.63; อสค 17.2; อสค 17.3; อสค 17.4; อสค 17.6; อสค 17.7; อสค 17.8; อสค 17.9; อสค 17.12; อสค 17.13; อสค 17.14; อสค 17.15; อสค 17.16; อสค 17.17; อสค 17.18; อสค 17.19; อสค 17.20; อสค 17.21; อสค 17.22; อสค 17.23; อสค 17.24; อสค 18.2; อสค 18.5; อสค 18.7; อสค 18.9; อสค 18.12; อสค 18.13; อสค 18.14; อสค 18.16; อสค 18.17; อสค 18.19; อสค 18.20; อสค 18.21; อสค 18.23; อสค 18.24; อสค 18.26; อสค 18.27; อสค 18.28; อสค 18.30; อสค 18.31; อสค 18.32; อสค 19.3; อสค 19.5; อสค 19.6; อสค 19.7; อสค 19.9; อสค 19.10; อสค 19.12; อสค 19.14; อสค 20.1; อสค 20.3; อสค 20.5; อสค 20.6; อสค 20.7; อสค 20.8; อสค 20.10; อสค 20.11; อสค 20.12; อสค 20.13; อสค 20.15; อสค 20.16; อสค 20.17; อสค 20.19; อสค 20.20; อสค 20.21; อสค 20.22; อสค 20.23; อสค 20.24; อสค 20.25; อสค 20.26; อสค 20.27; อสค 20.28; อสค 20.29; อสค 20.30; อสค 20.31; อสค 20.32; อสค 20.33; อสค 20.34; อสค 20.35; อสค 20.37; อสค 20.39; อสค 20.40; อสค 20.41; อสค 20.42; อสค 20.43; อสค 20.45; อสค 20.46; อสค 20.47; อสค 21.2; อสค 21.3; อสค 21.4; อสค 21.5; อสค 21.6; อสค 21.7; อสค 21.9; อสค 21.11; อสค 21.12; อสค 21.13; อสค 21.14; อสค 21.15; อสค 21.17; อสค 21.19; อสค 21.20; อสค 21.21; อสค 21.22; อสค 21.23; อสค 21.25; อสค 21.26; อสค 21.27; อสค 21.28; อสค 21.31; อสค 22.3; อสค 22.4; อสค 22.5; อสค 22.7; อสค 22.8; อสค 22.9; อสค 22.11; อสค 22.12; อสค 22.13; อสค 22.14; อสค 22.15; อสค 22.16; อสค 22.17; อสค 22.18; อสค 22.20; อสค 22.21; อสค 22.22; อสค 22.23; อสค 22.25; อสค 22.26; อสค 22.28; อสค 22.29; อสค 22.30; อสค 23.3; อสค 23.4; อสค 23.6; อสค 23.7; อสค 23.8; อสค 23.10; อสค 23.11; อสค 23.12; อสค 23.13; อสค 23.16; อสค 23.17; อสค 23.18; อสค 23.20; อสค 23.21; อสค 23.22; อสค 23.23; อสค 23.24; อสค 23.25; อสค 23.26; อสค 23.27; อสค 23.29; อสค 23.30; อสค 23.32; อสค 23.33; อสค 23.34; อสค 23.35; อสค 23.36; อสค 23.37; อสค 23.38; อสค 23.39; อสค 23.40; อสค 23.41; อสค 23.42; อสค 23.43; อสค 23.45; อสค 23.46; อสค 23.47; อสค 23.48; อสค 23.49; อสค 24.3; อสค 24.4; อสค 24.6; อสค 24.8; อสค 24.10; อสค 24.11; อสค 24.14; อสค 24.17; อสค 24.18; อสค 24.21; อสค 24.22; อสค 24.23; อสค 24.25; อสค 24.27; อสค 25.2; อสค 25.3; อสค 25.4; อสค 25.5; อสค 25.6; อสค 25.7; อสค 25.8; อสค 25.9; อสค 25.11; อสค 25.12; อสค 25.13; อสค 25.14; อสค 25.15; อสค 25.16; อสค 26.3; อสค 26.4; อสค 26.5; อสค 26.6; อสค 26.7; อสค 26.8; อสค 26.9; อสค 26.10; อสค 26.11; อสค 26.12; อสค 26.13; อสค 26.16; อสค 26.17; อสค 26.19; อสค 26.20; อสค 27.3; อสค 27.8; อสค 27.9; อสค 27.10; อสค 27.12; อสค 27.13; อสค 27.14; อสค 27.15; อสค 27.16; อสค 27.17; อสค 27.18; อสค 27.19; อสค 27.21; อสค 27.22; อสค 27.23; อสค 27.24; อสค 27.25; อสค 27.27; อสค 27.29; อสค 27.30; อสค 27.31; อสค 27.32; อสค 27.33; อสค 27.34; อสค 27.36; อสค 28.2; อสค 28.4; อสค 28.5; อสค 28.7; อสค 28.8; อสค 28.12; อสค 28.13; อสค 28.14; อสค 28.16; อสค 28.19; อสค 28.21; อสค 28.22; อสค 28.23; อสค 28.24; อสค 28.25; อสค 28.26; อสค 29.2; อสค 29.3; อสค 29.4; อสค 29.5; อสค 29.7; อสค 29.8; อสค 29.9; อสค 29.10; อสค 29.11; อสค 29.12; อสค 29.14; อสค 29.15; อสค 29.16; อสค 29.18; อสค 29.19; อสค 29.21; อสค 30.2; อสค 30.4; อสค 30.5; อสค 30.6; อสค 30.7; อสค 30.8; อสค 30.9; อสค 30.11; อสค 30.12; อสค 30.13; อสค 30.14; อสค 30.15; อสค 30.16; อสค 30.17; อสค 30.18; อสค 30.21; อสค 30.22; อสค 30.23; อสค 30.24; อสค 30.26; อสค 31.1; อสค 31.2; อสค 31.3; อสค 31.4; อสค 31.5; อสค 31.10; อสค 31.12; อสค 31.13; อสค 31.14; อสค 31.15; อสค 31.16; อสค 31.18; อสค 32.2; อสค 32.3; อสค 32.4; อสค 32.5; อสค 32.6; อสค 32.7; อสค 32.8; อสค 32.10; อสค 32.12; อสค 32.13; อสค 32.14; อสค 32.15; อสค 32.16; อสค 32.18; อสค 32.22; อสค 32.23; อสค 32.24; อสค 32.25; อสค 32.27; อสค 32.28; อสค 32.29; อสค 32.30; อสค 32.31; อสค 32.32; อสค 33.2; อสค 33.3; อสค 33.4; อสค 33.6; อสค 33.10; อสค 33.11; อสค 33.12; อสค 33.13; อสค 33.14; อสค 33.15; อสค 33.16; อสค 33.18; อสค 33.19; อสค 33.21; อสค 33.22; อสค 33.24; อสค 33.25; อสค 33.26; อสค 33.27; อสค 33.28; อสค 33.30; อสค 33.31; อสค 33.32; อสค 33.33; อสค 34.2; อสค 34.4; อสค 34.5; อสค 34.6; อสค 34.8; อสค 34.10; อสค 34.11; อสค 34.12; อสค 34.13; อสค 34.14; อสค 34.16; อสค 34.18; อสค 34.19; อสค 34.21; อสค 34.22; อสค 34.23; อสค 34.24; อสค 34.25; อสค 34.26; อสค 34.27; อสค 34.28; อสค 34.29; อสค 34.30; อสค 34.31; อสค 35.2; อสค 35.3; อสค 35.4; อสค 35.5; อสค 35.6; อสค 35.7; อสค 35.8; อสค 35.9; อสค 35.10; อสค 35.11; อสค 35.12; อสค 35.13; อสค 36.3; อสค 36.4; อสค 36.5; อสค 36.6; อสค 36.8; อสค 36.9; อสค 36.10; อสค 36.11; อสค 36.12; อสค 36.13; อสค 36.14; อสค 36.15; อสค 36.17; อสค 36.19; อสค 36.23; อสค 36.24; อสค 36.25; อสค 36.26; อสค 36.27; อสค 36.28; อสค 36.29; อสค 36.30; อสค 36.31; อสค 36.32; อสค 36.33; อสค 36.35; อสค 36.36; อสค 36.38; อสค 37.1; อสค 37.2; อสค 37.3; อสค 37.4; อสค 37.5; อสค 37.6; อสค 37.7; อสค 37.8; อสค 37.10; อสค 37.11; อสค 37.12; อสค 37.13; อสค 37.14; อสค 37.16; อสค 37.18; อสค 37.19; อสค 37.20; อสค 37.21; อสค 37.22; อสค 37.23; อสค 37.24; อสค 37.25; อสค 37.26; อสค 37.27; อสค 38.2; อสค 38.3; อสค 38.4; อสค 38.5; อสค 38.6; อสค 38.7; อสค 38.9; อสค 38.10; อสค 38.11; อสค 38.12; อสค 38.13; อสค 38.14; อสค 38.15; อสค 38.19; อสค 38.20; อสค 38.21; อสค 38.22; อสค 38.23; อสค 39.1; อสค 39.2; อสค 39.3; อสค 39.4; อสค 39.6; อสค 39.7; อสค 39.8; อสค 39.9; อสค 39.10; อสค 39.11; อสค 39.17; อสค 39.18; อสค 39.19; อสค 39.20; อสค 39.21; อสค 39.23; อสค 39.24; อสค 39.25; อสค 39.27; อสค 39.29; อสค 40.1; อสค 40.2; อสค 40.3; อสค 40.4; อสค 40.5; อสค 40.6; อสค 40.7; อสค 40.9; อสค 40.10; อสค 40.11; อสค 40.12; อสค 40.14; อสค 40.16; อสค 40.17; อสค 40.18; อสค 40.19; อสค 40.20; อสค 40.21; อสค 40.22; อสค 40.23; อสค 40.24; อสค 40.25; อสค 40.26; อสค 40.27; อสค 40.28; อสค 40.29; อสค 40.31; อสค 40.32; อสค 40.33; อสค 40.34; อสค 40.36; อสค 40.37; อสค 40.38; อสค 40.39; อสค 40.40; อสค 40.41; อสค 40.42; อสค 40.45; อสค 40.46; อสค 40.47; อสค 40.48; อสค 40.49; อสค 41.1; อสค 41.2; อสค 41.3; อสค 41.4; อสค 41.5; อสค 41.9; อสค 41.11; อสค 41.12; อสค 41.13; อสค 41.15; อสค 41.16; อสค 41.17; อสค 41.18; อสค 41.19; อสค 41.20; อสค 41.22; อสค 41.23; อสค 41.24; อสค 41.25; อสค 41.26; อสค 42.1; อสค 42.2; อสค 42.4; อสค 42.5; อสค 42.6; อสค 42.7; อสค 42.8; อสค 42.10; อสค 42.11; อสค 42.13; อสค 42.15; อสค 43.2; อสค 43.3; อสค 43.4; อสค 43.5; อสค 43.7; อสค 43.9; อสค 43.10; อสค 43.11; อสค 43.13; อสค 43.15; อสค 43.18; อสค 43.20; อสค 43.21; อสค 43.22; อสค 43.23; อสค 43.24; อสค 43.25; อสค 43.26; อสค 43.27; อสค 44.1; อสค 44.2; อสค 44.3; อสค 44.4; อสค 44.5; อสค 44.7; อสค 44.8; อสค 44.9; อสค 44.11; อสค 44.13; อสค 44.14; อสค 44.15; อสค 44.16; อสค 44.17; อสค 44.18; อสค 44.19; อสค 44.23; อสค 44.24; อสค 44.28; อสค 44.29; อสค 44.30; อสค 45.1; อสค 45.3; อสค 45.4; อสค 45.5; อสค 45.7; อสค 45.8; อสค 45.9; อสค 45.10; อสค 45.11; อสค 45.12; อสค 45.14; อสค 45.15; อสค 45.17; อสค 45.18; อสค 45.19; อสค 45.22; อสค 45.23; อสค 45.24; อสค 45.25; อสค 46.1; อสค 46.2; อสค 46.3; อสค 46.4; อสค 46.5; อสค 46.6; อสค 46.7; อสค 46.8; อสค 46.9; อสค 46.10; อสค 46.11; อสค 46.12; อสค 46.14; อสค 46.15; อสค 46.20; อสค 46.21; อสค 47.1; อสค 47.2; อสค 47.3; อสค 47.4; อสค 47.5; อสค 47.6; อสค 47.8; อสค 47.9; อสค 47.11; อสค 47.12; อสค 47.14; อสค 47.15; อสค 47.18; อสค 47.22; อสค 48.1; อสค 48.8; อสค 48.9; อสค 48.12; อสค 48.13; อสค 48.15; อสค 48.16; อสค 48.17; อสค 48.18; อสค 48.21; อสค 48.22; ดนล 1.1; ดนล 1.2; ดนล 1.3; ดนล 1.4; ดนล 1.5; ดนล 1.6; ดนล 1.7; ดนล 1.9; ดนล 1.10; ดนล 1.11; ดนล 1.12; ดนล 1.13; ดนล 1.14; ดนล 1.15; ดนล 1.16; ดนล 1.17; ดนล 1.19; ดนล 1.20; ดนล 1.21; ดนล 2.2; ดนล 2.3; ดนล 2.5; ดนล 2.6; ดนล 2.7; ดนล 2.9; ดนล 2.11; ดนล 2.12; ดนล 2.13; ดนล 2.14; ดนล 2.16; ดนล 2.17; ดนล 2.18; ดนล 2.20; ดนล 2.21; ดนล 2.22; ดนล 2.23; ดนล 2.24; ดนล 2.25; ดนล 2.26; ดนล 2.28; ดนล 2.29; ดนล 2.30; ดนล 2.31; ดนล 2.32; ดนล 2.35; ดนล 2.37; ดนล 2.38; ดนล 2.39; ดนล 2.40; ดนล 2.41; ดนล 2.42; ดนล 2.44; ดนล 2.45; ดนล 2.46; ดนล 2.47; ดนล 2.48; ดนล 2.49; ดนล 3.2; ดนล 3.3; ดนล 3.4; ดนล 3.5; ดนล 3.7; ดนล 3.8; ดนล 3.10; ดนล 3.11; ดนล 3.12; ดนล 3.13; ดนล 3.14; ดนล 3.15; ดนล 3.16; ดนล 3.19; ดนล 3.20; ดนล 3.21; ดนล 3.22; ดนล 3.23; ดนล 3.25; ดนล 3.26; ดนล 3.27; ดนล 3.28; ดนล 3.29; ดนล 3.30; ดนล 4.1; ดนล 4.2; ดนล 4.3; ดนล 4.4; ดนล 4.5; ดนล 4.7; ดนล 4.9; ดนล 4.11; ดนล 4.12; ดนล 4.14; ดนล 4.15; ดนล 4.16; ดนล 4.17; ดนล 4.18; ดนล 4.19; ดนล 4.20; ดนล 4.21; ดนล 4.22; ดนล 4.23; ดนล 4.25; ดนล 4.26; ดนล 4.27; ดนล 4.30; ดนล 4.32; ดนล 4.33; ดนล 4.34; ดนล 4.35; ดนล 4.36; ดนล 4.37; ดนล 5.1; ดนล 5.2; ดนล 5.3; ดนล 5.4; ดนล 5.5; ดนล 5.7; ดนล 5.9; ดนล 5.10; ดนล 5.11; ดนล 5.12; ดนล 5.14; ดนล 5.15; ดนล 5.16; ดนล 5.17; ดนล 5.18; ดนล 5.19; ดนล 5.20; ดนล 5.21; ดนล 5.23; ดนล 5.25; ดนล 5.26; ดนล 5.28; ดนล 5.29; ดนล 5.31; ดนล 6.2; ดนล 6.3; ดนล 6.4; ดนล 6.6; ดนล 6.7; ดนล 6.8; ดนล 6.9; ดนล 6.10; ดนล 6.11; ดนล 6.12; ดนล 6.13; ดนล 6.14; ดนล 6.15; ดนล 6.17; ดนล 6.18; ดนล 6.23; ดนล 6.24; ดนล 6.25; ดนล 6.26; ดนล 6.27; ดนล 6.28; ดนล 7.1; ดนล 7.2; ดนล 7.3; ดนล 7.4; ดนล 7.5; ดนล 7.6; ดนล 7.7; ดนล 7.8; ดนล 7.9; ดนล 7.10; ดนล 7.11; ดนล 7.12; ดนล 7.13; ดนล 7.14; ดนล 7.16; ดนล 7.18; ดนล 7.19; ดนล 7.20; ดนล 7.21; ดนล 7.22; ดนล 7.23; ดนล 7.24; ดนล 7.25; ดนล 7.26; ดนล 7.27; ดนล 7.28; ดนล 8.2; ดนล 8.3; ดนล 8.4; ดนล 8.5; ดนล 8.7; ดนล 8.9; ดนล 8.11; ดนล 8.12; ดนล 8.13; ดนล 8.15; ดนล 8.16; ดนล 8.17; ดนล 8.20; ดนล 8.21; ดนล 8.22; ดนล 8.23; ดนล 8.24; ดนล 8.26; ดนล 8.27; ดนล 9.3; ดนล 9.4; ดนล 9.5; ดนล 9.6; ดนล 9.7; ดนล 9.8; ดนล 9.9; ดนล 9.10; ดนล 9.11; ดนล 9.12; ดนล 9.13; ดนล 9.14; ดนล 9.15; ดนล 9.16; ดนล 9.17; ดนล 9.19; ดนล 9.20; ดนล 9.22; ดนล 9.23; ดนล 9.24; ดนล 9.25; ดนล 9.26; ดนล 9.27; ดนล 10.1; ดนล 10.6; ดนล 10.7; ดนล 10.8; ดนล 10.9; ดนล 10.10; ดนล 10.11; ดนล 10.12; ดนล 10.16; ดนล 10.18; ดนล 10.19; ดนล 10.20; ดนล 11.2; ดนล 11.3; ดนล 11.4; ดนล 11.5; ดนล 11.6; ดนล 11.7; ดนล 11.8; ดนล 11.10; ดนล 11.12; ดนล 11.13; ดนล 11.14; ดนล 11.15; ดนล 11.16; ดนล 11.17; ดนล 11.18; ดนล 11.19; ดนล 11.22; ดนล 11.23; ดนล 11.24; ดนล 11.25; ดนล 11.28; ดนล 11.30; ดนล 11.31; ดนล 11.32; ดนล 11.33; ดนล 11.34; ดนล 11.35; ดนล 11.36; ดนล 11.38; ดนล 11.39; ดนล 11.40; ดนล 11.41; ดนล 11.42; ดนล 11.43; ดนล 11.44; ดนล 11.45; ดนล 12.1; ดนล 12.2; ดนล 12.3; ดนล 12.4; ดนล 12.5; ดนล 12.6; ดนล 12.7; ดนล 12.9; ดนล 12.10; ดนล 12.11; ดนล 12.12; ดนล 12.13; ฮชย 1.1; ฮชย 1.2; ฮชย 1.3; ฮชย 1.4; ฮชย 1.6; ฮชย 1.7; ฮชย 1.9; ฮชย 1.10; ฮชย 1.11; ฮชย 2.2; ฮชย 2.3; ฮชย 2.5; ฮชย 2.8; ฮชย 2.9; ฮชย 2.10; ฮชย 2.11; ฮชย 2.12; ฮชย 2.13; ฮชย 2.14; ฮชย 2.18; ฮชย 2.19; ฮชย 2.20; ฮชย 2.21; ฮชย 2.22; ฮชย 2.23; ฮชย 3.1; ฮชย 3.4; ฮชย 3.5; ฮชย 4.2; ฮชย 4.3; ฮชย 4.5; ฮชย 4.11; ฮชย 4.12; ฮชย 4.13; ฮชย 4.14; ฮชย 4.15; ฮชย 5.1; ฮชย 5.3; ฮชย 5.5; ฮชย 5.11; ฮชย 5.12; ฮชย 5.13; ฮชย 5.14; ฮชย 5.15; ฮชย 6.1; ฮชย 6.8; ฮชย 7.1; ฮชย 7.7; ฮชย 7.9; ฮชย 7.11; ฮชย 7.14; ฮชย 7.15; ฮชย 8.1; ฮชย 8.4; ฮชย 8.13; ฮชย 8.14; ฮชย 9.2; ฮชย 9.5; ฮชย 9.7; ฮชย 9.8; ฮชย 9.10; ฮชย 9.14; ฮชย 10.2; ฮชย 10.5; ฮชย 10.6; ฮชย 10.8; ฮชย 10.13; ฮชย 11.2; ฮชย 11.4; ฮชย 11.6; ฮชย 11.10; ฮชย 11.11; ฮชย 11.12; ฮชย 12.1; ฮชย 12.2; ฮชย 12.3; ฮชย 12.4; ฮชย 12.6; ฮชย 12.14; ฮชย 13.2; ฮชย 13.6; ฮชย 13.7; ฮชย 13.8; ฮชย 13.10; ฮชย 13.11; ฮชย 13.15; ฮชย 13.16; ฮชย 14.2; ฮชย 14.6; ฮชย 14.7; ฮชย 14.8; ยอล 1.3; ยอล 1.5; ยอล 1.6; ยอล 1.7; ยอล 1.9; ยอล 1.11; ยอล 1.12; ยอล 1.13; ยอล 1.14; ยอล 1.16; ยอล 1.19; ยอล 1.20; ยอล 2.2; ยอล 2.3; ยอล 2.7; ยอล 2.10; ยอล 2.11; ยอล 2.12; ยอล 2.13; ยอล 2.14; ยอล 2.16; ยอล 2.17; ยอล 2.18; ยอล 2.19; ยอล 2.20; ยอล 2.21; ยอล 2.22; ยอล 2.23; ยอล 2.24; ยอล 2.25; ยอล 2.26; ยอล 2.27; ยอล 2.28; ยอล 2.30; ยอล 2.31; ยอล 2.32; ยอล 3.1; ยอล 3.2; ยอล 3.3; ยอล 3.4; ยอล 3.5; ยอล 3.6; ยอล 3.8; ยอล 3.10; ยอล 3.12; ยอล 3.15; ยอล 3.16; ยอล 3.18; ยอล 3.19; ยอล 3.20; อมส 1.1; อมส 1.2; อมส 1.3; อมส 1.5; อมส 1.6; อมส 1.8; อมส 1.9; อมส 1.11; อมส 1.13; อมส 1.14; อมส 1.15; อมส 2.1; อมส 2.2; อมส 2.3; อมส 2.4; อมส 2.5; อมส 2.6; อมส 2.7; อมส 2.8; อมส 2.9; อมส 2.10; อมส 2.11; อมส 2.12; อมส 2.16; อมส 3.6; อมส 3.9; อมส 3.10; อมส 3.11; อมส 3.12; อมส 3.13; อมส 3.14; อมส 3.15; อมส 4.1; อมส 4.3; อมส 4.4; อมส 4.5; อมส 4.7; อมส 4.8; อมส 4.9; อมส 4.10; อมส 4.11; อมส 4.13; อมส 5.2; อมส 5.3; อมส 5.4; อมส 5.5; อมส 5.6; อมส 5.7; อมส 5.8; อมส 5.10; อมส 5.11; อมส 5.12; อมส 5.15; อมส 5.16; อมส 5.19; อมส 5.21; อมส 5.22; อมส 5.24; อมส 5.25; อมส 5.26; อมส 6.1; อมส 6.2; อมส 6.4; อมส 6.5; อมส 6.6; อมส 6.7; อมส 6.8; อมส 6.10; อมส 6.11; อมส 6.12; อมส 6.14; อมส 7.1; อมส 7.2; อมส 7.4; อมส 7.8; อมส 7.9; อมส 7.11; อมส 7.12; อมส 7.13; อมส 7.14; อมส 7.15; อมส 7.16; อมส 7.17; อมส 8.2; อมส 8.5; อมส 8.6; อมส 8.8; อมส 8.9; อมส 8.10; อมส 8.12; อมส 8.13; อมส 8.14; อมส 9.1; อมส 9.3; อมส 9.4; อมส 9.5; อมส 9.6; อมส 9.7; อมส 9.8; อมส 9.9; อมส 9.10; อมส 9.11; อมส 9.12; อมส 9.13; อมส 9.14; อบด 1.8; อบด 1.11; อบด 1.17; อบด 1.18; อบด 1.19; อบด 1.21; ยนา 1.2; ยนา 1.3; ยนา 1.5; ยนา 1.6; ยนา 1.8; ยนา 1.9; ยนา 1.16; ยนา 1.17; ยนา 2.2; ยนา 2.3; ยนา 2.7; ยนา 2.10; ยนา 3.2; ยนา 3.4; ยนา 3.5; ยนา 3.6; ยนา 3.7; ยนา 3.8; ยนา 3.9; ยนา 3.10; ยนา 4.1; ยนา 4.2; ยนา 4.4; ยนา 4.5; ยนา 4.6; ยนา 4.8; ยนา 4.10; ยนา 4.11; มคา 1.1; มคา 1.2; มคา 1.3; มคา 1.4; มคา 1.5; มคา 1.7; มคา 1.8; มคา 1.9; มคา 1.11; มคา 1.16; มคา 2.1; มคา 2.2; มคา 2.3; มคา 2.4; มคา 2.10; มคา 2.11; มคา 2.12; มคา 2.13; มคา 3.1; มคา 3.2; มคา 3.3; มคา 3.5; มคา 3.6; มคา 3.8; มคา 3.9; มคา 3.10; มคา 3.11; มคา 3.12; มคา 4.1; มคา 4.2; มคา 4.3; มคา 4.4; มคา 4.6; มคา 4.7; มคา 4.10; มคา 4.13; มคา 5.4; มคา 5.5; มคา 5.6; มคา 5.8; มคา 5.9; มคา 5.10; มคา 5.11; มคา 5.13; มคา 5.14; มคา 5.15; มคา 6.2; มคา 6.4; มคา 6.5; มคา 6.6; มคา 6.7; มคา 6.8; มคา 6.9; มคา 6.10; มคา 6.11; มคา 6.12; มคา 6.14; มคา 6.16; มคา 7.1; มคา 7.3; มคา 7.4; มคา 7.6; มคา 7.9; มคา 7.10; มคา 7.12; มคา 7.14; มคา 7.16; มคา 7.18; มคา 7.20; นฮม 1.2; นฮม 1.3; นฮม 1.4; นฮม 1.5; นฮม 1.8; นฮม 1.10; นฮม 1.11; นฮม 1.12; นฮม 1.13; นฮม 1.14; นฮม 2.2; นฮม 2.3; นฮม 2.4; นฮม 2.10; นฮม 2.12; นฮม 2.13; นฮม 3.1; นฮม 3.2; นฮม 3.3; นฮม 3.4; นฮม 3.5; นฮม 3.6; นฮม 3.7; นฮม 3.9; นฮม 3.10; นฮม 3.14; ฮบก 1.2; ฮบก 1.3; ฮบก 1.4; ฮบก 1.5; ฮบก 1.6; ฮบก 1.7; ฮบก 1.8; ฮบก 1.10; ฮบก 1.11; ฮบก 1.13; ฮบก 1.15; ฮบก 1.16; ฮบก 1.17; ฮบก 2.1; ฮบก 2.2; ฮบก 2.6; ฮบก 2.7; ฮบก 2.8; ฮบก 2.11; ฮบก 2.12; ฮบก 2.13; ฮบก 2.15; ฮบก 2.17; ฮบก 3.3; ฮบก 3.6; ฮบก 3.7; ฮบก 3.11; ฮบก 3.16; ฮบก 3.17; ศฟย 1.3; ศฟย 1.4; ศฟย 1.5; ศฟย 1.7; ศฟย 1.8; ศฟย 1.9; ศฟย 1.10; ศฟย 1.12; ศฟย 1.13; ศฟย 1.14; ศฟย 1.15; ศฟย 1.16; ศฟย 1.17; ศฟย 2.4; ศฟย 2.6; ศฟย 2.7; ศฟย 2.8; ศฟย 2.9; ศฟย 2.10; ศฟย 2.11; ศฟย 2.13; ศฟย 2.14; ศฟย 2.15; ศฟย 3.1; ศฟย 3.2; ศฟย 3.9; ศฟย 3.12; ศฟย 3.13; ศฟย 3.14; ศฟย 3.16; ศฟย 3.19; ศฟย 3.20; ฮกก 1.1; ฮกก 1.8; ฮกก 1.9; ฮกก 1.10; ฮกก 1.11; ฮกก 1.12; ฮกก 1.14; ฮกก 2.2; ฮกก 2.6; ฮกก 2.8; ฮกก 2.9; ฮกก 2.14; ฮกก 2.17; ฮกก 2.19; ฮกก 2.21; ฮกก 2.22; ศคย 1.3; ศคย 1.4; ศคย 1.6; ศคย 1.8; ศคย 1.11; ศคย 1.12; ศคย 1.13; ศคย 1.16; ศคย 1.17; ศคย 1.19; ศคย 1.21; ศคย 2.3; ศคย 2.4; ศคย 2.5; ศคย 2.9; ศคย 2.10; ศคย 2.11; ศคย 2.12; ศคย 2.13; ศคย 3.1; ศคย 3.2; ศคย 3.4; ศคย 3.5; ศคย 3.6; ศคย 3.7; ศคย 3.8; ศคย 3.9; ศคย 3.10; ศคย 4.1; ศคย 4.2; ศคย 4.3; ศคย 4.4; ศคย 4.7; ศคย 4.9; ศคย 4.10; ศคย 4.11; ศคย 4.12; ศคย 5.1; ศคย 5.2; ศคย 5.3; ศคย 5.4; ศคย 5.6; ศคย 5.7; ศคย 5.8; ศคย 5.9; ศคย 6.1; ศคย 6.5; ศคย 6.6; ศคย 6.7; ศคย 6.9; ศคย 6.10; ศคย 6.11; ศคย 6.12; ศคย 6.13; ศคย 6.14; ศคย 6.15; ศคย 7.2; ศคย 7.3; ศคย 7.5; ศคย 7.6; ศคย 7.7; ศคย 7.8; ศคย 7.9; ศคย 7.10; ศคย 7.11; ศคย 7.12; ศคย 7.14; ศคย 8.1; ศคย 8.2; ศคย 8.3; ศคย 8.4; ศคย 8.5; ศคย 8.7; ศคย 8.8; ศคย 8.12; ศคย 8.13; ศคย 8.15; ศคย 8.16; ศคย 8.18; ศคย 8.19; ศคย 8.21; ศคย 8.22; ศคย 9.1; ศคย 9.3; ศคย 9.4; ศคย 9.5; ศคย 9.7; ศคย 9.8; ศคย 9.9; ศคย 9.10; ศคย 9.13; ศคย 9.14; ศคย 9.15; ศคย 9.17; ศคย 10.1; ศคย 10.2; ศคย 10.3; ศคย 10.4; ศคย 10.6; ศคย 10.7; ศคย 10.8; ศคย 10.9; ศคย 10.10; ศคย 10.11; ศคย 10.12; ศคย 11.5; ศคย 11.6; ศคย 11.7; ศคย 11.8; ศคย 11.9; ศคย 11.11; ศคย 11.14; ศคย 11.17; ศคย 12.1; ศคย 12.2; ศคย 12.4; ศคย 12.6; ศคย 12.7; ศคย 12.8; ศคย 12.10; ศคย 12.12; ศคย 12.13; ศคย 12.14; ศคย 13.1; ศคย 13.2; ศคย 13.6; ศคย 13.7; ศคย 13.8; ศคย 13.9; ศคย 14.2; ศคย 14.4; ศคย 14.5; ศคย 14.8; ศคย 14.9; ศคย 14.10; ศคย 14.11; ศคย 14.12; ศคย 14.13; ศคย 14.14; ศคย 14.15; ศคย 14.16; ศคย 14.18; ศคย 14.19; ศคย 14.20; ศคย 14.21; มลค 1.3; มลค 1.4; มลค 1.5; มลค 1.6; มลค 1.8; มลค 1.10; มลค 1.11; มลค 1.12; มลค 1.14; มลค 2.2; มลค 2.3; มลค 2.5; มลค 2.6; มลค 2.7; มลค 2.9; มลค 2.11; มลค 2.12; มลค 2.13; มลค 2.14; มลค 2.15; มลค 2.17; มลค 3.1; มลค 3.2; มลค 3.3; มลค 3.4; มลค 3.5; มลค 3.7; มลค 3.8; มลค 3.10; มลค 3.11; มลค 3.16; มลค 3.17; มลค 3.18; มลค 4.1; มลค 4.3; มลค 4.4; มลค 4.5; มลค 4.6; มธ 1.2; มธ 1.17; มธ 1.23; มธ 1.25; มธ 2.8; มธ 2.9; มธ 2.11; มธ 2.12; มธ 2.13; มธ 2.15; มธ 2.16; มธ 2.18; มธ 2.22; มธ 3.4; มธ 3.5; มธ 3.6; มธ 3.7; มธ 3.11; มธ 3.12; มธ 3.15; มธ 3.16; มธ 3.17; มธ 4.2; มธ 4.5; มธ 4.6; มธ 4.8; มธ 4.10; มธ 4.11; มธ 4.13; มธ 4.15; มธ 4.16; มธ 4.19; มธ 4.22; มธ 4.23; มธ 4.24; มธ 4.25; มธ 5.1; มธ 5.2; มธ 5.11; มธ 5.16; มธ 5.18; มธ 5.19; มธ 5.20; มธ 5.22; มธ 5.23; มธ 5.25; มธ 5.29; มธ 5.30; มธ 5.32; มธ 5.38; มธ 5.43; มธ 5.44; มธ 5.45; มธ 6.2; มธ 6.4; มธ 6.5; มธ 6.6; มธ 6.12; มธ 6.13; มธ 6.17; มธ 6.18; มธ 6.19; มธ 6.20; มธ 6.24; มธ 6.25; มธ 6.29; มธ 6.30; มธ 6.33; มธ 7.2; มธ 7.6; มธ 7.8; มธ 7.12; มธ 7.13; มธ 7.14; มธ 7.19; มธ 7.22; มธ 7.24; มธ 7.25; มธ 7.26; มธ 7.27; มธ 8.4; มธ 8.11; มธ 8.13; มธ 8.16; มธ 8.17; มธ 8.20; มธ 8.25; มธ 8.26; มธ 8.27; มธ 8.32; มธ 9.1; มธ 9.10; มธ 9.11; มธ 9.14; มธ 9.17; มธ 9.19; มธ 9.23; มธ 9.25; มธ 9.28; มธ 9.32; มธ 9.35; มธ 9.36; มธ 10.1; มธ 10.3; มธ 10.4; มธ 10.5; มธ 10.8; มธ 10.14; มธ 10.15; มธ 10.16; มธ 10.17; มธ 10.18; มธ 10.21; มธ 10.24; มธ 10.25; มธ 10.27; มธ 10.35; มธ 10.36; มธ 10.37; มธ 10.38; มธ 10.40; มธ 10.41; มธ 10.42; มธ 11.1; มธ 11.4; มธ 11.5; มธ 11.9; มธ 11.12; มธ 11.13; มธ 11.17; มธ 11.18; มธ 11.19; มธ 11.21; มธ 11.22; มธ 11.23; มธ 11.25; มธ 11.27; มธ 11.28; มธ 11.29; มธ 11.30; มธ 12.1; มธ 12.3; มธ 12.4; มธ 12.11; มธ 12.13; มธ 12.15; มธ 12.19; มธ 12.21; มธ 12.22; มธ 12.23; มธ 12.26; มธ 12.27; มธ 12.29; มธ 12.30; มธ 12.31; มธ 12.33; มธ 12.38; มธ 12.39; มธ 12.41; มธ 12.42; มธ 12.44; มธ 12.45; มธ 12.46; มธ 12.47; มธ 12.49; มธ 12.50; มธ 13.2; มธ 13.4; มธ 13.13; มธ 13.15; มธ 13.16; มธ 13.17; มธ 13.20; มธ 13.21; มธ 13.22; มธ 13.23; มธ 13.28; มธ 13.30; มธ 13.32; มธ 13.34; มธ 13.36; มธ 13.39; มธ 13.41; มธ 13.42; มธ 13.44; มธ 13.52; มธ 13.54; มธ 13.55; มธ 13.56; มธ 13.57; มธ 14.9; มธ 14.15; มธ 14.19; มธ 14.21; มธ 14.23; มธ 14.24; มธ 14.30; มธ 14.36; มธ 15.1; มธ 15.4; มธ 15.8; มธ 15.10; มธ 15.21; มธ 15.23; มธ 15.28; มธ 15.30; มธ 15.32; มธ 15.36; มธ 15.37; มธ 15.38; มธ 16.3; มธ 16.4; มธ 16.6; มธ 16.9; มธ 16.11; มธ 16.12; มธ 16.14; มธ 16.17; มธ 16.18; มธ 16.19; มธ 16.21; มธ 16.24; มธ 16.27; มธ 17.1; มธ 17.3; มธ 17.11; มธ 17.12; มธ 17.14; มธ 17.17; มธ 17.20; มธ 17.21; มธ 17.23; มธ 17.25; มธ 18.8; มธ 18.9; มธ 18.12; มธ 18.17; มธ 18.18; มธ 18.25; มธ 19.4; มธ 19.5; มธ 19.9; มธ 19.13; มธ 19.19; มธ 19.26; มธ 19.27; มธ 19.29; มธ 19.30; มธ 20.5; มธ 20.7; มธ 20.8; มธ 20.12; มธ 20.16; มธ 20.17; มธ 20.18; มธ 20.19; มธ 20.22; มธ 20.23; มธ 20.25; มธ 20.28; มธ 20.30; มธ 20.32; มธ 20.34; มธ 21.7; มธ 21.12; มธ 21.13; มธ 21.14; มธ 21.16; มธ 21.17; มธ 21.19; มธ 21.21; มธ 21.23; มธ 21.31; มธ 21.32; มธ 21.33; มธ 21.35; มธ 21.41; มธ 21.43; มธ 22.4; มธ 22.5; มธ 22.7; มธ 22.10; มธ 22.13; มธ 22.16; มธ 22.20; มธ 22.21; มธ 22.22; มธ 22.32; มธ 22.37; มธ 22.38; มธ 22.40; มธ 22.43; มธ 23.1; มธ 23.4; มธ 23.6; มธ 23.7; มธ 23.8; มธ 23.9; มธ 23.13; มธ 23.14; มธ 23.15; มธ 23.18; มธ 23.20; มธ 23.21; มธ 23.22; มธ 23.23; มธ 23.25; มธ 23.27; มธ 23.28; มธ 23.29; มธ 23.34; มธ 23.37; มธ 24.3; มธ 24.6; มธ 24.7; มธ 24.9; มธ 24.10; มธ 24.11; มธ 24.21; มธ 24.22; มธ 24.24; มธ 24.29; มธ 24.30; มธ 24.32; มธ 24.35; มธ 24.38; มธ 24.39; มธ 24.43; มธ 24.45; มธ 24.49; มธ 24.51; มธ 25.2; มธ 25.5; มธ 25.9; มธ 25.14; มธ 25.15; มธ 25.21; มธ 25.23; มธ 25.26; มธ 25.32; มธ 25.33; มธ 25.37; มธ 25.38; มธ 25.39; มธ 25.41; มธ 25.43; มธ 25.44; มธ 25.46; มธ 26.2; มธ 26.3; มธ 26.26; มธ 26.27; มธ 26.31; มธ 26.37; มธ 26.40; มธ 26.41; มธ 26.42; มธ 26.45; มธ 26.47; มธ 26.50; มธ 26.53; มธ 26.56; มธ 26.57; มธ 26.61; มธ 26.64; มธ 26.67; มธ 26.74; มธ 27.1; มธ 27.3; มธ 27.5; มธ 27.7; มธ 27.9; มธ 27.12; มธ 27.20; มธ 27.26; มธ 27.28; มธ 27.29; มธ 27.30; มธ 27.31; มธ 27.37; มธ 27.40; มธ 27.41; มธ 27.42; มธ 27.51; มธ 27.54; มธ 27.56; มธ 27.62; มธ 27.64; มธ 27.66; มธ 28.4; มธ 28.7; มธ 28.9; มธ 28.10; มธ 28.15; มธ 28.17; มธ 28.19; มก 1.4; มก 1.5; มก 1.6; มก 1.9; มก 1.10; มก 1.13; มก 1.15; มก 1.16; มก 1.17; มก 1.20; มก 1.21; มก 1.26; มก 1.27; มก 1.29; มก 1.31; มก 1.32; มก 1.33; มก 1.34; มก 1.35; มก 1.36; มก 1.39; มก 1.40; มก 1.42; มก 1.44; มก 1.45; มก 2.1; มก 2.2; มก 2.4; มก 2.6; มก 2.8; มก 2.13; มก 2.15; มก 2.16; มก 2.18; มก 2.22; มก 2.23; มก 2.25; มก 2.26; มก 3.1; มก 3.5; มก 3.6; มก 3.7; มก 3.8; มก 3.11; มก 3.13; มก 3.15; มก 3.16; มก 3.17; มก 3.19; มก 3.20; มก 3.22; มก 3.26; มก 3.27; มก 3.28; มก 3.31; มก 3.32; มก 3.33; มก 3.34; มก 3.35; มก 4.1; มก 4.2; มก 4.4; มก 4.6; มก 4.12; มก 4.15; มก 4.16; มก 4.17; มก 4.18; มก 4.19; มก 4.20; มก 4.21; มก 4.22; มก 4.27; มก 4.30; มก 4.32; มก 4.34; มก 4.36; มก 4.37; มก 4.39; มก 4.41; มก 5.3; มก 5.4; มก 5.5; มก 5.14; มก 5.16; มก 5.19; มก 5.20; มก 5.21; มก 5.22; มก 5.23; มก 5.24; มก 5.26; มก 5.27; มก 5.29; มก 5.31; มก 5.34; มก 5.37; มก 5.39; มก 5.40; มก 6.1; มก 6.2; มก 6.3; มก 6.4; มก 6.8; มก 6.9; มก 6.11; มก 6.13; มก 6.15; มก 6.17; มก 6.19; มก 6.20; มก 6.21; มก 6.22; มก 6.23; มก 6.26; มก 6.30; มก 6.33; มก 6.34; มก 6.35; มก 6.41; มก 6.43; มก 6.44; มก 6.45; มก 6.48; มก 6.55; มก 6.56; มก 7.4; มก 7.8; มก 7.10; มก 7.13; มก 7.14; มก 7.23; มก 7.24; มก 7.26; มก 7.30; มก 7.31; มก 7.33; มก 7.35; มก 8.1; มก 8.2; มก 8.7; มก 8.8; มก 8.11; มก 8.13; มก 8.14; มก 8.15; มก 8.17; มก 8.23; มก 8.25; มก 8.28; มก 8.31; มก 8.34; มก 8.35; มก 8.38; มก 9.2; มก 9.3; มก 9.4; มก 9.7; มก 9.12; มก 9.13; มก 9.14; มก 9.18; มก 9.20; มก 9.22; มก 9.29; มก 9.31; มก 9.33; มก 9.35; มก 9.37; มก 9.38; มก 9.43; มก 9.44; มก 9.45; มก 9.46; มก 9.47; มก 9.48; มก 9.49; มก 9.50; มก 10.1; มก 10.6; มก 10.8; มก 10.12; มก 10.21; มก 10.24; มก 10.28; มก 10.29; มก 10.30; มก 10.31; มก 10.32; มก 10.33; มก 10.34; มก 10.38; มก 10.39; มก 10.40; มก 10.41; มก 10.42; มก 10.44; มก 10.45; มก 10.46; มก 10.49; มก 10.52; มก 11.1; มก 11.3; มก 11.8; มก 11.11; มก 11.15; มก 11.16; มก 11.18; มก 11.19; มก 11.23; มก 11.24; มก 11.27; มก 12.1; มก 12.4; มก 12.8; มก 12.13; มก 12.14; มก 12.16; มก 12.17; มก 12.19; มก 12.21; มก 12.22; มก 12.26; มก 12.28; มก 12.30; มก 12.31; มก 12.32; มก 12.33; มก 12.38; มก 12.39; มก 12.40; มก 12.41; มก 13.1; มก 13.3; มก 13.6; มก 13.7; มก 13.8; มก 13.9; มก 13.11; มก 13.12; มก 13.19; มก 13.21; มก 13.22; มก 13.24; มก 13.25; มก 13.26; มก 13.28; มก 13.31; มก 13.33; มก 13.34; มก 13.36; มก 14.1; มก 14.3; มก 14.7; มก 14.11; มก 14.16; มก 14.19; มก 14.23; มก 14.27; มก 14.32; มก 14.33; มก 14.37; มก 14.38; มก 14.40; มก 14.43; มก 14.45; มก 14.50; มก 14.53; มก 14.54; มก 14.58; มก 14.62; มก 14.65; มก 14.66; มก 14.68; มก 14.70; มก 14.71; มก 15.1; มก 15.15; มก 15.19; มก 15.20; มก 15.21; มก 15.27; มก 15.29; มก 15.30; มก 15.32; มก 15.39; มก 15.40; มก 15.41; มก 15.43; มก 15.46; มก 15.47; มก 16.1; มก 16.3; มก 16.11; มก 16.14; มก 16.16; มก 16.18; มก 16.20; ลก 1.2; ลก 1.6; ลก 1.7; ลก 1.13; ลก 1.14; ลก 1.15; ลก 1.17; ลก 1.18; ลก 1.19; ลก 1.22; ลก 1.29; ลก 1.31; ลก 1.32; ลก 1.33; ลก 1.35; ลก 1.41; ลก 1.42; ลก 1.47; ลก 1.52; ลก 1.53; ลก 1.55; ลก 1.58; ลก 1.59; ลก 1.64; ลก 1.65; ลก 1.66; ลก 1.68; ลก 1.69; ลก 1.71; ลก 1.72; ลก 1.75; ลก 1.79; ลก 1.80; ลก 2.4; ลก 2.5; ลก 2.7; ลก 2.9; ลก 2.14; ลก 2.16; ลก 2.19; ลก 2.20; ลก 2.24; ลก 2.25; ลก 2.27; ลก 2.28; ลก 2.32; ลก 2.34; ลก 2.36; ลก 2.37; ลก 2.38; ลก 2.40; ลก 2.44; ลก 2.46; ลก 2.47; ลก 2.52; ลก 3.5; ลก 3.9; ลก 3.11; ลก 3.12; ลก 3.15; ลก 3.16; ลก 3.17; ลก 3.19; ลก 3.21; ลก 3.22; ลก 4.1; ลก 4.2; ลก 4.6; ลก 4.8; ลก 4.9; ลก 4.11; ลก 4.14; ลก 4.15; ลก 4.16; ลก 4.19; ลก 4.20; ลก 4.22; ลก 4.26; ลก 4.27; ลก 4.31; ลก 4.36; ลก 4.39; ลก 5.2; ลก 5.3; ลก 5.10; ลก 5.11; ลก 5.14; ลก 5.15; ลก 5.16; ลก 5.17; ลก 5.18; ลก 5.21; ลก 5.26; ลก 5.27; ลก 5.29; ลก 5.30; ลก 5.33; ลก 5.37; ลก 6.1; ลก 6.3; ลก 6.4; ลก 6.6; ลก 6.7; ลก 6.10; ลก 6.11; ลก 6.12; ลก 6.14; ลก 6.15; ลก 6.16; ลก 6.17; ลก 6.18; ลก 6.22; ลก 6.23; ลก 6.25; ลก 6.29; ลก 6.30; ลก 6.35; ลก 6.37; ลก 6.38; ลก 6.45; ลก 6.47; ลก 6.48; ลก 6.49; ลก 7.5; ลก 7.7; ลก 7.12; ลก 7.13; ลก 7.16; ลก 7.17; ลก 7.21; ลก 7.22; ลก 7.25; ลก 7.30; ลก 7.31; ลก 7.32; ลก 7.33; ลก 7.34; ลก 7.37; ลก 7.38; ลก 7.39; ลก 7.44; ลก 8.2; ลก 8.3; ลก 8.4; ลก 8.5; ลก 8.6; ลก 8.10; ลก 8.12; ลก 8.14; ลก 8.15; ลก 8.17; ลก 8.19; ลก 8.20; ลก 8.21; ลก 8.23; ลก 8.24; ลก 8.25; ลก 8.27; ลก 8.28; ลก 8.29; ลก 8.34; ลก 8.35; ลก 8.37; ลก 8.39; ลก 8.42; ลก 8.43; ลก 8.44; ลก 8.45; ลก 8.47; ลก 8.50; ลก 8.51; ลก 9.1; ลก 9.2; ลก 9.4; ลก 9.6; ลก 9.11; ลก 9.12; ลก 9.22; ลก 9.23; ลก 9.26; ลก 9.28; ลก 9.29; ลก 9.30; ลก 9.31; ลก 9.32; ลก 9.34; ลก 9.36; ลก 9.39; ลก 9.41; ลก 9.42; ลก 9.45; ลก 9.48; ลก 9.49; ลก 9.52; ลก 9.54; ลก 9.55; ลก 9.58; ลก 10.1; ลก 10.4; ลก 10.7; ลก 10.8; ลก 10.9; ลก 10.10; ลก 10.13; ลก 10.14; ลก 10.19; ลก 10.21; ลก 10.22; ลก 10.24; ลก 10.27; ลก 10.30; ลก 10.32; ลก 10.34; ลก 10.35; ลก 10.38; ลก 10.41; ลก 11.5; ลก 11.6; ลก 11.10; ลก 11.14; ลก 11.18; ลก 11.23; ลก 11.24; ลก 11.25; ลก 11.26; ลก 11.27; ลก 11.28; ลก 11.29; ลก 11.31; ลก 11.32; ลก 11.39; ลก 11.41; ลก 11.42; ลก 11.43; ลก 11.44; ลก 11.47; ลก 11.49; ลก 11.52; ลก 11.53; ลก 12.3; ลก 12.4; ลก 12.6; ลก 12.8; ลก 12.11; ลก 12.13; ลก 12.15; ลก 12.16; ลก 12.18; ลก 12.19; ลก 12.21; ลก 12.22; ลก 12.23; ลก 12.24; ลก 12.28; ลก 12.29; ลก 12.33; ลก 12.35; ลก 12.37; ลก 12.38; ลก 12.39; ลก 12.42; ลก 12.45; ลก 12.46; ลก 12.47; ลก 12.48; ลก 12.49; ลก 12.52; ลก 12.53; ลก 12.54; ลก 12.55; ลก 12.56; ลก 12.58; ลก 13.6; ลก 13.11; ลก 13.12; ลก 13.13; ลก 13.17; ลก 13.18; ลก 13.19; ลก 13.22; ลก 13.25; ลก 13.26; ลก 13.28; ลก 13.30; ลก 13.32; ลก 13.33; ลก 13.34; ลก 13.35; ลก 14.3; ลก 14.4; ลก 14.9; ลก 14.11; ลก 14.12; ลก 14.14; ลก 14.16; ลก 14.18; ลก 14.19; ลก 14.21; ลก 14.22; ลก 14.23; ลก 14.26; ลก 14.29; ลก 15.1; ลก 15.2; ลก 15.4; ลก 15.6; ลก 15.8; ลก 15.9; ลก 15.13; ลก 15.15; ลก 15.17; ลก 15.18; ลก 15.21; ลก 15.22; ลก 15.25; ลก 15.27; ลก 15.29; ลก 15.31; ลก 15.32; ลก 16.1; ลก 16.10; ลก 16.12; ลก 16.13; ลก 16.16; ลก 16.17; ลก 16.18; ลก 16.19; ลก 16.20; ลก 16.21; ลก 16.22; ลก 16.23; ลก 16.25; ลก 16.29; ลก 16.31; ลก 17.3; ลก 17.4; ลก 17.6; ลก 17.8; ลก 17.11; ลก 17.13; ลก 17.16; ลก 17.21; ลก 17.25; ลก 17.27; ลก 17.29; ลก 17.31; ลก 18.2; ลก 18.4; ลก 18.6; ลก 18.9; ลก 18.10; ลก 18.11; ลก 18.12; ลก 18.22; ลก 18.30; ลก 18.31; ลก 18.32; ลก 18.33; ลก 18.34; ลก 18.43; ลก 19.1; ลก 19.2; ลก 19.8; ลก 19.10; ลก 19.11; ลก 19.21; ลก 19.22; ลก 19.27; ลก 19.29; ลก 19.35; ลก 19.38; ลก 19.43; ลก 19.44; ลก 19.47; ลก 20.1; ลก 20.2; ลก 20.9; ลก 20.10; ลก 20.11; ลก 20.12; ลก 20.17; ลก 20.19; ลก 20.20; ลก 20.21; ลก 20.24; ลก 20.25; ลก 20.26; ลก 20.28; ลก 20.34; ลก 20.35; ลก 20.36; ลก 20.37; ลก 20.46; ลก 20.47; ลก 21.5; ลก 21.8; ลก 21.9; ลก 21.11; ลก 21.12; ลก 21.15; ลก 21.16; ลก 21.21; ลก 21.23; ลก 21.24; ลก 21.25; ลก 21.26; ลก 21.27; ลก 21.28; ลก 21.29; ลก 21.30; ลก 21.33; ลก 21.34; ลก 21.36; ลก 21.37; ลก 22.4; ลก 22.5; ลก 22.6; ลก 22.8; ลก 22.13; ลก 22.25; ลก 22.26; ลก 22.29; ลก 22.30; ลก 22.31; ลก 22.32; ลก 22.33; ลก 22.36; ลก 22.39; ลก 22.41; ลก 22.45; ลก 22.47; ลก 22.50; ลก 22.52; ลก 22.53; ลก 22.55; ลก 22.64; ลก 22.65; ลก 22.66; ลก 22.68; ลก 23.2; ลก 23.5; ลก 23.8; ลก 23.10; ลก 23.11; ลก 23.13; ลก 23.14; ลก 23.15; ลก 23.18; ลก 23.19; ลก 23.23; ลก 23.25; ลก 23.27; ลก 23.28; ลก 23.29; ลก 23.30; ลก 23.33; ลก 23.38; ลก 23.41; ลก 23.49; ลก 23.50; ลก 23.51; ลก 23.54; ลก 23.55; ลก 24.1; ลก 24.3; ลก 24.5; ลก 24.7; ลก 24.9; ลก 24.10; ลก 24.15; ลก 24.16; ลก 24.19; ลก 24.20; ลก 24.22; ลก 24.23; ลก 24.24; ลก 24.25; ลก 24.27; ลก 24.29; ลก 24.31; ลก 24.33; ลก 24.34; ลก 24.35; ลก 24.36; ลก 24.39; ลก 24.40; ลก 24.41; ลก 24.44; ลก 24.46; ลก 24.47; ลก 24.49; ลก 24.53; ยน 1.1; ยน 1.3; ยน 1.4; ยน 1.5; ยน 1.10; ยน 1.11; ยน 1.14; ยน 1.15; ยน 1.16; ยน 1.17; ยน 1.19; ยน 1.20; ยน 1.21; ยน 1.32; ยน 1.33; ยน 1.34; ยน 1.36; ยน 1.38; ยน 1.39; ยน 1.40; ยน 1.41; ยน 1.42; ยน 1.43; ยน 1.44; ยน 1.45; ยน 1.51; ยน 2.1; ยน 2.2; ยน 2.7; ยน 2.9; ยน 2.10; ยน 2.11; ยน 2.12; ยน 2.13; ยน 2.14; ยน 2.15; ยน 2.16; ยน 2.20; ยน 2.22; ยน 2.25; ยน 3.2; ยน 3.4; ยน 3.5; ยน 3.6; ยน 3.8; ยน 3.10; ยน 3.11; ยน 3.12; ยน 3.20; ยน 3.22; ยน 3.23; ยน 3.26; ยน 3.31; ยน 3.32; ยน 3.35; ยน 4.1; ยน 4.3; ยน 4.10; ยน 4.11; ยน 4.12; ยน 4.15; ยน 4.18; ยน 4.23; ยน 4.24; ยน 4.27; ยน 4.28; ยน 4.34; ยน 4.36; ยน 4.37; ยน 4.38; ยน 4.40; ยน 4.41; ยน 4.42; ยน 4.46; ยน 4.48; ยน 4.51; ยน 4.52; ยน 4.53; ยน 5.1; ยน 5.6; ยน 5.7; ยน 5.8; ยน 5.9; ยน 5.14; ยน 5.15; ยน 5.16; ยน 5.17; ยน 5.20; ยน 5.21; ยน 5.24; ยน 5.25; ยน 5.27; ยน 5.29; ยน 5.30; ยน 5.32; ยน 5.33; ยน 5.35; ยน 5.37; ยน 5.38; ยน 5.39; ยน 5.43; ยน 5.44; ยน 6.3; ยน 6.5; ยน 6.11; ยน 6.22; ยน 6.24; ยน 6.30; ยน 6.33; ยน 6.35; ยน 6.37; ยน 6.39; ยน 6.40; ยน 6.44; ยน 6.45; ยน 6.49; ยน 6.51; ยน 6.53; ยน 6.54; ยน 6.55; ยน 6.56; ยน 6.57; ยน 6.58; ยน 6.63; ยน 6.64; ยน 6.65; ยน 6.69; ยน 6.70; ยน 7.11; ยน 7.12; ยน 7.14; ยน 7.15; ยน 7.19; ยน 7.21; ยน 7.22; ยน 7.26; ยน 7.28; ยน 7.29; ยน 7.31; ยน 7.34; ยน 7.35; ยน 7.36; ยน 7.37; ยน 7.42; ยน 7.45; ยน 7.50; ยน 7.51; ยน 8.2; ยน 8.3; ยน 8.7; ยน 8.8; ยน 8.9; ยน 8.10; ยน 8.11; ยน 8.14; ยน 8.18; ยน 8.21; ยน 8.26; ยน 8.28; ยน 8.29; ยน 8.32; ยน 8.33; ยน 8.38; ยน 8.42; ยน 8.44; ยน 8.46; ยน 8.48; ยน 8.49; ยน 8.50; ยน 8.52; ยน 8.55; ยน 8.56; ยน 8.57; ยน 8.59; ยน 9.2; ยน 9.8; ยน 9.11; ยน 9.15; ยน 9.18; ยน 9.20; ยน 9.24; ยน 9.27; ยน 9.31; ยน 9.34; ยน 9.35; ยน 9.39; ยน 10.1; ยน 10.3; ยน 10.4; ยน 10.8; ยน 10.9; ยน 10.10; ยน 10.12; ยน 10.13; ยน 10.14; ยน 10.15; ยน 10.16; ยน 10.18; ยน 10.20; ยน 10.22; ยน 10.24; ยน 10.25; ยน 10.27; ยน 10.28; ยน 10.29; ยน 10.35; ยน 10.36; ยน 10.38; ยน 10.40; ยน 10.41; ยน 10.42; ยน 11.1; ยน 11.2; ยน 11.5; ยน 11.19; ยน 11.25; ยน 11.26; ยน 11.28; ยน 11.31; ยน 11.32; ยน 11.33; ยน 11.34; ยน 11.37; ยน 11.44; ยน 11.45; ยน 11.46; ยน 11.47; ยน 11.48; ยน 11.50; ยน 11.52; ยน 11.54; ยน 11.55; ยน 11.56; ยน 11.57; ยน 12.2; ยน 12.3; ยน 12.6; ยน 12.11; ยน 12.14; ยน 12.16; ยน 12.17; ยน 12.21; ยน 12.22; ยน 12.23; ยน 12.24; ยน 12.25; ยน 12.26; ยน 12.27; ยน 12.28; ยน 12.32; ยน 12.36; ยน 12.38; ยน 12.40; ยน 12.41; ยน 12.45; ยน 12.47; ยน 12.48; ยน 12.49; ยน 13.3; ยน 13.4; ยน 13.5; ยน 13.6; ยน 13.9; ยน 13.12; ยน 13.13; ยน 13.14; ยน 13.16; ยน 13.17; ยน 13.20; ยน 13.21; ยน 13.22; ยน 13.26; ยน 13.31; ยน 13.32; ยน 13.33; ยน 14.3; ยน 14.4; ยน 14.6; ยน 14.7; ยน 14.8; ยน 14.9; ยน 14.10; ยน 14.11; ยน 14.12; ยน 14.16; ยน 14.17; ยน 14.20; ยน 14.21; ยน 14.22; ยน 14.23; ยน 14.24; ยน 14.26; ยน 14.27; ยน 14.28; ยน 14.29; ยน 14.30; ยน 15.1; ยน 15.2; ยน 15.4; ยน 15.5; ยน 15.6; ยน 15.7; ยน 15.10; ยน 15.11; ยน 15.16; ยน 15.24; ยน 15.27; ยน 16.3; ยน 16.4; ยน 16.5; ยน 16.8; ยน 16.10; ยน 16.13; ยน 16.16; ยน 16.17; ยน 16.19; ยน 16.20; ยน 16.22; ยน 16.26; ยน 16.27; ยน 16.28; ยน 16.30; ยน 16.32; ยน 17.1; ยน 17.3; ยน 17.6; ยน 17.8; ยน 17.10; ยน 17.11; ยน 17.12; ยน 17.13; ยน 17.14; ยน 17.21; ยน 17.23; ยน 17.25; ยน 17.26; ยน 18.3; ยน 18.6; ยน 18.10; ยน 18.12; ยน 18.15; ยน 18.16; ยน 18.19; ยน 18.20; ยน 18.27; ยน 18.33; ยน 18.35; ยน 18.37; ยน 18.38; ยน 19.2; ยน 19.3; ยน 19.4; ยน 19.5; ยน 19.6; ยน 19.7; ยน 19.9; ยน 19.10; ยน 19.16; ยน 19.17; ยน 19.18; ยน 19.19; ยน 19.20; ยน 19.23; ยน 19.25; ยน 19.26; ยน 19.27; ยน 19.30; ยน 19.31; ยน 19.32; ยน 19.33; ยน 19.34; ยน 19.35; ยน 19.37; ยน 19.38; ยน 19.40; ยน 19.42; ยน 20.2; ยน 20.7; ยน 20.8; ยน 20.12; ยน 20.13; ยน 20.14; ยน 20.15; ยน 20.16; ยน 20.17; ยน 20.18; ยน 20.19; ยน 20.20; ยน 20.22; ยน 20.23; ยน 20.25; ยน 20.26; ยน 20.27; ยน 20.28; ยน 20.31; ยน 21.1; ยน 21.2; ยน 21.6; ยน 21.9; ยน 21.11; ยน 21.12; ยน 21.13; ยน 21.17; ยน 21.18; ยน 21.20; ยน 21.24; กจ 1.1; กจ 1.3; กจ 1.7; กจ 1.8; กจ 1.9; กจ 1.14; กจ 1.15; กจ 1.17; กจ 1.20; กจ 1.23; กจ 1.25; กจ 1.26; กจ 2.3; กจ 2.6; กจ 2.7; กจ 2.9; กจ 2.10; กจ 2.11; กจ 2.12; กจ 2.14; กจ 2.17; กจ 2.18; กจ 2.19; กจ 2.20; กจ 2.21; กจ 2.22; กจ 2.23; กจ 2.26; กจ 2.29; กจ 2.30; กจ 2.33; กจ 2.36; กจ 2.37; กจ 2.38; กจ 2.39; กจ 2.40; กจ 2.42; กจ 2.43; กจ 2.44; กจ 2.45; กจ 2.46; กจ 2.47; กจ 3.6; กจ 3.7; กจ 3.8; กจ 3.9; กจ 3.10; กจ 3.11; กจ 3.13; กจ 3.14; กจ 3.16; กจ 3.19; กจ 3.20; กจ 3.23; กจ 3.24; กจ 3.25; กจ 4.1; กจ 4.2; กจ 4.5; กจ 4.6; กจ 4.7; กจ 4.8; กจ 4.10; กจ 4.13; กจ 4.14; กจ 4.15; กจ 4.16; กจ 4.18; กจ 4.19; กจ 4.20; กจ 4.23; กจ 4.24; กจ 4.25; กจ 4.26; กจ 4.27; กจ 4.28; กจ 4.29; กจ 4.30; กจ 4.31; กจ 4.32; กจ 4.33; กจ 4.34; กจ 4.37; กจ 5.2; กจ 5.3; กจ 5.5; กจ 5.9; กจ 5.10; กจ 5.11; กจ 5.12; กจ 5.13; กจ 5.15; กจ 5.16; กจ 5.17; กจ 5.23; กจ 5.24; กจ 5.28; กจ 5.31; กจ 5.32; กจ 5.34; กจ 5.37; กจ 5.40; กจ 5.42; กจ 6.3; กจ 6.4; กจ 6.5; กจ 6.6; กจ 6.7; กจ 6.8; กจ 6.9; กจ 6.10; กจ 6.11; กจ 6.12; กจ 6.13; กจ 6.14; กจ 7.2; กจ 7.3; กจ 7.5; กจ 7.6; กจ 7.7; กจ 7.8; กจ 7.10; กจ 7.11; กจ 7.13; กจ 7.21; กจ 7.22; กจ 7.27; กจ 7.29; กจ 7.32; กจ 7.34; กจ 7.35; กจ 7.36; กจ 7.38; กจ 7.41; กจ 7.42; กจ 7.43; กจ 7.46; กจ 7.49; กจ 7.52; กจ 7.54; กจ 7.55; กจ 7.56; กจ 7.57; กจ 7.58; กจ 8.1; กจ 8.5; กจ 8.6; กจ 8.7; กจ 8.9; กจ 8.12; กจ 8.13; กจ 8.19; กจ 8.22; กจ 8.23; กจ 8.25; กจ 8.27; กจ 8.30; กจ 8.32; กจ 8.33; กจ 8.37; กจ 8.38; กจ 8.39; กจ 8.40; กจ 9.4; กจ 9.6; กจ 9.9; กจ 9.12; กจ 9.14; กจ 9.15; กจ 9.17; กจ 9.18; กจ 9.21; กจ 9.22; กจ 9.27; กจ 9.31; กจ 9.35; กจ 9.36; กจ 9.39; กจ 9.40; กจ 10.2; กจ 10.3; กจ 10.4; กจ 10.8; กจ 10.11; กจ 10.12; กจ 10.17; กจ 10.18; กจ 10.20; กจ 10.22; กจ 10.23; กจ 10.24; กจ 10.25; กจ 10.26; กจ 10.30; กจ 10.31; กจ 10.35; กจ 10.38; กจ 10.39; กจ 10.40; กจ 10.41; กจ 10.42; กจ 10.46; กจ 10.48; กจ 11.3; กจ 11.5; กจ 11.6; กจ 11.12; กจ 11.13; กจ 11.19; กจ 11.20; กจ 11.21; กจ 11.23; กจ 11.24; กจ 11.26; กจ 11.30; กจ 12.6; กจ 12.7; กจ 12.8; กจ 12.9; กจ 12.10; กจ 12.11; กจ 12.17; กจ 12.19; กจ 12.20; กจ 13.1; กจ 13.2; กจ 13.3; กจ 13.4; กจ 13.10; กจ 13.12; กจ 13.16; กจ 13.17; กจ 13.22; กจ 13.26; กจ 13.36; กจ 13.39; กจ 13.41; กจ 13.43; กจ 13.46; กจ 13.48; กจ 13.50; กจ 13.52; กจ 14.1; กจ 14.3; กจ 14.4; กจ 14.5; กจ 14.7; กจ 14.12; กจ 14.13; กจ 14.15; กจ 14.17; กจ 14.19; กจ 14.21; กจ 14.22; กจ 14.23; กจ 14.24; กจ 14.26; กจ 14.27; กจ 15.2; กจ 15.3; กจ 15.4; กจ 15.5; กจ 15.7; กจ 15.8; กจ 15.12; กจ 15.13; กจ 15.16; กจ 15.20; กจ 15.22; กจ 15.23; กจ 15.24; กจ 15.25; กจ 15.26; กจ 15.28; กจ 15.29; กจ 15.30; กจ 15.38; กจ 15.40; กจ 16.1; กจ 16.2; กจ 16.4; กจ 16.5; กจ 16.11; กจ 16.12; กจ 16.14; กจ 16.15; กจ 16.19; กจ 16.21; กจ 16.22; กจ 16.23; กจ 16.25; กจ 16.26; กจ 16.30; กจ 16.31; กจ 16.32; กจ 16.33; กจ 16.37; กจ 17.1; กจ 17.2; กจ 17.3; กจ 17.4; กจ 17.7; กจ 17.8; กจ 17.11; กจ 17.15; กจ 17.17; กจ 17.18; กจ 17.23; กจ 17.24; กจ 17.25; กจ 17.26; กจ 17.27; กจ 17.28; กจ 17.29; กจ 17.31; กจ 17.34; กจ 18.3; กจ 18.4; กจ 18.5; กจ 18.6; กจ 18.8; กจ 18.9; กจ 18.10; กจ 18.11; กจ 18.12; กจ 18.15; กจ 18.18; กจ 18.23; กจ 18.24; กจ 18.25; กจ 18.28; กจ 19.1; กจ 19.6; กจ 19.9; กจ 19.10; กจ 19.12; กจ 19.15; กจ 19.16; กจ 19.17; กจ 19.18; กจ 19.19; กจ 19.20; กจ 19.21; กจ 19.26; กจ 19.27; กจ 19.28; กจ 19.32; กจ 19.35; กจ 20.2; กจ 20.3; กจ 20.4; กจ 20.6; กจ 20.9; กจ 20.11; กจ 20.12; กจ 20.15; กจ 20.19; กจ 20.20; กจ 20.21; กจ 20.23; กจ 20.24; กจ 20.28; กจ 20.29; กจ 20.31; กจ 20.32; กจ 20.35; กจ 20.37; กจ 21.5; กจ 21.6; กจ 21.7; กจ 21.8; กจ 21.11; กจ 21.13; กจ 21.14; กจ 21.15; กจ 21.18; กจ 21.20; กจ 21.21; กจ 21.24; กจ 21.25; กจ 21.26; กจ 21.28; กจ 21.30; กจ 21.33; กจ 21.38; กจ 22.1; กจ 22.3; กจ 22.4; กจ 22.5; กจ 22.7; กจ 22.9; กจ 22.10; กจ 22.12; กจ 22.13; กจ 22.14; กจ 22.15; กจ 22.17; กจ 22.18; กจ 22.19; กจ 22.20; กจ 22.23; กจ 22.24; กจ 22.29; กจ 23.3; กจ 23.6; กจ 23.7; กจ 23.8; กจ 23.9; กจ 23.21; กจ 23.23; กจ 23.24; กจ 23.27; กจ 23.33; กจ 24.1; กจ 24.5; กจ 24.6; กจ 24.8; กจ 24.14; กจ 24.15; กจ 24.16; กจ 24.17; กจ 24.25; กจ 25.2; กจ 25.4; กจ 25.6; กจ 25.7; กจ 25.16; กจ 25.17; กจ 25.19; กจ 25.23; กจ 25.24; กจ 25.25; กจ 25.26; กจ 25.27; กจ 26.3; กจ 26.10; กจ 26.11; กจ 26.12; กจ 26.16; กจ 26.17; กจ 26.18; กจ 26.20; กจ 26.21; กจ 26.22; กจ 26.23; กจ 26.25; กจ 26.30; กจ 27.7; กจ 27.9; กจ 27.10; กจ 27.11; กจ 27.12; กจ 27.15; กจ 27.17; กจ 27.20; กจ 27.21; กจ 27.30; กจ 27.31; กจ 27.33; กจ 27.40; กจ 28.2; กจ 28.5; กจ 28.8; กจ 28.9; กจ 28.11; กจ 28.14; กจ 28.15; กจ 28.20; กจ 28.23; กจ 28.25; กจ 28.26; กจ 28.27; กจ 28.28; กจ 28.29; กจ 28.30; กจ 28.31; รม 1.1; รม 1.5; รม 1.7; รม 1.12; รม 1.14; รม 1.16; รม 1.18; รม 1.20; รม 1.21; รม 1.23; รม 1.25; รม 1.27; รม 1.28; รม 2.3; รม 2.4; รม 2.7; รม 2.8; รม 2.9; รม 2.10; รม 2.12; รม 2.15; รม 2.17; รม 2.18; รม 2.19; รม 2.20; รม 2.27; รม 2.28; รม 2.29; รม 3.1; รม 3.4; รม 3.8; รม 3.9; รม 3.14; รม 3.16; รม 3.17; รม 3.19; รม 3.22; รม 3.23; รม 3.25; รม 3.26; รม 3.30; รม 4.3; รม 4.7; รม 4.11; รม 4.12; รม 4.13; รม 4.14; รม 4.17; รม 4.19; รม 4.25; รม 5.2; รม 5.4; รม 5.5; รม 5.12; รม 5.15; รม 5.16; รม 5.17; รม 6.11; รม 6.13; รม 6.19; รม 6.22; รม 7.9; รม 7.11; รม 7.12; รม 7.13; รม 7.23; รม 8.2; รม 8.3; รม 8.6; รม 8.7; รม 8.10; รม 8.17; รม 8.21; รม 8.22; รม 8.23; รม 8.27; รม 8.30; รม 8.34; รม 8.36; รม 9.2; รม 9.4; รม 9.5; รม 9.7; รม 9.9; รม 9.10; รม 9.11; รม 9.15; รม 9.17; รม 9.18; รม 9.21; รม 9.22; รม 9.25; รม 9.26; รม 9.27; รม 9.28; รม 9.29; รม 9.33; รม 10.1; รม 10.8; รม 10.9; รม 10.10; รม 10.12; รม 10.14; รม 10.15; รม 10.17; รม 10.18; รม 10.21; รม 11.3; รม 11.7; รม 11.9; รม 11.10; รม 11.12; รม 11.15; รม 11.16; รม 11.17; รม 11.22; รม 11.24; รม 11.26; รม 11.29; รม 11.33; รม 11.36; รม 12.1; รม 12.2; รม 12.4; รม 12.5; รม 12.6; รม 13.1; รม 13.2; รม 13.5; รม 13.6; รม 13.12; รม 13.14; รม 14.3; รม 14.4; รม 14.6; รม 14.7; รม 14.8; รม 14.9; รม 14.11; รม 14.14; รม 14.17; รม 14.18; รม 14.19; รม 15.1; รม 15.2; รม 15.4; รม 15.5; รม 15.6; รม 15.9; รม 15.10; รม 15.11; รม 15.12; รม 15.13; รม 15.14; รม 15.18; รม 15.19; รม 15.21; รม 15.24; รม 15.26; รม 15.27; รม 15.29; รม 15.30; รม 15.31; รม 15.32; รม 16.2; รม 16.3; รม 16.4; รม 16.5; รม 16.7; รม 16.9; รม 16.12; รม 16.13; รม 16.14; รม 16.15; รม 16.17; รม 16.18; รม 16.19; รม 16.21; รม 16.23; รม 16.25; รม 16.26; รม 16.27; 1คร 1.1; 1คร 1.2; 1คร 1.3; 1คร 1.5; 1คร 1.10; 1คร 1.14; 1คร 1.19; 1คร 1.22; 1คร 1.23; 1คร 1.24; 1คร 1.25; 1คร 1.27; 1คร 1.28; 1คร 1.30; 1คร 2.2; 1คร 2.3; 1คร 2.4; 1คร 2.9; 1คร 2.14; 1คร 3.2; 1คร 3.3; 1คร 3.4; 1คร 3.7; 1คร 3.8; 1คร 3.9; 1คร 3.10; 1คร 3.16; 1คร 3.17; 1คร 3.20; 1คร 3.23; 1คร 4.1; 1คร 4.5; 1คร 4.6; 1คร 4.9; 1คร 4.10; 1คร 4.11; 1คร 4.13; 1คร 4.19; 1คร 4.21; 1คร 5.1; 1คร 5.2; 1คร 5.4; 1คร 5.8; 1คร 6.1; 1คร 6.2; 1คร 6.8; 1คร 6.11; 1คร 6.13; 1คร 6.14; 1คร 6.20; 1คร 7.2; 1คร 7.3; 1คร 7.5; 1คร 7.7; 1คร 7.8; 1คร 7.11; 1คร 7.12; 1คร 7.13; 1คร 7.14; 1คร 7.19; 1คร 7.28; 1คร 7.30; 1คร 7.31; 1คร 7.34; 1คร 7.36; 1คร 7.37; 1คร 7.40; 1คร 8.4; 1คร 8.5; 1คร 8.6; 1คร 8.7; 1คร 8.12; 1คร 9.4; 1คร 9.5; 1คร 9.6; 1คร 9.7; 1คร 9.10; 1คร 9.13; 1คร 10.1; 1คร 10.2; 1คร 10.3; 1คร 10.4; 1คร 10.7; 1คร 10.11; 1คร 10.17; 1คร 10.20; 1คร 10.21; 1คร 10.27; 1คร 10.28; 1คร 11.2; 1คร 11.3; 1คร 11.7; 1คร 11.9; 1คร 11.11; 1คร 11.16; 1คร 11.18; 1คร 11.21; 1คร 11.22; 1คร 11.26; 1คร 11.27; 1คร 11.28; 1คร 11.29; 1คร 11.30; 1คร 12.3; 1คร 12.8; 1คร 12.9; 1คร 12.10; 1คร 12.11; 1คร 12.12; 1คร 12.13; 1คร 12.16; 1คร 12.21; 1คร 12.23; 1คร 12.27; 1คร 12.28; 1คร 12.31; 1คร 13.1; 1คร 13.2; 1คร 13.3; 1คร 13.4; 1คร 13.7; 1คร 13.9; 1คร 14.1; 1คร 14.3; 1คร 14.6; 1คร 14.10; 1คร 14.11; 1คร 14.15; 1คร 14.21; 1คร 14.23; 1คร 14.24; 1คร 14.27; 1คร 14.28; 1คร 14.29; 1คร 14.31; 1คร 14.40; 1คร 15.2; 1คร 15.4; 1คร 15.9; 1คร 15.10; 1คร 15.11; 1คร 15.15; 1คร 15.17; 1คร 15.18; 1คร 15.20; 1คร 15.24; 1คร 15.30; 1คร 15.32; 1คร 15.34; 1คร 15.38; 1คร 15.40; 1คร 15.44; 1คร 15.47; 1คร 15.49; 1คร 15.50; 1คร 15.52; 1คร 15.53; 1คร 15.54; 1คร 15.56; 1คร 16.4; 1คร 16.6; 1คร 16.15; 1คร 16.16; 1คร 16.17; 1คร 16.18; 1คร 16.19; 1คร 16.24; 2คร 1.1; 2คร 1.2; 2คร 1.6; 2คร 1.10; 2คร 1.12; 2คร 1.13; 2คร 1.15; 2คร 1.16; 2คร 1.19; 2คร 1.21; 2คร 1.22; 2คร 2.3; 2คร 2.4; 2คร 2.7; 2คร 2.14; 2คร 2.15; 2คร 2.16; 2คร 2.17; 2คร 3.2; 2คร 3.3; 2คร 3.4; 2คร 3.7; 2คร 3.13; 2คร 3.17; 2คร 3.18; 2คร 4.2; 2คร 4.5; 2คร 4.14; 2คร 5.1; 2คร 5.5; 2คร 5.8; 2คร 5.11; 2คร 5.15; 2คร 5.18; 2คร 5.19; 2คร 6.7; 2คร 6.8; 2คร 6.11; 2คร 6.14; 2คร 6.16; 2คร 6.17; 2คร 6.18; 2คร 7.1; 2คร 7.4; 2คร 7.7; 2คร 7.10; 2คร 7.11; 2คร 7.15; 2คร 8.2; 2คร 8.4; 2คร 8.7; 2คร 8.10; 2คร 8.13; 2คร 8.14; 2คร 8.15; 2คร 8.19; 2คร 8.22; 2คร 8.23; 2คร 8.24; 2คร 9.2; 2คร 9.3; 2คร 9.4; 2คร 9.5; 2คร 9.8; 2คร 9.10; 2คร 9.13; 2คร 9.14; 2คร 10.1; 2คร 10.5; 2คร 10.6; 2คร 10.10; 2คร 10.12; 2คร 10.13; 2คร 11.1; 2คร 11.9; 2คร 11.27; 2คร 11.28; 2คร 11.29; 2คร 12.1; 2คร 12.4; 2คร 12.6; 2คร 12.7; 2คร 12.12; 2คร 12.14; 2คร 12.15; 2คร 12.18; 2คร 12.19; 2คร 12.20; 2คร 12.21; 2คร 13.2; 2คร 13.9; 2คร 13.11; 2คร 13.14; กท 1.1; กท 1.2; กท 1.3; กท 1.6; กท 1.7; กท 1.13; กท 1.14; กท 1.15; กท 1.16; กท 1.17; กท 1.18; กท 1.21; กท 1.22; กท 2.1; กท 2.2; กท 2.9; กท 2.13; กท 2.15; กท 2.20; กท 3.5; กท 3.6; กท 3.8; กท 3.16; กท 3.19; กท 3.29; กท 4.2; กท 4.4; กท 4.6; กท 4.7; กท 4.9; กท 4.10; กท 4.14; กท 4.20; กท 5.1; กท 5.5; กท 5.15; กท 5.16; กท 5.17; กท 5.21; กท 5.24; กท 5.26; กท 6.10; กท 6.14; กท 6.16; อฟ 1.1; อฟ 1.2; อฟ 1.4; อฟ 1.8; อฟ 1.10; อฟ 1.11; อฟ 1.13; อฟ 1.15; อฟ 1.17; อฟ 1.18; อฟ 1.19; อฟ 1.20; อฟ 1.21; อฟ 1.22; อฟ 2.1; อฟ 2.3; อฟ 2.6; อฟ 2.8; อฟ 2.11; อฟ 2.12; อฟ 2.14; อฟ 2.15; อฟ 2.16; อฟ 2.17; อฟ 2.19; อฟ 2.20; อฟ 2.21; อฟ 2.22; อฟ 3.3; อฟ 3.4; อฟ 3.5; อฟ 3.6; อฟ 3.9; อฟ 3.10; อฟ 3.12; อฟ 3.15; อฟ 3.18; อฟ 3.19; อฟ 4.2; อฟ 4.4; อฟ 4.6; อฟ 4.8; อฟ 4.11; อฟ 4.13; อฟ 4.14; อฟ 4.16; อฟ 4.17; อฟ 4.18; อฟ 4.21; อฟ 4.23; อฟ 4.24; อฟ 4.25; อฟ 4.27; อฟ 4.29; อฟ 4.30; อฟ 4.31; อฟ 4.32; อฟ 5.2; อฟ 5.3; อฟ 5.4; อฟ 5.5; อฟ 5.9; อฟ 5.11; อฟ 5.14; อฟ 5.18; อฟ 5.19; อฟ 5.23; อฟ 5.25; อฟ 5.26; อฟ 5.29; อฟ 5.30; อฟ 5.31; อฟ 5.33; อฟ 6.3; อฟ 6.4; อฟ 6.9; อฟ 6.10; อฟ 6.12; อฟ 6.13; อฟ 6.15; อฟ 6.16; อฟ 6.17; อฟ 6.18; อฟ 6.19; อฟ 6.21; อฟ 6.22; อฟ 6.23; อฟ 6.24; ฟป 1.1; ฟป 1.2; ฟป 1.4; ฟป 1.7; ฟป 1.9; ฟป 1.10; ฟป 1.11; ฟป 1.13; ฟป 1.14; ฟป 1.15; ฟป 1.18; ฟป 1.19; ฟป 1.20; ฟป 1.21; ฟป 1.25; ฟป 1.28; ฟป 1.30; ฟป 2.1; ฟป 2.2; ฟป 2.7; ฟป 2.8; ฟป 2.9; ฟป 2.11; ฟป 2.12; ฟป 2.13; ฟป 2.14; ฟป 2.15; ฟป 2.16; ฟป 2.17; ฟป 2.18; ฟป 2.25; ฟป 2.26; ฟป 2.27; ฟป 2.28; ฟป 2.29; ฟป 3.3; ฟป 3.8; ฟป 3.9; ฟป 3.10; ฟป 3.13; ฟป 3.15; ฟป 3.17; ฟป 3.18; ฟป 4.1; ฟป 4.2; ฟป 4.3; ฟป 4.7; ฟป 4.9; ฟป 4.12; ฟป 4.15; ฟป 4.18; ฟป 4.19; ฟป 4.23; คส 1.1; คส 1.2; คส 1.4; คส 1.6; คส 1.9; คส 1.10; คส 1.11; คส 1.13; คส 1.16; คส 1.17; คส 1.20; คส 1.21; คส 1.22; คส 1.23; คส 1.26; คส 1.28; คส 2.1; คส 2.2; คส 2.3; คส 2.5; คส 2.7; คส 2.8; คส 2.10; คส 2.13; คส 2.14; คส 2.15; คส 2.18; คส 2.19; คส 2.22; คส 2.23; คส 3.3; คส 3.5; คส 3.10; คส 3.11; คส 3.12; คส 3.13; คส 3.15; คส 3.16; คส 3.17; คส 3.19; คส 3.25; คส 4.1; คส 4.3; คส 4.7; คส 4.8; คส 4.9; คส 4.10; คส 4.11; คส 4.12; คส 4.13; คส 4.15; คส 4.16; คส 4.17; คส 4.18; 1ธส 1.1; 1ธส 1.2; 1ธส 1.3; 1ธส 1.5; 1ธส 1.6; 1ธส 1.7; 1ธส 1.8; 1ธส 1.9; 1ธส 1.10; 1ธส 2.2; 1ธส 2.6; 1ธส 2.9; 1ธส 2.10; 1ธส 2.11; 1ธส 2.12; 1ธส 2.15; 1ธส 2.20; 1ธส 3.2; 1ธส 3.6; 1ธส 3.7; 1ธส 3.10; 1ธส 3.11; 1ธส 3.12; 1ธส 4.1; 1ธส 4.4; 1ธส 4.6; 1ธส 4.11; 1ธส 4.12; 1ธส 4.14; 1ธส 4.15; 1ธส 4.16; 1ธส 4.17; 1ธส 5.1; 1ธส 5.3; 1ธส 5.5; 1ธส 5.6; 1ธส 5.7; 1ธส 5.8; 1ธส 5.11; 1ธส 5.12; 1ธส 5.13; 1ธส 5.14; 1ธส 5.15; 1ธส 5.23; 1ธส 5.24; 2ธส 1.1; 2ธส 1.2; 2ธส 1.3; 2ธส 1.4; 2ธส 1.7; 2ธส 1.8; 2ธส 1.9; 2ธส 1.10; 2ธส 1.11; 2ธส 1.12; 2ธส 2.1; 2ธส 2.3; 2ธส 2.4; 2ธส 2.6; 2ธส 2.8; 2ธส 2.9; 2ธส 2.10; 2ธส 2.13; 2ธส 2.15; 2ธส 2.16; 2ธส 2.17; 2ธส 3.1; 2ธส 3.2; 2ธส 3.3; 2ธส 3.4; 2ธส 3.5; 2ธส 3.6; 2ธส 3.8; 2ธส 3.12; 2ธส 3.16; 1ทธ 1.1; 1ทธ 1.2; 1ทธ 1.4; 1ทธ 1.5; 1ทธ 1.7; 1ทธ 1.9; 1ทธ 1.10; 1ทธ 1.13; 1ทธ 1.14; 1ทธ 1.15; 1ทธ 1.17; 1ทธ 1.19; 1ทธ 1.20; 1ทธ 2.1; 1ทธ 2.2; 1ทธ 2.3; 1ทธ 2.4; 1ทธ 2.5; 1ทธ 2.7; 1ทธ 2.8; 1ทธ 2.9; 1ทธ 2.11; 1ทธ 2.14; 1ทธ 2.15; 1ทธ 3.6; 1ทธ 3.7; 1ทธ 3.9; 1ทธ 3.10; 1ทธ 3.11; 1ทธ 3.12; 1ทธ 3.13; 1ทธ 3.15; 1ทธ 3.16; 1ทธ 4.1; 1ทธ 4.3; 1ทธ 4.5; 1ทธ 4.6; 1ทธ 4.7; 1ทธ 4.8; 1ทธ 4.9; 1ทธ 4.10; 1ทธ 4.11; 1ทธ 4.12; 1ทธ 4.13; 1ทธ 4.16; 1ทธ 5.1; 1ทธ 5.2; 1ทธ 5.4; 1ทธ 5.5; 1ทธ 5.8; 1ทธ 5.10; 1ทธ 5.13; 1ทธ 5.14; 1ทธ 5.17; 1ทธ 5.18; 1ทธ 5.21; 1ทธ 5.22; 1ทธ 5.23; 1ทธ 5.25; 1ทธ 6.1; 1ทธ 6.2; 1ทธ 6.3; 1ทธ 6.4; 1ทธ 6.5; 1ทธ 6.8; 1ทธ 6.9; 1ทธ 6.10; 1ทธ 6.11; 1ทธ 6.13; 1ทธ 6.14; 1ทธ 6.15; 1ทธ 6.16; 1ทธ 6.19; 1ทธ 6.20; 2ทธ 1.2; 2ทธ 1.5; 2ทธ 1.7; 2ทธ 1.9; 2ทธ 1.10; 2ทธ 1.11; 2ทธ 1.12; 2ทธ 1.13; 2ทธ 1.15; 2ทธ 1.16; 2ทธ 1.18; 2ทธ 2.5; 2ทธ 2.9; 2ทธ 2.14; 2ทธ 2.16; 2ทธ 2.17; 2ทธ 2.18; 2ทธ 2.19; 2ทธ 2.20; 2ทธ 2.21; 2ทธ 2.22; 2ทธ 2.23; 2ทธ 2.24; 2ทธ 2.26; 2ทธ 3.8; 2ทธ 3.11; 2ทธ 3.13; 2ทธ 3.14; 2ทธ 3.15; 2ทธ 3.16; 2ทธ 4.1; 2ทธ 4.2; 2ทธ 4.4; 2ทธ 4.5; 2ทธ 4.6; 2ทธ 4.8; 2ทธ 4.10; 2ทธ 4.11; 2ทธ 4.13; 2ทธ 4.17; 2ทธ 4.18; 2ทธ 4.19; 2ทธ 4.21; ทต 1.1; ทต 1.4; ทต 1.5; ทต 1.6; ทต 1.7; ทต 1.9; ทต 1.10; ทต 1.14; ทต 1.15; ทต 1.16; ทต 2.2; ทต 2.4; ทต 2.5; ทต 2.8; ทต 2.9; ทต 2.12; ทต 2.13; ทต 2.14; ทต 2.15; ทต 3.1; ทต 3.3; ทต 3.4; ทต 3.5; ทต 3.8; ทต 3.9; ทต 3.10; ทต 3.11; ฟม 1.2; ฟม 1.3; ฟม 1.5; ฟม 1.7; ฟม 1.9; ฟม 1.11; ฟม 1.16; ฟม 1.19; ฟม 1.24; ฟม 1.25; ฮบ 1.3; ฮบ 1.5; ฮบ 1.6; ฮบ 1.7; ฮบ 1.8; ฮบ 1.9; ฮบ 1.10; ฮบ 1.12; ฮบ 2.2; ฮบ 2.3; ฮบ 2.4; ฮบ 2.6; ฮบ 2.7; ฮบ 2.9; ฮบ 2.10; ฮบ 2.11; ฮบ 2.13; ฮบ 2.14; ฮบ 2.15; ฮบ 2.17; ฮบ 3.1; ฮบ 3.6; ฮบ 3.9; ฮบ 3.10; ฮบ 3.12; ฮบ 3.17; ฮบ 3.18; ฮบ 4.4; ฮบ 4.5; ฮบ 4.6; ฮบ 4.12; ฮบ 4.13; ฮบ 4.16; ฮบ 5.1; ฮบ 5.2; ฮบ 5.4; ฮบ 5.7; ฮบ 5.9; ฮบ 5.11; ฮบ 5.12; ฮบ 6.1; ฮบ 6.2; ฮบ 6.4; ฮบ 6.5; ฮบ 6.6; ฮบ 6.7; ฮบ 6.8; ฮบ 6.9; ฮบ 6.10; ฮบ 6.11; ฮบ 6.12; ฮบ 6.16; ฮบ 6.19; ฮบ 7.1; ฮบ 7.3; ฮบ 7.5; ฮบ 7.6; ฮบ 7.8; ฮบ 7.15; ฮบ 7.18; ฮบ 7.19; ฮบ 7.21; ฮบ 8.2; ฮบ 8.3; ฮบ 8.5; ฮบ 8.8; ฮบ 8.10; ฮบ 8.11; ฮบ 8.12; ฮบ 8.13; ฮบ 9.1; ฮบ 9.2; ฮบ 9.3; ฮบ 9.4; ฮบ 9.5; ฮบ 9.7; ฮบ 9.9; ฮบ 9.10; ฮบ 9.11; ฮบ 9.12; ฮบ 9.13; ฮบ 9.19; ฮบ 9.22; ฮบ 9.24; ฮบ 9.27; ฮบ 10.4; ฮบ 10.5; ฮบ 10.6; ฮบ 10.8; ฮบ 10.11; ฮบ 10.15; ฮบ 10.16; ฮบ 10.17; ฮบ 10.20; ฮบ 10.21; ฮบ 10.22; ฮบ 10.24; ฮบ 10.25; ฮบ 10.27; ฮบ 10.29; ฮบ 10.30; ฮบ 10.33; ฮบ 10.34; ฮบ 10.37; ฮบ 11.6; ฮบ 11.7; ฮบ 11.8; ฮบ 11.9; ฮบ 11.10; ฮบ 11.11; ฮบ 11.12; ฮบ 11.13; ฮบ 11.15; ฮบ 11.19; ฮบ 11.20; ฮบ 11.21; ฮบ 11.22; ฮบ 11.23; ฮบ 11.28; ฮบ 11.32; ฮบ 11.36; ฮบ 11.37; ฮบ 11.38; ฮบ 12.1; ฮบ 12.2; ฮบ 12.5; ฮบ 12.6; ฮบ 12.9; ฮบ 12.12; ฮบ 12.13; ฮบ 12.14; ฮบ 12.15; ฮบ 12.16; ฮบ 12.18; ฮบ 12.19; ฮบ 12.22; ฮบ 12.23; ฮบ 12.24; ฮบ 12.27; ฮบ 12.28; ฮบ 13.4; ฮบ 13.7; ฮบ 13.8; ฮบ 13.10; ฮบ 13.13; ฮบ 13.16; ฮบ 13.17; ฮบ 13.18; ฮบ 13.19; ฮบ 13.21; ฮบ 13.24; ฮบ 13.25; ยก 1.1; ยก 1.4; ยก 1.5; ยก 1.10; ยก 1.11; ยก 1.13; ยก 1.15; ยก 1.17; ยก 1.21; ยก 1.23; ยก 1.25; ยก 1.26; ยก 1.27; ยก 2.2; ยก 2.3; ยก 2.4; ยก 2.5; ยก 2.6; ยก 2.9; ยก 2.12; ยก 2.15; ยก 2.16; ยก 2.18; ยก 2.19; ยก 2.22; ยก 2.23; ยก 2.24; ยก 2.25; ยก 3.2; ยก 3.4; ยก 3.5; ยก 3.6; ยก 3.7; ยก 3.8; ยก 3.9; ยก 3.10; ยก 3.11; ยก 3.12; ยก 3.13; ยก 3.14; ยก 3.15; ยก 3.16; ยก 3.17; ยก 3.18; ยก 4.1; ยก 4.2; ยก 4.3; ยก 4.7; ยก 4.8; ยก 4.9; ยก 4.10; ยก 4.11; ยก 4.12; ยก 4.13; ยก 4.15; ยก 4.17; ยก 5.2; ยก 5.3; ยก 5.4; ยก 5.5; ยก 5.6; ยก 5.7; ยก 5.10; ยก 5.11; ยก 5.12; ยก 5.14; ยก 5.15; ยก 5.16; ยก 5.17; ยก 5.18; ยก 5.19; ยก 5.20; 1ปต 1.1; 1ปต 1.2; 1ปต 1.4; 1ปต 1.7; 1ปต 1.8; 1ปต 1.10; 1ปต 1.11; 1ปต 1.13; 1ปต 1.17; 1ปต 1.18; 1ปต 1.21; 1ปต 1.23; 1ปต 1.24; 1ปต 2.1; 1ปต 2.4; 1ปต 2.5; 1ปต 2.6; 1ปต 2.8; 1ปต 2.11; 1ปต 2.14; 1ปต 2.18; 1ปต 2.20; 1ปต 2.22; 1ปต 2.25; 1ปต 3.3; 1ปต 3.4; 1ปต 3.5; 1ปต 3.6; 1ปต 3.7; 1ปต 3.10; 1ปต 3.11; 1ปต 3.12; 1ปต 3.14; 1ปต 3.15; 1ปต 3.19; 1ปต 3.22; 1ปต 4.3; 1ปต 4.5; 1ปต 4.7; 1ปต 4.11; 1ปต 4.14; 1ปต 4.17; 1ปต 4.18; 1ปต 5.1; 1ปต 5.3; 1ปต 5.4; 1ปต 5.10; 1ปต 5.11; 1ปต 5.12; 1ปต 5.13; 2ปต 1.1; 2ปต 1.2; 2ปต 1.3; 2ปต 1.4; 2ปต 1.7; 2ปต 1.9; 2ปต 1.10; 2ปต 1.11; 2ปต 1.12; 2ปต 1.16; 2ปต 1.17; 2ปต 1.18; 2ปต 1.19; 2ปต 2.1; 2ปต 2.2; 2ปต 2.3; 2ปต 2.4; 2ปต 2.5; 2ปต 2.6; 2ปต 2.7; 2ปต 2.8; 2ปต 2.9; 2ปต 2.10; 2ปต 2.11; 2ปต 2.12; 2ปต 2.13; 2ปต 2.14; 2ปต 2.16; 2ปต 2.18; 2ปต 2.20; 2ปต 2.22; 2ปต 3.1; 2ปต 3.2; 2ปต 3.3; 2ปต 3.4; 2ปต 3.5; 2ปต 3.7; 2ปต 3.8; 2ปต 3.10; 2ปต 3.11; 2ปต 3.12; 2ปต 3.13; 2ปต 3.14; 2ปต 3.15; 2ปต 3.16; 2ปต 3.17; 2ปต 3.18; 1ยน 1.1; 1ยน 1.2; 1ยน 1.3; 1ยน 1.4; 1ยน 1.5; 1ยน 1.6; 1ยน 1.7; 1ยน 1.8; 1ยน 1.9; 1ยน 1.10; 1ยน 2.1; 1ยน 2.2; 1ยน 2.4; 1ยน 2.8; 1ยน 2.9; 1ยน 2.10; 1ยน 2.11; 1ยน 2.14; 1ยน 2.16; 1ยน 2.17; 1ยน 2.18; 1ยน 2.20; 1ยน 2.21; 1ยน 2.22; 1ยน 2.24; 1ยน 2.27; 1ยน 2.28; 1ยน 3.2; 1ยน 3.3; 1ยน 3.5; 1ยน 3.6; 1ยน 3.9; 1ยน 3.10; 1ยน 3.12; 1ยน 3.15; 1ยน 3.16; 1ยน 3.17; 1ยน 3.18; 1ยน 3.19; 1ยน 3.20; 1ยน 3.22; 1ยน 3.23; 1ยน 3.24; 1ยน 4.3; 1ยน 4.4; 1ยน 4.5; 1ยน 4.6; 1ยน 4.7; 1ยน 4.10; 1ยน 4.12; 1ยน 4.13; 1ยน 4.14; 1ยน 4.15; 1ยน 4.16; 1ยน 4.18; 1ยน 4.20; 1ยน 5.1; 1ยน 5.2; 1ยน 5.3; 1ยน 5.4; 1ยน 5.6; 1ยน 5.7; 1ยน 5.8; 1ยน 5.11; 1ยน 5.13; 1ยน 5.14; 1ยน 5.15; 1ยน 5.16; 1ยน 5.18; 1ยน 5.19; 1ยน 5.20; 2ยน 1.1; 2ยน 1.2; 2ยน 1.3; 2ยน 1.5; 2ยน 1.6; 2ยน 1.7; 2ยน 1.9; 2ยน 1.10; 2ยน 1.12; 3ยน 1.2; 3ยน 1.3; 3ยน 1.5; 3ยน 1.7; 3ยน 1.10; 3ยน 1.12; 3ยน 1.13; 3ยน 1.14; ยด 1.1; ยด 1.2; ยด 1.4; ยด 1.6; ยด 1.7; ยด 1.8; ยด 1.11; ยด 1.12; ยด 1.15; ยด 1.16; ยด 1.19; ยด 1.22; ยด 1.23; ยด 1.24; ยด 1.25; วว 1.1; วว 1.2; วว 1.3; วว 1.4; วว 1.5; วว 1.6; วว 1.7; วว 1.8; วว 1.9; วว 1.10; วว 1.11; วว 1.13; วว 1.14; วว 1.16; วว 1.17; วว 1.18; วว 1.19; วว 1.20; วว 2.1; วว 2.2; วว 2.3; วว 2.5; วว 2.8; วว 2.9; วว 2.10; วว 2.13; วว 2.14; วว 2.15; วว 2.16; วว 2.17; วว 2.18; วว 2.19; วว 2.20; วว 2.22; วว 2.23; วว 2.24; วว 2.26; วว 2.27; วว 2.28; วว 3.1; วว 3.2; วว 3.3; วว 3.4; วว 3.5; วว 3.8; วว 3.9; วว 3.12; วว 3.14; วว 3.16; วว 3.17; วว 3.18; วว 3.19; วว 3.20; วว 3.21; วว 4.1; วว 4.2; วว 4.3; วว 4.4; วว 4.5; วว 4.6; วว 4.7; วว 4.8; วว 4.9; วว 4.10; วว 4.11; วว 5.1; วว 5.2; วว 5.3; วว 5.4; วว 5.5; วว 5.6; วว 5.7; วว 5.8; วว 5.9; วว 5.10; วว 5.11; วว 5.12; วว 5.13; วว 5.14; วว 6.1; วว 6.2; วว 6.4; วว 6.5; วว 6.6; วว 6.8; วว 6.9; วว 6.10; วว 6.11; วว 6.12; วว 6.13; วว 6.14; วว 6.15; วว 6.16; วว 6.17; วว 7.2; วว 7.4; วว 7.9; วว 7.10; วว 7.11; วว 7.12; วว 7.13; วว 7.15; วว 7.16; วว 7.17; วว 8.3; วว 8.4; วว 8.5; วว 8.6; วว 8.7; วว 8.8; วว 8.9; วว 8.10; วว 8.11; วว 8.12; วว 8.13; วว 9.1; วว 9.2; วว 9.4; วว 9.5; วว 9.10; วว 9.15; วว 9.16; วว 9.17; วว 9.18; วว 9.19; วว 9.20; วว 9.21; วว 10.1; วว 10.2; วว 10.5; วว 10.6; วว 10.8; วว 10.9; วว 10.11; วว 11.1; วว 11.2; วว 11.3; วว 11.4; วว 11.6; วว 11.7; วว 11.8; วว 11.9; วว 11.10; วว 11.11; วว 11.12; วว 11.13; วว 11.15; วว 11.16; วว 11.17; วว 11.18; วว 11.19; วว 12.1; วว 12.2; วว 12.3; วว 12.4; วว 12.5; วว 12.6; วว 12.7; วว 12.8; วว 12.9; วว 12.10; วว 12.11; วว 12.12; วว 12.14; วว 12.17; วว 13.1; วว 13.2; วว 13.4; วว 13.5; วว 13.6; วว 13.7; วว 13.8; วว 13.10; วว 13.11; วว 13.12; วว 13.14; วว 13.15; วว 13.16; วว 14.1; วว 14.2; วว 14.3; วว 14.4; วว 14.6; วว 14.7; วว 14.9; วว 14.10; วว 14.11; วว 14.12; วว 14.13; วว 14.14; วว 14.15; วว 14.16; วว 14.17; วว 14.18; วว 14.19; วว 14.20; วว 15.1; วว 15.2; วว 15.3; วว 15.4; วว 15.5; วว 15.6; วว 15.7; วว 15.8; วว 16.2; วว 16.3; วว 16.4; วว 16.5; วว 16.6; วว 16.7; วว 16.8; วว 16.9; วว 16.10; วว 16.11; วว 16.13; วว 16.15; วว 16.16; วว 16.17; วว 16.18; วว 16.19; วว 16.20; วว 16.21; วว 17.1; วว 17.2; วว 17.3; วว 17.4; วว 17.5; วว 17.6; วว 17.7; วว 17.8; วว 17.10; วว 17.11; วว 17.13; วว 17.14; วว 17.15; วว 17.16; วว 17.17; วว 17.18; วว 18.1; วว 18.2; วว 18.3; วว 18.4; วว 18.5; วว 18.6; วว 18.7; วว 18.8; วว 18.9; วว 18.10; วว 18.13; วว 18.14; วว 18.16; วว 18.17; วว 18.18; วว 18.19; วว 18.20; วว 18.21; วว 18.22; วว 18.23; วว 18.24; วว 19.1; วว 19.2; วว 19.4; วว 19.5; วว 19.6; วว 19.7; วว 19.8; วว 19.9; วว 19.10; วว 19.11; วว 19.12; วว 19.13; วว 19.14; วว 19.15; วว 19.16; วว 19.18; วว 19.19; วว 19.20; วว 19.21; วว 20.1; วว 20.2; วว 20.4; วว 20.6; วว 20.8; วว 20.9; วว 20.10; วว 20.11; วว 20.12; วว 20.13; วว 20.14; วว 20.15; วว 21.1; วว 21.2; วว 21.3; วว 21.4; วว 21.5; วว 21.6; วว 21.7; วว 21.8; วว 21.10; วว 21.12; วว 21.14; วว 21.15; วว 21.16; วว 21.18; วว 21.21; วว 21.22; วว 21.23; วว 21.24; วว 21.26; วว 22.1; วว 22.2; วว 22.3; วว 22.4; วว 22.5; วว 22.6; วว 22.8; วว 22.9; วว 22.10; วว 22.11; วว 22.12; วว 22.13; วว 22.14; วว 22.15; วว 22.16; วว 22.17; วว 22.19

โล่ ( 76 )
ปฐก 15.1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระดำรัสของพระเยโฮวาห์มาถึงอับรามด้วยนิมิตว่า “อับราม อย่ากลัวเลย เราเป็นโล่ของเจ้าและเป็นบำเหน็จยิ่งใหญ่ของเจ้า”
พบญ 33.29 โอ อิสราเอล ท่านทั้งหลายเป็นสุขแท้ๆ ใครเหมือนท่านบ้าง โอ ชนชาติที่รอดมาด้วยพระเยโฮวาห์ทรงช่วย เป็นโล่ช่วยท่าน เป็นดาบแห่งความยอดเยี่ยมของท่าน ท่านจะพบว่าพวกศัตรูเป็นผู้มุสาทั้งสิ้น ท่านจะเหยียบย่ำไปบนปูชนียสถานสูงของเขา”
วนฉ 5.8 เมื่อเลือกนับถือพระใหม่ สงครามก็ประชิดเข้ามาถึงประตูเมือง เห็นมีโล่หรือหอกสักอันหนึ่งในพลอิสราเอลสี่หมื่นคนหรือ
1ซมอ 17.7 ด้ามหอกนั้นเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ตัวหอกหนักหกร้อยเชเขลเป็นเหล็ก ทหารถือโล่ของเขาเดินออกหน้า
1ซมอ 17.41 คนฟีลิสเตียนั้นก็ออกมาใกล้ดาวิด พร้อมกับคนถือโล่เดินออกหน้า
2ซมอ 1.21 เทือกเขากิลโบอาเอ๋ย ขออย่ามีน้ำค้างหรือฝนบนเจ้าหรือทุ่งนาที่ให้ของถวาย เพราะว่าที่นั่นโล่ของวีรบุรุษถูกทอดทิ้งแล้ว โล่ของซาอูลเหมือนกับว่าพระองค์มิได้เจิมไว้ด้วยน้ำมัน
2ซมอ 8.7 และดาวิดทรงนำโล่ทองคำที่ข้าราชการทหารของฮาดัดเอเซอร์ถือนั้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
2ซมอ 22.3 เป็นพระเจ้าซึ่งทรงเป็นศิลาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์ พระองค์เป็นโล่และเป็นเขาแห่งความรอดของข้าพเจ้า เป็นที่กำบังเข้มแข็งและเป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า องค์พระผู้ช่วยของข้าพระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความทารุณ
2ซมอ 22.36 พระองค์ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์ให้ข้าพระองค์ และซึ่งพระองค์ทรงน้อมพระทัยลงก็กระทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น
1พกษ 10.16 กษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างโล่ใหญ่สองร้อยอันด้วยทองคำทุบ โล่อันหนึ่งใช้ทองคำหกร้อยเชเขล
1พกษ 10.17 และพระองค์ทรงสร้างโล่สามร้อยอันด้วยทองคำทุบ โล่อันหนึ่งใช้ทองคำสามมาเน และกษัตริย์ทรงเก็บโล่ไว้ในพระตำหนักพนาเลบานอน
1พกษ 14.26 ท่านได้เก็บทรัพย์สมบัติในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และทรัพย์สมบัติในพระราชวังของกษัตริย์ ท่านได้เก็บไปเสียทุกอย่าง และท่านได้เก็บโล่ทองคำซึ่งซาโลมอนได้สร้างนั้นไปหมดด้วย
1พกษ 14.27 และกษัตริย์เรโหโบอัมได้กระทำโล่ทองสัมฤทธิ์แทนไว้ และมอบไว้ในมือของพวกทหารรักษาพระองค์ผู้เฝ้าทวารพระราชวัง
1พกษ 14.28 เมื่อกษัตริย์เสด็จเข้าไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ทหารรักษาพระองค์ก็ถือโล่ออก แล้วนำกลับไปเก็บไว้ในห้องทหารรักษาพระองค์ตามเดิม
2พกษ 11.10 และปุโรหิตก็มอบหอกและโล่ซึ่งอยู่ในพระวิหารของพระเยโฮวาห์ อันเป็นของกษัตริย์ดาวิดแก่นายทัพนายกอง
2พกษ 19.32 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จึงตรัสเกี่ยวกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียดังนี้ว่า ‘ท่านจะไม่เข้าในนครนี้หรือยิงลูกธนูไปที่นั่น หรือถือโล่เข้ามาข้างหน้านคร หรือสร้างเชิงเทินสู้มัน
1พศด 12.8 มีทแกล้วทหารและผู้ชำนาญศึกจากคนกาดหนีเข้าไปหาดาวิด ณ ที่กำบังเข้มแข็งในถิ่นทุรกันดาร เขาชำนาญโล่และดั้ง ผู้ซึ่งหน้าของเขาเหมือนหน้าสิงโต และผู้ซึ่งรวดเร็วเหมือนละมั่งบนภูเขา
1พศด 12.24 คนยูดาห์ที่ถือโล่และหอกมีหกพันแปดร้อย เป็นทหารติดอาวุธพร้อมสำหรับสงคราม
1พศด 12.34 จากคนนัฟทาลี ผู้บังคับบัญชาหนึ่งพัน ซึ่งมีคนติดโล่และหอกมาด้วยสามหมื่นเจ็ดพันคน
1พศด 18.7 ดาวิดทรงยึดโล่ทองคำที่ผู้รับใช้ของฮาดัดเอเซอร์ถือ และทรงนำมาที่เยรูซาเล็ม
2พศด 9.15 กษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างโล่ใหญ่สองร้อยอันด้วยทองคำทุบ โล่อันหนึ่งใช้ทองคำทุบหกร้อยเชเขล
2พศด 9.16 และพระองค์ทรงสร้างโล่สามร้อยอันด้วยทองคำทุบ โล่อันหนึ่งใช้ทองคำสามร้อยเชเขล และกษัตริย์ก็ทรงเก็บโล่ไว้ในพระตำหนักพนาเลบานอน
2พศด 11.12 และพระองค์ทรงเก็บโล่และหอกไว้ในหัวเมืองทั้งปวง และกระทำให้หัวเมืองเหล่านั้นแข็งแรงมาก พระองค์จึงทรงยึดยูดาห์และเบนยามินไว้ได้
2พศด 12.9 ชิชักกษัตริย์แห่งอียิปต์จึงขึ้นมาต่อสู้เยรูซาเล็ม พระองค์ทรงเก็บเอาทรัพย์สินแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และทรัพย์สมบัติในพระราชวัง พระองค์ทรงเก็บเอาไปทุกอย่าง พระองค์ทรงเก็บเอาโล่ทองคำซึ่งซาโลมอนทรงสร้างไว้นั้นไปด้วย
2พศด 12.10 และกษัตริย์เรโหโบอัมทรงทำโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทน และได้มอบไว้ในมือของทหารรักษาพระองค์ ผู้เฝ้าทวารพระราชวัง
2พศด 12.11 และกษัตริย์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์เมื่อไร ทหารรักษาพระองค์ก็มาถือโล่นั้น แล้วนำกลับไปเก็บไว้ในห้องทหารรักษาพระองค์ตามเดิม
2พศด 14.8 และอาสาทรงมีกองทัพสรรพด้วยโล่ใหญ่และหอกจากยูดาห์สามแสนคน และจากเบนยามินซึ่งถือโล่และโก่งธนูสองแสนแปดหมื่นคน ทั้งสิ้นเป็นทแกล้วทหาร
2พศด 17.17 ของเบนยามินคือ เอลียาดา ทแกล้วทหารพร้อมกับคนสองแสนสรรพด้วยธนูและโล่
2พศด 23.9 และเยโฮยาดาปุโรหิตได้มอบหอกกับดั้งและโล่ซึ่งเป็นของกษัตริย์ดาวิดนั้น ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าให้ผู้บังคับบัญชากองร้อย
2พศด 25.5 แล้วอามาซิยาห์ได้ประชุมพวกยูดาห์ และให้เขาอยู่ภายใต้ผู้บังคับกองพันและผู้บังคับกองร้อยตามเรือนบรรพบุรุษของเขา คือยูดาห์และเบนยามินทั้งสิ้น พระองค์ได้ทรงนับคนที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไปและทรงเห็นว่ามีชายฉกรรจ์สามแสนคน สามารถเข้าทำสงคราม สามารถถือหอกและโล่
2พศด 26.14 และอุสซียาห์ทรงเตรียมโล่ หอก หมวกเหล็ก เสื้อเกราะ ธนู และก้อนหินสำหรับสลิงไว้สำหรับกองทัพ
2พศด 32.5 พระองค์ทรงประกอบกิจอย่างบึกบึน สร้างกำแพงที่ปรักหักพังนั้นทั่วไปใหม่ และสร้างหอคอยขึ้น และทรงสร้างกำแพงข้างนอกอีกชั้นหนึ่ง และพระองค์ทรงเสริมกำแพงป้อมมิลโลที่นครดาวิด ทรงสร้างหอกและโล่เป็นจำนวนมาก
2พศด 32.27 เฮเซคียาห์ทรงมีราชทรัพย์และเกียรติใหญ่ยิ่ง และพระองค์ทรงสร้างคลังไว้สำหรับพระองค์ เพื่อเก็บเงิน ทองคำ และเพชรพลอยต่างๆ เครื่องเทศ โล่ และสำหรับทรัพย์สินที่มีค่าทุกชนิด
นหม 4.16 ตั้งแต่วันนั้นมา ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าครึ่งหนึ่งทำการก่อสร้าง อีกครึ่งหนึ่งถือหอก โล่ คันธนู และเสื้อเกราะ บรรดาประมุขทั้งหลายหนุนหลังบรรดาวงศ์วานยูดาห์
สดด 3.3 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นโล่ล้อมรอบตัวข้าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสง่าราศีของข้าพระองค์ และทรงเป็นผู้ชูศีรษะของข้าพระองค์ไว้
สดด 5.12 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์จะทรงอำนวยพระพรแก่คนชอบธรรม พระองค์จะทรงคุ้มครองเขาไว้ด้วยความโปรดปรานประดุจเป็นโล่ป้องกันเขา
สดด 18.35 พระองค์ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์ให้ข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงค้ำจุนข้าพระองค์ และซึ่งพระองค์ทรงน้อมพระทัยลง ก็กระทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น
สดด 28.7 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นกำลังและเป็นโล่ของข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้รับความอุปถัมภ์ ฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงปีติยินดียิ่ง ข้าพเจ้าจะถวายโมทนาแก่พระองค์ด้วยบทเพลงของข้าพเจ้า
สดด 33.20 จิตวิญญาณของเราทั้งหลายรอคอยพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์และเป็นโล่ของเรา
สดด 35.2 ขอทรงถือโล่และดั้ง และทรงลุกขึ้นช่วยข้าพระองค์
สดด 47.9 บรรดาเจ้านายของชนชาติทั้งหลายประชุมกัน เป็นประชาชนของพระเจ้าแห่งอับราฮัม เพราะบรรดาโล่ของแผ่นดินโลกเป็นของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องอย่างสูง
สดด 59.11 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระโล่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขออย่าทรงสังหารเขาเสีย เกรงว่าชนชาติของข้าพระองค์จะลืม ขอให้เขาระหกระเหินไปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์และทำให้เขาล้มลง
สดด 76.3 ที่นั่นพระองค์ทรงหักลูกธนูทั้งโล่ ดาบ และการยุทธ์ เซลาห์
สดด 84.9 ขอทอดพระเนตร โอ ข้าแต่พระเจ้าโล่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทอดพระเนตรหน้าผู้รับเจิมของพระองค์
สดด 84.11 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงเป็นดวงอาทิตย์และเป็นโล่ พระเยโฮวาห์จะทรงปูนความกรุณาและเกียรติ พระองค์จะมิได้ทรงหวงของดีอันใดไว้เลยจากบุคคลผู้ดำเนินในความเที่ยงธรรม
สดด 91.4 พระองค์จะทรงปกท่านไว้ด้วยปีกของพระองค์ และท่านจะวางใจอยู่ใต้ปีกของพระองค์ ความจริงของพระองค์เป็นโล่และเป็นดั้งของท่าน
สดด 115.9 โอ อิสราเอลเอ๋ย จงวางใจในพระเยโฮวาห์เถิด พระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์และเป็นโล่ของเขาทั้งหลาย
สดด 115.10 โอ วงศ์วานอาโรนเอ๋ย จงวางใจในพระเยโฮวาห์เถิด พระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์และเป็นโล่ของเขาทั้งหลาย
สดด 115.11 ท่านผู้เกรงกลัวพระเยโฮวาห์เอ๋ย จงวางใจในพระเยโฮวาห์เถิด พระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์และเป็นโล่ของเขาทั้งหลาย
สดด 119.114 พระองค์ทรงเป็นที่ซ่อนและเป็นโล่ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์หวังในพระวจนะของพระองค์
สดด 144.2 ทรงเป็นความดีและป้อมปราการของข้าพระองค์ เป็นที่กำบังเข้มแข็ง และเป็นผู้ช่วยให้พ้นของข้าพระองค์ เป็นโล่ของข้าพระองค์ และเป็นผู้ซึ่งข้าพระองค์วางใจอยู่ ผู้ทรงปราบชนชาติทั้งหลายไว้ใต้ข้าพระองค์
สภษ 30.5 พระวจนะทุกคำของพระเจ้านั้นก็บริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นโล่แก่บรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์
พซม 4.4 ลำคอของเธอดุจป้อมของดาวิดที่ได้ก่อสร้างไว้เพื่อเก็บเครื่องอาวุธ มีดั้งพันหนึ่งแขวนไว้ ทั้งหมดเป็นโล่ของทแกล้วทหาร
อสย 21.5 จงเตรียมสำรับไว้ จงเฝ้าอยู่บนหอคอย จงกิน จงดื่ม เจ้านายทั้งหลายเอ๋ย จงลุกขึ้นชโลมโล่ไว้ด้วยน้ำมัน
อสย 22.6 เอลามหยิบแล่งธนู กับเหล่ารถรบพร้อมพลรบและพลม้าและคีร์ก็เผยโล่
อสย 37.33 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จึงตรัสเกี่ยวกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียดังนี้ว่า ‘ท่านจะไม่เข้าในนครนี้หรือยิงลูกธนูไปที่นั่น หรือถือโล่เข้ามาข้างหน้านคร หรือสร้างเชิงเทินสู้มัน
ยรม 46.3 “จงเตรียมดั้งและโล่ และประชิดเข้าสงคราม
ยรม 46.9 ม้าทั้งหลายเอ๋ย รุดหน้าไปเถิด รถรบทั้งหลายเอ๋ย เดือดดาลเข้าเถิด จงให้นักรบออกไป คือคนเอธิโอเปียและคนพูต ผู้ถือโล่ คนลูดิม นักถือและโก่งธนู
ยรม 51.11 จงฝนลูกธนู จงหยิบโล่ขึ้นมา พระเยโฮวาห์ทรงเร้าใจบรรดากษัตริย์คนมีเดีย เพราะว่าพระประสงค์ของพระองค์เกี่ยวด้วยเรื่องบาบิโลน ก็คือการทำลายมันเสีย เพราะนั่นแหละเป็นการแก้แค้นของพระเยโฮวาห์ คือการแก้แค้นแทนพระวิหารของพระองค์
อสค 23.24 เขาจะมาต่อสู้เจ้า มีรถรบ เกวียนและล้อเลื่อน และชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก เขาจะตั้งตนต่อสู้เจ้าทุกด้าน ด้วยดั้งและโล่ และหมวกเหล็ก และเราจะมอบการพิพากษาต่อหน้าเขา และเขาทั้งหลายจะพิพากษาเจ้าตามหลักการพิพากษาของเขาทั้งหลาย
อสค 27.10 ชาวเปอร์เซีย และลูด และพูต ก็อยู่ในกองทัพของเจ้า เขาทั้งหลายเป็นทหารของเจ้า เขาแขวนโล่และหมวกเหล็กในเจ้า เขากระทำให้เจ้ามีสง่า
อสค 27.11 ชาวอารวัดพร้อมกับทหารของเจ้าอยู่บนกำแพงโดยรอบ ชาวกามัดอยู่ในหอคอยของเจ้า เขาแขวนโล่ไว้ตามกำแพงของเจ้าโดยรอบ เขากระทำให้ความงามของเจ้าพร้อมสรรพ
อสค 38.4 เราจะให้เจ้าหันกลับ และเอาเบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า และเราจะนำเจ้าออกมาพร้อมทั้งกองทัพทั้งสิ้นของเจ้า ทั้งม้าและพลม้า สวมเครื่องรบครบทุกคน เป็นกองทัพใหญ่ มีดั้งและโล่ ถือดาบทุกคน
อสค 38.5 เปอร์เซีย เอธิโอเปีย และพูตอยู่กับเขาด้วย ทุกคนมีโล่และหมวกเหล็ก
อสค 39.9 แล้วบรรดาคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในบรรดาหัวเมืองอิสราเอลจะออกไป และจะเอาไฟสุมเครื่องอาวุธเผาเสียคือโล่และดั้ง คันธนูและลูกธนู หอกยาวและหอกซัด และเขาจะเอาไฟสุมเป็นเวลาเจ็ดปี
นฮม 2.3 โล่ของทหารหาญนั้นสีแดง และทหารของเขาก็แต่งกายสีแดงเข้ม ในวันเตรียมพร้อมรถรบก็จะแวบวาบดังคบเพลิง และไม้สนสามใบก็จะสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
อฟ 6.16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของผู้ชั่วร้ายนั้นเสีย

โลก ( 424 )
ปฐก 4.12 เมื่อเจ้าทำไร่ไถนา มันจะไม่เกิดผลแก่เจ้าเหมือนเดิม เจ้าจะต้องพเนจรร่อนเร่ไปมาในโลก”
ปฐก 4.14 ดูเถิด วันนี้พระองค์ได้ทรงขับไล่ข้าพระองค์จากพื้นแผ่นดินโลก ข้าพระองค์จะถูกซ่อนไว้จากพระพักตร์ของพระองค์ และข้าพระองค์จะพเนจรร่อนเร่ไปมาในโลก จากนั้นทุกคนที่พบข้าพระองค์จะฆ่าข้าพระองค์เสีย”
ปฐก 6.11 ดังนั้นมนุษย์โลกจึงชั่วช้าต่อพระพักตร์พระเจ้า และแผ่นดินโลกก็เต็มไปด้วยความอำมหิต
ปฐก 8.22 ในขณะที่โลกยังดำรงอยู่นั้น จะมีฤดูหว่านฤดูเก็บเกี่ยว เวลาเย็นเวลาร้อน ฤดูร้อนฤดูหนาว กลางวันกลางคืนต่อไป”
ปฐก 9.11 เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่า จะไม่มีการทำลายบรรดาเนื้อหนังโดยน้ำท่วมอีก จะไม่มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป”
ปฐก 9.19 นี่เป็นบุตรชายสามคนของโนอาห์ และมนุษย์ที่กระจัดกระจายออกไปทั่วโลกมาจากคนเหล่านี้
ปฐก 11.9 เหตุฉะนั้นจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่า บาเบล เพราะว่าที่นั่นพระเยโฮวาห์ทรงทำให้ภาษาของทั่วโลกวุ่นวาย และ ณ จากที่นั่นพระเยโฮวาห์ได้ทรงทำให้พวกเขากระจัดกระจายออกไปทั่วพื้นแผ่นดินโลก
ปฐก 19.31 บุตรสาวหัวปีพูดกับน้องสาวว่า “บิดาของเราแก่แล้วและไม่มีชายใดในแผ่นดินโลกเข้ามาหาพวกเราตามธรรมเนียมของทั่วโลก
ปฐก 22.18 ประชาชาติทั้งหลายทั่วโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าได้เชื่อฟังเสียงของเรา”
ปฐก 26.4 เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้นดังดาวบนฟ้าและจะให้แผ่นดินเหล่านี้ทั้งหมดแก่เชื้อสายของเจ้า ประชาชาติทั้งหลายในโลกจะได้รับพรก็เพราะเชื้อสายของเจ้า
อพย 9.14 ด้วยว่าคราวนี้เราจะบันดาลให้เกิดภัยพิบัติทั้งหมดแก่จิตใจเจ้า และแก่ข้าราชการ และแก่พลเมืองของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้แน่ว่า ทั่วโลกไม่มีผู้ใดจะเปรียบกับเราได้
อพย 9.16 และเพราะเหตุนี้เราให้เจ้ามีตำแหน่งสูง ก็เพื่อจะแสดงฤทธานุภาพของเราโดยเจ้าและเพื่อให้นามของเราถูกประกาศออกไปทั่วโลก
อพย 9.29 โมเสสทูลฟาโรห์ว่า “ทันทีที่ข้าพระองค์ออกไปจากกรุงนี้แล้วข้าพระองค์จะยกมือทูลพระเยโฮวาห์ เสียงฟ้าร้องก็จะเงียบ และจะไม่มีลูกเห็บตกอีก เพื่อพระองค์จะได้ทราบว่าโลกนี้เป็นของพระเยโฮวาห์
ลนต 11.2 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ต่อไปนี้เป็นสัตว์ที่มีชีวิตในบรรดาสัตว์ในโลกซึ่งเจ้าจะรับประทานได้
กดว 14.21 แต่แท้จริง เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด และบรรดาโลกจะเต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเยโฮวาห์แน่ฉันใด
พบญ 4.10 ในวันนั้นที่พวกท่านได้ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านที่โฮเรบ พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงรวบรวมประชาชนให้เข้ามาต่อหน้าเรา เพื่อเราจะให้เขาได้ยินคำของเรา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้ฝึกตนที่จะยำเกรงเราตลอดวันคืนที่เขามีชีวิตอยู่ในโลก และเพื่อว่าเขาจะได้สอนลูกหลานของเขาด้วย’
พบญ 4.17 เหมือนสัตว์เดียรัจฉานอย่างใดในโลก เหมือนนกที่มีปีกบินไปในอากาศ
พบญ 4.32 เพราะบัดนี้จงถามดูเถอะว่า ในกาลวันที่ล่วงมาแล้วนั้น คือวันที่อยู่ก่อนท่านทั้งหลาย ตั้งแต่วันที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ไว้บนโลก และถามดูจากฟ้าข้างนี้ถึงฟ้าข้างโน้นว่า เคยมีเรื่องใหญ่โตอย่างนี้เกิดขึ้นบ้างหรือ หรือเคยได้ยินถึงเรื่องอย่างนี้บ้างหรือ
พบญ 4.36 พระองค์ทรงโปรดให้พวกท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์จากฟ้าสวรรค์ เพื่อว่าท่านจะอยู่ในวินัยปกครอง พระองค์ทรงโปรดให้ท่านเห็นเพลิงใหญ่ของพระองค์ในโลก และพวกท่านได้ยินพระวจนะของพระองค์จากกองเพลิง
พบญ 7.6 เพราะว่าพวกท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกท่านออกจากชนชาติทั้งหลายที่อยู่บนพื้นโลก ให้มาเป็นชนชาติในกรรมสิทธิ์ของพระองค์
พบญ 10.14 ดูเถิด ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงสุด และโลกกับบรรดาสิ่งสารพัดที่อยู่ในโลกเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
พบญ 11.21 เพื่ออายุของท่านและอายุของลูกหลานของท่านจะได้ยืนนานในแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณที่จะประทานแก่บรรพบุรุษของท่าน ตราบเท่าบรรดาวันที่ฟ้าสวรรค์อยู่เหนือโลก
พบญ 12.1 “ต่อไปนี้เป็นกฎเกณฑ์และคำตัดสินซึ่งท่านจะต้องระวังที่จะกระทำตามในแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านประทานให้ท่านยึดครองตลอดวันคืนซึ่งท่านมีชีวิตอยู่ในโลก
พบญ 12.19 ท่านจงระวังอย่าทอดทิ้งคนเลวีตราบเท่าวันที่ท่านอาศัยอยู่ในโลก
พบญ 13.7 เป็นพระบางองค์ของชนชาติทั้งหลายซึ่งอยู่รอบท่าน ไม่ว่าใกล้หรือไกล จากสุดปลายแผ่นดินโลกข้างนี้ถึงที่สุดปลายโลกข้างโน้น
พบญ 14.2 เพราะท่านทั้งหลายเป็นชนชาติบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และพระเยโฮวาห์ทรงเลือกจากประชาชาติทั้งหลายที่อยู่บนพื้นโลกให้เป็นชนชาติในกรรมสิทธิ์ของพระองค์
พบญ 28.1 “ต่อมาถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และระวังที่จะกระทำตามบรรดาพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงตั้งท่านไว้ให้สูงกว่าบรรดาประชาชาติทั้งหลายทั่วโลก
พบญ 28.10 และชนชาติทั้งหลายในโลกจะเห็นว่าเขาเรียกท่านตามพระนามพระเยโฮวาห์ และเขาทั้งหลายจะเกรงกลัวท่าน
พบญ 28.25 พระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ท่านพ่ายแพ้ต่อหน้าศัตรูของท่าน ท่านจะออกไปต่อสู้เขาทางเดียว แต่จะหนีให้พ้นหน้าเขาเจ็ดทาง และท่านทั้งหลายจะถูกถอนออกไปอยู่ตามบรรดาราชอาณาจักรทั่วโลก
พบญ 28.26 ซากศพของท่านทั้งหลายจะเป็นอาหารของนกทั้งหลายในอากาศ และสำหรับสัตว์ป่าในโลก และไม่มีผู้ใดขับไล่ฝูงสัตว์เหล่านั้นไป
พบญ 28.64 และพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายกระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ตั้งแต่ที่สุดปลายโลกข้างนี้ไปถึงข้างโน้น ณ ที่นั้นท่านจะปรนนิบัติพระอื่นๆ ซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จักคือ พระซึ่งทำด้วยไม้และศิลา
พบญ 30.19 ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิตเพื่อท่านและเชื้อสายของท่านจะได้มีชีวิตอยู่
พบญ 31.28 ท่านจงเรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ของทุกตระกูล และเจ้าหน้าที่ทั้งหมด เพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ให้เขาฟัง และอัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานปรักปรำเขา
พบญ 32.1 “โอ ฟ้าสวรรค์ จงเงี่ยหูฟัง ข้าพเจ้าจะพูด โอ พิภพโลก ขอจงสดับถ้อยคำจากปากของข้าพเจ้า
พบญ 32.13 พระองค์ทรงโปรดเขาให้ขี่ไปบนโลกส่วนสูง ให้เขากินพืชผลที่ได้จากนา พระองค์ทรงให้เขาดูดน้ำผึ้งจากศิลา และให้ดื่มน้ำมันจากหินแข็งกล้า
ยชว 2.11 เพราะเรื่องท่านนี้แหละ พอเราได้ยินข่าวนี้ จิตใจของเราก็ละลายไป ไม่มีความกล้าหาญเหลืออยู่ในสักคนหนึ่งเลย เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง
ยชว 23.14 ดูเถิด วันนี้ข้าพเจ้ากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว ท่านทุกคนได้ทราบอย่างสุดจิตสุดใจของท่านแล้วว่า ไม่มีสักสิ่งเดียวซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านตรัสเกี่ยวกับท่านแล้วล้มเหลวไป สำเร็จหมดทุกอย่าง ไม่มีสักอย่างเดียวที่ล้มเหลว
วนฉ 18.10 เมื่อท่านทั้งหลายไปแล้วจะพบประชาชนที่ไม่หวาดระแวงอะไร เออแผ่นดินก็กว้างขวาง พระเจ้าทรงมอบไว้ในมือของท่านทั้งหลายแล้ว เป็นสถานที่ซึ่งไม่ขาดสิ่งใดที่มีในโลก”
2ซมอ 7.9 เราได้อยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และได้ขจัดบรรดาศัตรูของเจ้าให้พ้นหน้าเจ้า และเรากระทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต อย่างกับชื่อเสียงของผู้ใหญ่ในโลก
2ซมอ 7.23 ประชาชนในโลกนี้จะเหมือนอิสราเอลประชาชนของพระองค์ ซึ่งพระเจ้าเสด็จไปทรงไถ่มาให้เป็นประชาชนของพระองค์ กระทำให้พระนามของพระองค์มีเกียรติ และทรงกระทำสิ่งที่ใหญ่เพื่อเจ้าทั้งหลาย และทรงกระทำสิ่งน่าสะพรึงกลัวเพื่อแผ่นดินของพระองค์ ต่อหน้าประชาชนของพระองค์ คือชนชาติซึ่งพระองค์ทรงไถ่ออกจากอียิปต์เพื่อพระองค์ จากบรรดาประชาชาติ และบรรดาพระของเขา
2ซมอ 14.7 ดูเถิด หมู่ญาติทั้งสิ้นรุมกันมาหาสาวใช้ของพระองค์บอกว่า ‘จงมอบผู้ที่ฆ่าพี่ชายของตัวมาให้เรา เพื่อเราจะฆ่าเขาเสีย เพื่อแก้แค้นแทนพี่ชายที่เขาได้ฆ่าเสียนั้น จะได้ฆ่าผู้ที่รับมรดกเสียด้วย’ ดังว่าจะดับถ่านไฟของหม่อมฉันที่ยังเหลืออยู่นั้นเสีย ไม่ให้สามีของหม่อมฉันมีชื่อหรือมีเชื้อเหลืออยู่บนพื้นโลกเลย”
1พกษ 2.2 “เรากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว จงเข้มแข็งและสำแดงตัวของเจ้าให้เป็นลูกผู้ชาย
1พกษ 10.24 และทั่วทั้งโลกก็แสวงหาที่จะเข้าเฝ้าซาโลมอน เพื่อจะฟังพระสติปัญญาซึ่งพระเจ้าพระราชทานไว้ในใจของท่าน
2พกษ 5.15 แล้วท่านจึงกลับไปยังคนแห่งพระเจ้า ทั้งตัวท่านและพรรคพวกของท่าน และท่านมายืนอยู่ข้างหน้าเอลีชาและท่านกล่าวว่า “ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าไม่มีพระเจ้าทั่วไปในโลกนอกจากที่ในอิสราเอล เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอท่านรับของกำนัลสักอย่างหนึ่งจากผู้รับใช้ของท่านเถิด”
1พศด 16.33 แล้วต้นไม้ทั้งสิ้นของป่าไม้จะร้องเพลง เฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ด้วยพระองค์เสด็จมาพิพากษาโลก
1พศด 17.8 และเราได้อยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และได้ขจัดบรรดาศัตรูของเจ้าให้พ้นหน้าเจ้า และเราได้กระทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตอย่างกับชื่อเสียงของผู้ยิ่งใหญ่ในโลก
โยบ 9.24 แผ่นดินโลกนี้ทรงมอบไว้ในมือของคนชั่ว พระองค์ทรงปิดหน้าบรรดาผู้วินิจฉัยโลก ถ้าไม่ใช่พระองค์ แล้วใครเล่า
โยบ 11.9 วัดดูก็ยาวกว่าโลก และกว้างกว่าทะเล
โยบ 18.17 การระลึกถึงเขาจะพินาศไปจากโลก และเขาจะไม่มีชื่ออยู่ในถนน
โยบ 26.7 พระองค์ทรงคลี่ทางเหนือออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า
โยบ 34.13 ใครแต่งตั้งให้พระองค์ปกครองโลก หรือใครเล่ามอบหมายทั้งโลกไว้กับพระองค์
โยบ 37.12 มันหันไปๆตามการนำของพระองค์ เพื่อให้มันทำตามที่พระองค์ทรงบัญชามันไว้เหนือผิวพิภพโลกนี้
โยบ 38.5 ผู้ใดได้กำหนดขนาดให้โลก แน่นอนละ เจ้าต้องรู้ซี หรือใครขึงเชือกวัดบนนั้น
โยบ 38.6 รากฐานของโลกจมไปอยู่บนอะไร หรือผู้ใดวางศิลามุมเอกของมัน
โยบ 38.13 เพื่อมันจะจับปลายแผ่นดินโลก และสลัดคนชั่วออกไปเสียจากโลก
โยบ 38.14 โลกก็เปลี่ยนไปเหมือนดินเหนียวถูกตราประทับ และทุกสิ่งเด่นออกมาเหมือนเสื้อผ้า
สดด 9.8 พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม พระองค์จะทรงพิพากษาบรรดาประชาชาติด้วยความเที่ยงธรรม
สดด 17.14 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากมนุษย์ผู้ซึ่งเป็นพระหัตถ์ของพระองค์ จากมนุษย์แห่งโลกนี้ จากมนุษย์ผู้ซึ่งมีส่วนของชีวิตนี้ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงให้ท้องของเขาเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติที่พระองค์ทรงซ่อนไว้ พวกเขามีลูกหลานอุดมสมบูรณ์ และส่วนที่เหลือเขามอบไว้ให้แก่ลูกอ่อนของเขา
สดด 24.1 แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในโลกนั้นเป็นของพระเยโฮวาห์ ทั้งพิภพกับบรรดาผู้ที่อยู่ในพิภพนั้น
สดด 58.11 จะมีคนกล่าวว่า “แน่แล้ว มีบำเหน็จให้แก่คนชอบธรรม แน่แล้ว มีพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาโลก”
สดด 65.9 พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนแผ่นดินโลก และทรงรดน้ำ พระองค์ทรงกระทำให้อุดมยิ่งด้วยแม่น้ำของพระเจ้าซึ่งมีน้ำเต็ม พระองค์ทรงจัดหาข้าวให้ เพราะทรงจัดเตรียมโลกไว้เช่นนั้นแหละ
สดด 67.4 โอ ขอให้ชาวประเทศทั้งหลายยินดีและร้องเพลงด้วยความชื่นบาน เพราะพระองค์จะทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลายด้วยความชอบธรรม และทรงครอบครองชาวประเทศทั้งหลายในโลก เซลาห์
สดด 71.20 พระองค์ผู้ทรงกระทำให้ข้าพระองค์ประสบความทุกข์ยากลำบากเป็นอันมากจะทรงรื้อข้าพระองค์ขึ้นมาอีก พระองค์จะทรงนำข้าพระองค์ขึ้นมาอีกจากที่ลึกของโลก
สดด 72.19 สาธุการแด่พระนามรุ่งโรจน์ของพระองค์เป็นนิตย์ ขอสง่าราศีของพระองค์เต็มโลก เอเมนและเอเมน
สดด 73.9 เขาอ้าปากสู้ฟ้าสวรรค์ และลิ้นของเขาก็คะนองไปในโลก
สดด 73.25 นอกจากพระองค์ ข้าพระองค์มิมีผู้ใดในฟ้าสวรรค์ นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาผู้ใดในโลก
สดด 93.1 พระเยโฮวาห์ทรงครอบครอง พระองค์ทรงสวมความยิ่งใหญ่ พระเยโฮวาห์ทรงสวมกำลัง พระองค์ทรงเอาพระกำลังคาดพระองค์ โลกได้สถาปนาไว้แล้ว มันจะไม่หวั่นไหว
สดด 94.2 ข้าแต่ผู้พิพากษาโลก ขอทรงลุกขึ้น ให้คนโอหังได้รับผลสนองอันสมกับเขา
สดด 96.13 เฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์เสด็จมา ด้วยพระองค์เสด็จมาพิพากษาโลก พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม และชนชาติทั้งหลายด้วยความจริงของพระองค์
สดด 98.9 เฉพาะเบื้องพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์เสด็จมาพิพากษาโลก พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม และชนชาติทั้งหลายด้วยความเที่ยงตรง
สดด 104.32 ผู้ทรงทอดพระเนตรโลก มันก็สั่นสะท้าน ผู้ทรงแตะต้องภูเขา มันก็มีควันขึ้นมา
สดด 139.15 เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลับลี้ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์
ปญจ 3.11 พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุโลกไว้ในจิตใจของมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะมองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่เดิมจนกาลสุดปลาย
ปญจ 3.21 ใครรู้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่เบื้องบนหรือเปล่า และวิญญาณของสัตว์เดียรัจฉานลงไปสู่พิภพโลกหรือเปล่า
ปญจ 8.16 เมื่อข้าพเจ้าตั้งใจจะเข้าใจสติปัญญาและทราบธุรกิจที่กระทำกันในโลก (ที่เขาอดหลับอดนอนทำกันตลอดวันตลอดคืน)
อสย 2.19 และคนจะเข้าไปในถ้ำหินและในโพรงดินให้พ้นจากความน่าเกรงขามของพระเยโฮวาห์ และจากสง่าราศีแห่งความโอ่อ่าตระการของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นกระทำให้โลกสั่นสะท้าน
อสย 2.21 เพื่อเขาจะเข้าถ้ำหินและเข้าซอกผา ให้พ้นจากความน่าเกรงขามของพระเยโฮวาห์ และจากสง่าราศีแห่งความโอ่อ่าตระการของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นกระทำให้โลกสั่นสะท้าน
อสย 11.4 แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่งแผ่นดินโลกด้วยความเที่ยงตรง ท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน และท่านจะประหารคนชั่วด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน
อสย 13.11 เราจะลงโทษโลกเพราะความชั่วร้าย และคนชั่วเพราะความชั่วช้าของเขา เราจะกระทำให้ความเย่อหยิ่งของคนจองหองสิ้นสุด และปราบความยโสของคนโหดร้าย
อสย 14.7 โลกทั้งสิ้นก็พักและสงบอยู่ เขาทั้งหลายร้องเพลงโพล่งออกมา
อสย 14.9 นรกเบื้องล่างก็ตื่นเต้นเพื่อต้อนรับเจ้าเมื่อเจ้ามา มันปลุกให้ชาวแดนคนตายมาต้อนรับเจ้า คือบรรดาผู้ซึ่งเคยเป็นผู้นำของโลก มันทำให้บรรดาผู้ที่เคยเป็นกษัตริย์แห่งประชาชาติทั้งหลายลุกขึ้นมาจากพระที่นั่งของเขา
อสย 14.16 บรรดาผู้ที่เห็นเจ้าจะเพ่งดูเจ้า และจะพิจารณาเจ้าว่า ‘ชายคนนี้หรือที่ทำให้โลกสั่นสะเทือน ผู้เขย่าราชอาณาจักรทั้งหลาย
อสย 14.17 ผู้ที่ได้กระทำให้โลกเป็นเหมือนถิ่นทุรกันดาร และคว่ำหัวเมืองของโลกเสีย ผู้ไม่ยอมให้เชลยกลับไปบ้านของเขา’
อสย 14.21 จงเตรียมสังหารลูกๆของเขาเถิด เพราะความชั่วช้าแห่งบิดาของเขา เกรงว่าเขาทั้งหลายจะลุกขึ้นเป็นเจ้าของแผ่นดิน และกระทำให้พื้นโลกเต็มไปด้วยหัวเมือง’”
อสย 23.8 ผู้ใดได้มุ่งหมายไว้เช่นนี้ต่อเมืองไทระ คือเมืองที่ให้มงกุฎ ซึ่งบรรดาพ่อค้าของมันเป็นเจ้านาย ซึ่งพวกพาณิชของมันเป็นคนมีเกียรติของโลก
อสย 23.17 ต่อมาเมื่อสิ้นเจ็ดสิบปี พระเยโฮวาห์จะทรงเยี่ยมเยียนเมืองไทระ และเมืองนั้นจะกลับไปรับจ้างใหม่ และจะเล่นชู้กับบรรดาราชอาณาจักรทั้งสิ้นบนพื้นโลก
อสย 24.1 ดูเถิด พระเยโฮวาห์จะทรงทิ้งโลกให้ร้าง และทรงกระทำให้ร้างเปล่า และพระองค์จะทรงคว่ำแผ่นดินโลกและกระจายผู้อาศัยของมัน
อสย 24.4 โลกก็ไว้ทุกข์และเหี่ยวแห้งไป พิภพก็อ่อนระทวยและเหี่ยวแห้ง คนสูงศักดิ์ของโลกก็อ่อนระทวยไป
อสย 24.5 โลกนี้มีราคีเพราะผู้อาศัยในนั้น เพราะเขาทั้งหลายละเมิดต่อพระราชบัญญัติ ได้ฝ่าฝืนกฎ ได้หักพันธสัญญานิรันดร์นั้น
อสย 24.6 เพราะฉะนั้นคำสาปก็กลืนโลก และผู้ที่อาศัยในนั้นก็โดดเดี่ยว เพราะฉะนั้นผู้อาศัยในแผ่นดินโลกจึงถูกเผาผลาญ มีคนเหลือน้อย
อสย 24.16 ตั้งแต่ที่สุดปลายโลกเราได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญ ว่าสง่าราศีจงมีแก่ผู้ชอบธรรม แต่ข้าพเจ้าว่า “ข้าพเจ้าก็ผ่ายผอม ข้าพเจ้าก็ผ่ายผอม วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะคนทรยศประพฤติอย่างทรยศยิ่ง เอย คนทรยศประพฤติอย่างทรยศยิ่ง”
อสย 24.19 โลกแตกสลายสิ้นเชิงแล้ว โลกแตกเป็นเสี่ยงๆ โลกถูกเขย่าอย่างรุนแรง
อสย 24.20 โลกก็จะซวนเซไปอย่างคนเมา มันจะแกว่งไปอย่างเพิง การละเมิดของโลกจะหนักอยู่บนมัน และมันจะล้มและจะไม่ลุกอีก
อสย 41.9 เจ้าผู้ซึ่งเรายึดไว้จากที่สุดปลายแผ่นดินโลก และเรียกเจ้ามาจากพวกผู้ใหญ่ของโลก กล่าวแก่เจ้าว่า “เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา เราได้เลือกเจ้าและไม่เหวี่ยงเจ้าออกไป”
อสย 42.4 ท่านจะไม่ล้มเหลวหรือท้อแท้จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก และเกาะทั้งหลายจะรอคอยพระราชบัญญัติของท่าน
อสย 42.5 พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และทรงขึงมัน ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลกและสิ่งที่บังเกิดจากโลกออกไป ผู้ทรงประทานลมหายใจแก่ประชาชนที่บนโลก และจิตวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก ตรัสดังนี้ว่า
อสย 51.6 จงแหงนตาดูฟ้าสวรรค์ และมองดูโลกเบื้องล่าง เพราะว่าฟ้าสวรรค์จะสูญสิ้นไปเหมือนควัน และแผ่นดินโลกจะร่อยหรอไปเหมือนอย่างเสื้อผ้า และเขาทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในนั้นจะตายไปเหมือนกัน แต่ความรอดของเราจะอยู่เป็นนิตย์ และความชอบธรรมของเราจะไม่สิ้นสุดเลย
อสย 54.5 เพราะผู้สร้างเจ้าเป็นสามีของเจ้า พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา และองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลเป็นผู้ไถ่ของเจ้า เขาจะเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าของสากลโลก
อสย 64.4 โอ ข้าแต่พระเจ้า ตั้งแต่เริ่มแรกของโลก ไม่มีผู้ใดได้ยิน หรือทราบด้วยหู หรือตาได้เห็น สิ่งทั้งหลายซึ่งพระองค์ทรงเตรียมไว้เพื่อบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ นอกเหนือพระองค์
ยรม 4.23 ข้าพเจ้ามองดูพื้นที่โลก และดูเถิด เป็นที่ร้างและว่างเปล่า และมองดูฟ้าสวรรค์ ในนั้นก็ไม่มีความสว่าง
ยรม 4.28 เพราะเรื่องนี้โลกจะไว้ทุกข์ และฟ้าสวรรค์เบื้องบนจะดำมืด เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว เราได้หมายใจไว้แล้ว เราจะไม่เปลี่ยนใจหรือหันกลับ
ยรม 9.24 แต่ให้ผู้อวดอวดในสิ่งนี้คือในการที่เขาเข้าใจและรู้จักเราว่าเราคือพระเยโฮวาห์ ทรงสำแดงความเมตตา ความยุติธรรม และความชอบธรรมในโลก เพราะว่าเราพอใจในสิ่งเหล่านี้” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 10.12 พระองค์ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ พระองค์ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระสติปัญญาของพระองค์ และทรงขึงฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจของพระองค์
ยรม 16.19 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ กำลังและที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์ เป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ในวันยากลำบาก บรรดาประชาชาติจะมาเฝ้าพระองค์จากที่สุดปลายโลก และทูลว่า “บรรพบุรุษของเราไม่ได้รับมรดกอันใด นอกจากสิ่งมุสา สิ่งไร้ค่า และสิ่งซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรในตัว
ยรม 23.24 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “คนใดจะซ่อนจากเราไปอยู่ในที่ลับเพื่อเราจะมิได้เห็นเขาได้หรือ” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เรามิได้อยู่เต็มฟ้าสวรรค์และโลกดอกหรือ
ยรม 24.9 เราจะมอบเขาไว้ให้ย้ายไปอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นในโลกเพื่อให้เขาเจ็บปวด ให้เป็นที่ถูกตำหนิ เป็นคำภาษิต เป็นที่ถูกเยาะเย้ย และเป็นที่ถูกสาปแช่ง ในที่ทุกแห่งซึ่งเราขับไล่เขาให้ไปอยู่นั้น
ยรม 25.26 บรรดากษัตริย์แห่งเมืองทิศเหนือ ทั้งไกลและใกล้ ทีละเมืองๆ และบรรดาราชอาณาจักรแห่งโลกซึ่งอยู่บนพื้นพิภพ และกษัตริย์แห่งเชชัก จะดื่มภายหลังกษัตริย์เหล่านี้
ยรม 25.32 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ‘ดูเถิด ความร้ายจะไปจากประชาชาตินี้ถึงประชาชาตินั้น และลมหมุนใหญ่จะปั่นป่วนขึ้นมาจากส่วนพิภพโลกที่ไกลที่สุด
ยรม 25.33 และบรรดาผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงประหารในวันนั้น จะมีจากปลายโลกข้างนี้ถึงปลายโลกข้างนั้น เขาเหล่านั้นจะไม่มีใครโอดครวญให้ หรือรวบรวมหรือฝังไว้ แต่จะเป็นมูลสัตว์อยู่บนพื้นดิน’”
ยรม 26.6 แล้วเราจะกระทำให้พระนิเวศนี้เหมือนอย่างชีโลห์ และเราจะกระทำให้เมืองนี้เป็นที่สาปแก่บรรดาประชาชาติทั่วโลก’”
ยรม 27.5 นี่คือเราเอง ผู้ได้สร้างโลก ทั้งมนุษย์และสัตว์ซึ่งอยู่บนพื้นดิน ด้วยฤทธานุภาพใหญ่ยิ่งและด้วยแขนที่เหยียดออกของเรา และเราจะให้แก่ผู้ใดก็ได้สุดแต่เราเห็นชอบ
ยรม 28.16 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ดูเถิด เราจะย้ายเจ้าไปจากพื้นโลก ในปีเดียวนี้เองเจ้าจะต้องตาย เพราะเจ้าได้สอนให้กบฏต่อพระเยโฮวาห์”
ยรม 46.8 อียิปต์โผล่ขึ้นมาอย่างน้ำท่วม เหมือนแม่น้ำของมันซัดขึ้น เขาว่า ‘ข้าจะขึ้น ข้าจะคลุมโลก ข้าจะทำลายหัวเมืองและชาวเมืองนั้นเสีย’
ยรม 50.26 จงมาต่อสู้กับเธอจากทุกเสี้ยวโลก จงเปิดบรรดาฉางของเธอ จงกองเธอไว้เหมือนอย่างกองข้าวและทำลายเสียจนสิ้นเชิง อย่าให้เธอเหลืออยู่เลย
ยรม 51.15 พระองค์ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ พระองค์ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระสติปัญญาของพระองค์ และทรงคลี่ท้องฟ้าออกด้วยความเข้าใจของพระองค์
พคค 2.15 บรรดาคนที่ได้ผ่านไปมาก็ตบมือเยาะเย้ยเจ้า เขาทั้งหลายได้เย้ยหยันและได้สั่นศีรษะใส่ธิดาแห่งเยรูซาเล็มแล้วว่า “นี่หรือคือกรุงที่คนทั้งหลายได้ขนานนามว่า งามหมดจด ว่า เป็นความชื่นชมยินดีของคนทั่วทั้งโลก”
อสค 27.33 เมื่อสินค้าของเจ้ามาจากทะเลก็กระทำให้ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากพอใจ เจ้าได้กระทำให้บรรดากษัตริย์แห่งโลกมั่งคั่ง ด้วยสมบัติและสินค้าอันอุดมของเจ้า
อสค 32.4 และเราจะเหวี่ยงท่านลงบนดิน และเราจะฟัดท่านลงบนพื้นทุ่ง และจะกระทำให้นกทั้งสิ้นในอากาศมาจับอยู่บนท่าน และเราจะให้สัตว์ทั่วทั้งโลกได้อิ่มหนำด้วยตัวท่าน
อมส 3.2 “ในบรรดาครอบครัวทั้งสิ้นในโลกนี้ เจ้าเท่านั้นที่เรารู้จัก ดังนั้นเราจึงจะลงโทษเจ้าเพราะความชั่วช้าทั้งสิ้นของเจ้า
อมส 8.9 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า “และต่อมาในวันนั้นเราจะกระทำให้ดวงอาทิตย์ตกในเวลาเที่ยงวัน กระทำให้โลกมืดไปในกลางวันแสกๆ
อมส 9.6 ผู้ทรงสร้างห้องชั้นบนไว้ในสวรรค์ และตั้งฟ้าครอบไว้ที่พื้นโลก ผู้ทรงเรียกน้ำทะเลมาแล้วรดน้ำนั้นบนพื้นโลก พระนามของพระองค์คือ พระเยโฮวาห์
อมส 9.8 ดูเถิด พระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจับอยู่ที่ราชอาณาจักรอันบาปหนา และเราจะทำลายมันเสียจากพื้นโลก เว้นแต่เราจะไม่ทำลายวงศ์วานยาโคบให้สิ้นเสียทีเดียว” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
มคา 7.2 คนดีสูญหายไปจากโลก จะหาคนซื่อตรงท่ามกลางมนุษย์สักคนก็ไม่มี ต่างก็ซุ่มคอยจะเอาโลหิตกัน ต่างก็เอาตาข่ายดักพี่น้องของตน
นฮม 1.5 ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ ภูเขาก็สั่นสะเทือนและเนินเขาก็ละลายไป แผ่นดินก็เริศร้างต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ เออ ทั้งโลกและสิ่งสารพัดที่อาศัยอยู่ในโลกด้วย
นฮม 2.13 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ดูเถิด เราต่อสู้เจ้า เราจะเผารถรบของเจ้าให้เป็นควัน และดาบจะสังหารสิงโตหนุ่มของเจ้า เราจะตัดเหยื่อของเจ้าเสียจากโลก และจะไม่มีใครได้ยินเสียงผู้สื่อสารของเจ้าอีก
ฮบก 3.3 พระเจ้าเสด็จจากเทมาน องค์บริสุทธิ์เสด็จจากภูเขาปาราน เซลาห์ สง่าราศีของพระองค์คลุมทั่วฟ้าสวรรค์ และโลกก็เต็มด้วยคำสรรเสริญพระองค์
ศฟย 2.11 พระเยโฮวาห์จะทรงเป็นที่เกรงกลัวของเขาทั้งหลาย พระองค์จะทรงกระทำให้พระทั้งหลายของโลกผ่ายผอม และมนุษย์ทั้งปวงจะนมัสการพระองค์ ต่างตามถิ่นฐานของตน ร่วมทั้งเกาะแห่งประชาชาติทั้งสิ้น
ศฟย 3.19 ดูเถิด ในคราวนั้นเราจะกวาดล้างผู้ที่บีบบังคับเจ้าทุกคน เราจะช่วยคนขาพิการให้รอดพ้น และรวบรวมคนที่กระจัดกระจายไป และเราจะเปลี่ยนความอับอายของเขาให้เป็นความน่าสรรเสริญ และให้เป็นเสียงลือไปทั่วโลก
ศฟย 3.20 ในคราวนั้นเราจะนำเจ้ากลับเข้ามา คือในคราวที่เรารวบรวมพวกเจ้าเข้าด้วยกัน เออ เราจะกระทำให้เจ้ามีชื่อเสียงและเป็นที่สรรเสริญในท่ามกลางบรรดาชนชาติทั้งหลายของโลก คือเมื่อเราให้เจ้ากลับสู่สภาพเดิมต่อหน้าต่อตาเจ้า” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ฮกก 1.10 เพราะฉะนั้น ท้องฟ้าที่อยู่เหนือเจ้าจึงยั้งน้ำค้างไว้เสีย และโลกก็ยึดพืชผลของมันไว้เสีย
ฮกก 2.6 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า อีกสักหน่อย เราจะเขย่าท้องฟ้าและโลก ทะเลและแผ่นดินแห้ง อีกครั้งหนึ่ง
ฮกก 2.21 “จงพูดกับเศรุบบาเบลผู้ว่าราชการเมืองยูดาห์ว่า เราจะเขย่าท้องฟ้าและโลก
ศคย 1.10 เหตุฉะนั้นชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวจึงบอกว่า ‘เหล่านี้คือผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงใช้ให้ไปเที่ยวตรวจตราโลก’
ศคย 1.11 และเขาเหล่านั้นได้ตอบทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ ผู้ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวว่า ‘เราได้ตรวจตราโลกแล้ว ดูเถิด ทั้งโลกก็นิ่งสงบอยู่’
ศคย 5.9 แล้วข้าพเจ้าก็เงยหน้าขึ้นแลเห็น ดูเถิด มีผู้หญิงสองคนออกมานั่น มีลมอยู่ในปีกของนาง นางมีปีกเหมือนปีกของนกกระสาดำ และนางก็ยกเอฟาห์ขึ้นระหว่างโลกและฟ้าสวรรค์
มธ 4.8 อีกครั้งหนึ่งพญามารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร
มธ 5.13 ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก แต่ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ
มธ 5.14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
มธ 6.19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่ตัวมอดและสนิมอาจทำลายเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้
มธ 9.6 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” (พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า) “จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด”
มธ 10.34 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา
มธ 12.32 ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะโปรดยกให้ผู้นั้นได้ แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ทั้งโลกนี้โลกหน้า
มธ 13.22 ผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และการล่อลวงแห่งทรัพย์สมบัติก็รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาจึงไม่เกิดผล
มธ 13.35 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยศาสดาพยากรณ์ว่า ‘เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก’
มธ 13.38 นานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่ลูกหลานแห่งอาณาจักร แต่ข้าวละมานได้แก่ลูกหลานของมารร้าย
มธ 13.39 ศัตรูผู้หว่านข้าวละมานได้แก่พญามาร ฤดูเกี่ยวได้แก่การสิ้นสุดของโลกนี้ และผู้เกี่ยวนั้นได้แก่พวกทูตสวรรค์
มธ 13.40 เหตุฉะนั้น เขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร ในการสิ้นสุดของโลกนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น
มธ 13.49 ในการสิ้นสุดของโลกก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม
มธ 16.19 เราจะมอบลูกกุญแจของอาณาจักรแห่งสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะผูกมัดสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกมัดในสวรรค์ และท่านจะปล่อยสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะถูกปล่อยในสวรรค์”
มธ 16.26 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของตนกลับคืนมา
มธ 18.7 วิบัติแก่โลกนี้ด้วยเหตุให้หลงผิด ถึงจำเป็นต้องมีเหตุให้หลงผิด แต่วิบัติแก่ผู้ที่ก่อเหตุให้เกิดความหลงผิดนั้น
มธ 18.18 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า สิ่งใดซึ่งท่านจะผูกมัดในโลก ก็จะถูกผูกมัดในสวรรค์ และสิ่งซึ่งท่านจะปล่อยในโลกก็จะถูกปล่อยในสวรรค์
มธ 18.19 เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกว่า ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงกระทำให้
มธ 19.28 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่คราวเมื่อบุตรมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งแห่งสง่าราศีของพระองค์นั้น พวกท่านที่ได้ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองตระกูล
มธ 23.9 และอย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดา เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว คือผู้ที่ทรงสถิตในสวรรค์
มธ 24.3 เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศ พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ส่วนตัวกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา และวาระสุดท้ายของโลกนี้”
มธ 24.14 ข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรนี้จะประกาศไปทั่วโลกให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง
มธ 24.21 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงเวลานี้ และจะไม่มีต่อไปอีกเลย
มธ 24.30 เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ‘มนุษย์ทุกตระกูลทั่วโลกจะไว้ทุกข์’ แล้วเขาจะเห็น ‘บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า’ พร้อมด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก
มธ 25.34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก
มธ 26.13 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ที่ไหนๆทั่วโลกซึ่งข่าวประเสริฐนี้จะประกาศไป การซึ่งหญิงนี้ได้กระทำจะเลื่องลือไปเป็นที่ระลึกถึงเขาที่นั่นด้วย”
มธ 28.20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลกเอเมน”
มก 2.10 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” (พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า)
มก 4.19 แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆได้เข้ามาและปกคลุมพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล
มก 8.36 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร
มก 10.6 แต่ตั้งแต่เดิมสร้างโลก ‘พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง
มก 10.30 ในเวลานี้ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่า คือบ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา บุตรและที่ดิน ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วย และในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์
มก 13.19 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากอย่างที่ไม่เคยมี ตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลกมาจนถึงเวลานี้ และจะไม่มีต่อไปอีกเลย
มก 14.9 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ที่ไหนๆทั่วโลกซึ่งข่าวประเสริฐนี้จะประกาศไป การซึ่งผู้หญิงนี้ได้กระทำก็จะลือไปเป็นที่ระลึกถึงเขาที่นั่น”
มก 16.15 ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน
ลก 1.70 ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก โดยปากของพวกศาสดาพยากรณ์บริสุทธิ์ของพระองค์
ลก 5.24 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีฤทธิ์อำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” (พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า) “เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกที่นอนไปบ้านของเจ้าเถิด”
ลก 9.25 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียตัวของตนเองหรือถูกทิ้งเสีย ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร
ลก 11.50 เพื่อคนยุคนี้แหละจะต้องรับผิดชอบในเรื่องโลหิตของบรรดาศาสดาพยากรณ์ ซึ่งต้องไหลออกตั้งแต่แรกสร้างโลก
ลก 12.30 เพราะว่าคนทุกประเทศทั่วโลกเสาะหาสิ่งของทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของท่านทั้งหลายทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งเหล่านี้
ลก 12.51 ท่านทั้งหลายคิดว่า เรามาเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในโลกหรือ เราบอกท่านว่า มิใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก
ลก 16.8 แล้วเศรษฐีก็ชมคนต้นเรือนอธรรมนั้น เพราะเขาได้กระทำโดยความฉลาด ด้วยว่าลูกทั้งหลายของโลกนี้ ตามกาลสมัยเดียวกัน เขาใช้สติปัญญาฉลาดกว่าลูกของความสว่างอีก
ลก 18.30 ในเวลานี้ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนหลายเท่า และในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์”
ลก 20.34 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “คนในโลกนี้มีการสมรสกัน และยกให้เป็นสามีภรรยากัน
ลก 20.35 แต่เขาเหล่านั้นที่สมควรจะลุถึงโลกหน้า และลุถึงการฟื้นขึ้นมาจากความตาย ไม่มีการสมรสกัน หรือยกให้เป็นสามีภรรยากัน
ลก 21.26 จิตใจมนุษย์ก็จะสลบไสลไปเพราะความกลัว และเพราะสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลก ด้วยว่า ‘บรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป’
ยน 1.9 เป็นความสว่างแท้นั้น ซึ่งส่องสว่างแก่ทุกคนที่เข้ามาในโลก
ยน 1.10 พระองค์ทรงอยู่ในโลก และพระองค์ได้ทรงสร้างโลก และโลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่
ยน 1.29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย
ยน 3.12 ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายโลกและท่านไม่เชื่อ ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร
ยน 3.16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
ยน 3.17 เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงใช้พระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อจะพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
ยน 3.19 หลักของการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาชั่ว
ยน 3.31 พระองค์ผู้เสด็จมาจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ผู้ที่มาจากโลกก็เป็นฝ่ายโลกและพูดตามอย่างโลก พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง
ยน 4.42 เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปที่เราเชื่อนั้นมิใช่เพราะคำของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้แน่ว่าท่านองค์นี้เป็นผู้ช่วยโลกให้รอด คือพระคริสต์”
ยน 6.14 เมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นการอัศจรรย์ซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำ เขาก็พูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นศาสดาพยากรณ์นั้นที่ทรงกำหนดให้เข้ามาในโลก”
ยน 6.33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก”
ยน 6.51 เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลกนั้นก็คือเนื้อของเรา”
ยน 7.4 เพราะว่าไม่มีผู้ใดทำสิ่งใดลับๆ เมื่อผู้นั้นเองอยากให้ตัวปรากฏ ถ้าท่านกระทำการเหล่านี้ก็จงสำแดงตัวให้ปรากฏแก่โลกเถิด”
ยน 7.7 โลกจะเกลียดชังพวกท่านไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนั้นชั่ว
ยน 8.12 อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”
ยน 8.23 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ เราไม่ได้เป็นของโลกนี้
ยน 8.26 เราก็ยังมีเรื่องอีกมากที่จะพูดและพิพากษาท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นทรงเป็นสัตย์จริง และสิ่งที่เราได้ยินจากพระองค์ เรากล่าวแก่โลก”
ยน 9.5 ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก”
ยน 9.32 ตั้งแต่เริ่มมีโลกมาแล้ว ไม่เคยมีใครได้ยินว่า มีผู้ใดทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้
ยน 9.39 พระเยซูตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด”
ยน 10.36 ท่านทั้งหลายจะกล่าวหาท่านที่พระบิดาได้ทรงตั้งไว้ และทรงใช้เข้ามาในโลกว่า ‘ท่านกล่าวคำหมิ่นประมาท’ เพราะเราได้กล่าวว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ อย่างนั้นหรือ
ยน 11.9 พระเยซูตรัสตอบว่า “วันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือ ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางวันเขาก็จะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้
ยน 11.27 มารธาทูลพระองค์ว่า “เชื่อ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่จะเสด็จมาในโลก”
ยน 12.19 พวกฟาริสีจึงพูดกันว่า “ท่านเห็นไหมว่า ท่านทำอะไรไม่ได้เลย ดูเถิด โลกตามเขาไปหมดแล้ว”
ยน 12.25 ผู้ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์
ยน 12.31 บัดนี้ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกโยนทิ้งออกไปเสีย
ยน 12.46 เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อผู้ใดที่เชื่อในเราจะมิได้อยู่ในความมืด
ยน 12.47 ถ้าผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเราและไม่เชื่อ เราก็ไม่พิพากษาผู้นั้น เพราะว่าเรามิได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด
ยน 13.1 ก่อนถึงเทศกาลเลี้ยงปัสกา เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด
ยน 14.17 คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นพระองค์และไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านและจะประทับอยู่ในท่าน
ยน 14.19 อีกหน่อยหนึ่งโลกก็จะไม่เห็นเราอีกเลย แต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเราเป็นอยู่ ท่านทั้งหลายจะเป็นอยู่ด้วย
ยน 14.22 ยูดาส มิใช่อิสคาริโอท ทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เหตุใดพระองค์จึงจะสำแดงพระองค์แก่พวกข้าพระองค์ และไม่ทรงสำแดงแก่โลก”
ยน 14.27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย
ยน 14.31 แต่เราได้กระทำตามที่พระบิดาได้ทรงบัญชาเรา เพื่อโลกจะได้รู้ว่าเรารักพระบิดา จงลุกขึ้น ให้เราทั้งหลายไปกันเถิด”
ยน 15.18 ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน
ยน 15.19 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก แต่เราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน
ยน 16.8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้สึกถึงความผิดบาป และถึงความชอบธรรม และถึงการพิพากษา
ยน 16.20 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี และท่านทั้งหลายจะทุกข์โศก แต่ความทุกข์โศกของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี
ยน 16.21 เมื่อผู้หญิงกำลังจะคลอดบุตร นางก็มีความทุกข์ เพราะถึงกำหนดแล้ว แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็ไม่ระลึกถึงความเจ็บปวดนั้นเลย เพราะมีความชื่นชมยินดีที่คนหนึ่งเกิดมาในโลก
ยน 16.28 เรามาจากพระบิดาและได้เข้ามาในโลกแล้ว เราจะจากโลกนี้ไปถึงพระบิดาอีก”
ยน 16.33 เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว”
ยน 17.4 ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก ข้าพระองค์ได้กระทำพระราชกิจที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์กระทำนั้นสำเร็จแล้ว
ยน 17.5 บัดนี้ โอ พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติซึ่งข้าพระองค์ได้มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา
ยน 17.6 ข้าพระองค์ได้สำแดงพระนามของพระองค์แก่คนทั้งหลายที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์จากมวลมนุษย์โลก คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์แล้ว และพระองค์ได้ประทานเขาให้แก่ข้าพระองค์ และเขาได้รักษาพระดำรัสของพระองค์แล้ว
ยน 17.9 ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อเขา ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะว่าเขาเป็นของพระองค์
ยน 17.11 บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงโปรดพิทักษ์รักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนดังข้าพระองค์กับพระองค์
ยน 17.12 เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่กับคนเหล่านั้นในโลกนี้ ข้าพระองค์ก็ได้พิทักษ์รักษาพวกเขาไว้โดยพระนามของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ปกป้องเขาไว้และไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเสียไปนอกจากลูกของความพินาศ เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จ
ยน 17.13 และบัดนี้ข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ และข้าพระองค์กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ในโลก เพื่อเขาจะได้รับความชื่นชมยินดีของข้าพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม
ยน 17.14 ข้าพระองค์ได้มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่เขาแล้ว และโลกนี้ได้เกลียดชังเขา เพราะเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก
ยน 17.15 ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากความชั่วร้าย
ยน 17.16 เขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก
ยน 17.18 พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น
ยน 17.21 เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์คือพระบิดาทรงสถิตในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์และกับข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา
ยน 17.23 ข้าพระองค์อยู่ในเขา และพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักเขาเหมือนดังที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์
ยน 17.24 พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่นั้นด้วย เพื่อเขาจะได้เห็นสง่าราศีของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่จะทรงสร้างโลก
ยน 17.25 โอ ข้าแต่พระบิดาผู้ชอบธรรม โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่าพระองค์ได้ทรงใช้ข้าพระองค์มา
ยน 18.20 พระเยซูตรัสตอบท่านว่า “เราได้กล่าวให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอทั้งในธรรมศาลาและที่ในพระวิหารที่พวกยิวเคยชุมนุมกัน และเราไม่ได้กล่าวสิ่งใดอย่างลับๆเลย
ยน 18.36 พระเยซูตรัสตอบว่า “อาณาจักรของเรามิได้เป็นของโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้ คนของเราก็จะได้ต่อสู้ไม่ให้เราตกในเงื้อมมือของพวกยิว แต่บัดนี้อาณาจักรของเรามิได้มาจากโลกนี้”
ยน 18.37 ปีลาตจึงทูลถามพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นกษัตริย์หรือ” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเราจะเป็นพยานถึงความจริง คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเสียงของเรา”
ยน 21.25 มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคาดว่า แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น เอเมน
กจ 3.21 พระองค์นั้น สวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระเมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้โดยปากบรรดาศาสดาพยากรณ์บริสุทธิ์ของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก
กจ 10.11 และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ผูกติดกันทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก
กจ 15.18 พระเจ้าทรงทราบถึงกิจการทั้งปวงของพระองค์ตั้งแต่แรกสร้างโลกมาแล้ว’
กจ 17.24 พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้
กจ 17.26 พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติสืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพื้นพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่
กจ 17.31 เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยให้ท่านองค์นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้เป็นผู้พิพากษา และพระองค์ได้ให้พยานหลักฐานแก่คนทั้งปวงแล้วว่า ได้ทรงโปรดให้ท่านองค์นั้นคืนพระชนม์”
กจ 19.27 น่ากลัวว่าไม่ใช่แต่อาชีพของเราจะเสียไปอย่างเดียว แต่พระวิหารของพระแม่เจ้าอารเทมิสซึ่งเป็นใหญ่จะเป็นที่หมิ่นประมาทด้วย และสง่าราศีแห่งรูปของพระแม่เจ้านั้นซึ่งเป็นที่นับถือของบรรดาชาวแคว้นเอเชียกับสิ้นทั้งโลก จะเสื่อมลงไป”
รม 1.8 ประการแรก ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์เหตุด้วยท่านทั้งหลาย เพราะว่าความเชื่อของพวกท่านเลื่องลือไปทั่วโลก
รม 1.20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย
รม 3.6 พระเจ้าไม่ทรงโปรดให้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงพิพากษาโลกได้อย่างไร
รม 3.19 บัดนี้ เรารู้แล้วว่าพระราชบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้พระราชบัญญัติเพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกมีความผิดจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
รม 5.12 เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป
รม 5.13 (บาปได้มีอยู่ในโลกแล้วก่อนมีพระราชบัญญัติ แต่ที่ใดไม่มีพระราชบัญญัติก็ไม่ถือว่ามีบาป
รม 9.17 เพราะมีข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวแก่ฟาโรห์ว่า ‘เพราะเหตุนี้เองเราให้เจ้ามีตำแหน่งสูง ก็เพื่อจะแสดงฤทธานุภาพของเราโดยเจ้าและเพื่อให้นามของเราถูกประกาศออกไปทั่วโลก’
รม 11.12 แต่ถ้าการที่พวกอิสราเอลละเมิดนั้นเป็นเหตุให้ทั้งโลกบริบูรณ์ และถ้าการพ่ายแพ้ของเขาเป็นเหตุให้คนต่างชาติบริบูรณ์ เขาจะยิ่งบริบูรณ์มากสักเท่าใด
รม 11.15 เพราะว่า ถ้าการที่พี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้งเสียแล้วเป็นเหตุให้คนทั้งโลกกลับคืนดีกับพระองค์ การที่พระองค์ทรงรับเขากลับมาอีกนั้น ก็เป็นอย่างไร ก็เป็นเหมือนกับว่าเขาได้ตายไปแล้วและกลับฟื้นขึ้นใหม่
รม 16.25 บัดนี้จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์สามารถให้ท่านทั้งหลายตั้งมั่นคง ตามข่าวประเสริฐซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น และตามที่ได้ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการเปิดเผยข้อความอันลึกลับซึ่งได้ปิดบังไว้ตั้งแต่สร้างโลก
1คร 1.20 คนมีปัญญาอยู่ที่ไหน บัณฑิตอยู่ที่ไหน นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน พระเจ้ามิได้ทรงกระทำปัญญาของโลกนี้ให้โฉดเขลาไปแล้วหรือ
1คร 1.21 เพราะตามเรื่องที่เป็นพระสติปัญญาของพระเจ้าแล้ว โลกจะรู้จักพระเจ้าโดยปัญญาไม่ได้ พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยการเทศนาที่โง่เขลานั้น
1คร 1.26 พี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง
1คร 1.27 แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย
1คร 1.28 พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อย และสิ่งที่ถูกดูหมิ่น ทั้งทรงเลือกสิ่งเหล่านั้นซึ่งยังมิได้เกิดเป็นตัวจริงด้วย เพื่อจะได้ทำลายสิ่งซึ่งเป็นตัวจริงอยู่แล้ว
1คร 2.6 เรากล่าวถึงเรื่องปัญญาในหมู่คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็จริง แต่มิใช่เรื่องปัญญาของโลกนี้ หรือเรื่องปัญญาของอำนาจครอบครองในโลกนี้ซึ่งจะเสื่อมสูญไป
1คร 2.7 แต่เรากล่าวถึงเรื่องพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นข้อลึกลับ คือพระปัญญาซึ่งทรงซ่อนไว้นั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนสร้างโลกให้เป็นสง่าราศีแก่เรา
1คร 2.8 ไม่มีอำนาจครอบครองใดๆในโลกนี้ได้รู้จักพระปัญญานั้น เพราะว่าถ้ารู้แล้วจะมิได้เอาองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสง่าราศีตรึงไว้ที่กางเขน
1คร 2.12 เราทั้งหลายจึงไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา
1คร 3.19 เพราะว่าปัญญาของโลกนี้เป็นความโง่เขลาจำเพาะพระเจ้า ด้วยมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง’
1คร 3.22 จะเป็นเปาโล อปอลโล เคฟาส โลก ชีวิต ความตาย สิ่งในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งในอนาคต สิ่งสารพัดนั้นเป็นของท่านทั้งหลาย
1คร 4.9 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงตั้งเราผู้เป็นอัครสาวกไว้ในที่สุดปลาย เหมือนผู้ที่ได้ถูกปรับโทษให้ถึงตาย เพราะว่าโลกคือทั้งทูตสวรรค์และมนุษย์มองดูเราด้วยความพิศวง
1คร 4.13 เมื่อถูกใส่ร้ายเราก็อ้อนวอน เรากลายเป็นเหมือนกากเดนของโลกและเหมือนราคีของสิ่งสารพัดจนถึงบัดนี้
1คร 5.10 แต่ซึ่งท่านจะคบคนชาวโลกนี้ที่เป็นคนล่วงประเวณี คนโลภ คนฉ้อโกง หรือคนถือรูปเคารพ ข้าพเจ้ามิได้ห้ามเสียทีเดียวเพราะว่าถ้าห้ามอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ต้องออกไปเสียจากโลกนี้
1คร 6.2 ท่านไม่รู้หรือว่าวิสุทธิชนจะพิพากษาโลก และถ้าพวกท่านจะพิพากษาโลก ท่านไม่สมควรจะพิพากษาความเรื่องเล็กน้อยที่สุดหรือ
1คร 7.31 และคนที่ใช้ของโลกนี้ให้เป็นเหมือนกับมิได้ใช้อย่างเต็มที่เลย เพราะความนิยมของโลกนี้กำลังล่วงไป
1คร 7.33 แต่คนที่มีภรรยาแล้วก็สาละวนในการงานของโลกนี้เพื่อจะทำสิ่งที่พอใจของภรรยา
1คร 7.34 มีความแตกต่างกันด้วยระหว่างภรรยาและสาวพรหมจารี หญิงที่ยังไม่แต่งงานก็สาละวนในการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ทั้งกายและจิตใจ แต่หญิงที่มีสามีแล้วก็สาละวนในการงานของโลกนี้เพื่อจะทำสิ่งซึ่งเป็นที่พอใจของสามี
1คร 8.4 ฉะนั้นเรื่องการกินอาหารที่เขาได้บูชาแก่รูปเคารพนั้น เรารู้อยู่แล้วว่ารูปนั้นไม่มีตัวมีตนเลยในโลกและพระเจ้าองค์อื่นไม่มี มีแต่พระเจ้าองค์เดียว
1คร 10.26 เพราะว่า ‘แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในโลกนั้นเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า’
1คร 10.28 แต่ถ้ามีใครมาบอกท่านว่า “ของนี้เขาถวายแก่รูปเคารพแล้ว” ท่านอย่ารับประทาน เพราะเห็นแก่คนที่บอกนั้นและเพราะเห็นแก่ใจสำนึกผิดชอบด้วย เพราะว่า ‘แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในโลกนั้นเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า’
1คร 11.32 แต่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อมิให้เราถูกพิพากษาลงโทษด้วยกันกับโลก
1คร 14.10 ในโลกนี้มีภาษาเป็นอันมาก และไม่มีภาษาใดๆที่ปราศจากเนื้อความ
1คร 15.40 ร่างกายสำหรับสวรรค์ก็มี และร่างกายสำหรับโลกก็มี แต่ว่าสง่าราศีของร่างกายสำหรับสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของร่างกายสำหรับโลกก็อย่างหนึ่ง
2คร 1.12 นี่เป็นสิ่งที่เราชื่นชมยินดีได้ คือใจสำนึกผิดชอบของเราเป็นพยานว่าเราได้ประพฤติตนเป็นที่ประจักษ์แก่โลก และยิ่งกว่านั้นก็คือการประพฤติต่อท่านทั้งหลาย ด้วยน้ำใจบริสุทธิ์ และด้วยความจริงใจซึ่งมาจากพระเจ้า และมิใช่ตามปัญญาฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามพระคุณของพระเจ้า
2คร 5.19 คือพระเจ้าผู้สถิตในองค์พระคริสต์ทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์เอง มิได้ทรงถือโทษในการละเมิดของเขา และทรงมอบพระวจนะแห่งการคืนดีกันนั้นไว้กับเรา
2คร 7.10 เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้าย่อมกระทำให้กลับใจใหม่ ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำไปถึงความตาย
กท 6.14 แต่พระเจ้าไม่ทรงโปรดให้ข้าพเจ้าอวดตัวนอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกตรึงไว้แล้วจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ตรึงไว้แล้วจากโลก
อฟ 1.4 ในพระเยซูคริสต์นั้นพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิต่อพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความรัก
อฟ 2.2 ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยดำเนินตามวิถีของโลกนี้ตามเจ้าแห่งอำนาจในย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในบุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง
อฟ 2.12 จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอลและไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า
อฟ 3.9 และทำให้คนทั้งปวงเห็นว่า อะไรคือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแห่งความลึกลับ ซึ่งตั้งแต่แรกสร้างโลกทรงปิดบังไว้ที่พระเจ้า ผู้ทรงสร้างสารพัดทั้งปวงโดยพระเยซูคริสต์
อฟ 6.12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือดแต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
ฟป 2.15 เพื่อท่านทั้งหลายจะปราศจากตำหนิและไม่มีความผิด เป็น ‘บุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า’ ในท่ามกลาง ‘ยุคที่คดโกงและวิปลาส’ ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆในโลก
ฟป 3.19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก)
คส 1.6 ซึ่งแผ่แพร่มาถึงท่านดังที่กำลังเกิดผลและทวีขึ้นทั่วโลก เช่นเดียวกับที่กำลังเป็นอยู่ในตัวท่านทั้งหลายด้วย ตั้งแต่วันที่ท่านได้ยินและได้รู้จักพระคุณของพระเจ้าตามความจริง
คส 2.8 จงระวังให้ดี เกรงว่าจะมีผู้ใดทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อด้วยหลักปรัชญาและด้วยคำล่อลวงอันไม่มีสาระ ตามธรรมเนียมของมนุษย์ ตามหลักการต่างๆที่เป็นของโลก ไม่ใช่ตามพระคริสต์
คส 2.20 ถ้าท่านตายกับพระคริสต์พ้นจากหลักการต่างๆที่เป็นของโลกแล้ว เหตุไฉนท่านจึงมีชีวิตอยู่เหมือนกับว่าท่านยังอยู่ฝ่ายโลก ยอมอยู่ใต้กฎต่างๆ
คส 3.5 เหตุฉะนั้นจงประหารอวัยวะของท่านซึ่งอยู่ฝ่ายโลกนี้ คือการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ
1ทธ 1.15 คำนี้เป็นคำสัตย์จริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก
1ทธ 6.7 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น
1ทธ 6.17 จงกำชับคนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก อย่าให้มีใจถือมานะทิฐิ อย่าให้ความหวังของเขาอิงอยู่กับทรัพย์อนิจจัง แต่ให้หวังในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงประทานสิ่งสารพัดให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อจะให้เราใช้ด้วยความปีติยินดี
2ทธ 1.9 ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และได้ทรงเรียกเราด้วยคำทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่การกระทำของเรา แต่เพราะเห็นแก่พระประสงค์ของพระองค์เองและพระคุณซึ่งทรงประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกมานั้น
2ทธ 4.10 เพราะว่าเดมาสได้หลงรักโลกปัจจุบันนี้เสียแล้ว และได้ทิ้งข้าพเจ้าไปยังเมืองเธสะโลนิกา เครสเซนส์ได้ไปยังแคว้นกาลาเทีย ทิตัสได้ไปยังเมืองดาลมาเทีย
ทต 1.2 ด้วยหวังว่าจะได้ชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้าผู้ไม่สามารถตรัสมุสา ได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก
ทต 2.12 สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่างชอบธรรม และตามทางพระเจ้า
ฮบ 1.6 และอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระองค์ทรงนำพระบุตรหัวปีองค์ที่ได้บังเกิดนั้นให้เสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ก็ตรัสว่า ‘ให้บรรดาพวกทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระเจ้านมัสการท่าน’
ฮบ 2.5 เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงมอบโลกใหม่ซึ่งเรากล่าวถึงนั้นให้อยู่ใต้บังคับของเหล่าทูตสวรรค์
ฮบ 4.3 เพราะว่าเราทั้งหลายที่เชื่อแล้วก็เข้าในที่สงบสุขนั้น เหมือนพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า ‘ตามที่เราได้ปฏิญาณด้วยความพิโรธของเราว่า “เขาจะไม่ได้เข้าสู่ที่สงบสุขของเรา”’ แม้ว่างานนั้นสำเร็จแล้วตั้งแต่วางรากสร้างโลก
ฮบ 8.4 เพราะถ้าพระองค์ทรงอยู่ในโลก พระองค์ก็จะไม่ได้ทรงเป็นปุโรหิต เพราะว่ามีปุโรหิตที่ถวายของกำนัลตามพระราชบัญญัติอยู่แล้ว
ฮบ 9.1 แท้จริงถึงแม้พันธสัญญาเดิมนั้นก็ยังได้มีกฎสำหรับการปรนนิบัติในพิธีนมัสการ และได้มีสถานอันบริสุทธิ์สำหรับโลกนี้
ฮบ 9.11 แต่เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐซึ่งจะมาถึงโดยทางพลับพลาอันใหญ่ยิ่งกว่าและสมบูรณ์ยิ่งกว่าแต่ก่อน ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ และพูดได้ว่ามิได้เป็นอย่างของโลกนี้
ฮบ 9.26 มิฉะนั้นพระองค์คงต้องทนทุกข์ทรมานบ่อยๆตั้งแต่สร้างโลกมา แต่ว่าเดี๋ยวนี้พระองค์ได้ทรงปรากฏในเวลาที่สุดนี้ครั้งเดียว เพื่อจะได้กำจัดความบาปได้โดยถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา
ฮบ 10.5 ดังนั้นเมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาในโลกแล้ว พระองค์ได้ตรัสว่า ‘เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาพระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมกายสำหรับข้าพระองค์
ฮบ 11.7 โดยความเชื่อ เมื่อพระเจ้าทรงเตือนโนอาห์ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่ปรากฏ ท่านมีใจเกรงกลัวจัดแจงต่อนาวา เพื่อช่วยครอบครัวของท่านให้รอด และด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงได้ปรับโทษแก่โลก และได้เป็นทายาทแห่งความชอบธรรม ซึ่งบังเกิดมาจากความเชื่อ
ฮบ 11.38 (โลกไม่สมกับคนเช่นนั้นเลย) เขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารและตามภูเขา และอยู่ตามถ้ำและตามโพรง
ยก 1.27 การเคร่งครัดในความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดานั้น คือการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าพ่อและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก
ยก 2.5 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงฟังเถิด พระเจ้าทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ และให้เป็นทายาทแห่งอาณาจักร ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แก่ผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ
ยก 3.6 และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ เป็นโลกแห่งการชั่วช้าซึ่งตั้งอยู่ในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายเป็นมลทินไป ทำให้วิถีแห่งธรรมชาติเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟจากนรก
ยก 3.15 ปัญญาเช่นนี้ไม่ได้มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลก และเป็นเดียรัจฉานตัณหา และเป็นเช่นปิศาจ
ยก 4.4 ท่านทั้งหลายผู้ล่วงประเวณีชายหญิงเอ๋ย ท่านไม่รู้หรือว่า การเป็นมิตรกับโลกนั้นคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เหตุฉะนั้นผู้ใดใคร่เป็นมิตรกับโลก ผู้นั้นก็เป็นศัตรูของพระเจ้า
ยก 5.5 ท่านมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างฟุ่มเฟือยและสนุกสนาน ท่านได้บำรุงเลี้ยงจิตใจของท่านเหมือนอย่างในวันประหาร
1ปต 1.17 และถ้าท่านอธิษฐานขอต่อพระบิดา ผู้ทรงพิพากษาทุกคนตามการกระทำของเขาโดยไม่เห็นแก่หน้าคนใดเลย จงประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในโลกนี้
1ปต 1.20 แท้จริงพระเจ้าได้ทรงดำริพระคริสต์นั้นไว้ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏพระองค์ในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย
1ปต 5.9 จงต่อสู้กับศัตรูนั้นด้วยตั้งใจมั่นคงในความเชื่อ โดยรู้อยู่ว่าความยากลำบากอย่างนั้นก็มีแก่พวกพี่น้องทั้งหลายของท่านที่อยู่ในโลกเช่นเดียวกัน
2ปต 1.4 ด้วยเหตุเหล่านี้พระองค์จึงได้ทรงประทานพระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่งแก่เรา เพื่อว่าด้วยพระสัญญาเหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรมที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์
2ปต 2.5 และไม่ได้ทรงยกเว้นมนุษย์โลกครั้งโบราณ แต่ได้ทรงช่วยโนอาห์ผู้ประกาศความชอบธรรมกับคนอื่นอีกเจ็ดคนให้รอด เมื่อคราวที่พระองค์ได้ทรงบันดาลให้น้ำท่วมโลกของคนอธรรม
2ปต 2.20 เพราะว่าถ้าหลังจากที่เขาพ้นจากสรรพมลทินของโลกนี้แล้ว ด้วยการที่เขารู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอด เขากลับเกี่ยวข้องและพ่ายแพ้แก่การชั่วนั้นอีก บั้นปลายของเขาก็กลับชั่วร้ายยิ่งกว่าตอนต้น
2ปต 3.4 และจะถามว่า “คำที่ทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะเสด็จมานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่าตั้งแต่บรรพบุรุษหลับล่วงไปแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอยู่เหมือนที่ได้เป็นอยู่ตั้งแต่เดิมทรงสร้างโลก”
2ปต 3.6 โดยเหตุเหล่านั้น พระองค์จึงได้ทรงบันดาลให้น้ำมาท่วมทำลายโลกที่มีอยู่ในเวลานั้น
1ยน 2.2 และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่บาปของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย
1ยน 2.15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
1ยน 2.16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความเย่อหยิ่งในชีวิตไม่ได้เกิดจากพระบิดา แต่เกิดจากโลก
1ยน 2.17 และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์
1ยน 3.1 จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลาย ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์
1ยน 3.13 พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย อย่าประหลาดใจถ้าโลกนี้เกลียดชังท่าน
1ยน 3.17 แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสน และยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้
1ยน 4.1 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆวิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณเหล่านั้นว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากออกเที่ยวไปในโลก
1ยน 4.3 และวิญญาณทั้งปวงที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินว่าจะมา และบัดนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว
1ยน 4.4 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก
1ยน 4.5 เขาเหล่านั้นเป็นฝ่ายโลก เหตุฉะนั้นเขาจึงพูดตามโลก และโลกก็ฟังเขา
1ยน 4.9 โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลายก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมาให้เสด็จเข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตรนั้น
1ยน 4.14 และเราทั้งหลายได้เห็นและเป็นพยานว่า พระบิดาได้ทรงใช้พระบุตรให้เสด็จมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก
1ยน 4.17 ในข้อนี้แหละความรักของเราจึงสมบูรณ์ เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีความกล้าในวันพิพากษา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างไร เราทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นในโลกนี้
1ยน 5.4 ด้วยว่าผู้ใดที่บังเกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยชนะต่อโลก และนี่แหละเป็นชัยชนะซึ่งได้มีชัยต่อโลก คือความเชื่อของเราทั้งหลายนี่เอง
1ยน 5.5 ใครเล่าชนะโลก เว้นไว้แต่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
2ยน 1.7 เพราะว่ามีผู้ล่อลวงเป็นอันมากออกเที่ยวไปในโลก คือคนที่ไม่รับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ คนนั้นแหละเป็นผู้ล่อลวงและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์
วว 1.5 และจากพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพยานที่สัตย์ซื่อ และทรงเป็นผู้แรกที่ได้ฟื้นจากความตาย และผู้ทรงครอบครองกษัตริย์ทั้งปวงในโลก แด่พระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย และได้ทรงชำระบาปของเราด้วยพระโลหิตของพระองค์
วว 1.7 ‘ดูเถิด พระองค์จะเสด็จมาในเมฆ และนัยน์ตาทุกดวงและคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์จะเห็นพระองค์ และมนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะร่ำไห้เพราะพระองค์’ จงเป็นไปอย่างนั้น เอเมน
วว 3.10 เพราะเหตุเจ้าได้รักษาคำของเราด้วยความเพียร เราจะรักษาเจ้าจากเวลาแห่งการทดลองนั้นด้วย ซึ่งจะบังเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก เพื่อจะลองดูใจคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วแผ่นดินโลก
วว 6.10 เขาเหล่านั้นร้องเสียงดังว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้บริสุทธิ์และสัตย์จริง อีกนานเท่าใดพระองค์จึงจะทรงพิพากษา และตอบสนองให้เลือดของเราต่อคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก”
วว 6.15 แล้วกษัตริย์ทั้งหลายในโลก พวกคนใหญ่คนโต เศรษฐี นายทหารใหญ่ ผู้มีอำนาจ และทุกคนทั้งที่เป็นทาสและเป็นอิสระ ก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและโขดหินตามภูเขา
วว 11.6 พยานทั้งสองมีฤทธิ์ปิดท้องฟ้าได้ เพื่อไม่ให้ฝนตกในระหว่างวันเหล่านั้นที่เขากำลังพยากรณ์ และมีฤทธิ์อำนาจเหนือน้ำทำให้กลายเป็นเลือดได้ และมีฤทธิ์บันดาลให้ภัยพิบัติต่างๆกระหน่ำโลก กี่ครั้งก็ได้ตามความปรารถนาของเขา
วว 11.10 คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในแผ่นดินโลกจะยินดีเพราะเขา และจะสนุกสนานรื่นเริง จะให้ของขวัญแก่กัน เพราะว่าผู้พยากรณ์ทั้งสองนี้ได้ทรมานคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในโลก”
วว 12.9 พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่า พญามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก พญานาคและพวกทูตของมันก็ถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลก
วว 13.3 ข้าพเจ้าได้เห็นว่าหัวๆหนึ่งของสัตว์ร้ายดูเหมือนถูกฟันปางตาย แต่แผลที่ถูกฟันนั้นรักษาหายแล้ว คนทั้งโลกติดตามสัตว์ร้ายนั้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ
วว 13.8 และบรรดาคนที่อยู่ในแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น คือคนทั้งปวงที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดก ผู้ทรงถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก
วว 13.12 มันใช้อำนาจของสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้นอย่างครบถ้วนต่อหน้าสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น มันทำให้โลกและคนที่อยู่ในโลกบูชาสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น ที่มีแผลปางตายแต่รักษาหายแล้ว
วว 13.14 มันล่อลวงคนทั้งหลายที่อยู่ในโลกด้วยการอัศจรรย์นั้น ซึ่งมันมีอำนาจกระทำท่ามกลางสายตาของสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น และมันสั่งให้คนทั้งหลายที่อยู่ในโลกสร้างรูปจำลองให้แก่สัตว์ร้าย ที่ถูกฟันด้วยดาบแต่ยังมีชีวิตอยู่นั้น
วว 14.6 แล้วข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งที่บินอยู่ในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐอันเป็นอมตะแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในโลก แก่ทุกชาติ ทุกตระกูล ทุกภาษา และประชากร
วว 17.8 สัตว์ร้ายที่ท่านได้เห็นนั้นเป็นอยู่ในกาลก่อน แต่บัดนี้มิได้เป็น และมันจะขึ้นมาจากเหวที่ไม่มีก้นเหวเพื่อไปสู่ความพินาศแล้ว และคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่แรกทรงสร้างโลกนั้น ก็จะอัศจรรย์ใจ เมื่อเขาเห็นสัตว์ร้าย ซึ่งได้เป็นอยู่ในกาลก่อน แต่บัดนี้มิได้เป็น และกำลังจะเป็น

โลกธรรม ( 2 )
กท 4.3 ฝ่ายเราก็เหมือนกัน เมื่อเป็นเด็กอยู่ เราก็เป็นทาสอยู่ใต้บังคับโลกธรรม
กท 4.9 แต่บัดนี้เมื่อท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกก็คือพระเจ้าทรงรู้จักท่านแล้ว เหตุไฉนท่านจึงจะกลับไปหาโลกธรรมซึ่งอ่อนแอและอนาถา และอยากจะเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอีก

โลกธาตุ ( 2 )
2ปต 3.10 แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะมาถึงเหมือนอย่างขโมยแอบย่องมาในเวลากลางคืน และในวันนั้นท้องฟ้าจะล่วงเสียไปด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยความร้อนอันแรงกล้า และแผ่นดินโลกกับการงานทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้นจะต้องไหม้เสียสิ้นด้วย
2ปต 3.12 คอยท่าและเร่งที่จะให้วันของพระเจ้ามาถึง เมื่อไฟจะติดท้องฟ้าอากาศให้ละลายไป และโลกธาตุจะละลายไปด้วยไฟอันร้อนยิ่ง

โลกบาดาล ( 7 )
โยบ 40.13 ซ่อนเขาไว้ในผงคลีด้วยกัน มัดหน้าของเขาไว้ด้วยกันในโลกบาดาล
อสค 26.20 แล้วเราจะนำเจ้าลงไปพร้อมกับคนเหล่านั้นที่ลงไปยังปากแดนคนตายไปอยู่กับคนสมัยเก่า และจะปล่อยให้เจ้าอยู่ที่โลกบาดาล ในสถานที่ที่โดดเดี่ยวอ้างว้างมาแต่โบราณ พร้อมกับผู้ที่ลงไปยังปากแดนคนตาย เพื่อว่าจะไม่มีใครอาศัยอยู่ในเจ้า และเราจะตั้งสง่าราศีในแผ่นดินของคนเป็น
อสค 31.14 ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อบรรดาต้นไม้ที่อยู่ริมน้ำจะไม่งอกขึ้นสูงนัก หรือชูยอดขึ้นท่ามกลางกิ่งไม้หนาทึบ และเพื่อไม่ให้บรรดาต้นไม้ที่ดูดน้ำขึ้นสูงอย่างนั้นได้ เพราะว่ามันทั้งหลายต้องมอบให้แก่ความตาย มอบให้แก่โลกบาดาล ท่ามกลางบุตรทั้งหลายของมนุษย์กับผู้ที่ได้ลงไปยังปากแดนคนตาย
อสค 31.16 เรากระทำให้ประชาชาติสั่นสะเทือนด้วยเสียงที่มันล้ม เมื่อเราเหวี่ยงมันลงไปที่นรกพร้อมกับบรรดาผู้ที่ลงไปยังปากแดน และต้นไม้ทั้งสิ้นในเอเดน ต้นไม้ที่คัดเลือกแล้วและต้นไม้ที่ดีที่สุดของเลบานอน ต้นไม้ทุกต้นที่ดื่มน้ำจะได้รับความเล้าโลมที่ในโลกบาดาล
อสค 31.18 ดังนี้ เจ้าเหมือนผู้ใดในเรื่องสง่าราศีและความเป็นใหญ่ท่ามกลางต้นไม้แห่งเอเดน เจ้าจะถูกนำลงมาพร้อมกับต้นไม้แห่งเอเดนไปยังโลกบาดาล เจ้าจะนอนอยู่ท่ามกลางผู้ที่มิได้เข้าสุหนัต พร้อมกับผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ นี่คือฟาโรห์และบรรดาหมู่นิกรทั้งสิ้นของท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้”
อสค 32.18 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพิลาปร่ำไห้เพื่อคนเป็นอันมากของอียิปต์ และจงส่งเขาลงไป ทั้งตัวเขาและเหล่าธิดาแห่งประชาชาติที่โอ่อ่าไปยังโลกบาดาล ไปยังบรรดาคนเหล่านั้นที่ไปยังปากแดนคนตายแล้ว
อสค 32.24 เอลามก็อยู่ที่นั่น ทั้งหมู่นิกรทั้งสิ้นก็อยู่รอบหลุมศพของเธอ ทุกคนถูกฆ่า และล้มลงด้วยดาบ ผู้ลงไปสู่โลกบาดาลโดยไม่เข้าสุหนัต เป็นพวกที่ให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น และเขาต้องทนรับความอับอายขายหน้ากับผู้ที่ลงไปปากแดนคนตาย

โลกียตัณหา ( 1 )
ทต 2.12 สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่างชอบธรรม และตามทางพระเจ้า

โลกียวิสัย ( 1 )
ยด 1.19 คนเหล่านี้คือคนที่แยกตัวออกมาและประพฤติตัวตามโลกียวิสัย และปราศจากพระวิญญาณ

โลง ( 2 )
ปฐก 50.26 โยเซฟสิ้นชีพเมื่ออายุได้ร้อยสิบปี เขาก็อาบยารักษาศพไว้แล้วบรรจุไว้ในโลงที่อียิปต์
ลก 7.14 แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ถูกต้องโลง คนหามศพนั้นก็หยุดยืนอยู่ พระองค์จึงตรัสว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย เราสั่งเจ้าว่า ลุกขึ้นเถิด”

โล่ง ( 2 )
มคา 1.6 เหตุฉะนั้น เราจะกระทำสะมาเรียให้เป็นกองสิ่งปรักหักพังอยู่ในที่โล่ง เป็นที่สำหรับทำสวนองุ่น เราจะเทก้อนหินที่ใช้สร้างเมืองนั้นลงที่หุบเขา จะให้เห็นรากฐานของเมือง
ศฟย 2.14 ฝูงสัตว์ทั้งหลายจะนอนอยู่ท่ามกลางที่นั้น สัตว์ป่าในประชาชาติทั้งสิ้น ทั้งนกกระทุงและอีกาบ้านจะอาศัยอยู่ที่หัวเสาทั้งหลายของเมืองนั้น เสียงของพวกมันจะร้องอยู่ที่หน้าต่าง ความรกร้างจะอยู่ที่ธรณีประตู เพราะพระองค์จะทรงกระทำให้งานที่ทำด้วยไม้สนสีดาร์เปิดโล่งออก

โลด ( 8 )
วนฉ 11.34 แล้วเยฟธาห์ก็กลับมาบ้านที่มิสปาห์ ดูเถิด บุตรสาวของท่านถือรำมะนาเต้นโลดออกมาต้อนรับท่าน เธอเป็นบุตรคนเดียว นอกจากบุตรสาวคนนี้ท่านไม่มีบุตรชายและบุตรสาวเลย
1พศด 8.12 บุตรชายของเอลปาอัลคือ เอเบอร์ มิชอัม และเชเมด ผู้สร้างเมืองโอโน และเมืองโลดพร้อมกับหัวเมือง
นหม 11.35 โลด และโอโน หุบเขาของพวกช่างฝีมือ
โยบ 39.21 มันตะกุยไปในหุบเขา และเต้นโลดด้วยกำลังของมัน มันออกไปปะทะคนถืออาวุธ
พซม 2.8 แน่ะ เสียงที่รักของดิฉัน ดูเถิด เขามาแล้ว กำลังเต้นโลดอยู่บนภูเขา กำลังกระโดดอยู่บนเนินเขา
อสย 22.2 เจ้าผู้เป็นเมืองที่เต็มด้วยการโห่ร้อง เมืองที่อึกทึกครึกโครม นครที่เต้นโลด ผู้ที่ถูกฆ่าของเจ้ามิได้ถูกฆ่าด้วยดาบ หรือตายในสงคราม
ลก 6.23 ในวันนั้นท่านทั้งหลายจงชื่นชม และเต้นโลดด้วยความยินดี เพราะ ดูเถิด บำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะว่าบรรพบุรุษของเขาได้กระทำอย่างนั้นแก่พวกศาสดาพยากรณ์เหมือนกัน
กจ 3.8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหารด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป

โลเดบาร์ ( 2 )
2ซมอ 9.4 กษัตริย์ตรัสถามเขาว่า “เขาอยู่ที่ไหน” ศิบาจึงกราบทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในเรือนของมาคีร์บุตรอัมมีเอลในเมืองโลเดบาร์ พ่ะย่ะค่ะ”
2ซมอ 9.5 แล้วกษัตริย์ดาวิดรับสั่งให้คนไปนำเขามาจากเรือนของมาคีร์บุตรชายอัมมีเอลที่โลเดบาร์

โลท ( 37 )
ปฐก 11.27 ต่อไปนี้เป็นพงศ์พันธุ์ของเทราห์ เทราห์ให้กำเนิดอับราม นาโฮร์ และฮาราน และฮารานให้กำเนิดบุตรชื่อโลท
ปฐก 11.31 เทราห์ก็พาอับรามบุตรชายของเขากับโลทบุตรชายของฮารานผู้เป็นหลานชายของเขาและนางซาราย บุตรสะใภ้ของเขาผู้เป็นภรรยาของอับรามบุตรชายของเขา เขาทั้งหลายออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย จะเข้าไปยังแผ่นดินคานาอัน พวกเขามาถึงเมืองฮารานแล้วก็อาศัยอยู่ที่นั่น
ปฐก 12.4 ดังนั้นอับรามจึงออกไปตามที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสแก่ท่านและโลทก็ไปกับท่าน อับรามมีอายุได้เจ็ดสิบห้าปีขณะเมื่อท่านออกจากเมืองฮาราน
ปฐก 12.5 อับรามพานางซารายภรรยาของท่าน โลทบุตรชายของน้องชายท่าน บรรดาทรัพย์สิ่งของของพวกเขาที่ได้สะสมไว้ และผู้คนทั้งหลายที่ได้ไว้ที่เมืองฮาราน พวกเขาออกไปเพื่อเข้าไปยังแผ่นดินคานาอัน และพวกเขาไปถึงแผ่นดินคานาอัน
ปฐก 13.1 อับรามจึงขึ้นไปจากอียิปต์ ท่านและภรรยาของท่านและสิ่งสารพัดที่ท่านมีอยู่พร้อมกับโลท เข้าไปทางทิศใต้
ปฐก 13.5 โลทซึ่งไปกับอับรามมีฝูงแพะแกะ ฝูงวัวและเต็นท์เช่นกัน
ปฐก 13.7 เกิดมีการวิวาทกันระหว่างคนเลี้ยงสัตว์ของอับรามกับคนเลี้ยงสัตว์ของโลท ขณะนั้นคนคานาอันและคนเปรีสซียังอาศัยอยู่ที่แผ่นดินนั่น
ปฐก 13.8 อับรามจึงพูดกับโลทว่า “กรุณาอย่าให้มีการวิวาทกันเลยระหว่างเรากับเจ้า และระหว่างคนเลี้ยงสัตว์ของเรากับคนเลี้ยงสัตว์ของเจ้า เพราะเราทั้งสองเป็นญาติกัน
ปฐก 13.10 โลทเงยหน้าขึ้นแลดูและเห็นว่าบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดนมีน้ำบริบูรณ์อยู่ทุกแห่ง เหมือนพระอุทยานของพระเยโฮวาห์ เหมือนกับแผ่นดินอียิปต์ไปทางเมืองโศอาร์ ก่อนที่พระเยโฮวาห์ทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์
ปฐก 13.11 ดังนั้นโลทจึงเลือกบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน โลทเดินทางไปทิศตะวันออกและเขาทั้งสองจึงแยกจากกันไป
ปฐก 13.12 อับรามอาศัยอยู่ในแผ่นดินคานาอัน โลทอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆที่ราบลุ่มและตั้งเต็นท์ใกล้เมืองโสโดม
ปฐก 13.14 ภายหลังที่โลทแยกจากท่านไปแล้วพระเยโฮวาห์ตรัสแก่อับรามว่า “จงเงยหน้าขึ้นแลดูและมองดูจากสถานที่ที่เจ้าอยู่นี้ไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
ปฐก 14.12 และได้จับโลทบุตรชายของน้องชายอับรามผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองโสโดมและทรัพย์สิ่งของของเขาแล้วจากไป
ปฐก 14.16 และท่านนำบรรดาทรัพย์สิ่งของกลับคืนมาหมด ทั้งนำโลทหลานชายของท่าน ทรัพย์สิ่งของของเขา ผู้หญิง และประชาชนกลับมาด้วย
ปฐก 19.1 ทูตสวรรค์สององค์มาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทได้นั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นแล้วก็ลุกขึ้นไปพบทูตเหล่านั้นและได้ก้มหน้าของเขาลงถึงดิน
ปฐก 19.5 พวกเขาเรียกโลทและพูดกับเขาว่า “ผู้ชายเหล่านั้นซึ่งมาหาท่านคืนนี้อยู่ที่ไหน จงนำเขาเหล่านั้นออกมาให้พวกเราเพื่อพวกเราจะได้สมสู่กับเขา”
ปฐก 19.6 โลทก็ออกทางประตูไปหาพวกนั้นและปิดประตูหลังจากที่เขาออกไปแล้ว
ปฐก 19.9 พวกเขาพูดว่า “ถอยไป” และพวกเขาพูดอีกว่า “คนนี้เข้ามาอาศัยอยู่และเขาจะมาตั้งตัวเป็นผู้พิพากษา บัดนี้เราจะทำการชั่วร้ายกับท่านยิ่งกว่าคนเหล่านั้น” พวกเขาจึงผลักคนนั้นโดยแรงคือโลทนั่นเอง และเข้ามาใกล้เพื่อพังประตู
ปฐก 19.10 แต่ทูตเหล่านั้นจึงยื่นมือออกไปดึงโลทเข้ามาในบ้านและปิดประตู
ปฐก 19.12 ทูตเหล่านั้นจึงพูดกับโลทว่า “ที่นี่มีใครอีกไหม จงพาบุตรเขย บุตรชาย บุตรสาว และสิ่งใดๆของเจ้าที่อยู่ในเมืองนี้ออกจากที่นี่
ปฐก 19.14 โลทจึงออกไปพูดกับบุตรเขยของเขาซึ่งได้แต่งงานกับบุตรสาวของเขาว่า “ลุกขึ้น เจ้าจงออกไปจากสถานที่นี้ เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงทำลายเมืองนี้” แต่บุตรเขยของเขากลับดูเหมือนว่าเขาพูดล้อเล่น
ปฐก 19.15 เมื่อรุ่งเช้าทูตสวรรค์เหล่านั้นจึงเร่งเร้าโลทว่า “จงลุกขึ้น พาภรรยาของเจ้า และบุตรสาวทั้งสองของเจ้า ซึ่งอยู่ที่นี่ไปเสีย เกรงว่าพวกเจ้าจะถูกทำลายพร้อมกับความชั่วช้าของเมืองนี้”
ปฐก 19.18 โลทจึงกล่าวแก่ทูตเหล่านั้นว่า “โอ เจ้านายของข้าพเจ้า อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย
ปฐก 19.23 เมื่อโลทเข้าไปยังเมืองโศอาร์ ตะวันก็ขึ้นมาเหนือแผ่นดินโลกแล้ว
ปฐก 19.29 ต่อมาเมื่อพระเจ้าทรงทำลายเมืองทั้งหลายในที่ราบลุ่มแล้วนั้น พระเจ้าทรงระลึกถึงอับราฮัม และส่งโลทออกไปจากท่ามกลางการทำลายล้าง เมื่อพระองค์ทรงทำลายล้างเมืองทั้งหลายซึ่งโลทอาศัยอยู่
ปฐก 19.30 โลทขึ้นไปจากเมืองโศอาร์ไปอาศัยอยู่บนภูเขาพร้อมกับบุตรสาวสองคนของเขา เพราะเขากลัวที่อาศัยในเมืองโศอาร์ เขาจึงไปอาศัยอยู่ในถ้ำทั้งเขากับบุตรสาวสองคนของเขา
ปฐก 19.36 ดังนั้น บุตรสาวทั้งสองของโลทก็ตั้งครรภ์กับบิดาของพวกเธอ
พบญ 2.9 และพระเยโฮวาห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าทั้งหลายอย่าราวีพวกโมอับหรือสู้รบกับเขาเลย เพราะเราจะไม่ให้ที่ของเขาแก่เจ้าเพื่อยึดครอง ด้วยเราได้ให้ที่ตำบลอาร์นั้นแก่ลูกหลานของโลทให้ปกครองแล้ว’
พบญ 2.19 และเมื่อเข้าใกล้แนวหน้าของคนอัมโมนอย่าราวีหรือรบกับเขาเลย เพราะเราจะไม่ให้ที่อยู่ของลูกหลานคนอัมโมนแก่เจ้าให้ยึดครองเลย ด้วยเราได้ให้ที่นั่นแก่ลูกหลานของโลทเป็นผู้ยึดครองแล้ว’
สดด 83.8 อัสซีเรียก็สมทบเขาด้วย เขาได้ช่วยลูกหลานของโลท เซลาห์
ลก 17.28 ในสมัยของโลทก็เหมือนกัน เขาได้กินดื่ม ซื้อขาย หว่านปลูก ก่อสร้าง
ลก 17.29 แต่ในวันนั้นที่โลทออกไปจากเมืองโสโดม ไฟและกำมะถันได้ตกจากฟ้ามาเผาผลาญเขาเสียทั้งสิ้น
ลก 17.32 จงระลึกถึงภรรยาของโลทนั้นเถิด
2ปต 2.7 และได้ทรงช่วยโลทผู้ชอบธรรมให้รอด ผู้มีความทุกข์ใหญ่หลวงเพราะการประพฤติลามกของคนชั่วเหล่านั้น

โลทาน ( 7 )
ปฐก 36.20 ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของเสอีร์คนโฮรี ชาวแผ่นดินนั้นคือโลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์
ปฐก 36.22 บุตรชายโลทานชื่อโฮรีและเฮมาม และน้องสาวของโลทานชื่อทิมนา
ปฐก 36.29 ต่อไปนี้เป็นเจ้านายของคนโฮรี คือเจ้านายโลทาน เจ้านายโชบาล เจ้านายศิเบโอน เจ้านายอานาห์
1พศด 1.38 บุตรชายของเสอีร์ ชื่อ โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน
1พศด 1.39 บุตรชายของโลทาน ชื่อ โฮรี และโฮมาม และน้องสาวของโลทานชื่อทิมนา

โล้น ( 4 )
พบญ 14.1 “ท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านอย่าเชือดเนื้อตัวเองหรือกระทำหน้าผากให้โล้นเพื่อคนตาย
อสย 3.17 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้เป็นชันนะตุที่ศีรษะของบรรดาธิดาของศิโยน และพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ที่ส่วนลับของเขาทั้งหลายโล้นไป
อสย 15.2 เขาได้ขึ้นไปยังบายิทและดีโบน ไปยังปูชนียสถานสูงเพื่อจะร่ำไห้ โมอับจะคร่ำครวญถึงเนโบและถึงเมเดบา ศีรษะทุกศีรษะจะโล้น และหนวดเคราทุกคนก็ถูกโกนออกเสีย
อสย 22.12 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาทรงเรียกให้ร่ำไห้และคร่ำครวญ ให้มีศีรษะโล้นและให้คาดตัวด้วยผ้ากระสอบ

โลภ ( 19 )
อพย 20.17 อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือวัว ลาของเขา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน”
กดว 11.4 คนที่ปะปนมากับเขาทั้งหลายเป็นคนโลภมาก ทั้งคนอิสราเอลก็ร้องไห้คร่ำครวญอีกว่า “ผู้ใดจะให้เนื้อเรากิน
กดว 11.34 เขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า ขิบโรทหัทธาอาวาห์ เพราะที่นั่นเขาฝังศพคนทั้งปวงที่โลภมาก
พบญ 5.21 อย่าอยากได้ภรรยาของเพื่อนบ้าน และอย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน คือไร่นาของเขา หรือทาสทาสีของเขา หรือวัว ลาของเขา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน’
ยชว 7.21 ในหมู่ของที่ริบมาข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อคลุมงามตัวหนึ่งของเมืองบาบิโลน กับเงินสองร้อยเชเขล และทองคำแท่งหนึ่งหนักห้าสิบเชเขล ข้าพเจ้าก็โลภอยากได้ของเหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเอามา ดูเถิด ของเหล่านั้นซ่อนอยู่ใต้ดินในเต็นท์ของข้าพเจ้า เงินนั้นอยู่ข้างล่าง”
สดด 10.3 เพราะคนชั่วอวดถึงสิ่งที่ใจเขาอยากได้นั้น และอวยพรคนที่โลภ ผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเกลียดชัง
สดด 119.36 ขอทรงโน้มใจข้าพระองค์ในบรรดาพระโอวาทของพระองค์และมิใช่ในทางโลภกำไร
สภษ 21.26 เขาโลภอย่างตะกละอยู่วันยังค่ำ แต่คนชอบธรรมให้และไม่หน่วงเหนี่ยวไว้
ยรม 6.13 “เพราะว่า ตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด ทุกคนโลภอยากได้กำไร และทุกคนก็กระทำการด้วยความเท็จ ตั้งแต่ผู้พยากรณ์ตลอดถึงปุโรหิต
ยรม 8.10 เพราะฉะนั้น เราจะให้ภรรยาของเขาตกไปเป็นของคนอื่น ให้ไร่นาของเขาตกแก่ผู้ที่จะได้รับเป็นมรดก เพราะว่าตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดถึงคนที่ใหญ่โตที่สุด ทุกคนโลภอยากได้กำไร ตั้งแต่ผู้พยากรณ์ถึงปุโรหิต ทุกคนก็ทำการฉ้อเขา
มคา 2.2 เขาโลภที่ดินแล้วก็ใช้ความรุนแรงยึดเอาไป เขาโลภบ้านเรือนและก็ริบไปเสีย เขาบีบบังคับคนและบ้านเรือนของเขา และบีบคนกับมรดกของเขา
กจ 20.33 ข้าพเจ้ามิได้โลภเงินหรือทองหรือเสื้อผ้าของผู้ใด
รม 7.7 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ว่าพระราชบัญญัติคือบาปหรือ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย แต่ว่าถ้ามิใช่เพราะพระราชบัญญัติแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้จักบาป เพราะว่าถ้าพระราชบัญญัติมิได้ห้ามว่า “อย่าโลภ” ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ
รม 13.9 พระบัญญัติกล่าวว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าโลภ’ ทั้งพระบัญญัติอื่นๆก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ ‘ท่านจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’
1คร 10.6 แล้วเหตุการณ์เหล่านี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจพวกเรา ไม่ให้เรามีใจโลภปรารถนาสิ่งที่ชั่วเหมือนเขาเหล่านั้น
1ทธ 6.10 ด้วยว่าการรักเงินนั้นเป็นรากเหง้าแห่งความชั่วทั้งสิ้น ขณะที่บางคนโลภสิ่งเหล่านี้จึงได้หลงไปจากความเชื่อนั้น และทิ่มแทงตัวของเขาเองให้ทะลุด้วยความทุกข์ใจเป็นอันมาก
ยก 4.2 ท่านทั้งหลายอยากได้ แต่ไม่ได้ ท่านก็ฆ่ากัน ท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน ที่ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ

โลรุหะมาห์ ( 2 )
ฮชย 1.6 ต่อมานางก็ตั้งครรภ์ขึ้นอีก และคลอดบุตรสาวคนหนึ่ง และพระเจ้าตรัสกับท่านว่า “จงตั้งชื่อบุตรสาวนั้นว่า โลรุหะมาห์ เพราะเราจะไม่เมตตาวงศ์วานอิสราเอลอีกต่อไป แต่เราจะเอาเขาออกไปอย่างสิ้นเชิง
ฮชย 1.8 เมื่อนางให้โลรุหะมาห์หย่านมแล้ว นางก็ตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง

โลเล ( 2 )
ยรม 4.1 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “โอ อิสราเอลเอ๋ย ถ้าเจ้าจะกลับมา เจ้าจงกลับมาหาเรา ถ้าเจ้ายอมเอาสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนไปให้พ้นสายตาของเราเสีย เจ้าก็จะไม่โลเล
2คร 1.17 ฉะนั้นเมื่อข้าพเจ้าหมายที่จะทำอย่างนั้น ข้าพเจ้าโลเลหรือ หรือสิ่งที่ข้าพเจ้ามุ่งหมายไว้ข้าพเจ้ากะโครงการอย่างเนื้อหนังหรือ ซึ่งพร้อมที่จะกล่าวว่ามาไม่มาส่งๆไป

โลหะ ( 1 )
โยบ 38.38 เมื่อผงคลีแข็งอย่างโลหะหลอม เมื่อก้อนดินเกาะกันแน่นหรือ

โลหิต ( 230 )
ปฐก 4.10 พระองค์ตรัสว่า “เจ้าทำอะไรไป เสียงร้องของโลหิตน้องชายของเจ้าร้องจากดินถึงเรา
ปฐก 4.11 บัดนี้เจ้าถูกสาปแช่งจากแผ่นดินแล้ว ซึ่งได้อ้าปากรับโลหิตน้องชายของเจ้าจากมือเจ้า
ปฐก 9.5 โลหิตเจ้าที่เป็นชีวิตของเจ้าเราจะเรียกเอาแน่นอน เราจะเรียกเอาจากชีวิตของสัตว์ป่าทั้งปวงและจากมือมนุษย์ เราจะเรียกเอาชีวิตมนุษย์จากมือพี่น้องของตนทุกคน
ปฐก 9.6 ผู้ใดทำให้โลหิตของมนุษย์ไหล ผู้อื่นจะทำให้ผู้นั้นโลหิตไหล เพราะว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายาของพระองค์
ปฐก 37.22 รูเบนเตือนเขาว่า “อย่าทำให้โลหิตไหล จงทิ้งมันในบ่อนี้ในถิ่นทุรกันดาร อย่าแตะต้องน้องเลย” ทั้งนี้เพื่อจะช่วยน้องให้พ้นมือเขา แล้วจะได้ส่งกลับไปยังบิดา
ปฐก 37.26 ยูดาห์จึงพูดกับพี่น้องว่า “หากเราฆ่าน้องและซ่อนโลหิตไว้จะมีประโยชน์อันใดเล่า
ปฐก 42.22 ฝ่ายรูเบนพูดกับน้องทั้งหลายว่า “ข้าห้ามเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ‘อย่าทำบาปผิดต่อเด็กนั้น’ แต่พวกเจ้าไม่ฟัง เหตุฉะนั้น ดูเถิด การพิพากษาเรื่องโลหิตของน้องจึงมาถึง”
อพย 4.25 ครั้งนั้นนางศิปโปราห์จึงเอาหินคมตัดหนังที่ปลายองคชาตบุตรชายของตนออกแล้วทิ้งไว้ที่เท้าของโมเสสกล่าวว่า “จริงนะ ท่านเป็นสามีผู้ทำให้โลหิตตก”
อพย 4.26 พระองค์จึงทรงละท่านไว้ นางจึงกล่าวว่า “ท่านเป็นสามีผู้ทำให้โลหิตตก” เนื่องจากพิธีเข้าสุหนัต
อพย 22.2 ถ้าผู้ใดเห็นขโมยกำลังขุดช่องเข้าไปแล้วตีขโมยนั้นตาย ไม่ต้องทำให้โลหิตตกเพราะการตีคนนั้น
อพย 22.3 ถ้าดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ต้องทำให้โลหิตตกเพราะการตีคนนั้น แต่ผู้ร้ายนั้นต้องให้ค่าชดใช้ ถ้าเขาไม่มีอะไรจะใช้ให้ ต้องขายตัวเขาเป็นค่าของที่ลักไปนั้น
ลนต 12.4 ให้นางคอยอยู่อีกสามสิบสามวันด้วยเรื่องโลหิตชำระของนาง อย่าให้นางแตะต้องของบริสุทธิ์อันใด หรือเข้าไปในสถานบริสุทธิ์ จนกว่าจะครบวันชำระของนาง
ลนต 12.5 แต่ถ้านางคลอดบุตรเป็นหญิง นางจะมลทินไปสองสัปดาห์ อย่างเดียวกับเรื่องการมีประจำเดือน และนางจะต้องคอยอยู่หกสิบหกวัน ด้วยเรื่องโลหิตชำระของนาง
ลนต 12.7 ให้ปุโรหิตนำถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และทำการลบมลทินให้นาง แล้วนางจะสะอาดในเรื่องโลหิตของนางตก นี่เป็นพระราชบัญญัติกล่าวด้วยเรื่องการคลอดบุตร ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง
ลนต 15.19 เมื่อสตรีมีสิ่งไหลออกเป็นโลหิตประจำเดือน เธอจะต้องอยู่ต่างหากเจ็ดวัน และผู้ใดแตะต้องเธอ จะต้องเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.25 ถ้าสตรีใดมีโลหิตไหลออกหลายวัน ไม่ใช่เป็นเวลาที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น หรือถ้าเธอมีโลหิตไหลออกเลยกำหนดที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น ทุกวันที่มีโลหิตไหลออกเธอจะเป็นมลทิน เธอจะเป็นมลทินอย่างเดียวกับเวลาที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น
ลนต 20.9 เพราะว่าทุกคนที่แช่งบิดาหรือมารดาของตนจะต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่ เขาได้แช่งบิดาหรือมารดาของเขา ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
ลนต 20.11 ผู้ชายที่หลับนอนกับภรรยาของบิดาตนก็ได้เปิดกายที่เปลือยเปล่าของบิดาตน ทั้งสองคนนั้นจะต้องถูกประหารให้ตายอย่างแน่นอน ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
ลนต 20.12 ถ้าผู้ใดเข้านอนกับลูกสะใภ้ ต้องให้ทั้งสองคนนั้นมีโทษถึงตายเป็นแน่ เพราะเขาได้กระทำกามวิปลาส ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
ลนต 20.13 ถ้าชายคนใดคนหนึ่งหลับนอนกับผู้ชายด้วยกันเหมือนอย่างที่เขาหลับนอนกับผู้หญิง ทั้งสองคนก็ได้กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ทั้งสองคนนั้นจะต้องถูกประหารให้ตายอย่างแน่นอน ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
ลนต 20.16 ถ้าหญิงคนใดเข้าใกล้สัตว์เดียรัจฉาน และเข้านอนกับมัน เจ้าจงฆ่าหญิงนั้นและสัตว์เดียรัจฉานนั้นเสียให้ตาย ทั้งสองต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่ ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
ลนต 20.18 ถ้าชายใดเข้านอนกับหญิงผู้มีประจำเดือน และเปิดกายที่เปลือยเปล่าของเธอ เขาได้กระทำให้แหล่งโลหิตของเธอเปิด ส่วนเธอก็เปิดแหล่งโลหิตของเธอ เขาทั้งสองจะต้องถูกตัดขาดจากชนชาติของเขา
ลนต 20.27 ชายหรือหญิงคนใดที่เป็นคนทรงหรือพ่อมดแม่มด จะต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่ จงเอาหินขว้างให้ตาย ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง”
กดว 35.27 และผู้อาฆาตโลหิตพบเขานอกเขตเมืองลี้ภัย และผู้อาฆาตโลหิตได้ฆ่าผู้ฆ่าคนนั้นเสีย ผู้อาฆาตโลหิตจะไม่มีความผิดเนื่องด้วยโลหิตตกของเขา
กดว 35.33 ดังนั้นเจ้าจึงไม่กระทำให้แผ่นดินที่เจ้าทั้งหลายอาศัยอยู่มีมลทิน เพราะว่าโลหิตทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน และไม่มีสิ่งใดที่จะชำระแผ่นดินให้หมดมลทินที่เกิดขึ้นเพราะโลหิตตกในแผ่นดินนั้นได้ นอกจากโลหิตของผู้ที่ทำให้โลหิตตก
พบญ 19.10 ด้วยเกรงว่าโลหิตที่ไร้ความผิดจะตกในแผ่นดินของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดก และท่านทั้งหลายจึงต้องรับผิดชอบโลหิตนั้น
พบญ 19.13 อย่าให้นัยน์ตาของท่านเมตตาสงสารเขาเลย แต่ท่านจงกำจัดความผิดอันเนื่องจากโลหิตที่ไร้ความผิดนั้นให้สิ้นไปจากอิสราเอล เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ไปดีมาดี
พบญ 21.7 และเขาจะเป็นพยานว่า ‘มือของเราทั้งหลายมิได้กระทำให้โลหิตของชายผู้นี้ตก และตาของเราทั้งหลายก็มิได้แลเห็นโลหิตของเขาตก
พบญ 21.8 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลบมลทินบาปของประชาชนชาวอิสราเอลของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ ขออย่าทรงถือโทษประชาชนชาวอิสราเอลของพระองค์เนื่องด้วยโลหิตที่ไร้ความผิด’ และจะทรงอภัยโทษอันเนื่องจากโลหิตนี้ให้แก่เขา
พบญ 21.9 ดังนี้แหละท่านจะกำจัดความผิดอันเนื่องจากโลหิตที่ไร้ความผิดนั้นเสียจากท่ามกลางท่าน เมื่อท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
พบญ 22.8 เมื่อท่านก่อเรือนใหม่ จงก่อขอบขึ้นกันไว้ที่ดาดฟ้าหลังคา เพื่อท่านจะมิได้นำโทษเนื่องด้วยโลหิตตกมาสู่เรือนนั้น เพราะมีคนพลัดตกลงมาจากหลังคาตาย
พบญ 32.42 เราจะให้ลูกธนูของเราเมาโลหิต และดาบของเราจะกินเนื้อหนัง ด้วยโลหิตของผู้ที่ถูกฆ่าและของเชลย ตั้งแต่เริ่มแก้แค้นต่อศัตรู”’
พบญ 32.43 โอ ประชาชาติทั้งหลาย จงชื่นชมยินดีกับประชาชนของพระองค์ เพราะพระองค์จะแก้แค้นโลหิตแห่งพวกผู้รับใช้ของพระองค์แล้ว และจะทรงทำการแก้แค้นศัตรูของพระองค์ และจะทรงเมตตาปรานีทั้งแผ่นดินและประชาชนของพระองค์”
ยชว 2.19 ถ้ามีผู้ใดออกไปที่ถนนนอกประตูบ้าน ให้โลหิตของผู้นั้นตกบนศีรษะของผู้นั้นเอง ฝ่ายเราไม่มีความผิด แต่ถ้ามีคนหนึ่งคนใดยกมือขึ้นทำร้ายผู้ใดที่อยู่กับเจ้าในเรือน ให้โลหิตของคนนั้นตกบนศีรษะของเราเถิด
วนฉ 9.24 เพื่อความทารุณที่เขาได้กระทำแก่บุตรชายเจ็ดสิบคนของเยรุบบาอัลจะสนอง และโลหิตของคนเหล่านั้นจะได้ตกแก่อาบีเมเลค พี่น้องผู้ได้ประหารเขาและตกแก่ชาวเมืองเชเคม ผู้เสริมกำลังมืออาบีเมเลคให้ฆ่าพี่น้องของตน
1ซมอ 19.5 เพราะเธอเสี่ยงชีวิตของตน และประหารคนฟีลิสเตียนั้น และพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้มีการช่วยให้พ้นอย่างใหญ่หลวงเพื่ออิสราเอลทั้งปวง พระองค์ทรงเห็นแล้วและทรงชื่นชมยินดี แต่ไฉนพระองค์จึงจะกระทำบาปต่อโลหิตที่ไร้ความผิด ด้วยการฆ่าดาวิดเสียอย่างปราศจากเหตุผล”
1ซมอ 25.26 เหตุฉะนั้นบัดนี้เจ้านายของดิฉัน พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ด้วยว่าพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ท่านระงับเสียจากการทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง เพราะฉะนั้นขอให้ศัตรูของท่านและบรรดาผู้ที่กระทำร้ายต่อเจ้านายของดิฉันจงเป็นอย่างนาบาล
1ซมอ 25.31 เจ้านายของดิฉันจะไม่มีเหตุที่ต้องเศร้าใจหรือระกำใจ เพราะได้กระทำให้โลหิตเขาตกด้วยไม่มีสาเหตุ หรือเพราะเจ้านายของดิฉันทำการแก้แค้นเสียเอง และเมื่อพระเยโฮวาห์ทรงกระทำความดีแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ก็ขอระลึกถึงหญิงผู้รับใช้ของท่านบ้าง”
1ซมอ 25.33 ขอให้ความสุขุมของเจ้ารับพระพร และขอให้ตัวเจ้าได้รับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกันเราในวันนี้ให้พ้นจากการทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง
1ซมอ 26.20 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของข้าพระองค์ตกถึงดินต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ออกมาหาชีวิตหมัดตัวเดียว ดังผู้หนึ่งไล่ตามนกกระทาอยู่บนภูเขา”
2ซมอ 1.16 ดาวิดกล่าวแก่ชายนั้นว่า “ให้โลหิตของเจ้าตกบนศีรษะของเจ้าเอง เพราะปากของเจ้าเป็นพยานปรักปรำตัวเจ้าเองว่า ‘ข้าพเจ้าได้ฆ่าผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้’”
2ซมอ 1.22 คันธนูของโยนาธานมิได้หันกลับมาจากโลหิตของผู้ที่ถูกฆ่า จากไขมันของผู้ที่มีกำลัง และดาบของซาอูลก็มิได้กลับมาเปล่า
2ซมอ 3.27 และเมื่ออับเนอร์กลับมาถึงเฮโบรนแล้ว โยอาบก็พาท่านหลบเข้าไปที่กลางประตูเมืองเพื่อจะพูดกับท่านเป็นการลับ และโยอาบแทงท้องของท่านเสียที่นั่น ท่านก็สิ้นชีวิต โยอาบแก้แค้นโลหิตของอาสาเฮลน้องชายของตน
2ซมอ 3.28 ภายหลังเมื่อดาวิดทรงได้ยินเรื่องนี้ พระองค์ตรัสว่า “ตัวเราและราชอาณาจักรของเราปราศจากความผิดสืบไปเป็นนิตย์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ด้วยเรื่องโลหิตของอับเนอร์บุตรเนอร์
2ซมอ 4.11 ยิ่งกว่านั้นเท่าใดเมื่อคนชั่วได้ฆ่าคนชอบธรรมที่ในบ้านและบนที่นอนของคนชอบธรรมนั้น ฉะนั้นบัดนี้เราจะไม่เรียกร้องโลหิตของเขาจากมือของเจ้าทั้งสองหรือ และทำลายเจ้าเสียจากพิภพ”
2ซมอ 16.8 พระเยโฮวาห์ได้ทรงสนองเจ้าในเรื่องโลหิตทั้งสิ้นแห่งวงศ์วานของซาอูลผู้ซึ่งเจ้าเข้าครองแทนอยู่นั้น และพระเยโฮวาห์ทรงมอบราชอาณาจักรไว้ในมืออับซาโลมบุตรของเจ้า ดูเถิด ความพินาศตกอยู่บนเจ้าแล้ว เพราะเจ้าเป็นคนกระหายโลหิต”
2ซมอ 20.12 อามาสาก็นอนเกลือกโลหิตของตัวอยู่ที่ในทางหลวง เมื่อชายคนนั้นเห็นประชาชนทั้งสิ้นมาหยุดอยู่ เขาก็นำศพอามาสาจากทางหลวงไปทิ้งในทุ่งนาและเอาเสื้อผ้าปิดไว้ เพราะเขาเห็นว่าเมื่อใครมาก็เข้าไปหยุดอยู่
2ซมอ 21.1 ในสมัยของดาวิดมีการกันดารอาหารอยู่สามปี ปีแล้วปีเล่า และดาวิดทรงอธิษฐานอ้อนวอนต่อพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เพราะเหตุซาอูลและวงศ์วานกระหายโลหิตของเขา เพราะเขาฆ่าคนกิเบโอน”
2ซมอ 23.17 และตรัสว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ซึ่งข้าพระองค์จะกระทำเช่นนี้ ก็ขอให้ห่างไกลจากข้าพระองค์ นี่คือโลหิตของผู้ที่ไปมาด้วยการเสี่ยงชีวิตของเขามิใช่หรือ” เพราะฉะนั้นพระองค์หาทรงดื่มไม่ ทแกล้วทหารทั้งสามได้กระทำสิ่งเหล่านี้
1พกษ 2.5 ยิ่งกว่านั้นอีก เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่า โยอาบบุตรนางเศรุยาห์ได้กระทำอะไรแก่เรา คือว่าเขาได้กระทำประการใดแก่ผู้บัญชาการทั้งสองแห่งกองทัพของอิสราเอล คือกระทำแก่อับเนอร์บุตรเนอร์ และแก่อามาสาบุตรเยเธอร์ที่โยอาบได้ฆ่าเสีย ทำให้โลหิตที่ตกในยามสงครามไหลในยามสันติ และวางโลหิตที่ตกในยามสงครามลงบนรัดประคดที่เอวของเขา และลงบนรองเท้าของเขา
1พกษ 2.9 เพราะฉะนั้นบัดนี้เจ้าอย่าถือว่าเขาไม่มีความผิด เพราะเจ้าเป็นคนมีปัญญา เจ้าจะทราบว่าควรจะกระทำประการใดแก่เขา และเจ้าจงนำศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายพร้อมกับโลหิต”
1พกษ 2.31 กษัตริย์ตรัสตอบเขาว่า “จงกระทำตามที่เขาบอก จงประหารเขาเสียและฝังเขาไว้ ทั้งนี้จะได้เอาโลหิตไร้ความผิดซึ่งโยอาบได้กระทำให้ไหลนั้นไปเสียจากเรา และจากวงศ์วานบิดาของเรา
1พกษ 2.32 พระเยโฮวาห์ทรงทำให้โลหิตของเขากลับมาตกบนศีรษะของเขาเอง เพราะว่าเขาได้โจมตีและฆ่าชายสองคนที่ชอบธรรมและดีกว่าตัวเขาด้วยดาบ โดยที่ดาวิดราชบิดาของเราหาทรงทราบไม่ คืออับเนอร์บุตรเนอร์ผู้บัญชาการกองทัพของอิสราเอล และอามาสาบุตรเยเธอร์ผู้บัญชาการกองทัพของยูดาห์
1พกษ 2.33 ดังนั้นต้องให้โลหิตของเขาทั้งสองตกบนศีรษะของโยอาบและบนศีรษะเชื้อสายของเขาเป็นนิตย์ แต่ส่วนดาวิดและเชื้อสายของพระองค์ และราชวงศ์ของพระองค์ และราชบัลลังก์ของพระองค์จะมีสันติภาพจากพระเยโฮวาห์อยู่เป็นนิตย์”
1พกษ 2.37 เพราะในวันที่ท่านออกไป และข้ามลำธารขิดโรนนั้น ท่านจงรู้เป็นแน่เถิดว่า ท่านจะต้องตายแน่ แล้วโลหิตของเจ้าจะต้องตกบนศีรษะของเจ้าเอง”
1พกษ 18.28 เขาทั้งหลายก็ร้องเสียงดัง และเชือดเฉือนตัวเองตามธรรมเนียมของเขาด้วยมีดและหลาว จนโลหิตไหลพุ่งออกมาตามตัว
1พกษ 21.19 เจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ท่านได้ฆ่าและได้ยึดถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยหรือ’ และเจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดั่งนี้ว่า ในที่ซึ่งสุนัขเลียโลหิตของนาโบท สุนัขจะเลียโลหิตของเจ้าด้วย’”
1พกษ 22.35 วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น เขาก็หนุนกษัตริย์ไว้ในราชรถให้หันพระพักตร์เข้าสู่ชนซีเรีย จนเวลาเย็นพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และโลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกนองท้องรถรบ
1พกษ 22.38 เขาล้างรถรบที่สระแห่งสะมาเรีย และสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ เขาได้ล้างเกราะของพระองค์ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์ได้ตรัส
2พกษ 3.22 เมื่อเขาตื่นขึ้นในตอนเช้า และดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่บนน้ำ คนโมอับเห็นน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับตนแดงอย่างโลหิต
2พกษ 3.23 เขาทั้งหลายกล่าวว่า “นี่เป็นโลหิต บรรดากษัตริย์ได้สู้รบกันเอง และฆ่ากันเอง เพราะฉะนั้นบัดนี้ โมอับเอ๋ย มาริบเอาข้าวของของเขา”
2พกษ 9.7 และเจ้าจงโค่นราชวงศ์ของอาหับนายของเจ้า เพื่อเราจะได้จัดการสนองเยเซเบลเพราะโลหิตของบรรดาผู้พยากรณ์ผู้รับใช้ของเรา และเพราะโลหิตของบรรดาผู้รับใช้ทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์
2พกษ 9.26 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘เราได้เห็นโลหิตของนาโบทและโลหิตของลูกหลานของเขาเมื่อวานนี้’ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘แน่ทีเดียวเราจะสนองเจ้าบนที่ดินแปลงนี้แหละ’ ฉะนั้นบัดนี้จงยกเขาขึ้นทิ้งไว้บนที่ดินแปลงนี้แหละตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์”
2พกษ 9.33 พระองค์ตรัสว่า “โยนนางลงมา” เขาจึงโยนพระนางลงมา และโลหิตของพระนางก็กระเด็นติดผนังกำแพงและติดม้า และพระองค์ทรงม้าย่ำไปบนพระนาง
2พกษ 21.16 ยิ่งกว่านั้นมนัสเสห์ได้ทรงกระทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดตกเป็นอันมาก จนเต็มเยรูซาเล็มจากปลายข้างหนึ่งถึงปลายอีกข้างหนึ่ง นอกเหนือจากบาปที่พระองค์ทรงกระทำให้ยูดาห์ทำด้วย โดยประพฤติสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
2พกษ 24.4 และเพราะโลหิตที่ไร้ความผิดซึ่งท่านได้ทำให้หลั่งนั้นด้วย เพราะท่านได้กระทำให้โลหิตไร้ความผิดตกเต็มเยรูซาเล็ม และพระเยโฮวาห์ไม่ทรงอภัย
1พศด 11.19 ตรัสว่า “ขอพระเจ้าของข้าทรงห้ามข้าไม่ให้กระทำอย่างนี้ ควรหรือที่ข้าจะดื่มโลหิตของคนเหล่านี้ผู้ที่เสี่ยงชีวิตของเขา เพราะด้วยการเสี่ยงชีวิตของเขาเอง เขาได้เอาน้ำนี้มา” เพราะฉะนั้นพระองค์จึงหาทรงดื่มไม่ ทแกล้วทหารสามคนนั้นได้กระทำสิ่งนี้
1พศด 22.8 แต่พระวจนะของพระเยโฮวาห์มายังเราว่า ‘เจ้าได้ทำให้โลหิตตกมาก และได้ทำสงครามใหญ่โต เจ้าอย่าสร้างพระนิเวศเพื่อนามของเราเลย เพราะเจ้าได้ทำให้โลหิตตกเป็นอันมากต่อสายตาของเราบนแผ่นดินโลก
1พศด 28.3 แต่พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าอย่าสร้างนิเวศเพื่อนามของเราเลย เพราะเจ้าเป็นนักรบและได้ทำโลหิตให้ตก’
2พศด 24.25 เมื่อเขาทั้งหลายจากพระองค์ไป (เขาละพระองค์ไว้บาดเจ็บอย่างสาหัส) ข้าราชการของพระองค์ก็คิดร้ายต่อพระองค์ เพราะโลหิตของบุตรชายเยโฮยาดาปุโรหิต และได้ประหารพระองค์เสียที่บนแท่นบรรทม พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และเขาทั้งหลายฝังพระศพไว้ในนครดาวิด แต่เขาทั้งหลายมิได้ฝังพระศพไว้ในอุโมงค์ของบรรดากษัตริย์
โยบ 16.18 โอ แผ่นดินโลกเอ๋ย อย่าปิดบังโลหิตของข้านะ อย่าให้เสียงร้องของข้ามีที่หยุดพัก
สดด 9.12 เมื่อพระองค์ทรงไต่สวนเรื่องโลหิต พระองค์ทรงจำเขาทั้งหลายไว้ พระองค์มิได้ทรงลืมคำร้องทุกข์ของผู้ถ่อมตัวลง
สดด 30.9 “จะได้กำไรอะไรจากโลหิตของข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์ลงไปยังปากแดนผู้ตาย ผงคลีจะสรรเสริญพระองค์หรือ มันจะบอกเล่าเรื่องความจริงของพระองค์หรือ
สดด 51.14 โอ ข้าแต่พระเจ้า คือพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดเพราะทำโลหิตเขาตก และลิ้นของข้าพระองค์จะร้องเพลงเรื่องความชอบธรรมของพระองค์
สดด 55.23 โอ ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์จะทรงเหวี่ยงเขาลงสู่ปากแดนพินาศ คนที่ทำให้โลหิตตกและคนหลอกลวงจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งจำนวนเวลาของเขา แต่ข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์
สดด 58.10 คนชอบธรรมจะเปรมปรีดิ์ เมื่อเขาเห็นการแก้แค้น เขาจะเอาโลหิตของคนชั่วล้างเท้าของเขา
สดด 72.14 ท่านจะไถ่ชีวิตของเขาจากการหลอกลวงและความรุนแรง และโลหิตของเขาจะประเสริฐในสายตาของท่าน
สดด 79.3 เขาได้เทโลหิตของคนเหล่านั้นออกมาอย่างน้ำรอบเยรูซาเล็ม จนไม่มีคนฝังศพ
สดด 79.10 ควรหรือที่บรรดาประชาชาติจะกล่าวว่า “พระเจ้าของเขาอยู่ที่ไหน” ขอให้พระองค์ทรงปรากฏในท่ามกลางประชาชาติต่อสายตาของข้าพระองค์ทั้งหลาย โดยการแก้แค้นโลหิตของผู้รับใช้พระองค์ที่ไหลออกมา
สดด 94.21 เขาทั้งหลายผูกมิตรกันต่อสู้ชีวิตของคนชอบธรรม และปรับโทษโลหิตที่ไร้ความผิด
สดด 106.38 ท่านเทโลหิตผู้ไร้ผิดออกมาคือโลหิตบุตรชายบุตรสาวของท่าน ผู้ซึ่งท่านได้ฆ่าเป็นเครื่องสักการบูชาแก่รูปเคารพแห่งคานาอัน แผ่นดินก็มลทินไปด้วยโลหิต
สภษ 1.16 เพราะว่าเท้าของเขาวิ่งไปหาความชั่วร้าย และเขารีบเร่งไปทำให้โลหิตตก
สภษ 1.18 แต่คนเหล่านี้หมอบคอยโลหิตของตนเอง เขาซุ่มดักชีวิตของเขาเอง
สภษ 6.17 ตายโส ลิ้นมุสา และมือที่ทำโลหิตไร้ผิดให้ตก
สภษ 12.6 ถ้อยคำของคนชั่วร้ายหมอบคอยเอาโลหิต แต่ปากของคนเที่ยงธรรมจะช่วยคนให้รอดพ้น
สภษ 28.17 คนใดที่ทำรุนแรงเรื่องโลหิตของคนอื่น คนนั้นก็เป็นคนหลบหนีอยู่จนลงไปสู่ปากแดน อย่าให้ใครจับเขาเลย
สภษ 30.33 เพราะเมื่อกวนน้ำนมก็ได้เนยเหลว เมื่อบีบจมูกก็ได้โลหิต และเมื่อกวนโทโสก็ได้การวิวาท
อสย 1.15 เมื่อเจ้ากางมือของเจ้าออกเราจะซ่อนตาของเราเสียจากเจ้า แม้ว่าเจ้าจะอธิษฐานมากมายเราจะไม่ฟัง มือของเจ้าเปรอะไปด้วยโลหิต
อสย 4.4 ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงล้างความโสโครกของธิดาทั้งหลายของศิโยน และชำระรอยโลหิตของเยรูซาเล็มจากท่ามกลางเมืองนั้น ด้วยอานุภาพแห่งการพิพากษาและด้วยอานุภาพของการเผา
อสย 9.5 เพราะการรบทั้งสิ้นของนักรบมีเสียงวุ่นวาย และเสื้อคลุมที่เกลือกอยู่ในโลหิต แต่การรบครั้งนี้จะถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงใส่ไฟ
อสย 26.21 เพราะ ดูเถิด พระเยโฮวาห์กำลังเสด็จออกมาจากสถานที่ของพระองค์ เพื่อลงโทษชาวแผ่นดินโลก เพราะความชั่วช้าของเขาทั้งหลาย และแผ่นดินโลกจะเปิดเผยโลหิตซึ่งหลั่งอยู่บนมัน และจะไม่ปิดบังผู้ถูกฆ่าของมันไว้อีก
อสย 34.3 คนที่ถูกฆ่าของเขาจะถูกเหวี่ยงออกไป และกลิ่นเหม็นแห่งศพของเขาจะฟุ้งไป ภูเขาจะละลายไปด้วยโลหิตของเขา
อสย 34.6 พระแสงของพระเยโฮวาห์เต็มไปด้วยโลหิต เกรอะกรังไปด้วยไขมัน กับเลือดของลูกแกะและแพะ กับไขมันของไตแกะผู้ เพราะพระเยโฮวาห์มีการฆ่าบูชาในเมืองโบสราห์ การฆ่าขนาดใหญ่ในแผ่นดินเอโดม
อสย 49.26 เราจะให้ผู้บีบบังคับเจ้ากินเนื้อของตนเอง และเขาจะเมาโลหิตของเขาเองเหมือนเมาเหล้าองุ่น แล้วเนื้อหนังทั้งปวงจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเจ้า และพระผู้ไถ่ของเจ้า องค์อานุภาพของยาโคบ”
อสย 59.3 เพราะมือของเจ้ามลทินด้วยโลหิต และนิ้วมือของเจ้าด้วยความชั่วช้า ริมฝีปากของเจ้าได้พูดคำเท็จ ลิ้นของเจ้าพึมพำความอธรรม
อสย 59.7 เท้าของเขาวิ่งไปหาความชั่ว และเขาเร่งไปหลั่งโลหิตไร้ความผิดให้ถึงตาย ความคิดของเขาเป็นความคิดชั่วช้า การล้างผลาญและการทำลายอยู่ในหนทางของเขา
อสย 63.3 “เราได้ย่ำบ่อองุ่นแต่ลำพัง และไม่มีใครจากชนชาติทั้งหลายอยู่กับเราเลย เราจะย่ำมันด้วยความโกรธของเรา เราเหยียบมันด้วยความพิโรธของเรา โลหิตของเขาจะพรมอยู่บนเสื้อผ้าของเรา และเราจะทำให้เสื้อผ้าของเราเปื้อนหมด
ยรม 2.34 ที่ชายเสื้อของเจ้าจะเห็นโลหิตของคนจนที่ไร้ความผิดด้วย เรามิได้พบโดยการสืบหาอย่างลึกลับ แต่โดยเรื่องต่างๆเหล่านี้
ยรม 7.6 ถ้าเจ้าไม่บีบบังคับคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อหรือแม่ม่าย และไม่หลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตายในที่นี้ และเจ้าทั้งหลายไม่ติดตามพระอื่นไปให้เจ็บตัวเอง
ยรม 18.21 เพราะฉะนั้น ขอทรงมอบลูกหลานของเขาให้แก่การกันดารอาหาร ให้โลหิตของเขาทั้งหลายไหลออกด้วยอำนาจของดาบ ให้ภรรยาของเขาทั้งหลายขาดบุตร และเป็นหญิงม่าย ขอให้ผู้ชายของเขาประสบความตาย ให้อนุชนของเขาถูกดาบตายในสงคราม
ยรม 19.4 เพราะว่าประชาชนได้ละทิ้งเรา และได้ห่างเหินไปจากสถานที่นี้ และได้เผาเครื่องหอมในที่นี้เพื่อบูชาแก่พระอื่น ผู้ซึ่งตัวเขาเอง หรือบรรพบุรุษของเขา หรือบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ไม่รู้จัก และเพราะเขาได้กระทำให้โลหิตของผู้ไม่มีผิดเต็มในที่นี้
ยรม 22.3 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า จงกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม จงช่วยผู้ที่ถูกปล้นให้พ้นมือของผู้ที่บีบบังคับ และอย่าได้กระทำความผิดหรือความทารุณแก่ชนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย หรือหลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตายในสถานที่นี้
ยรม 22.17 “แต่เจ้ามีตาและใจไว้เพื่อความโลภ เพื่อหลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตาย และเพื่อปฏิบัติการบีบบังคับและความทารุณ”
ยรม 46.10 วันนี้เป็นวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา เป็นวันแห่งการแก้แค้นที่จะแก้แค้นศัตรูของพระองค์ ดาบจะกินจนอิ่ม และดื่มโลหิตของเขาจนเต็มคราบ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาทำการบูชาในแดนเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส
ยรม 48.10 ผู้ใดกระทำงานของพระเยโฮวาห์อย่างไม่ซื่อ ผู้นั้นก็ถูกสาป ผู้ที่กันไม่ให้ดาบของตนกระทำให้โลหิตตก ผู้นั้นจะถูกสาป
พคค 4.13 เพราะความผิดบาปของพวกผู้พยากรณ์ของกรุงศิโยน และเพราะความชั่วช้าของพวกปุโรหิตของกรุงนั้น ที่ได้กระทำโลหิตของคนชอบธรรมให้ไหลออกในท่ามกลางกรุง
พคค 4.14 เขาทั้งหลายเดินเปะปะและตาบอดไปตามถนน ทำตัวให้มลทินด้วยโลหิต จนคนจะจับต้องไม่ได้ที่เสื้อผ้าของเขา
อสค 3.18 ถ้าเราจะบอกแก่คนชั่วว่า ‘เจ้าจะต้องตายแน่ๆ’ และเจ้าไม่ตักเตือนเขาหรือกล่าวเตือนคนชั่วให้ละทิ้งทางชั่วของตนเสีย เพื่อจะช่วยชีวิตเขาให้รอด คนชั่วนั้นจะตายเพราะความชั่วช้าของเขา แต่เราจะเรียกร้องโลหิตของเขาจากมือของเจ้า
อสค 3.20 อีกประการหนึ่ง ถ้าคนชอบธรรมหันกลับจากความชอบธรรมของเขา และได้กระทำความชั่วช้า และเราวางสิ่งที่สะดุดไว้ตรงหน้าเขา เขาจะต้องตาย เพราะว่าเจ้ามิได้ตักเตือนเขา เขาจะตายเพราะบาปของเขา และจะไม่มีใครจดจำการกระทำอันชอบธรรมของเขาไว้เลย แต่เราจะเรียกร้องโลหิตของเขาจากมือของเจ้า
อสค 5.17 เราจะส่งการกันดารอาหารและสัตว์ป่าร้ายมาสู้เจ้า และมันจะริบลูกหลานของเจ้าไปเสีย โรคระบาดและโลหิตจะผ่านเจ้า และเราจะนำดาบมาเหนือเจ้า เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว”
อสค 7.23 จงทำโซ่ตรวน เพราะว่าแผ่นดินนั้นเต็มด้วยคดีที่แปดเปื้อนด้วยโลหิต และเมืองก็เต็มด้วยความทารุณ
อสค 9.9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ความชั่วช้าของวงศ์วานอิสราเอลและยูดาห์ใหญ่ยิ่งนัก แผ่นดินก็เต็มไปด้วยโลหิต และความอยุติธรรมก็เต็มนคร เพราะเขากล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์ทรงทอดทิ้งแผ่นดินนี้แล้ว และพระเยโฮวาห์ไม่ทอดพระเนตรอีก’
อสค 14.19 หรือถ้าเราส่งโรคระบาดเข้ามาในแผ่นดินนั้น และเทความเดือดดาลของเราออกเหนือเมืองนั้นด้วยโลหิต เพื่อตัดมนุษย์และสัตว์ออกเสียจากแผ่นดินนั้น
อสค 16.9 และเราก็เอาเจ้าอาบน้ำ ล้างโลหิตเสียจากเจ้า และเจิมเจ้าด้วยน้ำมัน
อสค 16.36 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะความโสโครกของเจ้าก็เทออกเสียแล้ว และการเปลือยเปล่าของเจ้าก็เผยออก โดยการเล่นชู้ของเจ้ากับคนรักของเจ้า และกับบรรดารูปเคารพซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเจ้า และโดยโลหิตลูกของเจ้าที่เจ้าถวายให้แก่มัน
อสค 16.38 และเราจะพิพากษาเจ้าดังที่เขาพิพากษาหญิงที่ล่วงประเวณี และกระทำให้โลหิตตก และเราจะนำเอาโลหิตแห่งความกริ้วและความหวงแหนมาเหนือเจ้า
อสค 18.10 ถ้าเขามีบุตรชายเป็นโจร ผู้กระทำให้โลหิตตก ผู้ได้กระทำสิ่งเหล่านี้สิ่งเดียวแก่พี่น้อง
อสค 18.13 ให้ยืมด้วยหาดอกเบี้ย และหาเงินเพิ่ม เขาควรจะมีชีวิตต่อไปหรือ เขาจะไม่มีชีวิตอยู่ เขาได้กระทำบรรดาสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ เขาจะต้องตายแน่ ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
อสค 19.10 มารดาของเจ้าเหมือนเถาองุ่นที่อยู่ในโลหิตของเจ้า เอามาปลูกไว้ริมน้ำ เธอมีผลดกและมีแขนงมากมายเหตุด้วยน้ำบริบูรณ์
อสค 21.28 บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย และเจ้าจงพยากรณ์และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้เกี่ยวกับคนอัมโมน และเกี่ยวกับเรื่องน่าตำหนิของเขาทั้งหลายว่า ดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งถูกชักออก เขาขัดมันเพื่อการเข่นฆ่า เขาให้มันดื่มโลหิตเพราะมันวาววับ
อสค 21.32 เจ้าจะเป็นฟืนไว้ใส่ไฟ โลหิตของเจ้าจะอยู่กลางแผ่นดิน จะไม่มีใครจดจำเจ้าไว้อีก เพราะเราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว”
อสค 22.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ตัวเจ้าจะพิพากษาหรือ เจ้าจะพิพากษาเมืองที่แปดเปื้อนด้วยโลหิตนั้นหรือ เจ้าจงสำแดงให้เมืองนั้นเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเธอ
อสค 22.3 เจ้าจงกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า นี่เป็นเมืองที่ทำให้โลหิตตกอยู่ที่กลางตนเองเพื่อให้เวลากำหนดของตนมาถึง และเป็นเมืองที่ทำรูปเคารพไว้ให้ตัวมลทินไป
อสค 22.4 เจ้ามีความชั่วด้วยโลหิตที่เจ้ากระทำให้ตกนั้น และมลทินไปด้วยรูปเคารพที่เจ้ากระทำไว้ และเจ้าได้นำให้เวลาของเจ้าเข้ามาใกล้ เวลากำหนดแห่งปีของเจ้ามาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงกระทำเจ้าให้เป็นที่ประณามกันแก่ประชาชาติ และเป็นที่เย้ยหยันแก่ประเทศทั้งหลาย
อสค 22.6 ดูเถิด เจ้านายแห่งอิสราเอล ทุกคนซึ่งอยู่ในเจ้าก็โน้มไปในทางที่ทำให้โลหิตตกตามอำนาจของเขา
อสค 22.9 ในเจ้ามีคนกล่าวร้ายเพื่อจะทำให้โลหิตตก และมีคนในเจ้าที่รับประทานบนภูเขา มีคนกระทำอุจาดลามกท่ามกลางเจ้า
อสค 22.12 ในเจ้ามีคนรับสินบนเพื่อกระทำให้โลหิตตก เจ้าเอาดอกเบี้ยและเอาเงินเพิ่มและทำกำไรจากเพื่อนบ้านของเจ้าโดยการบีบบังคับ และเจ้าได้ลืมเราเสีย องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
อสค 22.13 ดูเถิด เพราะฉะนั้นเราได้ฟาดมือของเราลงบนผลกำไรอธรรมที่เจ้าได้ และลงบนโลหิตที่อยู่ในหมู่พวกเจ้าทั้งหลาย
อสค 22.27 เจ้านายในท่ามกลางแผ่นดินเป็นเหมือนสุนัขป่าที่ฉีกเหยื่อ ทำให้โลหิตตก ทำลายชีวิตเพื่อจะเอากำไรที่อสัตย์
อสค 23.37 เพราะว่าเธอได้กระทำการล่วงประเวณี และโลหิตอยู่ในมือของเธอ เธอกระทำการล่วงประเวณีกับรูปเคารพของเธอ และเธอยังถวายบุตรชายซึ่งเธอบังเกิดให้แก่เรานั้นให้ลุยไฟเพื่อเผาผลาญเขาเสีย
อสค 23.45 แต่คนชอบธรรมจะพิพากษาเธอด้วยคำพิพากษาอันควรตกแก่หญิงผู้ล่วงประเวณี และด้วยคำพิพากษาอันควรตกแก่หญิงผู้กระทำให้โลหิตตก เพราะเธอเป็นหญิงล่วงประเวณี และเพราะโลหิตอยู่ในมือของเธอ
อสค 24.6 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่กรุงที่ชุ่มโลหิต วิบัติแก่หม้อที่ขึ้นสนิมข้างในและซึ่งสนิมมิได้หลุดออกมา จงเอาเนื้อออกทีละชิ้นๆ อย่าจับสลากเลย
อสค 24.7 เพราะว่าโลหิตที่เธอกระทำให้ตกนั้นยังอยู่ท่ามกลางเธอ เธอวางไว้บนหิน เธอมิได้เทลงดิน เพื่อเอาฝุ่นกลบไว้
อสค 24.8 เราได้วางโลหิตที่เธอทำให้ตกนั้นไว้บนก้อนหิน เพื่อมิให้ปิดโลหิตนั้นไว้ เพื่อเร้าความพิโรธ และทำการแก้แค้น
อสค 24.9 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่กรุงที่ชุ่มโลหิต เราจะกระทำให้กองไฟนั้นใหญ่ขึ้นด้วย
อสค 28.23 เพราะเราจะส่งโรคระบาดเข้ามาในเมืองนั้น และส่งโลหิตเข้ามาในถนนของเมืองนั้น คนที่ถูกบาดเจ็บจะล้มลงท่ามกลางเมืองนั้น ล้มลงด้วยดาบที่อยู่รอบเมืองนั้นทุกด้าน แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 33.4 เมื่อคนหนึ่งคนใดได้ยินเสียงแตรแต่ไม่นำพาต่อเสียงตักเตือน และดาบนั้นก็มาพาเอาคนนั้นไปเสีย ให้โลหิตของคนนั้นตกบนศีรษะของคนนั้นเอง
อสค 33.5 คือเขาได้ยินเสียงแตร แต่ไม่นำพาต่อเสียงตักเตือน ให้โลหิตของคนนั้นตกอยู่บนคนนั้นเอง ถ้าเขาได้นำพาต่อเสียงตักเตือนแล้วเขาจะได้ช่วยชีวิตของตนเองให้รอดพ้น
อสค 33.6 แต่ถ้าคนยามเห็นดาบมาแล้วและไม่เป่าแตร ประชาชนจึงไม่ได้รับเสียงตักเตือน และดาบก็มาพาคนหนึ่งคนใดไปเสีย คนนั้นถูกนำไปด้วยเรื่องความชั่วช้าของเขา แต่เราจะเรียกร้องโลหิตของเขาจากมือของยาม
อสค 33.8 ถ้าเรากล่าวแก่คนชั่วว่า โอ คนชั่วเอ๋ย เจ้าจะต้องตายแน่ แต่เจ้าก็มิได้กล่าวคำตักเตือนให้คนชั่วกลับจากทางของเขา คนชั่วนั้นจะต้องตายเพราะความชั่วช้าของเขา แต่เราจะเรียกร้องโลหิตของเขาจากมือของเจ้า
อสค 33.25 เพราะฉะนั้น จงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้ารับประทานเนื้อพร้อมเลือด เจ้าเงยหน้าขึ้นนมัสการรูปเคารพของเจ้าและทำให้โลหิตตก แล้วเจ้ายังจะเอากรรมสิทธิ์ที่ดินนี้อีกหรือ
อสค 35.5 เพราะเจ้าพยาบาทอยู่เป็นนิตย์ และให้โลหิตของประชาชนอิสราเอลไหลออกด้วยอำนาจของดาบในเวลาพิบัติของเขา ในเวลาที่ความชั่วช้าของเขาสิ้นสุดลง
อสค 35.6 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสว่า เพราะฉะนั้น เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะเตรียมเจ้าเพื่อรับโทษแห่งการให้โลหิตตก และโลหิตจะไล่ตามเจ้า เพราะเจ้ามิได้เกลียดชังเรื่องโลหิต เพราะฉะนั้นโลหิตจึงจะไล่ตามเจ้าไป
อสค 36.18 เพราะฉะนั้นเราจึงระบายความกริ้วของเราออกเหนือเขาด้วยเรื่องโลหิตซึ่งเขาได้กระทำให้ตกบนแผ่นดิน ด้วยเรื่องรูปเคารพซึ่งเขากระทำให้แผ่นดินนั้นเป็นมลทิน
อสค 38.22 เราจะพิพากษาลงโทษเขาด้วยโรคระบาดและโลหิตตก เราจะให้ฝนตกอย่างน้ำไหลเชี่ยว ทั้งลูกเห็บและไฟ และไฟกำมะถันตกใส่เขาและกองทัพของเขาและชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเขา
อสค 39.17 เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงพูดกับนกทุกชนิดและพูดกับเหล่าสัตว์ป่าทุ่งว่า ‘จงชุมนุมและมาเถิด รวมกันมาจากทุกด้านมายังการเลี้ยงสักการบูชา ซึ่งเราถวายเพื่อเจ้า เป็นการเลี้ยงสักการบูชาใหญ่บนภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอล และเจ้าจะรับประทานเนื้อและดื่มโลหิต
อสค 39.18 เจ้าจะรับประทานเนื้อของผู้แกล้วกล้า และดื่มโลหิตของเจ้านายแห่งพิภพ ของแกะผู้ ของลูกแกะ และของแพะกับของวัวผู้ ทั้งสิ้นนี้เป็นสัตว์อ้วนพีแห่งเมืองบาชาน
อสค 39.19 และเจ้าจะรับประทานไขมันจนเจ้าอิ่มหนำ และดื่มโลหิตจนเจ้าจะเมา ณ การเลี้ยงสักการบูชาซึ่งเราได้ถวายเพื่อเจ้า
ฮชย 1.4 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านว่า “จงเรียกชื่อเขาว่า ยิสเรเอล เพราะว่าอีกไม่ช้าเราจะลงโทษวงศ์วานของเยฮูเหตุด้วยเรื่องโลหิตของยิสเรเอล เราจะให้ราชอาณาจักรของวงศ์วานอิสราเอลสิ้นสุดลงเสียที
ฮชย 6.8 กิเลอาดเป็นเมืองของคนกระทำความชั่วช้า และเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต
ยอล 3.19 อียิปต์จะกลายเป็นที่รกร้าง และเอโดมจะกลายเป็นถิ่นทุรกันดารร้าง เพราะเหตุความรุนแรงที่กระทำต่อชนชาติยูดาห์ เพราะว่าเขากระทำให้โลหิตที่ปราศจากความผิดตกในแผ่นดินของเขา
ยนา 1.14 เพราะฉะนั้นเขาจึงร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอวิงวอนต่อพระองค์ ขออย่าให้พวกข้าพระองค์พินาศเพราะชีวิตของชายผู้นี้เลย ขออย่าให้โทษของการทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดตกมาเหนือข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เพราะว่าพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงพอพระทัย”
มคา 3.10 ผู้สร้างศิโยนด้วยโลหิต และสร้างเยรูซาเล็มด้วยความชั่วช้า
มคา 7.2 คนดีสูญหายไปจากโลก จะหาคนซื่อตรงท่ามกลางมนุษย์สักคนก็ไม่มี ต่างก็ซุ่มคอยจะเอาโลหิตกัน ต่างก็เอาตาข่ายดักพี่น้องของตน
นฮม 3.1 วิบัติแก่เมืองที่แปดเปื้อนไปด้วยโลหิต เต็มด้วยการมุสาและการโจรกรรม เหยื่อจะไม่จากไปเลย
ฮบก 2.8 เพราะว่าเจ้าได้ปล้นมาแล้วหลายประชาชาติ ชนชาติทั้งหลายที่เหลืออยู่นั้นจึงจะมาปล้นเจ้า เพราะเจ้าทำให้โลหิตมนุษย์ตก และเพราะการทารุณต่อแผ่นดิน ต่อบรรดาหัวเมืองและต่อบรรดาผู้ที่อยู่ในเมืองนั้น
ฮบก 2.12 วิบัติแก่ผู้สร้างเมืองด้วยโลหิต และวางรากนครไว้ด้วยความชั่วช้า
ฮบก 2.17 เนื่องด้วยความทารุณที่เจ้ากระทำแก่เลบานอนจะท่วมเจ้า ความพินาศของสัตว์เดียรัจฉานซึ่งกระทำให้เขากลัว เพราะเจ้าทำให้โลหิตมนุษย์ตก และด้วยเหตุความรุนแรงต่อแผ่นดิน ต่อบรรดาหัวเมืองและต่อบรรดาผู้ที่อยู่ในเมืองนั้น
ศฟย 1.17 เราจะนำทุกข์ภัยมาสู่มนุษย์ เขาจะได้เดินไปเหมือนคนตาบอด เพราะเขาได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์ โลหิตของเขาจะถูกเทออกเหมือนฝุ่น และเนื้อของเขาจะถูกเทออกเหมือนมูลสัตว์
ศคย 9.11 ส่วนเจ้าเล่า เพราะโลหิตแห่งพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่อเจ้า เราจะปลดปล่อยเชลยในพวกเจ้าให้เป็นอิสระจากบ่อแห้งนั้น
มธ 16.17 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะว่าเนื้อหนังและโลหิตมิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ
มธ 23.30 แล้วกล่าวว่า ‘ถ้าเราได้อยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรานั้น เราจะมีส่วนกับเขาในการทำโลหิตของพวกศาสดาพยากรณ์ให้ตกก็หามิได้’
มธ 23.35 ดังนั้นบรรดาโลหิตอันชอบธรรมซึ่งตกที่แผ่นดินโลก ตั้งแต่โลหิตของอาแบลผู้ชอบธรรมจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์บุตรชายบารัคยา ที่พวกเจ้าได้ฆ่าเสียในระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชานั้น ย่อมตกบนพวกเจ้าทั้งหลาย
มธ 26.28 ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนเป็นอันมาก
มธ 27.4 กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปที่ได้ทรยศโลหิตอันบริสุทธิ์” คนเหล่านั้นจึงว่า “การนั้นเป็นธุระอะไรของเรา เจ้าต้องรับธุระเอาเอง”
มธ 27.6 พวกปุโรหิตใหญ่จึงเก็บเอาเงินนั้นมาแล้วว่า “เป็นการผิดพระราชบัญญัติที่จะเก็บเงินนั้นไว้ในคลังพระวิหาร เพราะเป็นค่าโลหิต”
มธ 27.8 เหตุฉะนั้น ทุ่งนั้นจึงเรียกว่า ทุ่งโลหิต จนถึงทุกวันนี้
มธ 27.24 เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะเกิดวุ่นวายขึ้น ท่านก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่ชน แล้วว่า “เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด”
มธ 27.25 บรรดาหมู่ชนเรียนว่า “ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด”
มก 14.24 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “นี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อคนเป็นอันมาก
ลก 11.50 เพื่อคนยุคนี้แหละจะต้องรับผิดชอบในเรื่องโลหิตของบรรดาศาสดาพยากรณ์ ซึ่งต้องไหลออกตั้งแต่แรกสร้างโลก
ลก 11.51 คือตั้งแต่โลหิตของอาแบล จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ที่ถูกฆ่าตายระหว่างแท่นบูชากับพระวิหาร เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบในโลหิตนั้น
ลก 13.1 ขณะนั้น มีบางคนอยู่ที่นั่นเล่าเรื่องชาวกาลิลี ซึ่งปีลาตเอาโลหิตของเขาระคนกับเครื่องบูชาของเขา ให้พระองค์ฟัง
ลก 22.20 เมื่อรับประทานแล้ว จึงทรงหยิบถ้วยกระทำเหมือนกันตรัสว่า “ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเราซึ่งเทออกเพื่อท่านทั้งหลาย
ลก 22.44 เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนักพระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่
ยน 6.53 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน
ยน 6.54 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย
ยน 6.55 เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้
ยน 6.56 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา
ยน 19.34 แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที
กจ 1.19 เหตุการณ์นี้คนทั้งปวงที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก็รู้ เขาจึงเรียกที่ดินแปลงนั้นตามภาษาของเขาว่า อาเคลดามา คือทุ่งโลหิต
กจ 5.28 ว่า “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็ดูเถิด เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยโลหิตของผู้นั้นตกอยู่กับเรา”
กจ 17.26 พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติสืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพื้นพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่
กจ 20.26 เหตุฉะนั้น วันนี้ข้าพเจ้ายืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าหมดราคีจากโลหิตของทุกคน
กจ 22.20 และเมื่อเขาทำให้โลหิตของสเทเฟนพยานผู้ยอมตายเพื่อพระองค์ตกนั้น ข้าพระองค์ได้ยืนอยู่ใกล้และเห็นชอบในการประหารเขาเสียนั้นด้วย และข้าพระองค์เป็นคนเฝ้าเสื้อผ้าของคนที่ฆ่าสเทเฟนนั้น’
1คร 11.25 เมื่อรับประทานแล้ว พระองค์จึงทรงหยิบถ้วยด้วยอาการอย่างเดียวกัน ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเรา เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด จงดื่มให้เป็นที่ระลึกถึงเรา”
ฮบ 9.22 และตามพระราชบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะถูกชำระด้วยโลหิต และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย
ฮบ 9.25 พระองค์ไม่ต้องทรงถวายพระองค์เองซ้ำอีก เหมือนอย่างมหาปุโรหิตที่เข้าไปในที่บริสุทธิ์ทุกปีๆ นำเอาเลือดซึ่งไม่ใช่โลหิตของตัวเองเข้าไปด้วย
ฮบ 12.4 ท่านทั้งหลายยังไม่ได้รบสู้กับความบาปจนถึงโลหิตตก
ฮบ 12.24 และมาถึงพระเยซูผู้กลางแห่งพันธสัญญาใหม่ และมาถึงพระโลหิตประพรมที่มีเสียงร้องอันประเสริฐกว่าเสียงโลหิตของอาแบล
วว 14.20 บ่อย่ำองุ่นถูกย่ำภายนอกเมือง และโลหิตไหลออกจากบ่อย่ำองุ่นนั้นสูงถึงบังเหียนม้า ไหลนองไปประมาณสามร้อยกิโลเมตร
วว 16.6 เพราะเขาทั้งหลายได้กระทำให้โลหิตของพวกวิสุทธิชนและของพวกศาสดาพยากรณ์ไหลออก และพระองค์ได้ประทานโลหิตให้เขาดื่ม ด้วยเขาทั้งหลายก็สมควรอยู่แล้ว”
วว 17.6 และข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นเมามายด้วยโลหิตของพวกวิสุทธิชน และโลหิตของคนทั้งหลายที่พลีชีพเพื่อเป็นพยานของพระเยซู เมื่อข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็อัศจรรย์ใจยิ่งนัก
วว 18.24 และในนครนั้นเขาได้พบโลหิตของพวกศาสดาพยากรณ์และพวกวิสุทธิชน และบรรดาคนที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก”
วว 19.2 ‘เพราะว่าการพิพากษาของพระองค์เที่ยงตรงและชอบธรรม’ พระองค์ได้ทรงพิพากษาลงโทษหญิงแพศยาคนสำคัญนั้น ที่ได้กระทำให้แผ่นดินโลกชั่วไปด้วยการล่วงประเวณีของนาง และ ‘พระองค์ได้ทรงแก้แค้นผู้หญิงนั้นเพื่อทดแทนโลหิตแห่งพวกผู้รับใช้ของพระองค์’”

โลอัมมี ( 1 )
ฮชย 1.9 และพระเจ้าตรัสว่า “จงเรียกชื่อบุตรนั้นว่า โลอัมมี เพราะเจ้าทั้งหลายมิใช่ประชาชนของเรา และเราก็มิใช่พระเจ้าของเจ้า”

โลอิส ( 1 )
2ทธ 1.5 ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออันแท้นั้นซึ่งมีอยู่ในท่าน และซึ่งเมื่อก่อนได้มีอยู่ในโลอิสยายของท่าน และซึ่งได้มีอยู่ในยูนีสมารดาของท่าน และซึ่งข้าพเจ้าเชื่อมั่นคงว่ามีอยู่ในท่านด้วย

ไล่ ( 85 )
ปฐก 3.24 ดังนั้นพระองค์ทรงไล่มนุษย์ออกไป ทรงตั้งพวกเครูบไว้ทางทิศตะวันออกของสวนเอเดน และตั้งดาบเพลิงซึ่งหมุนได้รอบทิศทาง เพื่อป้องกันทางเข้าไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิต
ปฐก 15.11 เมื่อฝูงเหยี่ยวลงมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น อับรามก็ไล่มันไปเสีย
ปฐก 21.10 นางจึงพูดกับอับราฮัมว่า “ไล่ทาสหญิงคนนี้กับบุตรชายของนางไปเสียเถิด เพราะว่าบุตรชายของทาสหญิงคนนี้จะเป็นผู้รับมรดกร่วมกับอิสอัคบุตรชายของข้าพเจ้าไม่ได้”
ปฐก 49.19 ฝ่ายกาดนั้นจะมีกองทัพมาย่ำยีเขา แต่ในที่สุดเขาจะกลับตามไล่ตีกองทัพนั้น
อพย 2.17 และพวกเลี้ยงแกะมาไล่หญิงเหล่านั้น แต่โมเสสลุกขึ้นช่วยหญิงเหล่านั้น และให้ฝูงแพะแกะของเธอกินน้ำ
อพย 6.1 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “บัดนี้เจ้าจะได้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเราจะกระทำแก่ฟาโรห์ คือด้วยมืออันทรงฤทธิ์ เขาจะปล่อยพลไพร่ไป และด้วยมืออันเข้มแข็ง เขาจะไล่พลไพร่ออกจากแผ่นดินของเขา”
อพย 14.21 โมเสสยื่นมือของท่านออกไปเหนือทะเล และพระเยโฮวาห์ก็ทรงบันดาลให้ลมทิศตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง น้ำแยกออกจากกัน
อพย 23.29 เราจะไม่ไล่เขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าในระยะปีเดียว เกรงว่าแผ่นดินจะรกร้างไปและสัตว์ป่าจะทวีจำนวนขึ้นต่อสู้กับพวกเจ้า
อพย 23.30 แต่เราจะไล่เขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าทีละเล็กละน้อยจนพวกเจ้าทวีจำนวนมากขึ้น แล้วได้รับมอบดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
อพย 23.31 เราจะกำหนดเขตแดนของพวกเจ้าไว้ตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารจนจดแม่น้ำ เพราะเราจะมอบชาวเมืองนั้นไว้ในมือของพวกเจ้าให้พวกเจ้าไล่เขาไปเสียให้พ้นหน้า
อพย 33.2 เราจะใช้ทูตสวรรค์องค์หนึ่งนำหน้าเจ้าไป และจะไล่คนคานาอัน คนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ คนเยบุส ออกเสียจากที่นั่น
อพย 34.11 จงถือตามคำซึ่งเราบัญชาเจ้าในวันนี้ ดูเถิด เราจะไล่คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ไปให้พ้นหน้าเจ้า
ลนต 18.24 เจ้าทั้งหลายอย่ากระทำตัวให้ลามกอนาจารด้วยสิ่งเหล่านี้เลย เพราะว่าบรรดาประชาชาติที่เราได้ไล่ไปเสียต่อหน้าเจ้านั้น กระทำบรรดาลามกอนาจารอย่างนี้เอง
ลนต 20.23 และเจ้าอย่าดำเนินตามธรรมเนียมของประชาชาติที่เราไล่ไปเสียให้พ้นหน้าเจ้า ด้วยว่าเขาทั้งหลายได้ประพฤติผิดในสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ เราจึงเกลียดชังเขา
ลนต 26.17 เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้เจ้า เจ้าจะล้มตายต่อหน้าศัตรูของเจ้าทั้งหลาย คนที่เกลียดชังเจ้าจะปกครองอยู่เหนือเจ้า เจ้าจะหลบหนีไปทั้งที่ไม่มีใครไล่ติดตาม
ลนต 26.36 ส่วนพวกเจ้าทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่เราจะให้เขามีใจอ่อนแอในแผ่นดินของศัตรู จนเสียงใบไม้ไหวจะไล่ตามเขา และเขาจะหนีเหมือนคนหนีจากดาบ และเขาจะล้มลงทั้งที่ไม่มีคนไล่ติดตาม
พบญ 1.44 และคนอาโมไรต์ที่อยู่ในแดนเทือกเขานั้น ได้ออกมาต่อสู้และไล่ตีท่านทั้งหลายดุจฝูงผึ้งไล่ และได้ฆ่าท่านทั้งหลายในตำบลเสอีร์จนถึงโฮรมาห์
พบญ 7.1 “เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงพาท่านเข้าในแผ่นดินซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะเข้ายึดครอง และกวาดไล่ประชาชาติหลายชาติให้ออกไปพ้นหน้าท่าน คือคนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส เป็นเจ็ดประชาชาติซึ่งใหญ่โตกว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน
พบญ 7.22 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านจะกวาดไล่ประชาชาติเหล่านี้ให้พ้นหน้าท่านทีละเล็กทีละน้อย ท่านอย่ากำจัดเขาเสียทันที กลัวว่าสัตว์ทุ่งจะเพิ่มแก่ท่านขึ้นมากไป
พบญ 11.4 และซึ่งพระองค์ทรงกระทำต่อกองทัพอียิปต์ ต่อม้าของเขา และต่อรถรบของเขา และที่พระองค์ทรงกระทำให้น้ำในทะเลแดงท่วมเขาเมื่อเขาไล่ติดตามท่านทั้งหลาย และที่พระเยโฮวาห์ทรงทำลายเขาทั้งหลายจนทุกวันนี้
พบญ 24.3 และสามีคนหลังนี้ชังนางจึงทำหนังสือหย่าใส่มือนางแล้วไล่นางออกจากเรือน หรือสามีคนหลังนี้ที่ได้นางเป็นภรรยาถึงแก่ความตาย
พบญ 24.4 สามีคนเดิมที่ได้ไล่นางไปนั้นจะรับนางหลังจากที่นางเป็นมลทินแล้วกลับมาเป็นภรรยาอีกไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ท่านทั้งหลายอย่ากระทำให้แผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านให้เป็นมรดกนั้นมีบาป
พบญ 32.30 คนเดียวจะไล่พันคนอย่างไรได้ สองคนจะทำให้หมื่นคนหนีได้อย่างไร นอกจากศิลาของเขาได้ขายเขาเสียแล้ว และพระเยโฮวาห์ได้ทรงทอดทิ้งเขาเสีย
ยชว 8.24 ต่อมาเมื่ออิสราเอลไล่ฆ่าฟันชาวเมืองอัยทั้งหมดในทุ่งในถิ่นทุรกันดารที่เขาไล่ตามไปนั้น และคนเหล่านั้นล้มตายหมดด้วยคมดาบจนคนสุดท้าย บรรดาคนอิสราเอลก็กลับเข้าเมืองอัยโจมตีคนในเมืองด้วยคมดาบ
ยชว 10.10 พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้เขาสะดุ้งแตกตื่นต่อหน้าพวกอิสราเอล พระองค์ได้ทรงฆ่าเขาเสียมากมายที่กิเบโอน และไล่ติดตามเขาไปในทางที่ขึ้นไปถึงเบธโฮโรน และตามฆ่าเขาจนถึงเมืองอาเซคาห์ และเมืองมักเคดาห์
วนฉ 4.16 และบาราคได้ไล่ติดตามรถรบทั้งหลายและกองทัพไปจนถึงฮาโรเชทของคนต่างชาติ และกองทัพทั้งหมดของสิเสราก็ล้มตายด้วยคมดาบ ไม่เหลือสักคนเดียว
วนฉ 4.22 และดูเถิด บาราคไล่ติดตามสิเสรามาถึง ยาเอลก็ออกไปต้อนรับเรียนท่านว่า “เชิญเข้ามาเถิด ดิฉันจะชี้ให้ท่านเห็นคนที่ท่านค้นหาอยู่นั้น” พอบาราคก็เข้าไปในเต็นท์แล้ว ดูเถิด สิเสรานอนสิ้นชีวิตอยู่ มีหลักเต็นท์ในขมับ
วนฉ 7.25 จับโอเรบและเศเอบเจ้านายสองคนของพวกมีเดียนได้ เขาฆ่าโอเรบเสียที่ศิลาโอเรบ และฆ่าเศเอบเสียที่บ่อย่ำองุ่นชื่อเศเอบ แล้วก็ไล่ติดตามพวกมีเดียนไป และเขานำเอาศีรษะโอเรบและเศเอบมาให้กิเดโอนที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
วนฉ 8.5 ท่านจึงพูดกับชาวเมืองสุคคทว่า “ขอขนมปังให้คนที่ติดตามเรามาบ้าง เพราะเขาอ่อนเปลี้ย เรากำลังไล่ติดตามเศบาห์และศัลมุนนากษัตริย์แห่งมีเดียน”
วนฉ 8.12 เศบาห์และศัลมุนนาก็หนีไป กิเดโอนก็ไล่ติดตามไปจับเศบาห์กับศัลมุนนากษัตริย์พวกมีเดียนทั้งสององค์ได้ และทำกองทัพทั้งหมดให้แตกตื่น
1ซมอ 14.22 ในทำนองเดียวกัน คนอิสราเอลทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ที่แดนเทือกเขาเอฟราอิม เมื่อได้ยินว่าคนฟีลิสเตียกำลังหนี พวกเหล่านี้ก็ไล่ติดตามเขาไปทำศึกด้วย
1ซมอ 17.52 คนอิสราเอลกับคนยูดาห์ก็ลุกขึ้นโห่ร้องไล่ติดตามคนฟีลิสเตียไกลไปจนถึงหุบเขาและถึงประตูเมืองเอโครน ทหารฟีลิสเตียที่บาดเจ็บจึงล้มลงตามทางจากชาอาราอิม ไกลไปจนถึงเมืองกัทและเมืองเอโครน
1ซมอ 31.2 และคนฟีลิสเตียก็ไล่ทันซาอูลกับพวกราชโอรส และคนฟีลิสเตียก็ฆ่าโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวาราชโอรสของซาอูลเสีย
2ซมอ 13.17 ท่านจึงเรียกมหาดเล็กที่ปรนนิบัติอยู่สั่งว่า “จงไล่ผู้หญิงคนนี้ให้ออกไปพ้นหน้าของข้าแล้วปิดประตูใส่กลอนเสีย”
2ซมอ 13.18 เธอสวมเสื้อยาวหลากสีที่ราชธิดาพรหมจารีของกษัตริย์สวมกัน มหาดเล็กของท่านจึงไล่เธอออกไปและใส่กลอนประตูเสีย
2ซมอ 24.13 กาดจึงเข้าเฝ้าดาวิดและกราบทูลพระองค์ว่า “จะให้เกิดกันดารอาหารในแผ่นดินของพระองค์สิ้นเจ็ดปีหรือ หรือพระองค์จะยอมหนีศัตรูสิ้นเวลาสามเดือนด้วยเขาไล่ติดตาม หรือจะให้โรคระบาดเกิดขึ้นในแผ่นดินของพระองค์สิ้นสามวัน บัดนี้ขอพระองค์ทรงตรึกตรอง และตัดสินในพระทัยว่า จะให้คำตอบประการใด เพื่อข้าพระองค์จะนำกลับไปกราบทูลพระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพระองค์มา”
1พกษ 20.20 และต่างก็ฆ่าคู่รบของตน คนซีเรียหนีและคนอิสราเอลไล่ติดตามเขาไป แต่เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งซีเรียทรงม้าหนีไปกับทหารม้า
1พศด 8.8 และชาหะราอิมให้กำเนิดบุตรในดินแดนโมอับ ภายหลังจากที่เขาได้ไล่หุชิมและบาอาราภรรยาของเขาไปแล้ว
1พศด 10.2 และคนฟีลิสเตียก็ไล่ทันซาอูลกับพวกราชโอรส และคนฟีลิสเตียก็ฆ่าโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวา ราชโอรสของซาอูลเสีย
โยบ 13.25 พระองค์จะทรงให้ใบไม้ที่ถูกลมพัดหักเสียหรือ และจะทรงไล่ติดตามฟางแห้งหรือ
โยบ 18.11 สิ่งน่าหวาดเสียวจะทำให้เขาตกใจอยู่รอบด้าน และไล่ติดส้นเท้าของเขาอยู่
โยบ 20.8 เขาจะบินไปเสียเหมือนความฝัน และจะไม่มีใครพบอีก เขาจะถูกไล่ไปเสียอย่างนิมิตในกลางคืน
โยบ 22.9 ท่านไล่แม่ม่ายออกไปมือเปล่า และแขนของลูกกำพร้าพ่อก็หัก
สดด 68.2 ควันถูกขับไปฉันใด ก็ขอทรงไล่เขาไปฉันนั้น ขี้ผึ้งละลายต่อหน้าไฟฉันใด ก็ขอให้คนชั่วพินาศต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าฉันนั้น
สดด 91.6 หรือโรคภัยที่ไล่มาในความมืด หรือความพินาศที่เกิดความหายนะในเที่ยงวัน
สภษ 25.4 จงไล่ขี้ออกจากเงินเสีย แล้วจะมีวัสดุสำหรับช่างทำขัน
สภษ 25.5 จงไล่คนชั่วร้ายออกไปเสียจากพระพักตร์กษัตริย์ และพระที่นั่งของพระองค์จะสถาปนาไว้ด้วยความชอบธรรม
สภษ 25.7 เพราะที่จะให้เขาว่า “เชิญขึ้นมาที่นี่” ก็ดีกว่าถูกไล่ลงไปที่ต่ำต่อหน้าเจ้านายผู้ซึ่งตาของเจ้าได้เห็นแล้ว
สภษ 25.23 ลมเหนือไล่ฝนไปเสียฉันใด สีหน้าที่โกรธแค้นก็ไล่ลิ้นที่ส่อเสียดไปเสียฉันนั้น
อสย 1.25 เราจะหันมือของเรามาสู้เจ้าและจะถลุงไล่ขี้แร่ของเจ้าออกเสียอย่างกับล้างด้วยน้ำด่าง และเอาของเจือปนของเจ้าออกให้หมด
อสย 17.13 ชนชาติทั้งหลายครืนๆเหมือนเสียงครืนๆของน้ำเป็นอันมาก แต่พระเจ้าจะทรงขนาบไว้ และมันจะหนีไปไกลเสีย จะถูกไล่ไปเหมือนแกลบต้องลมบนภูเขา เหมือนพืชแห้งปลิวไปต่อหน้าลมหมุน
อสย 19.7 กอแขมที่แม่น้ำ ที่ริมฝั่งแม่น้ำ และทั้งสิ้นที่หว่านลงข้างแม่น้ำนั้นจะแห้งไป จะถูกไล่ไปเสียและไม่มีอีก
อสย 50.1 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “หนังสือหย่าของแม่เจ้า ผู้ซึ่งเราได้ไล่ไปเสียนั้น อยู่ที่ไหนเล่า หรือเจ้าหนี้ของเราคนไหนเล่าที่เราได้ขายตัวเจ้าไป ดูเถิด เพราะความชั่วช้าของเจ้า เจ้าจึงถูกขาย และเพราะความละเมิดของเจ้า แม่ของเจ้าจึงถูกไล่ไป
ยรม 3.8 และเราเห็นว่า เพราะเหตุทั้งปวงที่อิสราเอลผู้กลับสัตย์ได้ล่วงประเวณีนั้น เราได้ไล่เธอไปพร้อมกับให้หนังสือหย่า แต่ยูดาห์น้องสาวที่ทรยศนั้นก็ไม่กลัว เธอก็กลับไปเล่นชู้ด้วย
ยรม 4.20 การประกาศเรื่องความหายนะไล่ติดตามความหายนะ แผ่นดินทั้งสิ้นก็ถูกทิ้งร้าง บรรดาเต็นท์ของข้าก็ถูกทำลายในฉับพลัน ม่านทั้งหลายของข้าก็สิ้นไปในบัดเดี๋ยวเดียว
ยรม 15.1 ฝ่ายพระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “แม้ว่าโมเสส และซามูเอล จะมายืนอยู่ต่อหน้าเรา จิตใจของเราจะไม่หันไปหาชนชาตินี้ ไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นสายตาของเรา แล้วให้เขาไป
ยรม 52.8 แต่กองทัพของคนเคลเดียได้ไล่ติดตามกษัตริย์ไป และไปทันเศเดคียาห์ในที่ราบเมืองเยรีโค และกองทัพทั้งสิ้นของท่านก็กระจัดกระจายไปจากท่าน
พคค 1.3 ยูดาห์ได้ถูกกวาดไปเป็นเชลย ได้รับความทุกข์ใจ ต้องทำงานอย่างทาส เธอต้องพำนักอยู่ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย เธอไม่พบที่หยุดพักสงบเลย บรรดาผู้ข่มเหงได้ไล่ทันเธอเมื่อเวลาเธอทุกข์ใจ
พคค 1.6 และความโอ่อ่าตระการได้พรากไปจากธิดาแห่งศิโยนเสียแล้ว พวกเจ้านายของเธอก็กลับเป็นดุจฝูงกวางที่หาทุ่งหญ้าเลี้ยงชีวิตไม่ได้ และได้วิ่งป้อแป้หนีไปข้างหน้าผู้ไล่ติดตาม
พคค 4.19 พวกที่ข่มเหงเราก็เร็วกว่านกอินทรีในท้องฟ้า เขาทั้งหลายวิ่งไล่กวดพวกเราบนภูเขา เขาทั้งหลายซุ่มคอยจับเราในถิ่นทุรกันดาร
อสค 31.11 เราจึงมอบมันไว้ในมือของผู้หนึ่งที่ทรงอานุภาพในบรรดาประชาชาติ ท่านนั้นจะจัดการกับมันเป็นแน่ เราได้ไล่มันออกเพราะความชั่วร้ายของมัน
อสค 36.5 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ด้วยความหวงแหนอย่างเดือดดาลของเรา เราพูดกล่าวโทษประชาชาติที่เหลืออยู่ และแก่เอโดมทั้งสิ้นผู้ที่มอบแผ่นดินของเราให้แก่ตนเองให้เป็นกรรมสิทธิ์ ด้วยความร่าเริงอย่างเต็มใจ และใจประมาทหมิ่นอย่างที่สุด เพื่อเขาจะได้ไล่คนแผ่นดินนั้นออกไป เพื่อจะได้ปล้นเอาไปเสีย
อสค 46.18 ยิ่งกว่านั้นอีกเจ้านายจะยึดสิ่งใดอันเป็นมรดกของประชาชนไม่ได้โดยไล่ประชาชนออกไปจากทรัพย์สินที่ดินของเขา แต่ท่านจะต้องมอบทรัพย์สินของท่านเองให้เป็นมรดกแก่บุตรชายของท่าน เพื่อว่าจะไม่มีประชาชนของเราสักคนหนึ่งที่ต้องถูกขับไล่จากกรรมสิทธิ์ของตน”
ฮชย 8.3 อิสราเอลได้ทอดทิ้งสิ่งที่ดีเสียแล้ว ศัตรูจะไล่ติดตามเขา
ศคย 13.2 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ต่อมาในวันนั้น เราจะขจัดชื่อของรูปเคารพเสียจากแผ่นดิน เพื่อว่าเขาจะระลึกถึงอีกไม่ได้เลย และเราจะไล่ผู้พยากรณ์และวิญญาณที่ไม่สะอาดไปเสียจากแผ่นดินด้วย
มลค 2.3 ดูเถิด เราจะกระทำให้เชื้อสายของเจ้าเสื่อมไป และจะละเลงมูลสัตว์ใส่หน้าเจ้า คือมูลสัตว์ของเทศกาลตามกำหนดของเจ้า และเราจะไล่เจ้าออกไปเสียจากหน้าเราอย่างนั้นแหละ
มธ 15.23 ฝ่ายพระองค์ไม่ทรงตอบเขาสักคำเดียว และพวกสาวกของพระองค์มาอ้อนวอนพระองค์ ทูลว่า “ไล่เธอไปเสียเถิด เพราะเธอร้องตามเรามา”
มก 12.3 ฝ่ายคนเหล่านั้นก็จับผู้รับใช้นั้นเฆี่ยนตี แล้วไล่ให้กลับไปมือเปล่า
มก 12.4 อีกครั้งหนึ่งเจ้าของสวนใช้ผู้รับใช้อีกคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน คนเช่าสวนนั้นก็เอาหินขว้างผู้รับใช้นั้นศีรษะแตก และไล่ให้กลับไปอย่างน่าอัปยศ
ลก 6.22 ท่านทั้งหลายจะเป็นสุขเมื่อคนทั้งหลายจะเกลียดชังท่าน และจะไล่ท่านออกจากพวกเขา และจะประณามท่าน และจะเหยียดชื่อของท่านว่าเป็นคนชั่วช้า เพราะท่านเห็นแก่บุตรมนุษย์
ลก 8.54 ฝ่ายพระองค์ทรงไล่คนทั้งหมดออกไป แล้วทรงจับมือเด็กนั้น ตรัสว่า “ลูกเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด”
ลก 20.10 เมื่อถึงเวลาแล้วจึงใช้ผู้รับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนเหล่านั้น เพื่อเขาทั้งหลายจะได้มอบผลจากสวนองุ่นแก่เขาบ้าง แต่คนเช่าสวนนั้นได้เฆี่ยนตีผู้รับใช้คนนั้นและไล่ให้กลับไปมือเปล่า
ลก 20.11 แล้วเจ้าของสวนจึงใช้ผู้รับใช้อีกคนหนึ่ง แต่คนเช่าสวนได้เฆี่ยนตีและทำการน่าอัปยศต่างๆแก่ผู้รับใช้นั้นด้วย และได้ไล่ให้กลับไปมือเปล่า
ยน 2.15 เมื่อพระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ พระองค์ทรงไล่คนเหล่านั้น พร้อมกับแกะและวัวออกไปจากพระวิหาร และทรงเทเงินของคนรับแลกเงินและคว่ำโต๊ะ
ยน 9.22 ที่บิดามารดาของเขาพูดอย่างนั้นก็เพราะกลัวพวกยิว เพราะพวกยิวตกลงกันแล้วว่า ถ้าผู้ใดยอมรับว่าผู้นั้นเป็นพระคริสต์ จะต้องไล่ผู้นั้นเสียจากธรรมศาลา
ยน 9.34 เขาทั้งหลายตอบคนนั้นว่า “แกเกิดมาในการบาปทั้งนั้น และแกจะมาสอนเราหรือ” แล้วเขาจึงไล่คนนั้นเสีย
ยน 9.35 พระเยซูทรงได้ยินว่าเขาได้ไล่คนนั้นเสียแล้ว และเมื่อพระองค์ทรงพบชายคนนั้นจึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าหรือ”
ยน 16.2 เขาจะไล่ท่านเสียจากธรรมศาลา แท้จริงวันหนึ่งคนใดที่ประหารชีวิตของท่านจะคิดว่า เขาทำการนั้นเป็นการปฏิบัติพระเจ้า
กจ 13.50 แต่พวกยิวได้ยุยงพวกสตรีมีศักดิ์ที่ถือพระเจ้า กับทั้งผู้ชายที่เป็นใหญ่ในเมืองนั้นให้เคี่ยวเข็ญ และไล่เปาโลกับบารนาบัสออกจากเมืองของเขา
กจ 18.16 ท่านจึงไล่พวกนั้นไปจากบัลลังก์พิพากษา
กท 4.30 แต่พระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า ‘จงไล่หญิงทาสีกับบุตรชายของนางไปเสียเถิด เพราะว่าบุตรชายของหญิงทาสีจะเป็นผู้รับมรดกร่วมกับบุตรชายของหญิงที่เป็นไทยไม่ได้’
3ยน 1.10 เหตุฉะนั้นถ้าข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะจดจำการกระทำทั้งหลายของเขา คือที่เขาพร่ำกล่าวใส่ความเราด้วยถ้อยคำประสงค์ร้าย และเท่านั้นก็ยังไม่สาแก่ใจ เขาเองไม่ยอมรับรองพี่น้องเหล่านั้น และหนำซ้ำยังกีดกันคนที่ใคร่จะรับรองเขา และไล่เขาออกจากคริสตจักรไปเสีย

ไลชาห์ ( 1 )
อสย 10.30 โอ ธิดาของกัลลิมเอ๋ย ส่งเสียงร้องซี ให้เขายินได้ในไลชาห์เถิด โอ อานาโธทเอ๋ย น่าสงสารจริง

ไล่ต้อน ( 3 )
อพย 22.10 ถ้าผู้ใดฝากลาหรือวัว หรือแกะ หรือสัตว์ใดๆไว้กับเพื่อนบ้าน และสัตว์นั้นเกิดตายลงหรือเป็นอันตราย หรือมีผู้ไล่ต้อนไปจากบ้านนั้นโดยไม่มีใครเห็น
1ซมอ 30.20 ดาวิดยังจับได้บรรดาฝูงแพะแกะฝูงวัว และเขาไล่ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้าท่านกล่าวว่า “นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา”
โยบ 24.3 เขาไล่ต้อนลาของคนกำพร้าพ่อไป เขาเอาวัวของหญิงม่ายไปเป็นประกัน

ไล่ตาม ( 60 )
ปฐก 14.15 ท่านจึงแยกคนของท่าน ทั้งท่านและคนใช้ของท่านออกเป็นกองๆในกลางคืน ก็เข้าตีและไล่ตามจนถึงเมืองโฮบาห์ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายเมืองดามัสกัส
ปฐก 35.5 พวกเขาก็ยกเดินไป เมืองต่างๆที่อยู่รอบข้างต่างมีความเกรงกลัวพระเจ้า ชาวเมืองจึงมิได้ไล่ตามบรรดาบุตรชายของยาโคบ
อพย 14.4 เราจะบันดาลให้ใจฟาโรห์แข็งกระด้างไป ฟาโรห์จะไล่ตามมา แล้วเราจะได้รับเกียรติยศเพราะฟาโรห์และบรรดาพลโยธาของเขา แล้วชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์” เขาทั้งหลายก็กระทำตามรับสั่งนั้น
อพย 14.8 พระเยโฮวาห์ทรงให้พระทัยของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์แข็งกระด้างไป ท่านจึงไล่ตามชนชาติอิสราเอล ซึ่งเดินทางไปโดยมีพระหัตถ์ของพระเจ้าคุ้มครอง
อพย 14.9 ชาวอียิปต์ไล่ตามไปมีทั้งม้าและรถรบทั้งหมดของฟาโรห์และทหารม้า กองทัพของท่านมาทันชนชาติอิสราเอลที่ตั้งค่ายอยู่ริมทะเล ใกล้ตำบลปีหะหิโรท หน้าตำบลบาอัลเซโฟน
อพย 14.17 ดูเถิด ส่วนเราก็จะบันดาลให้ใจชาวอียิปต์แข็งกระด้างไล่ตามมา แล้วเราจะได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ พลโยธา รถรบ และพลม้าทั้งหมดของเขา
อพย 14.23 คนอียิปต์ก็ไล่ตามเขาเข้าไปกลางทะเล ทั้งกองม้าและราชรถ และพลม้าทั้งปวงของฟาโรห์
อพย 14.28 น้ำก็กลับท่วมพลรถและพลม้า คือพลโยธาทั้งหมดของฟาโรห์ซึ่งไล่ตามเขาเข้าไปในทะเล ไม่เหลือสักคนเดียว
ลนต 26.33 และเราจะให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติ และเราจะชักดาบออกมาไล่ตามเจ้า และแผ่นดินของเจ้าจะรกร้าง และเมืองของเจ้าจะถูกทิ้งเสียเปล่าๆ
ลนต 26.36 ส่วนพวกเจ้าทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่เราจะให้เขามีใจอ่อนแอในแผ่นดินของศัตรู จนเสียงใบไม้ไหวจะไล่ตามเขา และเขาจะหนีเหมือนคนหนีจากดาบ และเขาจะล้มลงทั้งที่ไม่มีคนไล่ติดตาม
พบญ 19.6 ด้วยเกรงว่าผู้อาฆาตโลหิตกำลังโกรธจัดจะไล่ตามชายผู้ฆ่าคนคนนั้นทัน เพราะหนทางไกลแล้วฆ่าเขาเสีย แม้ว่าชายผู้นั้นไม่มีโทษถึงตาย เพราะเขามิได้เกลียดชังเพื่อนบ้านของเขาแต่ก่อน
ยชว 2.7 เขาทั้งหลายก็ไล่ตามคนทั้งสองไปทางแม่น้ำจอร์แดนจนถึงท่าข้าม พอคนที่ไล่ตามนั้นออกไปแล้วเขาก็ปิดประตูเมือง
ยชว 2.16 นางจึงบอกเขาว่า “จงขึ้นไปบนภูเขา ด้วยเกรงว่าผู้ที่ไล่ตามจะพบเข้า จงซ่อนตัวอยู่สามวันจนกว่าผู้ที่ไล่ตามจะกลับ แล้วจึงค่อยออกเดินต่อไป”
ยชว 2.22 คนทั้งสองออกไปแล้วปีนขึ้นไปบนภูเขาพักอยู่ที่นั่นสามวัน จนผู้ที่ไล่ตามกลับ เพราะผู้ที่ไล่ตามนั้นได้ค้นหาอยู่ตลอดทางก็ไม่พบ
ยชว 8.16 คนในเมืองอัยทั้งหมดก็ถูกเรียกให้ตามออกไป เมื่อเขาไล่ตามโยชูวาไปนั้น เขาก็ออกห่างจากเมืองไปทุกที
ยชว 8.17 ไม่มีชายสักคนหนึ่งที่เหลืออยู่ในเมืองอัยหรือเมืองเบธเอล ที่มิได้ออกไปไล่ตามอิสราเอล เขาปล่อยให้เมืองเปิดอยู่ไล่ตามอิสราเอลไป
ยชว 8.20 เมื่อชาวเมืองอัยเหลียวหลังมาดู ดูเถิด ควันไฟที่ไหม้เมืองพลุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า เขาก็หมดกำลังที่จะหนีไปทางนี้หรือทางนั้น เพราะว่าประชาชนที่หนีไปทางถิ่นทุรกันดารหันกลับมาต่อสู้กับผู้ที่ไล่ตาม
ยชว 8.24 ต่อมาเมื่ออิสราเอลไล่ฆ่าฟันชาวเมืองอัยทั้งหมดในทุ่งในถิ่นทุรกันดารที่เขาไล่ตามไปนั้น และคนเหล่านั้นล้มตายหมดด้วยคมดาบจนคนสุดท้าย บรรดาคนอิสราเอลก็กลับเข้าเมืองอัยโจมตีคนในเมืองด้วยคมดาบ
ยชว 11.8 และพระเยโฮวาห์ทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอล ผู้ประหารเขาและไล่ตามเขาไปจนถึงมหาซีโดนและถึงมิสเรโฟทมาอิม และถึงหุบเขามิสปาห์ด้านตะวันออก ได้ประหารเขาเสียจนไม่ให้เหลือสักคนเดียว
ยชว 20.5 และถ้าผู้อาฆาตโลหิตไล่ตามเขาไป ผู้ใหญ่จะไม่มอบผู้ฆ่าคนนั้นไว้ในมือของผู้อาฆาตโลหิต เพราะว่าผู้นั้นได้ฆ่าเพื่อนบ้านของตนด้วยไม่มีเจตนา มิได้เกลียดชังเขาแต่ก่อน
ยชว 24.6 แล้วเราก็นำบรรพบุรุษของเจ้าออกจากอียิปต์และเจ้าทั้งหลายมาถึงทะเล และชาวอียิปต์ได้ไล่ตามบรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลายด้วยรถรบและพลม้ามาถึงทะเลแดง
1ซมอ 17.35 ข้าพระองค์ก็ไล่ตามฆ่ามัน และช่วยลูกแกะนั้นให้พ้นมาจากปากของมัน ถ้ามันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จับหนวดเคราของมัน และทุบตีมันจนตาย
1ซมอ 24.14 กษัตริย์แห่งอิสราเอลออกมาตามผู้ใด พระองค์ไล่ตามผู้ใด ไล่ตามสุนัขที่ตายแล้ว ไล่ตามตัวหมัด
1ซมอ 25.29 แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่านและแสวงหาชีวิตของท่าน ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับกลุ่มชีวิตซึ่งอยู่ในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน แต่ชีวิตศัตรูของท่านจะถูกเหวี่ยงออกไปดั่งออกไปจากรังสลิง
1ซมอ 26.18 และท่านทูลต่อไปว่า “ไฉนเจ้านายของข้าพระองค์จึงไล่ตามผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์ได้กระทำอะไรไป มือข้าพระองค์ผิดอย่างไรเล่า
1ซมอ 26.20 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของข้าพระองค์ตกถึงดินต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ออกมาหาชีวิตหมัดตัวเดียว ดังผู้หนึ่งไล่ตามนกกระทาอยู่บนภูเขา”
2ซมอ 2.19 และอาสาเฮลก็ไล่ตามอับเนอร์ไป เมื่อตามไปนั้นก็มิได้เลี้ยวทางขวามือหรือทางซ้ายมือจากการไล่ตามอับเนอร์
2ซมอ 2.21 อับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงเลี้ยวไปทางขวาหรือทางซ้าย และจับเอาคนหนุ่มคนใดคนหนึ่ง แล้วก็ริบเอาอาวุธของเขาไป” แต่อาสาเฮลไม่เลี้ยวจากไล่ตามอับเนอร์
2ซมอ 2.24 แต่โยอาบกับอาบีชัยไล่ตามอับเนอร์ไป ดวงอาทิตย์ก็ตกเมื่อเขามาถึงเนินเขาอัมมาห์ ซึ่งอยู่ตรงกียาห์ตามทางที่จะไปถิ่นทุรกันดารเมืองกิเบโอน
2ซมอ 2.26 แล้วอับเนอร์ร้องถามโยอาบว่า “จะให้ดาบกินเรื่อยไปหรือ ท่านไม่ทราบหรือว่าตอนปลายมือก็ขม อีกนานสักเท่าใดท่านจึงจะสั่งคนของท่านให้หยุดไล่ตามพี่น้องของเขา”
2ซมอ 2.27 และโยอาบจึงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าท่านไม่พูดขึ้นพวกทหารก็จะเลิกไล่ตามพวกพี่น้องของเขาพรุ่งนี้เช้า”
2ซมอ 2.28 โยอาบจึงเป่าแตรขึ้น คนทั้งปวงก็หยุด ไม่ไล่ตามอิสราเอลอีก และไม่สู้รบกันอีก
2ซมอ 2.30 โยอาบก็กลับจากไล่ตามอับเนอร์ และเมื่อท่านรวบรวมพลเข้าด้วยกันแล้ว ข้าราชการทหารของดาวิดก็ขาดไปสิบเก้าคนไม่นับอาสาเฮล
2ซมอ 20.7 มีคนของโยอาบตามเขาไป และคนเคเรธี กับคนเปเลท กับทหารที่แข็งกล้าทั้งหมด และเขาทั้งหลายยกออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มเพื่อไล่ตามเชบาบุตรชายบิครี
2ซมอ 20.10 แต่อามาสาไม่ได้สังเกตเห็นดาบซึ่งอยู่ในมือของโยอาบ โยอาบจึงเอาดาบแทงท้องอามาสา ไส้ทะลักถึงดิน ไม่ต้องแทงครั้งที่สอง เขาก็ตายเสียแล้ว แล้วโยอาบกับอาบีชัยน้องชายก็ไล่ตามเชบาบุตรชายบิครีไป
2ซมอ 22.38 ข้าพระองค์ไล่ตามศัตรูของข้าพระองค์และได้ทำลายเขาเสีย และไม่หันกลับจนกว่าเขาถูกผลาญเสียสิ้น
1พกษ 22.33 และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์แห่งอิสราเอล ก็หันกลับจากไล่ตามพระองค์
2พกษ 25.5 แต่กองทัพของคนเคลเดียได้ไล่ตามกษัตริย์ และมาทันพระองค์ในที่ราบเมืองเยรีโค และกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์ก็กระจัดกระจายไปจากพระองค์
2พศด 14.13 อาสาและพลที่อยู่กับพระองค์ก็ไล่ตามเขาไปถึงเมืองเก-ราร์ และชาวเอธิโอเปียล้มตายมากจนไม่เหลือสักชีวิตเดียว เพราะเขาได้แตกพ่ายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์และกองทัพของพระองค์ คนยูดาห์ได้เก็บของที่ริบได้มากมายนักหนา
2พศด 18.32 และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล ก็หันรถกลับจากไล่ตามพระองค์
สดด 18.37 ข้าพระองค์ไล่ตามศัตรูของข้าพระองค์ทัน และไม่หันกลับจนกว่าเขาจะถูกผลาญเสียสิ้น
สภษ 28.1 คนชั่วร้ายก็หนีเมื่อไม่มีใครไล่ตาม แต่คนชอบธรรมก็กล้าหาญอย่างสิงโต
อสย 30.16 แต่เจ้าทั้งหลายว่า “อย่าเลย เราจะขี่ม้าหนีไป” เพราะฉะนั้นเจ้าก็จะหนีไป และ “เราจะขี่ม้าเร็วจัด” เพราะฉะนั้นผู้ไล่ตามเจ้าทั้งหลายจะเร็วจัด
อสย 41.3 ท่านไล่ตามพวกเขาและผ่านเขาไปอย่างปลอดภัย ตามทางที่เท้าของท่านไม่เคยเหยียบ
ยรม 9.16 เราจะกระจายเขาไปท่ามกลางประชาชาติ ที่ตัวเขาเองและบรรพบุรุษของเขาไม่รู้จัก และเราจะส่งดาบให้ไล่ตามเขาทั้งหลาย จนเราจะผลาญเขาสิ้น”
ยรม 12.6 เพราะว่าแม้พี่น้องของเจ้าและวงศ์วานของบิดาเจ้า แม้ว่าเขาก็ได้กระทำการทรยศต่อเจ้า เขายังเรียกให้ฝูงชนไล่ตามเจ้าไป ถึงแม้ว่าเขาพูดถ้อยคำอย่างดีแก่เจ้า อย่าเชื่อเขาเลย
ยรม 48.2 จะไม่มีการสรรเสริญโมอับอีกต่อไป ในเมืองเฮชโบนคนเหล่านั้นได้วางแผนปองร้ายต่อโมอับว่า ‘มาเถอะ ให้เราตัดมันออกเสียจากการเป็นประชาชาติ’ โอ เมืองมัดเมนเอ๋ย เจ้าจะถูกตัดลงมาเหมือนกัน ดาบจะไล่ตามเจ้าไป
ยรม 49.37 ด้วยว่าเราจะกระทำให้เอลามสยดสยองต่อหน้าศัตรูของเขาทั้งหลาย และต่อหน้าผู้ที่แสวงหาชีวิตของเขา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะนำเหตุร้ายมาถึงเขาทั้งหลาย คือความพิโรธอันแรงกล้า เราจะใช้ให้ดาบไล่ตามเขาทั้งหลาย จนกว่าเราจะได้เผาผลาญเขาเสีย
อสค 5.12 พวกเจ้าหนึ่งในสามส่วนจะล้มตายเพราะโรคระบาด และถูกผลาญด้วยการกันดารอาหารในหมู่พวกเจ้า อีกหนึ่งในสามส่วนจะล้มตายด้วยดาบอยู่รอบเจ้า และอีกหนึ่งในสามส่วนเราจะให้กระจัดกระจายไปตามลมทุกทิศานุทิศ และเราจะชักดาบออกไล่ตามเขาทั้งหลายไป
อสค 12.14 บรรดาผู้ที่อยู่รอบท่านนั้น เราจะกระจายเขาไปตามลมทุกทิศานุทิศ รวมทั้งผู้ช่วยและบรรดากองทัพของท่านด้วย และเราจะชักดาบออกไล่ตามเขาไป
อสค 35.6 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสว่า เพราะฉะนั้น เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะเตรียมเจ้าเพื่อรับโทษแห่งการให้โลหิตตก และโลหิตจะไล่ตามเจ้า เพราะเจ้ามิได้เกลียดชังเรื่องโลหิต เพราะฉะนั้นโลหิตจึงจะไล่ตามเจ้าไป
อมส 1.11 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เพราะเหตุการละเมิดของเมืองเอโดม สามครั้งและสี่ครั้ง เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์ เพราะเขาได้ไล่ตามน้องของเขาด้วยดาบ และสลัดความสงสารทิ้งเสียสิ้น ความโกรธของเขาบั่นทอนอยู่ตลอดกาล และความพิโรธของเขาก็มีอยู่เป็นนิตย์
นฮม 1.8 แต่พระองค์จะทรงกระทำให้สถานที่แห่งนั้นสิ้นสุดลงด้วยน้ำท่วมที่ไหลท่วมท้น และความมืดจะไล่ตามศัตรูทั้งหลายของพระองค์ไป

ไล่เลียง ( 4 )
มก 12.28 มีธรรมาจารย์คนหนึ่ง เมื่อมาถึงได้ยินเขาไล่เลียงกันและเห็นว่าพระองค์ทรงตอบเขาได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบัญญัติข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวง”
กจ 6.9 แต่มีบางคนมาจากธรรมศาลาที่เรียกว่า ธรรมศาลาของพวกลิเบระติน มีทั้งชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดอร์ กับบางคนจากซิลีเซียและเอเชีย ได้ลุกขึ้นพากันมาไล่เลียงกับสเทเฟน
กจ 9.29 ประกาศออกพระนามของพระเยซูเจ้าด้วยใจกล้าหาญ ท่านพูดไล่เลียงกับพวกกรีก แต่พวกนั้นหาช่องที่จะฆ่าท่านเสีย
กจ 15.2 เหตุฉะนั้นเมื่อเกิดการโต้แย้งและไล่เลียงกันระหว่างเปาโลและบารนาบัสกับคนเหล่านั้นมากมายแล้ว เขาทั้งหลายได้ตั้งเปาโลและบารนาบัสกับคนอื่นๆในพวกนั้นให้ขึ้นไป หารือกับอัครสาวกและผู้ปกครองในกรุงเยรูซาเล็มในเรื่องที่เถียงกันนั้น

ไล่ออก ( 6 )
พบญ 24.1 “เมื่อชายคนใดคนหนึ่งมีภรรยาแต่งงานอยู่กินด้วยกันกับนาง และต่อมานางไม่เป็นที่ชอบในสายตาของสามีเพราะเขาพบสิ่งมลทินในตัวนาง ก็ให้เขาทำหนังสือหย่าใส่มือนาง แล้วไล่ออกจากเรือนไป
โยบ 18.18 เขาจะถูกผลักไสจากความสว่างเข้าสู่ความมืด และจะถูกไล่ออกไปจากแผ่นดินโลก
สภษ 14.32 คนชั่วร้ายก็ถูกไล่ออกตามการกระทำชั่วร้ายของเขา แต่คนชอบธรรมมีความหวังในความมรณาของเขา
พคค 1.8 เยรูซาเล็มได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง เหตุฉะนี้เธอจึงถูกไล่ออก บรรดาคนที่เคยให้เกียรติเธอก็ลบหลู่เธอ เพราะเหตุเขาทั้งหลายเห็นความเปลือยเปล่าของเธอ เออ เธอเองได้ถอนใจยิ่งและหันหน้าของเธอไปเสีย
มธ 23.34 เหตุฉะนั้น ดูเถิด เราใช้พวกศาสดาพยากรณ์ พวกนักปราชญ์ และพวกธรรมาจารย์ต่างๆไปหาพวกเจ้า เจ้าก็ฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง เฆี่ยนตีในธรรมศาลาของเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง
ยน 12.42 อย่างไรก็ดีแม้ในพวกขุนนางก็มีหลายคนเชื่อในพระองค์ด้วย แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เกรงว่าเขาจะถูกไล่ออกจากธรรมศาลา

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV / Thai Bible King James Version

© 2003 Philip Pope